Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3 ธรรมวิภาค

3 ธรรมวิภาค

Published by นายภานุพล ตลับเพชร, 2023-08-27 06:55:34

Description: 3 ธรรมวิภาค

Search

Read the Text Version

ทกุ ะ คือ หมวด ๒ ธรรมมีอุปการะมากมี ๒ อย่าง ๑. สติ ความระลกึ ได้ ๒. สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ๑. สติ หมายถงึ ความระลกึ ถงึ สงิ่ ท่ีล่วงมาแล้ว เช่นนกึ ถึงการกระทาและคาท่ีพดู แล้วแม้นาน ได้เป็นต้น ความระลกึ ถงึ สง่ิ อนั จกั มีในภายหน้า เช่น นกึ ถงึ ความตายอนั จกั มีแก่ตนเป็นต้น ความ ระลกึ ถงึ สง่ิ อนั เป็นปัจจบุ นั เช่น กาหนดลมหายใจเข้าออกเป็นต้น ๒. สัมปชัญญะ หมายถึง เมื่อกาลงั ทา กาลงั พดู กาลงั คดิ ก็รู้ตวั วา่ เรากาลงั ทา กาลงั พดู กาลงั คิด เช่น เมื่อกาลงั ยืน เดิน เป็ นต้น ก็รู้สกึ ตวั ว่า เรากาลงั ยืน กาลงั เดนิ หรือเมื่อกาลงั อ่านหนงั สือ เป็นต้น ก็รู้สกึ ตวั วา่ เรากาลงั อา่ นหนงั สือ ธรรม ๒ อย่างนี ้เป็นเครื่องอปุ การะไมใ่ ห้พลงั้ เผลอและไมใ่ ห้พลงั้ พลาดอนั จะนามาซงึ่ ความ เกือ้ กลู ในการงานทงั้ ปวง ธรรมเป็นโลกบาล คือ ค้มุ ครองโลก มี ๒ อย่าง ๑. หิริ ความละอายแก่ใจ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ตอ่ บาป ๑. หิริ หมายถงึ ความละอายแก่ใจตนเอง ในการกระทาทจุ ริตตา่ งๆ ทงั้ มีอาการรังเกียจต่อ บาปทจุ ริต เสมือนบคุ คลเห็นส่งิ ปฏกิ ลู ต่าง ๆ แล้วไมอ่ ยากเข้าไปใกล้ ไม่อยากจบั ต้อง ๒. โอตตปั ปะ หมายถงึ ความเกรงกลวั ตอ่ ผลของการกระทาชว่ั ทจุ ริต เสมือนคนเหน็ งูกลวั ต่อ พษิ ของมนั แล้วหลีกเลี่ยงเสียให้ห่างไกล ธรรม ๒ อย่างนี ้กศุ ลธรรมก็เรียก เทวธรรมก็เรียก เพราะถ้าโลกขาดธรรมสองอยา่ งนี ้ โลกย่อมถึงความสบั สนว่นุ วาย แต่ถ้ามนษุ ย์มีหริ ิและ โอตตปั ปะ ไม่ทาบาปทงั้ ในท่ีลบั และท่ีแจ้ง โลกก็จะสงบร่มเยน็ อยดู่ ้วยกนั อย่างมีความสขุ ธรรมอันทาให้งาม มี ๒ อย่าง ๑. ขนั ติ ความอดทน

๒. โสรัจจะ ความเสงี่ยม ๑. ขันติ หมายถึง ความอดทนอดกลนั้ ได้แก่อดทนตอ่ ราคะ โทสะ โมหะที่เกิดขนึ ้ อดทนต่อ คาล่วงเกินดา่ ว่าของผ้อู ่ืน อดทนต่อความลาบากตรากตราและความหนาวร้อนเป็นต้น อดทนตอ่ ทกุ ขเวทนาอนั เกิดจากโรคภยั ไข้เจบ็ เป็ นต้น ยอ่ มสง่ ผลให้หน้าตา กิริยา ท่าทาง และคาพดู งดงาม นา่ เคารพนบั ถือ ๒. โสรัจจะ หมายถึง ความสงบเสงี่ยมทางกาย ทางวาจา และทางใจ ในบางแห่งใช้คาวา่ อวิ โรธนะ ไม่โกรธ ในภาษาไทยว่า ใจเย็น ก็ทาให้งดงามเหมือนกนั บุคคลหาได้ยากมี ๒ อย่าง ๑. บพุ การี บคุ คลผ้ทู าอปุ การะก่อน ๒. กตญั ํกู ตเวที บคุ คลผ้รู ู้อปุ การะท่ีท่านทาแล้ว และทาตอบแทน ๑. บพุ การี หมายถึง บคุ คลผ้ทู าอปุ การะแก่ผ้อู ื่นก่อน ได้แก่ พระพทุ ธเจ้าเป็นบพุ การีของ พทุ ธบริษัท มารดาบิดาเป็นบพุ การีของบตุ ร อปุ ัชฌาย์อาจารย์เป็นบพุ การี ของศษิ ย์ แม้ พระมหากษัตริย์ก็จดั เป็นบพุ การีของพสกนิกร ส่วนบคุ คลอ่ืนผ้ทู าอปุ การะก่อนก็ควรสงเคราะห์เข้าใน ข้อนี ้บคุ คลอยา่ งนีห้ าได้ยากในโลก ๒. กตญั ํู หมายถึง ผ้รู ู้อปุ การคณุ ได้แก่ พทุ ธบริษัทผ้รู ู้อปุ การคณุ ของพระพทุ ธเจ้า บตุ รผ้รู ู้ อปุ การคณุ ของมารดาบิดา ศษิ ย์ผ้รู ู้อปุ การคณุ ของอปุ ัชฌาย์อาจารย์ แม้พสกนิกรผ้รู ู้อปุ การคณุ ของ พระมหากษัตริย์ หรือบคุ คลผ้รู ู้อปุ การคณุ ของผ้อู ปุ การะตนก่อน กตเวที หมายถงึ การตอบแทนคณุ ผ้มู ีอปุ การคณุ ด้วยวตั ถสุ ิ่งของ ด้วยการทากิจให้ ด้วย สมั มาคารวะ ด้วยการตงั้ อยใู่ นโอวาท คาสง่ั สอน ด้วยประกาศคณุ ให้ปรากฏ ฉะนนั้ กตญั ํกู ตเวที คือ ผ้รู ู้อปุ การคณุ ของผ้อู ื่นแล้วกระทาการตอบแทนคณุ ของทา่ น ยงั คณุ ของทา่ นให้ปรากฏ ปัญหาและเฉลยหมวด ๒ ๑. ธรรมข้อใด ควบคมุ มใิ ห้คนทาผิดพลาด ? ก. สติ สมั ปชญั ญะ ข. หิริ โอตตปั ปะ

ค. ขนั ติ โสรัจจะ ง. กตญั ํกู ตเวที ๒. ธรรมข้อใด มีอปุ มาดจุ หางเสือเรือ ? ก. หิริ ข. โอตตปั ปะ ค. สติ ง. ขนั ติ ๓. บคุ คลในข้อใด ต้องใช้สตสิ มั ปชญั ญะมากท่ีสดุ ? ก. คนโดยสารรถ ข. คนข้ามถนน ค. คนเก็บค่าโดยสาร ง. คนขบั รถ ๔. ข้อใดเป็นธรรมมีอปุ การะมาก ? ก. หริ ิ โอตตปั ปะ ข. สติ สมั ปชญั ญะ ค. กตญั ํกู ตเวที ง. ขนั ติ โสรัจจะ ๕. เราควรใช้สติเม่ือใด ? ก. ก่อนทา พดู คดิ ข. ขณะทา พดู คดิ ค. ทา พดู คดิ เสร็จแล้ว ง. ข้อ ก. ข้อ ข. ถกู ๖. เราควรใช้สมั ปชญั ญะเม่ือใด ? ก. ก่อนทา พดู คิด ข. ขณะทา พดู คดิ ค. ทา พดู คดิ เสร็จแล้ว ง. ใช้ได้ตลอดกาล ๗. ธรรมข้อใด อดุ หนนุ มใิ ห้คนทาอะไรผดิ พลาด ? ก. หริ ิ โอตตปั ปะ ข. ขนั ติ โสรัจจะ ค. กตญั ํกู ตเวที ง. สติ สมั ปชญั ญะ ๘. ข้อใดเป็นความหมายของสมั ปชญั ญะ ? ก. ความระลกึ ได้ ข. ความรู้ตวั ค. ความรอบรู้ ง. ความรู้จริง ๙. ระลกึ ได้วา่ วนั นีต้ ้องไปทางาน เป็ นลกั ษณะธรรมข้อใด ? ก. หิริ ข. โอตตปั ปะ ค. สติ ง. สมั ปชญั ญะ ๑๐. ธรรมท่ีเป็ นข้าศกึ ของสติ ได้แก่อะไร ? ก. ความประมาท ข. ความโกรธ

ค. ความละอาย ง. ความโลภ ๑๑. ความไมส่ งบท่ีเกิดขนึ ้ ทว่ั โลก เพราะขาดคณุ ธรรมข้อใด ? ก. หริ ิ โอตตปั ปะ ข. ขนั ติ โสรัจจะ ค. สติ สมั ปชญั ญะ ง. ถกู ทกุ ข้อ ๑๒. โลกในคาวา่ “ธรรมค้มุ ครองโลก” หมายถึงข้อใด ? ก. โลกคือแผน่ ดนิ ข. เทวโลก ค. โลกคือหม่สู ตั ว์ ง. ยมโลก ๑๓. “อายชวั่ กลวั บาป สวรรค์รับ บาปลา” หมายถงึ ธรรมข้อใด ? ก. สติ สมั ปชญั ญะ ข. หิริ โอตตปั ปะ ค. วจีสจุ ริต ๔ ง. วจีทจุ ริต ๔ ๑๔. ผ้มู ีธรรมเป็นโลกบาลอย่ใู นใจ ยอ่ มมีลกั ษณะเชน่ ไร ? ก. เป็นคนกล้าหาญ ข. เป็ นผ้นู ิ่งทงั้ ต่อหน้า ลบั หลงั ค. เป็นคนเรียบร้อย ง. ไมท่ าชว่ั ทงั้ ต่อหน้า ลบั หลงั ๑๕. ข้อใด เรียกว่าเทวธรรม ? ก. สติ สมั ปชญั ญะ ข. ขนั ติ โสรัจจะ ค. หิริ โอตตปั ปะ ง. กตญั ํกู ตเวที ๑๖. ผ้มู ีเทวธรรม มีลกั ษณะอยา่ งไร ? ก. ไม่ทาชว่ั ในท่ีลบั ข. ไม่ทาชว่ั ในท่ีแจ้ง ค. ไม่ทาชว่ั ทงั้ ในที่ลบั และที่แจ้ง ง. ไม่ทาชว่ั เพราะกลวั ถกู ประณาม ๑๗. ข้อใด เป็นลกั ษณะของโอตตปั ปะ ? ก. ละอายความชวั่ ข. กลวั ถกู ลงโทษ ค. ละอายตนเอง ง. กลวั ผลของความชวั่ ๑๘. ผ้มู ีหิริอยใู่ นใจ ช่ือว่าไม่ทาความชว่ั เพราะสาเหตใุ ด ? ก. กลวั คนเห็น ข. กลวั ติดคกุ ค. ละอายคนอื่น ง. ละอายใจ

๑๙. ธรรมสาหรับทาคนให้เป็นเทวดา ? ก. ขนั ติ โสรัจจะ ข. หิริ โอตตปั ปะ ค. เมตตา กรุณา ง. อโลภะ อโมหะ ๒๐. “อาภรณ์แตง่ กาย แต่ใจแตง่ ด้วยธรรม” หมายถึงธรรมข้อใด ? ก. สติ สมั ปชญั ญะ ข. หิริ โอตตปั ปะ ค. ขนั ติ โสรัจจะ ง. เมตตา กรุณา ๒๑. คนมีนา้ อดนา้ ทน เพราะมีคณุ ธรรมข้อใด ? ก. ฉนั ทะ ข. จติ ตะ ค. ขนั ติ ง. วิมงั สา ๒๒. ผ้งู ดงามทงั้ นอกทงั้ ใน เพราะมีคณุ ธรรมข้อใด ? ก. หิริ โอตตปั ปะ ข. สติ สมั ปชญั ญะ ค. ขนั ติ โสรัจจะ ง. กตญั ํกู ตเวที ๒๓. นาย ก.ถกู นาย ข.ทาร้าย อดกลนั้ ไว้ได้ เพราะมีคณุ ธรรมอะไร ? ก. หริ ิ ข. โอตตปั ปะ ค. ขนั ติ ง. สติ ๒๔. ความทนต่อความหนาวร้อน มีความหมายตรงกบั ข้อใด ? ก. ทนตอ่ ความเจ็บใจ ข. ทนตอ่ ความตรากตรา ค. ทนตอ่ ความอยาก ง. ทนต่อความทกุ ข์ทรมาน ๒๕. ธรรมข้อใด ทาคนให้มีความงามโดยมิต้องเสริมแตง่ ? ก. ขนั ติ โสรัจจะ ข. สติ สมั ปชญั ญะ ค. หริ ิ โอตตปั ปะ ง. เมตตา กรุณา ๒๖. บพุ การีชน หมายถึงใคร ? ก. พระพทุ ธเจ้า ข. มารดา บิดา ค. พระมหากษัตริย์ ง. ถกู ทกุ ข้อ ๒๗. ข้อใด เป็นความหมายของคาวา่ “กตเวที” ? ก. ทาอปุ การะก่อน ข. รู้อปุ การะท่ีทา่ นทาแล้ว ค. ตอบแทนคณุ ท่าน ง. รู้อปุ การะและตอบแทนคณุ

๒๘. ผ้ใู ดไมช่ ื่อว่า บพุ การี ? ก. บิดา มารดา ข. พระมหากษัตริย์ ค. บตุ ร ธิดา ง. ครู อาจารย์ ๒๙. จะรู้ได้อย่างไรว่า คนท่ีเราคบด้วยเป็นคนดี ? ก. ตกั บาตรประจา ข. มีมนษุ ย์สมั พนั ธ์ ค. ขยนั ทางาน ง. รู้จกั ทดแทนคณุ ๓๐. กตญั ํกู ตเวที ชื่อวา่ หาได้ยาก เพราะถกู อะไรครอบงา ? ก. อบายมขุ ข. นิวรณ์ ค. ความตระหนี่ ง. ความโกรธ เฉลย ๑. ก ๒. ค ๓. ง ๔. ข ๕. ก ๖. ข ๗. ง ๘. ข ๙. ค ๑๐. ก ๑๑. ก ๑๒. ค ๑๓. ข ๑๔. ง ๑๕. ค ๑๖. ค ๑๗. ง ๑๘. ง ๑๙. ข ๒๐. ค ๒๑. ค ๒๒.ค ๒๓. ค ๒๔. ง ๒๕. ก ๒๖. ง ๒๗. ค ๒๘. ค ๒๙. ง ๓๐. ค ตกิ ะ คือ หมวด ๓ พระรัตนตรัย คือ แก้วอนั ประเสริฐ มี ๓ อยา่ ง ๑. พระพทุ ธ ๒. พระธรรม ๓. พระสงฆ์ ๑. ทา่ นผ้สู อนให้ประชาชนประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั ท่ีเรียกว่า พระพทุ ธศาสนา ชื่อว่า พระพทุ ธเจ้า ๒. พระธรรมวินยั ท่ีเป็ นคาสอนของทา่ น ช่ือวา่ พระธรรม ๓. หมชู่ นท่ีฟังคาสง่ั สอนของทา่ นแล้วปฏบิ ตั ชิ อบตามพระธรรมวนิ ยั ชื่อวา่ พระสงฆ์ เหตทุ ่ีเรียกพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่ารัตนะนนั้ ท่านอธิบายไว้ในอรรถกถาวา่ เป็นวตั ถทุ ่ี ควรยาเกรง มีคา่ มาก หาคา่ มิได้และเป็นท่ีพงึ่ ท่ีระลึกอนั สงู สดุ คณุ ของรัตนะ มี ๓ อย่าง ๑. พระพทุ ธเจ้ารู้ดีรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนให้ผ้อู ่ืนรู้ตามด้วย

๒. พระธรรมย่อมรักษาผ้ปู ฏิบตั ติ ามไมใ่ ห้ตกไปในท่ีชวั่ ๓. พระสงฆ์ปฏิบตั ชิ อบตามคาสอนของพระพทุ ธเจ้าแล้วสอนให้ผ้อู ่ืนกระทาตามด้วย ๑. พระพทุ ธเจ้า ตรัสรู้อริยสจั ๔ คือ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ด้วยพระองค์เองก่อนแล้วจงึ สอนให้ผ้อู ่ืนรู้ตามด้วย ในเบือ้ งต้นทรง สอนพระปัญจวคั คีย์และพระยสะกบั สหายให้รู้ตาม และทรง สอนตอ่ มาอีก ๔๕ ปี จนถึงวนั ปรินิพพาน ๒. พระธรรม ที่พระพทุ ธเจ้าทรงสอนนนั้ คือ ห้ามไมใ่ ห้ทาความ ชว่ั ทงั้ ปวง ให้ทาความดี และ ทาจติ ใจให้ผอ่ งใสเป็นต้น เป็นการสอน ให้ประพฤติดีปฏิบตั ิชอบ เมื่อประพฤติตามแล้ว พระธรรมก็ ยอ่ มรักษาผ้ปู ระพฤติตามไม่ให้ตกไปในท่ีชวั่ ทงั้ ในโลกนีแ้ ละโลกหน้า ๓. พระสงฆ์ ผ้ปู ฏบิ ตั ชิ อบตามคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้าแล้ว ได้สอนภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสิกาให้ทาตามด้วย ในเบือ้ งต้น ภกิ ษุ ๖๐ รูปแยกย้ายกนั ออกไปสอนประชาชน และตอ่ มา พระสงฆ์อื่นก็ปฏบิ ตั ิเชน่ เดียวกนั ตงั้ แต่ครัง้ พทุ ธกาลจนถึงทกุ วนั นี ้ด้วยเหตนุ ี ้พระพทุ ธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จงึ นบั ว่าเป็ นผ้ทู ่ีมีคณุ แก่โลกจนหาที่เปรียบมิได้ โอวาทของพระพทุ ธเจ้า มี ๓ อยา่ ง ๑. เว้นจากทจุ ริต คือ ประพฤติชวั่ ด้วยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ ริต คือ ประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ ๓. ทาใจของตนให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมองใจมีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น โอวาทปาฏโิ มกข์ ๓ ข้อ คือ สพั พะปาปัสสะ อะกะระณงั ไม่ทาความชวั่ ทงั้ ปวง ๑ กสุ ะลสั สปู ะสมั ปะทา ประกอบความดี ๑ สะจิตตะปะริโยทะปะนงั ทาจติ ของตนให้ผ่องใส ๑ มีเนือ้ ความอยา่ งเดียวกบั โอวาททงั้ ๓ ข้อนี ้เพราะคาวา่ บาป อกศุ ล ทจุ ริต มีความหมาย เหมือนกนั และคาว่า บญุ กศุ ล สจุ ริต ก็มีความหมายเหมือนกนั ใช้แทนกนั ได้ เพราะฉะนนั้ โอวาท ทงั้ ปวงจงึ สรุปลงเป็น ๓ ข้อ ๑. ไม่ทาความชว่ั ทงั้ ปวง คือ เว้นจากความประพฤตชิ ว่ั ด้วยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบความดี คือ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ

๓. ทาจิตใจของตนให้ผอ่ งใส คือ ทาตนให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็ นต้ น โอวาททงั้ ๓ นีเ้ป็นหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงแก่พระสาวก ๑,๒๕๐ องค์ ท่ีวดั เวฬวุ นั ใกล้กรุงราชคฤห์ เมื่อวนั เพญ็ มาฆมาส (เดือน ๓) ภายหลงั ตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน เรียกวา่ โอวาทปาฏิโมกข์ ทจุ ริต คือความประพฤตชิ ่ัวมี ๓ อย่าง ๑. กายทจุ ริต ประพฤติชว่ั ด้วยกาย ๒.วจีทจุ ริต ประพฤติชวั่ ด้วยวาจา ๓. มโนทจุ ริต ประพฤติชวั่ ด้วยใจ ๑. กายทจุ ริต คือ ความประพฤตชิ วั่ ด้วยกาย ๓ อย่าง มี ฆา่ สตั ว์ ๑ ลกั ทรัพย์ ๑ ประพฤตผิ ิด ในกาม ๑ ๒. วจีทจุ ริต คือ ความประพฤตชิ ว่ั ด้วยวาจา ๔ อย่าง มี พดู เท็จ ๑ พดู ส่อเสียด ๑ พดู คา หยาบ ๑ พดู เพ้อเจ้อ ๑ ๓. มโนทจุ ริต คือ ความประพฤตชิ ว่ั ด้วยใจ ๓ อยา่ ง มี โลภอยาก ได้ของเขา ๑ พยาบาทปอง ร้ายเขา ๑ เห็นผิดจากคลองธรรม ๑ ทจุ ริต ๓ อยา่ งนี ้เป็นกิจไมค่ วรทา ไม่ควรประพฤติ สุจริต คือ ความประพฤตชิ อบ มี ๓ อย่าง ๑. กายสจุ ริต ประพฤติชอบด้วยกาย ๒. วจีสจุ ริต ประพฤติชอบด้วยวาจา ๓. มโนสจุ ริต ประพฤติชอบด้วยใจ ๑. กายสจุ ริต คือความประพฤตชิ อบด้วยกาย ๓ อย่าง มีเว้นจาก การฆา่ สตั ว์ ๑ เว้นจากการ ลกั ทรัพย์ ๑ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๑ ๒. วจีสจุ ริต คือ ความประพฤติชอบด้วยวาจา ๔ อยา่ ง มีเว้นจากการพดู เท็จ ๑ เว้นจากการ พดู สอ่ เสียด ๑ เว้นจากการพดู คาหยาบ ๑ เว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ ๑

๓. มโนสจุ ริต คือความประพฤติชอบด้วยใจ ๓ อย่าง มีไม่โลภอยากได้ของเขา ๑ ไม่พยาบาท ปองร้ายเขา ๑ เห็นชอบตามคลองธรรม ๑ สจุ ริต ๓ อยา่ งนี ้เป็นกิจควรทา ควรประพฤติ อกุศลมูล หมายถงึ รากเหง้าของอกุศล มี ๓ อย่าง ๑. โลภะ อยากได้ของเขา ๒. โทสะ คดิ ประทษุ ร้ายเขา ๓. โมหะ หลงไม่รู้จริง ๑. ความอยากได้สง่ิ ของของคนอ่ืนมาเป็นของตน ช่ือวา่ โลภะ เม่ือมีโลภะ ความไมด่ ีอยา่ ง อ่ืน เชน่ ความมกั ได้ ความมกั มาก ความตระหนี่และการปล้นทรัพย์เป็นต้น ก็เกิดขนึ ้ ๒. ความคดิ ร้ายต่อผ้อู ื่น ช่ือวา่ โทสะ เม่ือมีโทสะแล้ว ความไมด่ ีอย่างอ่ืน เช่น ความจองล้าง จองผลาญ ความจองเวร การทาร้าย และการฆ่า เป็นต้น ก็เกิดขนึ ้ ๓. ความหลงไม่รู้จริงว่า อะไรผิด อะไรถกู ช่ือว่า โมหะ เมื่อมี โมหะแล้ว ความไมด่ ีอย่างอื่น เช่น ความลบหลคู่ ณุ ท่าน ความตีเสมอ ความถือดีและความเห็นผิดเป็นชอบเป็นต้น ก็เกิดขนึ ้ อกศุ ลมลู ทงั้ ๓ เหลา่ นี ้ อย่างใดอย่างหนงึ่ มีอยแู่ ล้ว อกศุ ลอยา่ งอ่ืนท่ียงั ไม่เกิดก็เกิดขนึ ้ ที่ เกิดขนึ ้ แล้วก็เจริญมากขึน้ เหตนุ นั้ ควรละเสีย กุศลมูล หมายถงึ รากเหง้าของกศุ ล มี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไมอ่ ยากได้ของเขา ๒. อโทสะ ไม่คดิ ประทษุ ร้ายเขา ๓. อโมหะ ไม่หลงงมงาย ๑. ความไม่อยากได้ส่ิงของของผ้อู ื่นมาเป็นของตน ชื่อว่า อโลภะ เม่ือมีอโลภะแล้ว ความดี อยา่ งอื่น คือ ความไม่อยากได้ของคนอื่น ความยนิ ดีด้วยสมบตั ิของตน ความเสียสละ ความซ่อื สตั ย์ และความสจุ ริตเป็นต้น ก็เกิดขนึ ้ ๒. ความไมค่ ิดร้ายเขา ชื่อวา่ อโทสะ เม่ือมีอโทสะแล้ว ความดีอยา่ งอ่ืน คือ ความเมตตา กรุณา ความไม่จองล้างจองผลาญ การพดู อ่อนโยน การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผ้อู ื่นเป็นต้น ท่ี

ยงั ไม่เกิดก็เกิดขนึ ้ ๓. ความไม่หลง คือ ความรู้ตามความเป็นจริงว่า อะไรผดิ อะไรถกู เป็นต้น ช่ือวา่ อโมหะ เมื่อ มีอโมหะแล้วความดีอยา่ งอื่น คือ ความพลอยยินดี ความวา่ ง่ายสอนง่าย และความเห็นชอบตาม คลองธรรม เป็นต้น ก็เกิดขนึ ้ กศุ ลมลู ทงั้ ๓ นี ้อยา่ งใดอย่างหนงึ่ มีอย่แู ล้ว ความดีอย่างอื่น ดงั กล่าวนนั้ ที่ยงั ไมเ่ กิดก็เกิดขนึ ้ ท่ีเกิดขนึ ้ แล้วก็เจริญมากขนึ ้ เหตนุ นั้ ควรให้เกิดมีในสนั ดาน สปั ปรุ ิสบญั ญตั ิ คือ ข้อที่สตั บรุ ุษตงั้ ไว้ มี ๓ อย่าง ๑. ทาน สละสงิ่ ของของตนเพื่อเป็ นประโยชน์แก่ผ้อู ่ืน ๒. ปัพพชั ชา ถือบวช เป็นอบุ ายเว้นจากเบียดเบียน กนั และกนั ๓. มาตาปิตอุ ปุ ัฏฐาน ปฏิบตั ิมารดาบดิ าของตนให้เป็นสขุ ๑. การให้ปันสง่ิ ของท่ีควรให้ ช่ือว่า ทาน ทานของสตั บรุ ุษ ช่ือ สปั ปรุ ิสทาน มี ๕ อย่าง คือ ให้ ด้วยความศรัทธา ๑ ให้ด้วยความเคารพต่อผ้รู ับและสิง่ ของที่ตนให้ ๑ ให้ตามเวลาที่ควรให้ ๑ ให้ด้วย ใจอนเุ คราะห์ ๑ ให้โดยไมก่ ระทบกระเทือนตนและผ้อู ่ืน ๑ ๒. การเว้นจากการเบียดเบียนผ้อู ่ืน ชื่อวา่ ปัพพชั ชา ในบาลีแสดงความหมายแห่งปัพพชั ชาไว้ ๓ ประการ คือ อหงิ สา ความไมเ่ บียดเบียน ๑ สญั ญมะ ความสารวม ๑ ทมะ ความฝึกตน ๑ ๓. การปรนนิบตั มิ ารดาบิดา ด้วยประพฤตอิ ่อนน้อม ด้วยการรับใช้ ด้วยการเชื่อฟังตงั้ อยใู่ น โอวาท และด้วยการบารุงตามหน้าท่ี ของบตุ ร ๕ ประการ คือ เลีย้ งท่านตอบ ๑ ทากิจของท่าน ๑ ดารงวงศ์สกลุ ๑ ประพฤตติ นให้เป็นคนควรรับมรดก ๑ เมื่อท่านลว่ งลบั ไปแล้วทาบญุ อทุ ิศให้ท่าน ๑ อยา่ งนี ้ชื่อว่า มาตาปิตอุ ปุ ัฏ-ฐาน ธรรม ๓ อย่างนี ้เรียกอีกอย่างหนง่ึ วา่ บณั ฑิตบญั ญตั ิ บญุ กิริยาวตั ถุ คือ สิ่งเป็นท่ีตงั้ แห่งการบาเพญ็ บญุ มี ๓ อย่าง ๑. ทานมยั บญุ สาเร็จด้วยการบริจาคทาน ๒. สีลมยั บญุ สาเร็จด้วยการรักษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จด้วยการเจริญภาวนา

บญุ กิริยาวตั ถนุ ี ้โดยย่อมี ๓ อย่าง โดยพสิ ดารมี ๑๐ อย่างซงึ่ จะปรากฏในหมวด ๑๐ ข้างหน้า ๑. การบริจาคส่งิ ของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน มี ๑๐ อย่าง คือ ข้าว นา้ ผ้า พาหนะ มาลยั ของหอม เคร่ืองลบู ไล้ ที่นอน ที่พกั และประทีป การถวายจตปุ ัจจยั แก่พระภิกษุสามเณรเพือ่ บชู าคณุ ก็ ดี ให้แก่ผ้ทู าอปุ การะก่อนมีมารดาบดิ าเป็นต้น ตอบแทนคณุ ก็ดี ให้แก่คนตกทกุ ข์ได้ยาก เพ่ือ อนเุ คราะห์ก็ดี ชื่อ ทานมยั ๒. การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย คือ เว้นข้อที่พระพทุ ธเจ้าทรงห้ามทาตามข้อท่ีพระองค์ อนญุ าต เช่น รักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรืออโุ บสถศีลของคฤหสั ถ์ และรักษาศีล ๑๐ ของสามเณร รักษาศีล ๒๒๗ ของพระภกิ ษุ ชื่อ สีลมยั ๓. การอบรมจติ ยงั กศุ ลให้เกิดขนึ ้ ในสนั ดาน การเจริญสมถะ ทาใจให้สงบจากนิวรณ์ การ เจริญวปิ ัสสนาใช้ปัญญาพจิ ารณา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ช่ือ ภาวนามยั ปัญหาและเฉลยหมวด ๓ ๑. ชาวพทุ ธมีอะไร เป็นสรณะ ? ก. ไตรสิกขา ข. ไตรมาส ค. ไตรลกั ษณ์ ง. ไตรรัตน์ ๒. พระธรรม คืออะไร ? ก. หนงั สือธรรมะ ข. คมั ภีร์เทศน์ ค. คาสภุ าษิต ง. คาสง่ั สอน ๓. องค์ประกอบสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา คืออะไร ? ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระธรรม ค. พระสงฆ์ ง. พระรัตนตรัย ๔. คาว่า “ผ้รู ู้ ผ้ตู ่ืน ผ้เู บกิ บาน” ตรงกบั ข้อใด ? ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระธรรม ค. พระสงฆ์ ง. พระสาวก ๕. พระบริสทุ ธิคณุ เป็นคณุ ของข้อใด ? ก. พระสงฆ์ ข. พระธรรม ค. พระอรหนั ต์ ง. พระพทุ ธเจ้า

๖. การนบั ถือพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็ นที่พงึ่ ท่ีระลกึ เรียกวา่ อะไร ? ก. ไตรรัตน์ ข. ไตรปิฎก ค. ไตรสิกขา ง. ไตรสรณคมน์ ๗. พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ช่ือว่ารัตนะเพราะเหตไุ ร ? ก. มีราคาดี ข. มีคณุ ค่าน่านิยม ค. มีความขลงั ดี ง. มีคนรู้จกั ดี ๘. ข้อใด เป็ นคณุ แหง่ พระธรรม ? ก. ของจริงท่ีมีอยใู่ นโลก ข. รักษาผ้ปู ฏิบตั มิ ิให้ตกไปในที่ชว่ั ค. เป็นธรรมดาของโลก ง. ธรรมชาตทิ ่ีเกิดขนึ ้ ในใจ ๙. สงฆ์ในคาวา่ “สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ” หมายถงึ ใคร ? ก. ภกิ ษุสงฆ์ ข. ภิกษุณีสงฆ์ ค. อริยสงฆ์ ง. สมมตสิ งฆ์ ๑๐. ผ้ปู ฏบิ ตั ิชอบตามพระธรรมวินยั แล้วสอนผ้อู ่ืนตรงกบั ข้อใด ? ก. พทุ ธบริษัท ข. พระอรหนั ต์ ค. ภกิ ษุณี ง. พระสงฆ์ ๑๑. โอวาทของพระพทุ ธเจ้า ๓ อย่าง ตรงกบั ข้อใด ? ก. ทาน ศีล ภาวนา ข. ศีล สมาธิ ปัญญา ค. ละชว่ั ทาดี ทาจิตให้บริสทุ ธ์ิ ง. อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ๑๒. โอวาทของพระพทุ ธเจ้าที่เป็นหลกั การ คืออะไร ? ก. ไมค่ บคนชว่ั คบคนดี มีเมตตา ข. ไม่ทาชว่ั ทาดี กตญั ํู ค. ไมท่ าชวั่ ทาดี ทาใจให้ผอ่ งใส ง. ทาดี ทาใจให้ผ่องใส มีสตั ย์

๑๓. คาสอนท่ีเป็ นโอวาทปาฏโิ มกข์ ตรงกบั ข้อใด ? ก. ทาน ศีล ภาวนา ข. ศีล สมาธิ ปัญญา ค. อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา ง. ไม่ทาชวั่ ทาดี ทาใจให้ผ่องใส ๑๔. การประพฤตชิ วั่ ทางกาย วาจา ใจ เรียกว่าอะไร ? ก. อกศุ ลมลู ข. ทจุ ริต ค. บาป ง. มลทิน ๑๕. คนต้มต๋นุ หลอกลวง ใช้วจีทจุ ริตข้อใด ? ก. พดู เท็จ ข. พดู สอ่ เสียด ค. พดู คาหยาบ ง. พดู เพ้อเจ้อ ๑๖. วจีทจุ ริตข้อใด เป็นเหตใุ ห้หมคู่ ณะเกิดความแตกร้าว ? ก. พดู เท็จ ข. พดู ส่อเสียด ค. พดู คาหยาบ ง. พดู เพ้อเจ้อ ๑๗. การเว้นจากกายทจุ ริตและวจีทจุ ริต จดั เข้าในข้อใด ? ก. ทาน ข. ศีล ค. สมาธิ ง. ปัญญา ๑๘. ทจุ ริต หมายถงึ การประพฤตเิ ช่นไร ? ก. กาย วาจา ชอบ ข. กาย วาจา มิชอบ ค. กาย วาจา ใจ ชอบ ง. กาย วาจา ใจ มชิ อบ ๑๙. นกั เรียนสง่ั ซอื ้ ยาบ้าเพื่อจะเสพ จดั เป็นทจุ ริตข้อใด ? ก. กายทจุ ริต ข. วจีทจุ ริต ค. มโนทจุ ริต ง. ถกู ทกุ ข้อ ๒๐. “ยใุ ห้รา ตาให้รั่ว” เป็นลกั ษณะของคาพดู ในข้อใด ? ก. พดู เท็จ ข. พดู คาหยาบ ค. พดู สอ่ เสียด ง. พดู เพ้อเจ้อ ๒๑. ทจุ ริต ๓ อย่าง เป็ นธรรมประเภทใด ?

ก. ธรรมท่ีควรศกึ ษา ข. ธรรมท่ีควรละ ค. ธรรมที่ควรรู้ ง. ธรรมท่ีควรเห็น ๒๒. “ถงึ บางพดู พดู ดีเป็นศรีศกั ด์ิ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต” ตรงกบั วจีสจุ ริตข้อใด ? ก. ไม่พดู เท็จ ข. ไม่พดู สอ่ เสียด ค. ไม่พดู คาหยาบ ง. ไมพ่ ดู เพ้อเจ้อ ๒๓. การกระทาข้อใด จดั เป็นมโนสจุ ริต ? ก. คิดดี ข. ทาดี ค. พดู ดี ง. อวดดี ๒๔. อกศุ ลมลู ข้อใด เป็นเหตใุ ห้คนขายยาบ้า ? ก. โลภะ ข. โทสะ ค. โมหะ ง. ราคะ ๒๕. วยั รุ่นไม่เข้าแหลง่ อบายมขุ เพราะมีกศุ ลมลู ข้อใด ? ก. อโลภะ ข. อโทสะ ค. อโมหะ ง. ข้อ ก. ข้อ ข. ถกู ๒๖. คนมีโทสะเป็นเจ้าเรือน มีลกั ษณะเชน่ ไร ? ก. เป็นคนเหน็ แก่ได้ ข. เป็ นคนเจ้าอารมณ์ ค. เป็นคนเชื่องมงาย ง. เป็นคนเจ้าระเบียบ ๒๗. “ประมาทจติ จะตดิ ยาบ้า” เพราะไม่ละอกศุ ลธรรมข้อใด ? ก. กายทจุ ริต ข. วจีทจุ ริต ค. มโนทจุ ริต ง. ความเห็นผดิ ๒๘. วยั รุ่นควรระวงั ใจอย่างไร จงึ จะไม่มวั เมา ไม่มว่ั อบายมขุ ? ก. มิให้กาหนดั ข. มใิ ห้ขดั เคือง ค. มใิ ห้หลง ง. มใิ ห้มวั เมา ๒๙. มลู เหตแุ ห่งความผดิ ของคน คืออะไร ? ก. โลภะ โทสะ โมหะ ข. มานะ โทสะ โมหะ ค. ราคะ โทสะ โมหะ ง. ตณั หา ราคะ ทฏิ ฐิ ๓๐. ฉ้อราษฎร์บงั หลวง มีอะไรเป็นมลู เหตุ ?

ก. โลภะ โทสะ ข. โลภะ ตณั หา ค. โลภะ ทฏิ ฐิ ง. โลภะ โมหะ ๓๑. คาวา่ “อารมณ์เสีย อารมณ์เนา่ ” เทียบได้กบั ข้อใด ? ก. มานะ ข. โกธะ ค. โลภะ ง. พยาบาท ๓๒. กศุ ลมลู ข้อใด เป็นเหตใุ ห้คนบาเพญ็ ทานเพื่อกาจดั ความโลภ ? ก. อโลภะ ข. อโทสะ ค. อโมหะ ง. ถกู ทกุ ข้อ ๓๓. คนไมร่ ู้จกั อิม่ ไมร่ ู้จกั พอ ไม่รู้จกั เตม็ ด้วยปัจจยั ๔ จดั เป็นคนเช่นไร ? ก. คนมีมานะ ข. คนมีโลภะ ค. คนมีโทสะ ง. คนมีโมหะ ๓๔. คนไมร่ ู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ดี ไมร่ ู้ชว่ั จดั เป็ นคนเช่นไร ? ก. คนมีโมหะ ข. คนมีโทสะ ค. คนไม่มีฉนั ทะ ง. คนมีโลภะ ๓๕. การไม่ถือสาหาโทษ อโหสิตอ่ กนั จดั เป็นทานประเภทใด ? ก. อภยั ทาน ข. ธรรมทาน ค. สงั ฆทาน ง. วตั ถทุ าน ๓๖. การไม่เบียดเบียนซง่ึ กนั และกนั จดั เป็นสปั ปรุ ิสบญั ญตั ขิ ้อใด ? ก. ทาน ข. ปัพพชั ชา ค. มาตาปิตอุ ปุ ัฏฐาน ง. ไม่มีข้อถกู ๓๗. ข้อใด ไม่จดั เข้าในสปั ปรุ ิสบญั ญตั ิ ? ก. ทาน ข. ศีล ค. ปัพพชั ชา ง. มาตาปิตอุ ปุ ัฏฐาน ๓๘. ทา่ นสอนให้คบสตั บรุ ุษ คือคบคนเชน่ ไร ? ก. คนรู้จกั ทามาหากิน ข. คนขยนั ไม่เกียจคร้าน ค. คนมีนา้ ใจแบง่ ปัน ง. คนทาดี พดู ดี คิดดี ๓๙. ศีล ย่อมควบคมุ อะไรไว้ได้ ?

ก. กาย ใจ ข. วาจา ใจ ค. กาย วาจา ใจ ง. กาย วาจา ๔๐. การฟังเทศน์ จดั เข้าในการทาบญุ ประเภทใด ? ก. ทานมยั ข. สีลมยั ค. ภาวนามยั ง. อนโุ มทนามยั ๔๑. สิ่งเป็นท่ีตงั้ แห่งการบาเพญ็ บญุ เรียกว่าอะไร ? ก. บญุ กิริยา ข. บญุ วตั ถุ ค. สงั คหวตั ถุ ง. บญุ กิริยาวตั ถุ ๔๒. การสวดมนต์ จดั เข้าในการทาบญุ ประเภทใด ? ก. ทานมยั ข. สีลมยั ค. ภาวนามยั ง. ธมั มเทสนามยั ๔๓. คนมีบญุ คือคนเชน่ ไร ? ก. มีลาภ มียศ ข. มีคนสรรเสริญ ค. ไมม่ ีคนนินทา ง. สขุ กาย สขุ ใจ ๔๔. ข้อใด กลา่ วไมถ่ กู ต้อง ? ก. ภาวนากาจดั โมหะ ข. ศีลกาจดั ความหลง ค. ศีลกาจดั ความโกรธ ง. ทานกาจดั ความโลภ ๔๕. ผ้มู ีเมตตาดี ไม่มีเวรภยั แก่ใคร ไมม่ กั โกรธ เพราะทาบุญอะไร ? ก. ให้ทาน ข. รักษาศีล ค. เจริญภาวนา ง. วางอเุ บกขา เฉลย ๑. ง ๒. ง ๓. ง ๔. ก ๕. ง ๖. ง ๗. ข ๘. ข ๙. ค ๑๐. ง ๑๑. ค ๑๒. ค ๑๓. ง ๑๔. ข ๑๕. ก ๑๖. ข ๑๗. ข ๑๘. ง ๑๙. ข ๒๐. ค ๒๑. ข ๒๒. ค ๒๓. ก ๒๔. ก ๒๕. ค ๒๖. ข ๒๗. ง ๒๘. ง ๒๙. ก ๓๐. ง ๓๑. ข ๓๒. ก ๓๓. ข ๓๔. ก ๓๕. ก ๓๖. ข ๓๗. ข ๓๘. ง ๓๙. ง ๔๐. ค ๔๑. ง ๔๒. ค ๔๓. ง ๔๔. ข ๔๕. ข

จตุกกะ คือ หมวด ๔ วุฑฒิ คือ เหตแุ หง่ ความเจริญ ๔ อย่าง ๑. สปั ปรุ ิสสงั เสวะ คบสตั บรุ ุษ ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟังคาสง่ั สอนของทา่ น ๓. โยนิโสมนสิการ ไตร่ตรองโดยอบุ ายท่ีชอบ ๔. ธมั มานธุ มั มปฏปิ ัตติ ประพฤตธิ รรมสมควรแก่ธรรม ๑. สปั ปรุ ิสสงั เสวะ หมายถึง การคบหากบั สตั บรุ ุษ (คนดีมีคณุ ธรรม) คือ การแสวงหาครูดีเมื่อ พบแล้วก็เข้าไปฝากตวั เป็ นศิษย์ หมน่ั ไปมาหาสสู่ นทนาไตถ่ ามด้วยความมีใจใฝ่ รู้จริงๆ (หาครูดี) ๒. สทั ธมั มสั สวนะ หมายถึง การตงั้ ใจฟังคาแนะนาสง่ั สอนของสตั บรุ ุษด้วยความเคารพนอบ น้อม (ฟังคาครู) ๓. โยนิโสมนสิการ หมายถึง การไตร่ตรองพจิ ารณาหมวด ธรรมของสตั บรุ ุษด้วยปัญญาว่า อะไรดี อะไรไมด่ ี อย่างไหนถกู อย่างไหนผดิ และพิจารณาเหตผุ ลวา่ การทาเหตเุ ชน่ นีจ้ ะได้รับผลเชน่ ไร เป็นต้น (ตรองคาครู) ๔. ธมั มานธุ มั มปฏิปัตติ หมายถงึ การปฏบิ ตั ิตามธรรมท่ีสมควรแก่ธรรมท่ีเราสามารถนามา ปฏิบตั ไิ ด้ เพราะเมื่อเราได้พบครูดี ได้ฟังคาสอน นามาไตร่ตรองจนสดุ ท้ายสามารถนามาปฏบิ ตั ไิ ด้จริง และเห็นผลได้จริง (ทาตามครู) สรุป วฑุ ฒิธรรม ๔ ข้อนีเ้ป็นหลกั การส่งเสริมให้ถงึ ความเจริญก้าวหน้า เร่ิมต้นด้วยการ แสวงหาครูดี ได้ฟังคาครู ไตร่ตรองคาท่ีครูสอน จนนามาปฏิบตั ิได้จริง จกั ร คือ ธรรมเป็ นดจุ ล้อรถนาไปส่คู วามเจริญ ๔ อย่าง ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อย่ใู นประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ ิสปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไว้ชอบ ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็นผ้ไู ด้ทาความดีไว้ในปางก่อน ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ หมายถึง การอยใู่ นประเทศท่ีสมควร อดุ มสมบรู ณ์ไปด้วยพืชพนั ธ์ุ

ธญั ญาหาร เหมาะกบั การประกอบอาชีพ มีสถานศกึ ษา โรงพยาบาล วดั วาอารามท่ีดี มีเพ่ือนบ้านที่ ดี มีคณุ ธรรม ปลอดภยั จากอนั ตรายทงั้ ปวง ๒. สปั ปรุ ิสปู ัสสยะ หมายถึง การเข้าไปคบค้าสมาคมกบั สตั บรุ ุษ (คนดี) เมื่อเข้าไปหาแล้วก็ฟัง คาแนะนาสง่ั สอนของ ทา่ นโดย เคารพ และนามาปฏบิ ตั ใิ ห้เกิดผลจริง ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ หมายถงึ การตงั้ ตนไว้ในความดี เริ่มตนที่ใจ คือ ต้องมีศรัทธา มีศีล มีสตุ ะ มีจาคะ และมีปัญญา มีเป้ าหมายชีวิต ส่วนร่างกาย คือ ต้องวางตวั ให้เหมาะสมกบั ฐานะของตนเอง ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา หมายถึง ความเป็นผ้มู ีบญุ ความดีที่ได้ทาไว้แล้วในชาตกิ ่อนๆ ทาให้ ชาตปิ ัจจบุ นั ได้รับความสขุ ความเจริญไมม่ ีอปุ สคั อะไรมากีดขวาง สรุป จกั ร ๔ นี ้เป็ นธรรมที่นาผ้ปู ฏบิ ตั ิไปสคู่ วามเจริญ สขุ สมหวงั และถงึ จดุ หมายปลายทางได้ อยา่ งมีความสขุ และปลอดภยั อคติ คือ ความไม่เที่ยงธรรม มี ๔ อยา่ ง ๑. ฉนั ทาคติ ลาเอียงเพราะรักใคร่กนั ๒. โทสาคติ ลาเอียงเพราะไม่ชอบกนั ๓. โมหาคติ ลาเอียงเพราะโง่เขลา ๔. ภยาคติ ลาเอียงเพราะกลวั ๑. ฉนั ทาคติ หมายถึง ความลาเอียงโดยถือเอาความรักใคร่พอใจของตนเป็นท่ีตงั้ จนทาให้ เสียความยตุ ธิ รรม เชน่ การตดั สนิ คดีความทาให้คนผดิ เป็นถกู คนถกู เป็นผิด เป็นต้น ๒. โทสาคติ หมายถึง ความลาเอียงโดยถือเอาความเกลียดชงั ไมช่ อบกนั เป็นท่ีตงั้ จนทาให้ เสียความยตุ ธิ รรม เพราะลอุ านาจความเกลียดชงั เชน่ คอยขดั ขวางความเจริญของผ้อู ่ืน เป็ นต้น ๓. โมหาคติ หมายถงึ ความลาเอียงด้วยความโง่เขลาเบาปัญญารู้เทา่ ไมถ่ ึงการณ์ เป็นคน เช่ือคนงา่ ย จนทาให้คดิ ไมร่ อบคอบจนทาเสียความยตุ ิธรรม เชน่ ด่วนตดั สนิ ใจลงโทษผ้ไู มไ่ ด้ทา ความผิดเพราะได้ฟังขา่ วมา เป็นต้น ๔. ภยาคติ หมายถงึ ความลาเอียงด้วยความกลวั หรือเกรงใจ จงึ ทาให้เกิดความลงั เล โลเล สงสยั ไม่มีความมนั่ คงในตวั เอง ไม่กล้าตดั สินใจ เพราะตกอยใู่ นอานาจของผ้อู ่ืน จนทาให้เสียความ ยตุ ิธรรม เช่น ไมก่ ล้าลงโทษผ้ทู าความผิดเพราะเป็ นลกู หลานของผ้มู ีอิทธิพล เป็นต้น

สรุป จะเป็นคนที่เท่ียงธรรมได้พงึ เว้นเสียให้ไกลจากอคติ ๔ ข้อนีเ้สีย เพราะเมื่อทาข้อใดข้อ หนง่ึ แล้วก็เป็นเหตใุ ห้เสียความ ยตุ ิธรรม ปธาน คือ ความเพยี รพยายามในทางท่ีชอบ ๔ อย่าง ๑. สงั วรปธาน เพยี รระวงั บาปไมใ่ ห้เกิดขนึ ้ ในสนั ดาน ๒. ปหานปธาน เพียรระวงั บาปที่เกิดขนึ ้ แล้ว ๓. ภาวนาปธาน เพียรให้กศุ ลเกิดขนึ ้ ในสนั ดาน ๔. อนรุ ักขนาปธาน เพียรรักษากศุ ลที่เกิดขนึ ้ แล้วไมใ่ ห้เสื่อม ๑. สงั วรปธาน หมายถึง ความสารวมระวงั ไม่ให้ความชวั่ เกิดขนึ ้ นนั้ คือ การสารวมระวงั ให้ อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ ไม่ให้ยนิ ดี ยินร้าย หลงมวั เมา จนไม่กล้าทาความชว่ั ได้ ๒. ปหานปธาน หมายถงึ ความตงั้ ใจละบาปท่ีเกิดขนึ ้ แล้วให้หมดสิน้ ไป สิ่งที่ไมด่ ีตา่ งๆที่ตดิ อยู่ ในใจ พยายาม ลด ละ เลิก ให้หมดไปจากสนั ดาน ๓. ภาวนาปธาน หมายถึง ความตงั้ ใจทาสิง่ ท่ีเป็นความดี ท่ียงั ไมเ่ กิดขนึ ้ ก็ทาให้เกิดขนึ ้ ที่ เกิดขนึ ้ แล้ว ก็ทาให้เจริญย่ิงๆขนึ ้ ไป อนั ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ๔. อนรุ ักขนาปธาน หมายถึง ความเพยี รตงั้ ใจรักษาบญุ กศุ ลความดีงามที่มอี ย่แู ล้วในตน ไมใ่ ห้เส่ือมไป หมน่ั รักษาความดีงามนนั้ ให้ตงั้ มน่ั อยใู่ นจติ ใจตลอดไป สรุป ปธาน ๔ ข้อนี ้เป็ นความเพยี รชอบเพอื่ ประคบั ประครองตนไม่ให้ตงั้ อย่ใู นความประมาท ให้ดารงตนอยใู่ นเส้นทางแห่ง ความดี อธิษฐานธรรม คือ ธรรมที่ควรตงั้ ไว้ในใจ ๔ อย่าง ๑. ปัญญา รอบรู้สงิ่ ท่ีควรรู้ ๒. สจั จะ ความจริงใจ คือ ประพฤตสิ ่ิงใดก็ให้ได้จริง ๓. จาคะ ความสละสงิ่ ท่ีเป็นข้าศกึ แก่ความจริงใจ ๔. อปุ สมะ ความสงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศกึ แก่ความสงบ ๑. ปัญญา หมายถงึ รอบรู้ส่ิงที่ควรรู้ รู้ถึงเหตแุ ละผล วา่ เมื่อทาเหตอุ ย่างนีย้ ่อมได้ผลเชน่ นี ้ส่ิง นีค้ วรทา สิง่ นีไ้ ม่ควรทา สิ่งนีเ้ป็นบญุ ส่งิ นีเ้ป็นบาป ปัญญาจะเกิดขนึ ้ ได้ ก็ต้องอาศยั การศกึ ษา

ค้นคว้าหาความรู้ทงั้ ภายในตวั ภายนอกตวั ปัญญาเกิดขนึ ้ ได้ ๓ ทางคือ สตุ มยปัญญา ปัญญาเกิด จากการฟัง ๑ จนิ ตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด ๑ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการ เจริญภาวนา ๑ ๒. สจั จะ หมายถงึ ความจริงใจ หรือ ความสตั ย์จริง ไม่ว่าจะคดิ พดู ทาอะไรก็คิด พดู ทาสง่ิ นนั้ จริงๆและยอ่ มได้รับผลจริงๆ ๓. จาคะ หมายถงึ การสละสงิ่ ของ สละอารมณ์ ที่เป็นข้าศกึ แก่ความจริงใจนนั้ คือ สละอคติ ๔ อย่างท่ีจะทาให้ตวั เรานนั้ เสียสจั จะไป ฉะนนั้ จงึ ต้องสละเสีย ๔. อปุ สมะ หมายถงึ ความสงบใจจากสง่ิ ท่ีเป็นข้าศึก อนั ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความ หลง เป็นต้น มกั จะมาขดั ขวางต่อการทาจิตให้สงบ สรุป ธรรมะ ๔ ข้อนนั้ เป็ นธรรมะที่ทาให้เราไมป่ ระมาท ในการศกึ ษา ในการรักษาสจั จะ ใน การสละ และในการทาจิตใจให้สงบ อทิ ธิบาท คือ คณุ เครื่องที่ทาให้สาเร็จความประสงค์ ๔ อยา่ ง ๑. ฉนั ทะ พอใจรักใคร่ในส่งิ นนั้ ๒. วริ ิยะ เพยี รประกอบสิง่ นนั้ ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ ในส่งิ นนั้ ไมว่ างธรุ ะ ๔. วิมงั สา หมนั่ ตรึกตรองพจิ ารณาเหตผุ ลในสง่ิ นนั้ ๑. ฉนั ทะ หมายถึง ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนนั้ ๆหรือปลกู ความรักให้เกิดขนึ ้ ในด้านการศกึ ษา ก็ดี ในการทาหน้าที่การงานก็ดี ท่ีเม่ือทาแล้วยอ่ มอานวยประโยชน์สขุ ให้แก่ตนเองและผ้อู ่ืน เป็นไป เพ่ือคณุ งามความดี ๒. วิริยะ หมายถึง ความเพยี รพยายามที่จะทาสิ่งนนั้ ให้เสร็จด้วยความกล้าหาญ แม้จะ ยากลาบากก็ตามต้องมงุ่ มานะบากบน่ั ไม่ย่อท้อต่ออปุ สรรคที่มาขดั ขวาง ตงั้ หน้าตงั้ ตาทาไปจนกว่า จะประสบความสาเร็จ ๓. จติ ตะ หมายถงึ การเอาใจฝักใฝ่ จดจ่อ มีสมาธิในสง่ิ นนั้ ไม่วางธรุ ะหากมีอปุ สรรคเข้ามา ก็ มีสติ สมั ปชญั ญะคอยกากบั อย่เู สมอไม่ปลอ่ ยวาง ๔. วิมงั สา หมายถงึ การหมน่ั ตรึกตรองพจิ ารณาหาเหตผุ ลในสง่ิ ท่ีทาด้วยปัญญา ใช้ปัญญา

พจิ ารณาถงึ สงิ่ ท่ีทาว่าถกู ต้องหรือไม่ มีผลดีอย่างไรจากการทาส่ิงนนั้ ปรับปรุงการทางานให้ดีขนึ ้ สรุป ธรรม ๔ ข้อนี ้เป็นธรรมที่เกือ้ หนนุ กนั ต้องทาให้ครบทกุ ข้อจงึ จะสมความประสงค์อยา่ ง แนน่ อน ควรทาความไมป่ ระมาทในที่ ๔ สถาน ๑. ในการละกายทจุ ริต ประพฤติกายสจุ ริต ๒. ในการละวจีทจุ ริต ประพฤติวจีสจุ ริต ๓. ในการละมโนทจุ ริต ประพฤตมิ โนสจุ ริต ๔. ในการละความเห็นผดิ ทาความเห็นให้ถกู ข้อ ๑-๓ มีอธิบายว่า การงดทาความชว่ั ทางกาย วาจา ใจ ให้ทาความดีทาง กาย วาจา ใจ ด้วยความไมป่ ระมาท มีสตทิ กุ เม่ือในขณะท่ีเรากาลงั ทา กาลงั พดู กาลงั คดิ อยู่ หากสิ่งนนั้ เป็ นสิง่ ที่ไม่ ดี พงึ งดเว้นเสีย พงึ ทาแต่ความดียงิ่ ๆขนึ ้ ไป ข้อ ๔ การละความเห็นผิดคือ ทาความเห็นให้ถกู หมายถึง การละความเห็นผดิ ที่ยดึ มนั่ ถือมน่ั ในเบญจขนั ธ์ เป็นต้น ท่ีคิดว่าเท่ียงแท้แนน่ อนความจริงหาเป็นเช่นนนั้ ไม่ ดงั นนั้ จงึ มีความเห็นให้ถกู วา่ ทกุ ชีวิตที่อย่บู นโลกนีล้ ้วนเป็นของไมเ่ ที่ยง เป็ นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา เป็นต้น อีกอย่างหนงึ่ ๑. ระวงั ใจไม่ให้กาหนดั ในอารมณ์เป็ นที่ตงั้ แหง่ ความกาหนดั ๒. ระวงั ใจไมใ่ ห้ขดั เคืองในอารมณ์เป็ นที่ตงั้ แหง่ ความขดั เคือง ๓. ระวงั ใจไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นท่ีตงั้ แหง่ ความหลง ๔. ระวงั ใจไมใ่ ห้มวั เมาในอารมณ์เป็นท่ีตงั้ แหง่ ความมวั เมา การระวงั ใจ หมายถงึ มีสตริ ู้เท่าทนั ต่อความเป็นไปของใจ เช่น เกิดความกาหนดั ขดั เคือง หลง มวั เมา ก็รู้เท่าทนั ควบคมุ ใจให้ได้ อย่าปลอ่ ยไปตามอารมณ์ตา่ ง ๆ ๑. คาว่า กาหนดั หมายถึง ความรักใคร่ ยินดีชอบใจอนั มีราคะเป็นเหตุ ๒. คาว่า ขดั เคือง หมายถงึ ความเกลียดชงั ไม่ยินดี ไม่ชอบใจ อนั มีโทสะเป็นเหตุ

๓. คาวา่ หลง หมายถึง ความโง่เขลา ขาดสติไมม่ ีความรอบคอบอนั มีโมหะเป็นเหตุ ๔. คาว่า มวั เมา หมายถงึ ความมกม่นุ เพลดิ เพลินตดิ อยใู่ นอารมณ์นนั้ อย่างไม่สร่างซา อนั มีมทะเป็นเหตุ พรหมวหิ าร คือ ธรรมเป็ นเคร่ืองอย่ขู องพรหม ๔ อยา่ ง ๑. เมตตา ความรักใคร่ ๒. กรุณา ความสงสาร ๓. มทุ ิตา ความพลอยยนิ ดี ๔. อเุ บกขา ความวางเฉย ๑. เมตตา หมายถงึ ความรักท่ีไม่เจือปนด้วยกาม เป็นความ รู้สกึ ที่ปรารถนาดีต่อผ้อู ่ืน ซงึ่ มี ลกั ษณะนาความสขุ ไปให้เขาโดยส่วนเดียวเป็นการไมเ่ จาะจง มีคณุ สมบตั ิกาจดั ความปองร้ายผ้อู ่ืน ๒. กรุณา หมายถึง ความรู้สกึ สงสาร จนทนไมไ่ ด้เม่ือเหน็ ผ้อู ่ืนได้รับความลาบาก มีลกั ษณะ คิดขจดั ทกุ ข์บารุงสขุ ให้เขาส่วนเดียว เป็นการไมเ่ จาะจง มีคณุ สมบตั ิกาจดั ความเบียดเบียนผ้อู ่ืน ๓. มทุ ติ า หมายถงึ ความรู้สกึ ช่ืนชมยินดี เมื่อผ้อู ื่นได้ดีสขุ สมหวงั ไม่อจิ ฉา มีลักษณะคอย อนโุ มทนาเขาส่วนเดียว เป็นการไม่เจาะจง มีคณุ สมบตั ิกาจดั ความอจิ ฉาริษยา ๔. อเุ บกขา หมายถงึ ความรู้สกึ วางเฉย เป็นกลางไม่เอนเอียง แตก่ ็ไมไ่ ด้หมายความว่าเฉย เมย มีลกั ษณะทาใจให้เป็ นกลางตอ่ ทกุ สง่ิ เป็นการไม่เจาะจง มีคณุ สมบตั ิกาจดั ความกระทบกระทงั่ ผ้อู ื่น สรุป พรหมวิหารธรรมนี ้ผ้ใู หญ่พงึ เจริญอย่เู ป็นนติ ย์ อริยสจั คือ ความจริงอนั ประเสริฐ มี ๔ อย่าง ๑. ทกุ ข์ ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ ๒. สมทุ ยั เหตใุ ห้ทกุ ข์เกิด ๓. นิโรธ ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค ข้อปฏบิ ตั ใิ ห้ถึงความดบั ทกุ ข์

๑. ทกุ ข์ หมายถงึ สภาวะที่ทนได้ยาก ความทกุ ข์มีหลายประการ มีทงั้ ทกุ ข์จรและทกุ ข์ประจา นามาซงึ่ ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ ถงึ ความพลดั พลาดไมร่ ู้จกั จบสนิ ้ ๒. สมทุ ยั หมายถึง ตณั หา คือ ความทะยานยาก ซงึ่ เป็นเหตใุ ห้ทกุ ข์ทงั้ ปวงเกิด ทงั้ ท่ีเป็น กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา ๓. นโิ รธ หมายถงึ ความดบั ตณั หาได้โดยสิน้ เชงิ เพราะเป็นเหตดุ บั ทกุ ข์ทงั้ ปวง เมื่อทกุ ข์ดบั เพราะนิโรธ ความสขุ คือนิพพานก็ปรากฏ แต่นโิ รธเป็นผลของการดบั ตณั หา ไมใ่ ช่ข้อปฏบิ ตั ิที่ใช้ใน การดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค หมายถึง ข้อปฏิบตั ใิ ห้ถึงความดบั ทกุ ข์ โดยปฏบิ ตั ติ ามมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ เห็นชอบ (สมั มาทฏิ ฐิ) ดาริชอบ (สมั มาสงั กปั ปะ) เจรจาชอบ(สมั มาวาจา) การงานชอบ(สมั มากมั -มนั ตะ) เลีย้ งชีพชอบ(สมั มาอาชีวะ) เพียรชอบ(สมั มาวายามะ) ตงั้ สตชิ อบ(สมั มาสต)ิ ตงั้ ใจชอบ (สมั มาสมาธิ) สรุป อริยสจั ๔ สมทุ ยั กบั มรรคเป็นเหตุ ทกุ ข์กบั นโิ รธเป็นผล ปัญหาและเฉลยหมวด ๔ ๑. “คบคนดี ฟังวจีโดยเคารพ นอบนบด้วยพนิ ิจ ทากิจด้วยปฏบิ ตั ิ” ตรงกบั ข้อใด ? ก. วฑุ ฒิธรรม ข. จกั รธรรม ค. อิทธิบาทธรรม ง. พรหมวหิ ารธรรม ๒. “คบคนดี ฟังวจีทา่ น คิดอ่านปัญหา ค้นคว้าปฏบิ ตั ิ” คือข้อใด ? ก. วฑุ ฒิ ๔ ข. จกั ร ๔ ค. อิทธิบาท ๔ ง. ปธาน ๔ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ในจกั ร ๔ ตรงกบั ข้อใด ? ก. อย่ใู นประเทศสมควร ข. คบหาสตั บรุ ุษ ค. ตงั้ ตนไว้ชอบ ง. ได้ทาบญุ ไว้มาก ๔. คาว่า “บญุ ใหม”่ ตรงกบั ข้อใด ? ก. อย่ใู นประเทศสมควร ข. คบสตั บรุ ุษ ค. ตงั้ ตนไว้ชอบ ง. ได้ทาความดีไว้ในปางก่อน ๕. จะเป็นคนเที่ยงธรรมได้ ต้องเป็นคนเชน่ ไร ? ก. มีเมตตา กรุณา ข. กล้าได้ กล้าเสีย

ค. มีอิทธิบาท ๔ ง. ไมม่ ีอคติ ๔ ๖. ผ้ตู ดั สนิ คดีด้วยความเกลียดชงั ถือว่าตงั้ อยใู่ นอคตขิ ้อใด ? ก. ฉนั ทาคติ ข. โทสาคติ ค. โมหาคติ ง. ภยาคติ ๗. หากนกั เรียนได้รับคดั เลือกให้เป็นบคุ คลดีเด่น ควรประพฤตติ นอยา่ งไร ? ก. ระวงั ไม่ทาความชว่ั ข. ละเลกิ ทาความชว่ั ค. พยายามทาดีเข้าไว้ ง. รักษาความดีมใิ ห้เส่ือม ๘. ค่าของคนอยทู่ ่ีคนของใคร เป็นลกั ษณะของอคติข้อใด ? ก. ฉนั ทาคติ ข. โทสาคติ ค. โมหาคติ ง. ภยาคติ ๙. “ผมเป็นลกู นายตารวจครับ” การโอ้อวดเช่นนี ้เป็นเหตใุ ห้เกิดอคติข้อใด ? ก. ฉนั ทาคติ ข. โทสาคติ ค. ภยาคติ ง. โมหาคติ ๑๐. อกศุ ลธรรมข้อใด เม่ือเกิดขนึ ้ แล้วทาให้เสียความยตุ ธิ รรม ? ก. พยาบาท ข. กามฉนั ทะ ค. วิจกิ ิจฉา ง. ฉนั ทาคติ ๑๑. ข้อใด ตรงกบั สงั วรปธาน ? ก. เพยี รละบาปที่เกิดขนึ ้ แล้ว ข. เพียรระวงั มใิ ห้บาปเกิดขนึ ้ ค. เพยี รให้กศุ ลเกิดขนึ ้ ง. เพียงรักษากศุ ลที่เกิดขนึ ้ ไมใ่ ห้เส่ือม ๑๒. คนที่รักษาความดีของตนไว้ ดจุ เกลือรักษาความเค็ม ได้ชื่อวา่ ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ของปธานธรรมข้อ ใด ? ก. เพยี รระวงั บาปไมใ่ ห้เกิด ข. เพียรละบาปท่ีเกิดขนึ ้ แล้ว ค. เพียรให้กศุ ลเกิดขนึ ้ ง. เพยี รรักษากศุ ลไม่ให้เสื่อม ๑๓. คนต้องการเลิกเสพยาบ้า ควรเจริญอธิษฐานธรรมข้อใด ? ก. รักษาสจั จะ ข. รู้จกั โทษของยาบ้า

ค. สงบสติอารมณ์ ง. ข้อ ก. ข้อ ข. ถกู ๑๔. “สงบใจ เจริญสขุ ” หมายถงึ อธิษฐานธรรมข้อใด ? ก. ปัญญา ข. สจั จะ ค. จาคะ ง. อปุ สมะ ๑๕. “จะทางานให้สาเร็จต้องมีเคลด็ ปลกุ ใจ” ข้อใดคือเคล็ดปลกุ ใจ ? ก. ฉนั ทะ ข. วริ ิยะ ค. จติ ตะ ง. วิมงั สา ๑๖. อทิ ธิบาทข้อใด เป็นพนื ้ ฐานนาไปส่คู วามสาเร็จของงาน ? ก. ฉนั ทะ ข. วิริยะ ค. จติ ตะ ง. วิมงั สา ๑๗. การเอาใจฝักใฝ่ ในการศกึ ษาไมว่ างธุระ คือข้อใด ? ก. ฉนั ทะ ข. วิริยะ ค. จติ ตะ ง. วมิ งั สา ๑๘. คนที่ได้รับความสาเร็จในชีวิต เน่ืองมาจากธรรมข้อใด ? ก. ปธาน ๔ ข. จกั ร ๔ ค. วฑุ ฒิ ๔ ง. อิทธิบาท ๔ ๑๙. “เมตตาพารัก โลกประจกั ษ์ยงั่ ยืน” หมายถึงความรักในข้อใด ? ก. รักคนและสตั ว์ ข. รักธรรมชาติ ค. รักการเรียน ง. รักประชาธิปไตย ๒๐. เม่ือเห็นตารวจจบั กมุ ผ้ทู าความผิดได้ ควรเจริญพรหมวิหารข้อใด ? ก. เมตตา ข. กรุณา ค. มทุ ติ า ง. อเุ บกขา ๒๑. อวิหงิ สา ความไมเ่ บียดเบียนกนั ตรงกบั พรหมวิหารข้อใด ? ก. เมตตา ข. กรุณา ค. มทุ ติ า ง. อเุ บกขา ๒๒. การช่วยคนประสบทกุ ข์ จดั เป็นพรหมวหิ ารข้อใด ? ก. เมตตา ข. กรุณา

ค. มทุ ติ า ง. อเุ บกขา ๒๓. การให้รางวลั แก่นกั กีฬาท่ีได้เหรียญทองเป็นพรหมวิหารข้อใด ? ก. เมตตา ข. กรุณา ค. มทุ ติ า ง. อเุ บกขา ๒๔. ความดบั ตณั หาได้สนิ ้ เชงิ ทกุ ข์ดบั ไปหมดชื่อวา่ อะไร ? ก. ทกุ ข์ ข. สมทุ ยั ค. นโิ รธ ง. มรรค ๒๕. สมั มาทฏิ ฐิ ปัญญาอนั เห็นชอบ คืออะไร ? ก. เห็นอริยสจั ข. เหน็ อริยทรัพย์ ค. เห็นอริยสงฆ์ ง. เห็นอริยสาวก ๒๖. ความไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ เรียกว่าอะไรในอริยสจั ๔ ? ก. ทกุ ข์ ข. สมทุ ยั ค. นิโรธ ง. มรรค เฉลย ๑. ก ๒. ก ๓. ค ๔. ค ๕. ง ๖. ข ๗. ง ๘. ก ๙. ค ๑๐. ง ๑๑. ข ๑๒. ง ๑๓. ก ๑๔. ง ๑๕. ก ๑๖. ก ๑๗. ค ๑๘. ง ๑๙. ก ๒๐. ง ๒๑. ข ๒๒. ข ๒๓. ค ๒๔. ค ๒๕. ก ๒๖. ก ปัญจกะ คือ หมวด ๕ อนนั ตริยกรรม คือ กรรมหนกั ฝ่ ายบาป ห้ามสวรรค์ ห้ามนพิ พาน มี ๕ อย่าง ๑. มาตฆุ าต ฆา่ มารดา ๒. ปิตฆุ าต ฆา่ บิดา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๔. โลหิตปุ บาท ทาร้ายพระพทุ ธเจ้าจนถงึ ยงั พระโลหิตให้ห้อขนึ ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆ์ให้แตกแยกจากกนั

๑-๒. มาตฆุ าต ปิตฆุ าต หมายถึง การฆา่ มารดาและบิดาของตนซงึ่ เป็นผ้มู ีพระคณุ ตอ่ บตุ ร ธิดาสดุ จะคณานบั ให้ตายด้วยอาวธุ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ผ้ใู ดฆา่ มารดาบดิ าของตนได้ นบั ว่าเป็ นผู้ อกตญั ํยู ง่ิ นกั ๓. อรหนั ตฆาต หมายถงึ การฆา่ พระอรหนั ต์ผ้ทู ี่เป็ นพระอริยบคุ คลหมดจดจากกิเลสอาสวะ บริสทุ ธ์ิด้วยกาย วาจา ใจ เป็ นที่เคารพสกั การบชู าของมหาชนทงั ้ หลาย ผ้ทู ี่ฆ่าพระอรหนั ต์นบั ว่า เป็นผ้ทู ่ีโหดเหีย้ มอามหติ ฆ่าได้แม้กระทงั้ ผ้ทู รงศีล ๔. โลหติ ปุ บาท หมายถงึ การทาร้ายพระพทุ ธเจ้าจนถึงยงั พระโลหิตให้ห้อขนึ ้ ไป พระองค์มีคณุ ต่อชาวโลกมาก สง่ั สอนพทุ ธ-บริษัทโดยไมเ่ ห็นแก่ความเหน็ดเหน่ือย ผ้ใู ดพยายามทาร้ายพระพทุ ธเจ้า แม้ไมถ่ งึ กบั ฆ่า เพียงแค่ยงั พระโลหติ ให้ห้อขนึ ้ ไปนบั เป็น บาปหนกั ที่สดุ เช่น พระเทวทตั ท่ีกลิง้ ศิลา หมายจะฆา่ พระองค์ แต่ถกู แค่สะเก็ดหินเทา่ นนั้ เป็นต้น ๕. สงั ฆเภท หมายถึง การทาลายสงฆ์ให้แตกออกจากกนั พระสงฆ์ถือวา่ เป็ นเนือ้ นาบญุ อนั ยอดเยี่ยมของชาวโลก ภิกษุใดทาให้ภิกษุสงฆ์ที่อย่วู ดั เดียวกนั แตกความสามคั คีจนไม่ยอมทาสงั ฆ กรรมร่วมกนั เช่น ลงอโุ บสถ ทาปวารนา เป็นต้น สรุป อนนั ตริยกรรมนี ้ เป็ นบาปหนกั ท่ีสดุ ผ้ใู ดได้ทาอนนั ตริยกรรมข้อใดข้อหนง่ึ แล้ว ย่อมไป เกิดในมหานรกทนั ที ฉะนนั้ ห้าม ทาเป็นเด็ดขาด อภณิ หปัจจเวกขณ์ คือ ข้อปฏิบตั ิที่ควรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั ๕ ประการ ๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นความแก่ไปได้ ๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นความเจ็บไปได้ ๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไมล่ ่วงพ้นความตายไปได้ ๔. เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สิน้ ๕. เรามีกรรมเป็นของตน ทาดีจกั ได้ดี ทาชว่ั จกั ได้ชว่ั ๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ลว่ งพ้นความแก่ไปได้ เมื่อพจิ ารณาอยา่ งนีแ้ ล้ว ย่อมเป็ น เคร่ืองบรรเทาความประมาท ความมวั เมา ความล่มุ หลงในวยั ไมใ่ ห้ประมาทในการดารงชีวิตในแตล่ ะ วยั ก่อนความแก่จะมาถงึ ๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นความเจบ็ ไปได้ ความเจบ็ ไข้ได้ป่ วยย่อมเกิดขนึ ้ ได้ กบั ทกุ คน และความเจ็บมีทงั้ รักษาได้และรักษาไม่ได้ปะปนกนั ไป สกั วนั หนงึ่ เราจะต้องเจบ็ แน่นอน

ดงั นนั้ พงึ พจิ ารณาให้ได้ทกุ ๆ วนั ๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไมล่ ่วงพ้นความตายไปได้ ความตายไม่มีนิมติ หมาย จะตาย เมื่อไรไมม่ ีใครรู้ แตท่ ่ีรู้ๆ ก่อนตายเราควรทาอะไรให้กบั ชีวติ ที่มีอยู่ เพราะความตายเราหนีไม่พ้น แน่นอน ๔. เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สิน้ เป็น การยา้ เตือนอยตู่ ลอดเวลาวา่ ทกุ สง่ิ ท่ีเกิดขนึ ้ กบั เราทงั้ สิ่งชอบใจและไม่ชอบใจ ต่างต้องมีอนั เกิดขนึ ้ ตงั้ อยู่ และดบั ไปในท่ีสดุ เป็นการ เตรียมใจรับกบั สภาพท่ีเป็ นจริงที่จะเกิดขนึ ้ ไม่วา่ เราจะรู้ตวั หรือไม่รู้ตวั ก็ตาม เพ่ือป้ องกนั ความเศร้า โศกเสียใจ ให้คลายความยดึ มนั่ ถือมนั่ เสีย ๕. เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกาเนิด มีกรรมเป็ นเผ่าพนั ธ์ุ มี กรรมเป็นท่ีพงึ่ อาศยั เราทา กรรมใดไว้ เราทาดีจกั ได้ดี ทาชวั่ จกั ได้ชวั่ เราจะต้องเป็นผ้รู ับผลของกรรม นนั ้ สรุป การพจิ ารณาทงั้ ๕ ประการนี ้ พงึ พจิ ารณาอยเู่ นือง นิตย์ จะได้ไมป่ ระมาทในการเกิดมา เป็นมนษุ ย์พบพระพทุ ธศาสนา ธมั มสั สวนานิสงส์ คือ อานสิ งส์ของการฟังธรรม ๕ ประการ ๑. ผ้ฟู ังธรรมยอ่ มได้ฟังสงิ่ ที่ยงั ไม่เคยฟัง ๒. สง่ิ ใดได้เคยฟังแล้ว แตไ่ ม่เข้าใจชดั ย่อมเข้าใจสิ่งนนั้ ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้ ๔. ทาความเห็นให้ถกู ต้องได้ ๕. จติ ของผ้ฟู ังย่อมผอ่ งใส ๑. ผ้ฟู ังธรรมย่อมได้ฟังสง่ิ ท่ียงั ไมเ่ คยฟัง หมายถงึ พระธรรม คาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้า ซงึ่ มี มากมาย เม่ือมีผ้มู าแสดงให้ฟังย่อมได้ฟังส่ิงใหม่ๆ เพม่ิ เตมิ พอกพนู ไปเร่ือยๆ ๒. สิง่ ใดได้เคยฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชดั ยอ่ มเข้าใจส่งิ นนั้ ชดั หมายถงึ ธรรมะตา่ งๆท่ีเราเคยได้ ฟังมาแล้วจากใครก็ตาม ยงั ไม่เข้าใจชดั พอได้ฟังท่ีทา่ นขยายความให้ฟังก็เข้าใจอยา่ งแจม่ แจ้ง นาไป ปฏิบตั ิได้ ๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้ หมายถงึ ธรรมต่างๆที่เราฟังมาแล้วเกิดความสงสยั ไม่เข้าใจ เรา ก็ไต่ถามผ้รู ู้ในขณะฟังธรรมจน คลายความสงสยั ได้ หรือเราอาจได้ยินได้ฟังมาจากที่อ่ืน ซง่ึ อาจขดั

อย่ใู นใจ พอได้ฟังก็คลายความสงสยั ได้ ๔. ทาความเห็นให้ถกู ต้อง หมายถงึ ผ้ฟู ังธรรมบางครัง้ อาจมีความเหน็ ที่ไม่ตรงตอ่ ความเป็น จริง เพราะไม่ค่อยเช่ือในเรื่องกฎแหง่ กรรม พอได้ฟังคาชีแ้ จงขยายความในเร่ืองกฎแหง่ กรรม เป็นต้น ย่อมทาความเหน็ ให้ตรงถกู ต้องได้งา่ ย ๕. จิตของผ้ฟู ังย่อมผอ่ งใส หมายถึง จิตที่น้อมไปตามกระแสธรรมท่ีพระธรรมกถกึ บรรยาย ขยายความ คลายความสงสยั ทงั้ ปวง มีความเข้าใจถกู ต้อง ยอ่ มได้รับผลของความสขุ ความผ่องใส ของใจ สรุป อานสิ งส์จากการฟังธรรมทงั้ ๕ ข้อนี ้ย่อมบงั เกิดมีแก่ผ้ตู งั้ ใจฟังธรรมแสวงหาความหลดุ พ้น จะได้ผลอย่างเตม็ ท่ีตอ่ เมื่อผ้ฟู ังตงั้ ใจฟังโดยเคารพ มีสตพิ จิ ารณาตามกระแสธรรมที่ทา่ นแสดง ตลอด ดงั พทุ ธพจน์ท่ีวา่ ผ้ฟู ังด้วยดีย่อมได้ปัญญา พละ คอื กาลัง ๕ ประการ ๑. สทั ธา ความเชื่อ ๒. วิริยะ ความเพยี ร ๓. สติ ความระลกึ ได้ ๔. สมาธิ ความตงั้ ใจมน่ั ๕. ปัญญา ความรอบรู้ ๑. สทั ธา หมายถงึ ความเช่ือมน่ั ในสง่ิ ที่ตนกระทาว่ามีคณุ ประโยชน์ เพราะเช่ือต่อสิง่ ที่ควรเช่ือ เป็นความเช่ือที่ประกอบด้วยปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตแุ ละผล เช่นเช่ือในการตรัสรู้ของพระพทุ ธเจ้า บาป บญุ นรก สวรรค์มีจริง เป็นต้น ๒. วิริยะ หมายถึง ความเพียรเป็นแรงจงู ใจมงุ่ มน่ั ในการ ทากิจทงั้ ปวงไม่ให้ท้อถอยเมื่อเจอ อปุ สรรค หมายเอา ความเพยี รในสมั มปั ปธาน ๔ และสมั มาวายามะในอริยมรรค เป็นต้น ๓. สติ หมายถงึ ความระลกึ ได้ เป็นเหตคุ วบคมุ ใจให้ตงั้ มน่ั กบั กิจการที่กาลงั ทาอย่ใู ห้มีความ รอบคอบ เพ่อื ไม่ให้เกิดความผดิ พลาด หมายเอาความระลกึ ชอบในอริยมรรค ๔. สมาธิ หมายถึง ความตงั้ ใจมนั่ สืบเน่ืองมาจากสติ เป็นจติ ท่ีมีความตงั้ มนั่ อยใู่ นอารมณ์ เดียว มีสมาธิตลอดในการทากิจทกุ อย่าง จนกว่าจะสาเร็จ นีห้ มายเอา สมาธิท่ีเป็นองค์ฌาน ๕. ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ เป็นกาลงั อดุ หนนุ ใจให้รู้เท่าทนั ต่อเหตกุ ารณ์ที่จะเกิดขนึ ้

และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขนึ ้ ได้ นีห้ มายเอา อริยปัญญา สรุป พลธรรมนี ้อินทรีย์ ๕ ก็เรียก เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน ธรรม ๕ ประการนี ้สามารถ กาจดั ธรรมที่เป็นข้าศกึ ได้ คือ สทั ธา กาจดั อสทั ธิยา คือ ความไมเ่ ชื่อ, วิจิกิจฉา ความลงั เลสงสยั วิริยะ กาจดั โกสชั ชะ คือ ความเกียจคร้านได้ สติ กาจดั ปมาทะ คือ ความประมาทเลินเล่อได้ สมาธิ กาจดั นวิ รณธรรม คือ สง่ิ ท่ีเป็นเครื่องกนั้ จติ ไมใ่ ห้บรรลคุ วามดีได้ ปัญญา กาจดั อญาณะ คือ ความไมร่ ู้และโมหะ คือ ความหลงได้ ขนั ธ์ คือ กองสงั ขารร่างกายของมนษุ ย์ แบ่งเป็น ๕ กอง ๑. รูปขนั ธ์ กองรูป ๒. เวทนาขนั ธ์ กองเวทนา ๓. สญั ญาขนั ธ์ กองสญั ญา ๔. สงั ขารขนั ธ์ กองสงั ขาร ๕. วญิ ญาณขนั ธ์ กองวญิ ญาณ ๑. รูป หมายถงึ การรวมตวั ของธาตุ ๔ คือ ดิน นา้ ลม ไฟ ประชมุ กนั เป็นกาย รูปในที่นี ้ หมายเอา รูปท่ีมีใจครอง เช่น มนษุ ย์ สตั ว์ดิรัจฉานเป็นต้น ๒. เวทนา หมายถงึ การรับรู้ความรู้สกึ ของอารมณ์ที่มากระทบ ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ เกิด ความรู้สกึ เป็นสขุ ชอบใจ ทกุ ข์ ไมช่ อบใจหรือไมส่ ขุ ไม่ทกุ ข์ เฉยๆ ๓. สัญญา หมายถึง ความจาได้หมายรู้ เป็ นความจาสิ่งท่ีรับรู้นนั้ ไว้ได้ เชน่ รู้วา่ นีค้ ือรูป ก็จาได้ วา่ นีค้ ือรูป เป็นต้น ๔. สังขาร หมายถึง สิง่ ที่ถกู ปรุงแต่งเกิดขนึ ้ กบั ใจ แยกแยะส่งิ ท่ีรู้และจาได้ จะดีหรือชว่ั หรือ เป็นกลางๆ เป็ นจิตตสงั ขารและเป็นนามธรรม ตา่ งจากสงั ขารในไตรลกั ษณ์ ท่ีหมายเอาสง่ิ ที่ปรุงแต่ง ขนึ ้ ทงั้ ท่ีเป็ นอปุ าทินนกสงั ขาร และอนปุ าทินนกสงั ขารท่ีเป็น รูปธรรม ๕. วิญญาณ หมายถึง ความรู้สกึ ท่ีเกิดจากอายตนะภายในกระทบกบั อายตนะภายนอก เช่น มีรูปมากระทบตาก็รู้ว่าเป็นรูปอะไร เป็ นต้น สรุป ขนั ธ์ ๕ นี ้โดยยอ่ เรียกวา่ นามรูป นาม ได้แก่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ รูป คง

เป็ นรูป ปัญหาและเฉลยหมวด ๕ ๑. การพจิ ารณาความตายเนือง ๆ มีประโยชน์อยา่ งไร ? ก. บรรเทาความเมาในวยั ข. บรรเทาความเมาในชีวิต ค. บรรเทาความยดึ มนั่ ง. บรรเทาความเหน็ แก่ตวั ๒. ฟังเทศน์แล้ว ย่อมได้อะไร ? ก. ยอ่ มได้ฟังสิ่งท่ีไม่เคยฟัง ข. ย่อมบรรเทาความสงสยั เสียได้ ค. ย่อมทาความเห็นให้ถกู ต้องได้ ง. ถกู ทกุ ข้อ ๓. ข้อใดเป็นอานสิ งส์ของการฟังธรรมโดยตรง ? ก. ทาให้ได้บญุ ข. ทาให้เกิดสมาธิ ค. ทาให้ละกิเลส ง. ทาให้เกิดปัญญา ๔. กรรมอะไรท่ีห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ? ก. อกศุ ลกรรม ข. นวิ รณธรรม ค. อนนั ตริยกรรม ง. อาสนั นกรรม ๕. กายกบั ใจแบง่ ออกเป็ นกอง เรียกวา่ อะไร ? ก. สงั ขาร ข. วิญญาณ ค. ขนั ธ์ ง. สญั ญา เฉลย ๑.ข ๒. ง ๓. ง ๔. ค ๕. ค ฉักกะ คือ หมวด ๖ คารวะ คือ ความเคารพนบั ถืออยา่ งหนกั แนน่ ๖ ประการ ๑. พทุ ธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า

๒. ธมั มคารวตา เคารพในพระธรรม ๓. สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา เคารพในการศกึ ษา ๕. อปั ปมาทคารวตา เคารพในความไม่ประมาท ๖. ปฏสิ นั ถารคารวตา ความเคารพในปฏิสนั ถาร ๑. พทุ ธคารวตา หมายถึง ความเคารพนบั ถือในพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าด้วยการกราบไหว้บชู า คณุ ทงั้ กาย วาจา ใจ รวมถงึ การแสดงความเคารพในปชู นียวตั ถุ เชน่ พระพทุ ธรูป ปชู นียสถาน เป็น ต้น และตงั้ ใจฟังธรรมคาสอนด้วยความเอือ้ เฟือ้ ๒.ธมั มคารวตา หมายถึง ความเคารพนบั ถือในพระธรรม คาสอน ด้วยการตงั้ ใจศกึ ษาเลา่ เรียน ทงั้ ภาคปริยตั ิ ปฏิบตั ิ จนก่อให้เกิดปฏเิ วธ ด้วยความเคารพยงิ่ ไม่ดหู ม่ิน เหยียบย่า ๓. สงั ฆคารวตา หมายถึง ความเคารพนบั ถือในพระสงฆ์ ทงั้ ที่เป็นสมมตสิ งฆ์และอริยสงฆ์ ด้วยการกราบไหว้บชู า แสดงอาการนอบน้อม ตลอดจนเชื่อฟังคาสงั่ สอนของท่านแล้วนาไปปฏิบตั ิ ตาม ไม่แสดงอาการกิริยาดหู มิ่น ล้อเล่นกบั ทา่ น ๔. สิกขาคารวตา หมายถงึ ความเคารพเอือ้ เฟือ้ ในการศกึ ษา ด้วยความตงั้ ใจศกึ ษาใน ไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เกียจ คร้าน ไม่ยอ่ ท้อ ตงั้ ใจศกึ ษาไปจนกว่าจะสาเร็จ ๕. อปั ปมาทคารวตา หมายถงึ ความเคารพเอือ้ เฟื อ้ ในความ ไม่ประมาท ด้วยการมีสตไิ ม่ เผลอเลอในการดารงชีวิต ระวงั ไม่ให้หลงมวั เมาในกามคณุ ไม่ประมาทในการละทจุ ริต ประกอบ สจุ ริต ๖. ปฏสิ นั ถารคารวตา หมายถึง ความเคารพเอือ้ เฟื อ้ ในการต้อนรับ ด้วยการยมิ ้ แย้มแจ่มใส ไมเ่ ป็นคนใจแคบ ต้อนรับผ้มู าเยือนด้วยไมตรีจติ ด้วยนา้ ใสใจจริง ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้างตาม สมควร สรุป ความเคารพทงั้ ๖ ประการนี ้เป็นเบือ้ งต้นท่ีจะรอง รับคณุ ธรรมอ่ืนๆ ที่จะพงึ บงั เกิดขนึ ้ กบั เรา ฉะนนั้ พงึ มีความเคารพนอบน้อมไว้ในที่ทกุ สถาน สาราณียธรรม คือ ธรรมเป็นที่ตงั้ แห่งความระลกึ ถึงกนั ๖ อย่าง ๑. เข้าไปตงั้ กายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพือ่ นภกิ ษุสามเณรทงั้ ต่อหน้าและลบั หลงั

หมายถึง ชว่ ยขวนขวายในกิจธรุ ะของเพอ่ื นกนั ด้วยกาย มีพยาบาลภิกษุสามเณรไข้ เป็นต้น ด้วย เมตตากายกรรม ๒. เข้าไปตงั้ วจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพ่อื นภิกษุสามเณรทงั้ ตอ่ หน้าและลบั หลงั หมายถงึ ช่วยขวนขวายในกิจธรุ ะของเพ่อื นกนั ด้วยวาจา มีการกล่าวสงั่ สอน เป็นต้น ด้วยเมตตา วจีกรรม ๓. เข้าไปตงั้ มโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพอ่ื นภิกษุสามเณรทงั้ ต่อหน้าและลบั หลงั หมายถึงชว่ ยขวนขวายในกิจธุระที่จะคดิ แต่สิง่ ท่ีเป็นประโยชน์แก่เพอ่ื นกนั ด้วยเมตตามโนกรรม ๔. แบง่ ปันลาภท่ีตนได้มาแล้วโดยชอบธรรม ให้แก่เพ่ือน ภิกษุสามเณร ไม่หวงไว้บริโภค จาเพาะผ้เู ดียว เชน่ ให้จีวร บณิ ฑบาต เป็นต้น ด้วยจิตเมตตาชื่อ สาธารณโภคี ๕. รักษาศีลบริสทุ ธ์ิเสมอกนั กบั เพือ่ นพระภิกษุสามเณรอื่นๆ ไมท่ าตนให้เป็ นที่รังเกียจของ ผ้อู ่ืน ชื่อว่า สีลสามญั ญตา ๖. มีความเห็นร่วมกบั ภิกษุสามเณรอื่น ไม่วิวาทกบั ใครๆ เพราะมีความเห็นผิดกนั หมายถึง การปรับความเหน็ ในพระธรรม วนิ ยั ให้มีความเห็นเป็นอนั เดียวกนั ช่ือว่าทฏิ ฐิสามญั ญตา สรุป ธรรม ๖ อย่างนี ้ยอ่ มทาให้ผ้ปู ระพฤติตามเป็นท่ีรักที่เคารพของผ้อู ื่น เป็นไปเพ่ือความ สงเคราะห์อนเุ คราะห์กนั และกนั เป็นไปเพอื่ ความไม่ววิ าทกนั และกนั เป็นไปเพ่ือความพร้อมเพรียง เป็นอนั หนง่ึ อนั เดียวกนั ปัญหาและเฉลยหมวด ๖ ๑. ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร จงึ จะช่ือว่าเคารพในการศกึ ษา ? ก. ขยนั ไปโรงเรียน ข. ขยนั อ่านหนงั สือ ค. ขยนั หาความรู้ ง. ขยนั ทาการบ้าน ๒. สานวนวา่ รู้ส่ิงใดไม่ส้รู ู้วิชา ภายหน้าเติบใหญ่ได้งานทา จดั เข้าในคารวะข้อใด ? ก. พระพทุ ธเจ้า ข. การศกึ ษา ค. พระธรรม ง. การต้อนรับ ๓. สาราณียธรรม คือธรรมเช่นไร ? ก. ธรรมที่เป็นแก่นสาร ข. ธรรมของผ้ทู รงศีล ค. ธรรมเป็นเหตบุ ริจาค

ง. ธรรมเป็นเหตใุ ห้ระลกึ ถงึ กนั ๔. “เมื่ออย่ใู ห้เขารัก จากไปให้เขาคิดถงึ ” เชน่ นีค้ วรประกอบตนไว้ในธรรมหมวดไหน ? ก. พรหมวหิ าร ข. สงั คหวตั ถุ ค. สาราณียธรรม ง. สปั ปรุ ิสธรรม ๕. การตงั้ ใจชว่ ยกิจธุระของกนั และกนั ด้วยความเตม็ ใจและบริสทุ ธ์ิใจ เป็นหลกั สาราณียธรรมข้อใด ? ก. เมตตาวจีกรรม ข. เมตตากายกรรม ค. สีลสามญั ญตา ง. เมตตามโนกรรม เฉลย ๑.ค ๒. ข ๓. ง ๔. ค ๕. ข สัตตกะ คือ หมวด ๗ อริยทรัพย์ คือ ทรัพย์อนั ประเสริฐ ๗ ประการ ๑. สทั ธา เช่ือตอ่ สิง่ ท่ีควรเช่ือ คือ เชื่อในความตรัสรู้ธรรมของพระพทุ ธเจ้า เช่ือในเรื่องกฎแห่ง กรรม เป็นต้น ๒. สีล รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย คือ ศีล ๕ หรือ ๘ เป็ นต้น ๓. หริ ิ ความละอายต่อบาป คือ ไมก่ ล้าทาความชวั่ ๔. โอตตปั ปะ สะด้งุ กลวั ต่อบาป คือ กลวั ผลของการทาบาป ๕. พาหสุ จั จะ ความเป็ นคนได้ยินได้ฟังมามาก คือ ทรง ธรรมและศลิ ปวทิ ยามาก คือ ใฝ่ รู้ทงั้ การฟัง การอา่ น การจดจา เป็นต้น ๖. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน คือ การแบง่ ปันด้วยปัจจยั ๔ อนั สมควร ๗. ปัญญา รอบรู้ส่งิ ท่ีเป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ คือ ปัญญาท่ีสอนตนเองได้ สรุป อริยทรัพย์ ๗ นี ้จดั ลงในสิกขา ๓ ได้ ๒ สิกขา คือ ศีล หริ ิ โอตตปั ปะ และจาคะ จดั เป็น สี ลสิกขา สทั ธา พาหสุ จั จะ และ ปัญญา จดั เป็น ปัญญาสกิ ขา สปั ปรุ ิสธรรม คือ ธรรมของสตั บรุ ุษ ๗ ประการ ๑. ธมั มญั ํตุ า ความเป็ นผ้รู ู้จกั ธรรม คือ เหตุ หมายถงึ รู้จกั เหตุ เช่น รู้วา่ สิง่ นีเ้ป็ นเหตแุ ห่งสขุ ส่ิงนีเ้ป็นเหตแุ ห่งทกุ ข์ เป็ นต้น

๒. อตั ถญั ํตุ า ความเป็ นผ้รู ู้จกั อรรถ คือ ผล หมายถงึ รู้จกั ผล เช่นรู้ว่าทาเหตอุ ย่างนี ้ยอ่ ม ได้ผลอยา่ งนี ้เป็นต้น ๓. อตั ตญั ํตุ า ความเป็นผ้รู ู้จกั ตน หมายถงึ รู้จกั ตนวา่ เรามีศรัทธา ศีล สตุ ะ จาคะ และ ปัญญาเท่านี ้ แล้ววางตวั ให้เหมาะสมกบั วฒุ ภิ าวะของตน ไม่อวดดือ้ ถือดี ให้สงบเสงี่ยมเจียมตน ๔. มตั ตญั ํตุ า ความเป็นผ้รู ู้จกั ประมาณ หมายถึง รู้จกั ประมาณในการแสวงหา ในการรับ ในการจา่ ย ไมใ่ ห้ฟ่ มุ เฟื อย ให้รู้จกั ความพอดี รู้จกั ประมาณในการบริโภคแก่พอควร และรู้จกั ประมาณ ในการใช้จ่ายให้รู้คณุ ค่าของสิง่ ท่ีหามาได้ ๕. กาลญั ํตุ าความเป็นผ้รู ู้จกั กาลเวลา หมายถึง รู้ถงึ คณุ คา่ ของเวลาที่ผา่ นไป รู้จกั การใช้ เวลาอย่างค้มุ ค่าและเป็นประโยชน์ ไมป่ ล่อยเวลาให้ผ่านไปอยา่ งไร้ประโยชน์ ให้รู้ว่าเวลานี ้ควรทา อยา่ งนี ้เวลานีค้ วรพดู อย่างนี ้ทาและพดู อย่างไม่ประมาท ๖. ปริสญั ํตุ า ความเป็ นผ้รู ู้จกั ประชมุ ชน หมายถึง การรู้ จกั สงั คมท่ีตนอย่อู าศยั ท่ีทางาน รู้จกั ปรับตวั ให้เข้ากบั สงั คมชมุ ชน นนั้ ๆ ไม่มีเร่ืองกระทบกระทง่ั กบั ผ้อู ื่น ได้รับความไว้วางใจจากคน ในชมุ ชน ๗. ปคุ คลปโรปรัญํตุ า ความเป็นผ้รู ู้จกั เลือกคบบคุ คล หมายถงึ การรู้จกั เลือกคบคน ด้วย การศกึ ษาอปุ นิสยั ใจคอ เป็นต้น ของคนๆ นนั้ วา่ ควรคบหรือไม่ควรคบ เขาเป็ นคนดีหรือคนเลวให้ เลือกคบคนที่เป็นคนดีมีคณุ ธรรม สรุป สปั ปรุ ิสธรรมนี ้เม่ือผ้ใู ดปฏิบตั ติ ามได้ ยอ่ มเป็นผ้ทู ่ีควรแก่การยกย่องเคารพนบั ถือ เป็นผู้ ที่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะเขาเป็ นสตั บรุ ุษ ปัญหาและเฉลยหมวด ๗ ๑. “มีวชิ าเหมือนมีทรัพย์อย่นู บั แสน” ตรงกบั ข้อใด ? ก. ความรอบรู้ในกองสงั ขาร ข. ความเป็นผ้มู ีความรู้มาก ค. ความรู้จกั อดออมทรัพย์ ง. ความรู้จกั ให้ธรรมเป็ นทาน ๒. สปั ปรุ ิสธรรมข้อใด มีความหมายตรงกบั เศรษฐกิจพอเพียง ? ก. รู้จกั ประมาณ ข. รู้จกั กาล ค. รู้จกั ตน ง. รู้จกั ชมุ ชน

๓. “อย่าชงิ สกุ ก่อนห่าม” ตรงกบั หลกั ธรรมข้อใด ? ก. กาลญั ํตุ า ข. อตั ตญั ํตุ า ค. ปริสญั ํตุ า ง. ธมั มญั ํตุ า ๔. การรู้จกั ปรับตวั ให้เข้ากบั สงั คม ตรงกบั สปั ปรุ ิสธรรมข้อใด ? ก. รู้จกั เหตุ ข. รู้จกั ผล ค. รู้จกั บคุ คล ง. รู้จกั ชมุ ชน ๕. สานวนว่า “นา้ ขนึ ้ ให้รีบตกั “ หมายถงึ สปั ปรุ ิสธรรมข้อใด ? ก. ธมั มญั ํตุ า ข. อตั ถญั ํตุ า ค. กาลญั ํตุ า ง. อตั ตญั ํตุ า เฉลย ๑.ข ๒. ก ๓.ก ๔. ง ๕.ค อัฏฐกะ คือ หมวด ๘ โลกธรรม คือ ธรรมที่ครอบงาสตั ว์โลก ๘ ประการ ๑. มีลาภ ๒. เส่ือมลาภ ๓. มียศ ๔. เส่ือมยศ ๕. นินทา ๖. สรรเสริญ ๗. สขุ ๘. ทกุ ข์ โลกธรรมนีแ้ บง่ เป็ น ๒ ประเภท คือ ๑. อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าพอใจ ได้แก่ ความมีลาภ มียศ ความสรรเสริญ ความสขุ ๒. อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ท่ีไม่นา่ พอใจ ได้แก่ เส่ือมลาภ เส่ือมยศ นนิ ทา และทกุ ข์ โลกธรรมทงั้ ๘ ประการนี ้เมื่ออย่างใดอย่างหนงึ่ เกิดขนึ ้ แล้ว พงึ พจิ ารณาด้วยปัญญาของตน ว่า สง่ิ นีท้ ่ีเกิดขนึ ้ กบั เรา ทงั้ ท่ีน่าพอใจและไมน่ า่ พอใจ ก็เป็นเพียงการเกิดขนึ ้ เท่านนั้ ไมน่ านก็มีการผนั แปรเปล่ียนไป สดุ ท้ายก็ถึงจดุ ท่ีต้องพลดั พรากจากไปไมจ่ ีรังยงั่ ยืน เราควรวางตวั วางใจเป็นกลางใน โลกธรรมเหลา่ นี ้แล้วเราจะอยอู่ ยา่ งมีความสขุ

ปัญหาและเฉลยหมวด ๘ ๑. มียศแล้วกลบั เส่ือมยศ ควรปฏิบตั ิอย่างไร ? ก. แสวงหาความถกู ต้อง ข. ทาจติ มใิ ห้ยนิ ดียนิ ร้าย ค. ทาพธิ ีสะเดาะเคราะห์ ง. อ่านหนงั สือธรรมะ ๒. ข้อใด เป็ นอิฏฐารมณ์ทงั้ หมด ? ก. ลาภ เสื่อมลาภ สขุ ทกุ ข์ ข. ยศ เส่ือมยศ นินทา ทกุ ข์ ค. สขุ ทกุ ข์ สรรเสริญ นินทา ง. ลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ ๓. เมื่อประสบโลกธรรม ควรปฏบิ ตั ติ นอย่างไร ? ก. แสวงหาความถกู ต้อง ข. ทาจติ มใิ ห้ยนิ ดียินร้าย ค. ทาพธิ ีสะเดาะเคราะห์ ง. อา่ นหนงั สือธรรมะ ๔. เมื่อถกู คนอ่ืนนินทา ควรปฏิบตั อิ ยา่ งไร ? ก. ควรโต้ตอบ ข. ไม่ต้องทาอะไรทงั้ สิน้ ค. หนีไปท่ีอ่ืนเสีย ง. อยา่ ยนิ ดียนิ ร้าย เฉลย ๑.ข ๒. ง ๓. ข ๔. ง ทสกะ คือ หมวด ๑๐ บญุ กิริยาวตั ถุ คือ สิง่ เป็ นท่ีตงั้ แห่งการบาเพ็ญบญุ มี ๑๐ ประการ ๑. ทานมยั บญุ สาเร็จด้วยการถวายทาน ๒. สีลมยั บญุ สาเร็จด้วยการรักษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จด้วยการเจริญภาวนา ๔. อปจายนมยั บญุ สาเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตน ๕. เวยยาวจั จมยั บญุ สาเร็จด้วยการชว่ ยขวนขวายในสงิ่ ท่ีชอบ

๖. ปัตติทานมยั บญุ สาเร็จด้วยการให้สว่ นบญุ ๗. ปัตตานโุ มทนามยั บญุ สาเร็จด้วยการอนโุ มทนาส่วนบญุ ๘. ธมั มสั สวนามยั บญุ สาเร็จด้วยการฟังธรรม ๙. ธมั มเทสนามยั บญุ สาเร็จด้วยการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏฐุชกุ มั ม์ บญุ สาเร็จด้วยการทาความเห็นให้ตรง ๑. ทานมัย หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการถวายทานด้วยการให้ทงั้ ท่ีเป็นอามสิ ทาน ธรรม ทาน และอภยั ทาน เพื่อม่งุ กาจดั ความตระหน่ีให้ออกไปจากใจ ๒. สีลมัย หมายถงึ บญุ สาเร็จที่ได้จากการรักษาศีล เป็นการควบคมุ กาย วาจา ให้เรียบร้อย ดีงามทงั้ ๓ ระดบั คือ ระดบั ต้นได้แก่ นิจศีล ศีล ๕ ระดบั กลางได้แก่ ศีล ๘ หรือ อโุ บสถศีล ระดบั สงู ได้แก่ ปาริสทุ ธิศีล หรือ ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ ๓. ภาวนามัย หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการเจริญสมาธิภาวนา ด้วยการอบรมจิตใจในทาง ปฏบิ ตั ทิ ่ีเป็นสมถกมั มฏั ฐาน คือ การอบรมจติ ใจให้สงบ ๑ วิปัสสนากมั มฏั ฐาน คือ การอบรมปัญญา ให้เกิด ๑ ๔. อปจายนมัย หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการประพฤตถิ ่อมตนตอ่ ผ้ใู หญ่ โดยชาติตระกลู วยั เป็นการแสดงความเคารพนบั ถือยาเกรง เป็นคนมีสมั มาคารวะทงั้ ตอ่ หน้าและลบั หลงั ๕. เวยยาวัจจมัย หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการชว่ ยขวนขวายในกิจที่ถกู ต้อง มีจติ ใจที่ เอือ้ เฟือ้ ตอ่ ผ้อู ่ืนด้วยกาลงั กาย กาลงั ทรัพย์ กาลงั สติปัญญาตามสมควร อนั จะนามาซง่ึ ประโยชน์ เกือ้ กลู กนั ๖. ปัตตทิ านมยั หมายถึง บญุ สาเร็จท่ีได้จากการให้ส่วนบญุ อนั เกิดจากการทาทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น แก่ผ้ทู ี่มีพระคณุ ซงึ่ ทา่ นละจากโลกนีไ้ ปแล้ว ๗. ปัตตานโุ มทนามยั หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการอนโุ มทนาสว่ นบญุ ของผ้อู ่ืน ในเม่ือ ผ้อู ่ืนได้ทาความดี เป็นความพลอยยนิ ดีชื่นชมในบญุ ที่ผ้อู ื่นทา ๘. ธมั มสั สวนามยั หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการฟังเทศน์ ฟังธรรม ฟังคาสง่ั สอนของครู อาจารย์ ที่มีความรู้ มีคณุ ธรรม ด้วยความเคารพออ่ นน้อม ๙. ธมั มเทสนามยั หมายถึง บญุ สาเร็จท่ีได้จากการแสดงธรรมด้วยความตงั้ ใจแสดงธรรม ตงั้ ใจแนะนาสงั่ สอน เพ่ือให้ผ้ฟู ังได้รับประโยชน์อยา่ งแท้จริงตามสตปิ ัญญาของตน ๑๐. ทิฏฐุชกุ มั ม์ หมายถึง บญุ สาเร็จที่ได้จากการทาความเห็น ให้ตรง เป็ นการประคบั ประคอง

ความเห็นของตนให้ถกู ต้องตามความเป็นจริง ที่เรียกวา่ สมั มาทฏิ ฐิ นนั่ เอง สรุป บรรดาบญุ กิริยาวตั ถุ ๑๐ นี ้ทฏิ ฐุชกุ มั ม์สาคญั ท่ีสดุ เพราะเป็นเหตแุ หง่ การทาความดีที่ เหลืออีก ๙ อย่าง บญุ กิริยาวตั ถุ ๑๐ นี ้สงเคราะห์เข้าในบญุ กิริยาวตั ถุ ๓ ดงั นี ้ ทานมยั ปัตตทิ านมยั ธมั มเทสนามยั จดั เป็น ทาน สีลมยั อปจายนมยั เวยยาวจั จมยั จดั เป็น ศีล ภาวนามยั ปัตตานโุ มทนามยั จดั เป็น ภาวนา ธมั มสั สวนามยั ทฏิ ฐุชกุ มั ม์ ปัญหาและเฉลยหมวด ๑๐ ๑. บญุ ท่ีสาเร็จด้วยการรักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียกวา่ อะไร ? ก. ทานมยั ข. สีลมยั ค. ภาวนามยั ง. อปจายนมยั ๒. นกั เรียนช่วยครูจดั งานตกั บาตรที่โรงเรียนตรงกบั บญุ กิริยาวตั ถขุ ้อใด ? ก. เวยยาวจั จมยั ข. ปัตตทิ านมยั ค. ปัตตานโุ มทนามยั ง. ธมั มสั สวนามยั ๓. คนมีสมั มาคารวะเพราะมีธรรมอะไร ? ก. ภาวนามยั ข. อปจายนมยั ค. ธมั มเทสนามยั ง. ทิฏฐุชกุ มั ม์ ๔. การพลอยยินดีในส่วนบญุ ของผ้อู ื่นตรงกบั ข้อใด ? ก. ทานมยั ข. ปัตติทานมยั ค. เวยยวจั จมยั ง. ปัตตานโุ มทนามยั เฉลย ๑. ข ๒. ก ๓. ข ๔. ง คหิ ปิ ฏบิ ัติ จตุกกะ คอื หมวด ๔ ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในปัจจบุ นั ๔ อย่าง

๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพร้ อมด้ วยความหมน่ั ๒. อารักขสมั ปทา ถึงพร้ อมด้ วยการรักษา ๓. กลั ยาณมิตตตา ความมีเพอ่ื นเป็ นคนดี ๔. สมชีวิตา ความเลีย้ งชีวิตตามสมควร ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา หมายถึง ความถงึ พร้อมด้วยความหมน่ั คือ มีความขยนั หมนั่ เพียรใน การศกึ ษา ในการประกอบอาชีพการงาน ในการทาหน้าที่ตา่ งๆ เป็นต้น เพื่อเป็นการฝึกฝนให้เกิด ความชานาญในหน้าที่ของตน ๒. อารักขสมั ปทา หมายถงึ ความถงึ พร้อมด้วยรักษา รู้คณุ ค่าของส่งิ ต่างๆท่ีหามาได้ทงั้ ทรัพย์สินเงินทอง ความรู้ เป็นต้น รู้จกั เก็บรักษาดแู ลให้ดี ใช้อยา่ งมีประโยชน์ เกิดเป็นความสขุ ๓. กลั ยาณมติ ตตา หมายถึง ความมีเพ่อื นเป็นคนดี คือ คบบณั ฑิต ไม่คบคนพาล ๔. สมชีวติ า หมายถงึ เลีย้ งชีวิตตามสมควรแก่กาลงั ทรัพย์ที่หามาได้ แต่พอเหมาะพอควร ไม่ ใช้ฟ่ มุ เฟือย สรุป ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ เป็ นหวั ใจท่ีทาให้เป็ นเศรษฐี มีบทย่อวา่ อุ อา กะ สะ สมั ปรายิกตั ถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในภพชาติหน้า ๔ ประการ ๑. สทั ธาสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือ มีความเช่ือใน ส่งิ ที่ควรเชื่อ เช่น ทาดีย่อมได้ผลดี จริง ทาชวั่ ย่อมได้ผลชว่ั จริง ๒. สีลสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยศีล คือ การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ด้วยการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ให้บริสทุ ธ์ิบริบรู ณ์ ๓. จาคสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน คือ การบริจาคส่งิ ของของตนเพ่อื เป็นประโยชน์ แก่ผ้อู ่ืน ๔. ปัญญาสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยปัญญา คือ มีปัญญาสอนตนเองได้วา่ ส่ิงนีเ้ป็นบาป ควรเว้น ส่ิงนีเ้ป็นบญุ ควรทา เป็ นต้น มิตรปฏริ ูป คือ มติ รเทียมหรือคนเทียมมติ ร ไม่ควรคบ มี ๔ จาพวก ๑. คนปอกลอก มี ๔ ลกั ษณะ คือ

๑. คดิ เอาแตไ่ ด้ฝ่ ายเดียว คือ ม่งุ หวงั ผลประโยชน์จากเพอื่ น ๒. เสียให้น้อย คดิ เอาให้ได้มาก คือ เอารัดเอาเปรียบเพื่อน ๓. เมื่อมีภยั มาถึงตวั จงึ รับทากิจของเพอื่ น คือ ยามมีทกุ ข์ นกึ ถงึ เพอ่ื น มีสขุ ลืมเพอ่ื น ๔. คบเพอื่ นเพราะเหน็ แก่ประโยชน์ของตน คือ เมื่อมีประโยชน์ตอ่ กนั อย่กู ็คบเป็นเพื่อน พอ หมดประโยชน์ แล้วก็ไมส่ น ๒. คนดีแต่พดู มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. เก็บเอาของท่ีล่วงแล้วมาปราศรัย คือ ดีแตพ่ ดู ไม่มีผล ในปัจจบุ นั ๒. อ้างเอาของท่ียงั ไมม่ ีมาปราศรัย คือ พดู แต่เรื่องท่ีไมม่ ี ความแน่นอน ๓. สงเคราะห์ด้วยส่ิงท่ีหาประโยชน์มิได้ คือ ชว่ ยเหลือเพ่อื น ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มไิ ด้ ๔. ออกปากพง่ึ มิได้ คือ ยามเพื่อนเดือดร้อนมกั มีข้ออ้างเสมอ ๓. คนหวั ประจบ มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. จะทาชว่ั ก็คล้อยตาม คือทาความชวั่ ตามเพือ่ นเมื่อมีภยั หนีเอาตวั รอด ๒. จะทาดีก็คล้อยตาม คือ ทาความดีตามเพ่ือนอย่างเสียไมไ่ ด้ ๓. ต่อหน้าวา่ สรรเสริญ คือ สรรเสริญเยินยอว่า ดีอย่างนนั้ ดีอย่างนี ้ ๔. ลบั หลงั นงั่ นนิ ทา คือ พอลบั หลงั ก็นินทาว่าร้ายเพื่อนเก็บความลบั ไมอ่ ยู่ ๔. คนชกั ชวนในทางฉิบหาย มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. ชกั ชวนดื่มนา้ เมา คือ ชวนด่ืมนา้ เมาเสพติดให้โทษ ๒. ชกั ชวนเท่ียวกลางคืน คือ ชวนเที่ยวกลางคืนในสถานบนั เทงิ ต่างๆ ๓. ชกั ชวนให้มวั เมาในการเล่น คือ เล่นจนเพลินไม่ดเู วลา ๔. ชกั ชวนเล่นการพนนั คือ ชวนเล่นการพนนั ทาให้เสียทรัพย์ มติ รแท้ คือ มิตรที่ดีหรือกลั ยาณมติ ร มี ๔ จาพวก ๑. มติ รมีอปุ การะ มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. ป้ องกนั เพอื่ นผ้ปู ระมาทแล้ว คือ มีสตชิ ว่ ยเหลือเพือ่ นเม่ือได้รับอนั ตราย

๒. ป้ องกนั ทรัพย์สมบตั ิของเพื่อนผ้ปู ระมาทแล้ว คือ ช่วยรักษาทรัพย์สมบตั ไิ มใ่ ห้ใช้ในทางที่ ผิด ๓. เม่ือมีภยั เอาเป็ นท่ีพง่ึ พานกั ได้ คือไม่ทงิ ้ เพ่อื น ๔. เม่ือมีธุระ ชว่ ยออกทรัพย์ให้เกินกว่าท่ีออกปาก คือ ชว่ ยเหลือเพ่ือนด้วยความจริงใจ ๒. มิตรร่วมสขุ ร่วมทกุ ข์ มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. ขยายความลบั ของตนแก่เพื่อน คือ เป็นคนเปิดเผยจริงใจ ๒. ปิดความลบั ของเพือ่ นไมใ่ ห้แพร่งพราย คือ ไม่ขายเพื่อน ๓. ไมล่ ะทงิ ้ ในยามวิบตั ิ คือ เพ่ือนเดือนร้อนก็รีบขวนขวายชว่ ยเหลือ ๔. แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้ คือ เมื่อเพ่ือนตกอย่ใู นอนั ตรายก็ช่วยเหลือไม่คานงึ ถงึ ชีวติ ตน ๓. มิตรแนะประโยชน์ มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. ห้ามไมใ่ ห้ทาความชวั่ คือ ชีแ้ จงให้เห็นโทษของการทาความชว่ั ๒. แนะนาให้ตงั้ อยคู่ วามดี คือ ชีแ้ จงผลท่ีได้จากการทาความดีอยเู่ สมอ ๓. ให้ฟังสิง่ ที่ยงั ไม่เคยฟัง คือ หมนั่ เล่าเรื่องดีๆมีประโยชน์ให้เพือ่ นฟัง ๔. บอกทางสวรรค์ให้ คือ ชกั ชวนในการบาเพญ็ กศุ ล เชน่ ทาทาน เป็นต้น ๔. มติ รมีความรักใคร่ มี ๔ ลกั ษณะ คือ ๑. ทกุ ข์ ทกุ ข์ด้วย คือ ร่วมทกุ ข์ ๒. สขุ สขุ ด้วย คือ ร่วมสขุ ๓. โต้เถียงคนท่ีพดู ติเตียนเพ่ือน คือ ปกป้ องเพ่ือนไม่ให้ใครวา่ ร้าย ๔. รับรองคนท่ีพดู สรรเสริญเพ่ือน คือ ยนิ ดีที่ผ้อู ่ืนสรรเสริญเพ่ือน สงั คหวตั ถุ คือ ธรรมเครื่องยดึ เหน่ียวนา้ ใจผ้อู ื่น ๔ อยา่ ง ๑. ทาน ให้ปันสงิ่ ของของตนแก่คนท่ีควรให้ปัน คือ เป็นการช่วยเหลือเกือ้ กลู ด้วยวตั ถบุ ้าง ด้วยการแนะนาความรู้บ้าง เป็นต้น (โอบอ้อมอารี) ๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน คือ พดู จาแต่คาที่มีประโยชน์ รู้จกั กาลเทศะ บคุ คล สถานท่ี เป็นถ้อยคาที่นา่ รัก ไพเราะ เป็นต้น (วจีไพเราะ) ๓. อตั ถจริยา ประพฤติสิง่ ท่ีเป็นประโยชน์ คือ เป็นการชว่ ยเหลือกิจการงานผ้อู ่ืนไมน่ ง่ิ ดดู าย ทา ตนให้เป็นประโยชน์ตอ่ ผ้อู ื่น (สงเคราะห์ชมุ ชน)

๔. สมานตั ตตา ความเป็นคนวางตนเสมอต้นเสมอปลายไม่ถือตวั คือ รู้จกั การวางตวั ให้ ถกู ต้อง วางตวั ให้เสมอต้นเสมอปลายไมเ่ ลือกท่ีรักมกั ท่ีชงั ทาตวั ให้เข้ากบั ผ้อู ่ืนได้ดี (วางตนพอดี) ฆราวาสธรรม คือ หลกั ธรรมของผ้คู รองเรือน ๔ ประการ ๑. สจั จะ สตั ย์ซอ่ื ตอ่ กนั คือ เป็นผ้รู ักษาสจั จะความจริงเสมอ มีความซ่ือตรงจริงใจต่อกนั ๒. ทมะ รู้จกั ข่มจิตของตน คือ รู้จกั ควบคมุ ตวั เองไม่ให้เกิด โทสะ เป็ นการฝึ กฝนข่มใจ ไม่ ปล่อยใจไปตามกิเลส ๓. ขนั ติ อดทน คือ ความอดทนอดกลนั้ หนกั เอาเบาสู้ ไมเ่ กียจคร้านในการทางาน ทนต่อ กิเลสท่ีมายวั่ เย้า ๔. จาคะ สละให้ปันสง่ิ ของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน คือ มีนา้ ใจ เอือ้ เฟือ้ เพอื่ แผ่ โอบอ้อมอารี ตอ่ ผ้อู ื่น ปัญหาและเฉลยหมวด ๔ ๑. การใช้จา่ ยทรัพย์ ให้ควรแก่ฐานะตรงกบั คาพงั เพยข้อใด ? ก. ข่ีช้างจบั ตกั้ แตน ข. เก็บเบีย้ ใต้ถนุ ร้าน ค. นกน้อยทารังแต่พอตวั ง. มีสลงึ พงึ บรรจบให้ครบบาท ๒. ทาอย่างไรจงึ จะตงั้ ตวั ได้ในโลกนี ้? ก. เว้นจากอบายมขุ ข. บาเพญ็ สงั คหวตั ถุ ค. คบกลั ยาณมิตร ง. บาเพญ็ ทฏิ ฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๓. “งบประมาณขาดดลุ “ ช่ือว่าขาดธรรมข้อใด ? ก. อตั ถจริยา ข. สมชีวิตา ค. สมานตั ตตา ง. กลั ยาณมิตตตา ๔. “มีสลงึ พงึ บรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิง่ ของต้องประสงค์“ ตรงกบั ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ข้อ ใด ? ก. อฏุ ฐานสมั ปทา ข. อารักขสมั ปทา ค. กลั ยาณมิตตตา ง. สมชีวติ า ๕. การใช้จ่ายทรัพย์เกินฐานะของตน ตรงกบั คาพงั เพยข้อใด ?

ก. นกน้อยทารังแตพ่ อตวั ข. เก็บเบีย้ ใต้ถนุ ร้าน ค. เห็นกรงจกั รเป็นดอกบวั ง. เห็นช้างขี ้ขีต้ ามช้าง ๖. เพ่ือนหน้าไหว้หลงั หลอก จดั เข้าในมติ รประเภทใด ? ก. มติ รปอกลอก ข. มิตรดีแต่พดู ค. มิตรหวั ประจบ ง. มติ รหลอกลวง ๗. เพื่อนท่ีดีของเรา ควรเป็นคนเชน่ ไร ? ก. ทาดีกบั เรา ข. พดู ดีกบั เรา ค. คดิ ดีกบั เรา ง. เอาใจเราทกุ อย่าง ๘. มติ รประเภทใด ก่อความเสียหายให้มากที่สดุ ? ก. มติ รชกั ชวนในทางฉิบหาย ข. มิตรปอกลอก ค. มิตรหวั ประจบ ง. มติ รดีแตพ่ ดู ๙. คนเทียมมติ รเช่นไร ท่ีควรหลีกเล่ียงให้ไกลท่ีสดุ ? ก. มิตรชกั ชวนให้ทาความฉิบหาย ข. มิตรหวั ประจบ ค. มติ รดีแตพ่ ดู ง. มิตรปอกลอก ๑๐. ข้อใด เป็นลกั ษณะของคนดีแต่พดู ? ก. คบเพ่ือนเพราะเหน็ แก่ประโยชน์ ข. สงเคราะห์ด้วยสิง่ หาประโยชน์มิได้ ค. ต่อหน้าว่าสรรเสริญ ง. คดิ แต่ได้ฝ่ ายเดียว ๑๑. เพ่ือนท่ีคิดเอาแต่ได้ฝ่ ายเดียว จดั เข้าในมิตรเทียมข้อใด ? ก. คนปอกลอก ข. คนหวั ประจบ ค. คนดีแตพ่ ดู ง. คนชวนทาชว่ั ๑๒. เพือ่ นที่ออกปากพง่ึ มิได้ เป็นลกั ษณะของมติ รเทียมข้อใด ?

ก. คนดีแตพ่ ดู ข. คนปอกลอก ค. คนหวั ประจบ ง. คนชวนให้ฉิบหาย ๑๓. ตวั เองตดิ ยาเสพติด จงึ ชวนเพือ่ นๆ ให้ร่วมทดลองเสพด้วยจดั เป็นมิตรประเภทใด ? ก. มติ รมีอปุ การะ ข. มติ รร่วมสขุ ร่วมทกุ ข์ ค. มติ รมีความรักใคร่ ง. มิตรชกั ชวนในทางฉิบหาย ๑๔. อยากเป็นคนดีของสงั คม ควรคบมิตรประเภทใด ? ก. มิตรมีอปุ การะ ข. มิตรร่วมสขุ ร่วมทกุ ข์ ค. มิตรแนะนาประโยชน์ ง. มติ รมีความรักใคร่ ๑๕. ผ้บู าเพญ็ คณุ ประโยชน์ให้แก่สงั คม ตรงกบั สงั คหวตั ถขุ ้อใด ? ก. ทาน ข. ปิยวาจา ค. อตั ถจริยา ง. สมานตั ตตา ๑๖. อตั ถจริยาในสงั คหวตั ถุ หมายความวา่ อยา่ งไร ? ก. โอบอ้อมอารี ข. วจีไพเราะ ค. สงเคราะห์ชมุ ชน ง. วางตนพอดี ๑๗. “วางตวั เหมาะสม“ ตรงกบั สงั คหวตั ถขุ ้อใด ? ก. ทาน ข. ปิยะวาจา ค. สมานตั ตตา ง. อตั ถจริยา ๑๘. ฆราวาสธรรม คือข้อใด ? ก. สจั จะ ทมะ ขนั ติ จาคะ ข. สทั ธา สีล จาคะ ปัญญา ค. ฉนั ทะ วิริยะ จติ ตะ วิมงั สา ง. เมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา ๑๙. หลกั การครองเรือนข้อใด สอนให้รู้จกั ขม่ ใจเม่ือรู้สกึ โกรธ ? ก. สจั จะ ข. ทมะ ค. ขนั ติ ง. จาคะ ๒๐. ผ้ทู ี่ชอบชว่ ยเหลือคนตกทกุ ข์ได้ยาก ชื่อว่าปฏิบตั ิตามหลกั ของฆราวาสธรรมข้อใด ? ก. สจั จะ ข. ทมะ

ค. ขนั ติ ง. จาคะ ๒๑. ผ้ปู ฏบิ ตั ิตามธรรมข้อใด จงึ สามารถยดึ เหนียวนา้ ใจผ้อู ่ืนไว้ได้ ? ก. ทาน ข. ปิยวาจา ค. อตั ถจริยา ง. สงั คหวตั ถุ ๒๒. ธรรมท่ีช่ือวา่ หวั ใจเศรษฐีนนั้ ได้แก่ข้อใด ? ก. ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ข. สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ ค. สงั คหวตั ถุ ง. กลั ยาณธรรม เฉลย ๑. ค ๒. ง ๓. ข ๔. ข ๕. ง ๖. ค ๗. ค ๘. ก ๙. ก ๑๐. ข ๑๑. ก ๑๒. ก ๑๓. ง ๑๔. ค ๑๕. ค ๑๖. ค ๑๗. ค ๑๘. ก ๑๙. ข ๒๐. ง ๒๑. ง ๒๒. ก คิหปิ ฏบิ ัติ ปัญจกะ คือ หมวด ๕ มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายที่ไมช่ อบธรรม ๕ ประการ ๑. ค้าขายเครื่องประหาร ได้แก่ ปื น หอก ดาบ ลกู ระเบิด เป็นต้น ๒. ค้าขายมนษุ ย์ ได้แก่ การค้ามนษุ ย์เพ่ือเป็นทาสหรือขาย ตวั เป็นต้น ๓. ค้าขายสตั ว์เป็นสาหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ ปลา เป็นต้น ๔. ค้าขายนา้ เมา ได้แก่ สรุ าเมรัย ไวน์ ส่งิ เสพตดิ ทกุ ชนดิ ๕. ค้าขายยาพษิ สาหรับฆ่ามนษุ ย์ และสตั ว์ทงั้ ปวง คุณสมบตั ขิ องอุบาสก มี ๕ ประการ ๑. ประกอบด้วยศรัทธา คือ เชื่อในการตรัสรู้ของพระพทุ ธเจ้า เช่ือในกฎแหง่ กรรมทาดีได้ดีจริง ทาชว่ั ได้ชวั่ จริง

๒. มีศีลบริสทุ ธ์ิ คือ รักษาศีล ๘ หรืออโุ บสถศีลให้สะอาดบริสทุ ธิ์ ๓. ไม่ถือมงคลต่ืนข่าว คือ เช่ือกรรม ไม่เช่ือมงคล ไมเ่ ป็นคนหเู บาเช่ือง่าย ๔. ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกพระพทุ ธศาสนา คือ ไม่ปฏบิ ตั ิกิจหรือพธิ ีกรรมตา่ งๆ อนั ไมใ่ ช่หลกั พธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๕. บาเพ็ญบญุ แต่ในพระพทุ ธศาสนา คือ แสวงหาหรือเข้าร่วมกิจกรรมงานบญุ ใน พระพทุ ธศาสนา เช่น ทาทาน รักษาศีล เป็นต้น ปัญหาและเฉลยหมวด ๕ ๑. การไม่ถือมงคลตื่นข่าว มีลกั ษณะเช่นไร ? ก. เชื่อกรรม ไม่เช่ือมงคล ข. เช่ือมงคล ไมเ่ ชื่อกรรม ค. เชื่อกรรม เช่ือมงคล ง. ไม่เช่ือกรรม ไม่เช่ือมงคล ๒. การค้าขายชนดิ ใด ไมเ่ ป็นข้อห้ามสาหรับอบุ าสกอบุ าสิกา ? ก. ค้าขายเคร่ืองประหาร ข. ค้าขายเคร่ืองประดบั ค. ค้าขายสตั ว์เป็นอาหาร ง. ค้าขายมนษุ ย์ เฉลย ๑. ก ๒. ข คิหปิ ฏบิ ัติ ฉักกะ คือ หมวด ๖ ทศิ แปลว่า ด้านหรือข้าง ในท่ีนีห้ มายถงึ บคุ คลท่ีปรากฏเกี่ยวข้องอยรู่ อบด้านเป็นบคุ คลท่ีมี ความสมั พนั ธ์กบั ตวั เราทกุ ระดบั ชนั้ มี ๖ ทศิ ๆ ละ ๕ บ้าง ๖ บ้าง ตามหน้าท่ีดงั นี ้ ๑. ปรุ ัตถิมทิส คือ ทศิ เบือ้ งหน้า มารดาบิดา มีหน้าที่จะต้องปฏิบตั ิตอ่ บตุ ร ๕ ประการ ๑. ห้ามไมใ่ ห้ทาความชวั่ ๒. ให้ตงั้ อย่ใู นความดี

๓. ให้ศกึ ษาศิลปวิทยา ๔. หาค่คู รองท่ีสมควรให้ ๕. มอบทรัพย์ให้ในสมยั บตุ รธิดาพงึ บารุงมารดาบดิ าด้วยสถาน ๕ ดงั นี ้ ๑. ทา่ นเลีย้ งเรามาแล้ว เลีย้ งทา่ นตอบ ๒. ชว่ ยทากิจของท่าน ๓. ดารงวงศ์สกลุ ๔. ประพฤตติ นให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก ๕. เม่ือทา่ นลว่ งลบั ไปแล้ว ทาบญุ อทุ ศิ ให้ท่าน ๒. ทกั ขิณทสิ คือ ทศิ เบือ้ งขวา ครูอาจารย์ มีหน้าท่ีจะต้องปฏิบตั ติ ่อศิษย์ ๕ ประการ ๑. แนะนาดี ๒. ให้เรียนดี ๓. บอกศิลปวิทยาให้สิน้ เชิง ไม่ปิดบงั อาพราง ๔. ยกยอ่ งให้ปรากฏในเพื่อนฝงู ๕. ทาความป้ องกนั ในทิศทงั้ หลาย ศษิ ย์พงึ บารุง ครูอาจารย์ด้วยสถาน ๕ ดงั นี ้ ๑. ด้วยลกุ ขนึ ้ ยืนรับ ๒. ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้ ๓. ด้วยเชื่อฟัง ๔. ด้วยอปุ ัฏฐาก ๕. ด้วยเรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ ๓. ปัจฉิมทิส คือ ทิศเบือ้ งหลงั บตุ รภรรยา มีหน้าที่จะต้องปฏบิ ตั ิตอ่ สามี ๕ ประการ ๑. จดั การงานดี ๒. สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี ๓. ไมป่ ระพฤตนิ อกใจสามี

๔. รักษาทรัพย์ท่ีสามีหามาได้ ๕. ขยนั ไม่เกียจคร้านในกิจการทงั้ ปวง สามีพงึ บารุงภรรยาด้วยสถาน ๕ ดงั นี ้ ๑. ด้วยยกยอ่ งนบั ถือว่าเป็นภรรยา ๒. ด้วยไม่ดหู มนิ่ ๓. ด้วยไม่ประพฤตนิ อกใจ ๔. ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๕. ด้วยให้เคร่ืองแต่งตวั ๔. อตุ ตรทิส คือ ทิศเบือ้ งซ้าย มิตรสหาย มีหน้าที่จะต้องปฏบิ ตั ติ ่อเพื่อน ๕ ประการ ๑. รักษาเพ่ือนผ้ปู ระมาทแล้ว ๒. รักษาทรัพย์ของเพอ่ื นผ้ปู ระมาทแล้ว ๓. เม่ือมีภยั เอาเป็ นที่พง่ึ พานกั ได้ ๔. ไม่ละทงิ ้ ในยามวบิ ตั ิ ๕. นบั ถือตลอดถงึ วงศ์ของมิตร กลุ บตุ รพงึ บารุงมิตรสหายด้วยสถาน ๕ ดงั นี ้ ๑. ด้วยให้ปัน ๒. ด้วยเจรจาถ้อยคาไพเราะ ๓. ด้วยประพฤติส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ ๔. ด้วยความเป็นผ้มู ีตนเสมอ ๕. ด้วยไม่แกล้งกลา่ วให้คลาดจากความเป็นจริง ๕. เหฏฐิมทิส คือ ทิศเบือ้ งต่า บ่าวไพร่ มีหน้าท่ีจะต้องปฏิบตั ติ อ่ นาย ๕ ประการ ๑. ลกุ ขนึ ้ ทาการงานก่อนนาย ๒. เลิกทาการงานทีหลงั นาย ๓. ถือเอาแตส่ ง่ิ ของที่นายให้ ๔. ทาการงานให้ดีขนึ ้ ๕. นาคณุ ของนายไปสรรเสริญในท่ีนนั้ ๆ

นายพงึ บารุงบ่าวไพร่ด้วยสถาน ๕ ดงั นี ้ ๑. ด้วยจดั การงานให้ทาตามสมควรแก่กาลงั ๒. ด้วยให้อาหารและรางวลั ๓. ด้วยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้ ๔. ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน ๕. ด้วยปล่อยในสมยั ๖. อปุ ริมทสิ คือ ทิศเบือ้ งบน สมณพราหมณ์ มีหน้าท่ีจะต้องอนเุ คราะห์ต่อกลุ บตุ ร ๖ ประการ ๑. ห้ามไมใ่ ห้กระทาความชว่ั ๒. ให้ตงั้ อยใู่ นความดี ๓. อนเุ คราะห์ด้วยนา้ ใจอนั งาม ๔. ให้ได้ฟังสง่ิ ที่ยงั ไมเ่ คยฟัง ๕. ทาส่ิงที่เคยได้ฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๖. บอกทางสวรรค์ให้ กลุ บตุ รพงึ บารุงสมณพราหมณ์ด้วยสถาน ๕ ดงั นี ้ ๑. ด้วยกายกรรม คือ ทาอะไรๆ ประกอบด้วยเมตตา ๒. ด้วยวจีกรรม คือ พดู อะไรๆ ประกอบด้วยเมตตา ๓. ด้วยมโนกรรม คือ คดิ อะไรๆ ประกอบด้วยเมตตา ๔. ด้วยความเป็นผ้ไู ม่ปิดประตู คือ ไมไ่ ด้ห้ามเข้าบ้านเรือน ๕. ด้วยให้อามสิ ทาน อบายมขุ คือ ปากทางแห่งความเส่ือมมี ๖ อย่าง ๑. ด่ืมนา้ เมา ยอ่ มได้รับความเสื่อม มีโทษ ๖ ประการ ๑. เสียทรัพย์ ๒. ก่อการทะเลาะวิวาท ๓. เกิดโรค ๔. ถกู ตเิ ตียน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook