การให้บริการสาธารณะ โดยการมีส่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) รูปแบบของรายงาน ควรเป็นรายงานวิชาการ บันทึกข้อความ ข่าว การนำเสนอทางคอมพิวเตอร์ใน การประชุมประชาชน หรือการประชุมเจ้าหน้าที่ และการจัดทำเป็นวีดีทัศน์ การใช้ แผนภาพ และสื่อต่างๆจะช่วยสร้างความสนใจได้ โดยมีหัวเรื่องที่น่าสนใจ อธิบายสิ่ง สำคัญ และนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับประเด็น ตลอดจนสรุปสิ่งที่พบและเสนอแนะ โปรดตระหนักว่ารายงานหนาๆ มีผลนอ้ ยต่อผตู้ ดั สินใจ เพราะจะไม่มีใครอยากอา่ น 40 สถาบนั พระปกเกลา้
การเตรียมการสำรวจความพึงพอใจและการเลอื กตัวอย่าง ภาคผนวก ประเดน็ ตวั อย่างทอ่ี าจมีในแบบสำรวจ กลุ่ม สวนสาธารณะ ความถี่ของการไปใช้ สถานที่ที่ไปบ่อยที่สุด ความพอใจต่อ เครื่องเล่นต่างๆเช่นสนามเด็กเล่น ความสวยงาม ความสะอาด ความร่มรื่น ข้อมูลที่ให้ ป้ายประชาสัมพันธ์ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแล กลมุ่ เดือดรอ้ นรำคาญ กลิ่น เสียง ทัศนียภาพ ภูมิทัศน์ สภาพของสถานที่ สิ่งของเกะกะ ถนนขรุขระ สถาบันพระปกเกล้า 41
การให้บริการสาธารณะ โดยการมีสว่ นร่วมของประชาชน (People’s Audit) กลมุ่ จดั การสาธารณสขุ บริการของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ต่างๆ ในเรื่อง ความรวดเร็ว สุภาพ เป็นมิตร ให้ข้อมูล ถูกต้อง แจ้งสิทธิของคนไข้ ดูแลดี กลมุ่ จัดการขยะมลู ฝอย การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย การให้บริการของเทศบาล รวดเร็ว ตรงเวลา เก็บหมดไม่เรี่ยราด ค่าธรรมเนียมเหมาะสม ให้ข้อมูลเรื่องการจัดการ ให้ความรู้ในการแยกขยะ คนงานสุภาพ รถเก็บขยะเหมาะสม ภาชนะเก็บขยะ มีเพียงพอ ตั้งในจุดที่เหมาะสม สะดวกในการทิ้ง การประชาสัมพันธ์ในการทำงานด้านนี้ การรณรงค์สร้างการมีส่วนร่วม 42 สถาบันพระปกเกล้า
การเตรยี มการสำรวจความพึงพอใจและการเลอื กตวั อย่าง การบรกิ ารท่ัวไปของเทศบาล สำหรับประชาชนทั่วไปที่เคยติดต่อ ใช้บริการของเทศบาล คุณภาพของการบริการทั่วไป ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาเป็นมิตร สุภาพอ่อนโยน เต็มใจช่วยเหลือ ปรับปรุงการทำงานเสมอ บริการรวดเร็ว ประชาชนมีส่วนร่วม ให้ความสะดวก สถานที่สะอาด ที่จอดรถเพียงพอ ดูแลทั่วถึง โปร่งใส สร้างการมีส่วนร่วม มีความรับผิดชอบในการทำงาน ทำงานคุ้มค่า การจดั การจราจร สภาพถนน สัญญาณไฟ ป้ายบอกทาง สถาบนั พระปกเกลา้ 43
การใหบ้ รกิ ารสาธารณะ โดยการมีส่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ป้ายเตือน เครื่องหมาย พฤติกรรม / การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา 44 สถาบนั พระปกเกล้า
เรอ่ื งท่ี 11 การเข้าถึงชมุ ชนเชิงบวก เคร่ืองมอื การทำงานแนววัฒนธรรมชมุ ชน ทพ.อทุ ยั วรรณ กาญจนกามล ย้ประวัตศิ าสตร์ครงั้ เกา่ กอ่ น อนกลับไปดูชีวิตและการทำงานของนักพัฒนาในอดีต เราจะเห็นภาพซ้ำๆ คล้ายๆ กันอย่างนี้คือ เมื่อเราลงไปในหมู่บ้าน เราก็จะพยายามมองหาว่า ชาวบ้านที่เราพบ หรือหมู่บ้านที่เรากำลังเข้าไปนั้น เขามีปัญหาอะไรกันบ้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ก่อนที่เราจะเข้าไปในหมู่บ้านชนบทในหัวสมองของเราที่ถูกบรรจุ ข้อมูลเกี่ยวกับชาวบ้านและหมู่บ้านอยู่เรียบร้อยแล้วเรามีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นดินที่ แห้งแล้งเด็กๆ ที่ไร้การศึกษา ขาดอาหาร เยาวชนที่กำลังติดยาเสพติด คนหนุ่มสาว
การใหบ้ ริการสาธารณะ โดยการมสี ว่ นร่วมของประชาชน (People’s Audit) อพยพหนีออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เด็กและคนแก่ การเข้ามาเลือกตั้งเพราะอยากได้ ปลาทูสักเข่งหนึ่ง ความงมงายด้วยการรักษาโรคด้วยไสยศาสตร์แบบหมอน้อย ฯลฯ เพราะฉะนั้นแม้ตั้งแต่เกิดมาเราจะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในหมู่บ้านชนบทเลย (แต่ เราก็สามารถจะรู้ได้ว่าชาวบ้านไทยนั้น “โง่จนเจ็บ”) โดยที่บางครั้งอาจจะมีภาพ โฆษณาแทรกซ้อนถึงความสุขสงบ ชีวิตเรียบง่ายของชนบทแว๊บเข้ามาบ้างอย่าง ประปรายแต่นั่นก็เป็นเพียงภาพส่วนน้อย แต่นักพัฒนามีบทบาทที่แตกต่างจากคนทั่วๆ ไปตรงที่เราต้องเข้าไปในหมู่บ้าน และต้องมีความสัมพันธ์แบบใดแบบหนึ่งกับชาวบ้าน จากข้อมูลในกรอบความคิดของ เราที่คิดว่า ชาวบ้านต้องมีปัญหาชีวิตรุมล้อมอยู่ ก็ทำให้เราเริ่มต้นซักถามปัญหาต่างๆ ของชาวบ้าน และด้วยน้ำใจดีของเราในขั้นต่อมาเราก็จะพยายามหา ทางช่วยเหลือชาวบ้านตามแต่ที่เราพอจะคิดได้ตามประสาเรา ความช่วยเหลือของเราจะแสดงออกมาเป็นรูปธรรมใน รูปของโครงการ ก็แล้วแต่ว่าเรามองเห็นว่าปัญหาอันไหน สำคัญก็คิดโครงการมาแก้ไขปัญหานั้น ขาดข้าวกินก็ ทำธนาคารข้าว ขาดควายก็ทำธนาคารควาย เด็กไม่มี ข้าวกลางวันกินที่โรงเรียน ก็ทำโครงการอาหารกลางวัน ฯลฯ วิธีทำโครงการนี้ส่วนใหญ่แล้วใช้ทรัพยากร ทั้งวัตถุ ตัวบุคคล ความคิด แรงงาน จากฝ่ายนัก พัฒนาเป็นส่วนใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้น และเป็นตัว ตั้งจากฝ่ายของชาวบ้านนั้นมักจะเป็นส่วนน้อย เป็นตัวเสริมเท่านั้น ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก ความเข้าใจของเราที่ว่า “ชาวบ้านเขาขาด วัตถุ ตัวบุคคล ความคิด แรงงาน” บวก ผสมกับความมีน้ำใจดีของเรานั่นเอง 46 สถาบันพระปกเกล้า
การเขา้ ถึงชุมชนเชงิ บวก เครือ่ งมอื การทำงานแนววฒั นธรรมชุมชน แต่ทำงานแบบนี้ไปได้ไม่นาน นักพัฒนาเราก็มักจะพบแต่ความผิดหวัง และ ตามมาด้วยความกลุ้มใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจากความมีน้ำใจดี (แต่ยังขาดความเข้าใจ ที่ดี) ของเราก็คือ ชาวบ้านไม่ค่อยจะช่วยตัวเอง แม้แต่การแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ใน กลุ่มก็ต้องรอเรา ทำไมชาวบ้านจึงไม่รู้จักรักษาสิ่งต่างๆ ที่เราหยิบยื่นช่วยเหลือไปให้ ยุ้งฉางข้าวก็ไม่ช่วยกันรักษายืมข้าวแล้วก็ไม่คืน บางคนถึงกับคดโกงเวลาเรียกประชุม ก็ไม่ค่อยมา และปัญหาปวดใจนักพัฒนาอีกร้อยแปดพันเก้าประการ ในขั้นต่อมา เมื่อนักพัฒนาหลายๆ คนที่ประสบปัญหาเดียวกันได้หันหน้ามา ปรึกษาหารือกันและมาคิดพิจารณาทบทวนไตร่ตรองร่วมกันเราก็ได้มาถึงข้อสรุปที่ว่า กรอบความคิดหรือความเข้าใจที่เรามีต่อชาวบ้านนั้น ยังถูกต้องไม่หมดยังไม่รอบด้าน เพราะเรามองชาวบ้านแต่เพียงครึ่งเดียวและด้านเดียวคือ ด้านลบ ด้านที่เป็นปัญหา ของชาวบ้าน ในแง่ชุมชนเราก็มองแต่ด้านที่ชุมชนสูญเสียไปเพราะอิทธิพลจาก ภายนอก เช่น เสียแรงงานหนุ่มสาว เสียวัฒนธรรม ฯลฯ และเรามองแต่ด้านความไม่ สามารถของชาวบ้านและชุมชน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่า การเข้าไปหาชุมชนในทัศนะ ดังกล่าวเป็นการ “ใช้ negative approach” และแม้แต่เวลาที่เรามองดูตัวเราเอง เรา ก็มองแต่เพียงด้านเดียวอีกเหมือนกัน คือมองว่าตัวเรานักพัฒนาไม่มีปัญหา เรามีแต่ ความรู้ความสามารถ เรามีทรัพยากรทุกอย่าง แต่ถึงเราจะคิดอย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง ความเป็นจริงมันฟ้องว่า “เรานักพัฒนาก็มีปัญหา” (เหมือนชาวบ้าน) มีความรู้ความ สามารถที่ไม่เพียงพอสำหรับการทำงาน วิธีการทำงานโดยเข้าไปหาชุมชนแบบ negative approach นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ทั้งหมดเพียงแต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว และเราได้ใช้วิธีการดังกล่าวมาแต่ เพียงวิธีการเดียว จนขาดสมดุลไปแล้ว วิธีการดังกล่าวจึงมาถึงจุดที่ทำให้เกิดอาการ ตีบตันในการทำงาน เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาต่อไปนี้เราจึงจำเป็นต้องพลิกหันกลับมา ใช้อีกด้านหนึ่งของกรอบวิธีคิดคือ “positive approach” เพื่อสร้างสมดุลให้กับการ สถาบันพระปกเกลา้ 47
การใหบ้ ริการสาธารณะ โดยการมสี ่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ทำงานให้ครบถ้วนทั้งสองด้าน อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก “คมมีดด้านนี้” เรายังไม่เคย ใช้มาก่อน เพราะฉะนั้น เราต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อสะสมบทเรียน หลักการพื้นฐานของ positive approach ในระดับของการทำความเข้าใจกัน เรื่อง positive approach ไม่ใช่เรื่องยากนัก เราก็รู้อยู่ว่า เราต้องหยุดคิดว่า เรามีทุกสิ่งทุกอย่างและเริ่มมองหา แสวงหาสิ่งที่ชาวบ้านมีอยู่ หากแต่ในระดับของการ ปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คิด เพียงแต่การหยุด คิดว่าตัวเองมีทุกอย่าง มีความรู้ มีคำตอบ มีอะไรต่อ มิอะไร แค่นี้ก็ยากแทบตายแล้ว เพราะต้องต่อสู้กับ “อัตตา” ของตัวเองด้วย ใครๆ ก็รู้ว่า “ตัวกู นั่นแหละ เป็นข้าศึกตัวสำคัญของตัวกูเอง” ขั้นตอนที่พอจะช่วยเหลือพวกเราได้บ้าง (แต่ คำอธิบายนี้ก็เป็นเพียงแผนที่เท่านั้น แต่หากจะให้ ถึงที่หมาย พวกเราก็ต้องเดินทัพทางไกลเอาเอง) เริ่ม ต้นตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใน หัวสมองของเราเสียใหม่ “วิธีการเข้าไปหาชาวบ้าน” นั้น จะต้องถูกกำกับด้วยทัศนะ แบบใหม่ ดังเช่นประสบการณ์จากพระสังฆราช (บีซ่า 7) ที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “การลงไปพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้านครั้งนี้ เราไม่ได้ลงไปสอนพวกเขา เราไม่ได้ลง ไปอย่างคนที่เหนือกว่า แต่เราต้องการลงไปเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ในชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา” เมื่อเราเปลี่ยนกรอบแว่นตาใหม่ สายตา เราก็อาจจะแจ่มใสจนมองเห็นอะไรได้บ้าง 48 สถาบันพระปกเกล้า
การเข้าถงึ ชุมชนเชิงบวก เคร่อื งมอื การทำงานแนววัฒนธรรมชุมชน ขั้นตอนต่อไปก็คือ ต้องศึกษาความเป็นจริงให้รอบตัวเสียก่อนอย่าเพิ่งใจเร็ว ด่วนได้รีบตัดสินใจอะไรลงไปก่อน เช่น เวลาที่ชาวบ้านมาประชุมช้า หรือไม่มาประชุม เลย เวลาชาวบ้านไม่สิ่งเงินคืนโครงการ ฯลฯ (การศึกษาความเป็นจริงนี้ก็อยู่ใน เครื่องมือ “การศึกษาชุมชน” นั่นเอง) หลายครั้งที่เราใจร้อนตัดสินใจสิ่งต่างๆ ก็เพราะ เรามองปรากฏการณ์ที่เราพบเห็นอย่างโดดเดี่ยวไม่สัมพันธ์กับปรากฏการณ์อื่นๆ เวลาเรามอง “ชาวบ้าน” เราก็มองแต่ “ชาวบ้านเวลาทำโครงการ” เท่านั้น แต่ถ้าเรา มองดู “ชาวบ้านเวลาเข้าไปวัด” “ชาวบ้านเวลาทำนา” “ชาวบ้านเวลาไปลงคะแนน เลือกตั้ง” “ชาวบ้านเวลาไหว้ผี” เราจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้อย่างง่ายๆ เพราะ เราจะต้องถามตัวเองว่า “เวลาที่เราเรียกประชุม ทำไมชาวบ้านไม่มา แต่เวลาที่ พระภิกษุเรียกไปช่วยงานวัด ทำไมไปกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งๆ ที่เป็นชาวบ้าน คนเดียวกันนั่นแหละ” คำตอบง่ายๆ ที่ว่า “ก็นักพัฒนาไม่ใช่พระภิกษุ (นี่หว่า)” ก็ ถูกต้องแบบกำปั้นทุบดิน แต่ก็ไม่ช่วยให้แก้ปัญหางานพัฒนาได้ นอกจากจะทำให ้ นักพัฒนาเจ็บกำปั้นไปเปล่าๆ ผลจากการศึกษาความเป็นจริงให้กว้างขวางรอบด้าน จะช่วยให้เราสามารถหา คำอธิบายต่างๆ ในปรากฏการณ์ หรือในการกระทำของชาวบ้านหรือชุมชนได้ ก่อนที่ จะลงความเห็น (อย่างที่ผิดพลาด หรือไม่รอบด้านเพราะอคติส่วนตัวหรือรับรู้ข้อมูลไม่ เพียงพอ) ดังนั้น การเข้าไปหาประชาชนด้วย positive approach ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ จะใช้ควบคู่กับการศึกษาชุมชนนั้นวางอยู่บนพื้นฐานความคิด ความเชื่อที่ว่า “ในหมู่ ประชาชนนั้น มีอะไรดำรงอยู่ ถ้าเราเข้าไปแสวงหา เราก็จะค้นพบ” แต่ถ้าทัศนะใน การค้นหาของเราไม่แจ่มชัด (เช่น ด่วนตัดสินใจแทนที่จะพยายามอธิบาย) การค้นพบ ของเราก็จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ทั้งนี้เพราะกรอบการคิดแบบเก่าของเราจะเข้ามา แทรกแซงอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น เราตั้งใจว่า จะเข้าไปดูคุณค่าแห่งการช่วยเหลือ เกื้อกูลกันของชาวบ้าน พอเราเริ่มไปดูพิธีกรรมการรักษาพยาบาลด้วยการเข้าทรง กรอบความคิดเก่าก็จะบังคับให้เราถามทันทีว่า “แล้วจะรักษาหายจริงหรือนี่” จากนั้น สถาบนั พระปกเกล้า 49
การใหบ้ ริการสาธารณะ โดยการมสี ่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) ที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะใช้ positive approach ก็จะกลายเป็น negative approach ไป เสียแล้ว แต่ที่พูดมานี้ไม่ได้หมายความว่าจะบังคับให้ลงความเห็นว่าทุกอย่างในชุมชน นั้นดีเสมอไป เพียงแต่เราควรจะหาคำอธิบายเสียก่อนว่า “ทำไมเมื่อเกิดมีการเจ็บป่วย ชาวบ้านจึงใช้วิธีการเข้าทรง มีอะไรอยู่ในการเข้าทรงบ้าง เมื่อเวลาเจ็บป่วย ชาวบ้าน มีจุดมุ่งหมายเบื้องแรกและประการเดียวคือ การหายขาดจากโรคใช่หรือไม่” เพราะฉะนั้น จากกรณีตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าขั้นตอนของ positive approach นั้น จะเป็นการตั้งคำถามมากกว่าการให้คำตอบ แทนที่เราจะมี คำตอบสำเร็จรูปที่ใช้อธิบายว่า ชาวบ้านชนบทเป็นผู้ที่ล้าหลังงมงาย เราควรที่จะตั้ง คำถาม เพื่อหาคำอธิบายดังที่กล่าวมาข้างบนเสียก่อน เช่น “ชาวบ้านเขาไม่รู้จัก โรงพยาบาลและหมอสมัยใหม่หรือ” “ทำไม สำหรับการเจ็บป่วยบางกรณี ชาวบ้านก็ ไปหาโรงพยาบาล บางกรณีก็ไปหาหมอส่อง นางเทียม ชาวบ้านเขามีการรับรู้เรื่อง ของการเป็นโรค การเจ็บป่วยและวิธีการรักษาอย่างไร” ด้วยทัศนะแบบ positive approach เช่นนี้ จะทำให้นักพัฒนารู้จักชาวบ้านอย่างแท้จริงและรอบด้าน รู้จักสิ่งที่ ชาวบ้านสามารถและไม่สามารถ รู้จักวิธีคิดของชาวบ้านสิ่งที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ จะถูก แสดงออกมาให้เราเห็นโดยไม่ถูกปิดบังจากกรอบทัศนะแบบเก่าๆ ของเราเอง 50 สถาบันพระปกเกล้า
การเขา้ ถงึ ชุมชนเชงิ บวก เครอ่ื งมือการทำงานแนววัฒนธรรมชมุ ชน จากการตั้งใจที่จะถามคำถามมากกว่าที่จะให้คำตอบหลายครั้งจะ ช่วยให้เราคนพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เวลาที่เราเผชิญปัญหากับผู้นำ โครงการที่คอรัปชั่น หากเราค้นคว้าลงไปให้ละเอียดกว่านั้นแล้วเราได้พบว่า บรรดาผู้นำเหล่านี้ เคยเป็นผู้นำตามธรรมชาติของชุมชนที่ได้รับการคัดเลือก ก็เพราะมีความซื่อสัตย์ มีความเสียสละ แต่เหตุใดเมื่อมาทำงานโครงการ พัฒนาร่วมกับเรา จึงได้กลายเป็นคนคดโกงไปได้ สาเหตุความผิดพลาดอยู่ ที่ตัวผู้นำ หรืออยู่ที่โครงการพัฒนาของเรากันแน่ ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังถาม ตัวเองอยู่ไม่หาย เมื่อทำการศึกษากลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาร่วมงานพัฒนาอย่าง เสียสละ ซื่อสัตย์ เอาจริงเอาจัง ทั้งๆ ที่ชาวบ้านกลุ่มนี้เองที่เคยเห็นแก่ตัว เคยเบี้ยวเงินโครงการของรัฐ เคยทำอะไรไม่ดีมาต่างๆ นานา เหตุใดจึงมี การเปลี่ยนแปลงได้ อะไร เป็นอะไร อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น ฯลฯ positive approach เปน็ เครือ่ งมอื ที่มพี ื้นฐานของความเชือ่ ทางศาสนา จากการที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการใช้เครื่องมือแบบ positive approach อาจจะชวนให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่า การใช้เครื่องมืออันนี้เป็น “ลูกเล่น” (tactic) ในการทำงานอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าเรามีทัศนะว่า เครื่องมือชิ้นนี้เป็นพียง tactic อันหนึ่งในการทำงาน เราจะใช้เครื่องมือนี้ไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะการใช้ เครื่องมือชิ้นนี้เราต้องฝ่าฟันความเชื่อถือดั้งเดิมที่เราเคยมีต่อชาวบ้าน เช่น ความรู้สึก ดูถูกดูแคลนชาวบ้าน ความไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของชาวบ้าน ฯลฯ ฉะนั้นแรงจูงใจที่ จะใช้เครื่องมือชิ้นนี้ต้องมีความลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียง tactic สถาบนั พระปกเกลา้ 51
´«³ªnµ Á¦Éº°¤º°·ÊʸÁ}¡¸¥ tactic °´®É¹Äµ¦Îµµ Á¦µ³ÄoÁ¦Éº°¤º°Ê¸ÅÅoŤn Á¡¦µ³µ¦ÄoÁ¦ºÉ°¤º°·Ê¸ÊÁ¦µo° iµ¢{ªµ¤ÁºÉ°º°´ÊÁ·¤¸ÉÁ¦µÁ¥¤¸n°µªoµ Án ªµ¤ กาÂรµใªหบ้ oµริการªสµา¤ธÅา¤รnÁณºÉ°ะ ¤โด´ÉยÄกา«ร´ม¥ีส£่วµน¡ร
ว่ °มขอµงªปรoµะชา²ช¨น²(P³eopÊ´lÂe¦’sA¼¨uÄditɸ) ³ÄoÁ¦ºÉ°¤º°·Ê ¨¹ ʹผู้เขªียµn นµไ¦ดÁ้วิเ}คÁร¡าะ¸¥ห์วta่าcptiocsitive approach ที่ลึกซึ้ง จะต้องมีมิติของความเชื่อ ทางศาสนา(o¼Ás
p¸¥iritÅuaoªl ·Ádi¦mµ³en®srªinµonp)osเปiti็นvรeากaฐpาpนrรoอaงcรhับควɸ¨า¹มเชʹื่อม³ั่นในo°ศ¤ัก¸¤ย·ภ·
าพ°ของªµ¤ÁºÉ°µ«µ มนdiุษmยe์ดn้วsiยoกn)ันÁคว}า¦มµไว้วµางใ¦จ°ใน¦ค´ุณงªาµม¤คÁวºÉ°าม¤ด´ÉีขÄอง«ม´น¥ุษ£ยµ์ด¡้ว
ย°กัน¤แ»¬ง่ม¥ุมroªเห¥ล่า´นี้เปª็นµ¤ÅªoªµÄÄ» เน
ื้อ°หา¤สาร»¬ะส¥ำrคoªัญ¥ที่´มีอÂยู่ใnน¤แ»¤กÁ®่นใ¨นnµขอʸÁงศ}าสÁนºÊ°าท®ุกµศาµส¦น³าเÎชµ่น´พุท¸É¤ธศ¸°า¥ส¼nÄนาÂได้รnะÄบุไว
้ °«µµ»« อย¡่า»งชัด«เµจนวµ่าÅ“พo¦ร³ะพ»Åุทªธo°เจ¥้nาµมิได´้สÁอนªใnµห้ม“¡นุ¦ษ´ย¡์รู้»จักแÁตoµ่ท¤ุก·Åข์เoท°่านั้นÄ®แo¤ต่ย»¬ังส¥อr¦¼oน³แÂละ n»
rÁnµÊ³  ชี้หนʸ®ทางใµหÄ้เร®าoÁเ¦อµาÁช°นµะคว´ามªทµุก¤ข์น»ั้น
ดr้วʳยแoªล¥ะÂย¨ังม´ีค¥³ว¤าม¸เªชµื่อ¤มÁั่นºÉ°ว¤่าม³Éนªุษnµ¤ย์สา»¬ม¥าrรถµ¤จะµ¦´¨nª¡oª ลมอย่วนÁงู่แุษ¹พ¦·ลย“·”้ันว์ขคªทึ้น«วµ่าµมา¤นมาÁพตทุทาµ}ุกมธ¡ขทÈÁฉ์ไÁ· า«าดnสย¬้”จÁา
ึงคข¥¸°ไอรªดิสง¤้ชพต´ี้แศรน¬» Âะาว¥อสกr”งนªาคาร°ก์มน·¥็เอัn¼Â้นชง¨่นɸªเก³ªพnµเด็บื่¡อีย่งน¦µnวบม³กอน¡ันก¼oÁุษ» ถแย}ึงน์เÁอว“าµคคoµไÅวิดว้วาท¹oม่าี่วÅเ¦“่าปมoµoพ็นอ¤Ê¸รงพะแิเผต»¬ªศู้เ่แ¥ษปµr
ง็นข¦่ดʹเอ¤ีเจ¤งถ°้ามµิดไดน”Á¡µ ้สุษ¤Éº°รย้า์ง”µ¤¥ µ
»¬°¥rÁ¡°¦µÅ³ª°oªnµ r“ เป็นเปขรามะโีสย่วชนน์เลโลวกบบ้าÁง้า
งµช¤ย่าง¸ังหนnªัว่าเดขู Áา¨ ªµo nµ®สจª³ ง่วÁเน
ลทµือี่ชกั่วเอ าอÁ¨สยº°่ว่างนไÁทป°ี่ดรµีู้ เขขอnªางมเขีอายɸ เู่ ล¸ Áย
µ¤¸°¥¼n จะหาคน มีดÁีโด} ยส¦่ว´นÃเ¥ดียว r èoµ ¥³nµอ¼ ย่ามัวเที่ยว ค้นหาnªสหาɸยเɪ³ อ๋ย° ¥nµÅ¦o¼
°Á
µÁ¨¥ เหมือนเที่ยวห´า®หµนวดเ¤ต¸่า¸ Ãตาย¥เปnªล่าเÁอย¸¥ ª ฝึกให้เคย°¥มnµอ¤ง³ªแÁต¸É¥่ดªี มีคo ุณ®จµริง ®µ¥Á°q¥ Á®¤°º Á¥¸É ª®µ ®ªÁµn µ¥ Á¨µn Á° ¥ พุท ธfทÄ®าสoÁ. ¥ ¤°Ân ¸ ¤¸»¦· ¡» µ. Posit ive approach Á}Á¦ºÉ° realistic Positiv»eÂ
Èaɸp»p
°roPaoscitihve approach Ê´°¥n¼¸Éªnµ¦°ªµ¤·Ä®´ª¤°
°Á¦µÂ เปน็ เรือ่ ง realistic °¨o°´£µ¡ªµ¤Á}¦·°¥nµÉ¸» ʴʸÁ¡¦µ³®µÁ¦µ»·´·Á¸¥ªªnµ ¸ª·µªoµ nµÇ ¦»¤¨o°¤°¥n¼¦°´ª Á
µÈ¤¸ªµ¤»
r¥µÁ}Á¦ºÉ°¦³´µ¥°¥¼n¨oª ÂnµªoµÁ
µÈ° ขอÅงเรoา¹´Êจแªุดบ´แ³บขน็¸ÉÁงี้เ¦ทปµี่็สนÁ
»ุดเรoµ
ขÅื่อrองง¦ท¡¤ี่สPµอosดÁ¦iÁคtµ¡iลv¸¥o้°อeงÄaกÅp¤ับpn¨สÈrภº¤oµาaª¤พcnµh(ค¦วนา³ัnม้น¦เอµป·ย็นÇู่ทจี่ÁวÂร
่า¨ิงµกอoª°รย¥อ่า¸n¼ª¤บง·µทคÅ
ี่สว°าุดoมn°ทÄคั้งิดน¦ใีน้เɸÁพ¦Èหµรµัวา¤สะ´หม¡าอµ´กง¦µ´Ê³ÁÈÁ
oµ¦Åʸ¥ªÁÅ®¤¤ µ¦Ê´È®ªµµÊεʹ ªo ¥´Ê´ Ê´ ) 52 ส´ถาÊ´บนั ªพµร¤ะÁปกºÉ°เก¤ล´Éา้ Ä «´¥£µ¡
°µªoµ´Ê ¹Å¤nÄnÁ¦Éº°É¸n°´ª¤µµ°»¤·®¦ Á¨Éº°¨°¥É¸Á¦µ·ªµ£µ¡Á°µÁ°Ä®´ª¤° ÂnÁ}
o°¦»¸ÉÁ·¤µµ¦¼¦¦¤ªµ¤Á}¦
การเขา้ ถงึ ชุมชนเชงิ บวก เครอ่ื งมอื การทำงานแนววัฒนธรรมชมุ ชน เราฉุกคิดสักนิดเดียวว่า ชีวิตชาวบ้านก็มีปัญหาต่างๆ รุมล้อมอยู่รอบตัว เขาก็มีความ ทุกข์ยากเป็นเครื่องประดับกายอยู่แล้ว แต่ชาวบ้านเขาก็อยู่รอดมาได้จนถึงวันที่เรา เข้าไปพบ เราต้องไม่ลืมว่าประชาชนเขาอยู่มาได้ก่อนที่เรานักพัฒนาจะเข้าไป ไม่ว่าการ อยู่มาได้นั้นจะทนทุกข์ทรมานเพียงใดก็ตาม (แต่จริงๆ แล้วชีวิตของใครก็ตาม บาง ครั้งก็เปรี้ยวเหมือนมะนาว บางครั้งก็หวานปานน้ำผึ้งด้วยกันทั้งนั้น) ดังนั้น ความเชื่อมั่นในศักยภาพของชาวบ้านนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ก่อตัวมาจาก อุดมคติหรือไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยที่เราคิดวาดภาพเอาเองในหัวสมอง แต่เป็นข้อสรุปที่ เกิดมาจากรูปธรรมความเป็นจริงทั้งนี้เพราะสภาพชีวิตของชาวบ้านนั้น ต้องดิ้นรนต่อสู้ อย่างเป็นจริงเป็นจังและรอบด้าน ต้องถางป่าให้เป็นไร่นา ต้องไถหว่านดำ ต้องรู้จัก การหาอาหาร และต้องรู้จักทำอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด ประสบการณ์กับการต่อสู้ในชีวิตประจำวันที่ยาวนาน และสั่งสมจากอดีตมาจนถึง ปัจจุบันนี้เองเป็นเบ้าหลอมความเฉลียวฉลาด (แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องการอ่าน หนังสือ) ความสามารถ ศักยภาพ ความมีน้ำอดน้ำทน ฯลฯ ความสามารถนี้มีลักษณะ 2 ชั้น ชั้นแรก เป็นศักยภาพที่ติดตัวมากับธรรมชาติเพราะในฐานะที่เป็น ลูกเป็นหลานชาวนา ชาวบ้านก็จะมีศักยภาพบางอย่างติดตัวมาเป็นทุน อยู่แล้ว ชั้นที่สอง ความสามารถนี้จะกลายมาเป็นประสบการณ์ชีวิตจริง (Lived experience) ที่ต้องออกกำลังกายกับปัญหาอยู่เสมอ (exercise) เปรียบเสมือนความแข็งแรงที่ติดมากับกล้ามเนื้อซึ่งเรามีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เมื่อกล้ามเนื้อนั้นได้มาออกแรงอยู่เสมอๆ จากความแข็งแรงก็กลายเป็น ความแข็งแกร่งขึ้นมา สถาบนั พระปกเกล้า 53
¨µµªµ µªoµÈ³¤¸«´¥£µ¡µ°¥nµ·´ª¤µÁ}»°¥¼n¨oª x Ê´¸É° ªµ¤µ¤µ¦¸Ê³¨µ¥¤µ ¦³µ¦r¸ª·¦· (Lived experience) ¸Éo°°°Îµ¨´µ¥´{®µ°¥¼nÁ¤° (exercise) Á¦¸¥Á¤º° ªµ¤Â
Ȧกɸาร·ใ¤หบ้µร´ิการ¨สoµา¤ธÁารʺ°ณะ¹ÉโÁด¦ยµ¤กา¸°ร¥ม¼nีสµ่ว¤นร¦ว่ ¦ม¤ขอµงป· รÂะชnÁา¤ชºÉ°น(¨Poµe¤oÁpleºÊ°’s´ÊAÅudo¤itµ)° °Â¦°¥¼nÁ¤°Ç ªµ¤ÄÂ
£È µÂง¦านไ·Èด¨´้”ใµน· (¥pภµÁrา¦aคÄ}cปtiฏocªpิบaoµlัต¤s)ิiÂอtกi
ีกvารeÈดใÂ้วaชยp้ pp¦เronพo
sรaiʹาtciะh¤vใeนµÁขa}ณpÁpะ¦ทr°Éºoี่ชaาcวhɸบr้าeเนปalม็นisีลเtรiักื่อcษงÂณท¨ี่ะ³rปe¥aัจ´lจi“sุบtÄันicอoยแµู่ล2ะÅยดัง้า”oน“คใ(pชือr้ actical) °¸ªo ¥ ¦µ³Ä
³“ɸชาµวªบ้าoµน”¤ด¸¨้า´ น¬ที่มี³แล{ะชา»ว´บ°้าน¥ด¼n 2้านทµo ี่หมดº°เว“ลาµทªี่เราoµจะ”เริ่มลµo งมือ¤É¸ท¸ำÂอ¨ะไ³รกµับªชาวoµบ้านµo É®¸ ¤ Áª¨µ µ³Á¦¤É· ¨¤º°เรεา°ก็³ตÅ้อ¦งเร´ิ่มตµ้นªทำoµงานจÁา¦กµสิ่Èงทo°ี่ชาÁ¦ว¤·Éบ้านo มีอεยู่แµล้วµ(ที่เรÉ·าเรɸียµกªว่าoµ“ถ¤ือเ°¸ อ¥าn¼Âช¨าวoªบ้า(นเÁ¸Éป¦็นµÁ¦¸¥ªµn “°º Á°µ µªoµÁ} ª³ ใตชัวʳ้สต”ิ่งั้งท)”ี่น) Áักเ¡พพ¦รัฒาµะ³นถา้ามoµเรÁีเ¦ขาµเ้ารÁไ¦ิ่มป¤·É ตแท้นoนจาทกีµ่ ด´้า¡นoµ´ที่ชาµวɸ¤บµÁ¸ ้า
ªนµo หŵo มด®ก¤็ต้อง¸É กÈ ล°oายเป¨็นµว¥่าÁต}้องªทnµำงาน°o โดยεµÃ¥Äo É· µ¦¥µo ¥
µo ¤กµ¥ารºย้าµยข้างµÎ มÂา®ยืนจn า(กต)ำ¤แหµนn¼่งµÎ (Âก®) มาnส(ู่ต
ำ)แห¥n°น¤่ง (ขε)Äย®่อoÁ¦มµทÁ®ำใÈห้เรµาªเห็นµo ชาÂวบ้านµn ´ µÎ ®n ¦µ¥ºÁ}´ªแตεก®ต่างก£ันµ¡ตำแ¸ÉÁห¦นµ่งท³ี่เÁร®าÈยืนเn°ป็นต
ัวoµกำ¤หµนดภεาÂพ®ที่เราnจะ¸ÉÁเ¦หµ็น¥คº่อÄนข้าง¸Éม¸Êา®ก¤ตµ¥ำแห¹น่งªทµี่ ¤Áɺ°É¸Á¦µ¤¸n° P¨µªer¦s¦oµ³pµeÃc¥ti¦vre°Âr nµoกอpบเfรnำoีtด้า®าªhนนoยกeµวrืนั้น¤จ”ยp¹ÉใชาผoนคกีวÅo·ลทɸือิตตr¤ปี่น”ÎำทµมnÅรี้แหี่´«เะอปหµมโnº°ง็ยนนาคµ³ยช่สง¤นถนุข¨°(จึง์ข¸ÉขแÁ»¦คεน)อกµวอง่คน¤า®¨คยนีม้เ°อ¸น่าจเงชงจ´nนททื่อน°ไ¼ีีท่เ่คม¸É¥
รป¦ีµ่เน่ไาnµร´ª³รชเจารา่จมนียช¨าµoµีตคญ¸Éกก่อววต์ท¦ช่ราำ่าา³เจÅแรµนวÃะหาบห¥มมนo้านªออน่งε¦ึ่ง¦งงท»ทดกชี่ขr®®ี่ทารู³ตัดว¦อำ¤ัวผบº°งบnเ°าลÁ้าอÁค¦นน(ปงว¸¥
คจ}ราด)¼ละาม
กูคโุกÅ´ªคยªนªคÁิด“ชµ°¸ÊÁoªจลPน°ทnµาีกe®์หกัศrับ¤รsตน¼ปือ¸pɸÁำµะ¦รเe¼oแ¤¤ปทµะcห¸Á็นี่ชเt¦µรนiา¸ขÎʵา¸¥vช่งวมÄeนทาอ´ÊªÎµกไoี่จงÂดnµหfดะ¸Á®้สน¸ª¦เูชtµอรh·µาาุปื้มวอ¤en°É¸Áɸ}³´ÊµÁ°ª°»
ʺ°Éº
°oµÇ°ÎµÄªµ¥ ¤ µÎ ªÅบ¤ทnเร°o ีย¥นไ¸ÉÅว้วÁo่า
มoµÅีผู้ม°ีน¥้ำ¼nใจ´ดีจµาªกชนµo ชั้น¦อ¼o ื่น¹ๆÁ®ใÈน°สังÁค®มÈ จÄำนวµนªไมoµ่น้อย®ทµี่ได้เขª้าnµไป¤อ¸Á¡ย¸¥ู่กับnªo°¥ÁnµÊ´ ³¤¸ «´ ³Âชาวบ¦้านªรู้สึก¦เห็นอ¹ก
เห´Ê ็นใÁɸจ®ชÈาว¡บ¨้าน´ หµาªกทoµว่ามoªีเพ¥ียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีทัศนะแบบ ครบวงจรจนถึงขั้นที่เห็นพลังชาวบ้านด้วย »¼µ¦
°54 สถpาoบsันitพivรeะปaกppเกrลoaา้ c h
¨¦³Ã¥Âr n ŤÅn n µÎµÂ®n ɸ
´¨¦³Ã¥r®¦º°Á}
ªµ®µ¤¸Ê´¸ª·¸ÉÁ ¦µrnµ®É¹É¸Îµµ¨»¨¸´¦³µÅo¦»Á¦¸¥Åªoªnµ ¤¸¼o¤¸Îʵĸµ ´É¸ ³¤¤¸´«µÎ ª³ÂŤกn า°o¦ร¥เขª้าɸÅถงึ ¦Áoช
ุมµoชÅน¹เ°ช
งิ¥Ê´ n¼บว´¸ÁÉก®µÈเªค¡ร¨อื่oµง´ม¦µอื o¼ªก¹าÁรµo ®ทÈ ำง°oªา¥นÁ®แนÈ วÄวฒั µนªธรoµรมช®มุ µชน ªnµ ¤¸Á¡¸¥nª คุณูป»¼กาµร¦
ข°อง positive approach คุณประโยชน์อีกประการหนึ่งของ Positive approach ก็คือ สามารถเป็นยา ชั้นดีที่ช่วยแก้ไขอาการปวดหัวตัวร้อนที่เกิดขั้นอยู่บ่อยๆ ในวงการพัฒนา เราต้องเริ่ม ต้นจากความเป็นจริงว่าแม้ผลงานจากการทำโค1ร1ง-ก6ารพัฒนาต่างๆ จะให้ผลดีทันตา เห็นอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง อย่างอื่นๆ คือ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนักพัฒนาและชาวบ้าน ในขณะที่นักพัฒนา มักจะเป็นบุคคลภายนอกที่มีฐานะเหนือกว่าในสายตาชาวบ้าน ถ้ามีเงินทุนติดตัวมา ด้วยยิ่งส่งเสริมบารมีให้เพิ่มพูนขึ้นแถมมีวิธีการทำงานพัฒนาอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ที่จะหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างนักพัฒนาและชาวบ้านเดินเคียงคู่กันไปอย่างเคียงบ่า เคียงไหล่ แม้เป็นเรื่องควรกระทำ แต่ทำจริงๆ ได้ยากมาก เพราะเริ่มต้นก็สูงต่ำไม่เท่า กันแล้ว เพราะฉะนั้นการใช้ positive approach ด้วยการพยายามมองหาสิ่งที่ ชาวบ้านมีอยู่ (แม้เรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งตอนหลังก็มีคนพิสูจน์ว่า ศักยภาพในการออม ของคนจนนั้นมีอยู่ ถ้าสามารถตัดวงจรของตัวด้วงตัวหนอนที่คอยแทะไชศักยภาพอัน นี้ให้หมดไป) ก็เท่ากับช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างนักพัฒนากับชาวบ้านไปได้ระดับ หนึ่ง (ในเวลาเดียวกัน นักพัฒนาก็อย่าหมั่นมองแต่สิ่งที่ตัวเองมีเท่านั้นแต่ต้องหมั่น มองสิ่งที่ตัวเองเช่นกัน เช่น หมดความเพียรทนได้โดยงาน จะได้นำเอาสิ่งที่ชาวบ้านมี มาถมช่องว่างของเราบ้าง) โดยทั่วไป จากจุดเริ่มต้นที่ไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว เมื่อดำเนินการร่วมกันต่อไป จะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์แบบครอบงำขึ้นต่อขึ้นมาทั้งๆ ที่ทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่ ได้ตั้งใจ ชาวบ้านอาจจะเลิกพึ่งพาผีปู่ตาเลิกขอคำแนะนำจากพระภิกษุ เลิกรอคอย ความช่วยเหลือจากรัฐบาลแต่หากนักพัฒนาทำงานได้ผลดีมากๆ ให้ความช่วยเหลือ สถาบนั พระปกเกลา้ 55
การให้บริการสาธารณะ โดยการมสี ่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านอย่างดี นักพัฒนาก็จะกลายเป็นสูตรผสมของผีปู่ตา-พระ ภิกษุ-และข้าราชการรวมกัน ภาวการณ์อย่างนี้ต้องมีปัญหาแน่ เพราะในความเป็นจริง นักพัฒนาไม่สามารถจะอยู่คู่กับชาวบ้านได้ เหมือนผีปู่ตา และนั่นก็เท่ากับว่าเราไม่ สามารถที่จะยกเลิกลักษณะการพึ่งพาขึ้นต่อของชาวบ้านได้ เราได้แต่เพียงเปลี่ยน “สิ่ง ที่ชาวบ้านจะพึ่งพา “เท่านั้น” ความสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเอง กำหนดชะตาชีวิต ของตนเองและเส้นทางการพัฒนาของชุมชนเป็นตัวบ่งชี้ (indicator) ที่สำคัญมาก ที่สุดของงานพัฒนาทุกอย่าง” และเราหวังว่าการใช้ positive approach จะเป็น บันไดขั้นแรกให้เราก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางอันสำคัญนี้ได้ นอกจากนั้น พิจารณาในแง่ยุทธศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงแล้ว ปัญหาสังคม ของเรานั้นใหญ่หลวงนัก จะแก้ไขโดยนักพัฒนากลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียว หรือชนชั้นเล็กๆ เพียงชนชั้นเดียวนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ต้องอาศัย “ตัวแสดงทางสังคม” (social actors) ทั้งหมดซึ่งเป็นชาวบ้านส่วนใหญ่งานเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสภาพชีวิตของ คนในสังคมนั้นไม่ใช่เรื่องในนวนิยายที่มีตัว ละครเพียง 2-3 ตัว ก็ดำเนินเรื่องไปได้ แต่ เป็นมหากาพย์ที่ต้องการตัวแสดงทางสังคม นับพันนับล้าน positive approach จะเป็น หลักประกันอย่างหนึ่งว่า นักพัฒนากลุ่ม เล็กๆ จะไม่ผูกขาดบทบาทการละเล่น อยู่บนเวทีประวัติศาสตร์แต่เพียงกลุ่มเดียว และเป็นหลักประกันในอีกทางหนึ่งว่า “ชาวบ้านจะเข้ามาร่วมเล่น ร่วมมีบทบาทใน มหากาพย์นี้ด้วย” 56 สถาบนั พระปกเกลา้
การเข้าถงึ ชมุ ชนเชิงบวก เคร่ืองมือการทำงานแนววฒั นธรรมชมุ ชน เท่าที่กล่าวไปนั้นเป็นแนวคิดและหลักการ สำหรับในภาคปฏิบัตินั้น อาจจะยก ตัวอย่างรูปธรรมง่ายๆ แบบชั้นประถม 1 ของงานพัฒนาให้ฟังว่า เมื่อแรกๆ ที่เรา เข้าไปสร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้าน เรามักจะใช้การสนทนาพูดคุยแบบเป็นกันเอง เนื้อหาที่พูดคุยนั้น มักเป็นเรื่องการไต่ถามปัญหาต่างๆ ที่ชาวบ้านประสบอยู่ ทั้งๆ ที่ เราก็รู้อย่างคร่าวๆ แล้วว่า เกิดมาเป็นชาวนาไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง แต่ เราซักถามก็เพื่อเป้าหมาย 2 ประการ คือ เพื่อระบุให้รู้ลงไปอย่างแน่นอนเลยว่าปัญหา ต่างๆ นั้นมีความรุนแรงหนักหน่วงมากน้อยเพียงใดประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งการ ซักถามปัญหาสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ก็เป็นการแสดงให้ชาวบ้านเห็นว่า เรา เอื้ออาทรกับทุกข์สุขของเขา เขาไม่ได้ผจญภัยกับความลำบากอย่างโดดเดี่ยวแต่ยังมี คนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ดูเหมือนเป้าหมายประการหลังนี้จะ สำคัญมากกว่าเป้าหมายประการแรกเสียอีกเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับทัศนคติของเรา นัก พัฒนา และเป็นแผ่นไม้และตะปูที่นำมาสร้างสะพานแห่งความสัมพันธ์ที่ทอดยาวออก ไปสู่ชาวบ้านได้ ทุกครั้งที่ถามปัญหาชาวบ้าน อย่าลืมถามใจตัวเองควบคู่ไปเสมอว่า ทั้งๆ ที่มี ปัญหานั้นแต่ก่อนที่เราหรือใครๆ จะเหยียบย่างเข้ามาที่หมู่บ้านนี้ ชาวบ้านเขาอยู่รอด กันมาได้อย่างไร ถามใจตัวเองแล้วก็ถาม ออกมาดังๆ กับชาวบ้านบ้าง ตรงนี้ ตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกติดขัดเดินเครื่อง ไม่สะดวกอยู่บ้าง จากประสบการณ์ของ ผู้เขียน ทั้งนี้เพราะระบบการสื่อสารที่มี อยู่ระหว่างชาวบ้านกับคนภายนอก เวลา ชาวบ้านเขาจะสื่อสารกับคนภายนอก เขา จะเปิดเครื่องรับเครื่องส่ง และตั้งช่องที่ แน่นอนเอาไว้ ไม่ว่าเราจะถามเรื่องทำไร่ สถาบันพระปกเกลา้ 57
การให้บริการสาธารณะ โดยการมีส่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ทำนา ขายหอมกระเทียมฝนแล้ง น้ำท่วม อะไรก็ตาม จากช่องที่ชาวบ้านเขาตั้งเอาไว้ เขาอยากจะเล่าเรื่องที่เขาพ่ายแพ้ให้เราฟังอยู่แล้ว เพราะเขารู้ว่า กลุ่มคนฟังที่เป็นคน จากภายนอก อยากจะฟังเรื่องราวที่ดำเนินไปในทำนองนี้เราจึงต้องพยายามถามหา เรื่องที่ชาวบ้านเขาพอจะสูสี หรือเขาเอาชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้บ้าง เมื่อใดที่ เครื่องเริ่มติดชาวบ้านเริ่มรู้ว่าต้องเปลี่ยนช่องคุยกับเราใหม่การสื่อสารก็จะไหลลื่นได้ สะดวกมากขึ้นและหลังจากคุยกันไปคุยกันมา ชาวบ้านอาจจะเกิดสำนึกว่า “เอ๊ะ ที่จริง เราก็อยู่ของเรามาได้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว” สำนึกแบบนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันโรคชอบ พึ่งพาคนอื่นได้ดีนักแล เพราะฉะนั้น ถ้านักพัฒนาพยายามค้นหาวิธีการที่จะหยุด บดบังศักยภาพของชาวบ้านได้แล้ว เมื่อนั้นศักยภาพของชาวบ้านก็จะเปล่งประกาย ออกมา เริม่ กา้ วตอ่ ไปจาก negative approach ทย่ี ำ่ มาแลว้ เวลาเราจะเริ่มต้นทำงานแบบ positive approach นั้นเราไม่จำเป็นต้องกวาด ข้าวของบนโต๊ะทั้งหมดให้เรียบเป็นหน้ากลอง (tabura Rasa) หมายความว่า เราไม่ จำเป็นต้องกวาดประสบการณ์และผลจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก negative approach ทิ้งไป (และในความเป็นจริงประสบการณ์และผลลัพธ์นั้น ถึงเราอยากจะ กวาดทิ้ง มันก็ทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่ง่ายเหมือนข้าวของที่อยู่บนโต๊ะ) แม้ว่าเราจะพูด อยู่บ่อยๆ ว่าการทำงานพัฒนาไม่ใช่งานโครงการ (เท่านั้น) แต่เราก็ต้องบอกตัวเอง เหมือนกันว่า แต่งานโครงการก็เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งส่วนหนึ่งของงานพัฒนา เพราะไม่ว่าเราจะตั้งเป้าหมายที่เป็นนามธรรม เอาไว้มากมาย เช่น การปลุกจิตสำนึก การรื้อฟื้นคุณค่าทางศาสนา และวัฒนธรรม ฯลฯ แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ก็ ต้องการกิจกรรมรูปธรรมรองรับ ความคิดที่เราต้องระวังก็คือ เราสามารถที่จะสร้าง จิตสำนึกหรือคุณค่าได้จากลมปากเฉยๆ ความจริงแล้ว คนเราเป็นอย่างที่เขาทำมาก กว่าที่เขาพูด (ว่าเขาควรทำหรือจะทำ) ความจริงข้อนี้ คนลืมเลือนไปมากโดยเฉพาะคน 58 สถาบนั พระปกเกลา้
µ¦Ä®o ¦·µ¦µµ¦³Ã¥µ¦¤¸nª¦ªn ¤
°¦³µ µ´¡¦³Á การเขา้ ถงึ ชมุ ชนเชงิ บวก เคร่ืองมอื การทำงานแนววฒั นธรรมชมุ ชน
o°Ê¸ ¨º¤Á¨º°Å¤µÃ¥Á¡µ³É¸¤¸¸ª·°¥n¼oª¥µ ŤnÅo°¥n¼oª¥¤º°Áoµ Á¦µÈ°µ¼Åoµª·¸µ µªµo ÂทโµÎ คÃnÄี่มรี¦ชง°กีว¸าิตรµอน¦oµยั่นู่ด³Éเ®อ้วÁง°ย ɹปากµไ¡ม´่ได้อµยู่ด´Ê้วÂย¤มoือ³¤เท¸้าµเรÃาก¦็อาจµด¦ูไÁด้}จากnªวิธีกɸารεที´่ชาวnªบ้า®นทำɹ ÂnÈŤnÅo¤ nª¸ÊnªÁ¸¥ªÁแตnµ่ใน´ÊอีกÄด้านµห¦นึ่ง¦ง³าน»¤พ¦ัฒnªน¤าน´ั้นÁแ¡มɺ°้จะมีง´า¡นโ´ครงµกา¨ร»n¤เป®็นสɹ่วนÁ¦ทµี่สÅำคoัญεสÂ่วนหน´ึ่ง
´Ê°
° ¡´ µªµแ¤ต่ก´¤็ไ¡ม่´ได้ม¦r ีแ³ต®่สª่วµn นนี´้ส¡่วน´ เดียµวเ´ท่านµªั้นใoµนก°า°รป¤ระµชุม´ร่วʸ มกับเพื่อนนักพัฒนากลุ่มหนึ่ง เราได้ทำแผนผังขั้นตอนของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างนักพัฒนากับชาวบ้าน ออกมาดังนี้ Á¦µo° realistic ¨oµ®µÉ¸³°´´ªÁ°ªnµ Áª¨สµถาɸÁบ¦µันÁพ
oµรÅะปกÄเกล»¤า้ 59´Ê Á¦µÎµÁ}³o° ªµ¤nª¥Á®¨º°µµo ª´ »µ°¥nµ (Ħ¼
°Á·Á¡ºÉ°Á
µo Åε·¦¦¤nµÇ ɸÁ}¦³Ã¥rn°»¤
การใหบ้ ริการสาธารณะ โดยการมสี ่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) เราต้อง realistic กล้าหาญที่จะบอกกับตัวเองว่า เวลาที่เราเข้าไปในชุมชนนั้น เราจำเป็นจะต้องนำความช่วยเหลือทางด้านวัตถุบางอย่าง (ในรูปของเงินเพื่อเข้าไปทำ กิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน) เข้าไปให้ชุมชน การนำความช่วยเหลือจาก ภายนอกในรูปของ วัตถุเข้าไปในชุมชนไม่ใช่สิ่งผิดอะไร มันเป็นบันไดขั้นแรก ซึ่งมี ความหมาย 2 ขั้นว่า เราจำเป็นต้องเดินผ่าน และมีความหมายว่า เราควรก้าวไปให้ พ้นจากบันไดขั้นนี้ด้วย นี่เป็นหลักสำหรับบันไดขั้นที่สอง-สาม-สี่ และขั้นอื่นๆ ด้วย ในการเข้าสู่ชุมชนนั้น เราจะเข้าไปในแบบจับเสือมือเปล่าไม่ได้ เราต้องเข้าไปพร้อมกับ อะไรบางอย่าง (เงินทุนโครงการ) การเข้าหาชุมชนในระยะแรกๆ ยังคงเป็นเรื่องที่คิด จะเอาเงินทุนเข้าไปให้ (แต่จะให้อย่างไร ให้ใคร ให้เมื่อไหร่ อันนี้นักพัฒนาต้อง พิจารณา) การเข้าไปเยี่ยมเยียนในครั้งแรกๆ ก็ยังเป็นการติดตามดูการใช้เงิน การ ติดตามความก้าวหน้าของโครงการ ความเจริญของกลุ่มทำงาน ฯลฯ เพียงแต่ว่าเรา ต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ที่จะต้องก้าวต่อไปที่จะต้องโยนทิ้งสิ่งที่เรานำเข้าไป ถ้าขา เราไม่ละจากบันไดขั้นแรก เราก็จะไปยืนบนบันไดขั้นที่ 2 ไม่ได้ อันนี้ก็เป็นความจริง อยู่แล้ว การที่เราจะก้าวเดินไปตามขั้นตอนของแผนผังที่วาดไว้นั้นขึ้นอยู่กับ กระบวนการ 2 อย่าง อันแรกคือ ความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของนักพัฒนา (ที่เราเรียกว่า “Motive”) อีกอันหนึ่งก็คือ การปฏิบัติตัวของนักพัฒนา เช่น เวลาเข้าชุมชน เราได้คุย กับชาวบ้านเรื่องอะไร ถ้าอยากจะก้าวไปถึงขั้นชีวิต-ต่อ-ชีวิต ก็ต้องพูดคุยเรื่องชีวิตของ กันและกันบ้าง (เมื่อลองทำดูแล้ว จะพบว่าไม่ยากนัก เพราะชาวบ้านเขาถนัดที่จะ ติดต่อแบบชิวิต-ต่อ-ชีวิตกันคนอยู่แล้ว ขอเพียงแต่ทำให้เขามีความไว้วางใจเรา เท่านั้น) เวลาต้องตัดสินใจทำกิจกรรม จะทำอยู่บนพื้นฐานคุณค่าอะไร เวลาเกิดปัญหา แล้วมีทางเลือกอะไรบ้าง ทางเลือกนั้นอยู่บนวิธีคิดแบบไหน เป็นทางเลือกของใคร แต่ละทางเลือกบ่งบอกถึงคุณค่าอะไรที่อยู่ภายใน 60 สถาบันพระปกเกล้า
การเข้าถึงชมุ ชนเชิงบวก เคร่อื งมอื การทำงานแนววฒั นธรรมชุมชน ในกระบวนการนี้ เราต้องให้โอกาสชาวบ้านเริ่มต้นก่อนเสมอให้ชาวบ้านเป็น ฝ่ายเสิร์ฟลูกก่อน ให้ชาวบ้านวางเงินหน้าตักมาก่อนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่าง รูปธรรมจากเพื่อนนักพัฒนาภาคเหนือท่านหนึ่ง เป็นการประสานระหว่างสิ่งที่ชาวบ้าน มีกับสิ่งที่นักพัฒนามีระยะเริ่มแรก นักพัฒนาจะเริ่มวางกรอบเอาไว้กว้างๆ ว่า การจะ มาทำงานร่วมกันนั้น ชาวบ้านควรจะริเริ่มทำกิจกรรมอะไรที่ตัวเองพอจะทำได้ก่อน (เช่น ออมข้าว ออมทรัพย์) แต่ในรายละเอียดว่า จะออมจำนวนเท่าไหร่ กฎเกณฑ์และ อัตราดอกเบี้ยอย่างอื่นๆ นี้ ให้ชาวบ้านเป็นคนพิจารณาเองทั้งหมด เรื่องการส่งคืน หรือเงินสมทบศูนย์สังคมพัฒนาฯ นั้น ก็ยังกำหนดกรอบกว้างๆ ว่า ยังจำเป็นต้องส่ง คืนและต้องสมทบอยู่ แต่ในรายละเอียดว่าจะส่งคืนเท่าไหร่ จะส่งคืนใคร จะส่งคืน เท่าใด อันนี้จะร่วมพิจารณากับชาวบ้านในขั้นต่อไป เมื่อชาวบ้านเริ่มมีประสบการณ์ใน งานลักษณะนี้มากขึ้น แม้แต่ “การวางกรอบ” ก็ต้องให้ชาวบ้านริเริ่มทำเอง สว่ นใหญป่ ญั หาอยู่ทต่ี ัวเราทุกท ี คนข้างนอกที่ไปทำงานกับชาวบ้าน มักจะมีอยู่ 2 สุดโต่ง คือ ไม่มากเกินไปก็ น้อยเกินไป มากหรือน้อยในที่นี้เราหมายถึง การประเมินศักยภาพของชาวบ้าน แต่ ก่อนเราถูกตั้งโปรแกรมให้ดูชาวบ้าน ว่าประชาชนไม่มีอะไรเลย นอกจาก “โง่ จน เจ็บ” อันนี้ก็ประเมินชาวบ้าน ต่ำเกินไป (under estimate) เดี๋ยวนี้ พอเราเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ เราก็เลย เห็นว่า ตอนนี้ประชาชนมีทุกสิ่งทุก อย่างอยู่แล้ว (overestimate) อันนี้ก็ มากเกินไปหน่อย วิธีคิดแบบหลังนี้ เป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะถ้า สถาบันพระปกเกล้า 61
การใหบ้ รกิ ารสาธารณะ โดยการมีส่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ชาวบ้านมีความดีงามมีความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วก็จะไม่มีที่ว่างสำหรับเรา เลย นักพัฒนาก็ต้องนั่งร้องเพลง “ฉันมันเป็นส่วนเกิน” บางคนก็พยายามหาบทบาท ด้วยการเป็นนักเรียนน้อย เพราะฉะนั้นการลงไปทำงานพัฒนาก็คือ การลงไปเรียนรู้ ศักยภาพของชาวบ้าน ลงไปซึมซับความดีงามของชาวบ้าน แต่เราต้องไม่ลืมว่า การ เป็นนักพัฒนานั้นไม่ใช่การมีอาชีพหลักเป็นนักเรียนถาวรแต่เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อ เรียนรู้แล้ว เราต้องแสวงหาบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านเหมือนกัน การคิดแบบมากเกินไปหรือน้อยเกินไปนี้ เป็นโรคเรื้อรังที่ติดมากับ มนุษยชาติของเราทุกยุคทุกสมัย โดยที่เรามักจะมองเห็นคนบางคนเป็น ราวกับ “เทวดา” และบางคนต้อยต่ำราวกับเป็นเพียง “สัตว์ประเภทหนึ่ง” ยาแก้โรคเรื้อรังชนิดนี้คงต้องหันกลับยึดหลักพุทธศาสนาที่สอนให้พิจารณา สิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นอยู่จริง ดูชาวบ้านตามที่ชาวบ้านเขาเป็นจริง เพราะฉะนั้น คาถากำกับ positive approach ก็คือ การพิจารณาและ สำรวจดูสิ่งที่ชาวบ้านมี และสิ่งที่ชาวบ้านหมดตามสภาพที่กำลังเป็นจริง ตรงนี้มีข้อคิดทางทฤษฎีที่จะช่วยให้ความเข้าใจเราอยู่ 2 ประการคือ สิ่งที ่ ชาวบ้านมีหรือสิ่งที่ชาวบ้านหมดนั้น มิใช่เรื่องชั่วนิรันดรหมายความว่าวันนี้มีได้ พรุ่งนี้ ก็หมดได้ หรือในทางตรงกันข้ามวันนี้ หมดได้ พรุ่งนี้ก็มีได้เช่นกัน คำถามที่สำคัญยิ่ง กว่าการมีหรือการหมดก็คืออะไรเป็นเงื่อนไขและกลไกหรือเหตุปัจจัยนำไปสู่การมีหรือ การ หมด นั้น ฉะนั้น เราจะไม่พอใจอยู่เพียงแต่การถามว่า “แต่ก่อนชาวบ้านเคยแก้ ปัญหาการขาดข้าวได้อย่างไร” แต่เราจะต้องค้นคว้าต่อไปว่า แล้วในปัจจุบันนี้ทำไมวิธี การแก้ปัญหานั้นจึงใช้การไม่ได้ เพราะขาดเงื่อนไขและกลไกอะไร หรือมีอะไรเป็นขีด บังคับ (constraints) ขึ้นมา และตรงนี้แหละจะเป็นที่ว่างสำหรับนักพัฒนา เพราะเรา จะมีศักยภาพในการจัดเงื่อนไขและกลไกเหล่านั้นในรูปแบบและเนื้อหาใหม่ ทัศนะ ดังนี้หมายความว่า เราจะต้องมีความเข้าใจประการที่สองต่อสิ่งที่ชาวบ้านมีและหมด 62 สถาบันพระปกเกล้า
การเขา้ ถงึ ชุมชนเชิงบวก เครือ่ งมือการทำงานแนววฒั นธรรมชุมชน คือ ลักษณะที่เป็นพลวัต (dynamics) คลี่คลายเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา มีการ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป มิใช่เป็นสิ่งที่คงที่แน่นอน (static) การเข้าใจกฎ ธรรมชาติดังกล่าวนี้ ทั้งช่วยให้เรามีความหวังต่อสิ่งที่ชาวบ้านหมดไปว่าจะสามารถ รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ และในเวลาเดียวกัน ก็ถึงซึ่งความไม่ประมาทในสิ่งที่ชาวบ้านกำลัง มีอยู่ในวันนี้ ความรู้สึกชื่นชมและเห็นคุณค่าต่อความดีงามและความสามารถที่ชาว บ้านกำลังมีอยู่ในวันนี้นั้น ก็เป็นความรู้สึกที่ดีแต่มันยังไม่เพียงพอที่จะธำรงรักษาสิ่งที่ ดำรงอยู่นั้นให้คงอยู่ต่อไป หากเราเอาแต่กอดอกเอียงคอและก็อมยิ้มมองดูเท่านั้น มีข้อที่ชวนคิดเล็กน้อยจากประสบการณ์ของผู้เขียนว่า ในฐานะที่เราเข้าไป ปรากฏตัวต่อชาวบ้านในฐานะ “คนนอกผู้มาเยือน” นั้นสิ่งที่ชาวบ้านหมดมักจะเป็นสิ่ง ที่ปรากฏต่อเรา แต่สิ่งที่ชาวบ้านมีนั้นกลับเป็นสิ่งที่แฝงเร้นและต้องค้นหา ถ้าใจคอ ไม่แน่วแน่ ความเชื่อมั่นไม่หยั่งรากลึก แม้มีฝีมือก็มักจะค้นหาไม่ค่อยพบ อย่างไร ก็ตาม ถ้าเราลองคิดเปรียบเทียบสภาพความเป็นที่เกิดขึ้นอย่างพิจารณาไตร่ตรอง ก็ อาจจะช่วยให้ใจคอของเรามั่นคงยิ่งขึ้น นักพัฒนาทุกคนเมื่อทำงานไปสักระยะหนึ่ง หากไม่หลอกตัวเองก็คงต้องยอมรับว่า เราพบกับอาการตีบตันในงานพัฒนาของเรา และในขณะที่เราทุ่มเทกับงานพัฒนาอย่างมากมาย รวมทั้งชาวบ้านก็ดูคึกคักเข้มแข็ง กันดีนั้น แต่เหตุใดงานพัฒนาของเราจึงล้มหายตายจากได้อย่างง่ายดายและใจเสาะ เมื่อเทียบกับธรรมเนียมประเพณี วิถีการปฏิบัติบางอย่างที่ชาวบ้านเคยทำมา แม้จะ ลางเลือนไปบ้างแล้ว (เพราะถูกทั้งกดทั้งดันจากอิทธิพลภายนอก) แต่ก็ยังหัวแข็งพอ เหลือให้มองเห็นร่องรอยได้ทั้งๆ ที่ปฏิบัติกันมานับเป็นร้อยเป็นพันปี เมื่อคิดเปรียบ เทียบเช่นนี้แล้ว การวิเคราะห์ในเชิง positive approach ของเราก็คือ การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ เงื่อนไข กลไก คุณค่า ตัวบุคคล วิธีดำเนินการ ระหว่างงานพัฒนาของ เรากับสิ่งที่ชาวบ้านมีอยู่เพื่อหาทางผนวกประสานจุดแข็งของทั้งสอง และบรรเทาลด หย่อนจุดด้อยของทั้งสองในเวลาเดียวกัน สถาบนั พระปกเกลา้ 63
การใหบ้ รกิ ารสาธารณะ โดยการมสี ่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) ใจคอที่มั่นคงและความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ทำให้ผู้ที่ใช้ positive approach ใช้ ถ้อยคำว่า “รื้อฟื้นคุณค่าดั้งเดิม” ทั้งนี้ ถ้าเราวิเคราะห์แยกแยะคำแต่ละคำที่ใช้ เริ่ม ตั้งแต่คำว่า “รื้อ” การที่เราเปิดลิ้นชักมารื้อของบางอย่าง เราจะใช้ว่า “รื้อ” ก็ต่อเมื่อเรา มั่นใจแล้วว่า ของนั้นต้องเคยมีอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครจะ “รื้อ” หาของอะไรได้ ถ้าตัวเอง มีความเชื่อมั่นว่า “ของนั้นไม่เคยมีอยู่” คำว่า “ฟื้น” ซึ่งเป็นคำที่เห็นได้อย่างชัดเจน อะไรก็ตามที่จะฟื้นขึ้นมาได้นั้น ต้องเป็นสิ่งที่ “เคยมีชีวิต” อยู่มาก่อน เราจะไม่ใช้คำ ว่า “ฟื้น” กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ฉะนั้น ถ้อยคำที่เราใช้ก็บ่งบอกนัยยะบางอย่างถึงความเชื่อ ที่เรามีอยู่เบื้องหลัง ต้องเตรยี มใจไว้ให้ “เขม้ ” เวลานำแนวทางมาโฆษณา เราต้องยอมรับว่า ก่อนที่เราจะหันมาใช้แนวทาง positive approach นั้น เรา ได้เคยใช้แนวทาง negative approach (ด้วยความปรารถนาดีต่อชาวบ้าน) มาเป็น กระแสหลักและยาวนานมาแล้วสิ่งนี้ก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องมาอีกหลายประการ ทั้ง ปัญหาการต่อสู้กับตัวเอง และปัญหาการต่อสู้กับความคิดของคนอื่น (การต่อสู้กับตัว เองกล่าวอย่างละเอียดในเครื่องมือชิ้นต่อๆ ไป) การต่อสู้กับตนเองนั้น เราต้องต่อสู้ทั้งใน 2 ระดับที่กล่าวมาแล้ว ระดับแรกคือ ในระดับความคิด กล่าวคือ เราจะต้องลากเส้นขนาน 2 เส้น แห่งทัศนะในการ พิจารณาชาวบ้าน ศักยภาพของชุมชนและพลังสร้างสรรค์ของวัฒนธรรมชุมชนให้มี ลักษณะสมดุลกัน ไม่มากเกินไป (over-estimate) ไม่น้อยเกินไป (under-estimate) เพราะถ้ามากเกินไปเราก็จะผิดหวัง ถ้าน้อยเกินไปเราก็ใช้ศักยภาพของชาวบ้านไม่เต็ม ที่ แต่นอกจากระดับความคิดแล้ว ในระดับการกระทำ การลงมือปฏิบัติ เรายังต้อง ถามตัวเองอีกว่า จากศักยภาพที่ดำรงอยู่ในประชาชนนั้น เราจะทำงานอย่างไรให้ 64 สถาบันพระปกเกล้า
การเขา้ ถึงชมุ ชนเชิงบวก เคร่อื งมอื การทำงานแนววฒั นธรรมชุมชน ศักยภาพดังกล่าวแปรมาเป็นพลังแห่งการพัฒนาชนบทได้ เมื่อเรามองเห็นกระแสน้ำ ไหลนั้น จะมีเครื่องมือหรือวิธีการอย่างไรนำเอาการไหลของกระแสน้ำนั้นมาแปรเป็น พลังไฟฟ้าได้ ในระดับการ ปฏิบัตินั้น นอกจากจะ มีงานในส่วนที่เกี่ยวกับ ชาวบ้านโดยตรงแล้ว เรายังมีงานที่เกี่ยวกับ การรณรงค์เผยแพร่ ทัศนะแบบใหม่ให้ สาธารณชนได้รับรู้ ได้ เข้าใจ ได้เห็นด้วยใน ระดับกว้าง ในขณะที่ งานกับชาวบ้านนั้นก็ยากอยู่ระดับหนึ่ง เราจะพบว่า (จากประสบการณ์ของผู้เขียน) การรณรงค์ความคิดให้สาธารณชน (ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง) เปลี่ยนแว่นสายตา เพื่อมองดูชาวบ้านชนบทแบบใหม่นั้น ดูจะยากยิ่งกว่า ทั้งนี้เพราะ “การตระหนัก” ในพลังและศักยภาพของชุมชนชนบทนั้นมักต้องการ “การลงไปสัมพันธ์โดยตรง” เข้า หลักที่ว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ” แต่สาธารณชนทุกคนก็ ไม่ได้มีโอกาสลงไปสัมผัสกับชนบทโดยตรงได้ หรือลงไปก็ลงไปแบบ “สวมแว่นตาอัน เก่า” เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยึดมั่นในแนวทางนี้จึงต้องมีใจคอมั่นคงหนักแน่นเช่นกัน ต้อง คิดเปรียบเทียบว่าการเปลี่ยนแปลงความเชื่อจากโลกแบนมาสู่ความเชื่อว่าโลกกลม ไม่ อาจจะทำได้ในเร็ววัน อย่างไรก็ตามเราต้องรู้หลักที่ว่า ยิ่งผลลัพธ์จากภาคปฏิบัติที่เป็น รูปธรรมมีมากเพียงใด จะช่วยให้งานรณรงค์เผยแพร่เป็นไปได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณภาพ ของผลงานกับคุณภาพของงานรณรงค์โฆษณา จึงต้องให้สมดุลกัน สถาบนั พระปกเกล้า 65
การให้บริการสาธารณะ โดยการมสี ่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) ปัญหาอีกประการหนึ่งของการรณรงค์กับสาธารณาชนระดับกว้างก็คือ การ เลือกรับแง่มุมในศักยภาพของชาวบ้าน เนื่องจากศักยภาพของชุมชนสามารถจำแนก ออกเป็นอย่างหยาบๆ ได้ 2 มิติ คือ พลังคุณธรรม และ พลังความสามารถ ดังนั้น บางคนอาจจะเลือกเชื่อว่าวัฒนธรรมชุมชนมีคุณค่าที่ดีงามนานัปการ แม้กระนั้น ก็ยัง ไม่สามารถจะต่อกรกับพลังความสามารถขนาดมหาศาลของวัฒนธรรมสมัยใหม่ บางคนที่ใส่แว่นมิติเดียว คือ ไม่พิจารณาดูด้านคุณธรรม ภูมิธรรมกันเลย คอยแต่จะ ประเมินขีดความสามารถของชุมชนว่าจะรับมือกับพลังทำลายล้างภายนอกได้หรือไม่ อันนี้เป็นภารกิจของนักพัฒนาที่ใกล้ชิด กับชุมชนที่จะต้องเสนอภาพ 2 มิติ ให้แก่ ประชาชน ในวงกว้าง คำถามสุดท้ายที่ยังไม่ลงตัวของ positive approach ก็คือ ส่วน มากคนในเมืองจะรับรู้สภาวะของปัญหาในระดับมหภาค (Macro) เราจะ มองเห็นบริษัทข้ามชาติ กลุ่มสิบเสือห้าเสือในวงการธุรกิจ ขบวนการ มาเฟียข้ามชาติ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นยักษ์ใหญ่อยู่มาก ในขณะที่การนำ เสนอแนวทางของ positive approach นั้น มักจะก่อตัวมาจากรูปธรรม ตัวอย่างในระดับหมู่บ้าน 2-3 แห่งเป็นระดับจุลภาค (Micro) ถ้าเรามอง จากฐานคิดแบบถือเอา “ขนาด” (size) เป็นเกณฑ์สำคัญมาตรการแก้ ปัญหาระดับจุลภาค ก็ไม่มีทางที่จะเทียบติดมาตรการในการขยายตัวของ ปัญหาระดับมหภาค สำหรับเรื่องนี้ก็ต้องขอเวลากลับไปทบทวนนิทานเรื่อง เดวิดกับโกไลแอทสักระยะหนึ่ง อาจจะพอมองเห็นลู่ทางหาคำตอบได้บ้าง 66 สถาบันพระปกเกล้า
เรอ่ื งท่ี 12 เทคนิคการทำงานอย่างมีส่วนรว่ มกบั ชมุ ชน … … การศึกษาวเิ คราะหช์ ุมชนอย่างมสี ่วนรว่ ม ทพ.อทุ ยั วรรณ กาญจนกามล Participatory Rural Appraisal กPRA คอื อะไร ารเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน กระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลและตัดสินอนาคตนั้น ได้รับการ ยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย และ ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีการที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่เหมาะสมและยั่งยืน เพราะการเป็น
การให้บริการสาธารณะ โดยการมีสว่ นรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ผู้แทนของชุมชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลและการตัดสินใจ นั้น เป็นการสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานพัฒนา สร้างการยอมรับและสร้างความ รู้สึกของการมีส่วนร่วม ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และการพัฒนานั้นๆ ก็ยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของชาวบ้าน ผู้เกี่ยวข้องในชุมชน การเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการได้มีโอกาสเรียนรู้ข้อมูลข่าวสาร และสิ่งที่นอกเหนือจากประสบการณ์ของตนเอง จะทำให้สามารถนำความรู้ที่ได้ไป ประกอบการตัดสินใจ ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลที่ เกี่ยวข้องสามารถเรียนรู้หรือรับฟังประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการ วางแผนดำเนินงานในแต่ละส่วนให้สอดคล้องกัน การศกึ ษาวเิ คราะหช์ ุมชนอย่างมีส่วนรว่ ม (Participatory Rural Appraisal : PRA) หมายถึง ช่องทาง และวิธีการ ที่จะช่วยให้ชุมชนสามารถเห็นคุณค่า ของการแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ การวิเคราะห์ภาวะชีวิตของ ชุมชน การวางแผนและการดำเนินการโดยชุมชนเอง ในกระบวนการ PRA (คนนอก) นักวิจัย นักพัฒนา หรือนักวิชาการจะมีบทบาทช่วยแนะวิธีการ เทคนิคต่างๆ เพื่อให้การวิเคราะห์ชุมชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่เครียด และ มีส่วนร่วม 68 สถาบันพระปกเกล้า
เทคนคิ การทำงานอย่างมีสว่ นรว่ มกับชมุ ชน ….. หลักการของ PRA หลักการที่สำคัญที่สุดของการศึกษาวิเคราะห์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วม โดยวิธีนี้ คือการให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในกระบวนการศึกษา ผู้จัดต้องพยายามที่จะ สอดแทรกหรือทักท้วงให้น้อยที่สุด ควรปล่อยให้กลุ่มเป้าหมายที่ร่วมกิจกรรมได้ แสดงความคิดเห็นเต็มที่ การศึกษาชุมชนโดยวิธีนี้โดยทั่วไปแล้วจะใช้กลุ่มเป้าหมายประมาณ 6-10 คน ถ้ากลุ่มเป้าหมายมีจำนวนมากเกินไปจะทำให้สับสน และควบคุมประเด็นได้ยาก แต่ถ้า กลุ่มเป้าหมายมีจำนวนน้อยเกินไป ก็จะขาดการยืนยันและตรวจสอบข้อมูลจากกัน และกัน จุดเด่นของวิธีการนี้คือ สมาชิกที่มาร่วมกิจกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่รู้ หนังสือ (ภาษาเขียน) และแม้แต่ผู้ที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาพูดกับผู้จัดได้ก็ยังสามารถ ใช้วิธีการนี้ได้ ถ้ามีล่ามหรือผู้ที่คอยอธิบายประเด็นให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจ หลกั การทั่วๆ ไปของ PRA 1. การเรียนรู้จากชาวบ้าน เรายึดหลักการเรียนรู้จากชาวบ้านโดยตรงถือ ชาวบ้านเป็นครู โดยเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพทางกายภาพ ความรู้ทางด้าน เทคนิคและทางสังคม 2. การเรียนรู้อย่างรวดเร็วและก้าวหน้า เราค้นหาความจริงอย่างจริงจังโดย คำนึงถึงความยืดหยุ่นของวิธีการ การใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ การทำ ตัวอย่างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ การถามซ้ำ การตรวจสอบความถูกต้อง ทั้งนี้ไม่ยึดรูปแบบและวิธีการที่ตายตัว แต่ปรับตัวให้เข้ากับกระบวนการ เรียนรู้ที่กำลังดำเนินอยู่ สถาบนั พระปกเกล้า 69
การใหบ้ รกิ ารสาธารณะ โดยการมสี ่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) 3. การลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการเรียนรู้ที่ผิดสมมติฐานของตัวเอง เป็นเกณฑ์ เรามักจะมีสมมติฐานของเราต่อการเรียนรู้หนึ่งๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการเรียนรู้ที่ผิดพลาดได้ ดังนั้นเราจึงควรยึดการฟังให้ มากพูดแต่น้อย ไม่รีบร้อนแต่เรียนรู้อย่างชัดเจนและตามสบาย ไม่ยึดเอา ตัวเองเป็นสำคัญและเป็นการสั่งการ ประการสำคัญ คือ หาโอกาสพูดคุย กับคนยากจนและสตรีเพื่อเรียนรู้ปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วนของเขา 4. การจัดความสมดุล เราควรจัดความสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายกับประโยชน์ ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ข้อมูลที่เป็นจริง โดยพิจารณาจากเกณฑ์ในเรื่องของ ปริมาณ ความแม่นยำ ความทันใช้ ความสอดคล้องกับเรื่องที่ทำอยู่ กล่าวคือ ควรรู้ว่าเรื่องใดไม่คุ้มค่าต่อการเรียนรู้ เรื่องใดไม่ต้องการความ แม่นยำแต่ผิด 5. การตรวจสอบความถูกต้อง เราตรวจสอบความถูกต้อง โดยใช้สิ่งต่างๆ ประกอบกัน เช่น วิธีการหาข้อมูลประเภทของข้อมูล ผู้วิจัย สาขาวิชา เป็นต้น ซึ่งอาจใช้ถึง 3 อย่าง เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง 6. ความหลากหลาย เรายึดหลักการแสวงหาความแตกต่างมากกว่าการใช้ค่า เฉลี่ย โดยเจาะจงหาตัวอย่างที่มีความหลากหลายแทนการสุ่มตัวอย่าง 7. การกระตุ้นและอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านเป็นผู้ทำการศึกษา เรา จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก และกระตุ้นให้ชาวบ้านทำการศึกษาค้นคว้า เองวิเคราะห์เอง และเสนอผลการศึกษาเอง การกระทำดังกล่าวเป็น กระบวนการที่ชาวบ้านได้เรียนรู้เรื่องราวที่ทำการศึกษาและมีความรู้สึกเป็น เจ้าของสิ่งที่เขาค้นพบ 70 สถาบนั พระปกเกล้า
เทคนิคการทำงานอยา่ งมสี ่วนร่วมกบั ชมุ ชน ….. เราผู้เป็นนักวิจัยอาจจะมีความจำเป็นในระยะเริ่มแรกของกระบวนการ เรียนรู้ หลังจากนั้นเราจะถอยไปอยู่ข้างหลัง โดยไม่มีการสัมภาษณ์หรือ ขัดจังหวะในขณะที่ชาวบ้านกำลังดำเนินการศึกษา โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า ผู้วิจัยจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้วิจัยหรือผู้ค้นคว้า หาข้อเท็จจริงเป็นผู้อำนวยความสะดวก 8. ความตื่นตัวและความรับผิดชอบต่อการตรวจสอบข้อบกพร่องของผู้วิจัย ผู้วิจัย ซึ่งต่อไปนี้จะถือว่าเป็นผู้อำนวยความสะดวกจะตรวจสอบ พฤติกรรมของตัวเองตลอดเวลาและมีความพยายามที่จะทำให้ดีขึ้น โดย ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ประการแรกน้อมรับวิจารณญาณที่ดีที่สุดของ ตนเอง หรือผู้ร่วมงานมากกว่ากฎเกณฑ์ตายตัวในคู่มือ 9. การเรียนรู้จากกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวคิดระหว่าง ชาวบ้านด้วยกันเอง ระหว่างชาวบ้านกับนักวิจัยและนักวิจัยเอง นอกจากนี้ ควรมีการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานในเรื่องการอบรม พื้นที่สนาม ประสบการณ์ สถาบันพระปกเกล้า 71
การใหบ้ รกิ ารสาธารณะ โดยการมสี ว่ นร่วมของประชาชน (People’s Audit) ข้ันตอนและวธิ ีการทำ PRA 1. วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ที่ใช้ในกจิ กรรมการทำ PRA วิธีการนี้สามารถใช้วัสดุหลายๆ อย่างในการดำเนินการศึกษาขึ้นอยู่กับสถานที่ และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการศึกษาเก็บข้อมูล ถ้าสถานที่อยู่ห่างไกลการคมนาคม มากๆ หรือการคมนาคมไม่สะดวก การนำเอาวัสดุเข้าไปจัดกิจกรรมคงเป็นเรื่องยุ่งยาก พอสมควร หรือถ้ากลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจัดกิจกรรมเพื่อเก็บข้อมูล เป็นกลุ่มที่มี ปัญหาเรื่องการสื่อสารทางภาษา เช่น ชนกลุ่มน้อยที่ใช้ภาษาคนละภาษากับผู้เก็บ ข้อมูล หรือชาวบ้านที่ขาดทักษะในการเขียน เป็นต้น ดังนั้นการใช้อุปกรณ์จึงจำเป็น ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับข้อมูลที่ต้องการ สถานที่ และกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ศึกษาเก็บข้อมูลนั้นๆ ด้วย อย่างไรก็ตามใคร่ขอเสนอแนะวัสดุที่จำเป็นต้องใชัใน กิจกรรมดังต่อไปนี้ 1.1 วัสดุในการเขียน เช่น กระดาษโปสเตอร์หรือกระดาษอื่นที่ใช้แทนกันได้ สีเคมี 1.2 ปากกา ดินสอ หรือแม้แต่ก้อนถ่านก็สามารถใช้เพื่อเขียนได้ 1.3 วัสดุจากธรรมชาติ เช่น กิ่งไม้ ใบไม้ ก้อนดิน ก้อนหินขนาดต่างๆ เมล็ดพืชชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น เมล็ดข้าวโพด เมล็ดถั่ว ฯลฯ 1.4 ในกรณีที่ไม่สามารถหาวัสดุข้างต้นได้ อาจใช้ลานดินหรือลานซีเมนต์แทน และใช้ถ่านเขียนแทนก็ได้ 72 สถาบนั พระปกเกล้า
เทคนิคการทำงานอย่างมีสว่ นรว่ มกับชุมชน ….. 2. วิธีการต่างๆ ของ PRA : กจิ กรรมตวั อยา่ ง ตวั อย่างที่ 1 การทำแผนที่ (mapping) อย่างมีส่วนร่วม ✎ การเตรียมการ (1) ตัดสินใจเลือกว่าจะทำแผนที่ประเภทใด เช่น ✛ แผนที่ทางกายภาพและทางสังคม (แสดงบริเวณที่อยู่อาศัยใน หมู่บ้านและความสัมพันธ์ในหมู่บ้าน เป็นต้น) ✛ แผนที่แสดงทรัพยากรธรรมชาติ (แสดงบริเวณพื้นที่หมู่บ้าน) ✛ แผนที่แสดงพื้นที่ต้นน้ำ ป่าไม้ ไร่นา (2) กำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษา (3) ค้นหาว่าใครรู้เรื่องเหล่านี้และมีความเต็มใจที่จะแบ่งปันความรู้เหล่านี้ (4) เลือกสถานที่และสื่อที่เหมาะสม ✛ บนพื้นดิน โดยใช้กิ่งไม้ ก้อนหิน ฯลฯ ✛ บนพื้นบ้านหรือพื้นผิวเรียบ โดยใช้ชอล์ค ก้อนหิน ฯลฯ ✛ บนกระดาษ โดยใช้ดินสอ ปากกา และเมล็ดพันธ์พืชต่างๆ ฯลฯ ✎ การลงมือปฏิบัติกิจกรรม (1) ควรให้กลุ่มเป้าหมายนั่งเป็นวงกลมบนพื้นดินหรือบนพื้นห้อง โดยมี ผู้ดำเนินการนั่งร่วมวงด้วย เพราะจะเป็นการสร้างบรรยากาศความ เสมอภาค การยอมรับ และการให้เกียรติระหว่างกัน สถาบนั พระปกเกล้า 73
การให้บริการสาธารณะ โดยการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน (People’s Audit) (2) สร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมาย โดยวิธีการแนะนำตัวหรือวิธีการอื่นๆ ตามความเหมาะสมแล้วจึงเชิญให้ร่วมกิจกรรม ขอ้ ห้าม ✛ ห้ามก้าวก่ายรบกวน ยกเว้นเฉพาะบางโอกาสที่จำเป็นเท่านั้น คำแนะนำ ✛ บางครง้ั การทำแผนทต่ี อ่ เนอ่ื งกนั หลายๆ อนั กเ็ ปน็ วธิ กี ารทด่ี แี ละใชไ้ ดผ้ ล ✛ ควรเลือกสถานที่และวัสดุที่ผู้ใช้รู้สึกอิสระและใช้ได้ผล ✛ สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม ✛ กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น การเดินสำรวจ (tranfect) การ จัดลำดับความมั่งมี (wealth ranking) การศึกษาเจาะลึกลงบาง ประเด็น ✛ คิดค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการทำกิจกรรมและปล่อยให้ผู้ร่วมกิจกรรมคิด ค้นหาวิธีของพวกเขาเอง ✛ และขอให้สนุกกับการทำกิจกรรม 74 สถาบนั พระปกเกล้า
เทคนคิ การทำงานอย่างมสี ว่ นร่วมกับชุมชน ….. (3) เริ่มสนทนาถึงลักษณะการตั้งบ้านเรือน ชักชวนให้ทำแผนที่หมู่บ้านอย่าง µ¦Ä®งo่า¦ย· µๆ¦µลµง¦ใน³Ãก¥รµะ¦ด¤¸าnªษ¦ทnª¤ี่เ
ต°รีย¦ม³ไµว้ ต่อจากนั้นผู้ดำเนินการจะตั้งปµระ´ เ¡ด¦³็นแÁล¨ะµo ป้อนคำถามตามที่ได้กำหนดไว้ ให้กลุ่มเป้าหมายใช้แผนที่และอุปกรณ์ที่ เตร(ีย3)มÁไ¦·Éว¤้เป็นสµื่อ¹ใ¨น´¬การ³ใµห¦้ข´Ê้อมoµูลÁ¦ºเ°ช่น´ถ้าªต้Äอ®งoกεาÂรทร¸É®า¤บn¼จoµำน°¥วnµนแnµ¥ลÇะท¨ี่ตÄั้ง ®Á¦¨jµ³´®1ห¤µµµ¬Áล¦¥หº°ÄังɸÁลคoÂÄั¦งา¸¥คเ¤ร»¤าÅือ¸ÉÂเªนรo¨³ือใ°n°นน»È°ชµวµุม¦าชงε´Êrไ®น¸ÉÁวo¼้บก¦Îµ¸¥ÄÁ็อน®¤·าÅoกจª¼oÁ
รoÁกµoµะ¦¦}ำดnªห³¤าºÉ°นษÄÊ´·ดท¦ใ¦µ³ีห่¦เ¦Áต¤้ÄผÄ®Èรู้เo
ÂขียoÄo°¨้าม¤³Åร¼¨¤ไ่วj°oว1มÁ้ กn(แÄεิจตกµÂoµ¤่ลรo°ระµม¤ห1µใล¦ชɸŮัง้ใ¨¦oคบµ´Îµไา®µมเÁεร¦้º°ือ1ªÅนªªใoµตบĨ®Åัแ้³งªoทอo¨¸Éยนn»¤´Êู่ ¦³ทµ¬ี่ไห¸ÉÁน¦บ¸¥¤้าÅงª)o (Âก็จn¨³ะ®ไ¨ด´้ขµ้อÁ¦มº°ูลจÊ´ำ°น¥¼nวɸÅน®แลoµะ)ที่ตÈั้ง³ขÅอo
งo°ห¤ล¼¨ังεคªาเรÂือ¨³นใ¸Éน´Ê
ช°ุม®ช¨น´หµÁ¦รº°ือถÄ้า »¤Åต1Ä้อ®เÅnม¦งªº°กลo Áา็ดoµร}แo°ททo รนµา¦บคนจ¦µำ1นεวคนªนผไู้ปท¼oใี่อ¸É°สnµ่า่ไน°ว°อ้ อÁเ
ปก¸¥็นเขÅตีย้นoนÈÄ ®ไดo¨้ก»n¤็ใÁหjµ®้ก¤ลµุ¥่มÁ°เปµÁ¤้า¨หÈม¡ºาย1 เอÁ¤า¨เÈมÂล็ดพืช1 สถาบนั พระปกเกล้า 75 12-5
การใหบ้ รกิ ารสาธารณะ โดยการมีสว่ นรว่ มของประชาชน (People’s Audit) (4) ประเด็นที่จะศึกษาควรเริ่มจากประเด็นที่เป็นรูปธรรม เช่น แผนที่ที่ตั้ง แต่ละครัวเรือน จำนวนสมาชิก ฯลฯ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประเด็นที่เป็น นามธรรมขึ้นเรื่อยๆ เช่น ระบบเครือญาติ ความสัมพันธ์ในชุมชน เป็นต้น (5) การตรวจสอบข้อมูลสามารถทำได้ทันทีในขณะที่กิจกรรมกำลังดำเนินอยู่ เพราะในกระบวนการของวิธีนี้ ผู้ให้ข้อมูลจะแสดงความคิดเห็นต่อข้อมูล ที่เพื่อนในกลุ่มให้อยู่ตลอกเวลาในกรณีที่ความคิดเห็นของผู้ให้ไม่ตรงกัน จึงถือว่าการตรวจสอบข้อมูลเป็นการตรวจสอบโดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเอง (6) การจดบันทึกข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการทำกิจกรรมควรได้รับการจดบันทึก ไว้ทันทีมิฉะนั้นจะเกิดการสูญหาย เพราะในกระบวนการทำกิจกรรมจะมี การเคลื่อนไหวของข้อมูลอยู่ตลอดเวลา (7) พยายามส่งเสริมให้ชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรมได้อธิบาย ถกเถียง หรือ แก้ไขข้อมูลอยู่เรื่อยๆ เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลวิธีหนึ่งไปด้วย (8) วิธีนี้จะได้ผลมากยิ่งขึ้น ถ้ากิจกรรมดังกล่าวสามารถนำไปสู่การอภิปราย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา และลงมือทำจริงๆ เพื่อแก้ปัญหาของชุมชน ตัวอยา่ งที่ 1 การใช้การวิเคราะห์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วม (PRA) เพื่อสร้างความตระหนักใน เรอ่ื งเอดส ์ การเตรียมการ การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย อาจคัดเลือกเฉพาะสมาชิกกลุ่มที่มีลักษณะ 76 สถาบันพระปกเกลา้
เทคนิคการทำงานอย่างมีสว่ นรว่ มกบั ชมุ ชน ….. ร่วมกัน เช่น เพศเดียวกัน กลุ่มอายุใกล้เคียงกัน กลุ่มที่มีสถานภาพทางสังคม เหมือนกัน (เช่น ผู้นำชุมชนหรืออาสาสมัครสาธารณสุข) กลุ่มสถานภาพการสมรส เหมือนกัน (เช่น แม่บ้านหรือพ่อบ้าน) หรือกลุ่มที่สมาชิกมีความแตกต่างกัน หลายประการคละกันก็ได้ สมาชิกที่จะมาร่วมกิจกรรมควรจะรู้จักและคุ้นเคยกันมา บ้าง รวมทั้งรู้จักคุ้นเคยกับผู้ดำเนินการด้วยในระดับหนึ่ง วัสดุอุปกรณ์ เช่น กระดาษบรุ๊ฟ ปากกาเมจิก และเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ การลงมือปฏิบัติกิจกรรม (1) ควรให้กลุ่มเป้าหมายนั่งเป็นวงกลมบนพื้นดินหรือบนพื้นห้อง โดยมี ผู้ดำเนินการนั่งร่วมวงด้วย เพราะจะเป็นการสร้างบรรยากาศของ ความเสมอภาค การยอมรับ และการให้เกียรติระหว่างกัน (2) สร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมายโดยวิธีการแนะนำตัว หรือวิธีการ อื่นๆ ตามความเหมาะสมแล้วจึงเชิญให้ร่วมกิจกรรม (3) ผู้ดำเนินการถามกลุ่มเป้าหมายผู้ร่วมกิจกรรมทีละคนว่าเขามีโอกาส เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ และทำไม (4) ให้กลุ่มเป้าหมายช่วยกันจัดคนในชุมชนของตนเป็นกลุ่มหลักๆ เขียนใส่กระดาษที่เตรียมไว้ เช่น กลุ่มพ่อบ้าน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่ม ผู้สูงอายุ กลุ่มเยาวชน กลุ่มเด็กนักเรียน กลุ่มเด็กวัยก่อนเรียน และ กลุ่มผู้นำ เป็นต้น สถาบันพระปกเกลา้ 77
(4) Ä®o¨»n¤Ájµ®¤µ¥nª¥´´Ä»¤
°Á}¨n»¤®¨´Ç Á
¸¥Än¦³µ¬¸ÉÁ¦¸¥¤Åªo Án ¨n»¤¡n°oµ ¨»n¤Â¤noµ ¨»n¤o¼¼°µ¥» ¨»n¤Á¥µª ¨n»¤ÁÈ´Á¦¸¥ ¨n»¤ÁȪ´¥n°Á¦¸¥ ¨³ การให้บ¨n»¤รกิ ¼oาεรÁส}าธoารณะ โดยการมสี ่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) (5) ให้กลุ่มเป้าหมายช่วยกันแบ่งกลุ่มหลักๆ แต่ละกลุ่มจากข้อ 4 แบ่ง (5) Äใ®หo้ล¨n»ะ¤Áเอjµีย®¤ดµล¥งnªไ¥ปอ´ีÂกnเช¨่น»n¤®ก¨ล´ุ่ÇมเÂยาn¨ว³ช¨นn»¤อาµจ
แo°บ4่งÂเปn็Äน®เo¨ย³าÁ°ว¸¥ชน¨ชÅาย°¸ Án ¨¨n¤»µÁ ¥µºª ¨¨°»n¤»nµ¤เÁÁย¥¥ÂµµาªªวnกÁชลน} ุ่มหÁµµ¥เ¥¥µญย°ªµาิงɸÄว ÂชoÁ
µนÈn¤¥ÅชÁ¸¥าo°µย¥¸ªµอÁÁา}¡จ®แ¨··บ»n¤Á่ง¥ไµ¨ªดn»¤้อÁ¥ีกµªµเ¥ป็น¸Éεกµ¥ลµุ่มɸ¦เ¨ย³µาª°ว´ช°นµ¨ช»n¤¸¡าÁยÂ¥µทª³ี่ท¨ำ´งµา¥Âน¨É¸³Îµ¨µn»¤ Á¥µªµ¥°¸É °กลÅางวµÎ ันµก¦´ลุ่มoµเย°าว®ช¤น¼n ชoµายÁท}ี่ทำo งานกลางคืน กลุ่มเยาวชนชายที่ใช้ ¨»n¤เÁข¥µ็มªฉีด®ยา·เส¨พ³ต¨ิดn»¤®ก¨ล´ุ่ม°ÉºเยÇาวชÈนµ¤ชµา¦ยท¸Éี่ป³รÄ®ะoก¨อn»¤บÁอjµา®ช¤ีพµ¥แÂกะnÄส®ลo¨ัก³Á°แ¸¥ละĵ¦ £nµ¡ ¨»n¤ªµ¥¤n °Á¥Ä} ®กo¨ล¦³·ุ่มกÁ
°เ°ล¸¥ยุ่มาว¤» เ¸Êชยนา¨ชว»n¤าชÁยนjµท®หี่อ¤ญµอ¥กิงไแ¸É¦ปnªล¤ทะำก·งลา¦นุ่ม¦ร¤หับล³จÁัก้าง}อนื่นอo¼ๆεกÂหกม็สู่บ¨า้า»n¤มนาµรเ¤ปถ็นทªตµี่¤จ้นะ ·ให้กµ¤ลÁุ่ม r¨³ เป้าหมายแบ่งให้ละเอียด ในการแบ่งกลุ่มย่อยให้ละเอียดนี้ กลุ่ม เป้าหมายที่ร่วมกิจกรรมจะเป็นผู้จำแนกกลุ่มตามความคิด ตาม เกณฑ์และสภาพความเป็นจ1ร2ิง-7ของชุมชน 78 สถาบนั พระปกเกล้า
เทคนคิ การทำงานอย่างมีสว่ นรว่ มกบั ชมุ ชน ….. (6) เมื่อกลุ่มเป้าหมายทุกคนพอใจกับการแบ่งกลุ่มและจำแนกให้เป็น กลุ่มย่อยๆ แล้วให้กลุ่มเป้าหมายช่วยกันประเมินความเสี่ยงในการ ติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม โดยการให้น้ำหนักและจัด ลำดับความเสี่ยง (ช่วงนี้จะเป็นการอภิปรายและการโต้เถียงอย่างมี ชีวิตชีวาว่ากลุ่มไหนมีความเสี่ยงมาก กลุ่มไหนมีความเสี่ยงน้อย เพราะอะไร) ระดับความเสี่ยงจะถูกแสดงให้เห็นโดยจำนวนวัสดุที่ใช้ (เมล็ดพันธุ์พืช ก้อนหิน หรือใช้อะไรแทนก็ได้ เพราะฉะนั้น กลุ่มที่มี µ¦Ä®o¦· µ¦µµ¦³Ã¥จµำ¦น¤ว¸นnªเม¦nªล¤็ด
พ°ืชม¦า³กµที่สุด คือกลุ่มที่กลุ่มเป้าหมายร่วมกันพิจารณµา´ ¡¦³Á¨oµ เห็นว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่มีเมล็ดพันธุ์พืชน้อย) (6) Á¤Éº°¨n»¤Ájµ®¤µ¥»¡°Ä´µ¦Ân¨»n¤Â¨³ÎµÂÄ®oÁ}¨»n¤¥n°¥Ç ¨oªÄ®o¨n»¤ Ájµ®¤µ¥nª¥´¦³Á¤·ªµ¤Áɸ¥Äµ¦·ÁºÊ°Á°Å°ª¸
°สถ¨า»n¤บ¥นั n°พ¥รÂะปn¨ก³เก¨ลn»¤้า Ã7¥9µ¦Ä®oÎʵ®´Â¨³ ´¨Îµ´ªµ¤Á¸É¥ (nªÊ¸³Á}µ¦°£·¦µ¥Â¨³µ¦ÃoÁ¸¥°¥nµ¤¸¸ª·¸ªµªnµ¨n»¤Å®¤¸ªµ¤Á¸É¥¤µ ¨»n¤Å®¤¸ªµ¤Á¸É¥o°¥ Á¡¦µ³°³Å¦) ¦³´ªµ¤Áɸ¥³¼ÂÄ®oÁ®Èå媪´»¸ÉÄo (Á¤¨È
¨»n¤Å®¤¸ªµ¤Áɸ¥o°¥ Á¡¦µ³°³Å¦) ¦³´ªµ¤Á¸É¥³¼ÂÄ®oÁ®Èå媪´»¸ÉÄo (Á¤¨È ¡´r»¡º o°®· ®¦º°Äo°³Å¦ÂÈÅo Á¡¦µ³³Ê´ ¨n»¤¸É¤¸ÎµªÁ¤¨È¡º¤µÉ¸» º°¨»n¤É¸ กา¨ร¤n» ใหÁ้บjµร®¤ิกµา¥ร¦nªส¤าธ´า¡ร· ณµ¦ะ µโÁด®ยÈกªnµาÁร}มสี ¨ว่ »n¤นร¤É¸ ¸ว่ ªมµ¤ขÁอง¥É¸ ป¤รµะชªาnµชน¨n¤» (P¸É¤e¸Á¤o¨pÈ ¡le´ ’sr»¡ºAuo°d¥)it) (7) ให้กลุ่มเป้าหมายตรวจสอบการจัดลำดับอีกครั้ง หากยังมีผู้ไม่เห็น µ¦Ä®o ¦·µ¦ดµ้วµย¦ก³Ã็ให¥้อµ¦ธ¤ิบ¸ nªาย¦nªไ¤ด
°้ เถ¦³ียµงก12ัน-8อีกจนกว่าทุกคนจะเห็นพ้องµต´ ้อ¡ง¦³กันÁก¨oµับ (7ก)าÄ®รoจ¨ัดn»¤Áลำjµ®ด¤ับµ¥น¦ั้นªๆ °µ¦´ ¨µÎ ´°¸¦Ê´ ®µ¥´¤¸ Åo¼ ¤nÁ®Èoª¥ÈÄ®o°·µ¥Åo Á¸¥´ °¸(8ª)µn (8»ใ)หÄ®้กo³ล¨Á®n»¤ุ่มÈÁ¡เjµปo°®้า¤ห°oµ¥มÁ
´า¸¥ย´Áเขµ}¦ีย´³น¨Âεเป´ ็ÂนÊ´ คÇะεแนªนÁ¤แ¨ทÈ¡น´จำr» นµว¤นεเมªลÁ็¤ด¨พÈ¡ัน´ธุr»์ต¸É¨า»n¤ม Ájµ®¤µ¥Ä®จoŪำoน´ว¨นn»¤เมµn ลÇ็ดพันธุ์ที่กลุ่มเป้าหมายให้ไว้กับกลุ่มต่างๆ 80 สถาบนั พระปกเกล้า
เทคนคิ การทำงานอย่างมสี ว่ นร่วมกับชุมชน ….. 12-9 (9) ให้กลุ่มเป้าหมายช่วยกันพิจารณาจากกลุ่มที่ได้จัดลำดับไว้แล้วว่า กลุ่มไหนเกี่ยวข้องกันบ้าง โดยให้กลุ่มเป้าหมายลากเส้นเชื่อมโยงกัน เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม เช่น กลุ่มเป้าหมายให้ กลุ่มหญิงบริการมีโอกาสเสี่ยงมากที่สุด แล้วกลุ่มหญิงบริการนี้มี โอกาสแพร่เชื้อให้กลุ่มไหนบ้าง ให้กลุ่มเป้าหมายลากเส้นเชื่อมโยง ซึ่งหญิงบริการจะมีเส้นเชื่อมโยงไปสู่กลุ่มพ่อบ้าน กลุ่มเยาวชนหรือ กลุ่มผู้ชายอื่นๆ ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับหญิงบริการ กลุ่มพ่อบ้านและกลุ่มเยาวชนชายเมื่อได้รับเชื้อมาแล้วมีโอกาสจะ แพร่เชื้อให้ใครบ้าง โดยให้กลุ่มเป้าหมายลากเส้นเชื่อมโยงต่อ ซึ่งเขา อาจจะลากเส้นเชื่อมโยงจากพ่อบ้านไปสู่แม่บ้านหรือกลุ่มผู้หญิงอื่นๆ ที่เขามีเพศสัมพันธ์ด้วย ส่วนกลุ่มเยาวชนชายเขาก็ลากเส้นเชื่อมโยง สู่กลุ่มเยาวชนหญิงที่เป็นแฟนกันหรือกับกลุ่มอื่นๆ ที่กลุ่มเยาวชน ชายไปมีความสัมพันธ์ด้วย เป็นต้น สถาบนั พระปกเกลา้ 81
¼o µ¥°Éº Ç ¸ÉŤ¤n ¸ ªµ¤´¤¡´ r´®· ¦·µ¦ ¨»n¤¡n°oµÂ¨³¨»n¤Á¥µªµ¥Á¤ºÉ°Åo¦´ÁºÊ°¤µÂ¨oª¤¸Ã°µ³Â¡¦nÁºÊ°Ä®oĦoµ åĮo ¨»n¤Ájµ®¤µ¥¨µÁoÁɺ°¤Ã¥n° ¹ÉÁ
µ°µ³¨µÁoÁɺ°¤Ã¥µ¡n°oµÅn¼Â¤noµ®¦º°¨»n¤o¼®· °ºÉÇ กɸÁ
าµร¤ใ¸Áห¡้บ«รกิ´¤¡าร´สrาoªธ¥ารณnªะโ¨ด»n¤ยÁ¥กµาªรมีสµ่ว¥นÁ
รµว่ȨมµขอÁงoปÁรºÉ°ะช¤าÃช¥นn¼(P¨»n¤eÁo¥µpªle’s®A·uɸÁdi}t) ¢´ ®¦°º ´ ¨n¤» °Éº Ç ¸É ¨n»¤Á¥µªµ¥Å¤¸ªµ¤´¤¡´roª¥ Á} o (10) เมื่อมีเส้นเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น กลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วม (10) Á¤Éº°¤¸ÁoÁɺ°ก¤ิจÃก¥ร¦ร³ม®จªะnµเริ่ม´เ¤ขµ้าใ
จ¹Êว่าแ¨มn»¤้แÁตjµ่ก®ล¤ุ่มµ¥ที่ไ¼oÁ
มoµ่ม¦nªีพ¤ฤต·ิก¦ร¦ร¤มเ³สÁ¦ี่ยÉ·¤งÁเ
ลoµยÄเªชnµ่Âน¤oÂn ¨¨ª¨µ³n¤»»n¤¤Á¤ɸÅȤ´ n¤Ä¡n¤µo ´ª¸¡Á´¥§®Ár¦¨¥¸µ·nµ¦Á¡¦Ê¸°¤«¸¤ÉµÁÅ·Å´¸É¥o¦¦o´ ¼o®Áเนกก´¨พÁับอลÁ¥ร°Êº·กุผ่มʰºาÁÁ°°บู้หÁะแºÉ°n้กาญมÇนÅลÅ่บ°ิงแุ°่มÂอª¨้าลª¤¸แื่น»n¤น¸้วn°È°มÂๆµทไµµ¤ป่บี่ทแnเ้าทµำมoµnµ¨น¤ง¥ี่ยµ่อเ¸า¥หวานÁŸɰ¸Éจหลใถε}ญ่านÁน่าÁµÎµบิงยʺ°ี้อขÈ้าทŵÄาานอจยεแ¡ดไบn¼°ดท¦oµเรชµµo้ร้จิก¦ื้อÂับราµo ไoµร¡ิเ
งปชoหแ°°n Âส¦ื้อรÂล¨·ู่ทเือ¤Âo้ªวอาไÁn¨Åกรชปoªก}็ไยÂมÁอขÁ¨ังÈ¥°ีควอ¸É¥³´เวีสªจÂงÁา®ต¤าี่ยมrÂɸ¥กoน¨งส¦ส·³ตัม³แ
าn°่อมพลµµ¥´Éก¥ะีทµันÁ¦แาี่ธไ¦รÈมป์ท··ต้กµทาÁn°ิด¦รงำ®ºÊ°เะเงพªช¦ทา´¥Áº°ืศน้อ¡ั่งÁŦ¦¸¥µ¤³¸ เด็กก่อนวัยเรียน และเด็กในวัยเรียนที่มิได้รับเชื้อเอสไอวีก็อาจ กลายเป็นเด็กกำพร้าถ้าพ่อแม่เป็นเอดส์และตาย 12-10 82 สถาบนั พระปกเกล้า
µ¦Ä®o ¦·µ¦µµ¦³Ã¥µ¦¤¸nª¦ªn ¤
°¦³µ µ´¡¦³Á¨oµ เทคนิคการทำงานอยา่ งมีส่วนร่วมกบั ชมุ ชน ….. µ¦Ä®o ¦·µ¦µµ¦³Ã¥µ¦¤¸nª¦ªn ¤
°¦³µ µ´ ¡¦³Á¨oµ (11)( 11ใ)หÄ®้กoล¨ุ่»n¤มÁเปjµ®้า¤หµม¥าnªย¥ช´่วย¦»กันµสรµ¦ุป¦nªจ¤าก·ก¦า¦ร¤รªnµ่ว¤ม¸¨ก»n¤ิจÅ®กรรoµมว¸É่า³มŤีกnÁลɸ¥ุ่มไn°หµน¦บ·้าง Á¤Ä¸ ʰ¸ ÁÁ¦°Ê°¸Á¨Á°¥r¤·¨or รท³Â(¦1¨วÁี่จ¦³1°³ม¤)Åะ¤Ä³ทPไ®ÅnÉŸÅRมั้งo¤¤Ao¦่ก¨เnÁÅn ส´»nĤลÉ¥¸o¦Áี่ย´¨ุ่มงjµ¦°n®เต´Ê¦¨ป¤³µ่อ้าʸµ¦¦¥³หก³·ามnªµÁร°¥¨าตÁยµ°´ิดผªorÁ°Â¥เ¦ู้เr¨ช»ข¦µ³ี้อª¦้าr µ¤ร¦³เอªÉ¸Å่ว¤¤Ê´¨ดมµnÅn»¤¦¨สก´ÊÁ¦¤»n¦onª์ิจµj´Á¨¤แ®n¤»กjµ¤ล¨Á·®รµะ¤¥jµร¦¦จ®µ³ม¦¥¼oÁ¤ะ
¤แµoµไÁo¼ª¥¦
ตมnµnªoµ¤µ¼oÁ¦¤่ล่ไ
¸nªดµoÁะ¨¤°·¦n»¤้รคnªÅ·¤ับ¦น®¦r ผ¤¦ด· ¦¦ล้ว¤o¼¦oµÂก¦ย¹¤ร n¨Â¦¸Éะ³³³ท®n¨Å³¤บnÁ´จoªÉ¸¥¥า¡¸É oªก¥n°เªอnµÅµด¤¦nส·์ ®¤¤¼n ĸoµ ¦Á¨¨(¥1ªoÂ2ร¤()·1o¼่วoÄ2ε®ม)¦ÁกÁoĦ°ก®·¤¨ิจon»ิ¤จPกµ¨ÁÉŸRก¦¤»n¤รAÁjµรÁnÁร®Ä}รม¥É¸¤jµม®µ¼o¥¤¦รPn°¦Ê´µู้»สRnª¥µ¥ึ¸Êก¦Aµ³nªต´¥·ใÁรÁµ°¨¦´นะ°Áหค£°oªr·นรÂ¥¦°ª¨ั้งักµµµ³¥น¤¦ªทµ³¨ี้จี¤่·พɸųะ¤Ä¨Áบ·Ån¤»nจÁÄวบ°o¦¦่าµj´ล³®ไªÁ¦ง¤มµ¨³¤µÈดÁ่ม¥¦้ว·³ÈีใµoÁ¼ Á
ยÁ®ค®oµÈกµ¦รÁnª
®»าµเ¤°ลร¸ÉÁ»°ทÎยµ· ĸɨีแ่ก®¦n¤»Îµo¦ÁÄมrÁล®¤·ุ้ต่jµม¦oÁ®Ã¼oนเ¦·¤¹ปõเ¥Áอ¦้า¦°³หงÁ®°ทมrÂี่ไ´า¡มยr¦ɸ¡¡nÁ่ผเ
ส¦oµู้เªnÁี่ยข
µn ¼noŵ้งา¤n¼n ®¤n¼ oµ Âต¨oª่อก¼oµÎาÁร·ติดµ¦เÁอด} สo¼ ์ ¦»แลµะจµ¦ะ°ไ£ม· ¦่ไµด¥Â้ร¨ับ³Áผล°กรªµะ¤ท·บÁ®จÈ า
ก°เอด¨n¤» สÁ์ jµ® ¤µ¥ (12) Ä®o¨»n¤Ájµ®¤µ¥nª¥´Á°Âª·Á¡ºÉ°®µÂªµÄµ¦j°´Å¤nÄ®oÁʺ°Á°r¡¦n Á
µo ®¤n¼oµ (µµÁ®Ä»
°o 12) (12) Ä®o¨»n¤Ájµ®¤µ¥nª¥´Á°Âª·Á¡ºÉ°®µÂªµÄµ¦j°´Å¤nÄ®oÁºÊ°Á°r¡¦n Á
oµ®¤¼n µo (µµÁ®Ä»
°o 12) 12-11 12-11 สถาบนั พระปกเกลา้ 83
การให้บรกิ ารสาธารณะ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) µ¦Ä®o¦(· 1µ¦2)µ µใโ¦รหค้ก³Ãเลอ¥ุ่มดµเ¦สป¤์้าแ¸หªn พม¦รnªา่เ¤ยข
ช°้า่วสย¦ู่ห³กมµันู่บเส้านนอคแวลา้วมผคู้ดิดำใเนนปินรกะเาดร็นเปส็นาเผหู้สตรุทµุปี่ท´จำ¡าใ¦หก³้กเกาÁิดร¨µo µÁ®µ¦ÄÄ»®o
¦o°· (1µ1¦23))µอÄ®µภ¦o¨ิป³»n¤รÃÁาjµ¥ย®¤µแ¦µล¤¥¸ ะnªเ¥ส¦´นªn ¤Áอ
°ค°ว¦า³ªมµค·Á¡ิดɺ°เ®หµÂ็นขªอµงÄกลµุ่ม¦เปj°้าห´Åม¤าnÄ®ยoÁ ʺ°Á°r¡¦nÁ
µoµ®´ ¤¡n¼¦oµ³(Áµ¨µo (13) Ä®o¨»n¤Ájµ®¤µ¥nª¥´Á°Âª·Á¡Éº°®µÂªµÄµ¦j°´Å¤nÄ®oÁʺ°Á°r¡¦nÁ
oµ®¤¼noµ (µ µÁ®»Ä(1
3o°)1 2)ให้กลุ่มเป้าหมายช่วยกันเสนอแนวคิดเพื่อหาแนวทางในการป้องกัน ไม่ให้เชื้อเอดส์แพร่เข้าหมู่บ้าน (จากสาเหตุในข้อ 12) 84 สถาบันพระปกเกล้า 12-12
เทคนคิ การทำงานอยา่ งมีส่วนร่วมกับชุมชน ….. เอกสารอา้ งองิ พัชนี นาถประชา และคณะ. ทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อพื้นฐาน ใน การศึกษา วิเคราะห์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วม. สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับองค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสาธารณสุข. เอกสารอัดสำเนา, มปป. สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และองค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ สาธารณสุข. คู่มือผู้นำการประชุม ใน การศึกษาวิเคราะห์ชุมชนอย่างมีส่วน ร่วม. สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับองค์การพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อสาธารณสุข. เอกสารอัดสำเนา, มปป. อรพินท์ สพโชคชัย. การจัดเวทีการมีส่วนร่วม ใน หนังสือคู่มือการฝึกปฏิบัติงานของ นักศึกษาทันตแพทย์ชั้นปีที่ 6 ประจำปีการศึกษา 2542 กระบวนวิชาทันต กรรมชุมชนปฏิบัติ (DCOP 602). ภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันต- แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2542. สถาบนั พระปกเกล้า 85
เรอ่ื งท่ี 13 พลังชุมชน: ตอ้ งเสริมสร้างจากขา้ งใน ทพ.อทุ ัยวรรณ กาญจนกามล การสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) หัความหมายการสร้างพลงั อำนาจ วใจของคำว่า “การสร้างพลังอำนาจ” (empowerment) ก็คือ การทำให้ได้มา ซี่งอำนาจ โดย “อำนาจ” ในที่นี้หมายถึง ความสามารถในการคิดหาหนทาง รวมทั้ง ปฏิบัติการ เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการมีอำนาจ จึงหมายถึงการที่สามารถใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม (ซึ่งประกอบด้วย พลัง อำนาจของตน ของสังคม และอำนาจในทางการเมือง) เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การให้บรกิ ารสาธารณะ โดยการมีส่วนรว่ มของประชาชน (People’s Audit) ดังนั้นการยอมรับวิธีการ “สร้างพลังอำนาจ” จึงหมายถึงการยอมรับ ในมุมมองของความขัดแย้ง และยอมรับว่ากลุ่มคนในสังคมถือครองอำนาจ ในระดับที่ต่างกัน และผู้ที่มีอำนาจมากกว่าใช้อำนาจนั้นในการควบคุมผู้มี อำนาจน้อยกว่า กล่าวโดยสรุป การทำงานเพื่อการสร้างพลังอำนาจนั้น ตั้งอยู่บนแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งปันอำนาจ มิใช่การใช้อำนาจครอบงำผู้อื่น (“power as share” rather than “power over other”) และการสร้าง พลังอำนาจ จะช่วยให้ผู้ที่เสียเปรียบในสังคม สามารถค้นพบหนทาง เพื่อ เปลี่ยนเงื่อนไขที่บีบคั้น กดดัน ทั้งนี้การสร้างพลังอำนาจนั้น เป็น กระบวนการที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง อยู่ในระหว่าง ความร่วมมือ และ ความขัดแย้ง มีการให้ และยึดคืนอำนาจ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในโลก ของผู้เชี่ยวชาญและภูมิปัญญาชาวบ้าน ในระหว่างสถาบันอันทรงอำนาจและ ชุมชน การสร้างพลังอำนาจสามารถทำได้ตั้งแต่ระดับบุคคล กลุ่มองค์กร และชุมชน โดยที่การสร้างพลังอำนาจในระดับบุคคลเกิดขึ้นเมื่อเราให้ความ สำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตวิทยา และพฤติกรรมของ ปัจเจกบุคคล การสร้างพลังอำนาจในระดับ กลุ่ม/องค์กรเกิดขึ้นเมื่อเราให้ ความสำคัญกับโอกาสในการมีส่วน ร่วม และการจัดสรรทรัพยากรใหม่ใน องค์กร และการสร้างพลังอำนาจใน ระดับชุมชน เกิดขึ้นเมื่อให้ความ สำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงในระดับ โครงสร้างทางสังคมและการเมือง 88 สถาบันพระปกเกล้า
พลังชุมชน: ตอ้ งเสรมิ สรา้ งจากข้างใน การสร้างพลงั อำนาจในปจั เจกบุคคล หรอื การสร้างพลังอำนาจในระดบั จติ วิทยา (Individual or Psychological Empowerment) หมายถึง ความสามารถของปัจเจกบุคคลที่จะตัดสินใจในการดำเนินชีวิต และ ควบคุมชีวิตของตนเองได้ ซึ่งคล้ายคลึงกับคำที่ใช้ว่า การมีอำนาจในตนเอง (self - efficacy) และการเห็นคุณค่าในตนเอง (self -esteem) ตรงที่ เน้นการพัฒนาแนวคิด เชิงบวกต่อตนเอง หรือพัฒนาสมรรถนะความสามารถของบุคคล การสร้างพลัง อำนาจในระดับจิตวิทยา คือ การที่สร้างให้คนมีความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ต่อเงื่อนไข ทางสังคมและการเมือง รวมทั้งบ่มเพาะให้ปัจเจกบุคคลและกลุ่มมีทักษะในการ ปฏิบัติการในสังคม ดังนั้น การสร้างพลังอำนาจในระดับปัจเจกบุคคล จึงประกอบ ด้วย 1 การเชื่อมั่นอำนาจและสมรรถนะความสามารถของตนเอง 2 ความรู้สึกว่าตนสามารถควบคุม หรือเป็นนายของตนได้ 3 เป็นกระบวนการมีส่วนร่วมที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่ม/ องค์กร หรือสถาบัน การสร้างพลังอำนาจในระดับปัจเจกบุคคล จะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับระดับองค์กร และชุมชนด้วยการ พัฒนาทักษะให้ปัจเจกบุคคลสามารถควบคุมและแสดงศักยภาพ แห่งอำนาจผ่านปฏิบัติการทางสังคม รวมทั้งเข้าร่วมในกระบวนการทางสังคมและ การเมือง สถาบนั พระปกเกล้า 89
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120