หมายถึง แพทย์ปล่อยผู้ป่วยให้ตายโดยไม่ให้การรักษา โดยผู้ป่วยไม่อยู่ ในภาวะท่ีจะตัดสินใจได้ว่าต้องการตายหรือไม่ หรือไม่มีสติสัมปชัญญะ แล้ว การศึกษาท่ีแบ่งทางเลือกในการยุติชีวิตโดยใช้ศัพท์เฉพาะข้างต้น ได้แก่ ผกามาศ ศุภสร และ ลดั ดา คำ� ทพิ ย์ (พ.ศ. 2557), อรรัมภา ไวยมุกข์ และคณะ (พ.ศ. 2562), ดวงเดน่ นาคสหี ราช (พ.ศ. 2561) และพระครอู าทร กจิ จาภริ ักษ์ และคณะ (พ.ศ. 2561) • อยา่ งไรกต็ าม ในเนอ้ื หา การศึกษาในประเทศไทยจะกล่าวถึงเพียงการณุ ย- ฆาตเชิงรุกแบบสมัครใจ (Voluntary Active Euthanasia) อันหมาย ถงึ “การณุ ยฆาต” ในหนังสือเล่มนี้ และ การณุ ยฆาตเชงิ รับแบบสมคั รใจ (Voluntary Passive Euthanasia) หรือการุณยฆาตเชิงรับ (Passive Euthanasia) ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ หมายถึง การปฏิเสธการรักษาในวาระ ทา้ ยของชวี ติ โดยทก่ี ารศกึ ษาในประเทศไทยไมไ่ ดก้ ลา่ วถงึ การณุ ยฆาตในอกี 3 รปู แบบทเ่ี หลอื แมจ้ ะมกี ารกลา่ วถงึ ในเนอ้ื หาของบทความกต็ าม ทง้ั น้ี จะ เห็นได้ว่า การนิยามการุณยฆาตในความหมายกว้างและการแบ่งการุณย- ฆาตออกเปน็ หลายประเภทสรา้ งความสบั สนใหก้ บั ผอู้ ่าน และไมเ่ ป็นสากล ปัจจุบัน วรรณกรรมในต่างประเทศท้ังหมดเลือกท่ีจะใช้การุณยฆาตให้ หมายถงึ การณุ ยฆาตเชิงรุกแบบสมัครใจเท่านน้ั • ในแง่มุมทางด้านกฎหมาย การศึกษาในประเทศไทยมีบทสรุปที่ชัดเจนว่า การุณยฆาตเปน็ การกระทำ� ท่ผี ิดกฎมายอาญา การฆา่ ตัวตายโดยความช่วย เหลือของแพทย์ไม่ใช่การกระท�ำท่ีผิดกฎมายอาญา และการปฏิเสธการ รกั ษาในวาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ ในกรณที ผี่ ปู้ ว่ ยมพี นิ ยั กรรมชวี ติ เปน็ การกระทำ� ท่ีกฎหมายรองรับ แต่การศึกษาในประเทศไทยยังไม่มีการตีความท่ีชัดเจน ว่า หากแพทย์ไม่ปฏิบัติตามพินัยกรรมชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิจารณญาณ ของแพทย์เองหรือการร้องขอจากญาติ แพทย์จะมีความผิดหรือไม่ และนับเป็นการละเมิดสิทธิในการปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วยหรือไม่ และหากมคี วามผดิ บทลงโทษจะเป็นเช่นใด • ในแงม่ มุ ดา้ นจรยิ ศาสตร์ ไมว่ า่ จะเกย่ี วขอ้ งกบั ศาสนาพทุ ธ ครสิ ต์ หรอื อสิ ลาม การศกึ ษาสว่ นใหญจ่ ะตงั้ ตน้ จากแนวคดิ วา่ การณุ ยฆาต (และการปฏเิ สธการ 91
รักษาในวาระสุดท้ายของชวี ิต) เปน็ “ปัญหา” ด้านจรยิ ศาสตร์ นอกจากจะ เป็นการกระท�ำที่เป็นบาปแล้ว ยังเป็นการชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมทาง จริยธรรมของคนในประเทศอีกด้วย การศึกษาแทบทั้งหมดมีมุมมองเชิง ลบตอ่ การทำ� การณุ ยฆาต และไมม่ กี ารกลา่ วถงึ เจตนาในเชงิ บวกของการทำ� การุณยฆาต ยกเว้นงานของพระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พ.ศ. 2560) ทมี่ กี ารถกเถยี งเรอื่ งการณุ ยฆาตในเชงิ ปรชั ญาทางสงั คมศาสตรอ์ ยา่ งชดั เจน • ในด้านข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย พบวา่ เนือ่ งดว้ ยการศกึ ษาในประเทศไทย ไม่ได้พิจารณาทางเลือกในการยตุ ชิ ีวิตในองคร์ วม และไมเ่ คยมีการศึกษาใน เชงิ นโยบายเลย ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบายจากการศกึ ษาทผ่ี า่ นมาจงึ เกย่ี วขอ้ ง เฉพาะกับการส่งเสริมการท�ำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ สาธารณสุขและการเสนอปรับเปล่ียนบทลงโทษของการท�ำการุณยฆาต เท่านนั้ และไม่มกี ารเสนอทางเลือกอื่น • ในประเดน็ การส่งเสริมการท�ำหนังสอื แสดงเจตนาฯ เป็นท่นี า่ สังเกตว่า (1) รูปประโยคของข้อเสนอแนะของการศึกษาบางชิ้นไม่มีการระบุประธาน ของประโยค กล่าวคือ ไม่มีการระบุผู้รับผิดชอบ หรือผู้ท่ีพึงตอบสนองต่อ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และ (2) หากมีการระบุประธานของประโยค ประธานของประโยคเหลา่ นั้นกค็ อื บรบิ ทของการศกึ ษา (Study Settings) ตัวอย่างเช่น งานของพศิน ภูริธรรมโชติ (พ.ศ. 2560) งานของพัทธ์ธีรา วฒุ พิ งษ์พัทธ์ (พ.ศ. 2559) และงานของ ชนกิ านต์ วงศ์ประเสรฐิ สุข และ ธญั ญรตั น์ ประมวลวงษธ์ รี (พ.ศ. 2561) กไ็ ดก้ ลา่ วถงึ บทบาทของโรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในสิทธิท�ำ หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขและการเพ่ิมความ ยืดหยุ่นในการเยี่ยมผู้ป่วยและการท�ำพิธีกรรมทางศาสนาให้กับผู้ป่วยใน วาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ ในโรงพยาบาล ทงั้ นี้ ไมป่ รากฏขอ้ เสนอแนะทเี่ กยี่ วกบั นโยบายหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการศึกษาใดเลย เว้นเพียงงานของ ดวงเด่น นาคสีหราช (พ.ศ. 2561) ทเี่ สนอให้แก้ไขกฎหมายมาตรา 12 ของ พระราชบัญญตั ิสขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 ให้ญาตทิ มี่ คี วามสัมพนั ธ์ใกล้ ชดิ กบั ผปู้ ว่ ยสามารถแสดงเจตนาปฏเิ สธการรกั ษาเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรแทน 92
ผปู้ ่วยไม่มีสติสัมปชัญญะได้ อย่างไรก็ดี ดวงเด่น นาคสีหราช (พ.ศ. 2561) ไมไ่ ดก้ ล่าวถึงขอ้ ดี ขอ้ เสยี และข้อพงึ ระวงั ของการเปลี่ยนกฎหมายดงั กลา่ ว (อาจเป็นเพราะไม่ใช่ประเดน็ หลักของงานวจิ ยั ) • สำ� หรบั ประเดน็ การปรบั เปลย่ี นบทลงโทษของการทำ� การณุ ยฆาต ทป่ี จั จบุ นั เทียบเท่าการฆ่าคนตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญาไทยน้ัน งานของอรรัมภา ไวยมุกข์ และคณะ (พ.ศ. 2562) เสนอว่า ควรมีการ พัฒนากฎหมายอาญาของประเทศไทยให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของ การท�ำการุณยฆาต ที่แตกต่างจากการฆ่าคนตายโดยเจตนาในรูปแบบอื่น กล่าวคือ หากผู้ป่วยร้องขออย่างชัดแจ้งให้แพทย์กระท�ำการุณยฆาต การรอ้ งขอนคี้ วรถอื เปน็ องคป์ ระกอบของขอ้ เทจ็ จรงิ ทที่ ำ� ใหก้ ารณุ ยฆาตแตก ต่างจากการฆ่าโดยเจตนาท่ัวไปท่ีเป็นการประทุษร้ายต่อชีวิต บทลงโทษ กค็ วรปรับเปลีย่ นให้สอดคลอ้ งกบั ความแตกต่างจากกรณีปกติได้ • ส�ำหรับข้อเสนอแนะอื่นๆ ของการศึกษาในประเทศไทย พบว่า เกี่ยวข้อง กับการด�ำเนินงานของบุคลากรทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช่ข้อเสนอ แนะเชิงนโยบาย แต่เป็นข้อเสนอแนะในเชิงจรรยา หรือแนวทางในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นของบคุ ลากรทางการแพทยท์ งั้ สนิ้ เชน่ งานของเพลนิ พศิ ฐานิวัฒนานนท์ และคณะ (พ.ศ. 2559) ท่ีเสนอให้มีการปรับเปล่ียนการ ดูแลแบบประคับประคองใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเช่อื และคำ� สอนทางศาสนา เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหผ้ ปู้ ว่ ยมที ศั นคตใิ นแงบ่ วกเกย่ี วกบั การตาย หรอื งานของวรญั ญู นางงาม และคณะ (พ.ศ. 2561) ท่เี ห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์มบี ทบาท และหน้าที่ในการดูแลทางจิตวิญญาณ (Spiritual Care) และรักษาผู้ป่วย ในวาระสดุ ท้ายของชวี ิตอยา่ งสดุ ความสามารถ นอกจากนี้ หากพจิ ารณาถงึ วรรณกรรมของตา่ งประเทศเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ประเทศไทย พบวา่ การศกึ ษาในประเทศไทยยงั ไม่มีการศึกษาในประเดน็ ทางนโยบาย ดงั นี้ • แพทยเ์ ตม็ ใจในการกระทำ� การณุ ยฆาต และชว่ ยเหลอื ผปู้ ว่ ยในการฆา่ ตวั ตาย หรอื ไม่ (Onwuteaka-Philipsen et al., 2003; van der Heide et al., 2003) 93
• แพทยท์ ไ่ี มเ่ ตม็ ใจจะถกู กดดนั จากผปู้ ว่ ยใหก้ ระทำ� การณุ ยฆาต และชว่ ยเหลอื ผปู้ ว่ ยในการฆา่ ตวั ตายหรอื ไม่ (Materstvedt et al., 2003; Schafer, 2013) • การพฒั นาของศาสตรด์ า้ นการดแู ลแบบประคบั ประคองจะขาดตอนหรอื ไม่ หรอื การดแู ลแบบประคบั ประคองจะถกู มองวา่ ดอ้ ยกวา่ ทางเลอื กอน่ื ๆ หรอื ไม่ (Materstvedt et al., 2003) • กลุ่มบุคคลท่ียังไม่ได้ต้องการเสียชีวิตจะถูกครอบครัวหรือสังคมกดดันให้ เลือกการุณยฆาต และ/หรือฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์หรือ ไม่ หากมีนโยบายทงั้ สองประเภทน้ีอยู่ (Materstvedt et al., 2003) • กลุ่มประชากรท่ีรัฐอนุญาตให้เลือกทางเลือกการุณยฆาต และการฆ่า ตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์จะขยายเกินไปกว่าผู้ป่วยระยะท้าย หรอื ไม่ (Schafer, 2013) • อัตราการเสียชีวิตโดยวิธีการการุณยฆาต และการฆ่าตัวตายโดยความช่วย เหลอื ของแพทยจ์ ะสงู เกนิ ระดบั ทเี่ หมาะสมในสงั คมหรอื ไม่ (Schafer, 2013) • สังคมจะเกิดความชินชาต่อการตายหรือการฆ่าคนตายมากเกินไปหรือไม่ (Materstvedt et al., 2003) • รฐั จะมีกระบวนการจดั การกบั ปญั หาที่อาจเกิดขน้ึ ขา้ งต้นไดอ้ ย่างไรบ้าง การขาดองค์ความรู้ในประเด็นข้างต้นช้ีให้เห็นว่าการถกเถียงเร่ืองการุณยฆาตในสังคม ไทยต้ังอยู่บนพ้ืนฐานแนวคิดในเชิงบาปบุญคุณโทษเป็นหลัก ไม่เก่ียวข้องกับการมอง การุณยฆาตในฐานะของทางเลือกของนโยบายสาธารณะ ยังไม่มีการตั้งค�ำถามว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีความต้องการการุณยฆาตหรือไม่ และยังไม่มีการพิจารณาปัญหา เชงิ โครงสรา้ ง ทง้ั ในดา้ นความพรอ้ มของแพทยแ์ ละความพรอ้ มในการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย ว่าเป็นอยา่ งไร และมชี อ่ งว่างเพียงใด นอกจากน้ี การถกเถยี งเรอื่ งการณุ ยฆาตในสังคม ไทยยังอาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในระดับเดียวกัน รวมถึงการใช้ค�ำว่า “การุณยฆาต” กย็ ังอาจมคี วามหมายทแ่ี ตกตา่ งกันไปในแตล่ ะบุคคลอีกด้วย 94
95
บทท่ี 4 กรณีศกึ ษา: ประสบการณ์ของประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ และประเทศแคนาดา 96
เนอื้ หาในบทนจี้ ะเปน็ การพจิ ารณากรณศี กึ ษา ไดแ้ ก่ ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ และประเทศ แคนาดา โดยจะพิจารณาองค์ประกอบของกรณีศึกษาตามกรอบแนวคิดการวิเคราะห์ นโยบาย (Policy Analysis) อันได้แก่ (1) ทม่ี าท่ีไปของนโยบายทางเลอื กในการยตุ ชิ ีวิต ต่างๆ และ (2) ข้อมลู ดา้ นการดำ� เนนิ การของนโยบายทางเลือกในการยุตชิ วี ิตตา่ งๆ ที่ มีการระบุถึง (2.1) ความเป็นไปได้ในเชิงเทคนิค (2.2) ความเป็นไปได้ในทางการเงิน (2.3) ความยากงา่ ยในการบริหารจดั การ และ (2.4) ความเปน็ ไปไดท้ างการเมอื ง อนั หมายถึง ความคิดเห็นต่อนโยบายต่างๆ ของประชาชน ผู้น�ำ ผู้น�ำทางความคิด และ หน่วยงานด�ำเนนิ นโยบาย 4.1 ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ สถานการณใ์ นปัจจบุ นั ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกท่ีมีกฎหมายคุ้มครองการุณยฆาต (Euthanasia) และการฆา่ ตัวตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ (Physician-Assisted Suicide) โดยอนุญาตให้มีการกระท�ำดังกล่าวได้ต้ังแต่ปี ค.ศ. 2002/พ.ศ. 2545 ภายใตก้ ฎหมาย Termination of Life on Request and Assisted Suicide (Review Procedures) Act (Rietjens et al., 2009; Steck et al., 2013; Wise, 2001) ประเทศเนเธอรแ์ ลนดก์ ำ� หนดใหก้ ารณุ ยฆาตและการฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของ แพทย์กระทำ� ไดก้ บั ผ้ปู ่วยที่มีสญั ชาติเนเธอรแ์ ลนด์ ทงั้ ทีเ่ ปน็ ผูใ้ หญ่ (อายมุ ากกว่า 18 ปี) และผู้เยาว์ (อายุ 12-18 ป)ี โดยทไ่ี มผ่ ดิ กฎหมาย โดยมเี ง่อื นไขว่าแพทย์ทกี่ ระทำ� การดงั กลา่ วตอ้ งปฏิบตั ติ ามแนวทางปฏิบตั ทิ ่กี ำ� หนดไวใ้ นกฎหมาย (Criteria for Due Care) 97
ซง่ึ ประกอบไปด้วยองคป์ ระกอบ 6 ประการ ดงั น้ี (Rietjens et al., 2009; Steck et al., 2013; Wise, 2001) (1) ผู้ป่วยจะต้องย่ืนค�ำขอในการกระท�ำการุณยฆาตด้วยความเต็มใจ (“Voluntary”) โดยปราศจากแรงกดดันใดๆ จากบุคคลท่ีสาม และการ ตัดสินใจดังกล่าวของผู้ป่วยจะต้องผ่านการไตร่ตรองมาอย่างถ่ีถ้วนแล้ว (“Well-Considered”) (2) ผู้ป่วยท่ีย่ืนค�ำขอ ไม่จ�ำเป็น ต้องเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Terminal) แต่แพทย์ต้องพิจารณาแล้วว่าผู้ป่วยต้องได้รับความทรมานทางกายหรือ ทางใจอยา่ งที่ไม่อาจทนได้ (“Unbearable (Physical or Psychological) Suffering”) และไม่มีโอกาสที่จะมีสุขภาพหรือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกแล้ว (“No Prospect of Improvement”) (3) ผปู้ ่วยจะตอ้ งไดร้ บั ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ทางเลอื กในการยตุ ชิ ีวติ อาการป่วย และ ทางเลอื กในการรกั ษาของตนอยา่ งครบถ้วนจากแพทย์ (4) ผู้ปว่ ยไม่มีทางเลอื กในการรกั ษาอื่นใดอกี (5) คำ� ขอในการกระทำ� การณุ ยฆาตตอ้ งไดร้ บั การพจิ ารณาอยา่ งถถี่ ว้ นจากแพทย์ ผกู้ ระท�ำการดังกลา่ ว และต้องผา่ นการปรกึ ษาและกลน่ั กรองโดยแพทย์อกี หน่งึ คนด้วย (6) แพทย์จะอยู่ด้วยกับผู้ป่วยตลอดทั้งกระบวนการ และกระบวนการดังกล่าว ต้องเปน็ ไปตามหลักการของความเหมาะสมทางการแพทย์ (Due Medical Care) ทั้งนี้ แพทย์ต้องรายงานกระบวนการกระท�ำการุณยฆาต หรือการให้ความช่วยเหลือ 98
แก่ผู้ป่วยในการฆ่าตัวตายแก่คณะกรรมการตรวจสอบแบบสหสาขาในระดับภูมิภาค (Regional Review Board) ซ่ึงจะต้องประกอบไปด้วยนักกฎหมาย แพทย์ และ นกั จริยศาสตร์ (Ethicist) เพอ่ื ใหค้ ณะกรรมการฯ พิจารณาว่ากระบวนการท่ไี ดก้ ระทำ� ลงไปสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติท่ีกฎหมายก�ำหนดไว้หรือไม่ หากไม่เป็นไปตาม แนวทางปฏบิ ตั ขิ องกฎหมาย คณะกรรมการฯ มหี นา้ ทใี่ นการรายงานแกอ่ ยั การ (Public Prosecutor) เพอ่ื ใหม้ กี ารดำ� เนนิ คดีต่อแพทยค์ นดังกลา่ วตอ่ ไป วิวฒั นาการและทม่ี าทีไ่ ปของนโยบายทางเลือกในการยุตชิ ีวติ ในฐานะทางเลือกเชิงนโยบาย การุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของ แพทย์เป็นท่ีสนใจของสังคมเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 และมีประวัติศาสตร์ อันยาวนานก่อนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายคุ้มครองการกระท�ำดังกล่าวเสียอีก เนื้อหา ของวิวัฒนาการของนโยบายการุณยฆาตต่อไปจากน้ีเรียบเรียงจากงานวิจัยของ Rietjens et al. (2009) เป็นหลัก มรี ายละเอยี ดดังนี้ • ค.ศ. 1881 ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้มีการระบุความผิดของการช่วยเหลือ ให้บุคคลอื่นเสียชีวิตตามค�ำร้อง (ของบุคคลนั้น) ไว้ในประมวลกฎหมาย อาญา โดยกำ� หนดใหม้ ีโทษอยู่ทก่ี ารจำ� คุกไม่เกนิ 12 ปี • ค.ศ. 1973 เกดิ คดี Postma (“Postma Case”) ในคดนี ี้ แพทย์ผหู้ ญิงคน หนง่ึ ไดย้ ตุ ชิ วี ติ แมข่ องตนเองตามคำ� รอ้ งขอของแม่ ศาลไดพ้ พิ ากษาใหแ้ พทย์ คนดังกล่าวมีความผิดทางอาญาแต่ไม่ถือว่าเป็นฆาตกรรม และได้ก�ำหนด โทษจ�ำคุกที่เบากว่าท่ปี ระมวลกฎหมายอาญาก�ำหนดไว้ นอกจากน้ี ศาลยงั ไดแ้ สดงความเหน็ วา่ แพทยไ์ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งยดื ชวี ติ ผปู้ ว่ ย หากผปู้ ว่ ยไมต่ อ้ งการ หรอื หากผปู้ ว่ ยมคี วามทกุ ขท์ รมานแบบทไี่ มส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายขาดไดแ้ ลว้ คำ� พพิ ากษานน้ี บั เปน็ การกรยุ ทางครง้ั สำ� คญั ใหก้ บั การมกี ฎหมายการณุ ยฆาต อีกทั้งยังได้สร้างโอกาสให้เกิดการถกเถียงในประเด็นการุณยฆาตในสังคม อยา่ งกว้างขวาง • ค.ศ. 1980 สืบเนื่องจากความสนใจในประเด็นการุณยฆาตของสังคม อยั การสงู สดุ (Attorney-General) ไดก้ ำ� หนดใหม้ กี ารพจิ ารณาทางกฎหมาย 99
วา่ แพทยท์ ่ีกระทำ� “การณุ ยฆาต” ควรมีความผดิ ทางอาญาหรือไม่ ทง้ั นี้ ใน เวลานี้ ค�ำวา่ “การณุ ยฆาต” ยงั ไม่มคี �ำนยิ ามในทางกฎหมาย และยงั ไมไ่ ด้ รบั การรับรองทางกฎหมายแตอ่ ย่างใด • ค.ศ. 1982-1985 สภาสขุ ภาพ (Health Council) ไดเ้ สนอใหร้ ฐั บาลบญั ญตั ิ นยิ ามของคำ� วา่ “การุณยฆาต” ในทางกฎหมาย และขอใหร้ ัฐบาลกำ� หนด แนวทางปฏิบตั ใิ นการกระท�ำ “การณุ ยฆาต” • ค.ศ. 1984 เกิดคดี Schoonheim ในคดีนี้ ศาลสูง (Supreme Court) พิจารณาความผิดของแพทย์ท่ีได้กระท�ำการุณยฆาตต่อผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทีม่ ีอายุ 95 ปี ศาลสูงพิพากษาว่าแพทยค์ นดังกล่าวไม่มคี วามผิดเนอ่ื งจาก กระท�ำการุณยฆาตด้วย “ความจ�ำเป็น” และอยู่ในสภาวะที่ต้องเลือก ระหว่างหน้าทีข่ องแพทย์สองประการ ได้แก่ การลดทอนความทุกขท์ รมาน ใหก้ บั ผปู้ ว่ ย (Duty to Relieve Suffering) กับการไมท่ ำ� อนั ตรายแกผ่ ูป้ ่วย (Duty to Not Do Harm) คดีน้ีนับเป็นคดีแรกท่ีได้รับการพิพากษาจาก ศาลสูง (แตกต่างจากคดี Postma ที่มีศาลระดับภูมิภาคเป็นผู้พิพากษา) และนับเป็นการเปิดประตูครั้งส�ำคัญให้กับการมีกฎหมายการุณยฆาต ของประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ • ค.ศ. 1985 รฐั บาลไดจ้ ดั ทำ� รายงานทต่ี อบสนองตอ่ ขอ้ เสนอของสภาสขุ ภาพ จนแล้วเสร็จ มีการก�ำหนดนิยามของ “การุณยฆาต” และแนวทางปฏิบัติ ในการกระทำ� การดังกล่าว โดย “การณุ ยฆาต” ในความหมายของประเทศ เนเธอร์แลนด์ หมายถึง การท�ำให้ผู้อื่นเสียชีวิตอย่างต้ังใจจากการร้องขอ ของบคุ คลผ้นู ้นั (“intentionally terminating another person’s life at the person’s request”) • ค.ศ. 1994 รัฐบาลประเทศเนเธอร์แลนด์ออกกฎหมายบังคับให้แพทย์ รายงานการกระทำ� การณุ ยฆาต แม้ว่าจะยังไม่ไดอ้ อกกฎหมายคุม้ ครองการ กระท�ำดังกลา่ ว • ค.ศ. 1998 กระทรวงยุติธรรม (Ministry of Justice) รว่ มกบั แพทยสมาคม แหง่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ (Royal Dutch Medical Association) ก�ำหนด ให้แพทย์ท่ีกระท�ำการุณยฆาตต้องปฏิบัติตนตามแนวทางปฏิบัติท่ีเรียกว่า 100
“Criteria for Due Care” ดังทไี่ ด้อธิบายไปแล้วข้างต้น และได้กำ� หนดให้ มรี ะเบียบระดบั ชาติในการรายงานการกระทำ� การณุ ยฆาต • ค.ศ. 2001 รัฐสภาไดอ้ อกกฎหมาย Termination of Life on Request and Assisted Suicide (Review Procedures) Act หรือท่ีเรียกว่า Euthanasia Act คมุ้ ครองการกระท�ำการณุ ยฆาต และกำ� หนดให้แนวทาง ปฏบิ ตั ทิ กี่ ระทรวงยตุ ธิ รรมไดก้ ำ� หนดไวก้ อ่ นหนา้ นเี้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของกฎหมาย ดว้ ย ท้งั นี้ กฎหมายนค้ี ้มุ ครองการฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลือของแพทย์ และการเรง่ ความตายดว้ ยวธิ อี ่ืนๆ เน่อื งจากการกระทำ� ทงั้ หมดนบั เปน็ ส่วน หนึ่งของนิยามของคำ� ว่า “Euthanasia” ในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ ความสำ� เรจ็ ในการมนี โยบายทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ : การยอมรบั ของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี นอกเหนือบทบาทของภาครฐั แล้ว การมีกฎหมายการุณยฆาตในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ ยงั เกดิ ขน้ึ จากปจั จยั อน่ื ๆ อกี การศกึ ษาของ Weyers (2006) วเิ คราะหก์ ารเปลย่ี นแปลง ของสงั คมเนเธอรแ์ ลนดใ์ นชว่ งศตวรรษทผ่ี า่ นมา และมองวา่ การมกี ฎหมายการณุ ยฆาต เกดิ จากปัจจัยหลกั 3 ประการ ไดแ้ ก่ (1) ความเป็นปัจเจกบคุ คลที่สงู ข้ึน (Individuali- zation) อนั หมายถงึ การตระหนกั ถึงสทิ ธิทีป่ จั เจกบุคคลมตี ่อรา่ งกายของตน รวมไปถึง สทิ ธิในการปรารถนาความตายในรปู แบบที่ตนตอ้ งการดว้ ย (2) ความยอมรับของสงั คม ตอ่ เรื่องความตายท่เี พม่ิ ข้ึน (Diminished Taboos Concerning Death) ส่วนหน่งึ อาจ เกดิ จากการมคี ดคี วามทเี่ กยี่ วขอ้ ง (ดงั ทอี่ ธบิ ายไวข้ า้ งตน้ ) ทกี่ ลายเปน็ ขา่ ว จนทำ� ใหส้ งั คม เกดิ การถกเถยี งในประเดน็ ความตายจนตกผลกึ และทำ� ใหเ้ กดิ นโยบายสาธารณะในทส่ี ดุ และ (3) ความตระหนกั รทู้ เ่ี พม่ิ ขน้ึ ของแพทยว์ า่ การยดื ชวี ติ อาจไมใ่ ชส่ ง่ิ ทแ่ี พทยพ์ งึ กระทำ� กบั ผปู้ ว่ ยทุกคน (Appropriate Focus of Medical Treatment) เน่อื งจากการยืดชวี ติ ผู้ป่วยทไี่ มม่ ีโอกาสหายขาดอาจเป็นการท�ำรา้ ยผู้ปว่ ยได้ อย่างไรก็ดี Rietjens et al. (2009) มองวา่ ปจั จัยที่ Weyers (2006) กล่าวถงึ ขา้ งตน้ นนั้ กม็ อี ยใู่ นประเทศอนื่ และนา่ จะสง่ อทิ ธพิ ลทำ� ใหเ้ กดิ การออกกฎหมายการณุ ยฆาตใน ประเทศอน่ื เชน่ กนั แตก่ ารทป่ี ระเทศเนเธอรแ์ ลนดม์ กี ฎหมายดงั กลา่ ว ในขณะทป่ี ระเทศ 101
อ่ืนยังไม่มี น่าจะเป็นเพราะประเทศเนเธอร์แลนด์มีลักษณะพิเศษท่ีช่วยส่งเสริมการ ท�ำงานของปจั จยั ทัง้ สามประการข้างต้น โดย Rietjens et al. (2009) ได้ระบลุ ักษณะ พิเศษไว้ 2 ประการ ดงั น้ี (1) ระบบสขุ ภาพ เน่อื งจากประเทศเนเธอร์แลนดม์ ีระบบการดแู ลแบบปฐมภมู ิ ท่ีเข้มแข็ง และมีแพทย์ท่ัวไป (GP) เป็นผู้ดูแลประชาชนแต่ละคนอย่างต่อ เนือ่ ง แพทยแ์ ละผปู้ ่วยจึงมคี วามสัมพนั ธ์ใกล้ชิดต่อกัน ทำ� ใหแ้ พทย์สามารถ ประเมินได้อย่างถูกต้องว่าผู้ป่วยควรได้รับการกระท�ำการุณยฆาตหรือไม่ ท้ังนี้ จะเหน็ ได้วา่ ความสมั พันธ์ระหว่างแพทย์กับผูป้ ่วยเป็นรากฐานส�ำคญั ของการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติของการุณยฆาตท่ีกฎหมายได้ก�ำหนดไว้ ท้งั 6 ขอ้ (Criteria for Due Care) (2) วฒั นธรรม ประชาชนในประเทศเนเธอรแ์ ลนดม์ ีลักษณะพิเศษ คอื เป็นคน ท่ีเปิดรับความคิดใหม่ๆ (Candor) กล่าวคือ หากสังคมมีการถกเถียงถึง นโยบายสาธารณะใด ทศั นคตขิ องคนในประเทศ (และนกั การเมอื ง) จะเป็น ไปในทิศทางท่ีจะสนับสนนุ (หรือไมต่ ่อต้าน) กระแสสงั คม และจะหาข้อมูล ถงึ นโยบายสาธารณะดงั กลา่ วอยา่ งเตม็ ทก่ี อ่ น ในกรณขี องกฎหมายการณุ ย- ฆาต จะเห็นได้วา่ ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ใชเ้ วลาถกเถียงตอ่ ประเดน็ ดงั กลา่ ว ยาวนานถงึ 28 ปี (ตง้ั แต่ ค.ศ. 1973-2001) ก่อนที่จะมีกฎหมายในที่สุด นอกจากน้ี ในภาพรวม นโยบายการุณยฆาตในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็นับได้ว่า มี “กระแสสังคม” ซึ่งสะท้อนความเป็นไปได้ทางการเมือง (Political Feasibility) ในทางบวก อันเป็นองค์ประกอบที่น่าจะส�ำคัญที่สุดในการมีนโยบายสาธารณะใดๆ “กระแสสังคม” ต่อกฎหมายการุณยฆาตอาจพิจารณาได้จากจุดยืนของผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียกลมุ่ ต่างๆ ดงั น้ี • สาธารณชน ความต้องการของประชาชนนับเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญของการมี นโยบายสาธารณะ การศึกษาส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในประเทศ เนเธอรแ์ ลนดย์ อมรับต่อการกระท�ำการณุ ยฆาตในระดบั สงู และยาวนาน ก่อนหน้าทีจ่ ะ มกี ารบังคบั ใช้กฎหมายเสียอกี ตวั อย่างของการศึกษาในหัวข้อดงั กล่าวมดี งั นี้ 102
o Wise (2001) พิจารณาวิวัฒนาการของกฎหมายการุณยฆาต และระบุว่า กอ่ นหนา้ ทจี่ ะมกี ารพจิ ารณากฎหมายดงั กลา่ ว รฐั บาลไดท้ ำ� การสำ� รวจความ คิดเห็นของประชาชน และพบว่า กว่าร้อยละ 90 ของประชาชนในประเทศ เห็นด้วยกับการมีกฎหมายการุณยฆาต กลุ่มท่ีไม่เห็นด้วยประกอบไปด้วย ประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างเคร่งครัด ที่มองว่ากฎหมายการุณย- ฆาตขดั ตอ่ แนวคดิ ทางศาสนาทีเ่ ห็นชวี ิตเปน็ สง่ิ มีค่า (Sanctity of Life) o Buiting et al. (2012) ศึกษาทัศนคติต่อการกระท�ำการุณยฆาตและการ ฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ในกลุ่มผู้สูงอายุท่ีมีอายุ 64 ปี ขึน้ ไป โดยใชก้ ารส�ำรวจระดบั ชาติในชว่ งปี ค.ศ. 2001 2005 และ 2008 ผลการศกึ ษา พบวา่ สดั สว่ นของผสู้ งู อายทุ คี่ าดวา่ ตนเองจะเลอื กจบชวี ติ ดว้ ย การกระท�ำการุณยฆาต หรือการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ มีแนวโน้มที่สูงข้ึนอย่างมีนัยส�ำคัญ ผลการศึกษามีนัยถึงการเพ่ิมข้ึนของ ความสนใจในการตัดสินใจยตุ ชิ วี ิตตวั เองของผสู้ ูงอายุ o Kouwenhoven et al. (2012) สำ� รวจความเหน็ สาธารณะเกยี่ วกบั กฎหมาย การณุ ยฆาต ในชว่ งเวลา 8 ปหี ลงั จากทม่ี กี ฎหมายดงั กลา่ วแลว้ โดยสมั ภาษณ์ ประชาชนทว่ั ไปจ�ำนวน 1,960 คน ผลการศกึ ษา พบวา่ ประชาชนเหน็ ดว้ ย กบั กฎหมาย และร้อยละ 77 เหน็ ดว้ ยกับการอนญุ าตให้ระบุความประสงค์ ให้การกระท�ำการณุ ยฆาตในพินยั กรรมชวี ติ ได้ o Pasman et al. (2013) ศกึ ษาทศั นคตขิ องผู้ป่วยที่ถกู ปฏเิ สธคำ� ขอการุณย- ฆาต โดยท�ำการสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ กบั ผ้ปู ่วย 9 คน ญาติ 3 คน และแพทย์ ท่เี กยี่ วข้องอกี 7 คน และพบว่า ผปู้ ่วยที่ถูกปฏิเสธค�ำขอทกุ คนยงั คงยนื ยัน ความต้องการการณุ ยฆาตที่เปน็ ปณธิ านตงั้ ตน้ และรู้สกึ ผิดหวังท่ีถกู ปฏิเสธ ค�ำขอ เน่ืองจากมองว่าการุณยฆาตเป็นสิทธิของตนในฐานะประชาชน ของประเทศ • บคุ ลากรทางการแพทย์ การศกึ ษาในประเทศเนเธอรแ์ ลนดร์ ะบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ใน ทางปฏบิ ตั ิ การณุ ยฆาตและการฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทยม์ กี ารดำ� เนนิ การ มาตง้ั แตก่ อ่ นหนา้ ปี ค.ศ. 2002 แลว้ ซง่ึ สะทอ้ นการยอมรบั ตอ่ การณุ ยฆาตโดยทว่ั ไปของ บคุ ลากรทางการแพทย์ (Steck et al., 2013) ตวั อยา่ งของการศกึ ษาทเ่ี กย่ี วขอ้ ง มดี งั น้ี 103
o Onwuteaka-Philipsen et al. (2003) ทำ� การศกึ ษาทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรม การกระท�ำการณุ ยฆาตของแพทย์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1990 1995 และ 2001 กอ่ นทีจ่ ะมีกฎหมายการุณยฆาต โดยเก็บขอ้ มูลดว้ ยการ สมั ภาษณ์แพทย์จ�ำนวน 405 406 และ 410 คน รวมทัง้ ศกึ ษาฐานขอ้ มลู ของใบมรณบัตรจ�ำนวนประมาณ 1.3 แสนใบต่อปี ผลการศึกษาพบว่า (1) รอ้ ยละ 39-44 ของการเสียชวี ิตทั้งหมดในประเทศมีสาเหตมุ าจากการ เร่งการเสียชีวิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง (ไม่ได้จ�ำกัดเฉพาะการุณยฆาต) โดยความช่วยเหลือของแพทย์ (2) ร้อยละ 13-27 ของแพทย์รายงานว่า ตนเองเคยกระทำ� การณุ ยฆาต และ (3) รอ้ ยละ 56-64 ของแพทยม์ คี วามเหน็ วา่ ผปู้ ่วยมสี ิทธิในร่างกายของตนโดยสมบรู ณ์ ทั้งนี้ ทัศนคตแิ ละพฤติกรรม ของแพทย์มีการเปล่ียนแปลงน้อยมากในทางสถิติตลอดช่วงเวลาของ การศกึ ษา o van der Heide et al. (2012) ศกึ ษาสถิตขิ องการยตุ ิชีวติ ภายใตก้ ฎหมาย การุณยฆาต พบว่า ในปี ค.ศ. 2001 ก่อนท่ีจะมีกฎหมายการุณยฆาต ร้อยละ 2.6 ของการตายทั้งหมดในประเทศมีสาเหตุมาจากการุณยฆาต และร้อยละ 0.2 มาจากการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ ใน ขณะท่ีในปี ค.ศ. 2005 หลังจากท่ีมีกฎหมายคุ้มครองการุณยฆาตแล้ว รอ้ ยละ1.7และรอ้ ยละ0.1ของการตายทงั้ หมดในประเทศมสี าเหตมุ าจากกา- รณุ ยฆาตและการฆา่ ตัวตายโดยความช่วยเหลอื ของแพทย์ ตามลำ� ดบั ทงั้ นี้ van der Heide et al. (2012) เชอื่ วา่ การลดลงของการกระทำ� การณุ ยฆาต เกดิ มาจากอตั ราการยตุ ชิ วี ติ ทเี่ พม่ิ ขน้ึ ดว้ ยการดแู ลแบบประคบั ประคองอยา่ ง เขม้ ขน้ (Aggressive Palliative Care) โดยเฉพาะการจา่ ยยาระงบั ปวดกลมุ่ โอปอิ อยด์ (Opioids) อนั จะทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยนอนหลบั จนเสยี ชวี ติ ไปในทส่ี ดุ ทง้ั น้ี แพทย์ในกลุ่มตัวอย่างมองว่าการให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยสลบจนเสียชีวิตไม่ใช่ การณุ ยฆาต และมกั จะไมร่ ายงานการกระทำ� ดงั กลา่ วตอ่ คณะกรรมการตรวจ สอบดว้ ย แม้ว่าผลลัพธต์ ่อผู้ป่วยจะเหมอื นกนั กต็ าม o van Alphen et al. (2010) ส�ำรวจตัวเลขค�ำร้องขอในการกระท�ำ การุณยฆาตในทางปฏิบัติในประเทศเนเธอร์แลนด์ ท้ังช่วงก่อน (ค.ศ. 1998-2002) และหลัง (ค.ศ. 2003-2007) การใช้กฎหมายการุณยฆาต 104
จากเครือข่ายทางการแพทย์ 45 แหง่ ซ่งึ นับเปน็ ตวั แทนประชากร ผลการ ศึกษา พบว่า มีคำ� รอ้ งขอการกระท�ำการุณยฆาตอยู่ท่ีประมาณ 3.1 คร้งั ต่อ ประชากร 10,000 คน และ 2.8 ครงั้ ตอ่ ประชากร 10,000 คน กอ่ นและหลงั การบงั คบั ใชก้ ฎหมายตามลำ� ดบั และพบวา่ การเปลยี่ นแปลงดงั กลา่ วไมม่ นี ยั สำ� คัญในทางสถติ ิ สะทอ้ นให้เหน็ วา่ แพทยย์ อมรบั และกระท�ำการุณยฆาต มาต้ังแตก่ อ่ นมีกฎหมายแล้ว o Kouwenhoven et al. (2012) สำ� รวจทศั นคตติ อ่ กฎหมายการณุ ยฆาตของ แพทย์ 793 คน และ พยาบาล 1,243 คน ในช่วง 8 ปหี ลังจากที่มกี ฎหมาย ดงั กลา่ วแล้ว ผลการศกึ ษา พบว่า แพทย์และพยาบาลเห็นด้วยกบั กฎหมาย โดยร้อยละ 33 และร้อยละ 58 ของแพทย์และพยาบาลเห็นด้วยกับการ อนุญาตให้ระบุความประสงค์ให้การกระท�ำการุณยฆาตในพินัยกรรมชีวิต ได้ ตามล�ำดบั o Onwuteaka-Philipsen et al. (2012) ทำ� การศกึ ษาทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรม การกระทำ� การณุ ยฆาตของแพทย์ในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ในปี ค.ศ. 1990 1995 และ 2001 กอ่ นมกี ฎหมายการณุ ยฆาต และปี ค.ศ. 2005 และ 2010 หลังมีกฎหมายการุณยฆาต ผลการศึกษา พบว่า ทัศนคติและพฤติกรรม การกระทำ� การณุ ยฆาตของแพทยแ์ ทบไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงในชว่ งเวลาสอง ชว่ งดงั กลา่ ว และพบว่า ในช่วงปี ค.ศ. 2005 และ 2010 มกี ารตายอนั สืบ เนื่องจากการให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยสลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่าการศึกษาใน ทางการแพทย์ จะพบว่า การให้ยาเพ่ือให้ผู้ป่วยสลบจะไม่ท�ำให้ผู้ป่วยตาย ก็ตาม o Steck et al. (2013) ส�ำรวจตวั เลขผูป้ ่วยทีป่ ระสงค์จะท�ำการุณยฆาตและ การฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ และเสียชีวิตจากการเลือก ทางเลือกดังกล่าวในทุกประเทศมีกฎหมายรองรับการุณยฆาต และพบว่า ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์มตี ัวเลขดังกลา่ วสงู ทส่ี ุด โดยในปี ค.ศ. 2011 ตัวเลข ผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยการกระท�ำการุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความ ช่วยเหลือของแพทย์เท่ากับ 3,695 คน และคิดเป็นร้อยละ 1.8-2.9 ของ การเสยี ชวี ิตท้งั หมดในประเทศ ในช่วงปี ค.ศ. 1991-2012 105
• แพทยสมาคมแหง่ ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ (Royal Dutch Medical Association) ในฐานะผนู้ ำ� ทางความคดิ แพทยสมาคมแหง่ ประเทศเนเธอรแ์ ลนดน์ บั วา่ มบี ทบาทสำ� คญั ในการผลักดันการุณยฆาตให้เป็นนโยบายสาธารณะ โดยได้มีการออกแถลงการณ์ระบุ จดุ ยนื อยา่ งชดั เจนในการสนบั สนนุ การณุ ยฆาต และไดเ้ รยี กรอ้ งใหร้ ฐั ออกกฎหมายเพอ่ื คุ้มครองแพทยใ์ นการกระท�ำดังกลา่ วมานับต้งั แตช่ ่วงปี ค.ศ. 1980 ทัง้ น้ี แพทยสมาคม แห่งประเทศเนเธอร์แลนด์มองว่าการุณยฆาตเป็นการกระท�ำที่พึงท�ำโดยแพทย์เท่านั้น และควรอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย (Physician-Patient Relationship) การคุ้มครองแพทย์ภายใต้หลักการดังกล่าวจะท�ำให้การุณยฆาต เป็นการกระท�ำท่ีโปร่งใส เพราะแพทย์มีแนวโน้มท่ีจะรายงานการกระท�ำดังกล่าว อย่างตรงไปตรงมา และยังท�ำให้การุณยฆาตมีกระบวนการที่ชัดเจน ตรวจสอบได้อีก ดว้ ย (Rietjens et al., 2009; Wise, 2001) • ศาลและคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ� การณุ ยฆาต ศาลและคณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำ� การณุ ยฆาตเปน็ หนว่ ยงานทม่ี บี ทบาทในการกำ� กบั ดแู ลใหก้ ารณุ ย- ฆาตไปเป็นตามแนวทางปฏิบัติที่กฎหมายก�ำหนดไว้ อันเป็นไปเพื่อการป้องกันการใช้ การณุ ยฆาตในการหาประโยชนส์ ว่ นตนของแพทยแ์ ละเพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การณุ ยฆาต ในสงั คมทมี่ ากจนเกนิ ไป อยา่ งไรกด็ ี ทงั้ สองหนว่ ยงานมแี นวโนม้ ทจี่ ะไมเ่ อาผดิ แกแ่ พทย์ ถงึ แม้วา่ แพทยอ์ าจจะไม่ปฏบิ ตั ติ ามแนวทางที่กฎหมายก�ำหนดไว้ o การศึกษาของ Rietjens et al. (2009) ระบุว่าในชว่ ง ปี ค.ศ. 2003-2005 จากการกระทำ� การณุ ยฆาต 5,600 กรณีที่ได้รบั การรายงาน พบว่า มี 15 กรณี ที่แพทย์ไม่กระท�ำตามแนวทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในกระบวนการที่ก�ำหนดให้ แพทย์ต้องส่งค�ำร้องขอของผู้ป่วยไปให้แพทย์อีกคนหน่ึงตรวจสอบถึงความ เหมาะสม แต่ปรากฏวา่ ไม่มกี รณใี ดเลยท่ีอยั การสั่งฟ้อง o Kim et al. (2016) ศึกษาการกระท�ำการุณยฆาตต่อผู้ป่วยด้วยโรค ทางประสาทในประเทศเนเธอร์แลนด์ 66 กรณี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2014 และพิจารณาว่ากลไกการควบคุมหรือก�ำกับดูแลกรณีดังกล่าวเป็นอย่างไร ใน ทางกฎหมายแล้ว แพทย์ที่กระท�ำการการุณยฆาตจะต้องส่งกรณีของตนให้กับ แพทย์อีกคนหนง่ึ ประเมนิ วา่ สมควรแก่การกระทำ� การณุ ยฆาตหรอื ไม่ และควร 106
ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์คนดังกล่าวด้วย แต่ผลการศึกษาช้ีให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติ แม้ว่าแพทย์ผู้ประเมินส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยกับการกระท�ำ การุณยฆาตในผู้ป่วยด้วยโรคทางประสาท แต่กระท�ำการการุณยฆาตก็เกิดข้ึน อยู่ดี โดยที่คณะกรรมการตรวจสอบก็ไม่ได้เอาผิดกับแพทย์ผู้กระท�ำดังกล่าว โดยระบุว่าเหน็ ชอบกบั ดลุ ยพนิ ิจของแพทยผ์ ูก้ ระทำ� การณุ ยฆาตแล้ว จากขอ้ มูลท้งั หมดข้างต้น จะเหน็ ได้วา่ สำ� หรบั ประเทศเนเธอรแ์ ลนดแ์ ลว้ เน่อื งดว้ ยแรง ต้านทานต่อการุณยฆาตในสังคมมีน้อยมาก และการกระท�ำการุณยฆาตก็มีอยู่อย่าง ยาวนานต้ังแต่ก่อนมีกฎหมายรองรับ การออกกฎหมายการุณยฆาตจึงเป็นเสมือนการ ทำ� ให้กจิ กรรมทไี่ ม่ถูกกฎหมายแตส่ งั คมยอมรับได้เขา้ สู่ระบบของกฎหมายเพือ่ ใหม้ ีการ เฝ้าระวังและควบคุมอย่างเป็นทางการเท่าน้ัน ไม่ใช่การอนุญาตให้สังคมได้มีโอกาสใน การกระทำ� สิ่งแปลกใหมแ่ ตอ่ ยา่ งใด 4.2 ประเทศแคนาดา สถานการณใ์ นปัจจุบัน ภายใตก้ ฎหมาย Medical Assistance in Dying (Bill C-14) ทีม่ กี ารบังคบั ใชม้ าต้งั แต่ ปี ค.ศ. 2016/พ.ศ. 2559 ประเทศแคนาดานบั วา่ เป็นประเทศล่าสดุ ในโลกที่มีกฎหมาย คุ้มครองการุณยฆาต (Euthanasia) และการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ (Physician-Assisted Suicide) และเรียกการกระท�ำทั้งคู่ว่าการให้ความช่วยเหลือ ทางการแพทยใ์ นการตาย (Medical Aid in Dying: MAiD) (Parliament of Canada, n.d.) ทั้งนี้ กอ่ นหนา้ ทีจ่ ะมีกฎหมายในระดับประเทศ กม็ ีกฎหมายของรฐั ควเิ บกทีช่ ่ือวา่ Act Respecting End-of-life Care (Bill 52) ทบ่ี ังคบั ใชม้ าตงั้ แต่ปี ค.ศ. 2014 อย่างไร ก็ดี กฎหมายของรัฐควิเบกคุ้มครองการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์อย่าง เดียว ไมไ่ ดค้ รอบคลมุ ถงึ การณุ ยฆาต (Landry et al., 2015) ประเทศแคนาดาก�ำหนดเง่ือนไขในการย่ืนค�ำร้องในการท�ำการุณยฆาตและการฆ่า ตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ ดังน้ี (1) ผู้ป่วยต้องมีสัญชาติแคนาดาเท่าน้ัน 107
ไมอ่ นญุ าตใหต้ า่ งชาตริ บั บรกิ าร เพอื่ ปอ้ งกนั การทอ่ งเทยี่ วเชงิ การณุ ยฆาต (Euthanasia/ Suicide Tourism) (2) ผปู้ ว่ ยตอ้ งเป็นผใู้ หญ่ (อายมุ ากกวา่ 18 ปี) (3) ผู้ป่วยตอ้ งอยู่ ในสภาวะท่ีทนทุกข์ทรมานและมีอาการท่ีไม่สามารถรักษาได้แล้ว (“Grievous and Irremediable Condition”) และตอ้ งอยู่ใกลค้ วามตายในระดับสามารถคาดการณไ์ ด้ อยา่ งมเี หตมุ ผี ล (“Reasonably Foreseeable”) (4) ผปู้ ว่ ยยนื่ คำ� รอ้ งขอความชว่ ยเหลอื ทางการแพทย์ในการตายอยา่ งสมคั รใจและปราศจากแรงกดดันจากภายนอก และ (5) ผู้ป่วยได้รับข้อมูลครบถ้วนเก่ียวกับทางเลือกในการรักษาของตน รวมถึงการดูแลแบบ ประคับประคองดว้ ย (My Death My Decision, n.d.; Parliament of Canada, n.d.) จะเห็นได้ว่า การร้องขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ในการตายในประเทศแคนาดา ตงั้ อยบู่ นพนื้ ฐานของความยนิ ยอมอยา่ งมขี อ้ มลู สมบรู ณข์ องผปู้ ว่ ยเปน็ หลกั (Informed Consent) ผู้ป่วยที่ไม่สามารถให้ความยินยอมในทางกฎหมายได้จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะ ร้องขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ในการตายได้ ซึ่งในที่น้ีรวมถึง เด็ก ผู้ที่มีปัญหา จิตเภท และผปู้ ่วยทไ่ี มไ่ ด้อยสู่ ภาวะที่แสดงความยินยอมได้แลว้ (กฎหมายไม่ยนิ ยอมให้ มกี ารระบกุ ารกระทำ� การณุ ยฆาตไว้ในพนิ ัยกรรมชวี ิต) กระบวนการในการยื่นค�ำร้อง อ้างอิงจากกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติแล้ว (Statute) (Parliament of Canada, n.d.) มีดงั น้ี (1) บคุ ลากรทางการแพทยท์ ใี่ หค้ วามชว่ ยเหลอื ในการตายมหี นา้ ทพี่ จิ ารณาและ ตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีคุณลักษณะท่ีผ่านเกณฑ์ท้ังหมดท่ีกฎหมายได้ก�ำหนด ไว้ และมีหน้าที่ตดิ ต่อประสานงานกับบคุ ลากรทางการแพทยอ์ ีกคนหนงึ่ ให้ ตรวจสอบว่าผู้ป่วยผ่านเกณฑ์ดังกล่าวจริง โดยต้องมีเอกสารยืนยันอย่าง เป็นทางการ ทง้ั น้ี บคุ ลากรทางการแพทย์ทั้งสองฝ่ายต้องมีความเปน็ อสิ ระ ต่อกนั (Independent) (2) บุคลากรทางการแพทย์มีหน้าท่ีจัดการให้ผู้ป่วยแสดงความยินยอม (Informed Consent) เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ หนังสือแสดงความ ยินยอมต้องมีการเซ็นและลงวันที่ก�ำกับร่วมกัน โดยท้ังตัวผู้ป่วยเองและ 108
บคุ ลากรทางการแพทย์ ตอ่ หนา้ พยาน 2 คน ทง้ั น้ี ผปู้ ว่ ยอาจใหผ้ สู้ งั เกตการณ์ อิสระ (Independent Observer) ที่ไม่ใช่พยานเป็นผู้เขียนหนังสือแสดง ความยินยอมแทนได้ ในกรณที ีไ่ มส่ ามารถกระทำ� การดงั กลา่ วไดเ้ อง (3) บุคลากรทางการแพทย์มีหน้าที่แจ้งให้ผู้ป่วยรับทราบว่าผู้ป่วยมีสิทธิตาม กฎหมายในการยกเลิกค�ำร้องขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ในการตาย ได้ทกุ เมือ่ (4) หลังจากที่ผ้ปู ว่ ยยนื่ คำ� ร้องแลว้ บคุ ลากรทางการแพทย์มีหนา้ ท่ีรอเปน็ ระยะ เวลา 10 วนั จงึ สามารถใหค้ วามชว่ ยเหลอื ทางการแพทยใ์ นการตายแกผ่ ปู้ ว่ ย ได้ หากทงั้ บคุ ลากรทางการแพทยท์ งั้ 2 คน หรอื คนใดคนหนงึ่ ตามทไี่ ดร้ ะบุ ไวใ้ นขอ้ (1) ขา้ งตน้ เหน็ ว่าความตายของผปู้ ว่ ยนา่ จะมาถงึ กอ่ นระยะเวลา 10 วัน กฎหมายให้ยึดความคิดเห็นของบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ความ ช่วยเหลือเป็นหลัก และให้ตัดสินใจบนหลักการทางการแพทย์ได้ว่าควรท้ิง ระยะหา่ งนานเพยี งใด (5) บุคลากรทางการแพทย์มีหน้าที่แจ้งให้ผู้ป่วยรับทราบอีกครั้งก่อนที่จะให้ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในการตายว่าผู้ป่วยมีสิทธิตามกฎหมายใน การยกเลิกค�ำร้องได้ ให้โอกาสผู้ป่วยตัดสินใจ และต้องรอจนกว่าผู้ป่วยจะ ยืนยันคำ� รอ้ งอกี ครั้ง จงึ จะกระทำ� การดงั กลา่ วได้ หากผ้ปู ว่ ยไม่อยใู่ นสภาวะ ท่ีสามารถยืนยันคำ� ร้องไดแ้ ลว้ ให้หาวิธใี ดวธิ ีหนึ่งเท่าท่ีจำ� เปน็ (Necessary Measures) ในการพยายามส่ือสารกบั ผู้ปว่ ยใหไ้ ด้ จากการพิจารณากฎหมายข้างต้น จะเห็นได้ว่า ประเทศแคนาดาต้ังใจท่ีจะไม่ก�ำหนด เง่ือนไขในการยื่นค�ำร้องในการท�ำการุณยฆาตให้ชัดเจน หากแต่ก�ำหนดให้ผู้ป่วย ต้องอยู่ใกล้ความตายในระดับสามารถคาดการณ์ได้อย่างมีเหตุมีผล (“Reasonably Foreseeable”) โดยไมใ่ ช้คำ� ว่า “ผู้ป่วยระยะสดุ ทา้ ย” การเขียนกฎหมายเชน่ นี้แสดง ถึงเจตจ�ำนงของผู้ออกกฎหมายท่ีต้องการให้เกิดการตีความจนต้องมีการพิจารณา 109
ความเหมาะสมเปน็ กรณีไป ท้งั น้ี จะสงั เกตได้วา่ การกำ� หนดเงอื่ นไขของการยน่ื คำ� ร้อง แตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะประเทศ ในขณะทปี่ ระเทศเนเธอรแ์ ลนดแ์ ละประเทศแคนาดาไมม่ ี นิยามของคำ� ว่า “ระยะสุดทา้ ยของชวี ิต” ท่ีชดั เจน แต่มลรฐั ของประเทศสหรัฐอเมรกิ า ท่ีมกี ฎหมายคุม้ ครองการฆา่ ตวั ตายโดยความช่วยเหลอื ของแพทย์มีนยิ ามทชี่ ัดเจน โดย ผปู้ ว่ ยจะมสี ทิ ธิในการขอยตุ ชิ วี ติ ด้วยทางเลอื กดงั กล่าวได้ กต็ อ่ เมือ่ อยู่ในระยะ 6 เดอื น สุดทา้ ยของชวี ิตแล้วเท่านั้น (Death with Dignity National Center, n.d.) การระบุ เง่ือนไขดังกล่าวเป็นวิธีการของรัฐในการจ�ำกัดจ�ำนวนผู้ป่วยท่ีสามารถเข้าถึงการกระ ท�ำการุณยฆาตได้ และเป็นการก�ำหนดขอบเขตการตัดสินใจของแพทย์ว่าสามารถใช้ วจิ ารณญาณได้มากน้อยเพยี งใดในการกระท�ำการุณยฆาตใหก้ ับผปู้ ว่ ย นอกจากนี้ กระบวนการตามกฎหมายของประเทศแคนาดายงั มคี วามซบั ซอ้ นสงู สะทอ้ น ให้เห็นถึงความพยายามของรัฐในการปกป้องผู้ป่วย (Safeguard) องค์ประกอบของ กระบวนการท้ังหมด (ไม่ว่าจะเป็นการใช้แพทย์ที่เป็นอิสระต่อกันในการพิจารณา ความเหมาะสมของผู้ป่วย การก�ำหนดให้มีพยาน การก�ำหนดระยะเวลารอ 10 วัน การใหข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั การดแู ลแบบประคบั ประคอง การกำ� หนดใหม้ ผี สู้ งั เกตการณอ์ สิ ระ และการยืนยันค�ำร้องก่อนตาย) ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อให้ผู้ป่วยมีข้อมูลสมบูรณ์ และป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโดนเอารัดเอาเปรียบจากญาติหรือแพทย์ที่อาจได้รับประโยชน์ โดยตรงจากความตายของผูป้ ่วย ววิ ัฒนาการและทมี่ าท่ไี ปของนโยบายทางเลอื กในการยตุ ชิ ีวิต ในประเทศแคนาดา ความสนใจในประเด็นทางเลือกในการเร่งความตายเร่ิมต้นในปี ค.ศ. 1993 และมีววิ ัฒนาการในฐานะประเด็นทางการเมอื งที่มรี ายละเอียดดังนี้ • กอ่ นหน้าปี ค.ศ. 2016 การณุ ยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความชว่ ยเหลือ ของแพทย์นับเป็นการกระท�ำท่ีผิดกฎหมายในประเทศแคนาดา แพทย์ ผู้กระท�ำการการุณยฆาตหรือให้ความช่วยเหลือในการฆ่าตัวตายของผู้ ป่วยมีความผิดฐาน “ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา” (Culpable Homicide) 110
ตามมาตรา 222 และ 229 ของประมวลกฎหมายอาญา มีโทษสูงสุด คอื จำ� คกุ ไม่เกนิ 14 ปี สว่ นแพทยท์ ่ใี หค้ ำ� แนะน�ำหรือการช่วยเหลอื ทางออ้ ม ในการฆ่าตวั ตาย (แมว้ า่ ผ้ปู ่วยจะมสี ตสิ มั ปชัญญะสมบรู ณก์ ต็ าม) ก็นับว่ามี ความผิดตามมาตรา 241 แต่ความผิดนั้นอยู่ในระดับที่ลดหลั่นลงมา ทั้งนี้ เจตนาดี (Motive of Mercy) ของแพทย์ไมใ่ ช่ส่วนหน่ึงขององคป์ ระกอบ ทศ่ี าลใช้ในการตัดสินความผดิ (Schafer, 2013) • ค.ศ. 1993 เกิดคดี Rodriguez v. British Columbia (General Attorney) ในคดีน้ี ผู้ป่วย Sue Rodriquez มีโรคกล้ามเน้ืออ่อนแรง (ALS) และต้องการให้ศาลอนุญาตให้ตนเองฆ่าตัวตายด้วยความช่วยเหลือ ของแพทย์ได้โดยท่ีแพทย์ไม่ต้องรับผิด อย่างไรก็ดี ศาลสูงของประเทศ (Supreme Court of Canada: SCC) มมี ติ 5 ตอ่ 4 ไมเ่ หน็ ชอบใหก้ ารกระทำ� ดงั กลา่ วถกู กฎหมาย โดยมองวา่ ประชาชนชาวแคนาดายงั ไมม่ คี วามคดิ เหน็ ทเ่ี ปน็ เอกฉันท์ (Public Consensus) ตอ่ ประเด็นการุณยฆาตและการเร่ง การตายในรปู แบบอน่ื ๆ และมองวา่ แนวคดิ ทว่ี า่ การตายเปน็ สทิ ธขิ องปจั เจก เปน็ เรอื่ งเดยี วกนั กบั แนวคดิ ทวี่ า่ รฐั มหี นา้ ทใี่ นการปกปอ้ งชวี ติ ของประชาชน ทุกคน และประเด็นหลังมีความส�ำคัญกว่าประเด็นแรก ท้ังน้ี แม้ว่าการ เรียกร้องของ Sue Rodriquez จะไม่เปน็ ผล แตส่ ุดทา้ ย Sue Rodriquez ก็ฆ่าตวั ตายด้วยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์อยูด่ ี โดยไม่มใี ครทราบว่าแพทย์ ดังกล่าวคอื ใคร (Schafer, 2013) • ค.ศ. 2011 เกิดคดี Carter v. Canada คดีน้ีเริ่มต้นท่ีศาลสูงของของรัฐ British Columbia (B. C. Supreme Court) ในปี ค.ศ. 2011 ถูกส่ง ต่อไปศาลอุทธรณ์ของรัฐ (B. C. Court of Appeal) ในปี ค.ศ. 2012 และสุดท้าย ถูกส่งต่อไปยังศาลสูงของประเทศ (Supreme Court of Canada: SCC) ในปี ค.ศ. 2014 ในคดนี ี้ Lee Carter พร้อมด้วย Hollis Johnson, Gloria Taylor, William Shoichet และสมาคมเสรีภาพของ พลเมืองแหง่ รัฐ British Columbia (British Columbia Civil Liberties Association: BCCLA) ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ (Claimant) เรียกร้องให้มี การเปลย่ี นแปลงประมวลกฎหมายอาญาทหี่ า้ มไมใ่ หผ้ ใู้ ดผหู้ นงึ่ ใหค้ ำ� แนะนำ� หรือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อ่ืนในการฆ่าตัวตาย โดยมองว่าการกระท�ำ 111
ดงั กลา่ วขัดตอ่ เสรีภาพของประชาชนในสองมิติ ได้แก่ (1) การมสี ทิ ธิในการ เลือกทางเลือกในชีวิตของตนเอง (Autonomy) หมายถึง สิทธิของผู้ป่วย ในการเลอื กวิธกี ารและเวลาในการตายของตนเอง และ (2) ความเทา่ เทยี ม (Equality) หมายถึง ความเท่าเทียมในทางกฎหมายของการฆ่าตวั ตาย เม่ือ เปรียบเทียบกับการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ ท้ังน้ี ในช่วง เวลาทพ่ี จิ ารณาคดนี ้ี (ค.ศ. 2011-2015) ในประเทศแคนาดา การฆา่ ตวั ตาย ไมผ่ ดิ กฎหมาย ในขณะทก่ี ารฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทยน์ น้ั ผดิ กฎหมาย ซง่ึ โจทกม์ องวา่ ไมเ่ ปน็ ธรรมแกผ่ ปู้ ว่ ยทไี่ มไ่ ดอ้ ยใู่ นสภาวะทส่ี ามารถ ฆา่ ตัวตายเองได้ ในค�ำพิพากษาสุดท้าย ณ วันท่ี 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ศาลสงู ของประเทศเหน็ ชอบกบั ขอ้ ถกเถยี งในประเดน็ การมสี ทิ ธใิ นการเลอื ก ทางเลอื กในชวี ติ ของตนเอง โดยเหน็ วา่ ขดั แยง้ กบั บทบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยสทิ ธแิ ละ อิสรภาพในรฐั ธรรมนญู (Charter of Rights and Freedom) อีกท้งั ยังมอง วา่ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาขอ้ ถกเถยี งในประเดน็ ความเทา่ เทยี ม หากประเดน็ แรกได้รับการเห็นชอบแล้ว คดีนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ครั้ง สำ� คญั (Watershed Moment) เพราะทำ� ใหเ้ กดิ การตคี วามทางรฐั ธรรมนญู (Constitutional Grounds) ทที่ ำ� ใหก้ ารให้ความชว่ ยเหลือทางการแพทย์ ในการตาย (Medical Aid in Dying) เป็นกิจกรรมที่ถูกกฎหมายในที่สุด (Karsoho et al., 2016; Landry et al., 2015) • ค.ศ. 2016 สืบเน่ืองจากค�ำตัดสินใจของศาลสูงในคดี Carter v. Canada รัฐสภาแคนาดาจึงจ�ำเป็นต้องเปลี่ยนประมวลกฎหมายอาญา และออก กฎหมาย Medical Assistance in Dying (Bill C-14) ท�ำให้แคนาดา เป็นประเทศล่าสุดในโลกท่ีมีกฎหมายคุ้มครองการุณยฆาต (Euthanasia) และการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ (Physician-Assisted Suicide) (Karsoho et al., 2016; Landry et al., 2015; Parliament of Canada, n.d.) 112
ความสำ� เรจ็ ในการมีนโยบายทางเลอื กในการยุติชีวติ : การยอมรับของผ้มู ีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย การมีกฎหมายการุณยฆาตในประเทศแคนาดามปี ัจจัยสนับสนุนหลายประการ ดงั นี้ ประการแรก คอื เวลา จะเหน็ ไดว้ า่ กฎหมายการณุ ยฆาตของประเทศแคนาดามขี นึ้ หลงั กฎหมายการณุ ยฆาตในหลายประเทศ เชน่ ประเทศเนเธอรแ์ ลนดแ์ ละประเทศเบลเยยี ม ที่มีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 และประเทศสหรัฐอเมริกา (รฐั โอเรกอน) ทม่ี กี ฎหมายคมุ้ ครองการฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทยม์ าตง้ั แต่ ปี ค.ศ. 1997 ทัง้ น้ี ประเทศแคนาดาและประเทศสหรฐั อเมรกิ าเปน็ ประเทศเพอื่ นบ้าน ทม่ี วี ฒั นธรรมบางอยา่ งทค่ี ลา้ ยกนั และมกั จะมกี ารถา่ ยทอดนวตั กรรมทางนโยบายแกก่ นั จงึ เปน็ ไปไดว้ า่ การมกี ฎหมายทใี่ กลเ้ คยี งกนั ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า (และประเทศอนื่ ๆ ท่ีเก่ียวข้อง) เป็นปัจจัยผลักดันประการหน่ึงท่ีท�ำให้ประเทศแคนาดามีกฎหมาย การุณยฆาต นอกจากน้ี การมีกฎหมายหลังประเทศอ่ืนท�ำให้ประเทศแคนาดา สามารถพิจารณาประเด็นถกเถียงต่างๆ แบบที่มีหลักฐานรองรับได้ ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1993 ในคดี Rodriguez v. British Columbia (General Attorney) ประเด็นถกเถียงท่ีส�ำคัญในเวลาน้ันคือ ความกังวลว่าจะมีคนตายจากการกระท�ำ การณุ ยฆาตมากจนเกนิ ไป (Slippery Slope Argument) ศาลสูงจึงพิพากษาให้ค�ำรอ้ ง ของโจทก์ตกไปเพราะต้องการที่จะปกป้องชีวิตของประชาชนบางคนที่อาจถูกกดดัน ให้ตายดว้ ยวธิ ีการณุ ยฆาต อยา่ งไรกด็ ี ในปี ค.ศ. 2011-2015 ในคดี Carter v. Canada เน่ืองด้วยประเทศอ่ืนๆท่ีมีกฎหมายการุณยฆาตมีประสบการณ์จากการบังคับใช้ กฎหมายดงั กลา่ วมาแลว้ และพบวา่ อตั ราการยน่ื คำ� รอ้ งขอการณุ ยฆาตไมไ่ ดส้ งู ขน้ึ อยา่ งมี นยั สำ� คัญหลังจากการมกี ฎหมาย (Schafer, 2013) ศาลสูงจึงได้พิจารณาถงึ ข้อเทจ็ จริง ดงั กลา่ วจนเหน็ ชอบกบั การแกไ้ ขกฎหมายและคุม้ ครองการกระทำ� การณุ ยฆาตในที่สุด ประการท่ีสอง คือ ทัศนคติของสังคมต่อบทบาทของแพทย์ในการจดั การกับความทุกข์ ทรมานในระยะสุดท้ายของชีวิต การศึกษาของ Karsoho et al. (2016) วิเคราะห์ ทศั นคติของผูท้ เี่ กยี่ วขอ้ งกับคดี Carter v. Canada (หมายถึง พยาน ทนาย อัยการ 113
และผู้เกี่ยวข้องกับคดีคนอื่นๆ) ที่ท�ำให้ประเทศแคนาดามีกฎหมายการุณยฆาตจ�ำนวน 42 คนด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก และพบว่า ผู้ที่เห็นด้วยกับการุณยฆาตในคดีนี้มอง ว่าการรักษาทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาให้หายขาด (Curative Medicine) หรือการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ไม่สามารถท�ำให้ผู้ป่วยพ้นจาก ความทุกข์ทรมานได้โดยสมบูรณ์ และ ในบางกรณี การดูแลแบบประคับประคองยัง อาจสรา้ งความทกุ ขท์ รมานเพม่ิ เตมิ ใหก้ บั ผปู้ ว่ ยไดด้ ว้ ย แนวคดิ เชน่ นส้ี ะทอ้ นใหถ้ งึ ความ เช่ือของคนส่วนหน่ึงในสังคมท่ีว่าแพทย์มีบทบาทท่ีจ�ำกัดในวาระสุดท้ายของชีวิตของ ผู้ป่วย การมีกฎหมายการุณยฆาตจึงนับเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปลดปล่อย ผู้ป่วยจากความทุกข์ทรมานที่มีประสิทธิภาพ โดยที่การรักษาให้หายขาดและการดูแล แบบประคับประคองยังคงเปน็ ทางเลอื กท่สี ำ� คัญของผู้ปว่ ยอยู่ ประการสุดท้าย คือ ระดับความเป็นไปได้ทางการเมือง (Political Feasibility) ของกฎหมายการุณยฆาต ตัวบ่งช้ีท่ีส�ำคัญของความส�ำเร็จในการมีนโยบายใดๆ คือ ความเปน็ ไปไดท้ างการเมอื งของนโยบายนน้ั ตอ้ งอยใู่ นระดบั สงู พจิ ารณาไดจ้ ากทศั นคติ ของผูม้ สี ่วนไดส้ ่วนเสียกลมุ่ ต่างๆ ในยคุ ก่อนทจ่ี ะมกี ฎหมายรองรับการุณยฆาต ดงั นี้ • สาธารณชน ค.ศ. 2011 หน่วยงาน Forum Research ได้จดั ท�ำการสำ� รวจ ความคิดเห็นของประชาชนในประเทศแคนาดา และพบว่าประชาชนมากกว่า ร้อยละ 67 เห็นด้วยกับการปรับเปล่ียนประมวลกฎหมายอาญา เพ่ือให้การ ช่วยการเร่งตายของผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย โดยผลการ สำ� รวจนสี้ อดคลอ้ งกบั การสำ� รวจความคดิ เหน็ ในประเทศนบั ตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1996 (15 ปีก่อนหนา้ ) (Schafer, 2013) • บคุ ลากรทางการแพทย์ o ในช่วงก่อนมีกฎหมาย บุคลากรทางการแพทย์ในประเทศแคนาดา มีความคิดเห็นท่ีแตกต่างกันต่อประเด็นการุณยฆาตและการฆ่าตัวตาย โดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ การศกึ ษาของ Young and Ogden (1998) ท�ำการส�ำรวจพยาบาล 45 คนท่ีดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ในปี ค.ศ. 1997 114
และพบว่าร้อยละ 57.8 ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่าตนเองรับทราบถึง หรอื เคยเหน็ การกระทำ� การณุ ยฆาตของแพทยม์ าตงั้ แตก่ อ่ นทจี่ ะมกี ฎหมาย แล้ว ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับต่อการกระท�ำดังกล่าว ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ในขณะเดียวกัน การศึกษาของ Vachon (2013) กไ็ ดแ้ สดงความเหน็ ไวว้ า่ ผปู้ ว่ ยทกุ คนควรไดร้ บั การดแู ลแบบประคบั ประคองเปน็ ล�ำดับแรกก่อนพจิ ารณาทางเลือกอนื่ ใดทง้ั หมด และเน่ืองจาก ความครอบคลมุ ของการดแู ลแบบประคบั ประคองในประเทศแคนาดายงั อยู่ ในระดบั คอ่ นขา้ งตำ�่ การรา่ งกฎหมายการณุ ยฆาตจงึ นบั วา่ เรว็ เกนิ ไป รฐั บาล ควรพัฒนาการดูแลแบบประคับประคองอย่างเต็มท่ีก่อนท่ีจะมีกฎหมาย การุณยฆาต รวมท้ังควรพิจารณามิติทางด้านจิตวิญญาณ (ในเชิงศาสนา) และจติ วทิ ยาของความจำ� เปน็ ในการมกี ฎหมายดงั กล่าวด้วย o การศกึ ษาในชว่ งหลังการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย พบวา่ บคุ ลากรทางการแพทย์ มีความคิดเห็นต่อประเด็นการุณยฆาตที่สอดคล้องกันมากขึ้น ตัวอย่างเช่น Bravo et al. (2018) ศกึ ษาทศั นคตขิ องพยาบาลในรฐั ควเิ บกทดี่ แู ลผสู้ งู อายุ ในสถานบรบิ าลจำ� นวน 514 คน และพบวา่ รอ้ ยละ 84 ของพยาบาลในกลมุ่ ตวั อยา่ งเหน็ ดว้ ยกบั การมกี ฎหมายการณุ ยฆาต และมองวา่ บคุ ลากรทางการ แพทย์ควรเคารพการตัดสินใจของผู้ป่วยและท�ำตามความปรารถนาของผู้ ป่วย นอกจากน้ี รอ้ ยละ 83 ของกล่มุ ตวั อย่างยังเหน็ ด้วย หากกฎหมายจะ ขยายขอบเขตความชว่ ยเหลอื ในการเรง่ การตายใหก้ บั ผปู้ ว่ ยในระยะสดุ ทา้ ย ของโรคอัลไซเมอร์ท่ีแสดงอาการทรมานจากโรคดว้ ย (ยงั ผดิ กฎหมายอยใู่ น ปัจจบุ ัน) จากขอ้ มลู ทงั้ หมดขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ สำ� หรบั ประเทศแคนาดา การวพิ ากษว์ จิ ารณแ์ ละ ถกเถยี งในประเดน็ การุณยฆาตมมี าอยา่ งยาวนาน การออกกฎหมายการณุ ยฆาตจึงนบั เปน็ กระบวนการท่ีอาศยั เวลาในการตกผลึก โดยรัฐพิจารณาจากหลักฐานทางสถติ ิของ ประเทศอืน่ ๆ ทีม่ กี ารบงั คับใชก้ ฎหมายทีค่ ล้ายคลงึ กนั มาก่อน แลว้ จงึ ปรับสาระสำ� คัญ ของกฎหมายให้เขา้ กบั บรบิ ทในประเทศ โดยตง้ั อยู่บนพน้ื ฐานที่วา่ การเลอื กวธิ ตี ายเปน็ สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนก็พึงเลือกการุณยฆาตก็ต่อเมื่อได้รับ ขอ้ มลู อยา่ งครบถ้วนจนให้ความยนิ ยอมแล้วเท่านนั้ 115
117
บทที่ 5 บทสรปุ และบทเรียนต่อประเทศไทย 118
5.1 การสรปุ องคค์ วามรู้จากวรรณกรรมและกรณีศึกษา หนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ ได้แก่ (1) เพื่อศึกษานโยบายที่เกี่ยวข้องกับ ทางเลือกในการยุติชีวิตของผู้ป่วยระยะท้ายในต่างประเทศ และ (2) เพื่อประเมินใน เบื้องต้นถึงความเป็นไปได้ในการด�ำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกในการยุติ ชีวิตของผู้ป่วยระยะท้ายในรูปแบบต่างๆ ในประเทศไทย ขอบเขตของหนังสือเล่มนี้ คอื การสรปุ และสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทง้ั ในและตา่ งประเทศทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยพจิ ารณางาน วิจัยของประเทศไทยในฐานข้อมลู ของศูนยด์ ัชนกี ารอ้างองิ วารสารไทย (Thai Journal Citation Index: TCI) งานวิจยั ของต่างประเทศในฐานขอ้ มูล PubMed และ Google Scholar และการศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับประเทศเนเธอร์แลนด์และแคนาดาท่ีเป็นกรณี ศึกษาของหนังสือเล่มนี้ กรอบแนวคิดของหนังสือเล่มน้ี คือ กรอบการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis) ทเ่ี สรมิ ดว้ ยหลกั การดา้ นกระบวนการนโยบาย (Policy Process) และการประเมนิ ความ เปน็ ไปไดท้ างการเมอื ง (Political Feasibility) โดยพจิ ารณาถงึ ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี 4 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ประชาชน ผนู้ ำ� ผนู้ ำ� ทางความคดิ และ หนว่ ยงานดำ� เนนิ นโยบาย โดยหนงั สอื เลม่ นใ้ี ชก้ ระบวนการกรณศี กึ ษาแบบอา้ งองิ ขอ้ เทจ็ จรงิ (Positivist Case Study Approach) โดยจะมกี ารเลอื กกรณศี กึ ษาหลากหลาย (Collective/Multiple Case Study Design) และเกบ็ ขอ้ มลู โดยการปริทศั นว์ รรณกรรม (Literature Review) สรุปองคค์ วามรูจ้ ากวรรณกรรม ทางเลือกในการยุติชีวิตในวรรณกรรมมีทั้งสิ้น 6 ทางเลือก ได้แก่ (1) การุณยฆาต (Euthanasia) หมายถึง การยุติชีวิตของผู้ป่วยโดยแพทย์ตามค�ำร้องขอและความ 119
สมัครใจของผู้ป่วยเอง (2) การฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ (Physician- Assisted Suicide) หมายถึง การยุติชีวิตของผู้ป่วยด้วยตัวผู้ป่วยเอง โดยแพทย์ให้ ความช่วยเหลือด้วยการจัดยาที่มีฤทธิ์ท�ำให้เสียชีวิตตามค�ำร้องขอและความสมัครใจ ของผ้ปู ่วย (3) การยตุ ชิ ีวิตโดยปราศจากการแสดงเจตนาของผปู้ ว่ ย (Ending of Life without the Patient’s Explicit Request หรือ Life Terminating Acts without Explicit Request of Patient) หมายถึง การยุติชีวิตของผู้ป่วยโดยแพทย์ โดยที่ผู้ ป่วยไม่เคยแสดงเจตนารมณ์ไว้ว่าให้แพทย์กระท�ำการดังกล่าวได้ (4) การปฏิเสธการ รักษาในวาระท้ายของชีวิต (Non-Treatment Decisions) หมายถึง การท่ีผู้ป่วย ตัดสินใจที่จะงดหรือหยุดการรับบริการทางการแพทย์ที่มีวัตถุประสงค์ในการธ�ำรงหรือ ยืดชีวิตของตนเอง (Withhold or Withdraw Life-Sustaining Treatment) (5) การฆ่าตัวตาย (Suicide) และ (6) การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ซ่ึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการเร่งหรือยืดการตายแต่อย่างใด ผลลัพธ์ของการกระท�ำดัง กลา่ วจงึ เปน็ การเสยี ชวี ติ “ตามธรรมชาต”ิ ทง้ั น้ี การรบั การดแู ลแบบประคบั ประคองเปน็ การกระทำ� ทถ่ี กู กฎหมายในทกุ ประเทศทวั่ โลก และนบั วา่ เปน็ รปู แบบการยตุ ชิ วี ติ ทเ่ี ปน็ ตัวเปรียบเทียบ (Status Quo) ใหก้ บั รปู แบบอน่ื ๆ การยตุ ิชีวติ โดยปราศจากการแสดงเจตนาของผปู้ ่วย (ทางเลือก 3) และการฆ่าตวั ตาย (ทางเลอื ก 5) ไมไ่ ด้อยู่ในขอบเขตของหนังสอื เลม่ นี้ เนอ่ื งดว้ ยไม่ถูกกฎหมาย สว่ นการ ดูแลแบบประคับประคอง (ทางเลือก 6) เป็นการกระท�ำท่ีถูกกฎหมายในทุกประเทศ อยู่แล้ว จึงจะได้รับกล่าวถึงเม่ือมีประเด็นท่ีเก่ียวข้องท่ีน่าสนใจเท่าน้ัน หนังสือเล่มน้ี พจิ ารณาทางเลอื กทเ่ี หลอื เปน็ หลกั ไดแ้ ก่ การณุ ยฆาต การฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ และการปฏิเสธการรักษาในวาระทา้ ยของชวี ิต ปัจจุบัน ประเทศส่วนใหญ่ในโลกมีกฎหมายรองรับการปฏิเสธการรักษาในวาระท้าย ของชีวิต แต่มีไม่กี่ประเทศที่มีกฎหมายรองรับการุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดย ความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ เชน่ เนเธอรแ์ ลนด์ แคนาดา และเบลเยยี ม เปน็ ตน้ และมี ไมก่ ปี่ ระเทศทมี่ กี ฎหมายรองรบั การฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ แตไ่ มร่ องรบั การณุ ยฆาต เชน่ สวติ เซอร์แลนด์ และบางรฐั ในประเทศสหรัฐอเมริกา เปน็ ตน้ 120
วรรณกรรมในตา่ งประเทศที่เกยี่ วข้องมหี วั ข้อและระเบยี บวธิ ีวจิ ัยทหี่ ลากหลาย แบง่ ได้ เปน็ 3 กลมุ่ หลัก ไดแ้ ก่ (1) วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติและการยอมรับต่อทางเลือกในการยุติ ชีวิตของผู้ป่วยระยะท้ายในรูปแบบต่างๆ ผลของการศึกษาในกลุ่มน้ีเป็น ไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ การยอมรับต่อการกระท�ำการุณยฆาตและ กฎหมายการุณยฆาตทั้งของประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์อยู่ใน ระดบั สูง ไมว่ ่าจะกระท�ำการศึกษาในประเทศทีม่ กี ฎหมายการณุ ยฆาตหรือ ไม่ก็ตาม (2) วรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับพฤติกรรมการยุติชีวิตของผู้ป่วยระยะท้าย ผล ของการศึกษาในกลมุ่ น้ี พบว่า ทัง้ ในประเทศทีม่ แี ละไมม่ ีกฎหมายการุณย- ฆาต บคุ ลากรทางการแพทยเ์ คยไดร้ บั การรอ้ งขอใหก้ ระทำ� การณุ ยฆาต หรอื เคยกระทำ� การณุ ยฆาต โดยประชากรทเี่ ลอื กยตุ ชิ วี ติ ดว้ ยการกระทำ� การณุ ย- ฆาตหรือการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์มีคุณลักษณะร่วมกัน คอื อย่ใู นวาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ เป็นเพศชาย มีการศึกษาสูง และมักมีอายุ น้อยโดยเปรียบเทียบ (3) วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นถกเถียงของกฎหมายการุณยฆาต การ ศึกษาในกลุ่มน้ีพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย/ข้อพึงระวังของกฎหมาย การุณยฆาต ประเด็นถกเถียงมี 5 ประการหลัก ได้แก่ ประเด็นสิทธิของ ผปู้ ว่ ย (Autonomy Argument) ประเดน็ การปกปอ้ งผทู้ เ่ี ปราะบางในสงั คม (Protection of the Vulnerable) ประเด็นด้านความสัมพันธ์ระหว่าง แพทยแ์ ละผูป้ ว่ ย (Physician-Patient Relationship) ประเดน็ ดา้ นจำ� นวน การกระท�ำการุณยฆาต (Slippery Slope Argument) และ ประเด็นด้านระบบการดูแลแบบประคับประคอง โดยวรรณกรรม ยังไม่มีบทสรุปแน่ชัดว่ากฎหมายการุณยฆาตมีผลกระทบเชิงลบต่อ สังคมจริงหรือไม่ เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ยังมีความขัด แย้งกันอยู่ ส�ำหรับมุมมองทางด้านคุณค่า (Value) พบว่า แม้ว่า การศึกษาทางจริยศาสตร์จะยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมของ การุณยฆาต เม่ือเปรียบเทียบกับทางเลือกในการยุติชีวิตอ่ืนๆ ท่ีสังคม 121
“ยอมรับได้” แต่การศึกษาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็มักสรุปว่าทางเลือกในการ ยตุ ชิ ีวติ ต่างๆ มคี วามแตกตา่ งกนั นอ้ ยมาก ในขณะเดยี วกัน การศึกษาทใ่ี ช้ มมุ มองทางศาสนานนั้ มกั มแี นวโนม้ ในการตอ่ ตา้ นการณุ ยฆาต แตไ่ มต่ อ่ ตา้ น การปฏิเสธการรกั ษาพยาบาล ส�ำหรับวรรณกรรมของประเทศไทย พบว่า เกี่ยวข้องกับทางเลือกในการยุติชีวิตของ ผปู้ ว่ ย 2 ทางเลือกเทา่ นน้ั ได้แก่ การท�ำการุณยฆาต และการปฏเิ สธการรกั ษาในวาระ ท้ายของชีวิต แต่ไม่มีการกล่าวถึงทางเลือกในการยุติชีวิตอ่ืนๆ และไม่มีการวิจารณ์ ถึงข้อดี ข้อเสีย และข้อพึงระวังของทางเลือกแต่ละทางมากนัก ส�ำหรับการุณยฆาต การศึกษาของประเทศไทยถกเถียงเรื่องการุณยฆาตบนพื้นฐานแนวคิดในเชิงบาปบุญ คุณโทษเป็นหลัก ไม่ได้มองการุณยฆาตในฐานะของทางเลือกของนโยบายสาธารณะ ยังไม่มีการตั้งค�ำถามว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีความต้องการการุณยฆาตหรือไม่ และยงั ไมม่ กี ารพจิ ารณาปญั หาเชงิ โครงสรา้ ง การศกึ ษาแทบทง้ั หมดตง้ั ตน้ จากแนวคดิ วา่ การณุ ยฆาต เป็น “ปัญหา” จรยิ ศาสตร์ เปน็ การกระท�ำทเ่ี ปน็ บาป และยังเป็นการชีใ้ ห้ เหน็ ถงึ ความเสอ่ื มโทรมทางจรยิ ธรรมของคนในประเทศ สำ� หรบั การปฏเิ สธการรกั ษาใน วาระทา้ ยของชวี ติ การศกึ ษาของประเทศไทย พบวา่ ประชาชนสว่ นใหญม่ คี วามตอ้ งการ ปฏเิ สธการรกั ษาในระยะสดุ ทา้ ยของชวี ติ มคี วามสนใจในการเขยี นหนงั สอื แสดงเจตนา ไม่ประสงคจ์ ะรับบรกิ ารสาธารณสขุ แตใ่ นขณะเดยี วกัน ก็ยังไมไ่ ด้เขยี นหนงั สอื ดังกล่าว เพราะไมม่ คี วามรู้มากเพยี งพอ สรุปองคค์ วามรูจ้ ากกรณีศกึ ษา กรณศี กึ ษาของหนงั สอื เลม่ นปี้ ระกอบไปดว้ ยประเทศเนเธอรแ์ ลนดแ์ ละประเทศแคนาดา ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่มีกฎหมายคุ้มครองการุณยฆาตและ การฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ อนุญาตให้มีการกระท�ำดังกล่าวได้ต้ังแต่ ปี ค.ศ. 2002/พ.ศ. 2545 ภายใต้กฎหมาย Termination of Life on Request and Assisted Suicide (Review Procedures) Act และก�ำหนดใหก้ ารณุ ยฆาตและการ ฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์กระท�ำได้กับผู้ป่วยท่ีมีสัญชาติเนเธอร์แลนด์ 122
ทัง้ ทเ่ี ป็นผใู้ หญ่ (อายมุ ากกว่า 18 ปี) และผู้เยาว์ (อายุ 12-18 ป)ี โดยทไี่ มผ่ ดิ กฎหมาย แตม่ เี งอ่ื นไขวา่ แพทยท์ ก่ี ระทำ� การดงั กลา่ วตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามแนวทางปฏบิ ตั ทิ ก่ี ำ� หนดไวใ้ น กฎหมาย (Criteria for Due Care) ประเทศแคนาดาเป็นประเทศล่าสุดในโลกที่มีกฎหมายคุ้มครองการุณยฆาต และการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ และเรียกการกระท�ำทั้งคู่ว่าการให้ ความช่วยเหลือทางการแพทยใ์ นการตาย (Medical Aid in Dying: MAiD) อนุญาต ให้มกี ารกระทำ� ดงั กลา่ วได้ตง้ั แต่ปี ค.ศ. 2016/พ.ศ. 2559 ภายใตก้ ฎหมาย Medical Assistance in Dying (Bill C-14) ประเทศแคนาดากำ� หนดเงื่อนไขในการยืน่ ค�ำร้อง ในการทำ� การณุ ยฆาตและการฆ่าตวั ตายโดยความชว่ ยเหลือของแพทย์ ดงั นี้ (1) ผู้ป่วย ตอ้ งมสี ญั ชาติแคนาดาเทา่ นนั้ ไมอ่ นุญาตใหต้ ่างชาติรบั บริการ (2) ผู้ป่วยตอ้ งเปน็ ผใู้ หญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) (3) ผู้ป่วยต้องอยู่ในสภาวะที่ทนทุกข์ทรมานและมีอาการ ทไี่ มส่ ามารถรกั ษาไดแ้ ลว้ (“Grievous and Irremediable Condition”) และตอ้ งอยใู่ กล้ ความตายในระดบั สามารถคาดการณไ์ ดอ้ ยา่ งมเี หตมุ ผี ล (“Reasonably Foreseeable”) (4) ผู้ป่วยยื่นค�ำร้องขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ในการตายอย่างสมัครใจและ ปราศจากแรงกดดนั จากภายนอก และ (5) ผปู้ ว่ ยไดร้ บั ขอ้ มลู ครบถว้ นเกยี่ วกบั ทางเลอื ก ในการรกั ษาของตน รวมถงึ การดูแลแบบประคับประคองด้วย จากการพิจารณาข้อมูลของกรณีศึกษาทั้งสองกรณี พบว่า การออกกฎหมาย การุณยฆาตของทั้งสองประเทศเป็นกระบวนการที่อาศัยเวลาในการตกผลึก โดยรัฐ พิจารณาจากหลักฐานทางสถติ ติ า่ งๆ แลว้ น�ำมาปรับให้เขา้ กับบรบิ ทในประเทศ โดยตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานทวี่ า่ การเลอื กวธิ ตี ายเปน็ สทิ ธขิ องประชาชนตามรฐั ธรรมนญู แตป่ ระชาชน จะพิจารณาการุณยฆาตในฐานะทางเลือกในการยุติชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลอย่าง ครบถ้วนจนให้ความยินยอมแล้วเทา่ น้นั รายละเอียดได้แสดงไว้ในตารางที่ 5.1 123
ตารางท่ี 5.1 ตารางสรุปองค์ประกอบของกรณศี กึ ษา กรอบแนวคดิ ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ ประเทศแคนาดา การวิเคราะหน์ โยบาย นโยบาย 1) กระท�ำได้ทัง้ การณุ ยฆาตและการฆา่ ตัวตาย 1) กระทำ� ไดท้ ้ังการณุ ยฆาตและการฆา่ ตัวตาย โดยความช่วยเหลอื ของแพทย์ โดยความช่วยเหลือของแพทย์ 2) ผู้ป่วยอายตุ ั้งแต่ 12 ปี 2) ผู้ป่วยอายุตง้ั แต่ 18 ปี 3) ผู้ปว่ ยทีย่ ่ืนค�ำขอไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเปน็ ผู้ป่วย 3) ผูป้ ว่ ยทยี่ ืน่ คำ� ขอไม่จ�ำเป็นตอ้ งเป็นผูป้ ว่ ย ระยะสุดท้าย (Terminal) แตต่ ้องไดร้ บั ความ ระยะสุดท้าย (Terminal) แต่ต้องอยูใ่ นสภาวะ ทรมานทางกายหรือทางใจอย่างทไ่ี มอ่ าจทน ท่ีทนทกุ ขท์ รมานและมอี าการทไ่ี ม่สามารถ ได้ (“Unbearable Suffering”) รกั ษาได้แล้ว (“Grievous and Irremediable 4) ผู้ป่วยต้องมีสญั ชาติเนเธอร์แลนด์เท่าน้ัน Condition”) และตอ้ งอยูใ่ กลค้ วามตายในระดับ (ความสมั พันธท์ ี่ใกลช้ ิดระหว่างแพทย์และผู้ สามารถคาดการณไ์ ดอ้ ย่างมเี หตมุ ผี ล ป่วยเป็นเงอื่ นไขส�ำคัญของการุณยฆาต) (“Reasonably Foreseeable”) 5) แพทยต์ ้องปฏบิ ตั ติ ามแนวทางปฏบิ ัติท่ี 4) ผปู้ ว่ ยตอ้ งมีสญั ชาติแคนาดาเท่าน้ัน กำ� หนดไวใ้ นกฎหมาย (Criteria for Due 5) แพทยต์ ้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบตั ทิ ก่ี ำ� หนด Care) ไว้ในกฎหมายท่ตี ้ังอยบู่ นพน้ื ฐานของความ ยินยอมอย่างมีข้อมลู สมบรู ณข์ องผู้ปว่ ยเป็นหลัก (Informed Consent) ทมี่ าที่ไปของนโยบาย เรม่ิ มีการถกเถียงตง้ั แต่ ปี ค.ศ. 1973 ก่อน เริม่ มีการถกเถียงตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1993 กอ่ นออก ออกเปน็ กฎหมายในปี ค.ศ. 2001 และบงั คบั เปน็ กฎหมายในปี ค.ศ. 2016 ใชใ้ นปี ค.ศ. 2002 ข้อมูลดา้ นการด�ำเนนิ นโยบาย ความเป็นไปได้ การุณยฆาตและและการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทยเ์ ปน็ กระบวนการท่ไี มไ่ ดอ้ าศยั ในเชงิ เทคนิค ความเชี่ยวชาญทางเทคนคิ สำ� หรับแพทย์ (เวน้ แต่การกำ� หนดปริมาณยาทีเ่ หมาะสม) ความเปน็ ไปไดใ้ น ตน้ ทุนตอ่ ระบบสาธารณสขุ มนี อ้ ยมาก ในท้งั สองประเทศ ผูป้ ่วยจะตอ้ งจา่ ยค่าใชจ้ า่ ยในการ ทางการเงนิ กระทำ� การการุณยฆาตเอง ส�ำหรบั ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ บรษิ ทั ประกันออกค่าใชจ้ า่ ยในการ ความยากง่ายใน กระทำ� การการณุ ยฆาตใหแ้ ก่ผเู้ อาประกันได1้ การจัดการ ใชร้ ะบบบรกิ ารปฐมภมู ิ ทม่ี ีแพทยท์ ว่ั ไปดูแลผู้ ไม่ไดร้ ะบุถงึ อย่างชดั เจนในวรรณกรรม อย่างไร ความเปน็ ไปได้ทาง ป่วยตลอดชวี ิต จนทำ� ให้มีความสมั พันธท์ ใ่ี กล้ กด็ ี แพทยใ์ นทัง้ สองประเทศมคี วามเชยี่ วชาญ การเมอื ง ชดิ เพียงพอให้ประเมนิ ความจำ� เปน็ ของ ในการดแู ลแบบประคบั ประคองสูง จากการ การณุ ยฆาต นอกจากน้ี การศกึ ษาสว่ นใหญ่ พิจารณาดัชนคี ณุ ภาพการตาย (Quality of ยังไม่พบวา่ ความต้องการในการกระทำ� Death Index) ทพี่ ัฒนาโดย Economist Intel- การณุ ยฆาตมีเพ่มิ ข้นึ หลังมกี ฎหมาย ligence Unit เพอ่ื ใช้ประเมนิ คุณภาพของการ สะทอ้ นถงึ ความสามารถของระบบในการ ดแู ลแบบประคับประคองในกว่า 80 ประเทศ ‘ควบคมุ ’ ไมใ่ หม้ กี ารกระทำ� การณุ ยฆาต ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2015 พบว่า ทั้งประเทศ มากจนเกินไป (Slippery Slope) เนเธอร์แลนดแ์ ละแคนาดามีคา่ ดชั นีดงั กล่าวใน ประชาชน แพทย์ แพทยสมาคม และศาล ระดับสูง เป็นอนั ดับท่ี 8 และ 11 ของโลก มีระดับการยอมรับต่อการุณยฆาตสงู ตามลำ� ดบั 2 ประชาชน แพทย์ และองคก์ รอิสระ มีระดับการ ยอมรับต่อการุณยฆาตสงู หมายเหตุ 1 = https://www.noeuthanasia.org.au/insurance_company_to_pay_for_euthanasia_deaths_ at_dutch_euthanasia_clinic (เข้าถึง ณ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563) 2 = Economist Intelligence Unit (2015) 124
5.2 บทเรียนต่อประเทศไทย ในปัจจุบัน ในประเทศไทย ผู้ป่วยระยะท้ายมีทางเลือกในการยุติชีวิตที่ชัดเจนตาม กฎหมาย 2 ทางเลือก คือ การดูแลแบบประคับประคอง และการปฏิเสธการรักษา ในวาระท้ายของชีวิต (ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่ง ชาติ พ.ศ. 2550) และมีทางเลือกท่ีชัดเจนน้อยลงมาในทางกฎหมายอีก 2 ทางเลือก คือ การดูแลแบบประคบั ประคองอยา่ งเข้มข้น/การใหย้ าเพ่ือให้ผปู้ ว่ ยสงบ (อันนบั เปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวนการของการดูแลแบบประคับประคองซ่ึงถูกกฎหมาย) และการ ฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ (ซ่ึงแม้จะไม่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน แตก่ อ็ นมุ านไดจ้ ากประมวลกฎหมายอาญาวา่ เนอ่ื งดว้ ยประเทศไทยไมม่ กี ฎหมายลงโทษ การฆา่ ตวั ตาย การฆา่ ตวั ตายโดยความช่วยเหลอื ของแพทย์กไ็ ม่ควรผิดกฎหมายเชน่ กัน (ดวงเดน่ นาคสหี ราช, พ.ศ. 2561; อรรัมภา ไวยมกุ ขแ์ ละคณะ, พ.ศ. 2562)) ทางเลือกในการยุติชีวิตรูปแบบเดียวท่ียังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย คือ การุณย- ฆาต ในการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการมีกฎหมายการุณยฆาตในประเทศไทย คงตอ้ งพจิ ารณาความเปน็ ไปไดท้ างการเมอื งกอ่ น อนั หมายถงึ การพจิ ารณาความคดิ เหน็ ของผู้มสี ่วนได้ส่วนเสียในระบบ อันได้แก่ ประชาชน ผู้นำ� ผู้น�ำทางความคิด และหนว่ ย งานดำ� เนนิ นโยบาย อยา่ งไรก็ดี จากการสืบค้นขอ้ มลู โดยละเอียด ไมป่ รากฏท่าทอี ย่าง เปน็ ทางการของนกั การเมือง (ในฐานะผนู้ ำ� ) และของแพทยแ์ ละกระทรวงสาธารณสขุ (ในฐานะหนว่ ยงานดำ� เนนิ นโยบาย) แตอ่ ยา่ งใด หนงั สอื เลม่ นจ้ี งึ จะนำ� เสนอเฉพาะความ คิดเห็นของประชาชนและผนู้ ำ� ทางความคดิ เทา่ ที่สืบค้นได้เท่าน้นั ความคิดเหน็ ของประชาชน จากการสืบค้นถึงความสนใจของประชาชนไทยต่อทางเลือกในการยุติชีวิตต่างๆ พบว่า มีความสนใจในประเด็นการุณยฆาตมากโดยเปรียบเทียบ โดยความสนใจนี้เร่ิม ตน้ จากการทม่ี ผี ชู้ ายไทยทา่ นหนง่ึ ไดเ้ ขยี นขอ้ ความลงบนหนา้ เฟซบกุ๊ (Facebook) วา่ ได้ ตดั สินใจยุติชวี ติ ของตัวเองด้วยกระบวนการ “การณุ ยฆาต” ท่ีประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์ 125
ในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา และได้อธิบายถึงสาเหตุของการตัดสินใจ ดังกลา่ ว (MGR Online, พ.ศ. 2562) ความสนใจในประเดน็ “การณุ ยฆาต” ในสงั คมไทยถกู สะทอ้ นผา่ นการนำ� เสนอถงึ ความ หมายและประเดน็ ถกเถียงท่ีเก่ยี วข้องกบั การณุ ยฆาตในสอื่ ต่างๆ ตัวอย่างเชน่ เวบ็ ไซต์ MGR Online เม่อื วันท่ี 3 มนี าคม พ.ศ. 2562 เว็บไซต์ ThaiPBS เม่ือวันท่ี 6 มนี าคม พ.ศ. 2562 เว็บไซตก์ รุงเทพธุรกจิ เม่ือวนั ท่ี 12 มีนาคม พ.ศ. 2562 เว็บไซต์ประชาไท เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และเว็บไซต์ HonestDocs ที่มีการปรับข้อมูล ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562 ทุกเว็บไซต์ข้างต้นล้วนแต่น�ำเสนอบทความ ท่ีนักเขียนของเว็บไซต์ข้างต้นเขียนข้ึนเอง หรือน�ำเสนอบทสรุปจากการสัมมนาหรือ การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวกับการุณยฆาต โดยข้อความข้างต้นล้วนได้รับความ สนใจเปน็ อยา่ งมาก เชน่ บทความของเวบ็ ไซต์ HonestDocs มผี เู้ ข้าชมแลว้ ทงั้ สิ้นกว่า 1.4 ลา้ นครงั้ (ข้อมลู ณ วนั ท่ี 25 กนั ยายน พ.ศ. 2562) เปน็ ต้น นอกจากน้ี การวัดระดับของความสนใจและการยอมรับในประเด็นการุณยฆาตใน สงั คมไทยยังสามารถทำ� ไดอ้ กี อยา่ งนอ้ ย 2 ช่องทาง ชอ่ งทางแรก คอื การพจิ ารณาการ สำ� รวจ World Values Survey ในช่วงปี ค.ศ. 2005-2009 และ ค.ศ. 2010-2014 ทมี่ กี ลมุ่ ตวั อยา่ งทเี่ ปน็ ตวั แทนประชากรในประเทศไทย การสำ� รวจดงั กลา่ วถามคำ� ถามวา่ การกระทำ� การณุ ยฆาตมเี หตผุ ลอนั สมควรเสมอไปหรอื ไม่ (“Please tell me whether you think euthanasia can always be justified, never be justified or some- thing in between.”) โดยใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งเลอื กลำ� ดบั ตงั้ แต่ 1 คอื ไมม่ เี หตผุ ลอนั สมควร ไม่ว่าในกรณีใด (“Never justified”) ไปถงึ 10 คือ มเี หตุผลอันสมควร ไม่วา่ ในกรณี ใด (“Always justified”) ผลการส�ำรวจ พบว่า คา่ เฉลย่ี ของคะแนนการยอมรับตอ่ การ กระท�ำการณุ ยฆาตในประเทศไทยสูงขนึ้ จาก 3.4 ในช่วงปี ค.ศ. 2005-2009 มาเป็น 4.0 ในชว่ งปี ค.ศ. 2010-2014 และคา่ เฉลยี่ ของประเทศไทยในทงั้ สองชว่ งเวลาดงั กลา่ ว กส็ ูงกว่าคา่ เฉลย่ี ของโลกทอี่ า้ งอิงแบบสอบถามและวธิ กี ารเกบ็ ข้อมลู เดียวกันในกว่า 60 ประเทศท่วั โลก ซึง่ อย่ทู ่ปี ระมาณ 3.3 126
ชอ่ งทางทีส่ อง คือ การพจิ ารณา Google Trends โดย Google Trends เป็นเครื่องมือ ของบริษทั Google จ�ำกดั ท่ปี ระเมินระดับความนยิ มสัมพทั ธ์ (Relative Popularity) ของคำ� สำ� คัญ (Keyword) ต่างๆ ในชว่ งเวลาและพ้นื ทีเ่ ฉพาะ มกี ารนำ� เสนอขอ้ มูลเปน็ ตวั เลขทอ่ี ยใู่ นชว่ งระหวา่ ง 0-100 โดยเลข 0 หมายความวา่ จำ� นวนครง้ั ของการสบื คน้ คำ� สำ� คัญดังกลา่ วในชว่ งเวลาและพื้นทเ่ี ฉพาะนนั้ มีอยา่ งจำ� กัด ในขณะทีเ่ ลข 100 แสดงวา่ การสบื คน้ คำ� สำ� คญั ดงั กลา่ วไดร้ บั ความสนใจจากประชาชนในชว่ งเวลาและพนื้ ทเ่ี ฉพาะ นน้ั เปน็ อย่างมาก โดยหากพิจารณาข้อมูลท่ไี ดจ้ าก Google Trends ของประเทศไทย ต้ังแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2547 จนถึงเดือนกนั ยายน พ.ศ. 2562 (ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 21 กันยายน พ.ศ. 2562) พบว่า การสืบค้นค�ำว่า “การุณยฆาต” และ “Euthanasia” มีความถี่สูงสุดในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 มีค่าของระดับของความสนใจจาก Google Trends เทา่ กบั 100 อยา่ งไรก็ตาม ความสนใจในประเดน็ ดังกลา่ วลดลงอยา่ ง มากอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่าการสืบค้นค�ำว่า “การุณยฆาต” และ “Euthanasia”กระจุกตัวอยู่ใน 15 จังหวัดเท่าน้ัน (ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม สงขลา เชียงราย เชียงใหม่ พิษณุโลก ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น และนครราชสีมา) โดยค�ำว่า “การณุ ยฆาต” มีอตั ราการสืบคน้ สูงท่ีสดุ ทีจ่ ังหวดั ปทมุ ธานี และคำ� ว่า “Euthanasia” มอี ัตราการสืบคน้ สูงท่สี ุดท่ีจังหวดั นครปฐม นอกจากนี้ ยงั มกี ารพจิ ารณาคำ� สำ� คญั อนื่ ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งดว้ ย และพบวา่ มกี ารสบื คน้ นอ้ ย มากจากปี พ.ศ. 2547 ถงึ ปจั จบุ นั (ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 21 กนั ยายน พ.ศ. 2562) รายละเอยี ด จากการสืบคน้ คำ� สำ� คญั แตล่ ะคำ� เป็นดงั นี้ • คำ� วา่ “มาตรา 12” และคำ� วา่ “พระราชบญั ญตั สิ ขุ ภาพแหง่ ชาต”ิ ซงึ่ หมายถงึ ข้อกฎหมายที่ยินยอมให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถแสดงเจตจ�ำนงในการ ไม่รับการรักษาพยาบาลได้ จากการสืบค้นจาก Google Trends พบวา่ มี การสบื คน้ คำ� สำ� คญั ดงั กลา่ วนอ้ ยมาก และกระจกุ ตวั อยใู่ นกรงุ เทพมหานคร เทา่ นัน้ ไมม่ กี ารสืบค้นคำ� สำ� คัญดงั กล่าวในพน้ื ท่อี น่ื เลย • ค�ำว่า “การดูแลแบบประคับประคอง” และค�ำว่า “Palliative Care” ปรากฏว่ามีการสืบค้นมากในช่วงปี พ.ศ. 2547-2548 และการสืบค้น 127
มีนอ้ ยลงมากจากชว่ งเวลาน้นั เปน็ ต้นมา และมีการสืบคน้ ใน 3 จังหวัด คอื เชยี งใหม่ ขอนแกน่ และกรุงเทพมหานครเทา่ น้นั • ค�ำว่า “DIGNITAS” ซ่ึงหมายถึงองค์กรท่ีท�ำการุณยฆาตในประเทศ สวติ เซอรแ์ ลนด์ พบวา่ มกี ารสบื คน้ คำ� สำ� คญั ดงั กลา่ วใน 10 จงั หวดั และอตั รา การสบื ค้นสูงทีส่ ุดในจงั หวดั ปทมุ ธานี • ค�ำว่า “Assisted Dying” “Assisted Death” “Assisted Suicide” อันหมายถึง การยุติชีวิตตนเองโดยความช่วยเหลือ/ความอนุเคราะห์ของ แพทย์ ปรากฏว่ามีการสืบค้นในกรุงเทพมหานครเท่านั้น ส�ำหรับค�ำว่า “แพทยานเุ คราะหฆาต” ทเ่ี ปน็ คำ� แปลอยา่ งเปน็ ทางการของคำ� สำ� คญั ภาษา องั กฤษข้างตน้ นน้ั ไมป่ รากฏการสบื ค้นใดๆ • คำ� วา่ “Cryonics” อนั หมายถงึ เทคโนโลยแี ชแ่ ขง็ รา่ งมนษุ ยท์ เี่ สยี ชวี ติ ไปแลว้ ปรากฏวา่ มีการคน้ หาในจงั หวัดกรุงเทพมหานครเท่านนั้ และ • ค�ำว่า “ฆ่าตัวตาย” หรือ “Suicide” พบว่ามีการสืบค้นใน 10 จังหวัด และมีอัตราการสืบค้นสงู สุดในจงั หวดั นนทบุรี หากเชื่อว่าข้อมูลข้างต้นแสดงถึงระดับของความสนใจในเรื่องทางเลือกในการยุติชีวิต กจ็ ะอนมุ านไดว้ า่ สงั คมไทยสนใจแตใ่ นประเดน็ การณุ ยฆาตเปน็ หลกั และแทบไมม่ คี วาม สนใจต่อทางเลือกในการยุติชีวิตอื่นๆ เลย สอดคล้องกับบทวิเคราะห์จากงานวิจัยของ จริ ตุ ม์ ศรรี ตั นบลั ล์ และคณะ (พ.ศ. 2561) ทพ่ี บวา่ ทง้ั แพทยแ์ ละประชาชนมคี วามเขา้ ใจ ท่ีคาดเคล่ือนในเร่ืองการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง และไม่ได้รับทราบถึงมาตรา 12 มากนัก ท�ำให้การดูแลแบบประคับประคองมักไม่ถูกเสนอเป็นทางเลือกส�ำหรับ ผ้ปู ว่ ยระยะท้าย หรือถกู เสนอเป็นทางเลือกเมอ่ื สายเกินไปแลว้ นอกจากนี้ ข้อมูลข้างต้นยังชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยมีการต่ืนตัวในประเด็นการุณยฆาต เม่อื อย่ใู นสภาวะท่ีมกี ารกระตนุ้ จากส่อื เทา่ นน้ั (Media as a Triggering Mechanism) และเม่ือปราศจากการน�ำเสนอข่าวจากสื่อ ความสนใจในประเด็นดังกล่าวก็จะลดลง มาก และหากพิจารณาถึงเน้ือหาของข่าวหรือการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการ ที่เกี่ยวข้องในข่าว ก็จะพบว่าเป็นการน�ำเสนอข้อมูลเป็นหลัก ไม่ปรากฏการตั้งค�ำถาม 128
ในเชงิ กฎหมายหรอื ในเชงิ ปรชั ญาถงึ ความเหมาะสมของการณุ ยฆาตเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ทางเลือกในการยุติชวี ติ อื่นๆ เท่าไรนัก สะท้อนใหเ้ หน็ ว่าความเขา้ ใจในเร่ืองการตัดสิน ใจในระยะท้ายของชีวิตในสังคมยังมีอยู่อย่างจ�ำกัด และความคิดเห็นของประชาชนก็ อาจตั้งอยู่บนรากฐานของความไม่สมบูรณ์ของขอ้ มูล ความคดิ เห็นของผ้นู ำ� ทางความคดิ จากการสืบค้นถึงความคิดเห็นของบุคคลที่เป็นที่สนใจในสังคม พบว่า มีการกล่าวถึง ประเด็นการุณยฆาตอยูพ่ อสมควร ตวั อย่างเชน่ • พระไพศาล วิสาโล ไมเ่ หน็ ดว้ ยกับการุณยฆาตจากมมุ มองทางพุทธศาสนา กลา่ วไวว้ า่ “การทำ� การณุ ยฆาตสว่ นใหญม่ กั ใหเ้ หตผุ ลวา่ การมชี วี ติ อยตู่ อ่ ไป ของผปู้ ว่ ยไมม่ ปี ระโยชนแ์ ลว้ เปน็ การอยอู่ ยา่ งไรศ้ กั ดศิ์ รี เพราะนอกจากเจบ็ ปวดทุกข์ทรมานแลว้ ยงั ไม่สามารถพ่ึงตนเองได้ มองในแงข่ องมนษุ ยธรรม การชว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยจบชวี ติ โดยเรว็ ยอ่ มเปน็ สงิ่ ทดี่ ี เพราะทำ� ใหเ้ ขาพน้ จากความ ทกุ ขค์ วามเจ็บปวด แต่พุทธศาสนามองวา่ ชีวิตนนั้ มีคณุ คา่ ตราบใดทเ่ี รายัง มีลมหายใจอยู่ แม้เจบ็ ป่วยเพียงใดกย็ ังสามารถทำ� ส่งิ ดีๆ ให้เกิดขนึ้ ได้ อยา่ ง น้อยต่อจิตใจของตน... อีกท้ังยังสามารถเรียนรู้จากความเจ็บป่วย หรือใช้ ความเจ็บป่วยเป็นเคร่ืองมือสอนธรรม ว่าชีวิตน้ันไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ ในอ�ำนาจของเรา หลายคนที่เห็นความจริงดังกล่าว สามารถท�ำใจปล่อย วางจากความเจ็บปวดได้ นี่คือศักยภาพหรือความสามารถที่มนุษย์ทุกคน สามารถท�ำได้ ดังนั้นแทนที่จะช่วยให้ผู้ป่วยจบชีวิตโดยเร็ว เราน่าจะช่วย ให้เขาสามารถอยู่กับความเจ็บป่วยและทุกขเวทนาได้โดยไม่ทุกข์ใจ เช่น ช่วยให้เขาวางใจไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง รจู้ ักการทำ� สมาธภิ าวนา และอยู่กบั มันได้ โดยไม่ผลักไส เพราะย่ิงผลักไสก็ย่ิงทุกข์” (ข้อมูลจาก www.visalo.org/ columnInterview/5409Image.htm) • คุณพิสิษฐ์ ศรีอัคคโภคิน ผู้ช�ำนาญการส�ำนักงานคณะกรรมการสุขภาพ แห่งชาติ มองว่าช่วงเวลาปัจจุบันยังไม่เหมาะสมในการพิจารณาประเด็น การุณยฆาตในประเทศไทย เพราะการดูแลแบบประคับประคองยังไม่ได้ 129
พัฒนาอย่างเพียงพอ ท�ำให้หากมีกฎหมายการุณยฆาตในตอนน้ี จะส่งผล ให้มีการกระท�ำการุณยฆาตมากเกินความจ�ำเป็น (ข้อมูลจาก https:// mgronline.com/live/detail/ 9620000021639) และ • นพ.ฉนั ชาย สทิ ธพิ นั ธ์ มองวา่ ควรมกี ารพฒั นาการดแู ลแบบประคบั ประคอง กอ่ นทพี่ จิ ารณากฎหมายการณุ ยฆาต (ขอ้ มลู จาก https://prachatai.com/ journal/2019/05/82658) จะเห็นได้ว่า ความคิดเห็นของผู้น�ำทางความคิดข้างต้นสอดคล้องกับทัศนะของกลุ่มท่ี ตอ่ ต้านกฎหมายการุณยฆาตในตา่ งประเทศ โดยมองวา่ กฎหมายการุณยฆาตอาจทำ� ให้ เกิดความตายโดยไม่จำ� เปน็ จ�ำนวนมาก (Slippery Slope Argument) และอาจท�ำให้ การพัฒนาการดูแลแบบประคับประคองชะงักลงดว้ ย นอกจากนี้ ก็ยังมแี รงต่อตา้ นของ ผู้น�ำทางความคิดทางด้านคุณค่า ที่ใช้มุมมองทางพุทธศาสนาในการอธิบายสังคมว่า การุณยฆาตไมใ่ ชส่ ิ่งทีพ่ งึ กระท�ำ ความเปน็ ไปได้ของกฎหมายการุณยฆาตในประเทศไทย เมือ่ พจิ ารณากรณศี กึ ษา คือ ประเทศเนเธอร์แลนดแ์ ละแคนาดาแลว้ พบวา่ ปัจจยั ทสี่ ่ง ผลส�ำเร็จต่อการมีกฎหมายการุณยฆาตของท้ังสองประเทศมีหลายประการ ปัจจัยท่ีมี ร่วมกนั ทัง้ สองประเทศ ได้แก่ (1) การวิพากษ์ประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับการุณยฆาตเป็นไปอย่างกว้างขวางและ ยาวนาน ท�ำให้สังคมตกผลึกทางความคิดจนสามารถมีกฎหมายได้ในท่ีสุด ท้ังน้ี ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ใชเ้ วลาถึง 28 ปี (ตง้ั แต่ ค.ศ. 1973-2001) และ ประเทศแคนาคาใช้เวลาถึง 23 ปี (ค.ศ. 1993-2016) ในการถกเถียงใน ประเด็นการุณยฆาต (2) วัฒนธรรมความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualization) ในระบบ ประชาธปิ ไตยแบบเสรนี ยิ ม (Liberal Democracy) ของสงั คมเนเธอรแ์ ลนด์ และแคนาดามีความเข้มแข็ง อันท�ำให้ประชาชนมีความตระหนักรู้ถึงสิทธิ ทป่ี จั เจกบคุ คลมตี อ่ รา่ งกายของตน และสทิ ธขิ องประชาชนตามรฐั ธรรมนญู (Weyers, 2006) 130
(3) “กระแสสังคม” ท่ีเก่ียวข้องเป็นไปในเชิงบวก อันท�ำให้ความเป็นไปได้ ทางการเมือง (Political Feasibility) ของการมกี ฎหมายการณุ ยฆาตอยู่ใน ระดับสูง ผมู้ ีสว่ นได้ส่วนเสยี แทบทกุ กล่มุ ไมว่ า่ จะเป็นประชาชนในประเทศ เนเธอร์แลนด์ (Buiting et al., 2012; Kouwenhoven et al., 2012; Pasman et al., 2013; Wise, 2001) และแคนาดา (Karsoho et al., 2016) บุคลากรทางการแพทย์ในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ (Kouwenhoven et al., 2012; Onwuteaka-Philipsen et al., 2003, 2012; Steck et al., 2013; van der Heide et al., 2012) และแคนาดา (Bravo et al., 2018; Karsoho et al., 2016; Young and Ogden (1998) และศาลในประเทศ เนเธอร์แลนด์ (Kim et al., 2016; Rietjens et al., 2009) และแคนาดา (Schafer, 2013) ลว้ นแตเ่ หน็ ดว้ ยกบั การมีกฎหมายการณุ ยฆาต กล่มุ ที่ไม่ เห็นด้วยและเป็นจำ� นวนนอ้ ยของสังคม คือ กล่มุ เคร่งศาสนา ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยข้างต้นเป็นเงื่อนไขส�ำคัญของการมีกฎหมายการุณยฆาต จะเห็นได้ว่า ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์นักในบริบทประเทศไทย ประการแรก สังคม ไทยยังไม่ได้มีการถกเถียงในประเด็นการุณยฆาตอย่างยาวนานและกว้างขวางเพียงพอ จากการวิเคราะหข์ อ้ มลู จาก Google Trends ขา้ งต้น พบวา่ ความสนใจของสงั คมใน ประเดน็ ดงั กลา่ วเพงิ่ เรมิ่ ตน้ ขนึ้ อยา่ งชดั เจนเมอื่ เดอื นมนี าคม พ.ศ. 2562 ทผี่ า่ นมาเทา่ นนั้ ยังกระจุกตวั อยใู่ นพนื้ ทจ่ี ำ� กัด และไม่ได้มกี ระแสอย่างตอ่ เนอ่ื ง ประการที่สอง ความเข้มแข็งของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม (Liberal Democracy) ในสงั คมไทยยงั ไมช่ ดั เจน ดงั ทไ่ี ดอ้ ธบิ ายไปแลว้ ขา้ งตน้ ปจั จยั สนบั สนนุ กฎหมายการณุ ย- ฆาตทสี่ ำ� คญั ประการหน่งึ คือ ความเปน็ เสรนี ยิ ม (Liberalism) โดยนยิ ามของเสรีนิยม น้ันครอบคลุมการมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยท่ีรัฐบาลมีบทบาทจ�ำกัด มกี ารกระจายอำ� นาจ มหี ลกั นติ ธิ รรม (Rule of Law) ทเ่ี ขม้ แขง็ มกี ารใหส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพ กับประชาชน และมคี วามเคารพในความเป็นปจั เจกชน (Connors, 2009; Larsson, 2017) แม้ว่าวรรณกรรมจะไม่ได้มีบทสรุปถึงความเป็นเสรีนิยมในสังคมไทยว่าอยู่ใน ระดบั ใด แตก่ ม็ กี ารระบไุ วว้ า่ ความเปน็ เสรนี ยิ มในสงั คมไทยไมย่ งั่ ยนื นกั และเปลยี่ นแปลง 131
ไปตามกาลเวลา หากแตม่ รี ากฐานทหี่ ยงั่ ลกึ ขึ้นเรอื่ ยๆ การศึกษาของ Connors (2009) ช้ีให้เห็นว่าแนวคิดแบบประชาธิปไตยเสรีนิยมเร่ิมปรากฏให้เห็นในสังคมไทยเม่ือ ประมาณ 50 ปีที่แลว้ ต้ังแต่ยคุ ทมี่ กี ารปฏวิ ัตขิ องนกั ศึกษา (เหตุการณ์ 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2516) และมีวิวัฒนาการเร่ือยมาในรูปแบบของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มท่ีต้องการครอบ ครองอ�ำนาจแบบเบด็ เสรจ็ เด็ดขาด (Authoritarianism) และกลุ่มท่ตี ่อต้านการครอบ ครองอ�ำนาจดงั กลา่ ว (Liberalism) และอยู่ในจุดทส่ี ุกงอมทสี่ ดุ ในชว่ งปี พ.ศ. 2540 ท่ี มีการประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญฉบบั ประชาชน” พ.ศ. 2540 ซึง่ แทนทีร่ ฐั ธรรมนญู พ.ศ. 2534 อนั มรี ากฐานมาจากรฐั ประหาร โดยรฐั ธรรมนญู ฉบบั นมี้ าจากสภารา่ งรฐั ธรรมนญู ทป่ี ระกอบดว้ ยตวั แทนจงั หวดั และตวั แทนนกั วชิ าการ และมบี ทบญั ญตั ดิ า้ นสทิ ธเิ สรภี าพ ของประชาชนไว้มากท่ีสุดเท่าท่ีเคยมีมาในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย อย่างไรก็ดี Connors (2009) มองวา่ การเข้าสูอ่ �ำนาจของทกั ษิณ ชนิ วัตร ในปี พ.ศ. 2544 ทำ� ให้ แนวคดิ ประชาธปิ ไตยเสรนี ยิ มในประเทศไทยเลอื นรางไป เพราะถูกแทนท่ีดว้ ยระบอบ ธนาธิปไตย (Plutocracy) ที่เป็นรูปแบบการปกครองของคนมีเงินที่เข้าสู่อ�ำนาจภาย ใต้ระบอบประชาธิปไตย การอุบัติข้ึนของระบอบธนาธิปไตยท�ำให้การต่อสู้กับการ ครอบครองอ�ำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสังคมเปลี่ยนรูปแบบไป และท�ำให้แนวคิด ประชาธิปไตยเสรนี ิยมไมช่ ัดเจน ในขณะเดียวกัน การศึกษาของ Larsson (2017) พิจารณาถึงประวัติศาสตร์ท่ีเก่ียว กับนักคดิ และนักวชิ าการชาวไทย พบวา่ แมว้ า่ สงั คมไทยจะมีนกั คดิ ทอ่ี าจนับได้วา่ เปน็ กลมุ่ หัวกา้ วหนา้ (Liberals) อยู่บ้าง (ตวั อยา่ งที่มกี ารระบุถงึ ไดแ้ ก่ (1) พระเจา้ วรวงศ์ เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ (2) จินดา จินตนเสรี (จ.พันธุมจินดา) (3) มาลัย ชพู นิ จิ และ (4) ป๋วย อง้ึ ภากรณ)์ แตก่ ารถกเถียงทางดา้ นการเมอื งของประเทศไทยก็ ยงั ไมไ่ ดค้ รอบคลมุ แนวคิดด้านเสรนี ิยม (“While one might find liberals in Thai history, there is no liberalism.”) กระแสความคิดส่วนใหญ่ก็ยังคงยึดโยงอยู่กับ ความเป็นชาตินิยม (Nationalism) สังคมนิยม (Socialism) และแนวคิดมาร์กซิสต์ (Marxism) เป็นหลัก นอกจากน้ี การยึดอ�ำนาจของรัฐบาลทหารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 และการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งมีบัญญัติหลายประการที่ขัดแย้ง กับหลักการด้านสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งยังจ�ำกัดสิทธิของประชาชน 132
ในการแสดงออกทางความคดิ อนั เปน็ พนื้ ฐานสำ� คญั ของความเปน็ เสรนี ิยม ทำ� ใหโ้ อกาส ในการมีประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมในสังคมไทยในปัจจุบันลดลงไปอีกด้วย (Larsson, 2017; Tonsakulrungruang, 2018) อย่างไรก็ดี Larsson (2017) คาดการณ์ไว้ว่า แนวคิดแบบประชาธิปไตยเสรีนิยมจะขยายวงกว้างในอนาคต เพราะการลิดรอนสิทธิ และเสรีภาพของรัฐในปัจจุบันจะท�ำให้เกิดการต่อต้านการครอบครองอ�ำนาจแบบ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และจะท�ำให้ประชาชนต้องการแสดงออกทางความคิดมากข้ึน (Liberal Counter-reaction) โดยสรปุ การมปี ระชาธปิ ไตยแบบเสรนี ยิ มในประเทศไทย ในอนาคตอันใกล้ยังคงเป็นไปได้ยาก ซ่ึงหมายความว่า การวิพากษ์และการท�ำความ เข้าใจในเรื่องสิทธิและวัฒนธรรมความเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งส่งผลทางบวกต่อการมี กฎหมายการุณยฆาต กจ็ ะยงั มอี ยู่อย่างจำ� กดั ในอนาคตอนั ใกลเ้ ช่นกนั ประการสุดทา้ ย คอื การยอมรบั ตอ่ การุณยฆาตของประชาชน จากขอ้ มูลของ World Values Survey ขา้ งต้น จะเห็นได้ว่า การยอมรบั ต่อการุณยฆาตของประชาชนน่าจะ เป็นปัจจัยสนับสนุนกฎหมายการุณยฆาตประการเดียวที่น่าจะมีอยู่ในประเทศไทยใน ปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการยอมรับการุณยฆาต ของประชาชนไม่ได้สง่ ผลใหม้ กี ฎหมายการุณยฆาต หรือท�ำให้การณุ ยฆาตเป็นประเดน็ ถกเถียงทางการเมอื ง (Political Agenda) เสมอไป ตัวอย่างเช่น ในประเทศฝร่งั เศส การุณยฆาตเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องด้วยมีการถกเถียง อยา่ งกว้างขวางและมขี ่าวทีเ่ ป็นท่สี นใจของสงั คมอยเู่ สมอ (เชน่ กรณีของนาง Chantal Sebire ผปู้ ว่ ยมะเรง็ ระยะสดุ ทา้ ยทไี่ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี กรอ้ งใหร้ ฐั บาลออก กฎหมายการณุ ยฆาตจนฆา่ ตวั ตายไปในทสี่ ดุ ) แตก่ ย็ งั ไมม่ กี ฎหมายการณุ ยฆาต (Cohen et al., 2014) หรือในประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ที่แม้ว่าการยอมรับการกระท�ำ การุณยฆาตจะอยู่ในระดับสูง แต่ก็พบว่าการุณยฆาตยังไม่ใช่ประเด็นทางการเมืองที่ สำ� คญั และไมน่ า่ จะเป็นนโยบายสาธารณะในระยะเวลาอันใกล้ (Cohen et al., 2014; Parpa et al., 2010) สว่ นหนงึ่ อาจเปน็ เพราะบคุ ลากรทางการแพทยใ์ นประเทศในแถบ สแกนดเิ นเวยี มองวา่ การ “ยอ้ื ” ชวี ติ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งทค่ี วรสนบั สนนุ อยแู่ ลว้ และไมม่ พี ฤตกิ รรม ในการให้การรักษาหรือดูแลแบบประคับประคองเกินความจ�ำเป็น การออกกฎหมาย เพ่ืออนุญาตให้เกิดการ “เร่ง” การเสียชีวิตจึงอาจไม่ใช่ประเด็นทางนโยบายท่ีส�ำคัญ (Parpa et al., 2010) 133
จะเห็นได้ว่า การยอมรับต่อการุณยฆาตของประชาชนไม่ใช่เงื่อนไขที่เพียงพอ (Sufficient Condition) ในการท�ำให้การุณยฆาตเป็นนโยบายสาธารณะ ประเทศ ท่ีจะมีกฎหมายการุณยฆาตได้ต้องมีปัจจัยสนับสนุนอ่ืนด้วย เช่น ต้องมีผู้น�ำทางการ เมืองท่ีเป็นกระบอกเสียงให้กับความต้องการของประชาชนในด้านน้ี (Danyliv and O’Neill, 2015) บคุ ลากรทางการแพทยใ์ นฐานะผดู้ ำ� เนนิ นโยบายตอ้ งใหก้ ารยอมรบั ตอ่ การุณยฆาตในระดับท่ีสูงเพียงพอ (Danyliv and O’Neill, 2015; Onwuteaka -Philipsen et al., 2003, 2012) สงั คมตอ้ งมีองค์กรทางการเมอื งทเี่ ก่ยี วข้องสนับสนนุ การุณยฆาตในมิติต่างๆ (Right-to-Die Organizations) หรือสังคมต้องมีเหตุการณ์ ที่สรา้ งความสนั่ สะเทอื นมากเพยี งพอ เช่น มีการรอ้ งขอการุณยฆาตต่อศาล เปน็ ตน้ เน่ืองด้วยเง่ือนไขสนับสนุนยังไม่ชัดเจนในประเทศไทย ในขณะท่ีการุณยฆาตได้รับ การต่อต้านภายใต้แนวคิดด้านศีล 5 ของศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาหลักของประเทศ และจากกลุ่มผู้น�ำทางความคิด จึงอาจสรุปได้ว่า ความเป็นไปได้ในการมีกฎหมาย การุณยฆาตของประเทศไทยในปจั จุบนั อยู่ในระดับต�่ำ ความเป็นไปได้ของกฎหมายการุณยฆาตในเชิงเปรียบเทยี บ (Comparative Perspective) การประเมินความเป็นไปได้ของกฎหมายการุณยฆาตอีกวิธีหน่ึง คือ การพิจารณา ถึงวิวัฒนาการของกฎหมายท่ีมีลักษณะใกล้เคียงกันภายใต้บริบททางสังคมเดียวกัน อนั ไดแ้ ก่ กฎหมายการทำ� แทง้ และกฎหมายกำ� กบั ความสมั พนั ธข์ องคนเพศเดยี วกนั ทงั้ นี้ กฎหมายการท�ำแท้งและกฎหมายก�ำกับความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันมีลักษณะ คล้ายกับกฎหมายการุณยฆาตในอย่างน้อย 3 มิติ มิติแรก ประเด็นท่ีเก่ียวข้อง ไม่ว่า จะเป็นการท�ำลายชีวิตทารก ซ่ึงถือเป็นมนุษย์แล้วแต่ยังไม่มีสภาพบุคคลทางกฎหมาย (ฝา่ ยพฒั นากฎหมาย สำ� นกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า, พ.ศ. 2557) การสรา้ งครอบครวั ทไ่ี มไ่ ด้ประกอบดว้ ยคนต่างเพศ และการยุตชิ วี ิตของผ้ปู ่วยระยะทา้ ย ทง้ั หมดมลี กั ษณะ รว่ มกนั คอื ละเมดิ ศลี ธรรมตามแนวคดิ พนื้ ฐานของศาสนา อาจทำ� ลายโครงสรา้ งทางสงั คม ที่ส�ำคัญ (เช่น สถาบันครอบครัว และการเคารพต่อคุณค่าแบบอนุรักษ์นิยม เป็นต้น) 134
และอาจเป็นการละเมิด “ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์” (เนื่องจากส่งผลต่อการตายและ คุณค่าของมนุษย์) อีกด้วย (ฝ่ายพัฒนากฎหมาย ส�ำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, พ.ศ. 2557) มติ ทิ ส่ี อง กฎหมายการทำ� แทง้ และกฎหมายกำ� กบั ความสมั พนั ธข์ องคนเพศ เดยี วกนั อาจประสบปญั หาในการดำ� เนนิ นโยบายทค่ี ลา้ ยกบั กฎหมายการณุ ยฆาต กลา่ ว คือ การปล่อยให้มีการท�ำแท้งหรือการแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกัน อย่างเปิดเผย อันเป็นรูปแบบของรัฐในการแสดงความเคารพต่อเสรีภาพในการตัดสิน ใจของประชาชน (Autonomy Argument) อาจท�ำให้ผู้ที่เปราะบางในสังคมได้รับ ผลกระทบ (Protection of the Vulnerable) และอาจทำ� ให้เกิดการกระทำ� ดงั กล่าว มากเกนิ ความตอ้ งการของสงั คมได้ (Slippery Slope Argument) ตวั อยา่ งเชน่ หากรฐั อนญุ าตใหก้ ารทำ� แทง้ เปน็ การกระทำ� ทถี่ กู กฎหมาย กอ็ าจทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ บางคนทตี่ อ้ งการ มีบุตรถูกกดดนั จากคนรอบข้างให้ทำ� แทง้ และอาจท�ำใหเ้ กดิ การทำ� แท้งแบบท่ไี มไ่ ดร้ ับ การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันเกิดขึ้นเป็นจ�ำนวนมาก เปน็ ตน้ มติ สิ ดุ ทา้ ย กฎหมายการทำ� แทง้ กฎหมายกำ� กบั ความสมั พนั ธข์ องคนเพศเดยี วกนั และกฎหมายการณุ ยฆาต ลว้ นแตเ่ ปน็ ตวั แทนทางนโยบายทส่ี ำ� คญั ของการมเี สรภี าพใน การตัดสินใจในเรื่องส่วนบุคคล อันเป็นองค์ประกอบหลักของความเป็นเสรีนิยม ทั้งนี้ เป็นท่ีน่าสังเกตว่า ถึงแม้ว่าความเป็นเสรีนิยมในประเทศไทยในมิติด้านการปกครอง (แนวคดิ แบบประชาธิปไตยเสรนี ยิ ม) จะยงั ไมป่ รากฏเดน่ ชัด เพราะยังไม่มีการถกเถยี ง ทางด้านปรัชญา ไม่มีองค์กรทางสังคม และไม่มีพรรคการเมืองที่ตั้งอยู่บนอุดมการณ์ ของเสรีนิยม ดังท่ีได้อธิบายไปแล้วข้างต้นนั้น แต่แนวคิดเสรีนิยมในมิติด้านสังคมกลับ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นในสังคมไทย ดังจะเห็นได้จากวิวัฒนาการของกฎหมายและการ ยอมรับต่อกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการท�ำแท้งและความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันใน ชว่ งทศวรรษท่ีผา่ นมา ในประเทศไทย กฎหมายทเ่ี ก่ียวกับการทำ� แทง้ หรอื การยุติการตัง้ ครรภ์มวี วิ ฒั นาการ มายาวนานและมักจะยึดโยงกับแนวคิดตามหลักพุทธศาสนาที่มองว่าการท�ำแท้งเป็น บาปและไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย อวิภารัตน์ นิยมไทย (พ.ศ. 2554) พิจารณา ประวัตศิ าสตร์ของกฎหมายการยุติการตงั้ ครรภ์ในประเทศไทย พบว่า การทำ� แทง้ เป็น ความผิดอาญามานับตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงในรัชสมัยของรัชกาลท่ี 1 กฎหมาย 135
ลักษณะอาญา ร.ศ. 127 เรื่อยมาจนถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301-302 ในปัจจุบัน ท่ีก�ำหนดความผิดแก่การกระท�ำหรือการยอมให้ผู้อ่ืนกระท�ำให้ตนแท้งลูก ของผหู้ ญงิ และผ้ทู ี่ทำ� ใหผ้ ู้หญิงแท้งลกู อย่างไรกด็ ี ประมวลกฎหมายอาญาในปจั จบุ ันมี การยกเวน้ ความผิดฐานท�ำใหแ้ ทง้ ลกู หากเปน็ การกระท�ำของแพทย์ และ (1) มคี วาม จ�ำเป็นต้องกระท�ำเนือ่ งจากสุขภาพของผหู้ ญงิ หรอื (2) เกิดการต้งั ครรภ์เนอื่ งจากการ กระทำ� ความผดิ อาญา นอกจากนี้ ประเทศไทยยงั มพี ระราชบญั ญตั กิ ารปอ้ งกนั และแกไ้ ข ปญั หาการต้ังครรภ์ในวยั รุ่น พ.ศ. 2559 ท่ีก�ำหนดให้วยั รุ่นมสี ทิ ธิในการตดั สนิ ใจ การได้ รับข้อมูลข่าวสารและความรู้ และการได้รับการบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ (อันรวม ถึงการยุติการต้ังครรภ์ทางการแพทย์) อย่างเป็นความลับและเป็นส่วนตัว (ส�ำนักงาน อนามัยการเจริญพนั ธ์ุ กรมอนามัย, พ.ศ. 2559) จะสังเกตได้ว่า แม้ว่าประเทศไทยจะอนุญาตให้มีการท�ำแท้งได้ในบางกรณี แต่ก็ไม่ได้ อนญุ าตใหม้ กี ารทำ� แทง้ “เสร”ี และตอ้ งกระทำ� ผา่ นระบบบรกิ ารสขุ ภาพเทา่ นน้ั นอกจาก น้ี ในทางปฏิบตั ิ การเขา้ ถงึ บริการในการยุตกิ ารตั้งครรภ์ยังมีจำ� กดั เกดิ จากหลายปัจจัย ไมว่ า่ จะเป็นการตตี ราของสังคมต่อผหู้ ญงิ ที่ต้องการท�ำแทง้ (Social Stigma) การขาด ความรู้และความไม่เต็มใจในการยุติการต้ังครรภ์ของแพทย์ และการกระจายตัวของ หน่วยบริการยุติการต้ังครรภ์ท่ียังมีอยู่อย่างจ�ำกัดในประเทศ (รายชื่อเครือข่ายหน่วย บริการยุติการตั้งครรภ์ทั่วประเทศ ระบุไว้บนเว็บไซต์ https://www.rsathai.org/ networkservice) (Chaturachinda, 2014) สง่ ผลให้ยังมกี ารทำ� แท้งแบบไมป่ ลอดภยั (จากการลักลอบท�ำแท้งกับผู้ท่ีไม่ใช่แพทย์ หรือ การกินยาขับเลือด) ข้อมูลของกรม อนามัยในปี พ.ศ. 2542 ระบุว่าประเทศไทยมีสถิติการท�ำแท้ง 300,000 รายต่อปี โดยผูห้ ญงิ 300 คน ต่อ 100,000 คน ได้รบั อันตรายจากการท�ำแท้ง ในด้านความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกัน ประเทศไทยมีวิวัฒนาการในทางบวกต่อการ ยอมรับความหลากหลายทางเพศ เร่ิมต้ังแต่การยินยอมให้ความสัมพันธ์กับคนเพศ เดียวกันเป็นเรื่องที่เปิดเผยในสังคมได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย การออกพระราชบัญญัติ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพ่ือพิทักษ์สิทธิของประชาชนไม่ให้ถูกเลือก ปฏิบัติด้วยเหตุแห่ง “เพศสภาพ” และ การออกร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. ... 136
ซ่ึงคณะรัฐมนตรีภายใต้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว เมอ่ื วนั ท่ี 25 ธนั วาคม พ.ศ. 2561 โดยร่างพระราชบญั ญัตฉิ บับนีเ้ ปน็ กฎหมายที่รองรบั สิทธิและหน้าที่ของการเป็นคู่ชีวิตเพศเดียวกัน (Life/Civil Partnership) ในมิติต่างๆ (เชน่ สิทธิในการจดั การทรัพย์สินร่วมกนั สิทธใิ นการอุปการะเลยี้ งดูซึ่งกนั และกัน และ สิทธิในการให้หรือรับมรดก เป็นต้น) ให้มีความทัดเทียมมากขึ้นกับคู่สมรสชาย-หญิง (Marriage) (อวภิ ารัตน์ นยิ มไทย, พ.ศ. 2562) ทง้ั น้ี การส�ำรวจความคดิ เหน็ ตอ่ (ร่าง) พระราชบัญญัติการจดทะเบยี นคูช่ ีวิต พ.ศ..... ของประชาชนกว่า 1,153 คน ในปี พ.ศ. 2556 โดยกรมคมุ้ ครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยตุ ธิ รรม พบวา่ ร้อยละ 78.65 ของ ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับการมีพระราชบัญญัติดังกล่าว ร้อยละ 10.93 ไม่เห็น ดว้ ย และร้อยละ 10.42 ไมม่ คี วามเหน็ แสดงถงึ การยอมรบั สทิ ธขิ องคชู่ วี ติ เพศเดยี วกนั ในสงั คมไทยท่ีอยใู่ นระดบั สูง (กรมคุม้ ครองสิทธิและเสรภี าพ กระทรวงยุติธรรม, พ.ศ. 2556) อยา่ งไรกด็ ี แม้ว่าสิทธขิ องคู่ชวี ติ เพศเดียวกนั จะขยายขอบเขตขึน้ ภายใต้ร่างพระ ราชบญั ญตั ิคู่ชีวติ พ.ศ. ... แตก่ ็ยงั ไม่เทา่ เทยี มกับคสู่ มรสชาย-หญิง ตวั อย่างของสทิ ธทิ ่ี ไม่ได้ถูกระบุไว้ในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม พ.ศ. 2563) ได้แก่ การลดหย่อนภาษีจากการมีคู่สมรส สิทธิในกองทุนประกันสังคมของคู่สมรส และการรบั และปกครองบตุ รบญุ ธรรมร่วมกนั เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกในการยุติชีวิต กฎหมายการท�ำแท้งและกฎหมายก�ำกับ ความสมั พนั ธข์ องคนเพศเดยี วกนั นบั วา่ มวี วิ ฒั นาการทก่ี า้ วหนา้ กวา่ แมว้ า่ รฐั จะไมไ่ ดอ้ อก กฎหมายใหส้ ทิ ธใิ นการทำ� แทง้ ไดโ้ ดยเสรี หรอื ใหส้ ทิ ธทิ างกฎหมายกบั คชู่ วี ติ เพศเดยี วกนั โดยสมบูรณ์ แต่ก็ได้ก�ำหนดขอบเขตและ/หรือข้อยกเว้นให้ประชาชน “เลือก”กระท�ำ การดังกล่าวได้มากกว่าในอดีต และก็มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดยี วกนั กฎหมายไทยในปจั จบุ นั ไมไ่ ดเ้ ปดิ โอกาสใหป้ ระชาชน “เลอื ก” แนวทาง การยุติชีวิต เพราะครอบคลุมเพียงการดูแลแบบประคับประคองและการปฏิเสธการ รักษาในวาระท้ายของชีวิต ซ่ึงเทียบเท่ากับการสนับสนุน “การตายตามธรรมชาติ” และการป้องกนั การยืดการตาย (Dysnathasia) ของรฐั เท่านน้ั องค์ความรู้ที่ประมวลไว้ข้างต้นเอื้อต่อการประเมินในเบื้องต้นว่าท�ำไมกฎหมายการ 137
ท�ำแท้งและกฎหมายก�ำกับความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันจึงมีระดับวิวัฒนาการที่ แตกต่างจากกฎหมายการุณยฆาต แนวคิดการวิเคราะห์นโยบายช้ีให้เห็นว่าความเป็น ไปได้ทางการเมืองของนโยบายใดๆ ข้ึนอยู่กับความเข้มแข็งและอ�ำนาจของผู้มีส่วนได้ ส่วนเสยี แตล่ ะฝา่ ย (Hamlin and Jennings, 2011; Patton et al., 2013; Webber, 1986) ในขณะทผ่ี ้มู สี ว่ นได้สว่ นเสยี ของกฎหมายการุณยฆาต ซ่ึงคอื ผูป้ ว่ ยระยะทา้ ยใน สังคมไทย ยังไม่ไดม้ ีการเรยี กร้องสทิ ธิ และประเทศไทยกย็ ังไม่มอี งค์กรทางการเมอื งท่ี สนบั สนุนสทิ ธกิ ารตายและการณุ ยฆาต (Right-to-Die Organizations) ทรัพยากรใน การขบั เคลอื่ นกฎหมายการทำ� แทง้ และกฎหมายกำ� กบั ความสมั พนั ธข์ องคนเพศเดยี วกนั มมี ากกวา่ โดยเปรยี บเทยี บ ในกรณขี องการทำ� แทง้ ตวั อยา่ งขององคก์ รทเี่ กยี่ วขอ้ ง ไดแ้ ก่ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ของสตรี (แห่งประเทศไทย) มูลนิธิ ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย และเครือข่ายอาสา RSA (Referral System for Safe Abortion) สว่ นในกรณคี วามสมั พนั ธข์ องคนเพศ เดยี วกนั พบวา่ มอี งคก์ รทเี่ กยี่ วขอ้ งทหี่ ลากหลาย เชน่ องคก์ รการสง่ เสรมิ LGBT สมาคม ฟา้ สีรุง้ แห่งประเทศไทย GATE - Global Action for Trans* Equality และ กลมุ่ อญั จารี เป็นต้น อีกท้งั กลุ่ม LGBTQ ยงั มีความส�ำคญั ตอ่ เศรษฐกจิ LGBT Capital (2018) ได้ประมาณการไว้ว่า ในปี ค.ศ. 2018/พ.ศ. 2561 ประเทศไทยมีประชากรท่ีมีเพศ สภาพ LGBTQ ทง้ั สิน้ 4.5 ล้านคน และสรา้ งรายได้ประชาชาติ (“LGBT-GDP”) ทม่ี ี มลู คา่ สงู ถงึ 20 พนั ลา้ นเหรยี ญสหรฐั ขอ้ มลู ทง้ั หมดขา้ งตน้ นท้ี ำ� ใหอ้ าจสรปุ ในเบอ้ื งตน้ ไดว้ า่ การขาดทรัพยากรและองค์กรทางการเมืองท่ีสนับสนุนประเด็นท่ีเก่ียวข้องท�ำให้ การุณยฆาตยังไม่ใช่ประเด็นถกเถียงทางการเมือง (Political Agenda) ท่ีส�ำคัญใน ประเทศไทยในปจั จุบนั ทง้ั น้ี งานวจิ ยั ดา้ นนโยบายเชงิ เปรยี บเทยี บมกั จะมองวา่ ภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ตั นท์ โ่ี ลก มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น และนานาประเทศต่างก็เรียนรู้จากประสบการณ์ของกัน และกนั กฎหมายในแตล่ ะประเทศมกั จะมวี วิ ฒั นาการดา้ นเนอ้ื หาและวธิ กี ารดำ� เนนิ การ ที่เข้าใกลก้ ันมากขนึ้ เม่อื กาลเวลาผา่ นไป (Policy Convergence) (นพพล วทิ ยว์ รพงศ์ และ สมทพิ วฒั นพงษว์ านิช, พ.ศ. 2560) ปรากฏการณด์ งั กล่าวกเ็ กดิ ข้ึนกับกฎหมาย การท�ำแทง้ และกฎหมายกำ� กบั ความสัมพนั ธข์ องคนเพศเดยี วกนั ในกรณีกฎหมายการ 138
ท�ำแท้ง พบว่า ประเทศแรกในโลกท่ียินยอมให้มีการท�ำแท้งได้ คือ สหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1920 ตามมาดว้ ยประเทศอน่ื ๆ ในทวปี ยโุ รป ประเทศสหรฐั อเมรกิ า และขยาย ตวั มาถึงประเทศตา่ งๆ ทัว่ โลกในปัจจบุ นั (Berer, 2017) ในกรณีกฎหมายกำ� กับความ สัมพันธข์ องคนเพศเดียวกนั พบว่า เกดิ การเปลีย่ นแปลงจากแนวความคดิ แบบทวเิ พศ ในระบบกฎหมายมาสู่แนวความคิดแบบพหุเพศที่รองรับสถานะของบุคคลหลากหลาย เพศมากขนึ้ นับตงั้ แตป่ ลายศตวรรษที่ 20 (สมชาย ปรีชาศลิ ปะกลุ , พ.ศ. 2556) โดย ประเทศแรกที่มกี ฎหมายค่ชู วี ติ คือ เดนมารก์ ในปี ค.ศ. 1989 (อวิภารัตน์ นยิ มไทย, พ.ศ. 2562) สำ� หรับกฎหมายการุณยฆาตนั้น ประเทศแรกในโลกท่ีมีกฎหมายการุณย- ฆาต คอื เนเธอรแ์ ลนด์ ในปี ค.ศ. 2002 ตามดว้ ยเบลเยียม ลกั เซมเบริ ก์ และแคนาดา รวมถงึ สวติ เซอรแ์ ลนดแ์ ละบางรฐั ในสหรฐั อเมรกิ าทมี่ กี ฎหมายรองรบั การฆา่ ตวั ตายโดย ความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ จะเหน็ ไดว้ า่ กฎหมายการณุ ยฆาตเกดิ ขนึ้ หลงั การมกี ฎหมาย การทำ� แทง้ และกฎหมายกำ� กับความสมั พันธ์ของคนเพศเดยี วกัน และหากสมมติฐานที่ วา่ กฎหมายในโลกจะมคี วามใกลเ้ คยี งกนั มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ เปน็ จรงิ การพจิ ารณาจดุ เรม่ิ ตน้ ของกฎหมายในโลกกย็ ่อมมนี ยั ว่าการณุ ยฆาตจะกลายมาเปน็ ประเดน็ ทต่ี อ้ งถกเถยี งกัน ในอนาคต คล้ายกับที่นโยบายการท�ำแท้งและแนวคิดเรื่องคู่ชีวิตได้ถูกพิจารณาไปบ้าง แล้วในสงั คมไทย การถกเถยี งในประเด็นการุณยฆาตในอนาคต การริเร่ิมถกเถียงในประเด็นการุณยฆาตในสังคมไทยควรจะต้องอยู่บนพ้ืนฐานของ ความเข้าใจท่ีตรงกนั การปริทัศนก์ ารศกึ ษาในประเทศไทย (บทที่ 3) ชใี้ หเ้ ห็นว่าความ เขา้ ใจและการใชศ้ พั ทเ์ ฉพาะในวงการวชิ าไทยทเี่ กยี่ วกบั ทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ มคี วาม แตกต่างกัน อีกท้ังการศึกษาในต่างประเทศก็ช้ีให้เห็นว่าประชาชนและบุคลากรทาง การแพทย์มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในด้านนิยามของการุณยฆาต ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Danyliv and O’Neill (2015) พบว่า ประชาชนในประเทศสหราช อาณาจกั รมคี วามสบั สนระหว่างการณุ ยฆาต กบั การฆ่าตวั ตายโดยความช่วยเหลอื ของ แพทย์ สว่ นการศึกษาของ Kranidiotis et al. (2015) กร็ ะบวุ า่ ร้อยละ 52 ของบคุ ลากร ทางการแพทยใ์ นกลมุ่ ตวั อยา่ งในประเทศกรซี มคี วามสบั สนระหวา่ งการณุ ยฆาตกบั การ ปฏิเสธการรักษาในวาระท้ายของชีวิต และเพียงร้อยละ 33 ของกลุ่มตัวอย่างอธิบาย 139
กระบวนการของการุณยฆาตไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง เป็นต้น นอกเหนือการท�ำความเข้าใจและการใช้ค�ำศัพท์เฉพาะร่วมกันแล้ว สังคมไทยยังต้อง พิจารณาถึงประเด็นเหล่านี้ในการประเมินความเหมาะสมของกฎหมายการุณยฆาต ทั้งนี้ ประเด็นทั้งหมดเหล่านี้ยังไม่มีเคยมีการศึกษาในประเทศไทย (รายละเอียดอยู่ใน บทท่ี 2 และ 4) (1) แพทยท์ จี่ ะตอ้ งกระทำ� การณุ ยฆาตควรเปน็ แพทยก์ ลมุ่ ใด – ควรเปน็ แพทยท์ ี่ ใหก้ ารดแู ลแบบประคบั ประคองแกผ่ ปู้ ว่ ยกอ่ นหนา้ ทจี่ ะตดั สนิ ใจทำ� การณุ ย- ฆาตหรือไม่ ควรเป็นแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทาง และความสัมพันธ์ ระหวา่ งแพทย์กบั ผูป้ ว่ ยควรเป็นอย่างไร ควรมคี วามสมั พนั ธ์ใกลช้ ดิ (โมเดล ประเทศเนเธอร์แลนด์) หรือไม่มีความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (โมเดลประเทศ สวติ เซอรแ์ ลนด)์ (Rietjens et al., 2009; Steck et al., 2013; Wise, 2001) (2) บุคลากรทางการแพทย์มีความเต็มใจในการกระท�ำการุณยฆาตในระดับ ใด - ในฐานะผู้ลงมือกระท�ำการุณยฆาต การยอมรับต่อการุณยฆาตของ บุคลากรทางการแพทย์เป็นปัจจัยน่าจะท่ีส�ำคัญท่ีสุดต่อความเป็นไปได้ของ การมกี ฎหมายในอนาคต (Onwuteaka-Philipsen et al., 2012) โดยหาก บุคลากรทางการแพทย์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว และมีสิทธิปฏิเสธ การกระทำ� การณุ ยฆาตได้ การออกกฎหมายการณุ ยฆาตกจ็ ะเปลา่ ประโยชน์ ในทางปฏบิ ัติ (3) กระบวนการของการณุ ยฆาตควรเปน็ อยา่ งไร – ควรมกี ระบวนการยน่ื คำ� รอ้ ง อย่างไร ผู้พิจารณาอนุมัติค�ำร้องควรเป็นใคร รัฐและสังคมยอมรับให้มีการ กระท�ำการณุ ยฆาตและการฆ่าตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ไดท้ ั้งคู่ หรอื ไม่ หรือ จะอนญุ าตใหก้ ระท�ำไดเ้ พยี งการฆา่ ตัวตายโดยความช่วยเหลือ ของแพทย์เทา่ นั้น (4) รัฐมีกระบวนการตรวจสอบและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในทางลบได้ อยา่ งไร – รฐั (ระบบสขุ ภาพและระบบกฎหมาย) จะมกี ระบวนการปกปอ้ ง ผู้ที่เปราะบางในสังคม (Protection of the Vulnerable) จากการถูก กดดันใหก้ ระทำ� การุณยฆาตได้อยา่ งไร (Rietjens et al., 2009) จะป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การกระทำ� การณุ ยฆาตทม่ี ากเกนิ ความจำ� เปน็ ไดอ้ ยา่ งไร (Slippery 140
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178