Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 34นักการเมืองถิ่นนครปฐม

34นักการเมืองถิ่นนครปฐม

Description: เล่มที่34นักการเมืองถิ่นนครปฐม

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม กลุ่มอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ สมาชิกสภาเทศบาล อาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เกษตรกร สื่อสารมวลชน นักธุรกิจ ครู อาจารย์ นักศึกษา และกลุ่มแม่บ้าน นายไชยา สะสมทรัพย์ ถือว่าเป็นแกนหลักของตระกูล สะสมทรัพย์ในการสนับสนุนพี่น้องตระกูลสะสมทรัพย์ และ เครือข่าย เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งในระดับประเทศ และระดับจังหวัด ถือได้ว่า เป็นหัวหน้ากลุ่มการเมือง ที่มี พรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาชักชวนตนเองและสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่อยู่ในกลุ่มไปสังกัด ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้ รับการเลือกตั้งในจังหวัดนครปฐมมาโดยตลอด เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2535 จนกระทั่งปัจจุบัน การที่ตนมีกลุ่มผู้นำ ท้องถิ่นให้การสนับสนุนและความไว้วางใจตนและตระกูล สะสมทรัพย์ในการทำงานทางการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและ ระดับประเทศอีกทั้งกลุ่มของตนยังมีความเข้มแข็งในด้านการใช้ เงินทุนของตนเองในการหาเสียงเลือกตั้งอีกด้วย นายไชยาคิดว่า ชาวนครปฐมโดยส่วนใหญ่ ตัดสินใจ เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากปัจจัย ตัวผู้สมัครเป็นสำคัญ จะเห็นได้จากที่ตนและกลุ่มได้รับการ เลือกตั้งในทุกสมัยมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นในขณะ ที่สังกัดพรรคเอกภาพหรือไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทย นอกจากนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ตนประสบผลสำเร็จการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเป็นเวลา20 ปี เป็นเพราะความ จริงจัง จริงใจ พบปะพูดคุยกับประชาชน ผู้นำชุมชน เข้าถึง ได้ง่าย จากที่ได้เปิดบ้านพักส่วนตัวเพื่อพบปะพูดคุยและรับรอง 86

รายงานผลการศึกษา ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกกลุ่มการเมือง ในวันที่ไม่มีภารกิจ ในตอนเช้าจนถึง 11 นาฬิกาของทุกวันแต่ในขณะหาเสียง เลือกตั้ง เคยได้พบอุปสรรคในการหาเสียงเลือกตั้ง โดย ประชาชนที่ให้การสนับสนุนแจ้งว่าได้รับใบปลิวใส่ร้ายว่าตน เป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งน่าจะมาจากคู่แข่งทางการเมือง นายไชยา อยากเห็นการเมืองในระดับประเทศมีการพัฒนามากขึ้นกว่า ปัจจุบัน โดยต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และอยาก ให้นักการเมืองและทุกคนยอมรับกติกาทางการเมือง เช่นเดียว กับตนที่พักบทบาททางการเมืองมาเป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้วตาม คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ นายไชยา นอกจากเป็นผู้บริหารพรรคเอกภาพใน ตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคแล้ว ยังเคยเป็นกรรมการบริหาร พรรค และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนมีบทบาทในการ กำหนดนโยบายและแนวทางที่สำคัญของพรรค ตลอดจนการ คัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค เป็นผู้ที่ผลักดันนโยบาย ที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภคภายในจังหวัดนครปฐม ทั้งไฟฟ้า ประปา ถนนหนทาง สะพานข้ามแม่น้ำ คคู ลองต่างๆ นายไชยา สะสมทรัพย์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 3 สมัย ด้วยกัน คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม สมัยนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้ง 2550 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงสาธารณสุข และต่อมาในปี 2551 ดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จึงมีโอกาสผลักดัน นโยบายที่สำคัญในระดับประเทศ ได้แก่ ขณะดำรงตำแหน่ง 87

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ให้กับผู้มีรายได้น้อยได้รับบริการทางสาธารณสุข อย่างทั่วถึง และขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พาณิชย์ ผลักดันโครงการพักหนี้เกษตรกร และผู้เป็นหนี ้ รายย่อย ประสบการณ์บนเส้นทางการเมืองสรุปได้ดังนี้ พ.ศ. 2523-2533 สมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม พ.ศ. 2533-2538 สมาชิกสภาเทศบาลเมืองนครปฐม พ.ศ. 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและรองเลขาธกิ ารพรรคเอกภาพ พ.ศ. 2541 ประธานกรรมาธิการการศึกษา พ.ศ. 2543-2544 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย พ.ศ. 2544-2551 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 88

รายงานผลการศึกษา พ.ศ. 2550 รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสมัยรัฐบาลนาย สมัคร สุนทรเวชและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สมัย รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ครอบครัวสะสมทรัพย์ดำเนินกิจการบริษัทกลุ่ม 79 จำกัด ซึ่งทำธุรกิจรับเหมาขนขยะจากโรงงานกำจัดขยะ ของกรุงเทพมหานครจากโรงงานกำจัดมูลฝอยหนองแขม เขตหนองแขมและสถานีขนถ่ายมูลฝอยท่าแร้ง เขตสายไหม ไปฝังกลบที่อำเภอกำแพงแสนจังหวัดนครปฐมโดยมีระยะเวลา สัมปทาน 10 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 นางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยา ยังเป็นน้องสาวของ ร้อยตำรวจเอกนายแพทย์มานัส ธุวนลิน อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดนครปฐม และผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาปี 2548 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายไชยาไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนางจุไร สะสมทรัพย์ ที่ถือหุ้นในบริษัท ทรัพย์ฮกเฮง จำกัด จำนวน 25,000 หุ้น มูลค่า 2.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 50 ของทุน จดทะเบียนทั้งหมดอันเป็นการถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ซึ่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 269 กำหนดให้ต้องแจ้งต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามทุจริตแห่งชาติว่าประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการ 89

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม ถือครองหุ้นดังกล่าวภายใน 30 วัน นับจากการเข้ารับตำแหน่ง เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ทำให้ประธานวุฒิสภามีหนังสือ ลงวันที่ 21 เมษายน 2551 ส่งคำร้องของนายประสาร มฤคพิทักษ์สมาชิกวุฒิสภาและคณะ รวม 36คน ขอให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสิ้นสุดลง เฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 269 หรือไม่ วันที่ 9 กรกฎาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายไชยา สะสมทรัพย์มีเจตนาปิดบังบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของภรรยา ฝ่าฝืนและกระทำการอันต้องห้ามตามบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญเป็นเหตุให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีแต่ก็ได้ดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อีกครั้งในสมัยรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายณรงค์ จิตติโภคา น า ย ณ ร ง ค ์ จ ิ ต ต ิ โ ภ ค า เกิดเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2463 มี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี เป็นบุตรนายโค้ว และนางลมูล สมรสกับนางอำพันธ์ มบี ตุ รชายคอื นายสทิ ธพิ ร จติ ตโิ ภคา และธิดาคือ นางรัตรภรณ์ ไทยคำ นายณรงค์จบการศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ประกอบ อาชีพ ครู เกษตรกร และค้าขาย เข้าสู่แวดวงการเมืองระดับ 90

รายงานผลการศึกษา ท้องถิ่น โดยเริ่มจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลขุนแก้ว ประธาน ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดนครปฐม สมาชิกสภาจังหวัด ประธานสภาจังหวัด ก่อนเข้าสู่การเมืองระดับชาติด้วยการ สนับสนุนจากชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านและพรรคชาติไทย ในขณะที่ นายณรงค์ สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐมครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 โดยอาศัยเครือข่ายผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มเกษตรกร โดยมีรูปแบบการหาเสียงด้วย การใช้ทั้งรถยนต์ และเรือ ประชาสัมพันธ์ไปตามถนน และ ลำคลอง ติดต่อประสานงานผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อพบปะ เยี่ยมเยียนชาวบ้านตามบ้าน และตามแหล่งชุมชน ถาม สารทุกข์สุขดิบ และใช้ทุนส่วนตัวเพื่อจัดหาสาธารณูปโภคให้ กับชาวบ้าน เช่น แจกน้ำตามถิ่นทุรกันดาร ลงถนนลูกรังตาม บริเวณถนนตัดเข้าหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากสังกัดพรรคชาติไทยและได้รับการเลือกตั้งแล้ว นายณรงค์เคยสังกัดพรรคประชากรไทย และเคยเป็นสมาชิก ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ปัจจุบัน นายณรงค์ถึงแก่กรรมแล้ว บุตรชายคือนายสิทธิพร เดินตามรอยบิดาด้วยการอยู่ในแวดวง การเมืองท้องถิ่น และได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด เช่นเดียวกัน 91

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม นายประยงค์ โมกขพันธ์ นายประยงค์ โมกขพันธ์เกิดเมื่อ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2460 มีภูมิลำเนา อยู่ที่ตำบลลำพญา อำเภอบางเลน บุตร นายชุ่ม โมกขพันธ์ สำเร็จการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เป็นกำนันตำบลลำพญาเป็นเวลากว่า 30 ปี ตั้งแต่อายุ 29 จนกระทั่ง 60 ปี และดำเนินธุรกิจค้าวัสดุ ทางการเกษตร สมรสกับนางบุญนาค มีบุตรธิดา 9 คน คือ นางเรณู นายอำพล อดีตสมาชิกสภาเทศบาลตำบลลำพญา นางวาสนา นายชูเกียรติ์ นางสาวชูชื่น นางสาวประภาพรรณ นางรัชนี นายธานินท์ และพันตำรวจโททินกร ในปี 2518 พันตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร ชักชวน ให้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งกำนันตำบลลำพญา และเป็นปีที่จะเกษียณอายุ ราชการ ประกอบกับตนมีประสบการณ์เป็นกำนันมาสามสิบปี และเห็นความสำคัญจึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก ในปี 2518 สังกัดพรรคชาติไทย รวมได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม 3 สมัย ดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม พรรคชาติไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม พรรคชาติไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 22 92

รายงานผลการศึกษา เมษายน 2522 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 15 เมื่อ วันที่ 18 เมษายน 2526 นายประยงค์ หาเสียงเลือกตั้งด้วยการออกพื้นที่ เยี่ยมเยียน พบปะสังสรรค์กับประชาชน สอบถามสารทุกข์ สุขดิบ และร่วมงานต่างๆ ในชุมชนอยู่เป็นประจำ ในช่วง หาเสียงเลือกตั้ง ออกตระเวนหาเสียงโดยใช้ทั้งรถและเรือ ใช้เอกสารแนะนำตัว แผ่นป้าย และการปราศรัยหาเสียง มีเครือข่าย ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล อาสาสมัคร นักธุรกิจ เกษตรกร แม่บ้าน ครู อาจารย์ ให้การสนับสนุน ปัจจัยที่ทำให้ประสบผลสำเร็จใน การเลือกตั้ง คือการอยู่ใกล้ชิดประชาชน รับรู้ปัญหาที่แท้จริง ของประชาชน และได้นำปัญหาไปสู่การแก้ไข ในสมัยนั้น ปัญหาส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากินของ เกษตรกร ชาวนา การคมนาคมยากลำบาก และปัญหาด้าน การชลประทาน อุปสรรคในการหาเสียงเลือกตั้งที่พบ ได้แก่ พรรค การเมืองคู่แข่งให้สินบน แจกเงินให้ประชาชน หัวคะแนน เลี้ยงอาหารและสุรา ฉายภาพยนตร์ รวมถึงต่อรองว่าถ้าได้รับ เลือกจะนำงบประมาณมาพัฒนาท้องถิ่นที่ได้คะแนน แต่ใน ขณะนั้น การแข่งขันทางการเมืองไม่รุนแรงนัก นายประยงค์ โมกขพันธ์ได้มีบทบาทเป็นกรรมการ บริหารพรรคชาติไทย ผลักดันโครงการเพื่อการพัฒนาจังหวัดใน 93

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม ด้านการชลประทาน การคมนาคม ขุดลอกคูคลอง ประชาชน มีน้ำใช้ และสัญจรไปมาได้สะดวก สร้างถนนเชื่อมต่อระหว่าง หมู่บ้าน และขยายเขตผู้ใช้ไฟฟ้าไปตามหมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมัยนายชาติชาย ชุณหะวัณ มีส่วนในการผลักดันนโยบายในระดับประเทศ ในด้านการพยุงราคาข้าวนาปรัง และนาปี การศึกษา การ ชลประทาน และการขยายเส้นทางคมนาคม นายประยงค์ โมกขพันธ์ ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อ อายุได้ 82 ปี นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์ นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์ เกิดเมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน 2493 มีที่พักอาศัยอยู่ใน ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง บุตร นายบุญ และนางหมุยเฮียง สำเร็จการ ศึกษานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย สำนักอบรมกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา และรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ สมรสกับนางเอมอร มีบุตรธิดา 2 คน คือ นาย แพทย์อดิศร และนางสาวศิวพร ปทุมารักษ์ ปัจจุบันนาย ประสิทธิ์ เป็นอัยการอาวุโส และเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม นายประสิทธิ์ เป็นน้องชายนายชาญชัย ปทุมารักษ์ ผู้ผลักดันให้เข้าสู่แวดวงการเมือง โดยเริ่มต้นจากการช่วยแก้ ปัญหาข้อกฏหมาย และงานที่เกี่ยวข้องกฎหมายให้กับผู้ที่ 94

รายงานผลการศึกษา เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับมีความต้องการช่วยสร้าง กลไกและแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับสังคมไทย นายประสิทธิ์ ไม่เคยผ่านการเมืองระดับท้องถิ่น แต่ เริ่มต้นที่การลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกตั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2543 และได้รับการเลือกตั้งในครั้งนั้น อาศัยกลยุทธ์ การบริการประชาชน โดยเฉพาะรับปรึกษาปัญหาข้อกฎหมาย พบปะประชาชน เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็น งานของสำนักงานอัยการ จึงทำให้พบปะประชาชนได้มาก และ ได้แนะนำให้ชาวบ้านรู้กฎหมาย เพื่อป้องกันการเอารัด เอาเปรียบ นอกจากนี้ ยังอาศัยเอกสารแนะนำตัว แผ่นป้าย จดหมาย สื่อสิ่งพิมพ์ และปราศรัยหาเสียง โดยมีเครือข่าย ที่ให้การสนับสนุนครอบครัวปทุมารักษ์ ได้แก่ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิก องค์การบริหารส่วนตำบล อาสาสม้คร แม่บ้าน เกษตรกร สื่อสารมวลชน ข้าราชการ ครู อาจารย์ นักศึกษา เป็นต้น ใน ระหว่างที่หาเสียงพบการซื้อเสียง การใช้อิทธิพลข่มขู่ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น การใช้เงินจูงใจผู้นำท้องถิ่น การเสนอผลประโยชน์ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ส่วนกลุ่มผลประโยชน์ในจังหวัด นครปฐม มีกลุ่มที่เอื้อให้กับผู้ค้ายาเสพติด ธุรกิจผิดกฏหมาย เช่น การพนัน หวยเถื่อน เป็นต้น นายประสิทธิ์ คิดว่า ชาวนครปฐมตัดสินใจเลือกผู้สมัคร รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากปัจจัยชื่อพรรค การเมืองที่สังกัด แต่เลือกสมาชิกวุฒิสภาจากการชี้นำของผู้นำ ท้องถิ่นเป็นหลัก และเชื่อว่า ความตั้งใจที่จะช่วยแก้ไขปัญหา 95

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตนประสบผลสำเร็จได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกวุฒิสภา ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2543-2549 ระหว่างดำรง ตำแหน่งได้มีบทบาทในการผลักดันโครงการที่สำคัญด้าน ยาเสพติด สิ่งแวดล้อม และกฎหมายต่างๆ และได้ดำรง ตำแหน่ง ประธานกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน วุฒิสภา ระหว่างปี 2547-2549 และที่ปรึกษากฎหมายประธาน วุฒิสภา ระหว่างปี 2546-2549 นายปัญญวัฒน์ (ประสานต์) บุญมี นายปัญญวัฒน์ บุญมี เดิมชื่อ ประสานต์ เป็นที่รู้จักในนาม “กำนัน ประสานต์” เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2483 มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง บุตรนายเฮง และนางเซี่ยง เฮียง บิดามารดามีอาชีพเกษตรกรนายปัญญวัฒน์จึงมีอาชีพ เดิมเป็นเกษตรกรตามบิดา ก่อนที่จะมาเป็นนักการเมืองเต็มตัว สำเร็จการศึกษาบริหารธุรกิจบัณฑิตจากวิทยาลัยทองสุข สมรสกับนางชนิสรา มีบุตรธิดา 6 คน คือ นายมานพ นายมารุต นางสาวมาลินี นายมานิตย์ นายมโนช และนางสาว ธนชนิต บุญมี นายปัญญวัฒน์เข้าสู่แวดวงการเมืองท้องถิ่นด้วยการ เริ่มต้นเป็นกำนันตำบลถนนขาด สมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม และเข้าสู่เส้นทางการเมืองระดับชาติ ด้วยการสนับสนุนของ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ให้ลงสมัครรับ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี 2526 และ 96

รายงานผลการศึกษา ประสบความสำเร็จได้รับการเลือกตั้งในครั้งแรกนั่นเอง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกเทศมนตรี นครปฐม นายสุนทร แก้วพิจิตร ซึ่งเป็นบิดานายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สังกัดพรรคชาติไทย นายปัญญวัฒน์ เคยสังกัดพรรคชาติไทย ไทยรักไทย และสุดท้ายย้ายมาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากชอบ นโยบายและหลักการของพรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 7 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 15 เมื่อ วันที่ 18 เมษายน 2526 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 17 เมื่อ วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 18 เมื่อ วันที่ 22 มีนาคม 2535 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 19 เมื่อ วันที่ 13 กันยายน 2535 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 97

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนกลุ่มที่ 7 พรรค ประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรค ประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายปัญญวัฒน์ พลาดจากการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฏร ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ทั้งๆ ที่ นายปัญญวัฒน์ ลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย ที่ได้รับ ชัยชนะอย่างท่วมท้นถึง 377 ที่นั่ง จนกระทั่งสามารถจัดตั้ง รัฐบาลได้ด้วยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว แต่พรรค ไทยรักไทยกลับก็ต้องเสียที่นั่งให้กับพรรคชาติไทยในจังหวัด นครปฐมไป 1 ที่นั่งในเขต 1 นายปัญญวัฒน์ ไม่สามารถ เอาชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้ ต้องพ่ายแพ้ให้กับนายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร ซึ่งเป็นบุตรชายอดีตนายกเทศมนตรีนครนครปฐม นายสุนทร แก้วพิจิตร ซึ่งมีเครือข่ายที่เข้มแข็งในเขตเมือง นครปฐม ในช่วงแรกของการเลือกตั้ง นายปัญญวัฒน์ลงสมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต จึงอาศัยกลยุทธ์โดยใช้ รถตระเวนหาเสียงเข้าไปตามหมู่บ้าน และลงเดินเข้าถึง ประชาชนเป็นหลัก และพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนอย่าง สม่ำเสมอมิได้ขาด ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ รับทราบปัญหา และ นำไปแก้ไข ชาวบ้านติดปากเรียกว่า กำนันประสานต์ มาโดย ตลอด และก็ชอบที่ประชาชนเรียกอย่างคุ้นเคยเช่นนั้น ภายหลัง 98

รายงานผลการศึกษา ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จึงต้อง อาศัยทีมงานจำนวนมากกระจายออกพบประชาชนให้ทั่วถึง ทั้งจังหวัด นอกจากนี้ ยังใช้เอกสารแนะนำตัว แผ่นป้าย และ การปราศรัยบนเวทีในการหาเสียงทุกครั้ง นายปัญญวัฒน์ ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มเกษตรกร ครู อาจารย์ ผู้สูงอายุ แม่บ้าน และนักศึกษา ให้ความช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากทุกพรรคที่ตนสังกัดในการ หาเสียงเลือกตั้ง นายปัญญวัฒน์มีความคิดเห็นว่า เนื่องจากนครปฐม เป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้และมีเขตติดต่อกับกรุงเทพมหานคร กระแสการเลือกตั้งในปัจจุบัน ไม่แตกต่างไปจากกรุงเทพฯ มากนัก นอกจากนี้ ชาวจังหวัดนครปฐม ยังให้ความสำคัญกับ กลุ่มการเมืองในจังหวัด ชาวนครปฐมตัดสินใจเลือกสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจากตัวผู้สมัคร คุณสมบัติของผู้สมัคร และชื่อ พรรคการเมืองที่สังกัด ส่วนปัจจัยที่ตนประสบความสำเร็จใน การเลือกตั้งถึง 7 สมัยนั้น เพราะมีความจริงใจให้กับประชาชน พบปะพูดคุย เมื่อทราบปัญหาก็ได้นำไปแก้ไข ประกอบกับ เครือข่ายต่างๆ ที่ให้การสนับสนุน ในระหว่างการหาเสียง เลือกตั้งแต่ละสมัย พบอุปสรรคจากที่ผู้สมัครคู่แข่งใช้เงินเป็น ตัวชี้นำผลการเลือกตั้ง นายปัญญวัฒน์ได้สนับสนุนให้บุตรชายคนโต นาย มานพ บุญมี เป็นสมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม และในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2550 สนับสนุนบุตรชาย 99

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม คนรอง นายมารุต บุญมี(ภาพที่ 13) ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฏรในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมา มีการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนนาย สมพัฒน์ แก้วพิจติ รท่ีพ้นจากตำแหนง่ จากคำสง่ั ศาลรฐั ธรรมนญู ให้ยุบพรรคชาติไทยนายปัญญวัฒน์จึงส่งนายมารุต บุญมี ลงสนามเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ในนามพรรคประชาธิปัตย ์ ซึ่งประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ได้รับเลือกตั้งซ่อมเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครปฐม ในปี 2552 แทนนาย สมพัฒน์ แก้วพิจิตร ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งห่างหายไป จากการมีที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดนครปฐมถึง 4 สมัย เป็นเวลา 14 ปี สามารถกลับมาได้เก้าอี้ในจังหวัด นครปฐมอีกครั้ง นับตั้งแต่สมัยของนายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้าเมื่อปี 2538 ซึ่งชัยชนะในครั้งนี้ น่าจะเกิดจาก2ปัจจัยคือ ปัจจัยแรก กระแสพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชวี ะ หวั หนา้ พรรค และนายชวน หลกี ภยั อดตี หวั หนา้ พรรค ลงพื้นที่ช่วยหาเสียง และปัจจัยที่สอง คือ ความคว่ำหวอด ทางการเมืองของนายปัญญาวัฒน์ บุญมี ที่เป็นนักการเมือง ระดับชาติหลายสมัย ภาพท่ี 13 นายมารุต บญุ มี บตุ รชายนายปญั ญวัฒน์ บุญม ี 100

รายงานผลการศึกษา นอกจากการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับ ประชาชนแล้ว นายปัญญวัฒน์ มีบทบาทในการบูรณะ องค์พระปฐมเจดีย์ ผลักดันนโยบายและโครงการด้าน สาธารณูปโภค และการกินดีอยู่ดีของประชาชนในระดับชาติ มีบทบาทเป็นกรรมการบริหารพรรค มีส่วนในการคัดเลือก ผู้สมัครของพรรค เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ กรรมาธิการศาสนาและศิลปวัฒนธรรม นายปัญญวัฒน์กล่าวว่า ตราบใดที่ยังใช้เงินและอิทธิพล ก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ดีขึ้น ต้องอาศัยการ ให้ความรู้ ความเข้าใจ ให้มากที่สุดในการเลือกผู้แทนราษฎรไป ทำหน้าที่ในสภาฯ โดยส่วนตนนั้น มีความภูมิใจในการเข้าสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ที่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสแล้วพบว่า มีหลักการ ในการทำงานเป็นระบบดีมาก นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2492 มีภูมิลำเนาเดิมที่ตำบลพระปฐม เจดีย์ ที่พักอาศัยปัจจุบันอยู่ที่ ตำบลธรรมศาลาจบการศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย เซนต์หลุยส์สหรัฐอเมริกาและศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขา รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อาชีพนักธุรกิจเป็น บุตรชายคนโตของตระกูลสะสมทรัพย์ ซึ่งมีพี่น้องร่วมกัน 4 คน 101

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม เปน็ พช่ี ายของนายไชยยศ นายไชยา และนายอนชุ า สะสมทรพั ย์ พี่น้องทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับแวดวงการเมืองด้วยกันทั้งสิ้น นายเผดิมชัยสมรสกับนางอุไรวรรณ สะสมทรัพย์ มีบุตรธิดา ทั้งหมด 5 คน คือ พันตรีสุขชาติ นางสาวสุรัชดา นางสาว สุรัชวดี นางสาวสุพีภัสร์ และนางสาวสุภัสรา ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2529 แท้จริงแล้วนายเผดิมชัยมีความตั้งใจจะกลับมาเป็น อาจารย์ แต่เมื่อมารดาล้มป่วยจึงตัดสินใจทำธุรกิจของ ครอบครัว และเมื่อทำธุรกิจได้ 2 ปี ขณะนั้น น้องชายคือนาย ไชยา เป็นบุคคลในครอบครัวคนแรกที่เข้าสู่วงการเมือง โดยเป็น สมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม ได้นำเรื่องการเมืองเข้ามาพูดคุย ในครอบครัว และมีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ ประกอบกับตนมีอุดมการณ์ที่พร้อมจะช่วยเหลือชาวจังหวัด นครปฐม และประชาชนทั่วประเทศ จึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางการ เมืองด้วยอีกคนหนึ่ง โดยลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครปฐมครั้งแรกในปี 2531 นายเผดิมชัยดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 7 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค ก้าวหน้า ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค เอกภาพ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 19 เมื่อ วันที่ 13 กันยายน 2535 102

รายงานผลการศึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค เอกภาพ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 21 เมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 5 พรรค ไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 5 พรรค ไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค พลังประชาชน ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 5 พรรค เพื่อไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 25 เมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ในการหาเสียงเลือกตั้ง นายเผดิมชัยเชื่อว่าการเข้าถึง ประชาชนด้วยตนเองเป็นวิธีที่ดีที่สุดจึงใช้กลยุทธ์การเข้าถึง ประชาชน และผู้นำชุมชน เนื่องจากภาครัฐไม่ได้ส่งเสริม ประชาธิปไตยเท่าที่ควร จึงนำตัวเองเข้าถึงประชาชน พบปะพูด คุยกับประชาชนภายในจังหวัดโดยตลอด การหาเสียงเลือกตั้ง ในอดีต ผู้สมัครต้องหาภาพยนตร์ ลิเกมาให้ชาวบ้านดู แล้วจึง ปราศรัยให้ชาวบ้านรู้ว่ามีผลงานอะไร และมีแนวคิดหรือ แนวทางช่วยเหลือประชาชนอย่างไร นอกจากนี้ ก็อาศัยวิธีการ 103

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม โดยทั่วไป ได้แก่ แจกเอกสารแนะนำตัว ใช้รถตระเวนหาเสียง ติดแผ่นป้ายหาเสียง เป็นต้น และยังอาศัยเครือข่ายที่มี ความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งของครอบครัวได้แก่ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกองค์การบริหาร ส่วนตำบล กลุ่มสื่อสารมวลชน และนักศึกษา นายเผดิมชัย คิดว่าชาวนครปฐมตัดสินใจเลือกสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจากคุณสมบัติของผู้สมัครและการชี้นำของ ผู้นำในท้องถิ่นเป็นสำคัญ ปัจจัยที่ส่งผลให้ตนประสบผลสำเร็จ ได้รับการเลือกตั้ง มาจากครอบครัว บิดามารดา และพี่น้อง ครอบครัวสะสมทรัพย์ เครือข่ายผู้นำชุมชน ตลอดจนผล ที่บ้านใหญ่ (คำที่ชาวนครปฐมเรียกครอบครัวสะสมทรัพย์) ได้ช่วยเหลือคนจน ผู้ด้อยโอกาส ผู้ถูกเอาเปรียบ และมีความ เดือดร้อน ที่เข้ามาหาที่พึ่ง ในระหว่างหาเสียงพบอุปสรรค ได้แก่ มีผู้ปล่อยข่าวลือสร้างความเสียหาย ผ่านผู้นำชุมชน มีใบปลิวโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี แต่เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่คู่แข่ง ต้องการได้ชัยชนะ และไม่ใส่ใจ เพราะยึดถือว่า นักการเมือง ที่สร้างคุณงามความดี จะสามารถเอาชนะสิ่งอื่นๆ ทั้งปวง นายเผดิมชัยเป็นผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกผู้สมัครรับ เลือกตั้งสภาผู้แทนราษฏรของพรรค และเป็นกรรมการบริหาร พรรค ผลักดันโครงการที่สำคัญของจังหวัดนครปฐม ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรีหลายแห่ง ถนนเชื่อมต่อหมู่บ้าน หลายสาย มีบทบาทผลักดันนโยบายระดับประเทศ ได้แก่ การ ให้โอกาสผู้ต้องโทษ ให้ได้รับการฝึกอมรมฝีมือแรงงาน เป็นต้น 104

รายงานผลการศึกษา นายเผดิมชัย ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่สำคัญสรุป ได้ดังนี้ รองประธานกรรมาธิการคมนาคม ประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายเผดิมชัย กล่าวว่า ตนจะทำงานเพื่อตอบแทน ประชาชนที่ให้ความไว้วางใจ อยากให้ทุกพรรคมองไปที่จุด เดียวกัน คือ “สร้างและพัฒนาประเทศ” นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า เกิดเมื่อ วันที่ 12 มกราคม 2498 บุตรชายกำนัน ยมและนางสมบุญ เปี่ยมคล้า บิดาเป็น ผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกว้างขวางของ ชาวจังหวัดนครปฐมในอดีต มีภูมิลำเนา เดิมในอำเภอเมือง ปัจจุบันอาศัยอยู่ ตำบลลำเหย อำเภอดอนตูม จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ปีที่ 6 แล้วเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่สถาบันราชภัฏ นครปฐม ประกอบอาชีพเลี้ยงม้าแข่ง สมรสกับนางจรรยา ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว มีธิดา 5 คน คือ นางสาวอุษา นางสาว กัลยารัตน์ นางสาวนพศร นางสาวศิริยา และนางสาววิฑิต 105

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม บุคคลในครอบครัวทั้งพี่ชายและน้องชายล้วนแล้วแต่อยู่ใน แวดวงนักการเมืองท้องถิ่นทั้งสิ้น ได้แก่ นายวิเชียร นายวิชัย และนายมิชชั่น เปี่ยมคล้า เป็นสมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม และนายมานพเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวังตะกู จังหวัดนครปฐม นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้านั้นเป็นเสมือนบุตรบุญธรรมของ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ด้วยในอดีตกำนันยมเป็นผู้มีความ ชำนาญในการเลี้ยงม้าแข่งพันธุ์ดี ทำหน้าที่ดูแลม้าให้กับพลเอก ฉลาด หิรัญศิริ นายพรศักดิ์จึงอาศัยอยู่กับพลเอกฉลาด ได้ พบเห็นภาพการหาเสียงของท่าน ได้ซึมซับภาพเหล่านี้ตั้งแต่ยัง เยาว์วัย ประกอบกับแรงบันดาลใจจากบิดา จึงทำให้สนใจเข้าสู่ วงการเมืองนอกจากนี้ นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้ายังได้รับความ เมตตากรุณาจากพลเอกกฤษณ์ สีวะราและพลเอกอาทิตย์ กำลังเอกอีกด้วย นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า เริ่มต้นเข้าสู่วงการเมืองในระดับ ท้องถิ่นโดยเริ่มจากสมาชิกสภาจังหวัดในปี 2523 ต่อมา ได้ลง สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดนครปฐมครั้งแรกในปี 2535 สังกัดพรรคชาติไทย เขต 1 คู่กับกำนันประสานต์ บุญมี แต่ในครั้งนั้น ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งในเขต 1 ซึ่งมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 2 คน คือ กำนันประสานต์ บุญมี จากพรรค ชาติไทย และนายสราวุธ นิยมทรัพย์ จากพรรคความหวังใหม่ จึงผันตนเองกลับมาดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัดนครปฐม ในระหว่างปี พ.ศ. 2536-2537 ก่อนลงสมัครรับเลือกอีกครั้งในปี 2538 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็น 106

รายงานผลการศึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก นายพรศักดิ์จึงได้ดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม พรรคประชา- ธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 20 เมื่อ วันที่ 2 กรกฎาคม 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 3 พรรค ไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 ก่อนการเลือกตั้งในปี 2544 นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า ย้าย จากพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำพา ของพลตำรวจตรเี สวก ปน่ิ สนิ ชยั ซง่ึ เปน็ เพอ่ื นสนทิ กบั พนั ตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย โดยเบื้องต้น ทราบว่า ตระกูลสะสมทรัพย์ที่ยุบพรรคเอกภาพ และจะเข้าพรรค ประชาธิปัตย์ แต่สุดท้ายตระกูลสะสมทรัพย์ก็เข้าไทยรักไทย เช่นเดียวกัน ในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคไทยรักไทย จึงมี ผู้สมัครทั้งจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนครปฐมทั้ง 5 คน ซึ่งเคยอยู่ต่างพรรค ได้แก่ สะสมทรัพย์ ปทุมารักษ์ เปี่ยมคล้า และบุญมี ซึ่งได้กลับกลายมาเป็นพันธมิตรทาง การเมืองกัน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดกระแสความนิยมในพรรค ไทยรักไทยของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัด นครปฐม สังกัดพรรคไทยรักไทยในขณะนั้น ขอลาออกจาก ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขตเลือกตั้ง ที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 ลงสมัครชิงตำแหน่ง 107

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐมเพื่อถ่วงดุลอำนาจ ทางการเมืองในจังหวัดนครปฐม โดยแข่งขันกับนายพเยาว์ เนียะแก้ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตระกูลสะสมทรัพย์ แต่ นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้าก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้ดุลอำนาจ ทางการเมืองในจังหวัดนครปฐมโดยส่วนใหญ่ หลังจากนั้นมา เป็นของสะสมทรัพย์ และเครือข่าย ต่อมา ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 23 และ 24 ในปี พ.ศ. 2548 และ 2550 นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร จังหวัดนครปฐม สังกัดพรรค ชาติไทย แต่พรรคชาติไทยก็ได้เพียง 1 ที่นั่งจากนายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดนครปฐม นายพรศักดิ์หาเสียงเลือกตั้งด้วยการพบปะประชาชน โดยตลอด เลี้ยงดูกันบ้างตามหมู่บ้านในช่วงที่ไม่ใช่การหาเสียง เลือกตั้ง มีคำคมในการหาเสียงว่า “พูดจริง ใจถึง พึ่งได้” สมาชิกสภาผู้แทนฯ ส่วนใหญ่ใช้งบ ส.ส. ในการซื้อลูกรังลงถนน ตามหมู่บ้าน แต่นายพรศักดิ์ นำไปซื้อรถบัสให้กับโรงเรียนใน จังหวัดนครปฐม และสนับสุนทางด้านการศึกษา เพราะเห็นว่า เปน็ พน้ื ฐานทส่ี ำคญั อาศยั เครอื ขา่ ยผนู้ ำชมุ ชน กำนนั ผใู้ หญบ่ า้ น สมาชิกสภาจังหวัด กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่มเกษตรกร แม่บ้าน ครู อาจารย์ ช่วยหาเสียง นอกจากนี้ ยังหาเสียงด้วยวิธีแจกเอกสารแนะนำตัว แผ่นป้าย ให้รถ ตระเวนหาเสียง และการปราศรัยบนเวที ในสมัยนั้น เคย พบเห็นผู้สมัครใช้เงินซื้อเสียงตั้งแต่หัวละ 50 บาท และในที่สุด ก็ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งเขาเป็นผู้ที่เกลียดการใช้เงินซื้อเสียง และ 108

รายงานผลการศึกษา ผู้ที่ใช้เส้นทางการเมืองมากอบโกย และโกงชาติบ้านเมืองเป็น อย่างยิ่ง นายพรศักดิ์คิดว่า ชาวนครปฐมเลือกผู้สมัครจากตัว บุคคล ปัจจัยที่ส่งผลให้ตนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง คือความจริงใจ ตรงไปตรงมา เขากล่าวว่า “ถ้าทุกคนลงสมัคร และไม่ใช้เงินซื้อเสียง ผมคิดว่าสู้ความจริงใจ ใจถึง ของผม ไม่ได้” นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้ามีบทบาทในการคัดเลือกผู้สมัคร ของพรรค สนับสนุนการศึกษา โครงการและสาธารณูปโภคใน จังหวัดนครปฐม เคยดำรงตำแหน่งกรรมาธิการคมนาคม ปัจจุบันยุติบทบาททางการเมือง เนื่องจากโกหกไม่เป็น ไม่สร้าง ภาพ หลังจากที่ได้สัมผัสมาหลายพรรคโดยส่วนตัวมีความ ศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีอุดมการณ์ทางการเมือง อยากเห็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับชาติมีความ ซื่อสัตย์และจริงใจ นายรัฐกร เจนกิจณรงค์ นายรัฐกร เจนกิจณรงค์ เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2508 มีภูมิลำเนาอยู่ในตำบลพระปฐม- เจดีย์ อำเภอเมือง จบการศึกษา ปริญญาตรีศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปริญญาโทสาขารัฐประศาสน- 109

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม ศาสตร์ มีอาชีพเป็นนักธุรกิจ เติบโตมาในครอบครัวค้าขาย บิดามารดา คือ นายเป๋งฮ้อ แซ่จัง และนางง้อ แซ่โง้ว สมรสกับ นางสำเนียง มีบุตรธิดา 3 คืน คือ นางสาวมาริษา นางสาว กนกวรรณ และนายพงศกร นายรัฐกรเป็นคนแรกของครอบครัว ที่เข้าสู่แวดวงทางการเมือง นายรัฐกร เข้าสู่การเมืองท้องถิ่นก่อนด้วยการเป็น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม และต่อมาได้ดำรง ตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม ได้รับ การสนับสนุนจากครอบครัวสะสมทรัพย์ และนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัดพเยาว์ เนียะแก้ว นายรัฐกรกล่าวว่า เขาก้าว เข้าสู่แวดวงทางการเมืองด้วยแรงบันดาลใจและความพร้อมที่ ต้องการช่วยเหลือสังคม จึงเริ่มเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ในปี 2549 แล้วจึงลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2550 และ ได้รับการเลือกตั้ง นายรัฐกรได้รับการเลือกตั้งให้ดดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 2 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค พลังประชาชน ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค เพื่อไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 25 เมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ในการหาเสียงเลือกตั้ง นายรัฐกร อาศัยกลยุทธ์การ เข้าถึงประชาชน และความสนิทสนมคุ้นเคยที่มีอยู่กับผู้นำ 110

รายงานผลการศึกษา ชุมชน เป็นช่องทางในการลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชน โดยเดิน ลงพื้นที่พร้อมกับผู้นำชุมชน สอบถามสารทุกข์สุขดิบ และ ปัญหาความต้องการของประชาชน นอกจากนั้น ยังอาศัยการ แจกเอกสารแนะนำตัว แผ่นป้ายโฆษณาหาเสียง และใช้ พาหนะตระเวนหาเสียง นายรัฐกรมีอาศัยทุกเครือข่ายที่มีอยู่ในการหาเสียง เลือกตั้ง ได้แก่ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภา จังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล นักธุรกิจ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเกษตรกร กลุ่มสื่อสารมวลชน ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ในการช่วยหาเสียงเลือกตั้ง นายรัฐกรเห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ในการเลือกตั้ง คือ นโยบายพรรคเพื่อไทยที่โดนใจประชาชน การลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ การรับฟังความเดือดร้อนของ ประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยการประสาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา เช่น องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ทางหลวงชนบท กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น มีส่วน ช่วยอย่างมากที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง นายระวัง เนตรโพธ์ิแก้ว นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2483 มี ภูมิลำเนาอยู่ในตำบลท่าตำหนัก อำเภอนครชัยศรี เป็นบุตรกำนันล้วน และนางจรูณ เนตรโพธิ์แก้ว จบการ 111

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม ศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ปริญญาโทและปริญญาเอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์ อดีตรับราชการเป็นอาจารย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สมรสกับ นางลัดดา เนตรโพธิ์แก้ว มีบุตรธิดารวม 5 คน คือ ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.อัศวิน นางสาวสรวีย์ นางสาวชญาพรรธน์ แพทย์หญิงเนตรา และนางสาวการะเกตุ เนตรโพธิ์แก้ว ดร.ระวัง เป็นผู้ที่มีความชอบ ความสนใจ และความ มุ่งมั่นทางด้านการเมืองเป็นชีวิตจิตใจ ชอบการทำงานที่ท้าทาย ความรู้ความสามารถ ทำงานเพื่อส่วนรวม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ในขณะที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ชอบ สนทนาทางการเมืองกับคณาจารย์ นักศึกษา และนักการเมือง ท้องถิ่น ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่แวดวงทางการเมืองด้วยการ สนับสนุนจาก พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายชาญชัย ปทุมารักษ์ และนายศราวุธ นิยมทรัพย์ ดร.ระวัง สมัครเข้ารับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฏร 6 ครั้ง ในปี 2534 สังกัดพรรคปวงชนชาวไทย ปี 2535 ปี 2538 ปี 2539 พรรคสามัคคีธรรม ปี 2544 บัญชีรายชื่อพรรค ไทยรักไทย และปี 2554 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค สามัคคีธรรม ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 112

รายงานผลการศึกษา 6 มกราคม 2544 ซึ่งได้เลื่อนบัญชีรายชื่อแทนคณะรัฐมนตรี ดร.ระวัง ยังเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดนครปฐมในปี 2543 และ 2549 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ดร.ระวัง หาเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีออกพบปะเยี่ยมเยียน ตามบ้าน ชุมชน และงานที่ประชาชนจัดขึ้น เข้าร่วมกิจกรรม งานประเพณีต่างๆ มิได้ขาด เช่น งานบุญงานกุศล งานศพ และงานรื่นเริงที่ประชาชนจัดขึ้น อาศัยเป็นเวทีแนะนำตัวเอง และสนทนาพูดคุยทางการเมือง นอกจากนั้น ยังอาศัยการแจก เอกสารแนะนำตัว สื่อสิ่งพิมพ์ แผ่นป้าย และพาหนะตระเวนหา เสียง อาศัยเครือข่ายผู้นำชุมชน ครู อาจารย์ นักศึกษา นักสื่อสารมวลชน และแม่บ้าน ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยความเป็นนักวิชาการ จึงศึกษาและมีการปรับ เปลี่ยนกลยุทธ์ในการหาเสียงเลือกตั้งในการหาเสียงแต่ละครั้ง โดยศึกษาจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสังคม กระแสการเมือง เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตลอดจน ความต้องการและแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นที่สอดคล้องกับ ความเจริญที่เกิดขึ้น ดร.ระวัง ให้ความเห็นว่า ชาวนครปฐมเลือกสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรโดยอาศัยหลายปัจจัยผสมผสานกัน ทั้งตัวและ คุณสมบัติของผู้สมัคร ชื่อและนโยบายของพรรคการเมืองที่ สังกัด การชี้นำของผู้นำในท้องถิ่น สื่อ และคำนึงถึงประโยชน์ที่ จะได้รับตอบแทน ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ตนได้รับการเลือกตั้ง คือ การที่ตนรักษาชื่อเสียง เกียรติภูมิ อย่างมั่นคง มีความจริงใจกับ ชุมชน ช่วยเหลือเกื้อกูล แก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของ 113

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับชื่อเสียงและนโยบายของ พรรคการเมืองที่ตนสังกัด และการเข้าถึงชุมชนของตน ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พบว่ามีการใส่ร้ายป้ายสี การสร้างข่าว กล่าวหาโจมตีให้เสื่อมเสีย การใช้อิทธิพลโยงใย ไปถึงนักการเมืองท้องถิ่นและการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ ต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง กลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในจังหวัด นครปฐม เห็นได้ชัดจากงบประมาณองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่จัดสรรไปยังองค์กรปกครองส่วนตำบลต่างๆ ก่อให้เกิดบุญคุณ ต้องทดแทนต่อกัน อีกทั้งการที่ท้องถิ่นมีข้าราชการการเมือง จำนวนมาก เกิดการทำงานซ้ำซ้อน แยกไม่ออกว่าพื้นที่ใด ใครรับผิดชอบ ด้วยเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านการศึกษาจึงได้รับ มอบหมายให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ รองประธานกรรมาธิการแปรญัตติพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ รองกรรมาธิการการพาณิชย์ และมีส่วน ร่วมกำหนดนโยบายที่สำคัญของพรรค ในระหว่างที่ดำรง ตำแหน่งมีส่วนผลักดันนโยบายกองทุนหมู่บ้าน การปราบปราม ยาเสพติด การศึกษาด้านอาชีวศึกษา การยกร่างพระราช- บัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ 41 แห่งทั่วประเทศเป็น มหาวิทยาลัย และงานด้านการศึกษาในจังหวัดโดยเฉพาะการ จัดเขตพื้นที่ทางการศึกษาเมื่อปี 2546 และการเสนอเพื่อขอให้ สนับสนุนจังหวัดนครปฐมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับชาติ และ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในปีเดียวกันนั้นเอง 114

รายงานผลการศึกษา ปัจจุบัน ดร.ระวัง เนตรโพธิ์แก้ว เป็นข้าราชการบำนาญ ยังสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม ครั้งล่าสุด (2554) เขตเลือกตั้งที่ 4 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน 31,455 คะแนน เป็นลำดับที่ 2 รองจากนายอนุชา สะสมทรัพย์ ซึ่งได้คะแนน 43,717 คะแนน จึงไม่ได้รับการ เลือกตั้ง และยังได้สนับสนุนบุตรชาย คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว ซึ่งเป็นอาจารย์ ที่มีความสนใจ เส้นทางการเมืองเข้าสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อพรรครักษ์สันติอีกด้วย นายสมชาติ พรรณพัฒน์ นายสมชาติ พรรณพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2490 มีที่พักอาศัยอยู่ในอำเภอ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็น บุตรชายนายเลี้ยง และนางซิ่วกี แซ่เฮ้ง สำเร็จการศึกษาระดับ อุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัย Aligarh Muslim ประเทศอินเดีย มีอาชีพเป็นนักธุรกิจ สมรสกับนางรจนา มีบุตรธิดา 4 คนคือ นางสาวซะบีนา นางสาวรสริน นายภัทนันท์ และนางสาว ณัฐนิชา นายสมชาติไม่เคยดำรงตำแหน่งนักการเมืองท้องถิ่น มาก่อน ไม่เคยสังกัดพรรคใด ด้วยเป็นผู้ที่ความสนใจทาง การเมือง จึงพบปะพูดคุยแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนฝูงและ ประชาชนทั่วไปในดานการเมืองอยู่เป็นประจำ และมีแรง 115

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม บันดาลใจจากที่ได้เห็นสิ่งที่บกพร่อง ไม่ทัดเทียมกันทางสังคม จึงมีความประสงค์จะทำงานการเมืองให้กับประเทศชาติ ด้วยต้องการเห็นความเสมอภาคทางสังคม จึงสมัครเข้ารับการ เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อ พ.ศ. 2551 และได้รับการเลือกตั้ง ในการหาเสียงเลือกตั้ง อาศัยการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนกับประชาชนตามบ้านและชุมชน แสดงความ ซื่อสัตย์ สุจริต ชูประเด็นรักชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ และการกลั่นกรองกฏหมายให้มีความเท่าเทียมและเสมอภาค อาศัยการเข้าร่วมในเวทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัด นครปฐมจัดขึ้นเพื่อแนะนำตัว และแสดงวิสัยทัศน์ทุกครั้ง และได้รับการสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้งจากผู้นำชุมชน และญาติสนิทมิตรสหาย นายสมชาติ เป็นน้าชายของนายไชยา สะสมทรัพย์ จึงได้เครือข่ายทางการเมืองสนับสนุนของ ครอบครัวสะสมทรัพย์ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ได้รับ ความสำเร็จในการเลือกตั้ง ในระหว่างดำรงตำแหน่งได้ทำงานในหน้าที่ประธาน กรรมการจริยธรรมวุฒิสภา และประธานที่ปรึกษาคณะ กรรมการจริยธรรม อยากเห็นนักการเมืองมีความซื่อสัตย์สุจริต ต่อประชาชนที่เลือกเข้ามา และต่อประเทศชาติ และมีการ ตรวจสอบฝ่ายบริหารที่เข้ามาทำงานอย่างจริงจังและด้วยความ สุจริตใจ 116

รายงานผลการศึกษา นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร น า ย ส ม พ ั ฒ น ์ แ ก ้ ว พ ิ จ ิ ต ร เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2504 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัด นครปฐม เป็นบุตรชายนายสุนทร และนางอรดี แก้วพิจิตร สำเร็จ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยรัฐศาสตรบัณฑิต สาขาการเมือง การปกครองจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และปริญญาโท บริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแซมฟอร์ด สหรัฐอเมริกาสมรสกับนางกนกวลี แก้วพิจิตร มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ นายวรัตน์ นายกษิดิษฐ์ และนายภูมิพัฒน์ กำลัง ศึกษาเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาและมัธยมศึกษา ก่อนเข้ารับ สมัครรับเลือกตั้งมีอาชีพนักธุรกิจ ครอบครัวดำเนินธุรกิจด้าน การขนส่งและธุรกิจโรงแรมในจังหวัดนครปฐม คือ บริษัท ดาวอรพรรณ จำกัด บริษัท สหพัฒนพันธุ์ จำกัด บริษัท สห- อรพรรณ จำกัด และโรงแรมเวล บิดาของนายสมพัฒน์นายสุนทร แก้วพิจิตร เป็นอดีต นายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครปฐมหลายสมัย เป็นผู้ที่ คร่ำหวอดทางการเมืองในจังหวัดนครปฐม และนอกจากนั้น ยังเป็นนายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครปฐมนอกจากนาย สมพัฒน์สำเร็จการศึกษาทางด้านรัฐศาสตร์ ทำให้เกิดความ สนใจทางการเมืองแล้ว บิดาเป็นผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจและ ผลักดันให้นายสมพัฒน์เข้าสู่แวดวงการเมือง เนื่องจากเห็นบิดา 117

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม ทำงานการเมืองท้องถิ่นมาโดยตลอด นายสุนทร นอกจาก วางเส้นทางการเมืองให้นายสมพัฒน์แล้วยังได้สนับสนุนบุตร ชายอีก 2 คนเข้าสู่เส้นทางการเมือง คือ พันโทสินธพ แก้วพิจิตร จนกระทั่งได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดนครปฐม เขต 1 ในการเลือกตั้งปี 2554 และนายเสรินทร์ แก้วพิจิตร น้องชาย นายสมพัฒน์ เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครปฐม นายสมพัฒน์ เริ่มต้นจากการเข้าสู่การเมืองท้องถิ่น ด้วยการเป็นกำนันตำบลถนนขาด โดยนำความรู้ความสามารถ ที่ได้ศึกษามา ประกอบกับความตั้งใจจริงในการทำงาน จนกระทั่งเป็นที่รักใคร่นับถือของคนในชุมชน ก่อนเข้าสู่เส้น ทางการเมืองในระดับประเทศ ด้วยการสนับสนุนของนาย บรรหาร ศิลปอาชา พรรคชาติไทย ทำให้มีบทบาทเป็นกรรมการ บริหารพรรคชาติไทย มีส่วนในการคัดเลือกผู้สมัครของพรรค และกำหนดนโยบายที่สำคัญของพรรค นายสมพัฒน์ดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น4 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 20 เมื่อ วันที่ 2 กรกฎาคม 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 21 เมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 23 เมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 118

รายงานผลการศึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 24 เมื่อ วันที่ 23 ธันวาคม 2550 นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร คนเดียว สังกัดพรรคชาติไทย ที่แย่งเก้าอี้ของพรรคไทยรักไทย/ พลังประชาชนในเขตนครปฐมได้ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2548 และ 2550 มีความสัมพันธ์อันดี กับหัวหน้าพรรค นายบรรหาร ศิลปอาชา จนในที่สุดได้เก้าอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในคณะ รัฐมนตรีในชุดของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชจนกระทั่งสมัย ของนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และต้องพ้นจากตำแหน่ง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคชาติไทยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 นายสมพัฒน์อาศัยการทำงานกับประชาชนมาโดย ตลอด เข้าพบปะชาวบ้านด้วยตนเองอยู่เป็นประจำ ประกอบกับ มีเพื่อนสนิทมิตรสหายเป็นผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาล จึงมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในเขต อำเภอเมือง นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายในกลุ่มสตรี แม่บ้าน เกษตรกร สื่อสารมวลชน ครู อาจารย์ และนักศึกษา ใช้กลยุทธ์ หลักในการหาเสียงด้วยการพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนด้วย ตนเองในทุกยุคสมัยที่หาเสียงเลือกตั้งประกอบกับการแจก เอกสารแนะนำตัว ใช้พาหนะตระเวนหาเสียง แผ่นป้ายโฆษณา เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และยังได้รับการสนับสนุนจากพรรค ชาติไทยในการปราศรัยหาเสียง เนื่องจากเป็นประเพณีที่พรรค 119

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม ชาติไทยจะต้องจัดปราศรัยหาเสียงในโค้งสุดท้ายของการ เลือกตั้งบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ซึ่งทำให้ได้รับคะแนนและความสนใจจากประชาชนในเขต อำเภอเมืองเป็นอย่างมาก นายสมพัฒน์เห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลให้ได้รับความสำเร็จ ในการเลือกตั้ง คือ มีทุนทางสังคมจากบิดาและมารดาที่ทำงาน ทั้งทางด้านสังคมและการเมืองในเทศบาลนครนครปฐมมาก่อน ความใกล้ชิดที่ตนมีกับประชาชนและผู้นำชุมชน และคุณภาพ การทำงานทางเมืองของตนทั้งในระดับจังหวัดและในระดับ ประเทศ โดยเฉพาะด้านการศึกษาโดยเฉพาะการอาชีวศึกษา ในจังหวัดนครปฐม เป็นผู้มีส่วนผลักดินการปลูกปาล์มซึ่งเป็น พืชพลังงานทดแทนในเขตสปก. การพัฒนาที่ดินให้เกษตรกร ได้ใช้ประโยชน์ การวิเคราะห์ดินและปลูกพืชให้เหมาะสมกับ บริเวณพื้นที่ เป็นต้น ประสบการณ์ทางการเมืองสรุปได้ดังนี้ พ.ศ. 2538 ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2540-2541 ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ พ.ศ. 2541-2543 เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 120

รายงานผลการศึกษา พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมพัฒน์คิดว่า ชาวนครปฐมส่วนใหญ่ ตัดสินใจ เลือกผู้สมัครจากตัวผู้สมัคร คุณสมบัติของผู้สมัคร และชื่อ พรรรคการเมืองที่สังกัด ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องพบปะชาวบ้าน ให้มากที่สุด และเข้าถึงได้ง่าย เขาพบว่า ในอดีต สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐมมีการเปลี่ยนหน้าไปประมาณ ร้อยละ 30 ขึ้นอยู่กับต้นทุนทางสังคม และการสั่งสมความดีที่ได้ ทำไว้ เขาเห็นว่าทิศทางการเมืองไทยในอนาคตจะเป็นระบบ สองพรรคเช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ถึงแม้ว่าเขาพ้นจาก ตำแหน่งเนื่องจากคำสั่งยุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่ คิดขอให้มีนิรโทษกรรมทางการเมือง อยากเห็นการลดความ ขัดแย้งในสังคม และความโปร่งใสในการทำงานเพื่อประโยชน์ ส่วนรวมเป็นหลักของนักการเมือง นายสราวุธ นิยมทรัพย์ นายสราวุธ นิยมทรัพย์ เกิดเมื่อ วันที่ 26 ตุลาคม 2479 ภูมิลำเนาอยู่ใน ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันมีที่พักอาศัย อยู่ที่ตำบลลำเหย อำเภอดอนตูม เป็น บุตรชายนายบุญเสริม และนางสมศรี นิยมทรัพย์ ซึ่งทำธุรกิจด้านอุตสาหกรรม นายสราวุธสมรสกับ 121

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม นางอรุณี มีอาชีพเป็นพยาบาล มีบุตรธิดา 3 คน คือ เรือเอก ถิระ นายสุดแดน และนางสาวสรัญญา นิยมทรัพย์ นายสราวุธ นิยมทรัพย์ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และได้รับ ก า ร อ บ ร ม ห ล ั ก สู ต ร ก า ร เ ม ื อ ง ก า ร ป ก ค ร อ ง ใ น ร ะ บ อ บ ประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่น 4 จากสถาบัน พระปกเกล้า มีอาชีพทนายความ เคยทำงานในสำนักงาน ทนายความเสนีย์ ปราโมช มีสำนักงานทนายความชื่อ “สราวุธ และเพื่อน”เคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม และมหาวิทยาลัยศิลปากร และเคยเป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปัจจุบันเป็นแกนนำพันธมิตร นครปฐม และเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ที่มีนาย สนธิ ลิ้มทองกุลเป็นหัวหน้าพรรค มีน้องสาวชื่อพนิดา ปทุมารักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็น น้องสะใภ้ของนายชาญชัย ปทุมารักษ์ ด้วยสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ รับการฟูมฟักมาว่า “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอน ให้รักประชาชน” ประกอบกับการทำงานในอาชีพทนายความ กับสำนักงานทนายความเสนีย์ ปราโมช ทำให้นายสราวุธ ได้สัมผัสกับปัญหา และการถูกเอารัดเอาเปรียบของชาวบ้าน เป็นต้นว่า เรื่องที่ดิน ข้าราชการไม่ได้รับความเป็นธรรม โดย เฉพาะการเป็นทนายความของสมาคมชาวไร่อ้อยทำให้เห็น ชาวไร่อ้อยถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบในเรื่องราคาอ้อย จึงอยาก 122

รายงานผลการศึกษา ให้เกิดความเป็นธรรมและเสนอกฏหมายการประกันราคา และ เห็นชาวไร่อ้อยในประเทศออสเตรเลีย มีความกินดีอยู่ดี มีกฎหมายคุ้มครองเกษตรกร จึงมีแนวคิดนำกฎหมายของ ออสเตรเลียมายกร่างดัดแปลง เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ นายสราวุธมีความสนใจทางการเมือง จึงสมัครเข้าเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2517 โดยเริ่มต้นได้เป็นสมาชิกสภา เทศบาลเมืองนครปฐมในปี 2516-2517 แล้วจึงก้าวมาสู่ เทศมนตรีเทศบาลเมืองนครปฐม และได้ลาออกเพื่อสมัครรับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐมในปี 2518 นายสราวุธ นิยมทรัพย์ ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 5 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม พรรค ประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม พรรค ประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ประชากรไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 16 เมื่อ วันที่ 27 กรกฎาคม 2529 123

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 1 พรรค ความหวังใหม่ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 ภายหลังการเลือกตั้งครั้งที่ 15 พรรคประชากรไทย โดย หัวหน้าพรรค นายสมัคร สุนทรเวช ขับนายสราวุธ นิยมทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม ออกจากพรรคเมื่อ 10 มกราคม 2528 เพราะเกิดความขัดแย้งในด้านความคิดกับ หัวหน้าพรรคที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเรื่องการ เพิ่มค่าโดยสารรถเมล์ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนั้น นายสราวุธ เป็นเลขานุการกรรมาธิการคมนาคม จึงลาออกจาก พรรคประชากรไทย และตัดสินใจสมัครรับการเลือกตั้งซ่อม สังกัดพรรคชาติไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2528 และให้ข้อมูลกับชาวจังหวัดนครปฐม ว่า หากตนทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องเลือกตนเข้าสภาผู้แทน ราษฎร แต่หากตนทำหน้าที่ที่ผ่านมาดีและถูกต้อง ก็ขอให้ ชาวนครปฐมให้โอกาสตนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า ได้รับ คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น และได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเช่นเดิมการเลือกตั้งครั้งนี้ได้บ่งชี้ว่าประชาชน จังหวัดนครปฐมให้ความสำคัญแก่บุคคลมากกว่าระบบพรรค สร้างความประทับใจให้กับนายสราวุธ จึงพยายามทำหน้าที่ อย่างดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน โดยขณะทำหน้าที่มีกระทู้ถามรัฐบาลมาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในเรื่อง ข้าว และอ้อย ปี พ.ศ. 2549 นายสราวุธผันตัวเองมาสมัครสมาชิก วุฒิสภา เนื่องจากมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับพรรคการเมือง 124

รายงานผลการศึกษา และได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา จังหวัด นครปฐมในปี พ.ศ. 2549 อีกสมัยหนึ่ง กลยุทธ์หลักที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง คือ การเข้าถึง และได้พบปะกับประชาชนโดยตรง โดยอาศัยเครือข่ายเพื่อน นักเรียนโรงเรียนภาษาจีน และที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของ สมาคมจีนทุกสมาคมในจังหวัดนครปฐม ผนวกกับนายสราวุธ มีเชื้อสายจีนและสามารถพูดภาษาจีน จึงเป็นที่ยอมรับของ พ่อค้าและแม่ค้าในจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีชาวจีนอยู่เป็นจำนวน มาก อีกทั้งได้บารมีของมารดาที่เป็นผู้ที่ชอบทำบุญและบริจาค สาธารณกุศล และเป็นแม่ดีเด่นของชาติ ทำให้เป็นที่รู้จักของ ประชาชนทั่วไป และนายสราวุธเองในขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ก็ได้กลับมาช่วยมารดาค้าขายในช่วงปิดเทอม โดยตลอด จึงเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน อีกทั้งภรรยาที่เป็น พยาบาลหัวหน้าตึกศัลยกรรม โรงพยาบาลนครปฐม ทำให้มี เครือข่ายแพทย์ พยาบาล และคนไข้ ประกอบกับการปราศรัย บนเวทีย่อย โดยมีผู้ช่วยในการปราศรัย คือ มารดา ภรรยา บุตร ธิดา และน้องสาว คือนางพนิดา ปทุมารักษ์ กลยุทธ์การ หาเสียงแต่ละครั้งอาศัยความจริงใจของตน แต่ละครั้งอาจมีการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ เช่น ผู้อื่นลงลูกรังตามถนนไว้ นายสราวุธ จะต่อยอดที่ผู้อื่นทำไว้ เช่น ปรับถนน นำน้ำส่าเหล้าลาด ไม่ให้ ฝุ่นฟุ้งกระจาย และนอกจากเครือข่ายหลักซึ่งเป็นนักธุรกิจแล้ว ยังมีเครือข่ายเกษตรกร สื่อสารมวลชน สตรี แม่บ้าน ครู อาจารย์ นักศึกษา เป็นต้น ซึ่งนายสราวุธยังเป็นเจ้าของ หนังสือพิมพ์ประชามติ และได้อาศัยเป็นกระบอกเสียงเรื่อยมา จะสังเกตได้ว่า นายสราวุธไม่ได้อาศัยเครือข่ายนักการเมือง 125

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม ท้องถิ่นในการหาเสียงเลือกตั้งเลยและนายสราวุธเห็นว่าการ ซื้อเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครอื่นนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในขณะที่ นายสราวุธหาเสียงเลือกตั้งเลยเพราะประชาชนเกิดความ ศรัทธา ในความตั้งใจในการทำงานของตน นายสราวุธให้ความเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลให้ตนประสบ ความสำเร็จในการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นเพราะการพบปะ ประชาชนโดยตลอด มีความจริงใจ และตั้งใจจริง ช่วยเหลือ ชาวบ้านมาตลอด โดยนำปัญหาของชาวบ้านเข้าสู่สภาผู้แทน ราษฎร หรือองค์กรที่สามารถช่วยเหลือได้ ถึงแม้ตนจะเปลี่ยน พรรคการเมืองที่สังกัดมาหลายพรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ประชากรไทย ความหวังใหม่ และพรรคการเมืองใหม่ แต่ตนก็มี จุดยืนทางการเมือง มีแนวความคิดที่ยึดถือความถูกต้อง เป็นหลัก ไม่นิยมใช้เงิน ผู้แทนประชาชนหากมีคุณภาพ ถือว่า เป็นการทำหน้าที่ที่ดีที่สุด ต้องมีจุดยืนเคียงข้างประชาชนใน ทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำงานเพื่อพรรคการเมือง ภายหลังจึงผันตน เองมาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา นายสราวุฒิเห็นว่า ปัจจุบัน ชาวจังหวัดนครปฐมตัดสินใจเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยปัจจัยที่แตกต่างจากการเลือกสมาชิกวุฒิสภา กล่าวคือ ตัดสินใจเลือกสมาชิกวุฒิสภาจากคุณสมบัติของผู้สมัคร แต่ ตัดสินใจเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากผลประโยชน์ที่ได้รับ ตอบแทน และผู้สนับสนุนหรือเครือข่ายต่างก็เป็นกลุ่ม ผลประโยชน์ และมีผลประโยชน์ร่วมด้วย นายสราวุธ นิยมทรัพย์ เคยเป็นรองเลขาธิการพรรค ประชากรไทย เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการประจำสำนักนายก 126

รายงานผลการศึกษา รัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2519ในสมัยนายกรัฐมนตรีเสนีย์ ปราโมช ประธานกรรมาธิการตรวจการประชุมตามมติวุฒิสภา กรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตของวุฒิสภา และมีบทบาท สำคัญในการผลักดันกฏหมายที่สำคัญหลายฉบับ อาทิเช่น พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย กฎหมายประกันสินค้า และพืชผลทางการเกษตร กฎหมายกรรมการการเลือกตั้ง กฎหมายสมาคมชาวไร่อ้อย เป็นต้นปัจจุบัน นายสราวุธ ประกอบอาชีพทนายความ ประกอบกับเป็นพิธีกรรายการ ทีวีช่องดาวเทียม และวิทยากรรับเชิญ นายสราวุธกล่าวว่า บนชีวิตบนถนนทางการเมืองได้ทำ หน้าที่ตัวแทนประชาชน ตลอดจนผลักดันการออกกฏหมายที่ สำคัญ เพื่อประโยชน์ประชาชนมาพอสมควรแล้ว ที่ผ่านมาตน ขาดโอกาสในการเข้าสู่ตำแหน่งบริหาร เนื่องจากไม่มีเงิน เข้าพรรค อยากเห็นนักการเมืองรุ่นใหม่เป็นนักการเมืองที่ดี เป็น คนดี มีความรู้ ความสามารถ มีจิตวิญญาณ มีกติกา รู้รัฐธรรมนูญ มีจริยธรรม และเห็นว่าเป็นบทบาทของสถาบัน การศึกษาที่จะต้องให้ความรู้ประชาชน และอบรมให้ผู้นำ ท้องถิ่นมีจริยธรรม เพื่ออนาคตการเมืองที่ดีกว่าเดิม นายอนุชา สะสมทรัพย์ นายอนุชา สะสมทรัพย์ เกิดเมื่อ วันที่ 2 มีนาคม 2497 มีภูมิลำเนาเดิมที่ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จบ การศึกษาระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ 127

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครปฐม สวนดุสิตและระดับปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขา สังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเป็นบุตรชายคนสุดท้องของครอบครัว สะสมทรัพย์ สมรสกับนางสุมลรัตน์ สะสมทรัพย์ มีบุตรธิดา ทั้งหมด 4 คน คือ นายอนุรัตน์ นายพงศรัตน์ นายทัศพงศ์ และ นายทัศเทพ นายอนุชาเข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วยทุกคนในครอบครัว ทำงานทางการเมือง และตนเองมีความปรารถนาที่จะทำงานรับ ใช้สังคมและประชาชนโดยเฉพาะในจังหวัดนครปฐม โดยไม่ได้ เริ่มที่นักการเมืองท้องถิ่น แต่กลับเริ่มในสนามใหญ่ระดับชาติ ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งวุฒิสภาจังหวัดนครปฐม ในการ เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อ 19 เมษายน 2549 และประสบ ความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกของการลงสนามเลือกตั้งในระดับชาติ หลังจากนั้น ยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก 2 สมัยดังนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 พรรค พลังประชาชน ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 4 พรรค เพื่อไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 25 เมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายอนชุ า อาศยั การใกลช้ ดิ กบั ชาวบา้ น เขา้ ถงึ ประชาชน สอบถามปัญหาและความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ประกอบกับการหาเสียงโดยทั่วไป ได้แก่ แจกเอกสารแนะนำตัว 128

รายงานผลการศึกษา สิ่งพิมพ์ต่างๆ แผ่นป้ายโฆษณา ใช้พาหนะตระเวนหาเสียง และ การปราศรัยบนเวที และอาศัยเครือข่ายผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภา จังหวัด กลุ่มนักธุรกิจ เกษตรกร สื่อสารมวลชน ครู อาจารย์ นักศึกษา และแม่บ้าน ช่วยในการหาเสียง ประกอบกับกิจกรรม ต่างๆ ของพรรคในชุมชน เช่นการให้ความรู้ และทักษะอาชีพ กับคนในชุมชน ช่วยให้ได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้ง นายอนุชา กล่าวว่า กลุ่มสะสมทรัพย์ ไม่เคยรับปัจจัย เงินสนับสนุนจากพรรคการเมืองที่สังกัด ใช้ทุนส่วนตัวในการหา เสียงเลือกตั้งมาโดยตลอด ชาวนครปฐมตัดสินใจเลือกผู้สมัคร รับเลือกตั้งจากตัวผู้สมัคร ปัจจัยที่ส่งผลให้ได้เขารับการเลือกตั้ง คือ ครอบครัวสะสมทรัพย์ และความจริงใจที่มีต่อประชาชน ในระหว่างที่หาเสียงเลือกตั้ง พบว่ามีใบปลิวใส่ร้ายป้ายสีในทาง ที่เสื่อมเสีย นายอนุชา เป็นผู้ที่มีบทบาทและมีส่วนในการคัดเลือก ผู้สมัคร มีส่วนผลักดันโครงการเพื่อการพัฒนาจังหวัดนครปฐม ได้แก่ การขุดลอกคูคลองระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม สะพานลอย ข้ามแยกหนองขาหยั่ง และมีส่วนผลักดันนโยบายในระดับ ประเทศด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม 129



บ4ทท ่ี สรุปผลการศึกษา สรุปภาพรวมการเมืองในจังหวัด นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จังหวัดนครปฐมได้ผ่านการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 25 ครั้ง และเลือกสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครปฐมรวม 3 ครั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐมมาจากพรรคการเมือง 20 พรรค รวม 32 คน เป็นเพศชายทั้งสิ้น ส่วนสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดนครปฐม 6 คน เป็นชาย 5 คน และหญิงเพียง 1 คน ซึ่ง เป็นน้องสาวและน้องสะใภ้ของอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครปฐมที่ได้รับการเลือกตั้งหลายสมัย โดยส่วนใหญ่ มีอาชีพเป็นนักธุรกิจ เติบโตมาจากการเมืองระดับท้องถิ่น

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม สมาชิกสภาจังหวัด หรือมีเครือข่ายที่เข้มแข็งในระดับท้องถิ่น เป็นเครือญาติหรือได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่มีเครือข่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐมที่ได้รับเลือกตั้งมาก ที่สุดคือ 9 สมัย คือ นายชาญชัย ปทุมารักษ์ ก่อน พ.ศ. 2526 นั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นครปฐมนั้น เป็นผู้สมัครอิสระ หรือมิฉะนั้นก็มาจาก หลากหลายพรรค ได้แก่ ธรรมาธิปัตย์ เสรีมนังคศิลา สหภูมิ ส ห ป ร ะ ช า ไ ท ย ฟ ื ้ น ฟู ช า ต ิ ไ ท ย ธ ร ร ม ส ั ง ค ม ช า ต ิ ไ ท ย ประชาธิปัตย์ กิจประชาธิปไตย และชาติประชาชน แต่จากการ เลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน 2526 เป็นต้นมาจะเริ่มเห็นว่า ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฏรของจังหวัดนครปฐมมีแนวโน้มตกเป็นของ พรรคชาติไทยเพิ่มมากขึ้น โดยการนำของนายชาญชัย ปทุมารักษ์ พรรคชาติไทยได้ถึง 3 จาก 4 ที่นั่ง ต่อมาในการ เลือกตั้งครั้งถัดมาในปี 2529 พรรคก้าวหน้า โดยนายไชยยศ สะสมทรัพย์ ได้รับการเลือกตั้ง และทำให้ผลการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฏรครั้งถัดจากนั้นคือ พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา โดยส่วนใหญ่ แล้วตกเป็นของ 1) นายชาญชัย ปทุมารักษ์ จาก พรรคชาติไทย (ภายหลังย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย) และ 2) คนในตระกูลสะสมทรัพย์ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปสังกัดพรรคใด ก็ตาม (ก้าวหน้า เอกภาพ ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย) นอกจากนั้นก็มีนายประสานต์ บุญมี และนายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร ที่ได้รับการเลือกตั้งบ้างสลับกันไป ในช่วง พ.ศ. 2476– 2525 นั้น นักการเมืองที่ได้รับการ เลือกตั้งไม่ได้สังกัดพรรค หรือมิฉะนั้นก็มาจากพรรคการเมือง 132

สรุปผลการศึกษา หลากหลายพรรค เริ่มจาก พ.ศ. 2526-2543 นักการเมืองที่ได้รับ การเลือกตั้งส่วนใหญ่สังกัดพรรคชาติไทยและพรรคเอกภาพ และตั้งแต่ พ.ศ. 2544 เป็นต้นมานักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้ง สังกัดพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนับจาก พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา เป็นผู้สมัคร กลุ่มเดิมไม่ว่าสังกัดพรรคใดก็ได้รับการเลือกตั้ง โดยสมาชิก สภาผู้แทนราษฏรจังหวัดนครปฐมจากการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง มาจากพรรคการเมืองมากกว่าหนึ่งพรรค ยกเว้นการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 ซึ่งเกิดกระแสความนิยมพรรคไทยรักไทยของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทยจึงได้สมาชิกสภา ผู้แทนจังหวัดนครปฐมถึง 5 คน โดยผู้ได้รับการเลือกตั้งก็ยังคง เป็น กลุ่มตระกูลปทุมารักษ์ ตระกูลสะสมทรัพย์ และเครือข่าย สรุปประเด็นสำคัญตามวัตถุประสงค์การวิจัย จากการศึกษานักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดนครปฐม สรุปประเด็นสำคัญตามวัตถุประสงค์การวิจัยได้ดังนี้ บทบาทของนักการเมือง นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฏรและสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครปฐมที่มีบทบาทในระดับ ประเทศ โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดนครปฐม ที่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยฯ อยู่หลายราย ด้วยกัน ดังต่อไปนี้ 133

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครปฐม 1. นายชาญชัย ปทุมารักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรีในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา 2. นายไชยยศ สะสมทรัพย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลังสมัยนายทักษิณ ชินวัตร 3. นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงแรงงาน สมัยรัฐบาลนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง คมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย 4. นายไชยา สะสมทรัพย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสมัย รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 5. นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช 134

สรุปผลการศึกษา นักการเมืองที่มีบทบาทในการผลักดันนโยบายในระดับ ประเทศ เป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เช่น นายไชยยศ สะสมทรัพย์ ผลักดันนโยบายประเทศไทยสู่ครัวโลก เป็นต้น ส่วนบทบาทในการพัฒนาจังหวัดนครปฐมนั้น โดยส่วนใหญ่ อยู่ในลักษณะการนำงบประมาณมาลงในพื้นที่ นักการเมืองในจังหวัดนครปฐมที่เป็นกรรมการบริหาร พรรคและมีบทบาทในการคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม ได้แก่ นักการเมืองในกลุ่ม ครอบครัวสะสมทรัพย์ นายชาญชัย ปทุมารักษ์ นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร และนายปัญญวัฒน์ บุญมี พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกต้ัง ก่อน พ.ศ. 2526 นั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นครปฐมนั้น เป็นผู้สมัครอิสระ หรือมิฉะนั้นก็มาจากหลากหลาย พรรค ได้แก่ ธรรมาธิปัตย์ เสรีมนังคศิลา สหภูมิ สหประชาไทย ฟน้ื ฟชู าตไิ ทย ธรรมสงั คม ชาตไิ ทย ประชาธปิ ตั ย์ กจิ ประชาธปิ ไตย และชาติประชาชน แต่จากการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน 2526 เป็นต้นมาจะเริ่มเห็นว่า ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฏรของ จังหวัดนครปฐมมีแนวโน้มตกเป็นของพรรคชาติไทยเพิ่มมากขึ้น โดยการนำของนายชาญชัย ปทุมารักษ์ พรรคชาติไทยได้ถึง 3 จาก 4 ที่นั่ง ต่อมาในการเลือกตั้งครั้งถัดมาในปี 2529 พรรค ก้าวหน้า โดยนายไชยยศ สะสมทรัพย์ ได้รับการเลือกตั้ง และ ทำให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรครั้งถัดจากนั้นคือ พ.ศ. 2531 เป็นต้นมาโดยส่วนใหญ่ แล้วตกเป็นของ 1) นาย ชาญชัย ปทุมารักษ์ จากพรรคชาติไทย (ภายหลังย้ายมาสังกัด 135