Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู หลักภาษาฯ ม.1

คู่มือครู หลักภาษาฯ ม.1

Published by Gong Gong, 2021-02-28 10:43:54

Description: ของ อักษรเจริญทัศน์ นะครับ

Search

Read the Text Version

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นักเรยี นคัดเลอื กรายการเชิงสารคดที ่ีมโี อกาส ๔) มารยาทการพดู มนษุ ยไ์ มส่ ำมำรถดำ� รงชวี ติ อยไู่ ดต้ ำมลำ� พงั ยอ่ มตอ้ งมเี ครอื่ งมอื ทใ่ี ชต้ ดิ ตอ่ ไดร บั ชม ใชค วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั ส่ือสำรเพื่อถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด หรือบอกควำมต้องกำรของตนแก่ผู้อื่น ซ่ึงกำรพูดถือเป็นหนึ่ง การพูดเลาเร่อื งและการพดู แสดงความคดิ เหน็ ในเคร่ืองมือท่ีมนุษย์เลือกใช้ กำรพูดท่ีประสบผลส�ำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหำสำระเพียงประกำรเดียว เชงิ สรา งสรรค บูรณาการรวมกัน รางบทพูด แตย่ งั รวมถงึ มำรยำทของผพู้ ดู อกี ดว้ ย โดยแบง่ มำรยำททจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั ใิ นกำรพดู ออกเปน็ ๒ รปู แบบ ดงั นี้ เพอื่ นาํ มาถายทอดใหครูและเพ่อื นๆ ฟง โดย เลาเร่ืองและแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั เร่อื ง ๔.๑) การพูดระหว่างบุคคล เม่ือพบบุคคลท่ีรู้จักย่อมต้องทักทำยกันเพ่ือแสดงไมตรีที่ดี ในประเดน็ ตา งๆ ทไ่ี ดจ ากการสงั เกต ผา น ตอ่ กัน สอ่ื สำรดว้ ยถ้อยค�ำสภุ ำพ ไม่หยำบคำย ไมโ่ ออ้ วด ยกตนขม่ ทำ่ น หลีกเล่ียงกำรถำมเร่อื งสว่ นตวั มมุ มองความคดิ ของตนเอง เชน สาระ หรือถำมในเรื่องท่ีคู่สนทนำไม่สบำยใจที่จะตอบ ไม่พูดเฉพำะเรื่องของตน แต่ควรฟังในขณะท่ีผู้อ่ืน การดาํ เนนิ รายการ เปน ตน พรอ มทัง้ วเิ คราะห พูด ไม่พูดแทรกในขณะที่ผู้อ่ืนก�ำลังแสดงควำมคิดเห็น รู้จักกล่ำวค�ำขอบคุณ ขอโทษให้เหมำะสมกับ ความนา เชื่อถอื ของเน้อื หาสาระตอนที่รับชม สถำนกำรณ์ เม่ือสนทนำกับผใู้ หญ่ ควรให้เกยี รติ ใหค้ วำมเคำรพ สำ� รวมกริ ิยำอำกำรใหส้ ุภำพเรียบร้อย พูดดว้ ยน�ำ้ เสียงทน่ี ่มุ นวล ไม่โตเ้ ถียง หรอื ไมพ่ ูดแทรกในขณะที่ผใู้ หญ่ก�ำลงั พูด 2. นกั เรยี นรว มกนั ตงั้ เกณฑเ พอ่ื กาํ หนดลกั ษณะทดี่ ี ของการพูดแสดงความคดิ เหน็ เชิงสรา งสรรค ๔.๒) การพูดในท่ีสาธารณะ ผู้พูดต้องรักษำมำรยำทให้มำกกว่ำกำรพูดระหว่ำงบุคคล เกย่ี วกับเรื่องทฟ่ี งและดู เพื่อใชป ระเมินการพดู เพรำะกำรพูดในที่สำธำรณะย่อมมีผู้ฟังมำกกว่ำ และมีควำมแตกต่ำงทั้งด้ำนอำยุ กำรศึกษำ ค่ำนิยม ของตนเอง รวมถงึ เพอื่ นๆ ในชนั้ เรยี น และใชเ ปน ผ้พู ดู สำมำรถนำ� มำรยำทในกำรพดู ระหว่ำงบุคคลมำปรบั ใชไ้ ด้ แตค่ วรปฏิบตั ิเพ่ิมเตมิ ในส่วนทเี่ ก่ียวขอ้ ง แนวทางปรบั ปรงุ แกไ ขในคร้งั ตอ ไป ซ่งึ คาํ ตอบ กบั กำรแต่งกำยใหส้ ุภำพเรยี บรอ้ ย ไปถึงสถำนทพี่ ูดก่อนเวลำเลก็ นอ้ ยเพือ่ เตรียมควำมพรอ้ ม ในขณะท่ี ของนกั เรียนควรครอบคลมุ ประเดน็ ดังตอไปน้ี พูดต้องไม่พำดพิงเร่ืองส่วนตัวของผู้อื่นในที่ประชุม พูดด้วยเสียงดัง ชัดเจน ให้ได้ยินท่ัวถึงกัน (แนวตอบ ใชน้ ำ�้ เสยี งทสี่ ภุ ำพ ไมพ่ ดู เกนิ เวลำทกี่ ำ� หนด นอกจำกนค้ี วรใหค้ วำมสำ� คญั กบั ผฟู้ งั ดว้ ยกำรกวำดสำยตำมอง • เปน เรื่องท่ีนาสนใจ เกิดขึ้นจริงและเปน อย่ำงทว่ั ถงึ ไมจ่ ับจ้องไปทผ่ี ู้หน่ึงผู้ใด หรอื จ้องมองอยำ่ งไร้จุดหมำย รวมถงึ ไมน่ ำ� ปมดอ้ ย พฤตกิ รรมของ ประโยชนต อ ผูฟ ง ผอู้ ่นื มำพูดลอ้ เลียนในท่ปี ระชุม • ผพู ดู มีกลวิธกี ารพดู แสดงความคดิ เห็น การฟัง การดู และการพูดในชีวิตประจÓวันต้องอาศัยการฝึกฝนและสั่งสม เปน ลําดับข้ัน โดยเริ่มจากการกลาวทักทาย ประสบการณอ์ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง ถอื เปน็ กระบวนการสะสมความรอู้ ยา่ งหนงึ่ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ผฟู ง เกริ่นนาํ ใหเหน็ ความสาํ คญั ของเร่ือง เมื่อได้ฟังและดูแล้วควรจะสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย ระบแุ หลงทม่ี า แสดงความคดิ เห็น วเิ คราะห ดงั นนั้ กอ่ นการพดู ควรพจิ ารณาเนอื้ หา ตลอดจนการใชภ้ าษาอยา่ งประณตี และพจิ ารณา ความนาเชื่อถือของเร่ืองไดโดยมเี หตุผล วา่ จะก่อใหเ้ กดิ ผลแกผ่ ู้ฟังอยา่ งไร สรปุ จบทา ยประทับใจใหแ งค ดิ แกผูฟ ง ใชนาํ้ เสียง ทา ทางหรอื ส่อื ไดสอดคลอง กบั เร่ือง • ใชภาษาในเชิงสรา งสรรคเ พอ่ื แสดงความ คดิ เห็นและมมี ารยาทในการพดู ) คาํ ตอบของนกั เรยี นอาจมปี ระเดน็ มากกวา ท่ยี กตวั อยางใหอ ยใู นดลุ ยพนิ จิ ของครู 92 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ สถานการณทกี่ ําหนดตอ ไปนี้ สําหรบั ครอู า นใหน กั เรียนฟง เพอ่ื ใหนักเรียน นักเรยี นวเิ คราะหสถานการณวา “ขวัญใจ ประเมนิ ความนาเชอื่ ถอื ปฏิบตั กิ จิ กรรมทปี่ รากฏทางดานขวามือ ของโฆษณานน้ั อยางไร จงึ เกิดปญหาในลกั ษณะดังกลา ว” แสดงผลการ วิเคราะหข องตนเองในรูปแบบใบความรเู ฉพาะบคุ คล สงครู “ขวัญใจ ชมโฆษณาครมี ทาผิวย่ีหอ lady beauty คําโฆษณาระบุไววา ‘ทําให ผิวขาวกระจา งใส สดชื่น กระชบั นุม นวลเหมอื นเดก็ แรกเกิด เหน็ ผลทนั ใจภายใน กจิ กรรมทาทาย 1 สัปดาห ผา นการวิจยั จากสถาบันที่มีช่ือเสยี งของสหรัฐอเมริกา จากการทดสอบ พบวา ผูใช 100 เปอรเ ซน็ ตพ ึงพอใจ lady beauty สิง่ ดีๆ ท่ีคุณคคู วร’ ขวัญใจ นักเรยี นศกึ ษาวา จะมีวิธีหรือแนวทางการประเมนิ ความนา เชือ่ ถือ จงึ ไปซื้อครมี มาใชท นั ที ผา นไป 1 สัปดาห ผวิ ของขวญั ใจเริ่มบาง เปน ผ่นื แดง และ ของสารท่มี ีเนื้อหาโนมนา วใจอยางไรเพื่อไมใหเ กิดปญ หาดงั เชนขวญั ใจ ไมส ามารถถูกแสงแดดได มผี ลกระทบตอการดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั ขวัญใจจงึ ไป แสดงผลการศึกษาของตนเองในรูปแบบใบความรเู ฉพาะบคุ คล สง ครู พบแพทยเฉพาะทาง เพ่อื รักษาอาการดังกลาว เสียเงินคารกั ษาพยาบาลไปเปน จาํ นวนมาก จนปจจบุ นั นอ้ี าการยังไมห ายขาด” กอ นเกบ็ ใบความรู ครูสุมเรยี กช่ือ นกั เรียนกิจกรรมละ 3-5 คน ออกมานาํ เสนอผลการวิเคราะหและผลการศึกษา ของตน ซง่ึ ผลจากการปฏิบตั กิ จิ กรรมจะทาํ ใหน ักเรียนมองเหน็ แนวทางการประเมิน ความนาเช่อื ถือของสารทม่ี ีเน้อื หาโนมนา วใจ โดยเฉพาะอยางย่งิ “โฆษณา” 92 คู่มอื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คําถาม ประจําหนวยการเรยี นรู 1. นักเรยี นออกมาพดู สรุปใจความสาํ คัญเก่ยี วกับ เนือ้ หาสาระตอนทเี่ ลอื กจากรายการตา งๆ ๑. สอื่ ใดทจี่ ัดว่�มอี ทิ ธิพลต่อก�รใชช้ ีวติ ประจำ�วันของนกั เรยี นม�กที่สุด จงอธบิ �ย พร้อมยกตัวอย่�งประกอบ 2. นักเรียนออกมาพูดเลา เรอื่ งทไ่ี ดมีโอกาสฟง และ ดจู ากสื่อตางๆ ๒. ก�รพูดจับใจคว�มส�ำ คัญจ�กก�รฟังและดสู ่อื ต�่ งๆ ควรมหี ลกั ก�รอย�่ งไรบ้�ง ๓. ก�รพดู เล�่ เร่อื งท่ดี ีควรคำ�นึงถึงสิง่ ใดบ้�ง 3. นกั เรียนออกมาพูดเลา เรอื่ งและแสดงความ ๔. ลกั ษณะเด่นของภ�ษ�ที่ใชใ้ นก�รพูดเชงิ วิช�ก�รคอื อะไร คิดเหน็ เกยี่ วกับเร่อื งท่ฟี งและดูจากรายการ ๕. ก�รพูดในโอก�สใดที่มกั ใชภ้ �ษ�อย่�งเป็นท�งก�ร ทีเ่ ลือกตามความสนใจ พรอมทง้ั วเิ คราะห ความนา เชือ่ ถอื ของเรอ่ื ง 4. นักเรียนแตล ะกลมุ ออกมานําเสนอรายงาน เชิงวชิ าการในประเดน็ ที่เลอื กศึกษาจากการฟง การดู และสนทนา 5. ครตู รวจสอบการพดู หรือรางบทพูดของนกั เรียน โดยพิจารณาใหสอดคลอ งกับเกณฑท ี่นกั เรียน รว มกนั กาํ หนดขึน้ ภายใตค าํ แนะนาํ ของครู 6. นกั เรยี นตอบคําถามประจําหนว ยการเรยี นรู กจิ กรรม สรางสรรคพ ัฒนาการเรียนรู หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมที่ ๑ นักเรยี นแบ่งกลุ่มฟังและดูสื่อจ�กร�ยก�รต่�งๆ ท�งโทรทัศนห์ รือวทิ ยุ 1. รา งบทพดู สรุปใจความสาํ คญั จากเรอ่ื งท่ีฟง กิจกรรมที่ ๒ แลว้ จบั ใจคว�มสำ�คญั เพ่อื เล่�ใหเ้ พื่อนฟงั หน�้ ชน้ั เรียน และดู ความยาวไมเ กนิ 1 นาที นกั เรียนพดู เล่�เร่ืองจ�กประสบก�รณค์ นละ ๑ เร่ือง หน�้ ชนั้ เรยี น เช่น กิจกรรมท่ี ๓ ■ ก�รผจญภัยในค�่ ยลูกเสอื 2. รา งบทพูดเลา เรอื่ งทไ่ี ดมโี อกาสฟง และดจู าก กิจกรรมที่ ๔ ■ รว่ มกิจกรรมอนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรยี น ส่ือตา งๆ ความยาวไมเกิน 1 นาที ■ บรจิ �คส่งิ ของช่วยเหลอื ผู้ประสบอทุ กภยั สมมติว�่ นกั เรียนเปน็ เจ�้ ของผลิตภัณฑ์สินค�้ OTOP ชนิดหนงึ่ ให้นักเรยี น 3. รา งบทพูดเลา เร่อื งและแสดงความคิดเหน็ พดู นำ�เสนอคว�มเป็นม�และก�รด�ำ เนินง�นของผลิตภณั ฑ์ต่อที่ประชมุ เชงิ สรา งสรรคเ ก่ยี วกบั เรือ่ งทฟี่ งและดู ความยาว ก�รพดู เป็นก�รสือ่ ส�รท่มี ีคว�มสำ�คัญอ�จก่อใหเ้ กิดประโยชน์ หรอื โทษได้ ไมเกิน 1 นาที ท้งั กบั ผพู้ ูดและผ้ฟู งั ให้นักเรยี นรวมกล่มุ กลุ่มละไม่เกิน ๓ คน ค้นห� บทร้อยกรองในวรรณคดีเรื่องต่�งๆ ทนี่ �ำ เสนอแนวคิดเกยี่ วกบั ก�รพูด 4. รปู เลมรายงานการศึกษาคน ควาในประเดน็ ท่ี ม�อภปิ ร�ยรว่ มกันในช้นั เรยี น จ�กนนั้ ใหน้ ำ�ข้อมลู ม�จดั ป้�ยนเิ ทศ เลอื กศกึ ษาจากการฟง การดู และสนทนา ประจำ�ช้ันเรยี นในหวั ข้อ “พลังแหง่ ก�รพดู ” 93 แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ส่ือทีม่ ีอิทธิพลตอ ชวี ติ ประจาํ วันของมนุษยมากทส่ี ุด คือ สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สป ระเภทตา งๆ เชน วิทยุ โทรทัศน เพราะสื่อเหลา นสี้ ามารถเขาถึงกลมุ บุคคลไดงาย มคี วาม เกยี่ วของใกลชดิ กับชีวติ ประจาํ วนั ของมนุษยม ากท่ีสดุ 2. การพูดจับใจความสาํ คญั จากเรอื่ งทีฟ่ งและดจู ากส่ือตา งๆ ผพู ดู ควรฟง และดเู รื่องน้ันๆ จนจบตลอดท้งั เรอ่ื ง สรุปความใหไดว าเปนเรอ่ื งเกี่ยวกบั อะไร ใคร ทําอะไร กับใคร ทไ่ี หน อยางไร เม่อื ไร ทําไม โดยใชสาํ นวนภาษาเปน ของผพู ดู เอง 3. การพูดเลาเรอ่ื ง คอื การถายทอดประสบการณทเี่ กิดจากการไดอ าน ไดฟ ง หรือไดดู ใหผอู ืน่ ไดร วมรับรู ดังนัน้ การพดู เลา เรื่อง ผพู ดู ทีด่ ีควรคํานึงถงึ เนื้อหาทีน่ าํ มาเลา ควรเปน เรือ่ งท่ีเปน ประโยชน ชวยเพิม่ พูนสตปิ ญญาและจรรโลงใจใหแ กผฟู ง 4. การพดู เชิงวชิ าการ เปน การพดู เพ่อื ถา ยทอดขอ เท็จจรงิ อยา งตรงไปตรงมา ดังน้นั ภาษาทีใ่ ชในการพูดเชงิ วชิ าการจึงไมป รากฏคาํ ทีแ่ สดงความคดิ เห็นหรือแสดง ความลังเลใจ เชน ฉนั คิดวา ... ขอ มลู น้ีนา จะ... 5. การพูดทใี่ ชภ าษาทางการ จะขึ้นอยูก ับโอกาส กาลเทศะ และเนือ้ หาสาระ การใชภาษาท่ีเปนทางการจะใชสนทนากับบคุ คลท่ีมอี าวุโสสูงกวา บคุ คลที่ไมสนิทคุน เคย และใชสาํ หรับการพูดในทสี่ าธารณชน เชน การพูดอภิปราย การพดู บรรยาย คู่มือครู 93

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Engage ôตอนท่ี หลกั การใชภาษา กระตนุ้ ความสนใจ ครชู วนสนทนาเกย่ี วกับสาเหตุทีน่ กั เรยี นตอ งมี อนั ความคดิ วทิ ยาเหมอื นอาวธุ ประเสรฐิ สดุ ซอนใสเ สยี ในฝก ความรู ความเขา ใจ ทถี่ กู ตอ งเกย่ี วกบั หลักการใช สงวนคมสมนึกใครฮกึ ฮัก จึงคอยชักเชอื ดฟน ใหบ รรลัย ภาษาไทย เพราะหลักภาษาไทยเปน หลกั เกณฑท ี่ จับใหมัน่ ค้นั หมายใหว ายวอด ชว ยใหรอดรักใหช ิดพสิ มยั ชว ยควบคุมใหค นไทยใชภาษาไทยใหเปน แบบแผน ตดั ใหขาดปรารถนาหาส่ิงใด เพียรจงไดด งั ประสงคที่ตรงดี ทถี่ ูกตองตรงกัน และยังชว ยอนรุ ักษเอกลักษณ ทางภาษาใหค งอยตู อ ไป จากนนั้ สมุ เรยี กชือ่ (เพลงย�วถว�ยโอว�ท : สุนทรภ่)ู นกั เรยี นออกมาอานออกเสยี งพระบรมราโชวาทใน พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใหเพ่อื นๆ ฟง หนา ช้ันเรียน ความวา “...โดยมากเขา ใจวา คนไทยตองทาํ งาน มีความรู เหมอื นชาวตางประเทศ ความจริงคนไทยไมใ ช ชาวตางประเทศ คนไทยเปนคนไทย มคี วามคิด มวี ธิ คี ดิ ทแ่ี ตกตา งกบั ทวั่ โลก เราสงั เกตไดว า คนไทย มีภาษาไทย ภาษาไทยมคี วามหมายแตกตางจาก ภาษาตา งประเทศ ทนี่ า สงั เกตคนไทยเหน็ ภาษาไทย ไมใ ชของสาํ คญั ดทู า ทางเหมอื นวา เมืองไทยมี ภาษาไทยเหมอื นกบั ใหลาสมัย อันนี้ก็นา เสียดาย เพราะภาษาไทยมีความสาํ คญั ในการปฏบิ ัติงาน ทกุ คนมีหนาที่ และทกุ คนทอ่ี ยใู นเมอื งไทยมี หนาท่ี ทท่ี าํ ความเขาใจกันวาจะปฏิบตั งิ านทีม่ ี หนาทีต่ างๆ กัน” (วางตวั ใหร วู าเราเปนคนไทย พระราชทานเมื่อ 27 พฤษภาคม 2551) จากน้นั ตัง้ คําถามกับนักเรยี นวา • พระบรมราโชวาททีต่ ดั ตอนมาใหน ักเรียนฟง พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพล อดุลยเดชมีพระราชประสงคอ ยางไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอ ยา งอิสระ ครูควรช้ีแนะเพิ่มเติม) • นอกจากภาษาไทยแลว นักเรยี นคิดวา ยังมี สิง่ ใดอกี บาง ซึ่งถือเปน มรดกทางวฒั นธรรม ของชาติทค่ี วรรกั ษาสบื ไป และเพราะเหตุใด (แนวตอบ โบราณสถาน โบราณวัตถุ เพราะ สิ่งเหลา น้ี ทาํ ใหรบั รูเร่ืองราวความเปนมา ของประเทศชาติ) เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในตอนท่ี 4 หลกั การใชภาษา เปาหมายสําคัญคือ นักเรยี นมี ความรู ความเขาใจเก่ียวกบั หลกั ภาษาไทย โดยในระดบั ชัน้ นี้ นกั เรยี นควรเรียนรู ในเร่อื งเสยี งในภาษาไทย การสรา งคําในภาษาไทย ชนดิ และหนาทข่ี องคาํ สํานวน คําพงั เพย สภุ าษติ และการแตงบทรอ ยกรอง สามารถอธิบายลกั ษณะสาํ คญั และนาํ ไปใชไดอยางถูกตอ ง การจะบรรลเุ ปา หมายดงั กลา ว ครคู วรออกแบบการเรยี นการสอน โดยใหน กั เรยี น รว มกันสรา งองคความรดู วยตนเอง จากการรวมกลุมกนั สืบคน ตงั้ คําถามเพือ่ ให นักเรียนอธบิ ายความรู ความเขา ใจของตนเอง 94 คู่มือครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู สามารถอธบิ ายลกั ษณะของเสยี งในภาษาไทย ซ่งึ ประกอบดว ยเสยี งสระ เสียงพยัญชนะ และ เสยี งวรรณยกุ ต รวมถงึ วธิ กี ารสรา งคาํ ในภาษาไทยได สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค 1. ใฝเรยี นรู 2. มงุ มน่ั ในการทาํ งาน ñหน่วยท่ี กระตนุ้ ความสนใจ Engage เสียงในภาษาไทยและการสรา งคาํ นักเรียนดูภาพประกอบหนา หนวย จากน้นั ธรรมชาติของภาษาโดยท่ัวไป ครตู ้งั คําถามกับนักเรียนวา ตัวชีว้ ัด ประกอบด้วยเสียงและความหมาย • เสียงมคี วามเกีย่ วของอยางไรกบั ท ๔.๑ ม.๑/๑, ๒ ก า ร ใ ช ้ ภ า ษ า ไ ท ย ใ ห ้ ถู ก ต ้ อ ง แ ล ะ มี กระบวนการสื่อสารของมนุษย ■ อธิบายลักษณะของเสยี งในภาษาไทย ประสิทธิผล ผู้ใช้ต้องค�านึงถึงการใช้ (แนวตอบ เสียง คอื สง่ิ ที่มนษุ ยเ ปลงออกมา ■ สรางคาํ ในภาษาไทย เสียงในภาษาให้ถูกต้อง เพ่ือให้สามารถ เพือ่ ใชใ นการส่ือสาร ซึ่งเสียงในภาษาไทย ส่ือความหมายได้ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัย ประกอบดวย เสยี งสระ เสยี งพยญั ชนะ และ สาระการเรียนรแู้ กนกลาง การเรียนรู้และน�าไปประยุกต์ใช้ผ่านทักษะ เสยี งวรรณยกุ ตป ระกอบกันเปนคํา ดงั นั้น การฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี นอยา่ ง หากไมม ีเสยี งเหลานี้ มนุษยก ไ็ มสามารถ ■ เสียงในภาษาไทย สม่า� เสมอ สอ่ื สารกนั ได) ■ การสรางคํา ● คาํ ประสม คาํ ซาํ้ คาํ ซอ น ● คําพอ ง เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรู เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา เปาหมายสําคญั คือ นกั เรียนสามารถอธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย ไดแ ก เสียงสระ เสยี งพยัญชนะ และเสยี งวรรณยุกตไดถูกตอง อธบิ ายเกี่ยวกับพลังของ ภาษาในดา นตา งๆ และรวมถงึ อธิบายวิธกี ารสรางคาํ ในภาษาไทย การจะบรรลุเปาหมายดงั กลาว ครคู วรออกแบบการเรยี นการสอนโดยให นักเรยี นรวมกลุม กนั สบื คนองคค วามรูทจี่ ําเปนตอ การอธิบายความรดู ว ยตนเอง รวมถงึ การต้ังคาํ ถามเพอ่ื ใหน กั เรียนไดทบทวนและแสดงความรู ความเขาใจของตน ผา นคําถามที่ครูเปนผกู าํ หนดขน้ึ การเรียนการสอนในลักษณะนจ้ี ะชว ยฝก ทกั ษะการจาํ แนกประเภทและทกั ษะ การนาํ ความรูไปใชใหแ กน ักเรียน คู่มือครู 95

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Engage กระตนุ้ ความสนใจ ครตู ้ังคําถามกบั นกั เรียนเพื่อนําเขา สหู วั ขอ ๑ เสยี งในภาษาไทย การเรยี นการสอน เสยี งในภาษา หมำยถงึ เสียงของมนุษยท์ เ่ี ปล่งออกมำเพ่ือใชใ้ นกำรส่ือสำร เสียงในภำษำไทย • อวัยวะทใี่ ชสาํ หรบั การออกเสยี งของมนษุ ย หากนาํ มาจัดระบบ จะไดแ กร ะบบใดบา ง ปหลระอกดอลบมดแ้วลยะเสกียลง่อสงรเะสียเงส1ทีย่ีลง�ำพคยอัญเชมน่ือะลมแผล่ำะนเสเสีย้นงวเสรียรงณจยะุกทต�ำ์ใหอ้วเสัย้นวเะสทียี่ใงชส้อะอบกัดเเสกียิดงเปไ็นดเ้แสกีย่ งปกอ้อดง (แนวตอบ ระบบหายใจ ระบบการเกิดเสยี ง และระบบการเปลงเสียง) ถ้ำไม่สะบัดมำกเสียงก็จะไม่ก้อง จำกน้ันลมก็จะถูกปล่อยผ่ำนไปทำงช่องปำก แล้วไปกระทบกับ ส่วนต่ำงๆ ของปำก เช่น ลิ้นไก่ ล้ิน ริมฝีปำก ฟัน ปุ่มเหงือก เพดำนแข็ง เพดำนอ่อน ท�ำให้เสียง • อวัยวะตางๆ ในรา งกายท่ใี ชออกเสยี ง ถูกกัก ก้ันลมด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในช่องปำก หรือถูกกักลมในช่องปำก แล้วปล่อยบำงส่วน หากมีความผิดปกติ นักเรยี นคดิ วาตนเอง ออกไปทำงขำ้ งล้ิน หรือดนั ลมให้เสียดแทรกอวยั วะตำ่ งๆ ออกมำ หรอื ดันลมให้ขนึ้ จมกู ทำ� ใหเ้ กดิ เป็น จะสามารถออกเสยี งไดห รอื ไม เพราะเหตใุ ด เสียงต่ำงๆ (แนวตอบ อวัยวะในการออกเสียงของมนุษย หากมีความผิดปกติหรือบกพรอ งบรเิ วณ กลอ่ งเสียง เส้นเสยี ง โพรงจมกู สวนใดสวนหนง่ึ แลว จะทําใหไมส ามารถ หลอดลม รมิ ฝีปาก ฟนั ล้ิน ออกเสยี งไดห รือออกเสียงไดไมชดั เจน เพราะอวยั วะเหลานี้ทาํ งานสมั พนั ธก นั ) ปอด • นักเรียนคิดวา มสี าเหตใุ ดหรือไม ท่ที ําให ภาพแสดงอวยั วะต่างๆ ทใี่ ชใ้ นการออกเสยี ง เสียงพูดของมนุษยมคี วามแตกตา งกัน และความแตกตางกนั ของเสียงกอ ใหเ กิดผล อวัยวะต่ำงๆ ดังกล่ำวข้ำงต้น ต่ำงมีหน้ำที่โดยตรงอยู่แล้ว เช่น ปำกเป็นทำงผ่ำนของอำหำร อยา งไรตอ ชวี ติ ประจําวนั ด่ำนแรก โดยมีฟันท�ำหน้ำท่ีขบเคี้ยวอำหำร และลิ้นท�ำหน้ำท่ีล้ิมรสอำหำร ส่วนจมูกท�ำหน้ำที่หำยใจ (แนวตอบ การทมี่ นษุ ยม เี สียงแตกตา งกนั นัน้ และดมกล่ิน นอกจำกนั้นอวัยวะเหล่ำนี้ก็ยังท�ำหน้ำที่ในกำรออกเสียงดังท่ีอธิบำยข้ำงต้นอีกด้วย มสี าเหตมุ าจากอวัยวะทใ่ี ชใ นการออกเสยี ง ถำ้ อวัยวะเหลำ่ น้ีผิดปกติ มนษุ ยจ์ ะไม่สำมำรถออกเสียงได้ หรอื ออกเสยี งได้แตไ่ มช่ ดั เจน มขี นาดไมเทา กนั เชน เสียงเดก็ กบั เสยี ง ผูใ หญ เสยี งของผูหญงิ กบั เสยี งของผูชาย ซ่งึ ความแตกตา งกนั ของเสียงจะทําใหมนษุ ย แตละคนสามารถจดจําเสยี งพูดและวิธีการ พดู ของบุคคลทีเ่ ราคนุ เคยได) 96 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอใดกลา วถึงเสยี งในภาษาไดถ กู ตอง นักเรียนควรรู 1. เสยี งในภาษามีเฉพาะในภาษาไทย 2. เสยี งในภาษาคือเสียงทีไ่ มม ีความหมาย 1 กลองเสียง หรอื เสน เสยี ง เปน อวยั วะสาํ คญั ทที่ าํ ใหเ กดิ เสยี ง เสน เสยี งประกอบดว ย 3. เสยี งในภาษาเกิดจากการเลียนแบบจากธรรมชาติ เสน เอ็นและกลา มเนอ้ื 2 แผน เสน เสยี งทง้ั สองวางขวางอยูตรงกลางกลองเสียง โดย 4. เสยี งในภาษาคือเสยี งทเ่ี ปลงออกมาแลว มีความหมายเพือ่ ใชส อ่ื สารกนั กลองเสยี ง คอื สว นทีอ่ ยเู หนอื หลอดลมขนึ้ มา ประกอบดว ยกระดูกออ นหลายสว น ในชวี ิตประจําวนั สวนทอี่ ยูด านหนาคอื กระดูกออนไทรอยด ปลายดานหนง่ึ ของเสน เสียงทัง้ สอง วิเคราะหค าํ ตอบ เสียงในภาษา คือเสยี งทีม่ นษุ ยเปลง ออกมาแลว มี จะเชอื่ มอยกู บั กระดกู ชิน้ น้ี และอยูชดิ กนั สวนปลายอีกดานหน่ึงจะเช่อื มอยูกับ ความหมาย ใชสาํ หรับการตดิ ตอ สอื่ สารในชวี ิตประจําวนั เสยี งใน กระดูกออ นอารติ นิ อยด ซึง่ เปน กระดกู ออนอีก 2 ชนิ้ กระดกู ออ นอารติ ินอยดก ับ ภาษาเปน ระบบการทาํ งานของอวัยวะในรางกายไมใ ชก ารเลยี นแบบจาก ปลายเสนเสียงดานท่ีแยกหา งจากกันไดจะอยูท างดานหลงั กระดกู ออนอาริตนิ อยด ธรรมชาติ และภาษาของทุกชนชาติลวนมีเสียงในภาษาเปนของตนเอง และกลามเนือ้ ในกลอ งเสยี ง จะทาํ ใหเ สน เสียงทัง้ สองอยชู ดิ หรอื หา งจากกนั ได ดังนน้ั จงึ ตอบขอ 4. เมอ่ื เสน เสียงอยหู า งกัน ดานหนาจะชิดกัน สวนดา นหลงั จะหา งกนั ทําใหเ กิดเปน ชองสามเหลี่ยม ทําใหลมผานเขา ไปถึงปอดหรอื ผา นออกมาจากปอดไดส ะดวก 96 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สา� รวจคน้ หา ๑.๑ ลกั ษณะของเสยี งในภาษาไทย ครทู าํ สลากเทา กบั จาํ นวนนกั เรยี นภายในชนั้ เรยี น โดยเขียนหมายเลข 1- 4 ลงบนกระดาษในจาํ นวน เสียงในภาษาไทย มี ๓ ชนิด คอื เสยี งสระ เสยี งพยญั ชนะ และเสียงวรรณยุกต์ โดยมลี กั ษณะ เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม ใหแตล ะคน ดงั ต่อไปนี้ ออกมาจับสลาก ใครทีจ่ บั สลากไดห มายเลข เหมอื นกนั ใหอ ยกู ลมุ เดียวกัน เม่อื จับสลากจน ๑. เสยี งสระ เปน็ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาจากปอด หลอดลม กลอ่ งเสยี ง ผา่ นลา� คอสชู่ อ่ งปาก ชอ่ งจมกู ครบแลว ครูแจงประเด็นสาํ หรับการสืบคนความรู รวมกัน ดงั นี้ โดยสะดวก ลมทเี่ ปลง่ ออกมาจะไมถ่ กู สกดั กน้ั จากอวยั วะใดๆ ในปาก แตจ่ ะมกี ารเปลยี่ นแปลงระดบั ของลนิ้ และ รูปรมิ ฝีปาก โดยการยกลิ้นข้นึ ในระดบั ต่างกนั และริมฝปี ากห่อมากนอ้ ยตา่ งกนั ท�าให้เกิดเสยี งก้อง เสน้ เสยี ง หมายเลข 1 เสียงและรปู สระ ส่ันสะเทือน และสามารถออกเสียงได้ยาวนาน หมายเลข 2 เสียงและรปู พยัญชนะ เสยี งสระเป็นเสียงทีช่ ่วยใหพ้ ยัญชนะออกเสยี งได้ เพราะเสียงพยัญชนะจะต้องอาศยั เสยี งสระควบคู่เสมอ หมายเลข 3 เสียงและรูปวรรณยุกต เสียงสระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสียง และมีอักษรท่ีใช้แทนเสียงได้ เรียกว่า รูปสระ มี ๒๑ รูป แต่เดิม หมายเลข 4 การออกเสยี งภาษาไทย มักจะคุ้นเคยกับการท่องเสียงสระคู่สั้น-ยาว ทั้งสระเด่ียวและประสม จึงมีความเข้าใจว่าสระประสม โดยนกั เรียนแตล ะกลมุ รวมกันสืบคนความรู มี ๖ หนว่ ยเสยี ง นบั รวมกบั สระเดยี่ ว ๑๘ หนว่ ยเสยี ง เปน็ ๒๔ หนว่ ยเสยี ง ปจั จบุ นั ราชบณั ฑติ ยสถานไดพ้ จิ ารณาวา่ จากแหลง การเรียนรูต างๆ ท่ีสามารถเขาถงึ ได เชน บทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส หนังสอื บรรทัดฐาน สระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเส1ียง คือ สระเด่ียว ๑๘ หน่วยเสียง สระประสม ๓ หน่วยเสียง ตามหลัก ภาษาไทย เลม 1 เปนตน นาํ ขอ มลู มาสรุปความรู ภาษาศาสตร์ ซง่ึ นกั ภาษาศาสตรไ์ ดพ้ จิ ารณาว่าเสียงสระประสมในภาษาไทยมเี พียง ๓ หน่วยเสยี ง ไดแ้ ก่ เอีย ความเขา ใจรว มกันเพอ่ื สงตัวแทนออกไปนาํ เสนอ เออื และอัว ซง่ึ เปน็ สระเสยี งยาว หนา ชัน้ เรยี น เสยี งสระ สระเด่ียว - อะ อา อิ อี อึ ออื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ สระประสม - เอีย เอือ อัว ๒. เสยี งพยญั ชนะ เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากปอด หลอดลม กล่องเสียง ผ่านล�าคอสู่ช่องปาก ช่องจมูก โดยให้ลิ้นกล่อมเกลาเสียงให้กระทบกับเพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน หรือให้ริมฝีปากกระทบกัน ลมที่เกิดขึ้นจะถูกสกัดก้ันในล�าคอ ช่องปากหรือช่องจมูก เสียงท่ีเกิดขึ้นมีลักษณะเสียงแปร คือ มีลักษณะ แตกตา่ งกนั ไป โดยเสยี งทแี่ ปรเกดิ เปน็ เสยี งพยญั ชนะ มจี า� นวน ๒๑ หนว่ ยเสยี ง และมอี กั ษรแทนเสยี งพยญั ชนะ จา� นวน ๔๔ รปู เสยี งพยัญชนะ พยัญชนะต้น - เด่ียว ควบกล�า้ อกั ษรนา� พยญั ชนะท้าย - กง กน กม เกย เกอว กก กด กบ ๓. เสยี งวรรณยุกต์ เป็นเสียงท่ีมีท�านองสูงต่�าเหมือนเสียงดนตรี โดยจะได้ยินเสียงวรรณยุกต์ขณะที่ ออกเสียงพยัญชนะหรือสระ เสียงวรรณยุกต์น้ีบางเสียงถูกสกัดก้ัน หรือไม่ถูกสกัดก้ันจึงเกิดเป็นเสียงสูงต่�า บางเสียงอยู่ระหว่างเสียงสูงกับเสียงต�่า บางทีก็เป็นเสียงต่�า แล้วค่อยๆ เล่ือนไปสู่เสียงสูง เสียง วรรณยุกต์มี ๕ เสียง เรียงจากเสียงต�่าไปหาเสียงสูงได้ ดังนี้ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา เสยี งวรรณยกุ ต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา 97 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู ขอ ใดกลาวถูกตอง 1 นกั ภาษาศาสตร คอื ผูทีใ่ ชวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรในการวจิ ัยดานตางๆ 1. เสียงในภาษาไทย ไดแ ก เสยี งสระ และเสียงตัวสะกด ของภาษา เชน การศึกษาคนควาเกยี่ วกบั รากศัพท ลักษณะโครงสรา งของภาษา 2. เสยี งในภาษาไทย ไดแก เสยี งสระเกนิ และวรรณยุกต จดั ระบบประเภทของภาษา เปน ตน ซง่ึ นกั ภาษาศาสตรอ าจเปน ผเู ชยี่ วชาญภาษาใด 3. เสยี งในภาษาไทย ไดแ ก เสียงสนั้ เสยี งยาว และเสียงสระเกนิ ภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ เชน ภาษาองั กฤษ ภาษาจนี ภาษาฝรง่ั เศส ภาษาสเปน 4. เสยี งในภาษาไทย ไดแก เสียงสระ เสยี งพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ภาษาเยอรมนั ภาษาญปี่ นุ ภาษาบาล-ี สนั สกฤต ภาษาลาว หรอื อาจเปน ภาษาถน่ิ วเิ คราะหคําตอบ เสียงในภาษาไทยประกอบดวยเสียง 3 ชนิด ไดแ ก ภาษามลายู ภาษาของชนกลุมนอ ย ซ่งึ นักภาษาศาสตรทดี่ คี วรมีคณุ สมบตั ิ ดังน้ี เสยี งสระ เสียงพยญั ชนะ และเสียงวรรณยกุ ต ซึง่ เสยี งเหลา นจี้ ะประกอบกนั • มีความชาํ นาญทงั้ ในดานการพดู การอาน การฟง การเขยี น เขา เปน คาํ ทมี่ คี วามหมายเพอ่ื ใชส อื่ สารในชวี ติ ประจาํ วนั ดงั นน้ั จงึ ตอบขอ 4. • มีความคิดสรา งสรรค สนใจสง่ิ แวดลอม ศลิ ปะ ประเพณี วัฒนธรรม ของเจา ของภาษา • มีความเพยี รพยายามท่ีจะฝกฝนตนเองใหเกิดทกั ษะ • ชอบและสนใจในเร่ืองตา งๆ เก่ยี วกับภาษา คมู่ อื ครู 97

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนกลุมที่ 1 สง ตัวแทน 3 คน ออกมา ๑.๒ เสยี งในภาษาไทยและรปู ตวั อกั ษรแทนเสยี ง อธบิ ายความรใู นประเดน็ ทไี่ ดร บั มอบหมาย ซง่ึ การอธบิ ายความรูของนกั เรียน จะตอ ง ๑) เสยี งและรปู สระ ครอบคลมุ ประเด็น ดงั ตอไปนี้ ๑.๑) ต�าแหน่งที่เกิดเสียงสระในภาษาไทย เสียงสระเกิดจำกลมที่ถูกขับออกจำกปอด • ลักษณะของเสียงสระ • การออกเสยี งสระ โแดลยะไถมูก่มบีกังำครปับิดใหกั้น้ผท่ำนำงหลลมอดอลวัยมวะกทร่ีชะ่วทยบใเนสก้นำเรสอียองกใเนสหียงลสอรดะลมคือแลล้ิน้ว1กผับ่ำนริมอฝอีปกำมกำ2จเำสกียลงส�ำรคะอบโำดงยเสตียรงง • รูปท่ีใชแทนเสยี งสระ พรอ มท้ังระบุแหลงท่ีมาของขอ มูล เกิดจำกล้ินส่วนหน้ำ บำงเสียงเกิดจำกลิ้นส่วนกลำง และบำงเสียงเกิดจำกลิ้นส่วนหลัง ซึ่งล้ิน จะกระดกในระดบั สูงต�ำ่ ตำ่ งกัน สว่ นรมิ ฝีปำก บำงเสียงเกดิ จำกรูปรมิ ฝปี ำกหอ่ กลม บำงเสียงเกดิ จำก 2. ครสู มุ เรยี กชื่อนกั เรยี นเพ่ืออธบิ ายความรู รูปริมฝีปำกปกติ บำงเสียงเกิดจำกรูปปำกกว้ำงหรือรี ถ้ำล้ินยกอยู่ในระดับใดเพียงระดับเดียว เกย่ี วกับลกั ษณะของเสยี งสระ โดยใชค วามรู เสียงสระที่เกิดขึ้นเรียกว่ำ สระแท้ ถ้ำล้ินเล่ือนจำกระดับหน่ึงไปสู่อีกระดับหน่ึงอย่ำงรวดเร็ว จะเกิด ความเขาใจ ท่ีไดร บั จากการฟงบรรยายของ เสียงสระสองหรอื สำมเสยี งพรอ้ มๆ กัน เรียกว่ำ สระประสม หรอื สระเล่ือน เพ่อื นๆ กลมุ ท่ี 1 เปนขอมูลเบอ้ื งตนสาํ หรบั ตอบคําถาม ๑.๒) ลักษณะการออกเสยี งสระ • เสียงสระมลี ักษณะสําคัญทแ่ี ตกตา งจากเสียง ๑. กำรออกเสยี งสระแท้ มีลักษณะของลน้ิ และริมฝีปำกท่ใี ช้ในกำรออกเสยี ง ดงั นี้ ชนิดอืน่ ๆ ในภาษาไทยอยางไร (แนวตอบ เสยี งสระ เปน เสยี งทเ่ี ปลง ออกมาจาก เสียงสระ ล้ิน รมิ ฝปี าก ปอด ผา นมายงั หลอดลม กลอ งเสยี ง เสน เสยี ง อะ อ� และผา นลาํ คอสูช องปาก ชองจมูกโดยเร็ว อิ อี ว�งในท�่ ปกติ อ�้ ป�กปกติ โดยลมท่ผี านออกมานั้นจะไมถูกอวัยวะใดๆ อึ อือ ส่วนหน�้ กระดกขึ้นสูง เหยยี ดป�กออกเลก็ น้อย ภายในชอ งปาก เชน ริมฝป าก ฟน หรอื ลน้ิ อุ อู ส่วนหลงั ยกข้ึนสงู เผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่กลม สกดั ก้นั ลมนั้นๆ ไว แตจะเปลี่ยนแปลงระดบั เอะ เอ ส่วนหลงั ยกขนึ้ สูง ห่อกลมเล็ก การยกลนิ้ และการหอ รมิ ฝป ากมากนอ ยตา งกนั สว่ นหน้�กระดกขน้ึ สงู เหยยี ดออกเหมอื น อิ ทําใหเ สียงทเี่ กิดขึ้นเปน เสยี งกอ ง ซงึ่ ก็คือ แตต่ ่ำ�กว่�ขณะออกเสยี ง อิ แตข่ �กรรไกรล่�งลดต�่ำ ลงกว�่ เสียงสระ) ขณะออกเสยี ง อิ • เสยี งสระแตล ะเสยี งมคี วามแตกตา งกนั ดวย แอะ แอ ส่วนหน�้ ลดตำ่�ลงกว�่ เหยียดออก ข�กรรไกรล�่ ง สาเหตุใด โอะ โอ ขณะออกเสียง เอะ ลดต�่ำ ลงกว�่ เมือ่ ออกเสยี ง เอะ (แนวตอบ เสยี งสระมคี วามแตกตางกนั อนั เนอ่ื งมาจากลักษณะของการยกลิน้ ส่วนหลังกระดกขึ้นสูง หอ่ กลม และการจัดรูปรมิ ฝปากขณะที่ออกเสยี ง) แตต่ ำ่�กว�่ ขณะออกเสยี ง อุ 98 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นกั เรยี นศกึ ษาวา เสยี งสระทปี่ รากฏใชใ นภาษาไทยมที งั้ สนิ้ กเ่ี สยี ง แตเ ดมิ ทก่ี ําหนดไวว า เสียงสระในภาษาไทยมี 32 หนวยเสยี ง เปนเพราะเหตใุ ด หลังจากใหนกั เรียน ปฏิบัตกิ จิ กรรมสรา งเสริมและกิจกรรมทา ทาย ครูสมุ เรยี ก ในปจจบุ ันจึงเหลอื เพยี ง 21 หนว ยเสียง สรุปผลการศกึ ษาลงสมุด สง ครู ชอ่ื นกั เรยี น ออกมาแสดงผลการศกึ ษาหนา ชนั้ เรยี น เพอ่ื ความเขา ใจทถ่ี กู ตอ งรว มกนั กจิ กรรมทา ทาย นักเรยี นควรรู นกั เรยี นศกึ ษาวาเสยี งสระทั้ง 21 หนว ยเสียง มีการเปลีย่ นแปลงระดับ 1 ล้นิ เปน สวนทเ่ี คลอื่ นไหวไดม ากท่ีสุดในการออกเสียงพดู สวนท่เี คลือ่ นไหว การยกตวั ของลน้ิ และจดั รปู รมิ ฝป ากอยา งไร สรปุ ผลการศกึ ษาลงสมดุ สง ครู ของล้นิ แตละสว นจะมีผลตอการออกเสียง ล้นิ สามารถแบงออกเปน สว นๆ ได 3 สวน ไดแก ปลายล้นิ หรือสว นปลายสดุ ของล้ิน หนา ล้ิน หรอื ลน้ิ สวนหนา อยู ตรงขามกับเพดานแข็ง และหลงั ลนิ้ หรือลิ้นสว นหลัง อยตู รงขา มกับเพดานออ น 2 ริมฝป าก เปนอวัยวะสวนทีส่ ามารถเคล่อื นไหวไดมากและทาํ ใหเ สียงมีความ แตกตางกนั ผูพดู อาจจะบังคับริมฝปากใหปดสนิท ใหเปด เล็กนอ ย ใหเปด กวางข้ึน ใหยืน่ ออกมา ใหห อกลมหรือทําเปนรูปรไี ด 98 คูม่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ เสียงสระ ลิน้ ริมฝีปาก นกั เรยี นยนื ในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกนั อธบิ าย เอ�ะ ออ ความรแู บบโตต อบรอบวงเกย่ี วกบั การออกเสยี งสระ สว่ นหลงั ลดตำ่�กว�่ หอ่ กลม โดยใชความรู ความเขา ใจ ทีไ่ ดร ับจากการฟง เออะ เออ ขณะทอี่ อกเสยี ง โอ อ้�ป�กปกติ บรรยายของเพอื่ นๆ กลมุ ท่ี 1 เปน ขอ มูลเบ้ืองตน สําหรับตอบคาํ ถาม ส่วนกล�งกระดกขน้ึ สูง แตไ่ ม่เท�่ กับขณะทอี่ อกเสียง เออื • สระหนา สระกลาง และสระหลงั เปนคํา ท่ีใชอธบิ ายเสยี งสระโดยใชตาํ แหนง ของ จำกตำรำงข้ำงต้นจะเห็นว่ำ สระทั้งหมด ๙ คู่ จะออกเสียงแถวหน้ำเป็นเสียงส้ัน ๙ เสียง อวยั วะใดเปน เกณฑ และแตล ะตําแหนง แถวหลังออกเสียงเป็นเสียงยำว ๙ เสียง รวม ๑๘ เสียง ลักษณะลิ้นและปำกจะอยู่ในท่ำเดิมตลอด มคี วามแตกตา งกนั อยางไร มีเพียงล้ินส่วนใดส่วนหน่ึงเท่ำน้ันท่ีเคล่ือนที่ ลิ้นเพียงส่วนเดียวท่ีท�ำให้เกิดเสียง จึงเรียกสระทั้ง (แนวตอบ ใชต าํ แหนงการยกตัวของลิน้ ๑๘ เสยี งนี้วำ่ สระแท้ กหำรรอื อสอรกะเเสดยี ่ยี งวสระประสม1มีลกั ษณะกำรใช้ล้ินและรมิ ฝีปำกในกำรออกเสยี ง เปน เกณฑ โดยทส่ี ระหนา คอื สระทอ่ี อกเสยี ง ๒. ดังนี้ เมื่อลน้ิ สวนหนายกขึ้นสูงกวาสว นอื่น ไดแ ก สระอิ สระอี สระเอะ สระเอ สระแอะ และ เสียงสระ ลนิ้ รมิ ฝปี าก สระแอ สระกลาง คือสระที่ออกเสียงเม่อื ลิ้น เอีย ป�กอ�้ กว้�ง ข�กรรไกรล�่ งเคล่ือนต่�ำ ลงม� สว นกลางยกขึน้ สงู กวาสวนอน่ื ไดแ ก สระอึ ลน้ิ สว่ นหน้�กระดกสูงข้ึน สระอือ สระเออะ และสระเออ สระหลงั คอื เอือ แล้วลดต่�ำ ลงม� ป�กอ�้ เพร�ะขยบั ข�กรรไกรล�่ งลง สระทีอ่ อกเสยี งเมือ่ ลน้ิ สว นหลงั ยกขนึ้ สูงกวา ลน้ิ ส่วนกล�งยกสูงขนึ้ สว นอื่น ไดแก สระอุ สระอู สระโอะ สระโอ อัว แล้วลดตำ่�ลงม� รมิ ฝปี �กทีจ่ ีบกลมจะอ้�ออกเลก็ น้อย สระเอาะ และสระออ) ล้ินสว่ นหลังยกสูงขน้ึ แล้วลดต่�ำ ลงม� จำกกำรออกเสียงจะเห็นว่ำ ลิ้นส่วนหน้ำ ลิ้นส่วนกลำง และลิ้นส่วนหลังจะขยับเคล่ือนที่ ท�ำหน้ำทอ่ี อกเสยี งรว่ มด้วย จงึ เรียกว่ำเสยี ง สระประสม ซง่ึ ลกั ษณะเสียงทปี่ ระสมกัน มดี ังนี้ อี + อ� = เอีย อือ + อ� = เออื อู + อ� = อัว ๓. รูป อ�ำ ไอ ใอ เอำ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ รูปเหล่ำนี้มีลักษณะกำรออกเสียงประสมกัน ระหว่ำงเสยี งสระกับเสียงพยญั ชนะ ดังน้ี อำ� มเี สยี ง อะ + ม ไอ มเี สยี ง อะ + ย ใอ มเี สียง อะ + ย เอ� มีเสยี ง อะ + ว ฤ มีเสยี ง ร + อึ ฤๅ มีเสียง ร + ออื ฦ มเี สยี ง ล + อึ ฦๅ มีเสยี ง ล + ออื 99 ขอ ใดตอ ไปนีม้ ีความแตกตางจากขออ่ืน ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู 1. ใหหาสนิ เมื่อใหญ 2. วมิ านนอ ยลอยริมฝง เพือ่ ความรู ความเขาใจ ทม่ี ากยงิ่ ข้ึนเกย่ี วกับสระประสมในภาษาไทย ครคู วรให 3. เมอื่ นอ ยใหเ รียนวิชา นักเรียนรว มกนั ยกตวั อยา งคําที่ประกอบขนึ้ จากสระประสมท้ัง 3 เสียง ในภาษาไทย 4. แลวลงในเรอื ที่น่ังบลั ลังกทอง ดว ยปากเปลา และตรวจสอบความถกู ตองของคาํ นั้นๆ รว มกนั วเิ คราะหค ําตอบ จดุ ประสงคของขอสอบนี้ ตองการใหห าวาประโยคใน นักเรียนควรรู ขอ ใดไมปรากฏคาํ ท่ปี ระกอบขนึ้ จากสระประสม ซ่งึ สระประสม คอื สระที่ ออกเสยี งโดยอวยั วะท่ีใชออกเสียงอยใู นตาํ แหนง มากกวา 1 ตําแหนง 1 สระประสม คือสระท่ีออกเสียงโดยอวัยวะที่ใชออกเสียงอยูในตําแหนง ซึง่ หนวยเสียงสระประสมในภาษาไทยมี 3 หนว ยเสยี ง ไดแ ก สระเอีย มากกวา 1 ตาํ แหนง ถา อวยั วะอยูในตาํ แหนงหนง่ึ แลว เปล่ยี นไปอยใู นอกี ตําแหนง สระเออื และสระอวั จากคํานยิ ามนี้จึงสามารถวิเคราะหไ ดว าตัวเลือกใน หนงึ่ สระน้นั จะเปน สระประสม 2 เสียง แตถ า ออกเสยี งสระใดแลว อวยั วะเปลยี่ น ขอ 1. คาํ ทีป่ ระสมดว ยสระประสมไดแ กคําวา “เมือ่ ” ขอ 3. คําที่ประสม จากตําแหนง หนง่ึ ไปสตู าํ แหนง อกี 2 ตาํ แหนง เรยี กวา สระประสม 3 เสียง ดว ยสระประสมไดแ กค าํ วา “เม่อื ” ขอ 4. คาํ ท่ีประสมดว ยสระประสม ซงึ่ เสียงสระประสมในภาษาไทยเปนสระประสม 2 เสียง ไดแกคาํ วา “เรอื ” ดงั น้ันจึงตอบขอ 2. คมู่ อื ครู 99

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู นกั เรียนยืนในลักษณะวงกลมเพอ่ื รว มกนั อธิบาย ดงั นัน้ รปู อำ� ไอ ใอ เอำ ฤ ฤ ๅ ฦ ฦ ๅ ไมน่ ับว่ำเปน็ เสยี งสระเพรำะมเี สยี งสระทีเ่ ป็นสระแท้ ความรแู บบโตต อบรอบวงเกี่ยวกบั การออกเสยี งสระ ประสมอยู่แลว้ จงึ นับวำ่ เปน็ ลักษณะของพยำงค์ ในภาษาไทย โดยใชค วามรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดร บั จาก การฟงบรรยายของเพ่ือนๆ กลมุ ที่ 1 เปนขอมูล ๑.๓) การใช้รูปสระแทนเสียงสระ ตัวอักษรท่ีใช้แทนเสียงสระมี ๒๑ รูป (ตำมต�ำรำของ เบอื้ งตนสาํ หรับตอบคาํ ถาม พระยำอปุ กิตศิลปสำร) มีชื่อเรียกและวิธีใช้ ดงั น้ี • เสยี งสระมีความเกีย่ วของกับเสยี งพยัญชนะ รูปสระ ชอ่ื สระ การใชร้ ูปสระโดยตรง ประสมกบั รูปอ่ืน ในภาษาไทยอยางไร ประวิสรรชนยี ์หลังพยัญชนะ ประสมกบั รปู อน่ื เปน็ สระ เอะ แอะ โอะ (แนวตอบ เสยี งสระในภาษาไทยเปนเสียง -ะ วสิ รรชนยี ์ เปน็ สระ อะ เชน่ มะระ เอ�ะ เออะ เชน่ เละ แทะ โต๊ะ เก�ะ เถอะ ทีช่ วยใหเสียงพยญั ชนะในภาษาไทยสามารถ ออกเสยี งได) -ั ไมห้ ันอ�ก�ศ เขียนข้�งบนพยัญชนะ เป็นเสียง ประสมกับรูปอื่น เปน็ สระ อัว เชน่ กลวั หรือไม้ผดั สระอะ เมอื่ มตี วั สะกด เชน่ • นักเรยี นคดิ วาขอ สงั เกตทโ่ี ดดเดนของเสยี ง ม + อะ + น = มัน สระในภาษาไทยคอื อะไร (แนวตอบ รูปสระตางๆ ทเ่ี ขียนในภาษาไทยจะ -็ ไมไ้ ตค่ ู้ เขียนข้�งบนแทนวิสรรชนีย์ในสระ ประสมกับตัว ก เป็นสระ เอ�ะ มีเสียง ใชเ ขยี นตามลาํ พังไมได ตองใชค ูกับพยญั ชนะ บ�งตวั ทีม่ ตี วั สะกด เช่น วรรณยุกต์โท คอื ก็ เสมอ แมก ระทง่ั สระลอย เชน สระอะ กจ็ ะ -� ล�กข�้ ง ข + เอะ + น = เขน็ ตองมพี ยัญชนะตวั อ กาํ กับอยดู ว ย) -ิ พนิ ทอ์ุ ิ เขยี นข�้ งหลงั พยญั ชนะ เปน็ สระ อ� ประสมกับรูปอืน่ เปน็ สระ อ�ำ เอ� เอ�ะ เชน่ ก� ม� น� เช่น น�ำ เม� เค�ะ เขยี นข้�งบนพยญั ชนะ เป็นสระ อิ ประสมกบั รูปอน่ื เปน็ สระ อี อึ อือ เอีย เออื และใช้แทนตัว อ ของสระเออ เมอื่ มี ตวั สะกด เชน่ ด + เออ + น = เดนิ -่ ฝนทอง เขยี นข้�งบนพินทอ์ุ ิ เปน็ สระ อี ประสมกบั รปู อ่ืน เป็นสระ เอยี เชน่ เสยี -ำ นฤคหติ หรอื เขยี นข�้ งบนล�กข้�ง เป็นสระ อ�ำ หย�ดน้�ำ ค�้ ง เขยี นข้�งบนพนิ ท์อุ ิ เป็นสระ อึ \" ฟนั หนู เขียนข�้ งบนพนิ ทุ์อิ เปน็ สระ ออื ประสมกบั สระอื่น เป็นสระ เอือ เช่น เรือ -ุ ตีนเหยยี ด เขยี นข้�งล�่ งพยัญชนะ เป็นสระ อุ เชน่ ยงุ่ คุณ 100 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ประโยคในขอใดตอไปนป้ี รากฏสระลดรูปมากท่ีสดุ 1. ดาํ เปนคนสะอาดและทาํ งานเรยี บรอ ย ครคู วรสรา งความรู ความเขาใจใหแ กน ักเรียนเกย่ี วกับการเรยี กช่ือรปู สระ 2. แดงเปนคนขยนั เขาทาํ ขนมขายทุกวนั ในภาษาไทย ที่ปรากฏในแบบเรยี นภาษาไทยในอดตี เชน หนงั สือจนิ ดามณี 3. สม เปนคนรวยและมักจะสวมเสอื้ ผา สวยๆ ของพระโหราธบิ ดี หนงั สอื มลู บทบรรพกจิ ซงึ่ เปน แบบเรยี นหลวงในสมยั รชั กาลท่ี 6 4. เขยี วเปน คนนงิ่ เฉยและปลอ ยใหเวลาผา นเลย ผแู ตง คอื พระยาศรีสุนทรโวหาร (นอ ย อาจารยางกรู ) เพอื่ ความรคู วามเขา ใจ วเิ คราะหคําตอบ สระลดรปู คือสระที่เมอื่ นํามาประสมกับพยัญชนะเปน ทอี่ าจเปน ประโยชนใ นอนาคต ครูควรใหน กั เรียนบนั ทึกชุดคําอธิบาย ลงสมุด คาํ แลว จะไมป รากฏรูปสระใหเหน็ หรือลดรูปบางสวนไป เชน สระโอะ เมอ่ื นํามาใชประสมเปนคาํ และมีตัวสะกดจะไมป รากฏรปู สระโอะ ขอ 1. คาํ ท่ี มุม IT ประสมดว ยสระลดรูปไดแ กค ําวา คน ขอ 2. คําทปี่ ระสมดวยสระลดรูป ไดแก คําวา คน (ข) นม ขอ 3. คําที่ประสมดว ยสระลดรปู ไดแกค ําวา นักเรยี นสามารถฝกออกเสยี งสระในภาษาไทย ศึกษารูปแบบการยกลน้ิ สม คน รวย สวม สวย ขอ 4. คําทปี่ ระสมดว ยสระลดรูปไดแกคาํ วา และหอ รมิ ฝป ากเพือ่ การออกเสียงสระไดชัดเจนจาก www.youtube.com/ Watch?v=UptiQ5f89pM คน เฉย เลย ดงั นนั้ จงึ ตอบขอ 3. 100 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู รปู สระ1 ชื่อสระ การใชร้ ปู สระโดยตรง ประสมกับสระอนื่ นักเรียนยนื ในลักษณะวงกลมเพอื่ รว มกนั อธบิ ายความรแู บบโตตอบรอบวงเกยี่ วกบั การใช -ู ตนี คู้ เขยี นข้�งล�่ งพยัญชนะ เป็นสระ อู รปู สระแทนเสยี งสระในภาษาไทย โดยใชค วามรู เ- ไมห้ น้� เช่น สูง ศนู ย์ ความเขา ใจ ทไ่ี ดร บั จากการฟง บรรยายของเพอื่ นๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบอื้ งตนสําหรบั ตอบคําถาม โ- ไมโ้ อ เขยี นข�้ งหน�้ พยญั ชนะ เปน็ สระ เอ ประสมกบั รปู อ่นื เปน็ สระ เอะ แอะ เออะ ใ- ไมม้ ้วน เช่น เสเพล เออ เอ�ะ เอีย เออื เอ� เชน่ เตะ และ • การใชรูปแทนเสียงสระในภาษาไทยมีวิธีการ เขียนไม้หน้�สองรูป เป็นสระ แอ เถอะ เธอ เก�ะ เสยี เรอื เข� ใชอยา งไร อธิบายพรอมยกตัวอยา งประกอบ ไ- ไมม้ ล�ย เช่น แรง (แนวตอบ การใชรูปสระแทนเสยี งสระ ในภาษาไทย ปรากฏรปู แบบการใช -อ ตวั ออ เขียนข้�งหน้�พยัญชนะ เป็นสระ ประสมกบั สระอนื่ เปน็ สระ โอะ เช่น โตะ๊ ดงั ตอ ไปนี้ -ว ตัววอ โอ เชน่ โมโห โปะ • คงรูป คือ เมือ่ นํามาใชประกอบเปน คาํ จะ เขียนรูปสระปรากฏครบถว น ไดแก สระ -ย ตวั ยอ เขียนข้�งหน้�พยัญชนะแทนเสียง อะ สระอา สระอิ สระอี สระอึ สระอุ สระ อะ เมอ่ื มี ย เปน็ ตัวสะกด เช่น อู สระเอ สระแอ สระโอ สระออ สระเอยี ฤ รึ ห + อะ + ย + เสียงโท = ให้ และสระเออ • แปลงรูป คือ เมอ่ื นํามาใชประกอบเปน ฤๅ รือ เขียนข�้ งหน�้ พยัญชนะแทน ใช้ประสมกับตัว ย ในค�ำ ที่ม�จ�ก คาํ จะแปลงสระเดิมใหเปน อีกรปู แบบหน่งึ ฦ ลึ เสยี งอะ เมอ่ื มี ย เปน็ ตวั สะกด เชน่ ภ�ษ�สนั สกฤต เช่น ไสย ไวย�กรณ์ ไดแ ก สระอะ สระเอะ สระแอะ และสระเออ ฦๅ ลือ ม + อะ + ย + เสยี งตรี = ไม้ • ลดรูป คือ เมื่อนํามาใชป ระกอบเปนคํา จะไมป รากฏรปู สระหรอื ปรากฏบางสว น เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ ไดแ ก สระโอะ สระออ สระเออ และสระอวั ออ เช่น ขอ มอง • เติมรูป คอื เมอื่ นาํ มาใชป ระกอบเปนคํา จะเตมิ รปู นอกเหนอื จากทม่ี อี ยแู ลว ไดแ ก เขยี นข�้ งหลงั พยญั ชนะ เปน็ สระ อวั สระออื ) เม่ือมีตัวสะกด เช่น ช + อัว + น = ชวน • เพราะเหตุใดจงึ ตอ งมีการกาํ หนดรูปสระ เพอ่ื แทนเสยี งสระในภาษาไทย เขียนข้�งหลังพยัญชนะแทนเสียง ประสมกับรูปอ่ืน เป็นสระ เอีย เช่น เปีย (แนวตอบ การกําหนดรปู สระเพือ่ แทนเสยี ง อะ เมื่อมี ย เป็นตัวสะกด ในคำ� เสีย สระในภาษาไทยเพื่อใชเปน สญั ลกั ษณแทน ทมี่ �จ�กภ�ษ�สนั สกฤต เช่น ไสย เสยี งใหม ีความถกู ตอ งตรงกัน เขยี นแบบนี้ ไวย�กรณ์ ออกเสียงอยา งนี้ นอกจากเปนสัญลกั ษณ ใหเ หน็ เปน รปู ธรรมแลว ยงั ใชเ ปน เครอ่ื งหมาย แทนเสยี งริ เช่น ฤทธิ์ นําในการออกเสียงใหถูกตอ งชดั เจน) แทนเสยี งรึ เช่น มฤตยู หฤทัย แทนเสยี งเรอ เชน่ ฤกษ์ แทนเสียงรอื เชน่ ฤๅษี แทนเสยี งลึ แทนเสียงลอื เชน่ ฦๅช� ฦๅส�ย 101 รูปสระในขอใดมเี สยี งเดียวกนั ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู 1. -ะ กับ ใ- 2. - กบั - ครผู สู อนอาจใหนกั เรยี นรวมกันจดั ทาํ ปา ยนเิ ทศประจาํ ชนั้ เรยี นเก่ยี วกับรูปสระ 3. เ- กับ โ- ในภาษาไทย เพ่อื ใชส าํ หรบั เตอื นความจาํ และนาํ ไปใชไ ดถกู ตอง นอกจากน้คี วรให 4. โ- กบั ใ- นักเรยี นรวมกันยกตวั อยา งคาํ ที่ใชรูปสระแตกตางกัน ไดแ ก คงรปู แปลงรูป ลดรูป และเตมิ รูป พรอ มตรวจสอบความถูกตอ งของคาํ นั้นๆ รวมกัน วเิ คราะหคําตอบ รปู สระ -ะ กับ ใ- ถึงแมจะมรี ปู เขียนตางกนั แตมีเสยี ง นักเรยี นควรรู สระเดยี วกันคอื เสียงสระ อะ ดังนัน้ จึงตอบขอ 3. 1 รปู สระ ลักษณะสําคัญของรปู สระในภาษาไทยนั้นเปน สระจม กลา วคือ เปนสระท่ไี มส ามารถปรากฏไดโ ดยลําพัง แตจ ะตอ งประกอบกบั พยญั ชนะเสมอ คูมอื ครู 101

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 2 สง ตวั แทน 3 คนออกมา จำกตำรำงข้ำงต้นจะเห็นว่ำ รูปสระทั้งหมด ๒๑ รูป จะประสมกันเกิดเป็นเสียงสระ รูปสระ อธบิ ายความรใู นประเดน็ ทไ่ี ดร บั มอบหมาย เหล่ำนใ้ี ช้แทนเสยี งสระโดยตรง และประสมกบั รปู สระต่ำงๆ เพ่ือแทนเสียงสระขำ้ งตน้ เชน่ ะ ใช้แทน ซึง่ การอธบิ ายความรขู องนักเรียน จะตอง เสียงสระอะ และประสมกับรูปอื่นเป็นเสียงสระเอะ แอะ โอะ เอำะ เออะ เป็นต้น นอกจำกนี้ ครอบคลมุ ประเดน็ ดังตอไปน้ี รปู สระตำ่ งๆ ยังมวี ธิ ีใช้เขยี นเมือ่ ประสมกบั พยญั ชนะ และประสมกบั สระอน่ื ๆ ทตี่ ำ่ งกัน ดังนี้ • ลักษณะของเสยี งพยัญชนะ • การใชอ ักษรแทนเสยี งพยัญชนะ ๑. เขียนหน้ำพยญั ชนะต้น เช่น เฉไฉ ใบไม้ โมเม เปน็ ต้น • รปู แบบการใชพ ยญั ชนะในภาษาไทย ๒. เขียนหลังพยญั ชนะตน้ เชน่ สำระ มฤตยู รอกอ่ น ชวน เปน็ ตน้ พรอ มทง้ั ระบแุ หลงทีม่ าของขอ มูล ๓. เขียนบนพยัญชนะตน้ เชน่ มวั กนิ ถงึ ฝมี อื ก็ดี เปน็ ตน้ ๔. เขียนใต้พยัญชนะต้น เช่น มุง่ กู งู ดุ เป็นต้น 2. ครสู มุ เรยี กชอ่ื นกั เรยี นเพอ่ื อธบิ ายความรเู กย่ี วกบั ๕. เขยี นโดดๆ โดยไม่ต้องประสมกับพยญั ชนะ เช่น ฤทัย ฤๅษี ฦๅชำ เป็นต้น ลักษณะของเสียงพยญั ชนะ โดยใชความรู ๖. เขียนประสมสระอื่น อำจเขียนบนพยัญชนะ หลังพยัญชนะ หรือล้อมรอบพยัญชนะก็ได้ ความเขาใจ ที่ไดร บั จากการฟง บรรยายของ เชน่ เมยี มือ ถึง เสีย มวั เธอ เลอะ ขนมเปยี๊ ะ เปน็ ตน้ เพอ่ื นๆ กลมุ ท่ี 2 เปนขอ มลู เบือ้ งตน สําหรับ ๗. ไมม่ ีรปู สระ มแี ตเ่ สยี งสระเทำ่ น้ัน เชน่ บ่ ณ ธ ลม เปน็ ตน้ ตอบคําถาม ๒) เสียงและรปู พยัญชนะ • เสยี งพยัญชนะมีลักษณะสาํ คญั ท่ีแตกตา ง จากเสียงชนิดอ่ืนๆ ในภาษาไทยอยา งไร ๒.๑) ตา� แหนง่ ทีเ่ กดิ ของเสียงพยัญชนะ เสยี งพยัญชนะเกดิ จำกลมที่ถูกขบั ออกจำกปอด (แนวตอบ เสียงพยัญชนะ เปน เสียงทเ่ี ปลง ผ่ำนมำตำมหลอดลม กระทบเส้นเสียงในหลอดลม แล้วผ่ำนมำถึงล�ำคอ ลมที่ออกมำนี้จะถูกกักก้ันไว้ ออกมาจากปอด เดินทางผานหลอดลม ในส่วนตำ่ งๆ ของชอ่ งปำกบำงส่วน หรือถกู กกั ทัง้ หมดแล้วจึงปล่อยลมออกมำทำงปำกหรือขึ้นจมกู กไ็ ด้ กลอ งเสยี ง เสน เสียง ผานลําคอสูชองปาก ท�ำให้เรำรู้สึกว่ำกำรออกเสยี งพยัญชนะไมส่ ะดวกเทำ่ กับกำรออกเสยี งสระ จดุ ทีล่ มถกู กักกั้นแล้วปลอ่ ย โดยใหล ิ้นกลอ มเกลาเสียงใหกระทบกับ ให้ลมออกมำน้ันเป็นท่ีเกิดของเสียงพยัญชนะ เรียกว่ำ ท่ีเกิด ที่ต้ัง หรือฐำนกรณ์ พยัญชนะมีที่เกิด อวยั วะสวนตา งๆ ภายในชอ งปาก เชน ฟน หลำยแห่ง ดงั นี้ ริมฝป าก ปุมเหงอื ก เพดานออน เพดานแขง็ ๑. เกดิ จากการกกั ลม แล้วปลอ่ ยออกมาจากลา� คอ เชน่ เสียง /ก/ /ค/ /ง/ ยกตวั อยาง เสยี ง /ป/ เปน เสียงพยญั ชนะที่ ลมเดินทางผานปอด หลอดลม กลองเสียง ๒. เกดิ จากการทีเ่ อาลนิ้ ไปแตะที่เพดานปาก1 แลว้ ปล่อยลมออกมา เชน่ เสียง /จ/ /ฉ/ /ย/ เสนเสียง จนกระทง่ั ลมเดนิ ทางมาถงึ บริเวณ ๓. เกดิ จากการทเ่ี อาลน้ิ ไปแตะทปี่ มุ่ เหงอื ก2 แลว้ ปลอ่ ยลมออกมา เชน่ เสยี ง /ฏ/ /ฑ/ /ฒ/ /ณ/ ชองปาก กอนทล่ี มจะถูกปลอ ยออกมานัน้ ๔. เกดิ จากการทเ่ี อาลนิ้ ไปแตะที่ฟัน3 แล้วปลอ่ ยลมออกมา เชน่ เสยี ง /ต/ /ถ/ /ท/ /น/ รมิ ฝปากไดกักลมไวช ่ัวระยะหนึง่ กอ นที่จะ ปลอยออกมา) ๕. เกดิ จากการกกั ลมที่รมิ ฝปี าก แล้วปล่อยเสยี งออกมา เชน่ เสียง /บ/ /ป/ /พ/ /ฟ/ /ม/ • จากความรู ความเขา ใจทั้งหมดของนักเรยี น ๖. เกิดในท่ตี า่ งๆ เชน่ เสียง /ร/ /ล/ เกดิ ทลี่ นิ้ เสียง /ว/ เกดิ จากการห่อริมฝีปาก ขอสงั เกตประการสําคญั ของเสยี งพยญั ชนะ คืออะไร 102 (แนวตอบ เสียงพยัญชนะจะออกเสยี งตาม ลําพังไมได จะตองมีเสียงสระมากาํ กบั หรอื ประสมอยดู วยจึงจะสามารถออกเสยี ง และมคี วามหมาย) นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอ ใดตอไปนกี้ ลาวไมถกู ตองเกีย่ วกบั เสียงพยัญชนะ 1 เพดานปาก หรอื เพดานแขง็ หมายถงึ เพดานสว นทโ่ี คง เปน กระดกู แข็ง 1. พยัญชนะตน เดย่ี วในภาษาไทยมี 44 หนวยเสยี ง ซึง่ อวัยวะที่อยเู ขาไปจากเพดานแข็งคอื เพดานออน มีลักษณะเปนกระดกู ออ น 2. หนว ยเสยี งพยัญชนะในภาษาไทยมี 21 หนวยเสียง ทีข่ ยับขึ้นลงไดเล็กนอย 3. เสยี งพยญั ชนะมที ัง้ ทเี่ ปนเสียงกอ งและเสียงไมกอง 2 ปุม เหงือก เปน สวนท่นี นู ออกมาตรงบริเวณหลงั ฟนดานบน เมือ่ ยกล้ินแตะดู 4. หนว ยเสยี งพยัญชนะนาสกิ ไดแ ก ม /m/ น /n/ และ ง / / จะรสู ึกวา มลี ักษณะเปน คล่ืน วเิ คราะหค าํ ตอบ เสยี งพยัญชนะในภาษาไทยมีทัง้ ส้ิน 21 หนวยเสยี ง 3 ฟน เปน อวยั วะซึง่ เปนฐานหรอื ตําแหนงท่ีเกิดของเสยี งหลายชนดิ เชน เสยี ง มที ้ังที่เปน เสียงกองและไมก อง เสยี งทล่ี มออกทางปาก ทางจมูก เสยี ดแทรกทีเ่ กิดระหวางฟนกับรมิ ฝป าก เสยี งเสียดแทรกทีเ่ กิดทฟี่ น เสียงเกิดท่ฟี น หรอื เรียกวาเสียงนาสกิ ไดแ ก ม /m/ น /n/ และ ง / / เสยี งท่ีลมถูกกกั เสยี งเสยี ดแทรก เสียงขา งลน้ิ เสยี งลิ้นรัว ดงั นนั้ จงึ ตอบขอ 1. 102 คมู่ อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๒.๒)  ลกั ษณะและประเภทของเสยี งพยญั ชนะ นกั เรยี นยนื ในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกนั อธบิ าย เสียงพยัญชนะในภาษาไทยแบ่งได้หลายประเภท โดยยึดจากลักษณะของลมที่ผ่าน ความรแู บบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการใชอ ักษรแทน ช่องปากหรือช่องจมกู ออกมา ดงั ตารางต่อไปนี้ เสยี งพยญั ชนะ โดยใชความรู ความเขาใจ ทไ่ี ดร ับ จากการฟง บรรยายของเพอ่ื นๆ กลมุ ที่ 2 เปน ขอ มลู ประเภทของเสยี งพยญั ชนะ ลักษณะของเสียง เบอ้ื งตน สําหรับตอบคําถาม เสียงระเบิด เ ป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมถูกกักหรือก้ันด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งภายใน • เสยี งพยัญชนะในภาษาไทยมหี ลายประเภท เสยี งนาสิก ช่องปาก ไดแ้ ก่ เสียง /ป/ /ต/ /จ/ /ก/ /อ/ /พ/ /ท/ /ช/ /ค/ /บ/ /ด/ ไดแก เสียงระเบิด เสียงกักหรือเสียงหยดุ เสยี งขา้ งลนิ้ เปน็ เสียงท่เี ปล่งออกมาแลว้ ลมถูกกกั ไว้ ณ ที่ใดท่หี นงึ่ ภายในชอ่ งปาก แลว้ ลด เสยี งนาสกิ เสยี งขา งลนิ้ เสยี งรวั เสยี งกระทบ เสียงกระทบ ล้นิ ไกล่ งท�าให้ลมออกไปทางจมูก ไดแ้ ก ่ เสยี ง /ม/ /ง/ /น/ เสียงเสยี ดแทรก เสียงกึง่ สระ นกั เรียนคดิ วา เสยี งเสียดแทรก เ ปน็ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาแลว้ ลมถกู กกั ไวภ้ ายในชอ่ งปาก แลว้ ปลอ่ ยใหล้ มบางสว่ น ความแตกตางดังกลา วมสี าเหตจุ ากอะไร เสียงก่งึ สระ ออกไปทางข้างล้ิน ได้แก ่ เสยี ง /ล/ (แนวตอบ สาเหตุที่ทาํ ใหพ ยัญชนะแตละ เ ปน็ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาขณะทป่ี ลายลนิ้ สน่ั สะบดั ถา้ ปลายลนิ้ สน่ั หลายครง้ั จะเกดิ หนวยเสียงมคี วามแตกตา งกนั เพราะลมท่ี เปน็ เสยี งรวั ถ้าปลายลน้ิ สะบดั เพยี งครง้ั เดียวเรยี กเสยี งกระทบ ได้แก ่ เสยี ง /ร/ ผานออกมาจากแหลงกําเนดิ กอ นถกู ปลอ ย เ ป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมต้องบีบตัวผ่านช่องแคบๆ ท�าให้เกิดเสียงซู่ซ่า ออกมา ไดถกู อวัยวะในชอ งปากกลอ มเกลา ได้แก ่ เสียง /ฟ/ /ซ/ /ฮ/ จนกระทัง่ มเี สียงทแ่ี ตกตา งกัน และมี เปน็ เสียงเล่ือนระหวา่ งเสียงสระ ๒ เสยี ง ไดแ้ ก ่ เสยี ง /ย/ ซง่ึ เป็นเสียงทเ่ี กิดเมือ่ บางเสยี งทล่ี มผา นออกมาทางชอ งจมกู ) อวัยวะออกเสียงเลอื่ นจากต�าแหนง่ สระอ ิ หรือ อี ไปยงั สระทีต่ ามมา สว่ นเสียง /ว/ เป็นเสียงกึ่งสระท่ีเกิดเมื่ออวัยวะออกเสียงเล่ือนจากต�าแหน่งสระอุ หรือ อ ู • เสยี งนาสกิ มลี ักษณะสาํ คญั อยา งไร ไปยังสระที่ตามมา (แนวตอบ เสยี งนาสกิ หมายถงึ พยญั ชนะกอ ง ทอี่ อกเสียงโดยลมถูกกักไว ณ ทีใ่ ดที่หนง่ึ ใน ๒.๓)  การใชอ้ ักษรแทนเสียงพยญั ชนะ เสียงพยัญชนะในภาษาไทย มี ๒๑ หน่วยเสยี ง คือ ชอ งปาก แลว ลดลน้ิ ไกล งทาํ ใหล มผา นออกไป เสยี ง /ก/ /ค/ /ง/ /จ/ /ช/ /ซ/ /ด/ /ต/ /ท/ /น/ /บ/ /ป/ /พ/ /ฟ/ /ม/ /ย/ /ร/ /ล/ /ว/ /อ/ /ฮ/ ทางชอ งจมกู ไดแ ก เสยี ง น /n/ ม /m/ และ มตี วั อักษรแทนเสยี งพยัญชนะ ๔๔ รปู พยญั ชนะบางเสยี งมีรปู มากกว่าเสียง ดังน้ี ง / /) เสยี งพยญั ชนะ รูปพยญั ชนะ เสียงพยญั ชนะ รปู พยัญชนะ • หนว ยเสียงพยญั ชนะตน ในภาษาไทย มีทง้ั สน้ิ กี่หนวยเสยี ง ๑. /ก/ ก ๑๒. /ป/ ป (แนวตอบ 21 หนว ยเสยี ง) ๒. /ค/ ข ฃ ค ฅ ฆ ๑๓. /พ/ ผ พ ภ ๓. /ง/ ง ๑๔. /ฟ/ ฝ ฟ ๔. /จ/ จ ๑๕. /ม/ ม ๕. /ช/ ฉ ช ฌ ๑๖. /ย/ ย ญ ๖. /ซ/ ซ ศ ษ ส ๑๗. /ร/ ร ๗. /ด/ ด ฎ ฑ ๑๘. /ล/ ล ฬ ๘. /ต/ ต ฏ ๑๙. /ว/ ว ๙. /ท/ ท ธ ฑ ฒ ถ ฐ ๒๐. /อ/ อ ๑๐. /น/ น ณ ๒๑. /ฮ/ ห ฮ ๑๑. /บ/ บ 103 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นักเรยี นศึกษาเกี่ยวกับการใชพยญั ชนะในภาษาไทย โดยใชเปน ครคู วรยกตวั อยา งการอธบิ ายเสน ทางการเดนิ ทางของเสยี งพยญั ชนะใหน กั เรยี น พยัญชนะตนเดี่ยว พยญั ชนะควบกลํ้า และพยัญชนะทา ยหรอื ตวั สะกด ฟง เพอื่ ใหม องเหน็ ทศิ ทางการปฏบิ ตั งิ านของตนเอง เชน เสยี ง ง /ŋ/ เปน เสยี งนาสกิ อธบิ ายคาํ นยิ ามและยกตวั อยา งคาํ ประกอบใหช ดั เจน นาํ เสนอผลการศกึ ษา เกิดท่ฐี านเพดานออน เม่อื เริ่มตน จะเปลงเสียง ลิ้นสวนหลังจะขึ้นไปแตะเพดานออ น ในรปู แบบใบความรเู ฉพาะบุคคล สงครู ลมจะถกู กกั ในบริเวณดงั กลาว ในขณะเดียวกนั เพดานออ นและล้ินไกจ ะลดระดบั ลงมาทาํ ใหล มผา นออกไปทางชอ งจมกู ได เมอ่ื เปด เพดานออ น ลมจะออกทางปากดว ย กิจกรรมทา ทาย ขณะทเ่ี ปลง เสยี งนน้ั เสน เสยี งอยชู ดิ กนั แตไ มส นทิ ลมจากปอดจะผา นเสน เสยี งขน้ึ มา ทาํ ใหเสนเสียงเกิดการสั่นสะเทอื น นอกจากน้คี รูควรใหน กั เรยี นออกมานาํ เสนอ นักเรียนศกึ ษาเกย่ี วกับการออกเสียงพยัญชนะทั้ง 21 หนว ยเสียง วามี ผลการศกึ ษาจากการปฏิบตั กิ ิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย เพอื่ เปน การ วธิ กี ารเดินทางของเสยี งต้งั แตต นกาํ เนิดของเสียงจนกระท่งั ลมถูกปลอ ย แลกเปลย่ี นขอมูลซึง่ กันและกัน เกิดความรู ความเขา ใจท่ีถกู ตอ งตรงกนั ออกมาอยา งไร นาํ เสนอผลการศกึ ษาในรปู แบบใบความรเู ฉพาะบคุ คล สง ครู คูม่ อื ครู 103

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ นักเรยี นยนื ในลกั ษณะวงกลมเพ่อื รวมกนั อธบิ าย ๒.๔) ๑ก.ารพใยชญั้พชยนัญะชตนน้ ะเสสยี ำง1มคำอืรถพแยบญั ง่ ไชดนเ้ ปะน็ทอี่๒ยปตู่ นร้ ะคเำ�ภหทรอดื ตงั นน้ ้ีพยำงคซ์ งึ่ ใชไ้ ด้ ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี ความรแู บบโตตอบรอบวงเกย่ี วกับรปู แบบการใช พยัญชนะในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ พยัญชนะต้นเสยี ง ลักษณะพยญั ชนะตน้ ตัวอยา่ ง ท่ีไดร บั จากการฟงบรรยายของเพอ่ื นๆ กลมุ ท่ี 2 เปนขอ มลู เบื้องตน สาํ หรับตอบคําถาม พยัญชนะตน้ เด่ยี ว พยัญชนะหน่ึงตัวอยู่ต้นคำ� หรือต้นพย�งค์ ซ่ึง กนิ นั่ง พดู ยืน เดิน หน่วยเสียงพยัญชนะทั้ง ๒๑ หน่วยเสียง ใน • เสยี งพยัญชนะในภาษาไทย หากแบง โดยใช ภ�ษ�ไทยส�ม�รถปร�กฏเป็นพยัญชนะต้นของ เกณฑการนาํ ไปใชห รือการประกอบรูปคาํ พย�งค์ไดท้ กุ หน่วยเสยี ง จะแบงไดก ่ปี ระเภท อะไรบา ง (แนวตอบ 3 ประเภท ไดแก พยญั ชนะตน /ปร/ แปร ปรับ พยัญชนะควบกลาํ้ และพยญั ชนะทา ย) /ปล/ ปล� ปลอบ • พยญั ชนะควบกลํา้ ในภาษาไทยปรากฏ เปน พยญั ชนะตน ไดจ าํ นวนก่เี สยี ง /ตร/ ตรง แตร และอะไรบา ง (แนวตอบ 11 คู ไดแก /ปร/ /ปล/ /ตร/ /กล/ พยญั ชนะควบแทใ้ นภ�ษ�ไทยมหี นว่ ย /กล/ กล�้ กลอง /กร/ /กว/ /พล/ /พร/ /คล/ /คร/ และ /คว/) เสียงพยัญชนะท่ีส�ม�รถออกเสียง /กร/ กรงุ เกรยี ว • นักเรียนตัง้ ขอสังเกตเกี่ยวกบั เสียงพยญั ชนะ ควบกลาํ้ ตอ ไปน้ี /บร/ /บล/ /ดร/ /ทร/ /ฟร/ ควบกลำ้� คือ ออกเสียงพยัญชนะ /กว/ กว�ง กว�ด /ฟล/ /ซตร/ แตกตางจากพยัญชนะควบกลํ้า ทัง้ 11 คูอ ยา งไร พยัญชนะควบกล้ำ� ๒ เสียง ตดิ ตอ่ กัน โดยไมม่ เี สียงสระ /พล/ เพลง พลู ผลิ (แนวตอบ พยญั ชนะควบกล้าํ /บร/ /บล/ /ดร/ คั่นกล�ง ปร�กฏท้ังสิ้น ๑๑ คู่ /พร/ พร�น พรกิ พฤกษ์ /ทร/ /ฟร/ /ฟล/ /ซตร/ เปนพยัญชนะ ควบกล้าํ ที่เกดิ ขนึ้ จากการยืมคาํ ในภาษา /คล/ คล�น คล้อย เขล� อังกฤษมาใช) /คร/ ครอง เคร� ขรวั • พยัญชนะทายทัง้ 9 หนว ยเสยี งปรากฏ ในตําแหนง ใดของการประสมหนว ยคาํ /คว/ คว�ม คว้�ง ขว�ง (แนวตอบ ปรากฏตามหลงั สระ) พยัญชนะควบไม่แท้ คือ คำ�ที่ประสมกับพยัญชนะ จรงิ เศร�้ ไซร้ สระ สร�้ ง สรอ้ ย (หรือ ตวั อนื่ แลว้ ออกเสยี งเพยี งเสยี งเดยี ว ตวั ทมี่ �ควบกล�ำ้ อ�จออกเสยี งเปน็ เสยี งอนื่ ไป เชน่ ทร�บ ด้วยไมอ่ อกเสยี ง พทุ ร� ตน้ ไทร ฉะเชิงเทร� ทรพั ย์) อักษรน�ำ พยัญชนะต้นสองเสียงที่ออกเสียงร่วมกันสนิท หม� หมอ หมู หนู แหน หน� หนี หง�ย และท�ำ ใหเ้ สยี งพยญั ชนะตวั ทส่ี องเสยี งสงู ขน้ึ กว�่ เดมิ หรหู ร� หลวม อย�่ อยู่ อย่�ง อย�ก เสยี งพยญั ชนะทง้ั สองเสยี งประสมกนั แตไ่ มก่ ลมกลนื กนก ขนม ขนนุ เฉลิม ฉล�ด ตล�ด กันสนิท จงึ มีเสียง อะ กล�งค�ำ กง่ึ เสยี ง ตลก ตลอด ฝรั่ง สน�ม สนุกสน�น 104 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดมีเสียงพยัญชนะควบกลํ้ามากท่ีสุด เกรด็ แนะครู 1. อยา เลนสนกุ สนานคร้ืนเครงบนซากปรกั หักพัง 2. ครอบครัวนี้รวมพลังสูผีพรายในนทิ านปรัมปรา ครคู วรใหน ักเรยี นรว มกนั ยกตัวอยา งคาํ ที่ขน้ึ ตนดว ยพยญั ชนะควบกลํ้าใน 3. เหลาววั ควายเดนิ กินนํา้ บริเวณหนองนาํ้ ใกลท งุ นา ภาษาไทย ทงั้ ควบแทและควบไมแ ท รวมถึงคําทีข่ ึน้ ตน ดว ยพยัญชนะควบกลาํ้ ทีเ่ กิด 4. นกปรอดสีขาวบินปรอบนทองฟา เวลายามเยน็ จากการยมื คาํ ในภาษาอังกฤษมาใช ตรวจสอบความถูกตอ ง และวธิ ีการออกเสยี งท่ี วเิ คราะหค ําตอบ ขอ สอบลกั ษณะน้ีถาหากโจทยใ หหาเสยี งพยญั ชนะ ถูกตอ งรวมกัน จากนั้นจงึ ใหนักเรยี นบันทกึ คําลงในสมุด สง ครู ควบ ตอ งหาทงั้ คาํ ควบแทแ ละคาํ ควบไมแ ท แตถ าโจทยใหหาพยัญชนะ ควบกลา้ํ ตองหาเฉพาะคําควบแท จากคาํ นิยามนี้ ขอ 1. ไดแกคําวา นกั เรยี นควรรู ครน้ื เครง ขอ 2. ไดแ กค าํ วา ครอบ ครวั พราย ขอ 3. ไดแกค าํ วา ควาย ใกล และขอ 4. ไดแกค ําวา ปรอ ดงั นนั้ จึงตอบขอ 2. 1 พยัญชนะตน เสียง หมายถงึ เสยี งพยัญชนะท่ปี รากฏหนา สระในพยางคหนึ่งๆ ในภาษาไทยทกุ พยางคจ ะขนึ้ ตนดวยเสียงพยัญชนะ โดยอาจเปนเสียงพยัญชนะ เดย่ี วหรอื ควบกลาํ้ ก็ได แตจะไมมีพยางคที่ขึน้ ตน ดวยสระ 104 คู่มอื ครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๒. พยัญชนะท้ายเสียง1 หมายถึง เสียงพยัญชนะที่อยู่ท้ายค�าหรือพยางค์ เรียกว่า 1. นกั เรยี นกลุมที่ 3 สง ตัวแทน 3 คน ออกมา อธิบายความรใู นประเด็นทไ่ี ดร ับมอบหมาย มาตราตัวสะกด มีทั้งหมด จา� นวน ๘ เสยี ง ดังน้ี ซ่ึงการอธิบายความรูข องนกั เรียนจะตอง ครอบคลุมประเด็น ดงั ตอ ไปนี้ มาตราตวั สะกด เสียง รปู พยญั ชนะทา้ ย ตวั อยา่ ง • ลักษณะของเสียงวรรณยกุ ต ๑. แม่กก ปกั สุข ยคุ เมฆ • รูปและเสียงของวรรณยุกต ๒. แม่กด /ก/ ก ข ค ฆ โปรด กฎ ชาต ิ ปรากฏ นจิ คช บาท • หลักการผันเสยี งวรรณยุกต พธุ อากาศ โทษ รส ก๊าซ อฐิ ครฑุ พรอมทง้ั ระบแุ หลงทีม่ าของขอมลู /ต/ ด ฎ ต ฏ จ ช ท ธ วฒั นา รถ ๓. แมก่ บ ลบ บาป เทพ กราฟ โลภ 2. ครสู ุม เรยี กชือ่ นกั เรยี นเพ่อื อธิบายความรู ๔. แมก่ ง ศ ษ ส ซ ฐ ฑ ฒ ถ ลงิ แสง แหง่ เกี่ยวกับลักษณะของเสียงวรรณยกุ ต โดย ๕. แมก่ น ซน คุณ กาญจน์ พร นลิ กาฬ ใชความรู ความเขา ใจ ท่ีไดรบั จากการฟง ๖. แมก่ ม ชม คาม เข็ม บรรยายของเพ่ือนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมลู ๗. แมเ่ กย ขาย ควาย เชย เบือ้ งตนสาํ หรบั ตอบคาํ ถาม ๘. แม่เกอว /ป/ บ ป พ ฟ ภ หวิ แว่ว ขาว แก้ว เลี้ยว เปร้ยี ว • เสยี งวรรณยกุ ตม ีลักษณะสาํ คัญทแี่ ตกตาง จากเสยี งชนิดอืน่ ๆ ในภาษาไทยอยา งไร /ง/ ง (แนวตอบ เสียงวรรณยกุ ตเปน เสียงทม่ี ี ทํานองสูง ตาํ่ ดงั นน้ั ขอสังเกตเกยี่ วกบั /น/ น ณ ญ ร ล ฬ เสยี งวรรณยุกต คือ เสียงวรรณยุกตเปน เสยี งดนตรี หากเปลีย่ นเสยี งวรรณยกุ ต /ม/ ม จะทําใหความหมายของคาํ เปล่ียนแปลงไป) • วรรณยกุ ตระดับและวรรณยกุ ตเ ปลยี่ นระดบั /ย/ ย มีความแตกตางกันอยา งไร (แนวตอบ วรรณยกุ ตร ะดบั คอื วรรณยุกต /ว/ ว ท่ีมีเสยี งสูงหรอื ต่ําคงท่ี ไดแก เสยี งสามัญ เอก และตรี สวนวรรณยกุ ตเ ปลย่ี นระดบั คือ เสียงพยัญชนะท้ายพยางค์นี้ ถ้าตัวใดมีเคร่ืองหมายทัณฑฆาต (-์) ก�ากับอยู่แสดงว่าพยัญชนะ วรรณยกุ ตที่มีการเปลีย่ นระดบั เสยี งจากสูง ไปตํ่า หรือต่าํ ไปสงู ในพยางคเดยี วกัน ไดแ ก ตวั นน้ั ไม่ต้องออกเสียง จะออกเสียงเฉพาะเสยี งพยัญชนะท้ายตวั ทเ่ี หลอื เชน่ พมิ พ ์ (พมิ ) ศุกร ์ (สุก) เสียงวรรณยุกตโ ท โดยเปลีย่ นจากระดับสูง ลงมาตาํ่ และเสียงวรรณยุกตจตั วา โดย พจน์ (พด) ทิพย์ (ทบิ ) วงศ์ (วง) พิพัฒน ์ (พิพัด) เปลี่ยนจากระดับต่าํ ขนึ้ สูง) ๓) เสียงและรปู วรรณยุกต์ ๓.๑) ลักษณะและประเภทของเสียงวรรณยุกต์ วรรณยุกต์เป็นเคร่ืองหมายแสดงระดับ เสียงสูงต่�าในภาษา ค�าที่มีรูปพยัญชนะและสระเหมือนกัน ถ้าเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน จะท�าให้ค�า มคี วามหมายต่างกัน เชน่ นา นา่ น้า ปา ปา่ ปา้ ปา๊ ปา๋ ไข ไข ่ ไข้ เรอื เรอื่ เรอ้ื เสียงวรรณยุกต์จะปรากฏทุกคร้ังเมื่อมีการออกเสียง ค�าไทยทุกค�าจะปรากฏเสียง วรรณยุกต์ก�ากับอยู่ด้วยเสมอ ค�าบางค�ามีรูปวรรณยุกต์ก�ากับหรืออาจจะไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับอยู่ ก็ได้ วรรณยุกตม์ ี ๔ รปู ๕ เสยี ง ดงั นี้ 105 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’53 ออกเกยี่ วกบั พยัญชนะทา ยเสยี งหรือพยญั ชนะสะกด ขอใดมเี สียงพยญั ชนะสะกดตา งจากขอ อ่นื เพื่อเพมิ่ ความรู ความเขาใจใหแ กน กั เรียนเกย่ี วกบั พยญั ชนะสะกดหลายเสยี ง 1. ขาว 2. ตัว ในภาษาอังกฤษ เม่อื ภาษาไทยยืมคาํ นน้ั ๆ มาใชไ ดมกี ารตดั เสียงพยัญชนะทายให 3. ผิว 4. เกยี่ ว เหลือเพียงเสยี งเดยี ว เชน “world” เม่ือยืมมาใชใ นภาษาไทยไดตัดพยญั ชนะทอี่ ยู วิเคราะหคําตอบ พยัญชนะสะกด หรือพยญั ชนะทายเสียง เมอ่ื นําไป หนา ตัวสะกดออก แลว ใสเคร่อื งหมายทัณฑฆาตไวบนพยัญชนะตัวสะกดตัวสดุ ทา ย ประกอบรปู คาํ จะปรากฏในตาํ แหนง ทา ยคาํ หรอื ทา ยพยางค ซง่ึ ในภาษาไทย เปน “เวิลด” มี 9 มาตรา ไดแก แม ก.กา แมกก แมก ด แมก บ แมก ง แมก น แมก ม แมเกย และแมเ กอว จากตวั เลือกในขอ 1. พยัญชนะสะกด คือ /ว/ ขอ 2. นกั เรยี นควรรู ไมม เี สียงพยัญชนะสะกด เปนคําในมาตรา แม ก. กา ประสมดว ย สระ -ัว ขอ 3. พยญั ชนะสะกด คอื /ว/ และขอ 4. พยญั ชนะสะกด คอื /ว/ 1 พยญั ชนะทายเสยี ง หมายถงึ เสียงพยัญชนะท่ปี รากฏหลังสระ เปนเสียง ดงั น้ันจึงตอบขอ 2. สะกดของพยางค ซ่งึ พยญั ชนะทา ยในภาษาไทยจะปรากฏไดเพียงครง้ั ละเสยี ง แตกตางจากภาษาอืน่ ๆ เชน ภาษาองั กฤษ ซึ่งอาจจะมีเสยี งพยัญชนะสะกด ไดค รัง้ ละหลายเสยี ง ค่มู อื ครู 105

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ นกั เรียนยนื ในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกนั อธิบาย เสยี ง รปู ระดับเสยี ง ตัวอยา่ ง หมายเหตุ ความรแู บบโตตอบรอบวงเก่ียวกับเสยี งวรรณยกุ ต วรรณยุกต์ วรรณยกุ ต์ ในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขา ใจ ที่ไดร ับ สามัญ จากการฟง บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปน ขอมูล - ปานกลาง มรี ะดับ กนิ ทอง ลืม ย�า ไม่มรี ูปวรรณยุกต์แทนเสยี ง เบื้องตน สาํ หรบั ตอบคําถาม เอก โท เสียงคงที่ • เสียงวรรณยกุ ตใ นภาษาไทยแบงออกเปน กปี่ ระเภท และมีความแตกตางกันอยางไร ตรี ่ ต�า่ สดุ มเี สียงคงท่ี เก่ง ผ่า หนกั สขุ บางค�าไม่มรี ูปวรรณยกุ ต์ (แนวตอบ วรรณยุกตใ นภาษาไทยแบงเปน สม่�าเสมอ ก�ากบั 2 ประเภท คือ วรรณยกุ ตมีรปู และวรรณยกุ ต จตั วา ไมม รี ปู ซง่ึ วรรณยกุ ตม รี ปู หมายถงึ วรรณยกุ ต ้ ตอนต้นเป็นเสยี งสงู ใกล้ ขา้ คา่ ช่าง บางค�ามรี ปู วรรณยกุ ต์ ่ ก�ากบั ทมี่ เี ครือ่ งหมายบอกระดับเสียงใหเ ห็นชัดเจน ปลายเสยี งเปล่ียน มาก นาบ แต่มีเสยี งวรรณยกุ ต์โท อยูบนพยัญชนะ มี 4 รปู ไดแก เอก โท ตรี ระดบั เปน็ เสยี งต่�า บางค�าไม่มีรูปวรรณยกุ ตก์ า� กบั และจตั วา สว นวรรณยกุ ตไ มมีรปู ไดแก เสียงทม่ี ที าํ นอง สูง ตํ่าของอักษร ไมม รี ูป ๊ สูง โตะ๊ จ๊ะ ก๊ัก รัก บางค�ามรี ูปวรรณยกุ ต์ ้ ก�ากบั วรรณยุกตกาํ กับก็สามารถอานออกเสยี งได คิด น้อง ไว้ ใช้ แตม่ เี สียงวรรณยกุ ต์ตรี เหมือนมรี ูปวรรณยุกตก ํากบั เชน ฝาย เปน คาํ พื้นเสยี งของอักษรสูง ซ่งึ คาํ พน้ื เสียงของ บางคา� ไม่มีรปู วรรณยุกต์ก�ากับ อักษรสูง คือ เสียงจตั วา แมไ มปรากฏ รปู วรรณยุกตจัตวาแตกส็ ามารถออกเสียง ๋ ตอนต้นเสียงต�่า แจ๋ว กว๋ ยเตี๋ยว บางคา� ไมม่ ีรูปวรรณยุกต์ก�ากบั จตั วาได) ตอนปลายเสียงเปน็ เหลือง เขยี ว ระดบั เสียงทส่ี งู ขนึ้ • นกั เรียนมีความคดิ เหน็ อยางไร เกี่ยวกบั คําในภาษาไทยทเี่ ม่อื เปล่ียนรูปและเสียง จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า ค�าไทยทุกค�าต้องมีเสียงวรรณยุกต์ก�ากับเสมอ เสียงบางเสียง วรรณยกุ ตแ ลว จะทาํ ใหความหมายของคาํ อาจมรี ปู หรือไม่มีรปู ก็ได้ เปล่ียนแปลงไป (แนวตอบ ชว ยใหภ าษาไทยมีคําสาํ หรับ วรรณยุกต์ทม่ี แี ตเ่ สียงไมม่ รี ปู เชน่ ใชส อื่ สารมากขน้ึ ในชีวิตประจาํ วัน) กา มา เดือน เสียงสามัญ ขาด จาก หลบ เสียงเอก ฆาต แรด พูด เสยี งโท รกั นอ้ ง วดั เสียงตรี สาว ขา สวย เสยี งจตั วา สา� หรับวรรณยกุ ต์ท่มี รี ปู รูปกับเสยี งอาจไมต่ รงกันก็ได้ 106 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ประโยคในขอใดปรากฏคําทม่ี ีเสียงวรรณยกุ ตไ มต รงกบั รปู มากทสี่ ุด เกร็ดแนะครู 1. พขี่ องฉันเปนคนนารกั 2. ในปามแี ตตนไม 3. กระตายต่ืนตมู 4. เขาไมม ีที่ไป การเรยี นการสอนในหัวขอ หลกั การผันเสียงวรรณยกุ ต ครูควรใหค ํานยิ าม เกยี่ วกบั การผันเสยี งวรรณยกุ ต ดังนี้ การผนั เสียงวรรณยุกต หมายถึง การเปลย่ี น วิเคราะหค ําตอบ หากนกั เรยี นมคี วามรู ความเขาใจเกย่ี วกบั ไตรยางศ เสยี งวรรณยุกตของพยางคท่ีประกอบข้ึนจากพยัญชนะตนกับสระ หรือพยัญชนะตน จะทาํ ใหสามารถทําขอสอบขอ น้ไี ดง า ยและรวดเร็วข้ึน เม่ือสงั เกตจาก กับสระและตวั สะกดเดียวกนั โดยใสร ปู วรรณยุกตท ่ีตา งกันก็จะทาํ ใหค วามหมาย ตัวเลอื กจะเห็นวา ขอ 3. เปนคาํ ทป่ี ระสมดว ยพยญั ชนะทเ่ี ปนอักษรกลาง ของคําแตกตา งกันดว ย นอกจากน้ียงั ทาํ ใหเ กดิ คาํ เปน คาํ ตาย ขน้ึ ในภาษาไทย มากท่ีสุด ซงึ่ โดยสว นใหญจ ะออกเสียงตรงกับรปู วรรณยุกตม ีเพียงคาํ วา ซงึ่ เอื้อประโยชนตอการนาํ ไปประกอบการแตงบทรอ ยกรองเพ่อื ใหตรงฉนั ทลักษณ กระ คาํ เดยี วทไ่ี มม รี ปู วรรณยกุ ตก าํ กบั แตอ อกเสยี งเปน เสยี งเอก ซง่ึ ตวั เลอื ก ในขอ 3. จงึ ตัดทง้ิ ไดท ันที พิจารณาวรรณยุกตทม่ี เี สยี งไมต รงกับรปู มมุ IT หมายถึง มีรปู วรรณยุกตก าํ กบั แตเ วลาอาน อานออกเสยี งไมต รงกบั รปู วรรณยุกตท ่ีกํากบั อยูข า งบน ขอ 1. ไดแกคาํ วา พี่ ของ ฉัน นา รกั ขอ 2. นักเรียนสามารถคนควาความรู ความเขาใจเกย่ี วกับพยัญชนะไทย และการผนั วรรณยกุ ตไดจ ากเว็บไซต www.st.ac.th/bhatips/gramma3.htm ไดแกคาํ วา ไม ขอ 4. ไดแ กคําวา เขา ไม ท่ี ดงั นั้นจงึ ตอบขอ 1. 106 คู่มอื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ วรรณยุกตท์ ่มี เี สียงตรงกบั รปู เชน่ นักเรยี นใชค วามรู ความเขาใจเกย่ี วกับการ ผันเสียงวรรณยุกตท ไ่ี ดร บั จากการฟง บรรยาย ข่ำ สง่ำ หม่ี วรรณยุกตร์ ูปเอก เสยี งเอก ของเพอ่ื นๆ กลมุ ที่ 3 เปน ขอ มูลเบ้อื งตน สําหรับ ก้อง จ้ำ ป้ำ วรรณยุกตร์ ูปโท เสียงโท ตอบคําถาม โตะ๊ แก๊ส กัก๊ วรรณยุกตร์ ปู ตรี เสยี งตรี แตว๋ จำ๋ ปมิ๋ วรรณยุกต์รปู จตั วำ เสียงจตั วำ • จากท่นี กั เรียนเคยทราบวา มกี ารแบง พยัญชนะออกเปน อักษรสงู อักษรกลาง วรรณยุกต์ที่มเี สียงไม่ตรงกับรปู เชน่ เสยี งโท และอกั ษรตาํ่ การแบง พยัญชนะในลักษณะ วำ่ คำ่ งำ่ ย โล่ง วรรณยกุ ตร์ ปู เอก เสียงตรี ดังกลาวมีประโยชนอ ยางไร รอ้ น น้อง ฟ้ำ คำ้� วรรณยุกต์รปู โท (แนวตอบ การจาํ แนกพยญั ชนะเปน อกั ษรสงู อักษรกลาง และอกั ษรตา่ํ ทําใหส ามารถ ๓.๒) หลักการผันเสียงวรรณยุกต์ เน่ืองจำกเสียงวรรณยุกต์จะใช้ควบคู่กับรูปพยัญชนะ ผนั คาํ ใหม เี สียงและรูปตา งๆ กันได เมือ่ ดังน้ัน ในกำรผันเสียงวรรณยุกต์เพื่อแยกควำมหมำยของค�ำ ผู้เรียนจ�ำเป็นต้องมีควำมรู้เกี่ยวกับ คาํ เหลา น้นั มีเสยี งและรูปตา งกนั จะทําให ไตรยำงศ์ หรืออกั ษรสำมหมู่ และเรอื่ งคำ� เปน็ ค�ำตำย พอสงั เขป ดังนี้ ความหมายของคําตางกันดว ย เชน ปา ปา ปา ปา ปา คําทั้ง 5 คํา ลวนมเี สยี ง รปู และ ๑. ไตรยำงศ์ คือ กำรจัดพยญั ชนะไทยทง้ั ๔๔ รปู แบ่งเป็นสำมหมู่เพอื่ ใหส้ ะดวก ความหมายท่ตี างกันในบริบททแ่ี ตกตางกนั ในกำรผนั อกั ษร ดังนี้ ทําใหภ าษาไทยมีคาํ ใชเพม่ิ มากขึ้น) อกั ษรสูง ไตรยางศ์ อักษรตา่� 1 • การผันเสยี งวรรณยุกตชว ยทาํ ใหภ าษาไทย ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห มีคาํ ใชเ พ่ิมขึ้นไดอ ยา งไร อักษรกลาง ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ภ (แนวตอบ การผนั เสยี งวรรณยุกตเ มอ่ื รูป ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ ฟ ฮ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ วรรณยกุ ตทีใ่ ชก ํากับขา งบนคําน้ันๆ เปล่ียนไป เสยี งทไี่ ดก ็จะเปล่ยี นไป สง ผลให ๒. คำ� เปน็ คือ คำ� ทปี่ ระสมกับสระเสียงยำวในแม่ ก กำ เชน่ พี่ ป้ำ ไป เรือ และ ความหมายของคาํ เปลีย่ นแปลงไปดวย ค�ำที่สะกดในแมก่ ง กน กม เกย เกอว เชน่ ลุง กนิ นม เลย หวิ รวมท้ังค�ำทป่ี ระสมด้วยเสยี งอำ� ไอ ใอ เชน กัน จึงทําใหม คี าํ ใชในความหมายท่ี เอำ เชน่ นำ�้ ไม่ ใจ เมำ แตกตา งกนั เชน ฉนั ปาลกู ดอก พอ ไป เดินปา ปา ของฉนั เปน คนใจดี เปนตน) ๓. ค�ำตำย คอื ค�ำที่ประสมดว้ ยสระเสียงสน้ั ในแม่ ก กำ เช่น มะระ เกะกะ เอะอะ เลอะเทอะ และค�ำที่สะกดในแมก่ ก กด กบ เชน่ นก มด จบั • วรรณยกุ ตสามารถออกเสยี งไมต รงกบั รูปได นักเรียนยกตัวอยางคําท่ีตรงกบั ขอ สงั เกต 107 (แนวตอบ คาํ ท่อี อกเสียงไมต รงกบั รูป วรรณยุกต เชน อักษรต่าํ ถา มีรูปวรรณยุกต เอกจะอา นออกเสียงเปนเสียงโท เชน คา และถามรี ูปวรรณยุกตโท จะอานออกเสยี ง เปน เสยี งตรี เชน นาํ้ หรอื อกั ษรสงู ในคาํ วา ขา ไมปรากฏรปู วรรณยุกตแ ตเ วลาอานออกเสยี ง จะออกเสียงเปนเสียงจตั วา) ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเก่ียวกบั ไตรยางศ ครูควรจดั กิจกรรมยอยภายในชั้นเรียน โดยใหนกั เรยี นรว มกนั ยกตัวอยา ง ขอ ใดใชพยญั ชนะตนของคาํ เปนอกั ษรต่ําคทู ัง้ หมด พยัญชนะในหมวดอกั ษรสงู ท่มี เี สยี งคูก บั พยญั ชนะในหมวดอักษรตํา่ คู 1. งใู หญในรั้ววัดโมลี 2. ฉันฝากถงุ ขาวสวยใหผอ ง นกั เรยี นควรรู 3. การจัดเด็กตอ งบอกปาอบ 4. คนแซเฮงชอบแฟนพันธุแท 1 อักษรตํ่า คอื พยัญชนะทมี่ พี ้นื เสยี งเปน เสียงสามัญ มี 24 ตัว แบง เปน วิเคราะหคาํ ตอบ อกั ษรตา่ํ คู หรืออักษรตาํ่ ท่มี เี สียงคูก บั อกั ษรสงู อักษรตา่ํ คู และอักษรตาํ่ เด่ียว ซงึ่ อักษรตํ่าคู คืออักษรต่าํ ที่มีเสยี งคูกบั อกั ษรสูง มี 14 ตวั ไดแก ค ฅ ฆ ช ฌ ซ ฑ ฒ ท ธ พ ภ ฟ ฮ และอกั ษรต่าํ เดี่ยว คอื มี 14 ตัว ไดแก ค ฅ ฆ ช ฌ ซ ฑ ฒ ท ธ พ ภ ฟ ฮ ซ่งึ ตวั เลอื กในขอ 1. อกั ษรตํา่ ทไี่ มม เี สยี งคกู ับอกั ษรสูงมี 10 ตัว ไดแ ก ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ เปนอักษรต่าํ เดีย่ วทกุ ตัว ขอ 2. เปน อกั ษรสงู ทุกตวั ขอ 3. เปน อกั ษรกลาง ทกุ ตัว ดงั น้ันจงึ ตอบขอ 4. ค่มู อื ครู 107

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ แบง นกั เรยี นออกเปน 3 กลมุ ตามความสมคั รใจ การผันวรรณยุกต์ของอักษรต่�าค�าเป็นและอักษรต�่าค�าตายมีข้อท่ีน่าสังเกตประการหนึ่งว่า โดยใหม ีจํานวนสมาชิกเทาๆ กัน ดงั น้ี อักษรต�่าค�าตาย และอักษรต่�าค�าเป็นนั้นจะมีพื้นเสียงที่แตกต่างกัน ดังจะได้แสดงไว้ในวิธีผันเสียง วรรณยกุ ต์ต่อไปนี้ กลมุ ท่ี 1 อกั ษรสูง กลุมที่ 2 อักษรกลาง ลกั ษณะพยางค์ สามัญ เอก โท ตร ี จัตวา กลมุ ที่ 3 อกั ษรต่ํา ข� ใหแ ตล ะกลมุ ออกมาเลน เกม “ผนั คาํ ตามเงอื่ นไข” อกั ษรสงู ค�ำ เปน็ ข�่ ข�้ ฝ�ย เริ่มจากกลมุ ท่ี 1 อักษรสูง ออกมาหนาชนั้ เรียน คำ�ต�ย ฝ่�ย ฝ้�ย เสือ จากนน้ั ใหส มาชกิ ภายในกลมุ เลอื กทจ่ี ะเปน พยญั ชนะ เสอื่ เสอื้ สระ หรอื วรรณยกุ ตตามใจชอบไดคนละ 2 ตัว ก�๋ ไมซ้ํากันและเขยี นลงบนฝา มือทัง้ สองขางของตนเอง ขะ ข้ะ กั๋น จากนน้ั ครกู ําหนดเงือ่ นไขใหส รางคาํ ทปี่ ระสมดวย ขดั ข้ดั ก�๋ ง อักษรสูง คําเปน เสยี งโท นักเรยี นในกลุมจะตอ ง ข�ด ข�้ ด จ๋ะ ชว ยกนั ประสมคําใหไ ดตามเง่อื นไขดงั กลาว จบั๋ สมาชกิ คนอื่นๆ ภายในกลมุ ท่ไี มไดเ ปน หน่งึ ในคํา ค�ำ เปน็ ก� ก�่ ก�้ ก๊� จ๋�บ ทป่ี ระสมน้ันใหน ัง่ ลง ลอมรอบเพอ่ื นท่เี ปน ตัวแทน กนั ก่ัน กนั้ ก๊ัน ของคําท่ปี ระสมขึน้ ตวั แทนของคําใหช ฝู า มอื ของ ตนเองขา งใดขา งหน่งึ ท่ีเปน สวนประกอบของคําให อกั ษรกลาง ก�ง ก�่ ง ก้�ง ก๊�ง เพอื่ นๆ รวมชนั้ เรยี นไดเหน็ จากนั้นครสู มุ เรยี กชือ่ นกั เรยี นในกลุมที่ 2 หรอื 3 อธิบายความรวู า การผัน คำ�ต�ย จะ จะ้ จะ๊ วรรณยุกตของเพื่อนถกู ตองหรือไม เพราะเหตใุ ด จับ จบั้ จบ๊ั ซึ่งนกั เรยี นในกลุมท่ี 1 อาจประสมไดคําวา “ฝา ย” แสดงวา การประสมคาํ นั้นถูกตอ ง แตถ านักเรยี น จ�บ จ้�บ จ๊�บ ประสมไดค าํ วา “ฝาย” คาํ นไ้ี มถอื วาถกู ตองตาม เงือ่ นไข เพราะ “ฝาย” ประสมดวยอักษรสงู คําเปน อักษรตา�่ ค�ำ เป็น ค� ค�่ ค้� แตเปน เสยี งจัตวา จากนั้นจงึ ใหแ ตละกลมุ สลับกัน คนั คน่ั คนั้ ออกมาเลน เกมจนครบทกุ กลมุ โดยกลมุ ทีไ่ มไ ดเ ลน คำ�ต�ย ว�ว ว�่ ว ว้�ว จะเปนกลุม ทอี่ ธบิ ายความรูเก่ียวกับคําท่เี พ่อื นผัน สระเสยี งสั้น ค่ะ คะ จากน้นั ใหสรปุ ความรูรว มกันเก่ยี วกบั การผนั เสียง คึก่ คึก วรรณยุกตลงสมดุ คำ�ต�ย สระเสยี งย�ว ว�ก ว้�ก เชิด เช้ดิ อกั ษรกลางผันได้ครบท้งั ๕ เสียง ขณะทอี่ ักษรสูงและอักษรต่า� ไมส่ ามารถผันครบ ๕ เสยี งได ้ ท้งั ยังมีรูปและเสียงไมต่ รงกัน แตม่ วี ิธีผันอักษรสูง อกั ษรต�า่ ให้ครบ ๕ เสียงได้ ดังนี้ 108 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอใดมเี สียงวรรณยกุ ตค รบท้ังหา เสยี ง เกรด็ แนะครู 1. เรอื่ ยเร่อื ยมาเรยี งเรียง 2. ฉนั รักภาษาไทยมากทสี่ ุด เกมท่ใี หนักเรียนปฏิบตั ิในกระบวนการอธิบายความรู (Explain) เปนเกมท่ี 3. หมูหมากาไก หมไู ปไกมา สรางสรรคข้นึ มาเพอื่ ใหนักเรยี นไดประมวลความรทู ั้งหมด ซึ่งความรูท ีจ่ ะทําให 4. ฉนั ภาคภูมใิ จในภาษาไทยของเรา สามารถเลน เกมนไี้ ดถ กู ตอง คือ ความรูเ กยี่ วกับการประสมคําจากเสยี งสระ วเิ คราะหคําตอบ ขอ 1. “เร่อื ย” เสียงโท “มา” เสียงสามญั และ “เรียง” เสียงพยัญชนะ เสยี งวรรณยกุ ต อักษรสามหมู (ไตรยางศ) คาํ เปน คําตาย การผัน เสียงสามญั ขอ 2. “ฉัน” เสียงจัตวา “รัก” เสยี งตรี “ภา” เสยี งสามญั วรรณยกุ ต ถา สมมตวิ า นกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ไมม ใี ครเลอื กเปน พยญั ชนะในหมอู กั ษรสงู เลย “ษา” เสยี งจตั วา “ไทย” เสียงสามัญ “มาก” เสยี งโท “ที”่ เสยี งโท “สุด” นักเรียนกจ็ ะไมสามารถประสมคําได ในขณะเดยี วกนั นักเรยี นที่เปนกลมุ อกั ษรตาํ่ เสียงเอก ขอ 3. “หม”ู เสียงจตั วา “หมา” เสยี งจตั วา “กา” เสยี งสามัญ หากไดรบั เงื่อนไขใหผสมคาํ จากอกั ษรตํ่า คําตาย เสยี งตรี แตน ักเรียนประสมคํา “ไก” เสยี งเอก “ไป” เสยี งสามัญ “มา” เสียงสามัญ และขอ 4. “ฉัน” ไดเปนคําวา “นํ้า” น่ันแสดงวา นักเรียนยังไมม ีความรูเก่ียวกับคําเปนและคําตาย เสียงจัตวา “ภาค” เสยี งโท “ภมู ิ” เสียงสามญั “ใจ” เสยี งสามญั “ใน” เพราะคําท่ีนกั เรยี นประสมได เปน อักษรตาํ่ คาํ เปน รปู โท เสียงตรี เสยี งสามญั “ภา” เสียงสามญั “ษา” เสียงจตั วา “ไทย” เสียงสามญั “ของ” เสยี งจัตวา “เรา” เสียงสามัญ ดงั นั้นจึงตอบขอ 2. 108 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๑. อักษรตำ่� ทีม่ เี สียงคู่กบั อักษรสูง สำมำรถผันคกู่ ันได้ ดงั น้ี 1. นักเรียนกลมุ ท่ี 4 สง ตัวแทน 1 คน ออกมา อธิบายความรูใ นประเดน็ ท่ไี ดร ับมอบหมาย อักษร เสียงวรรณยุกต์ พรอมทั้งระบุแหลง ท่มี าของขอ มลู สามัญ เอก โท ตรี จัตวา 2. ครสู มุ เรยี กช่อื นักเรยี นอธิบายความรเู ก่ยี วกับ การออกเสยี งภาษาไทย โดยใชความรู สูง - ข่� ข้� - ข� ความเขา ใจ ทีไ่ ดร ับจากการฟงบรรยาย ค้� - ของเพอ่ื นๆ กลุมท่ี 4 เปนขอ มลู เบ้ืองตน ต่ำ� ค� - ค่� (แนวตอบ การออกเสียงคาํ ในภาษาไทย ผอู าน จะตองคาํ นึงถงึ สง่ิ ตอไปนี้ ๒. อักษรต่ำ� ท่ีไม่มีเสยี งค่กู บั อกั ษรสงู สำมำรถผนั ให้ครบ ๕ เสียงได้โดยใช้ ห นำ� หรือ อ นำ� • ออกเสียงพยญั ชนะใหถกู ตอ งชัดเจน ดังนี้ • ออกเสยี งคาํ ควบกลา้ํ ใหช ดั เจนและ เปน ไปตามธรรมชาติ อกั ษร เสยี งวรรณยกุ ต์ จัตวา • ไมอา นรวบคาํ ยอคาํ หรือตดั ความ • ระมัดระวงั การออกเสยี งวรรณยุกต สามัญ เอก โท ตรี เพราะหากออกเสยี งผดิ จะทาํ ใหความหมาย ของคําเปลีย่ นแปลงไปและส่ือความหมาย ห นำ� ง� หง่� ง�่ ง�้ หง� คลาดเคลื่อนไปจากเจตนาของผูสง สาร) อ นำ� ย� อย�่ ย�่ ย้� หย� กำรใชร้ ูปวรรณยกุ ต์ มีหลักในกำรใช้ ดังน้ี ๑. วำงเหนือพยญั ชนะตน้ ทีเ่ ป็นพยัญชนะเด่ยี ว เช่น พอ่ แม่ น้อง เปน็ ต้น ๒. พยญั ชนะตน้ ทเี่ ปน็ พยญั ชนะเดยี่ วทมี่ รี ปู สระเหนอื พยญั ชนะนนั้ ใหว้ ำงรปู วรรณยกุ ต์ เหนือสระ เช่น พี่ เสอ่ื ม้ือ เปน็ ต้น ๓. ถ้ำพยัญชนะต้นเป็นพยัญชนะควบกล�้ำ อักษรน�ำ ให้วำงรูปวรรณยุกต์เหนือ พยัญชนะตน้ ตวั ๔ท.ี่สอถำง้ พเชยน่ญั ชกนวะ้ำตงน้ กเลปำ้น็ อหกันษำ้ รเคปวน็ บตอ้นกั ษรนำ� 1มสี ระเหนอื พยญั ชนะตน้ ใหว้ ำงรปู วรรณยกุ ต์ เหนอื สระทีพ่ ยญั ชนะตน้ ตวั ทีส่ อง เชน่ หน้ี หน่งึ ปล้�ำ เปน็ ตน้ ๑.๓ การออกเสยี งภาษาไทย เสยี งในภำษำไทยเปน็ เสยี งทม่ี เี อกลกั ษณเ์ ฉพำะ ผเู้ รยี นจำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษำและฝกึ ฝนกำรออกเสยี ง ให้ถูกต้อง เพรำะถำ้ ออกเสียงผดิ กำรเขียนกจ็ ะผดิ ดว้ ย เป็นอุปสรรคในกำรสอ่ื สำร กำรออกเสียงภำษำไทยใหถ้ กู ต้อง มลี กั ษณะดังนี้ ๑. ออกเสียงพยัญชนะ และถ้อยค�ำให้คล่องถูกต้อง ชัดเจน ตำมหลักกำรออกเสียงภำษำไทย ไม่ออกเสยี งชำ้ หรือเรว็ เกนิ ไป เชน่ มกรำคม ออกเสยี งวำ่ มะ-กะ-รำ-คม สัปดำห์ ออกเสียงว่ำ สบั -ดำ หรอื สบั -ปะ-ดำ อำชญำกร ออกเสียงวำ่ อำด-ยำ-กอน หรือ อำด-ชะ-ยำ-กอน 109 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู คาํ ในขอ ใดตอไปน้มี เี สยี งวรรณยุกตต รงกับคาํ วา “นํ้าแขง็ ” ทุกคาํ ครูควรสรา งองคความรเู พิ่มเติมใหแ กนกั เรยี น ดวยชดุ คาํ อธบิ ายวา การอานคาํ 1. ปลาเค็ม น้าํ ใจ ในภาษาไทยทีใ่ ชพยญั ชนะ สระและวรรณยกุ ตป ระสมกัน มีหลกั การผนั วรรณยกุ ต 2. นํ้าปลา มานา้ํ ซึง่ ประกอบดว ยการใชอกั ษรสามหมหู รอื ไตรยางศ ลกั ษณะของพยางคห รือคาํ เปน 3. นาสาว ลางขา คาํ ตาย กับรูปวรรณยกุ ต สามสิง่ นี้ประกอบกัน โดยผทู มี่ ีความรู ความเขา ใจ 4. ปลาทู ไหมฝน เกี่ยวกับหลักการผนั วรรณยุกตจ ะทาํ ใหอา นออกเสียงคําในภาษาไทยไดถกู ตอ ง วิเคราะหคาํ ตอบ ขอ 1. ปลาเคม็ มีเสยี งสามญั , สามัญ นํ้าใจ มเี สียง ตรี, สามัญ ขอ 2. น้ําปลา มเี สียงตร,ี สามญั มานา้ํ มเี สยี งตร,ี ตรี ขอ 4. นักเรียนควรรู ปลาทู มเี สยี งสามญั , สามญั ไหมฝน มเี สยี งจตั วา, จตั วา จากโจทยค าํ วา “นา้ํ แขง็ ” มเี สยี งวรรณยกุ ตเ ปน เสยี งตรี กับ เสียงจตั วา ขอ 3. คําวา 1 อักษรนาํ คอื พยญั ชนะสองตวั เรยี งกนั และพยญั ชนะตวั หนา มอี ทิ ธพิ ลนาํ เสยี ง “นา สาว” มีเสยี งตรีและเสียงจตั วา คําวา “ลา งขา” มีเสยี งตรี และเสียง วรรณยกุ ตข องตวั ทต่ี ามมา โดยทตี่ วั หนา จะเปน อกั ษรสงู หรอื อกั ษรกลาง ซงึ่ ตัวท่ี ตามมาจะเปน อักษรต่าํ เดี่ยวเทานนั้ จัตวา ดงั น้ันจึงตอบขอ 3. คู่มอื ครู 109

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นักเรยี นจับกลุม กลมุ ละ 3 คน ตามความ ๒. ออกเสียงควบกลำ�้ ให้ชัดเจน เป็นธรรมชำติ ไม่ดัดเสียงหรอื เนน้ เสยี งเกินไป เช่น ปรับปรงุ สมคั รใจ จากนนั้ ใหใ ชค วามรู ความเขาใจ กรยุ กรำย กลอ้ ง แกลง้ กล้วย ควำย ขวนขวำย ขวกั ไขว่ เป็นต้น เก่ียวกับเสยี งในภาษาไทย จัดปา ยนิเทศ ขนาดเล็กลงบนแผนพลาสติกลกู ฟูก สง ครู ๓. ระมัดระวังไม่ออกเสียงเลียนแบบภำษำต่ำงประเทศ เช่น เสียง /จ/ /ช/ /ร/ /ล/ /ว/ โดยอธบิ ายลักษณะเฉพาะของเสียงและ /ฟ/ /ท/ /ด/ ไม่พูด ฉัน เป็น Chan ประเทศไทย ไม่ออกเสียงเป็น ประเทศไช หรือออกเสียง /ร/ การทําหนาทใ่ี นหนว ยคํา โดยใหน กั เรยี น โดยรวั ล้ินมำกเกินไป เลือกวากลมุ ของตนเองจะศกึ ษาเสียง ประเภทใด ระหวา งเสียงสระ เสียงพยญั ชนะ ๔. ไมอ่ อกเสียงตดั ค�ำ ยอ่ คำ� หรอื รวบคำ� เชน่ และเสียงวรรณยกุ ต อย่ำงนี้ ไมอ่ อกเสยี งเป็น หยงั่ เนี้ยะ หย่งั ง้ี มหำวิทยำลยั ไมอ่ อกเสยี งเปน็ หมำลัย 2. นักเรียนรวบรวมคาํ ศพั ท ซ่งึ ราชบัณฑติ ยสถาน ดิฉัน ไม่ออกเสียงเปน็ เด๊ยี น ดัน๊ ไดกําหนดไววา อา นได 2 แบบ จากหนังสือ “อา นอยา งไรเขยี นอยางไร” ทําเปน สมุดคําศพั ท ๕. เมื่อพูดอย่ำงเป็นทำงกำรต้องใช้ภำษำไทยกลำงและต้องออกเสียงให้ชัดเจน ระมัดระวัง โดยรวบรวมใหไดจ ํานวน 30 คํา รวมถึง ไมอ่ อกเสยี งส�ำเนยี งทอ้ งถนิ่ เชน่ โกหก ไมอ่ อกเสียงเปน็ กอหก ฉัน ไมอ่ อกเสียงเปน็ ฉ่นั เมอ่ื สนทนำ ตัง้ ขอสงั เกตดว ยวาคําน้นั ๆ คนสวนใหญนิยม อย่ำงไม่เป็นทำงกำรกับคนในท้องถ่ินเดียวกัน หรือผู้ท่ีคุ้นเคยควรรักษำเอกลักษณ์ภำษำถิ่นของตน อา นแบบใด และเพราะเหตุใด เชน และใชภ้ ำษำถนิ่ ดว้ ยควำมภำคภมู ใิ จ คาํ วา เพชรบุรี อา นวา เพด็ -บุ-รี หรอื เพ็ด-ชะ- ๖. ไม่พูดภำษำไทยปนกับภำษำต่ำงประเทศ เพรำะผูฟ้ ังอำจไม่เข้ำใจ บ-ุ รี แตคนสวนใหญน ยิ มออกเสยี งวา เพด็ -บ-ุ รี ๗. ระมัดระวังกำรออกเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องไม่ออกเสียงเพี้ยน เช่น พ่อแม่ ไม่ออกเสียง เพราะงายตอการออกเสยี งและเปน ท่ีเขาใจ เปน็ พ้อ แม้ ตรงกัน ๘. อ่ำนเวน้ วรรคตอนให้ถกู ต้อง คําวา โจรกรรม อา นวา โจ-ระ-กํา หรอื ขอ้ สังเกต โจน-ระ-กํา แตค นสวนใหญน ิยมออกเสียงวา ๑. กำรเขียนอักษรในภำษำไทยไม่มีสัญลักษณ์บอกว่ำจบประโยคหรือจบข้อควำม ผู้ส่ือสำร โจน-ระ-กํา เพราะงา ยตอ การออกเสียงและ ตอ้ งรจู้ ักเว้นวรรคเมื่อจบขอ้ ควำม หำกมีคำ� เชอื่ ม เช่น และ แต่ กับ ตอ้ งเขียนประโยคติดกนั สอดคลองกบั คาํ วาโจร ๒. กำรเขียนตัวอักษรแทนเสยี ง ตัว /อ/ /ว/ /ย/ แทนไดท้ ้ังพยญั ชนะและสระ อีกทง้ั คำ� บำงค�ำ ไม่มีรูปสระเพรำะเป็นสระลดรูป เม่ือจะออกเสียงผู้อ่ำนต้องพิจำรณำควำมหมำยด้วยว่ำควรอ่ำน อยำ่ งไร เช่น กรกนกสวย ขนมครกอรอ่ ย เปน็ ตน้ ๓. ค�ำบำงค�ำมีตัวสะกดท้ำยวรรค ผู้อ่ำนต้องระมัดระวังอย่ำเผลออ่ำนเป็นพยัญชนะต้น เช่น อำจอง ตอ้ งออกเสยี งเปน็ อำด-อง ไม่ใช่ออกเสียงเป็น อำ-จอง ๔. กำรออกเสียงในภำษำกับกำรเขียนตัวอักษร บำงค�ำออกเสียงไม่ตรงกับรูป เช่น น้�ำ เท้ำ เป็นต้น เขียน น -ำ น้�ำ วรรณยุกต์รูปโท ถ้ำวิเครำะห์เสียงตำมรูปท่ีปรำกฏ อ�ำ คือ สระอะ มี /ม/ เป็นตัวสะกด แต่ออกเสียงเป็น /น/ สระอำ /ม/ เป็นตัวสะกด วรรณยุกต์รูปโท ออกเสียงเป็น วรรณยกุ ต์ตรี กำรออกเสียงทีผ่ ิดไปจำกรปู นม้ี ีไม่มำกนกั เมื่อผฟู้ ังรบั สำรไดเ้ ขำ้ ใจ ก็เป็นท่ยี อมรับ แตก่ ็ มบี ำงคำ� ทีอ่ อกเสียงตรงกบั รปู เชน่ กำด�ำ เกำ้ อี้ เข้ำถ้ำ� ผ้เู รียนตอ้ งรูจ้ ักสงั เกตและจดจำ� 110 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT คําในขอใดตอ ไปนีม้ คี วามสัมพันธกับคาํ วา “สักวา” ท้ังสองคํา การเรยี นการสอนในหวั ขอ การอา นออกเสยี งภาษาไทย ครคู วรคดั สรรบทอา น 1. กรี เพลา ท่มี คี วามหลากหลาย ระดับความยาก งา ยของคําอา น มาใหน กั เรยี นไดฝก ปฏบิ ตั ิจรงิ 2. มจั ฉา ตกุ ตา เพอื่ ฝก ฝนใหส ามารถอา นไดถ กู ตอ งตามหลกั เกณฑก ารออกเสยี ง และการแบง วรรคตอน 3. สตั วา เพลา นอกจากนย้ี ังควรใหค วามรู ความเขา ใจเกยี่ วกับการออกเสยี งคําตอ ไปน้ี 4. สพั ยอก ชกุ ชี วิเคราะหค ําตอบ คําที่กําหนดใหจากโจทย เปน คําทม่ี ีลักษณะการอาน • คาํ ควบกลํา้ แท และคําควบกลํ้าไมแ ท แบบแทรกเสยี งสระระหวา งพยางค จงึ อานวา สัก-กะ-วา จากตวั เลอื กใน • การอานอักษรนํา การอานพยางคท มี่ ี รร (ร หนั ) ขอ 1. อานวา กรฺ ,ี กะ-รี และ เพลฺ า, เพ-ลา ขอ 2. อา นวา มัด-ฉา และ • การอา นพยางคท่มี พี ยัญชนะหรือสระทไ่ี มตอ งออกเสยี ง ตุก-กะ-ตา ขอ 3. อา นวา สดั -ตะ-วา และ เพลฺ า, เพ-ลา ขอ 4. อานวา • การอา นคําสมาส สบั -พะ-ยอก และ ชุก-กะ-ชี ดังนั้นจงึ ตอบขอ 4. • การอานคาํ ทตี่ อ งแทรกเสียงสระระหวา งพยางค • การอา นคาํ พอ งรูป การอา นคาํ บาลี สนั สกฤต เปนตน 110 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒ ¾Å§Ñ ¢Í§ÀÒÉÒ ครตู งั้ คําถามกบั นักเรยี นเพ่ือกระตุน ความ สนใจและนาํ เขา สูหวั ขอ การเรียนการสอน พลังของภาษา หมายถึง อํานาจของภาษา สวนภาษา หมายถึง เสียงพูดของมนุษย (วัจนภาษา) และกิริยาทาทาง (อวัจนภาษา) รวมท้ังสัญลักษณ เชน ตัวอักษรที่ใชแทนเสียง ภาษา • ในความคดิ เห็นของนกั เรียนภาษามีพลัง มีหนา ทใ่ี นการส่ือสารทําความเขา ใจของบคุ คลใหเขาใจตรงกัน มีอํานาจในการสรา งสรรคแ ละทาํ ลาย อยา งไร ๑) พลงั ของภาษาเชิงบวก เปน พลังทางสรา งสรรค ภาษามพี ลังสรา งสรรค ดงั น้ี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๑. ภาษาสรางขวญั กําลงั ใจ เชน ขอใหเดนิ ทางโดยปลอดภยั ไดอ ยา งอสิ ระ ขน้ึ อยกู บั ทศั นคตแิ ละวสิ ยั ทศั น ๒. ภาษาชวยปลอบประโลมใจ เม่ือยามเจ็บปวด ส้ินหวัง ทอถอย เชน คุณโชคดีจังที่ได สวนตน เชน ภาษาทาํ ใหมนษุ ยส ามารถ คณุ หมอนพพรมารกั ษา คณุ รไู หมหมอคนนเ้ี กง ทสี่ ดุ ในประเทศไทยเรอื่ งรกั ษาโรคหวั ใจ ชาวตา งชาตยิ งั มา สอื่ สารกันไดเขาใจ ภาษาทําใหส งั คมเจรญิ ใหหมอรกั ษาเลย กา วหนา ภาษาทาํ ใหคนมสี ง่ิ ยึดเหน่ยี ว ๓. ภาษาชวยสรา งสัมพนั ธไมตรี เชน คนไทยมกั ใชค ําพดู วา ยินดตี อนรบั รว มกัน ภาษาทาํ ใหเ กิดความเปน ชาตินยิ ม ๔. ภาษาชวยสรางความฮึกเหิม เชน ในการแขงขันกฬี าหรอื ในการเชยี รก ีฬาสีของโรงเรยี น เปนตน) เพลงเชยี รทําใหนกั กฬี าคึกคกั เขม แขง็ เชน สฟี า สู สู สีฟาสตู าย สฟี าไวล าย สีฟา สู สู ๕. ภาษาเพ่ือโนมนาวใจ ใหเช่ือถือ เห็นจริง คลอยตาม ใหความสนใจ หรือเปลี่ยนใจ • นกั เรยี นมีความคิดเหน็ อยางไรกับคาํ กลา ว เปลี่ยนพฤติกรรม ไดแก เชิญชวนเก่ียวกับอาหาร เชน ขาวแชชาววัง ขาวตังเสวย กวยเตี๋ยวหลาน ทว่ี า “ภาษาเปน เคร่อื งมือส่อื ความคดิ โกฮบั กาแฟสตู รโบราณ ผรู ับสารจะรูส ึกวา นา จะอรอยเปนพเิ ศษ ความรสู ึก จนิ ตนาการของมนษุ ย ภาษาไทย ๖. บภทาษเพาลใหงค บตทสิ กอลนอใมจเใดห็ก1ค เวปานมตรนื่น รมย จรรโลงใจใหเ ปน สขุ เชน บทธรรมะ สุภาษิตสอนใจ ชวยใหค นไทยรักและเขาใจกันเปนอยา งด”ี คาํ ขวัญ คําคม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ แตค าํ ตอบของคําถามนคี้ วร เปนไปในทิศทางท่ีเห็นดวยหรอื สนบั สนนุ คํากลาว เพราะการมภี าษาเปน สอ่ื กลางเพ่อื ใชส าํ หรบั การสอ่ื สารระหวา งกนั ทาํ ใหม นษุ ย สามารถสือ่ ความคดิ ความรูสึก จนิ ตนาการ ใหผูอน่ื รบั รูได ภาษาจึงมีพลงั ทําใหคนเขา ใจ กัน รบั รูความตอ งการของกันและกนั ทาํ ให ไมแตกแยกกันเพราะความไมเ ขาใจหรอื เขา ใจผดิ ) สา� รวจคน้ หา Explore แบงนักเรยี นเปน 5 กลุม ตามความสมัครใจ โดยกําหนดจํานวนสมาชกิ ตามความเหมาะสม คนไทยนิยมตงั้ ช่อื แกบ ุตรหลานของตนดว ยถอ ยคําที่ไพเราะ มคี วามหมายไปในทศิ ทางทีด่ งี าม เพ่ือความเปน สิริมงคล จากนน้ั ใหแ ตล ะกลมุ รว มกนั สบื คน ความรใู นประเดน็ โดยจะใหผูใหญที่นับถือ และมีความแตกฉานทางดานภาษาหรือพระสงฆเปนผูต้ังชื่อให นับเปนพลังเชิงสรางสรรค “พลงั ของภาษาทมี่ ีตอ ชีวิตประจาํ วัน” โดยนักเรียน ของภาษาประการหนงึ่ อาจสบื คนไดจากแหลงการเรยี นรตู างๆ ท่สี ามารถ เขาถงึ ได เชน ตาํ ราวชิ าการ อินเทอรเ นต็ หรือ ๑๑๑ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT การสงั เกตพฤติกรรมของคนในสังคม เกรด็ แนะครู ขอ ใดไมมีความเกยี่ วขอ งกบั พลงั ของภาษา ครคู วรมอบหมายใหน กั เรยี นสบื คน ความรเู กย่ี วกบั เพลงกลอ มลกู หรือเพลง 1. ภาษาทาํ ใหคนเปนสวนหน่งึ ของสงั คม กลอ มเดก็ ของแตล ะภาค โดยเลอื กภาคท่ีนักเรียนสนใจ คดั ลอกเนอ้ื เพลง แลว นาํ มา 2. ภาษาทาํ ใหมนษุ ยม ีความเขา ใจท่ดี ตี อ กนั วิเคราะหว ามีรปู แบบการใชภาษาอยา งไร ภาษาที่ใชใ นบทเพลงมีพลงั อยา งไร 3. ภาษาชวยสะทอนความคิด ความเปน ตวั ตน และเปน พลงั ท่กี อใหเ กดิ สง่ิ ใด เชน ใชภ าษาเพ่อื ถายทอดความรักของแมทีม่ ตี อ ลกู 4. ภาษาทาํ ใหสถานภาพทางสังคมของคนเปลยี่ นไป ใชภ าษาเพอ่ื สรางความอบอุน เปน ตน วิเคราะหคาํ ตอบ พลงั ของภาษา หมายถงึ อํานาจของภาษาที่มตี อชีวติ ประจาํ วันของมนษุ ย เชน ทาํ ใหม นุษยส ามารถส่อื สารเขา ใจซง่ึ กนั และ กันได สรางความเขาใจอันดตี อ กัน ทาํ ใหมนุษยเปนสว นหน่ึงของสังคม นักเรยี นควรรู ชว ยสะทอนตัวตนของบคุ คล แตภ าษาไมสามารถทําใหส ถานภาพทาง 1 บทกลอ มเดก็ ประเทศไทยมีบทกลอ มเด็กหรือเพลงกลอมเดก็ ทั่วทกุ ภาค สงั คมของบคุ คลนั้นๆ เปล่ยี นแปลงได ดงั นั้นจงึ ตอบขอ 4. โดยมชี ือ่ เรยี กแตกตางกนั เชน ภาคเหนือเรียกวา เพลงนอนสาหลา หรอื นอนสาเดอ ภาคกลางเรยี กวา เพลงกลอ มลกู ภาคใตเ รียกวา เพลงชานอ งหรือ เพลงเปล ซง่ึ แตละภมู ภิ าคจะมีเน้ือรอ ง ทํานองที่แตกตางกนั โดยเนือ้ รองจะ สะทอ นใหเห็นวถิ ีชวี ิตของคนในภูมภิ าคนนั้ ๆ คูม่ ือครู 111

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู นักเรยี นแตล ะกลุมนําความรูมาแบง ปน ซักถาม ๒) พลังของภาษาเชิงลบ เปนพลังในดานการทําลาย จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ตอน ซ่งึ กันและกัน เปน เวลา 10 นาที จากนั้นใหย ืน อศุ เรนตีเมอื งผลึก นางวาลีไดอาสาพระอภยั มณีตอ สกู บั อุศเรนนางกลาววา ในลักษณะวงกลมเพื่อรว มกนั อธิบายความรูแ บบ “ประเวณ๑ี ตีงูใหห ลงั หัก โตต อบรอบวงเกยี่ วกบั พลงั ของภาษา โดยใชค วามรู มันก็มกั ทาํ รา ยเมือ่ ภายหลัง ความเขาใจ ท่ไี ดร บั จากการสบื คน ดว ยตนเองและ จระเขใหญไปถงึ นา้ํ มีกาํ ลงั เหมือนเสอื ขงั เขา ถงึ ดงกค็ งรา ย การแลกเปลีย่ นกับเพอื่ นเปน ขอมลู เบื้องตน อนั แมทพั จบั ไดแลวไมฆ า ไปขางหนา ศกึ จะใหญข ้ึนใจหาย ตองตาํ รับจบั ใหม่นั คั้นใหตาย จะทําภายหลังยากลาํ บากครนั • การตั้งช่อื บุคคลใหม ีความหมายไปในทศิ ทาง จะพลกิ พลิ้วชิวหาเปน อาวธุ ประหารบตุ รเจา ลงั กาใหอ าสัญ ที่ดีงามและรวมถงึ ใชภ าษาบาลี สนั สกฤต ตองตดั ศึกลกึ ล้ําท่ีสําคญั นางหมายม่นั มุง เห็นจะเปนการ…”1 ประกอบในชอื่ เปน ความเช่ือที่สะทอนใหเ ห็น พลงั ของภาษาทม่ี ตี อ ชวี ติ ประจาํ วนั ของมนษุ ย (พระอภยั มณ� : สนุ ทรภ)ู อยา งไร (แนวตอบ ภาษามผี ลตอจิตใจ ความรสู ึก นางวาลีจึงเยาะเยยถากถางอุศเรนวา จะปลอยใหไปชวยเหลือพอที่ไดรับบาดเจ็บจากการ- ความเช่ือและคานยิ มของคนในสังคม สูรบ อุศเรนเจ็บใจท่ีรบแพ และพอที่ชราตองอาวุธอาการสาหัสอาจเสียชีวิตได ความเจ็บแคนท่ีแพ หรอื อาจกลา ววา ภาษามีพลงั ทําใหเกิดคล่ืน ผูหญิงทาํ ใหปวดใจจนกระอกั เปน เลือดและตายในทสี่ ุด ความรูสกึ คล่ืนความเชือ่ ของคน เชน การตง้ั ชื่อ จะเลือกใชถ อยคาํ ทม่ี คี วามหมาย ภาษามีพลังมหาศาล สามารถใชไดทั้งทางสรางสรรคและทางทําลาย ในการส่ือสารระหวาง ไปในทิศทางท่ีดี เพ่อื ใหเปนสิริมงคลตอ บุคคลหากใชคําพูดดีมีนํ้าเสียงสุภาพ กิริยาทาทางนุมนวล ไมถากถางดูหมิ่นผูอื่น และมีความจริงใจ คนๆ นั้น รวมถงึ คาํ ทนี่ าํ มาใชป ระกอบการ ยอมสงผลใหผพู ูดและผูฟ ง มีสัมพนั ธภาพที่ดตี อ กัน ทาํ การสง่ิ ใดกส็ ัมฤทธผิ ล ตง้ั ช่อื จะประกอบขน้ึ จากคาํ ในภาษาบาลี สันสกฤต เปนสว นใหญ เพอื่ ใหเ กดิ ความรสู กึ ท่ีศกั ดิส์ ทิ ธิ์ เขม ขลงั เพราะคนไทยมีความ เชื่อวาภาษาบาลี สนั สกฤตเปน ภาษามงคล) ขยายความเขา ใจ Expand นักเรยี นแตละกลมุ จัดการความรรู วมกันใน ภาษาไทยเปนเอกลักษณข องชาติ ควรใชใ หถ ูกตอ งโดยคาํ นึงถงึ สถานภาพของบคุ คลและกาลเทศะ ลักษณะของปายนิเทศขนาดเล็กบนแผน พลาสตกิ ๑ประเวณี ในทน่ี ม้ี คี วามหมายเหมอื นประเพณี หมายถงึ สง่ิ ทนี่ ยิ มประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ บื ๆ กนั มาจนเปน แบบแผน ลูกฟูก โดยนาํ เสนอในประเดน็ เกย่ี วกับ “พลงั ของ ภาษาในชวี ิตประจาํ วัน” บางกลุมอาจนาํ เสนอ ๑๑๒ พลังของภาษาในดานความรูส กึ พลังของภาษา ในดา นการกําหนดพฤติกรรมของคนในสังคม พลงั ของภาษาในดา นพิธีกรรม เปน ตน รว มกัน เตรียมความพรอมเพอื่ ออกมานําเสนอหนาชน้ั เรียน นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT บุคคลใดตอ ไปน้ใี ชพลงั ของภาษาไปในเชิงสรางสรรค 1 พระอภยั มณี เปนนิทานคาํ กลอนเร่ืองยิ่งใหญที่ทําใหส นุ ทรภูม ชี ือ่ เสยี ง 1. วิชติ พูดโนม นา วใหอมรชัยทําการบานใหแกตนเอง เพราะเปน ผลงานชน้ิ เอกของสนุ ทรภู ซง่ึ ไดร บั การยกยอ งวา เปน ยอดของกลอนนทิ าน 2. ภาณุพดู โนม นาวใจเพือ่ ใหผฟู งเกิดความรูสกึ แบง ฝก แบง ฝา ย มคี วามยาว 96 เลม สมดุ ไทย ลกั ษณะพเิ ศษของนทิ านคาํ กลอนเรอ่ื งพระอภยั มณี คอื 3. จันทรพูดโนมนาวใหส มใจเขา ใจผดิ กับกัลยา เพราะจนั ทรไมชอบกลั ยา การผกู เรอ่ื งทีเ่ กดิ ขน้ึ จากจนิ ตนาการ มีความแตกตางจากวรรณคดีเร่ืองอืน่ ๆ 4. สมภพพดู ใหค นในชุมชนรวมมือกันทําแนวกระสอบทรายปองกันน้ําทว ม ในชวงเวลาเดียวกันท่ีผแู ตง แตง โดยอาศยั เคา เรอ่ื งจากนทิ านชาดก นทิ านพนื้ บา น วเิ คราะหคําตอบ พลงั ของภาษา คอื อาํ นาจของภาษาที่กอใหเกดิ ผลตอ หรอื จากประวตั ศิ าสตร พฤตกิ รรมของมนุษยในแตละสงั คม ดงั น้นั พลังของภาษาในเชิงสรา งสรรค จงึ กอใหเ กดิ พฤติกรรมหรือการเปลีย่ นแปลงในทิศทางท่ีดงี าม ไมใ ชการใช พลังของภาษาเพอื่ สรางผลประโยชนใหแกตนเอง โนมนา วใหผอู นื่ ขดั แยง หรอื แบงฝก แบงฝาย ขาดความสามคั คีกนั ดงั น้นั จงึ ตอบขอ 4. 112 คูม ือครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๓ การสร้างคÓ ครตู ้ังคาํ ถามเพื่อชักนําความรสู กึ ความคดิ ของนักเรยี นใหม ีตอ หวั ขอ การเรยี นการสอน มนุษย์ในยุคปัจจุบันมีกำรติดต่อสื่อสำรกันมำกข้ึน ค�ำศัพท์ต่ำงๆ ก็ต้องมีควำมหลำกหลำย เพื่อแสดงอำรมณ์ และควำมรู้สึกนึกคิดออกมำให้ตรงตำมวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสำรมำกที่สุด ค�ำมูล • คําท่ปี รากฏใชใ นภาษาไทย มแี หลง ทีม่ า ซ่ึงเป็นค�ำด้ังเดิมท่ีมีใช้ในภำษำไทยมีไม่เพียงพอท่ีจะน�ำไปใช้ จึงจ�ำเป็นต้องมีกำรสร้ำงค�ำข้ึนใหม่ หรือมวี ธิ กี ารสรางคาํ อยา งไร ดว้ ยกำรประสมค�ำ ซอ้ นคำ� และซ�้ำคำ� (แนวตอบ นักเรยี นตอบตามรอ งรอย ความรูเดมิ ของตนเอง เชน การประสมคํา ๓.๑ คา� มลู 1 การซอนคํา การซํา้ คาํ การยืมคําจากภาษา ตางประเทศ การบัญญตั ิศพั ท เปน ตน) ค�ามูล เป็นค�ำดั้งเดิมท่ีมีใช้ในภำษำไทย มีควำมหมำยสมบูรณ์ชัดเจนในตัวเอง อำจเป็น คำ� ไทยแท้ หรอื เปน็ ค�ำยืมจำกภำษำตำ่ งประเทศก็ได้ คำ� มูลแบ่งออกเปน็ ๒ ชนิด ดงั น้ี สา� รวจคน้ หา Explore ๑)ค�ามูลพยางค์เดียว เป็นค�ำพยำงค์เดียวที่มีควำมหมำย จัดเป็นค�ำไทยแท้และค�ำยืม ครทู าํ สลากเทากับจํานวนนกั เรยี นในชัน้ เรยี น จำกภำษำตำ่ งประเทศ โดยเขยี นหมายเลข 1-5 ลงบนกระดาษในจาํ นวน เทาๆ กัน หรอื ตามความเหมาะสม ใหแ ตล ะ ค�าไทยแท้ ค�ามูลพยางค์เดียว คนออกมาจบั สลาก ใครทีจ่ บั สลากไดห มายเลข กิน นอน รอ้ น เย็น พอ่ แม่ อ� ปู่ ย�่ เหมอื นกันใหอ ยูกลมุ เดียวกนั เม่ือนักเรยี นจบั สลาก ค�ายืมจากภาษาจีน จนครบแลว ครูแจง ประเด็นสําหรับการสืบคน คา� ยมื จากภาษาบาล ี สนั สกฤต เก๋ง ก๊ก โต๊ะ ห�้ ง เกยี๊ ะ เกย๊ี ว กง๋ เฮยี ความรูร ว มกนั ดงั น้ี ค�ายมื จากภาษาองั กฤษ บ�ป กรรม บ�ตร เวร ผล อ�สน์ แชร์ เมตร ลติ ร เกม เทป ชอลก์ ออนซ์ หมายเลข 1 คาํ มลู หมายเลข 2 คําประสม ๒)ค�ามูลหลายพยางค์ ค�ำที่มีสองพยำงค์ขึ้นไป มีควำมหมำยในตัวไม่สำมำรถแยกพยำงค์ หมายเลข 3 คําซอ น ในค�ำออกได้เพรำะจะท�ำให้ไม่ได้ควำมหมำย ค�ำมูลหลำยพยำงค์อำจเป็นค�ำไทยแท้ หรือเป็นค�ำยืม หมายเลข 4 คาํ ซาํ้ หมายเลข 5 คาํ พอ ง จำกภำษำตำ่ งประเทศกไ็ ด้ โดยนักเรยี นแตล ะกลมุ รวมกนั สืบคนความรู ในประเดน็ ทไ่ี ดร บั มอบหมายทกุ ๆ แงม มุ จากแหลง ค�ามลู หลายพยางค์ การเรยี นรตู า งๆ ทส่ี ามารถเขาถึงได ค�าไทยแท ้ ดอกไม้ โหระพ� มะลิ มะมว่ ง มะระ มะละกอ เกเร คา� ยมื จากภาษาจีน ซ�ล�เป� บะหม่ี กว๋ ยเตีย๋ ว เฉ�ก๊วย องั่ เป� เก้�อ้ี อธบิ ายความรู้ Explain ค�ายืมจากภาษาบาลี สันสกฤต น�ฬกิ � ร�ชินี ม�รด� นมสั ก�ร วิจ�รณ์ นกั เรียนกลุม ท่ี 1 สง ตัวแทนออกมาอธบิ าย ความรใู นประเด็น “คาํ มูล” ซึ่งขอ มลู ท่ีนําเสนอควร ค�ายมื จากภาษาอังกฤษ คอมพวิ เตอร์ อนิ เทอรเ์ นต็ ไมโครซอฟต์ สติกเกอร์ เปน ขอ มลู ทไี่ ดส บื คน จากแหลง การเรยี นรทู นี่ า เชอ่ื ถอื ดังน้นั นกั เรียนจงึ ควรระบดุ ว ยวา กลุมของตนเอง 113 สบื คนขอมลู มาจากแหลงการเรยี นรูใ ด ขอ สอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั คํามูล ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอใดไมเ ปนคาํ มลู ครคู วรช้ีแนะแกนกั เรยี นวา การประสมคาํ ซา้ํ คํา ซอนคาํ และการใชคาํ พอ ง 1. เผอเรอ 2. มาลา เปน วธิ กี ารสรา งคาํ เพอื่ ใหม คี าํ ใชเ พมิ่ มากขน้ึ ในภาษาไทย และสามารถสอ่ื ความหมาย 3. แจกัน 4. คาตัว ไดก วา งขวางยงิ่ ขนึ้ สอดคลอ งกบั การเปลย่ี นแปลง ความเจรญิ กา วหนา ของสงั คมไทย วเิ คราะหคาํ ตอบ คํามลู เปน คาํ ดงั้ เดิมทม่ี ใี ชใ นภาษาไทย มคี วามหมาย ชัดเจนในตวั แบง ออกเปน 2 ประเภท คือ คํามลู พยางคเดียว และคํามูล นักเรียนควรรู หลายพยางค ซ่ึงคาํ มลู ตัง้ แตสองพยางคขึ้นไปจะมคี วามหมายสมบูรณใ นตัว ไมส ามารถแยกพยางคใ นคําออกได หากแยกพยางคอ อกแลว จะทาํ ให 1 คาํ มูล คือ คาํ ท่มี คี วามหมายชัดเจนในตัว ไมส ามารถแยกพยางคออกจาก ไมมีความหมาย จากคํานิยามดังกลา ว ทําใหไ ดขอ สรุปวา เผอเรอ มาลา กันได แบงออกเปน 2 ประเภท คือ คํามลู พยางคเ ดยี ว และคาํ มลู หลายพยางค และแจกนั เปน คาํ มลู สว นคาํ วา “คา ตวั ” เปน คาํ ประสม ดงั นนั้ จงึ ตอบขอ 4. ซ่งึ คํามลู อาจเปน คําทง้ั 7 ชนิดในภาษาไทย ไดแ ก คาํ นาม คําสรรพนาม คํากริยา คาํ วิเศษณ คําบพุ บท คาํ สนั ธาน คําอุทาน หรืออาจเปนคาํ ทม่ี าจากภาษาอื่น คู่มอื ครู 113

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนกลุมท่ี 2 สงตวั แทนออกมาอธบิ าย ๓.๒ คา� ประสม1 ความรใู นประเด็น “คําประสม” พรอมทัง้ ระบุ แหลงท่ีมาของขอมูล ค�าประสม เป็นค�ำที่สร้ำงข้ึนใหม่โดยกำรน�ำค�ำมูลตั้งแต่สองค�ำข้ึนไปมำรวมกันเกิดเป็นค�ำใหม่ ควำมหมำยใหมข่ ึน้ คำ� ประสมอำจมำจำกกำรประสมค�ำไทยกับคำ� ไทย ค�ำไทยกับค�ำภำษำตำ่ งประเทศ 2. นักเรยี นยืนในลกั ษณะวงกลมเพือ่ รว มกนั อธิบาย หรือค�ำภำษำต่ำงประเทศประสมกัน เช่น ความรูเกีย่ วกับคาํ มูลและคาํ ประสม โดยใช ความรู ความเขา ใจ ท่ีไดรบั จากการฟงบรรยาย การประสมค�า ค�ามูล คา� ประสม ของเพอ่ื นๆ กลมุ ที่ 1 และ 2 เปน ขอ มลู เบอื้ งตน ค�ำ ประสมท่เี ปน็ ค�ำ ไทยกบั คำ�ไทย ห�ง เสือ ห�งเสอื สาํ หรับตอบคําถาม คำ�ประสมท่ีเปน็ คำ�ไทยกบั คำ�ต่�งประเทศ ยก เมฆ ยกเมฆ • คาํ มลู ในภาษาไทยมกี ปี่ ระเภท ไดแ กอ ะไรบา ง (ค�ำ ไทย) (ค�ำ บ�ลี สันสกฤต) (แนวตอบ คํามลู ในภาษาไทยมี 2 ประเภท คำ�ประสมทเ่ี ป็นค�ำ ต�่ งประเทศกบั บัตรเชญิ ไดแก ค�ำ ต่�งประเทศ บตั ร เชญิ • คาํ มูลพยางคเดยี ว (ค�ำ บ�ลี สนั สกฤต) (ค�ำ เขมร) • คํามลู หลายพยางค) • คาํ มลู พยางคเ ดยี วมปี ระโยชนอ ยา งไรตอ วธิ กี าร ๑) ค�าประสมท่เี กิดความหมายใหมแ่ ต่ยังมีเค้าความหมายเดิม เช่น สรา งคาํ ในภาษาไทย เตำ + ถ่ำน = เตำถำ่ น หมำยถึง เตำทใ่ี ชถ้ ่ำนเปน็ เช้อื เพลิง (แนวตอบ วิธีการสรา งคําในภาษาไทย ซงึ่ ไดแ ก เตำ + รดี = เตำรดี หมำยถงึ เตำที่ใชร้ ดี เสื้อผ้ำ คาํ ประสม คาํ ซาํ้ คาํ ซอ น โดยคาํ แตล ะประเภท ผำ้ + ข้ีร้ิว = ผ้ำข้รี ิ้ว หมำยถึง ผำ้ เกำ่ ขำดที่ใช้เช็ดถพู ้นื มวี ธิ กี ารสรางคําแตกตา งกัน เชน คําประสม ๒) ค�าประสมทเ่ี กดิ ความหมายใหม่เปลีย่ นแปลงไปจากเดิม เชน่ เกดิ จากการนําคํามูลตงั้ แตส องคําข้นึ ไปมา ขำย + หน้ำ = ขำยหน้ำ หมำยถึง รู้สกึ อับอำย รวมกันเปน คาํ ใหม ท่ีมคี วามหมายใหม แตยัง รำด + หนำ้ = รำดหน้ำ หมำยถงึ อำหำรประเภทกว๋ ยเตยี๋ วมนี ำ�้ ปรงุ ขน้ คงเคาความหมายเดมิ ) หกั + ใจ = หักใจ หมำยถึง ตดั ใจไมใ่ ห้คดิ ถงึ เหตตุ ่ำงๆ • คําประสมทป่ี รากฏใชอยใู นปจ จุบันประกอบ ๓) ค�าประสมที่เกิดจากการย่อค�าให้กะทัดรัด มักขึ้นต้นด้วยค�ำว่ำ การ ความ ของ ขึน้ จากคําประเภทใดบา ง เครอ่ื ง ชาว นกั ผู้ ชา่ ง เชน่ กำรค้ำ ควำมคดิ ของหวำน เครอ่ื งเรือน ชำวนำ นกั เรียน ผูข้ ำย ชำ่ งภำพ (แนวตอบ ประกอบขึ้นจากคําไทยกบั คําไทย เป็นตน้ คําไทยกบั คาํ ยืม และจากคาํ ยมื ภาษา ขอ้ สังเกต ตางประเทศทัง้ สองคาํ ) ๑. ถำ้ น�ำคำ� มูลสองคำ� มำรวมกันแลว้ ไมเ่ กดิ ควำมหมำยใหม่ ไม่จัดเปน็ คำ� ประสม เช่น ลูก + ไก่ = ลูกไก่ หมำยถึง ลูกของไก่ (เปน็ กลุ่มค�ำ) ดำว + ลกู + ไก่ = ดำวลกู ไก่ หมำยถงึ ชอื่ ดำว (เป็นคำ� ประสม) ๒. ค�ำภำษำบำลปี ระสมกบั ค�ำสนั สกฤตไมถ่ อื เป็นคำ� ประสม แต่เป็นค�ำสมำส เชน่ คณุ + ธรรม = คุณธรรม อ่ำนว่ำ คุน-นะ-ท�ำ มัธยม + ศกึ ษำ = มธั ยมศึกษำ อำ่ นว่ำ มดั -ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ 114 นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกยี่ วกบั การสรา งคําในภาษาไทย 1 คําประสม มีองคประกอบสาํ คัญ 2 สว น ไดแ ก คาํ หลกั และคําขยาย ซ่ึงคาํ หลกั คําในขอใดมวี ิธีการสรางคาํ แตกตา งจากขออื่น คอื คําทใ่ี ชเปนคําตง้ั ตน สว นคาํ ขยาย คอื คาํ ที่มีตําแหนง อยูหลังคาํ หลัก เชน 1. ปวดราว ปวดเมื่อย 2. บอกบท บอกใบ คําหลกั คําขยาย ความหมาย 3. เศราโศก เศราหมอง 4. คลาดเคล่อื น คลาดแคลว ปด ปาก ไมใ หมีโอกาสพดู วเิ คราะหค ําตอบ ภาษาไทยมวี ิธีการสรา งคาํ ไดแก การประสมคาํ ลกู ชา ง สรรพนามแทนตวั ผพู ดู เม่ือพูดกบั สิง่ ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ การซอ นคํา และการซาํ้ คาํ ซ่งึ ตัวเลอื กในขอ 1., 3. และ 4. มวี ธิ ีการสรา งคาํ ใจ เสยี ใจไมด ีเพราะกลวั หรือวติ ก กังวล หมดกําลังใจ ท่เี รยี กวา การซอ นคาํ คอื การนําคาํ ทม่ี ีความหมายใกลเคียงกันหรอื น้าํ แข็ง น้ําทแี่ ขง็ เปน กอนเพราะถูกความเย็นจดั ตรงขา มกันมาซอ นกัน เพอ่ื ใหเกดิ คาํ ใหมทีม่ ีความหมายชดั เจนขน้ึ หนงั สือ พิมพ สง่ิ พิมพท ีเ่ สนอขาวสาร และความเห็นแกประชาชน สวนขอ 2. มวี ธิ ีการสรา งคําทแ่ี ตกตางไปจากขออ่นื เรยี กวา การประสมคาํ โดยนาํ คํามูลตง้ั แต 2 คาํ ขนึ้ ไปมาประกอบกนั เกดิ เปน คาํ ใหมท ย่ี งั คงมี เคา ความหมายเดมิ ดงั น้ันจึงตอบขอ 2. 114 คมู่ ือครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓.๓ คา� ซอ้ น นกั เรยี นกลุมที่ 3 และ 4 สง ตัวแทนออกมา อธบิ ายความรใู นประเด็น “คําซอน” และ “คําซํา้ ” คา� ซอ้ น เปน็ กำรสร้ำงคำ� โดยนำ� คำ� มลู ทมี่ คี วำมหมำยเหมอื นกนั ใกลเ้ คยี งกนั หรอื ตรงข้ำมกนั ตามลาํ ดับ พรอ มทั้งระบแุ หลง ที่มาของขอ มลู มำวำงซ้อนกัน เกิดค�ำใหม่ มีควำมหมำยใหม่ โดยควำมหมำยใหม่อำจกว้ำงข้ึน หนักแน่นขึ้น หรือ เบำลงกไ็ ด้ ขยายความเขา้ ใจ Expand ๑) คา� ซ้อนเพ่ือความหมาย คอื ค�ำซอ้ นท่ีเกิดจำกคำ� มูลท่มี คี วำมหมำยเหมอื นกนั ใกล้เคยี ง นักเรยี นใชความรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั คําซอน กัน หรอื ตรงกันขำ้ มมำวำงชิดกนั มีลกั ษณะดงั น้ี และคําซา้ํ ทาํ แบบวดั ฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนท่ี 4 หนว ยที่ 1 กิจกรรมตามตวั ช้ีวดั กิจกรรมที่ 1.6 ควำมหมำยเหมอื นกัน เช่น เสอ่ื สำด เหำะเหิน พูดจำ ควำมหมำยใกล้เคียงกัน เช่น คัดเลอื ก แนะน�ำ เกรงกลัว ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ควำมหมำยตรงกันข้ำมกนั เชน่ ผดิ ชอบ ชัว่ ดี ได้เสยี ภาษาไทย ม.1 กจิ กรรมที่ 1.6 ๒) ค�าซ้อนเพื่อเสียง คือ ค�ำซ้อนท่ีเกิดจำกกำรน�ำค�ำที่มีเสียงคล้องจองและมีควำมหมำย เร่อื ง การระบุประเภทของคา� สมั พนั ธ์กันมำซ้อนกนั เพ่ือใหอ้ อกเสียงไดง้ ่ำยและไพเรำะ มลี ักษณะดังน้ี ซอ้ นเสยี งพยญั ชนะต้น เชน่ เรอ่ ร่ำ ทอ้ แท้ จริงจงั ตมู ตำม ซุบซบิ กจิ กรรมท่ี ๑.๖ ใหน กั เรยี นอา นขอ ความตอ ไปนี้ แลว ตอบคาํ ถามทา ยเนอ้ื ความ คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ซอ้ นเสียงสระ เช่น รำบคำบ จ้มิ ลิม้ แรน้ แค้น เบอ้ เร่อ อ้ำงวำ้ ง ซ้อนเสยี งพยญั ชนะต้นและสระ เชน่ ออดอ้อน อดั อั้น รวบรวม (ท ๔.๑ ม.๑/๒) ñð ซ้อนด้วยพยำงค์ที่ไม่มีควำมหมำย แต่มีเสียงสัมพันธ์กับค�ำท่ีมีควำมหมำย เช่น พยำยงพยำยำม กระดูกกระเดี้ยว ๑. เมือ่ นอยใหเ รยี นวิชา ใหห าสินเมื่อใหญ ซ้อนด้วยค�ำท่ีมีควำมหมำยใกล้เคียงแล้วเพิ่มพยำงค์ให้เสียงสมดุลกัน เช่น สะกิดสะเกำ อยา ใฝเ อาทรพั ยท า น อยารริ านแกค วาม ขโมยขโจร กระดุกกระดกิ ค�ำซ้อน ๔-๖ พยำงค์ จะมีเสียงสัมผัสภำยในค�ำ เช่น ทรัพย์ในดินสินในน้�ำ โบกปัดพัดวี คํามลู ม…ี ………๑…๗………………..คํา ข้ำเกำ่ เตำ่ เล้ยี ง ถ้วยโถโอชำม ประเจดิ ประเจ้อ ไดแก........เ.ม....ือ่.........น.....อ...ย.........ใ...ห..........เ.ร....ีย...น...........ว..ชิ....า........ห....า.........ส....นิ ..........ใ...ห...ญ...........อ....ย...า.........ใ..ฝ.... .....เ..อ....า........ท....ร....ัพ....ย.........ท....า...น..........ร...ิ............. รา น แก ความ............................................................................................................................................................................................................................................... ๓.๔ คา� ซา�้ ๒. ถงึ หนาแพแลเหน็ เรือทนี่ ่ัง คิดถงึ ครัง้ กอนมานํา้ ตาไหล คำ� ซำ้� เปน็ กำรสรำ้ งคำ� เพอ่ื ใหเ้ กดิ ควำมหมำยใหมว่ ธิ หี นง่ึ โดยกำรนำ� คำ� เดมิ มำกลำ่ วซำ้� มี ๒ วธิ ี เคยหมอบรับกบั พระจม่ืนไวย แลวลงในเรือทนี่ งั่ บัลลงั กทอง ดงั น้ี คาํ ประสมม…ี …………๖………………..คาํ ไดแ ก........เ.ร....ือ...ท....่นี.....ัง่.........ค....ิด....ถ....ึง........ค.....ร...้ัง...ก....อ....น..........น....ํา้...ต....า........พ.....ร...ะ...จ...ม....่ืน....ไ...ว..ย..........บ....ลั ....ล....ัง...ก....ท....อ...ง........................................................... ๑) ค�าซ�้าทีใ่ ช้ไม้ยมก (ๆ) กา� กับ เชน่ เดก็ ๆ ไปไหน (เดก็ ๆ หมำยถึง เดก็ หลำยคน) ............................................................................................................................................................................................................................................... ของอร่อยๆ ทง้ั น้ัน (อร่อยๆ หมำยถงึ ของอร่อยทกุ อย่ำง ไม่เนน้ วำ่ อรอ่ ยเพยี งใด) ๓. กา นบัวบอกลึกตนื้ ชลธาร ๒) ค�าซา�้ ทเ่ี ลน่ เสยี งวรรณยุกต์ โดยเปลย่ี นเสียงวรรณยกุ ตแ์ รกให้สงู ข้นึ เชน่ มรรยาทสอ สันดาน ชาติเชอ้ื นอ้ งคนทหี่ มำยเลขสำม ซว้ ยสวย (ซว้ ยสวย หมำยถงึ สวยมำกๆ) โฉดฉลาดเพราะคาํ ขาน ควรทราบ เฉฉบลับย ลองรับประทำนก๋วยเต๋ียวร้ำนนี้ไหมคะ พ่ีเขำบอกว่ำอร้อยอร่อย (อร้อยอร่อย หมำยถึง หยอ มญาเหี่ยวแหง เร้ือ บอกราย แสลงดิน อร่อยมำก) คําซอ นม…ี ……๕……………………..คาํ ไดแ ก........ล....กึ ....ต....ื้น..........ช...า..ต....เิ..ช...ือ้.........โ...ฉ....ด....ฉ....ล....า...ด.........ห....ย....อ...ม....ญ....า.........เ..ห....ีย่ ...ว...แ...ห....ง............................................................................................. 115 ............................................................................................................................................................................................................................................... ๔. นอ งแอฟเธอคา วขาว ซวยสวย นิสัยกด็ ๊ดี ี เธอเดินผานมาทางนท้ี ุกๆ เชา เดก็ ๆ แถวนีเ้ หน็ เธอทไี รตองรบี ว่ิงเขา ไปขอถา ยรูปคูกับเธอเปนประจํา เพราะความนา รกั ของเธอเลยทาํ ใหเธอ ไดใจคนแถวน้ีไปเตม็ ๆ คําซา้ํ ม…ี …………๖………………..คํา ไดแก ........ค....า..ว...ข...า...ว........ซ....ว...ย...ส.....ว..ย.........ด....๊ดี....ี......ท....กุ ....ๆ.........เ..ด...็ก....ๆ.........เ..ต....ม็ ...ๆ............................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................................................................... ๕. เชาวันนี้ฉันลมื ใสรองเทา เพราะรีบวงิ่ ออกไปใสบ าตร ทาํ ใหถ ูกเศษแกว บาดเทาเปนแผลใหญ เลยตองเสยี เงนิ คา ทาํ แผลหน่ึงรอยบาท คําพองม…ี ……๓……………………..คาํ ไดแ ก บาตร บาด บาท................................................................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................................................................... ๕๗ ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั การสรา งคําดวยวธิ ีการซ้ําคาํ ครคู วรอธบิ ายเพอ่ื สรา งความรู ความเขาใจเกี่ยวกบั การสรา งคาํ ในภาษาไทย คาํ ซา้ํ ในขอใดมจี ํานวนพยางคท ีอ่ อกเสียงซํ้านอ ยที่สดุ ดว ยวิธกี ารซอ นคํา จากนนั้ มอบหมายชนิ้ งานยอ ยใหนกั เรยี นรวบรวมคําซอ นใน 1. รม ชมพูๆ ท่เี ธอซ้อื มาฝากจากญี่ปนุ พังเสียแลว เมอื่ วันกอ น ชีวติ ประจาํ วันจาํ นวน 20 คาํ นํามาวเิ คราะห ดงั ตารางตอไปน้ี 2. คณุ ครเู รยี กนักเรียนใหอ อกมาอานหนงั สือหนา ชั้นทีละคนๆ 3. แลว ในวนั หน่ึงๆ มีคนมาเย่ยี มชมพพิ ธิ ภัณฑแ หงนปี้ ระมาณก่คี น คาํ ท่ีมา จดุ ประสงค ลกั ษณะ จํานวนคาํ 4. เขาไมไดใ สเ สือ้ ผาสีๆ มาหลายเดือนแลวเพราะกําลงั ไวท ุกขใ หญ าติ เสอื่ สาด คาํ ไทย อธบิ ายความหมาย การซอน 2 ผใู หญ ซอนกบั ของคําในภาษาถ่ิน คําที่มีความหมาย วเิ คราะหค าํ ตอบ คาํ ซํา้ เกิดจากการนาํ หนวยคําเดียวกันมาออกเสียงซาํ้ ภาษาถ่นิ ความหมายของคํา เหมอื นกันซอ นกนั จะปรากฏทค่ี าํ หลกั กนั 2 คร้งั โดยใชเ ครื่องหมายไมย มกกํากับ ขอ 1. อานวา ชม-พ-ู ชม-พู มี คือคาํ วา “เสือ่ ” 4 พยางค ขอ 2. อา นวา ท-ี ละ-คน-ที-ละ-คน มี 6 พยางค ขอ 3. อานวา วนั -หฺนึ่ง-วัน-หฺนึ่ง มี 4 พยางค สว นขอ 4. อานวา ส-ี สี มี 2 พยางค ดังน้ันจึงตอบขอ 4. คู่มอื ครู 115

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 5 สง ตัวแทนออกมาอธิบาย กำรสรำ้ งคำ� มคี วำมจำ� เปน็ ในภำษำเพรำะชว่ ยใหม้ คี ำ� ทม่ี คี วำมหมำยใหมใ่ ชใ้ นภำษำมำกขน้ึ คำ� ที่ ความรูในประเดน็ “คําพอง” พรอมทั้งระบุ สรำ้ งใหมเ่ หลำ่ นี้ คอื คำ� ประสม คำ� ซอ้ น คำ� ซำ�้ คำ� ทง้ั ๓ ชนดิ น้ี มวี ธิ กี ำรสรำ้ งคำ� ทแ่ี ตกตำ่ งกนั แตล่ ว้ นมี แหลงท่ีมาของขอ มลู พ้ืนฐำนของค�ำมำจำกค�ำมูล กำรศึกษำกำรสร้ำงค�ำนอกจำกจะช่วยให้รู้จักกำรสร้ำงค�ำใหม่ๆ มำใช้ ในภำษำแลว้ ยงั ชว่ ยใหส้ ำมำรถนำ� คำ� แตล่ ะชนดิ ไปใชป้ ระโยชนเ์ พอ่ื กำรสอื่ สำรไดอ้ ยำ่ งถกู ตอ้ งเหมำะสม 2. นกั เรยี นใชความรู ความเขาใจ ทไี่ ดร บั จากการ ฟงบรรยายของเพ่อื นๆ แตละกลุม รว มกนั สรุป ๔ คÓพอ้ ง หลกั เกณฑการสรา งคําประสม คาํ ซอน คาํ ซํา้ และคําพอ ง โดยมคี รูคอยชีแ้ นะเพ่ิมเตมิ ๑) คา� พ้องเสยี ง หมำยถึง คำ� ทอี่ ่ำนออกเสียงเหมอื นกันแตส่ ะกดตำ่ งกัน มีควำมหมำยต่ำงกนั หากพบการอธบิ ายความรูออกนอกประเดน็ เช่น ขยายความเขา้ ใจ Expand พช่ี อบนงั่ ดพู ระจนั ทร์ใต้ต้นจันทนท์ ุกคืน (จนั ทร์ หมำยถงึ พระจนั ทร์หรือดวงจันทร)์ นกั เรียนใชค วามรคู วามเขาใจเกย่ี วกบั คําพอ ง (จนั ทน์ หมำยถึง ตน้ ไม้ชนิดหน่ึง) ทําแบบวดั ฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยท่ี 1 ๒) คา� พ้องรูป หมำยถึง ค�ำท่เี ขียนเหมอื นกันแต่อ่ำนต่ำงกันและควำมหมำยต่ำงกนั เช่น กิจกรรมตามตวั ช้วี ัด กิจกรรมท่ี 1.4 และ 1.5 เรำขับรถไปต่อไม่ไดแ้ ลว้ พเ่ี พรำะเพลำหกั (เพลำ อำ่ นว่ำ เพฺลำ หมำยถงึ แกนสำ� หรับสอดดมุ รถหรือดุมเกวียน) ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ รีบๆ หนอ่ ย เพลำนี้ขำ้ ศกึ มำประชดิ เรำแลว้ ภาษาไทย ม.1 กจิ กรรมที่ 1.4 และ 1.5 (เพลำ อ่ำนวำ่ เพ-ลำ หมำยถึง เวลำ) เร่อื ง คา� พอ้ ง นกั เรียนต้องอำ่ นบรบิ ทใหเ้ ข้ำใจก่อนจงึ จะสำมำรถอ่ำนออกเสยี งได้ถูกตอ้ ง ๓) ค�าพ้องความหมาย (คำ� ไวพจน์) หมำยถึง สิ่งใดส่งิ หนึง่ อำจเรยี กได้หลำยคำ� ทั้งนก้ี ็เพรำะ กจิ กรรมท่ี ๑.๔ ใหนักเรียนทําเคร่ืองหมายกากบาท ( ✗ ) ทับคําท่ีตรงกับ คะแนนเตม็ คะแนนท่ีได ในภำษำไทย มีค�ำให้เรียกใช้ได้มำกมำยตำมควำมเหมำะสม เรำมักเลือกใช้ค�ำลักษณะนี้ในกำรแต่ง ความหมายท่กี าํ หนดให (ท ๔.๑ ม.๑/๒) ค�ำประพนั ธ์ เช่น õ ค�ำทห่ี มำยถึง นำ�้ ไดแ้ ก่ ชล วำรี นที สำยธำรำ กระแสสินธ์ุ ค�ำทีห่ มำยถึง ดวงจนั ทร์ ได้แก่ ศศธิ ร รชั นีกร แข จันทร์ จันทรำ แถง ๑. คาํ ถามในวิชาคณติ ศาสตร โจ✗ทย โจทก ๔) ค�าพอ้ งรูปพอ้ งเสยี ง เป็นคำ� ท่เี ขียนเหมือนกัน อำ่ นเหมือนกัน แต่ควำมหมำยแตกต่ำงกัน ๒. ทาํ สิ่งทชี่ าํ รุดใหคนื ดี สอ ม ซ✗อ ม เปน็ คำ� ตำ่ งชนิดและต่ำงหน้ำที่กัน เช่น ๓. ฝง น้ําสาํ หรับจอดเรือ ถา ท✗า เขำขน้ึ เขำไปหำเขำกวำงมำทำ� ยำ ๔. นกชนิดหนึง่ อนิ ทรยี  อ✗นิ ทรี (เขำ คำ� แรกเป็นคำ� สรรพนำม บรุ ุษที่ ๓ ท�ำหน้ำที่เปน็ ประธำนของประโยค) ๕. ระบบวชิ าความรู ศา✗สตร สาสน (เขำ ค�ำท่สี อง หมำยถงึ ภูเขำ) ๖. บอกเรอ่ื งราวใหผอู นื่ ฟง เหลา เ✗ลา (เขำ ค�ำท่ีสำม หมำยถึง อวัยวะส่วนท่ีแข็งมำกอยู่บนหัวสัตว์ ซ่ึงใช้เป็นอำวุธในกำรต่อสู้ ๗. สาดหรือเทใหก ระจายไป ร✗าด ลาด ป้องกนั ตวั ) ๘. ช่อื แมลงชนดิ หน่ึง พึ่ง ผ✗ง้ึ ๙. พืชทเี่ กดิ ตามพืน้ ดนิ พวกหนึ่ง ห✗ญา ยา 116 ๑๐. ช้ันท่ีทาํ ลดหลัน่ กันเปน ลาํ ดบั ค่นั ข✗ัน้ กิจกรรมท่ี ๑.๕ ใหน กั เรยี นเลอื กคาํ ทอ่ี ยใู นวงเลบ็ เตมิ ลงในประโยคใหถ กู ตอ ง คะแนนเตม็ คะแนนท่ไี ด เฉฉบลบั ย (ท ๔.๑ ม.๑/๒) ñð ๑. เส้อื ผาราคายอม……เ…ย…า………จนคนรนุ ……เย…า…ว… ……สามารถซ้อื ได (เยาว, เยา) ๒. โอไ ปรว มงานเปด รา น……ศ…ลิ …ป… ..เจา ของรา นเชญิ พระสงฆม าโยงดา ยสาย…ส…ิญ…จ…น…..(ศลิ ป, สญิ จน) ๓. ดว ยอาํ นาจคุณ……ไ…ส…ย………คิวอารมณไมแ จม ………ใส…………จนผลกั ……ไส……………พยาบาลทคี่ อยดแู ล (ไส, ใส, ไสย) ๔. หนึ่งขายอาหาร……ส…ตั……ว……ดว ยความซื่อ……ส…ตั…ย………ไมโกงตาช่งั (สตั ย, สัตว) ๕. นุยชอบลูก……จ…ัน…………ทสี่ เี หลอื งแบบพระ…จ…นั……ท…ร… … จึงเอาไปปลูกใกลตน…จ…ัน……ท…น… …. (จันทร, จัน, จนั ทน) ๖. สม ทาํ ……ก…า…ร………งาน โดยไมส นใจ……ก…า…ล………เวลาและเหตุ……ก…าร…ณ…… …บา นเมอื งทผี่ า นไป (กาล, การ, การณ) ๗. …ว…า…ณ…ชิ………ลอ งเรือสําเภาไปทาํ การ……วา…ณ……ชิ …ย… ท่ปี ระเทศใกลเ คียง (วาณิช, วาณิชย) ๘. พิธีเวียน…เ…ท…ีย…น………. ……เท……ียร………ยอมไปดวยเหลา……เธ…ีย…ร………ท่ีมาพบปะแลกเปลี่ยนความรูกัน (เทียร, เธียร, เทยี น) ๙. พญา……ก…บ…นิ …ท…ร… ควบคมุ เหลาสมนุ ……ก……บ…ิล……ใหอ ยูในโอวาท (กบลิ , กบินทร) ๑๐. พายุพดั แรงจน…ท……ะล…า…ย……มะพรา วรวงลงมาทับกระทอ มจนพงั ……ท…ล…า…ย…… (ทะลาย, ทลาย) ๕๖ เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT คาํ ซอนในขอ ใดมวี ิธีการประกอบรปู คําเหมือนกนั ครคู วรสรา งชดุ คาํ อธบิ ายเพ่อื ใหสามารถสรปุ หลักเกณฑการสรา งคําซ้ําได ดังน้ี 1. อวนพี ดแู ล รงุ ร่งิ “คําซํา้ คอื คาํ ที่ประกอบข้ึนจากหนวยคาํ 2 หนวย ซ่ึงเปน หนวยคาํ ทเ่ี หมือนกัน 2. ยากงาย เสอื่ สาด จิตใจ ทุกประการ โดยใชไมย มกกาํ กบั เพอ่ื ใหอ อกเสยี งซา้ํ หนว ยคาํ ทนี่ าํ มาสรา งเปน คาํ ซา้ํ 3. จติ ใจ บานเรือน เสือ่ สาด คอื คาํ ทง้ั 7 ชนดิ ในภาษาไทยเมอ่ื นาํ คาํ ซ้าํ มาประกอบในรูปประโยค จะอา นได 4. บา นเรือน ถว ยชาม ถากถาง 2 กรณี คอื ออกเสยี งธรรมดา กับออกเสียงโดยเนน เสยี งวรรณยุกตท่พี ยางคหนา วิเคราะหคาํ ตอบ ขอ 1. อวนพี นาํ คาํ ทม่ี คี วามหมายเหมอื นกนั มา คําที่ซํา้ แลวจะมีความหมายตา งไปจากเดมิ เชน เปนพหูพจน เนนความสาํ คัญ ซอ นกนั ดแู ล นาํ คาํ ทม่ี คี วามหมายเหมอื นกนั มาซอ นกนั รงุ รง่ิ เปน คาํ ซอ น เปนตน ” โดยครูมอบหมายชิน้ งานยอยใหนักเรยี นประกอบรปู ประโยคจาํ นวน เพอื่ เสยี ง ขอ 2. ยากงา ย นาํ คาํ ท่ีมคี วามหมายตรงขา มกนั มาซอ นกัน 10 ประโยค พรอมอธบิ าย ดงั นี้ เสอ่ื สาด นาํ คาํ ทม่ี ีความหมายเหมือนกันมาซอนกัน จิตใจ นําคําทม่ี ี ความหมายเหมือนกนั มาซอนกนั ขอ 4. บา นเรอื น นาํ คาํ ทม่ี คี วามหมาย 1. พีๆ่ ของฉันทํางานอยทู ต่ี างจงั หวัด คาํ ซ้ําคือ “พๆ่ี ” เมือ่ ซา้ํ คาํ แลวทําใหม ี เหมอื นกนั มาซอนกัน ถว ยชาม นําคาํ ที่มคี วามหมายคลา ยกันมาซอนกนั ความหมายเปน พหพู จน (มีจํานวนมากกวาหนงึ่ ) ถากถาง เปน คําซอ นเพ่อื เสยี ง ดังนนั้ จึงตอบขอ 3. 2. แมครวั เลือกหมูเน้ือๆ มาทําแกงพะแนงเลย้ี งอาหารกลางวนั เดก็ คาํ ซํา้ คือ “เนื้อๆ” เมื่อซา้ํ คาํ แลวทาํ ใหความหมายของคํามคี วามสาํ คญั มากขนึ้ 116 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ ค�ำไทยเปน็ ภำษำค�ำโดดที่ค�ำเดียวมหี ลำยควำมหมำย เชน่ ขนั อำจหมำยถึง ภำชนะตกั น้ำ� 1. นักเรียนนําองคค วามรเู กี่ยวกับการสรา งคาํ หรือกิริยำอำกำรท�ำให้แน่นข้ึน หรืออำกำรส่งเสียงร้องของไก่ตัวผู้ในยำมเช้ำก็ได้ และอำจมีค�ำท่ีอ่ำน ในภาษาไทย รว มกันอภปิ รายวา การสรา งคํา ออกเสียงเหมือนกันแต่ควำมหมำยแตกต่ำงกัน เช่น พระขรรค์ เขตขัณฑ์ ดังน้ัน กำรจะอ่ำนค�ำพ้อง ดว ยวิธกี ารประสมคาํ ซอนคาํ และซ้าํ คํา มี ผู้อ่ำนต้องอ่ำนบริบทคร่ำวๆ ก่อน เพ่ือพิจำรณำว่ำควรจะอ่ำนอย่ำงไรจึงจะถูกต้อง อย่ำรีบร้อนอ่ำน ลักษณะสาํ คญั ที่แตกตางกนั อยางไร ทาํ ใหมี โดยไมเ่ ข้ำใจควำมหมำยของคำ� คาํ ใชเ พม่ิ ขนึ้ ไดอ ยา งไร และตง้ั ขอสังเกตวา คนไทยโชคดีที่มีภาษาเป็นของตนเองมานานนับพันปี และมีตัวอักษรเป็นของ ในภาษาไทยยังมกี ารสรา งคําดว ยวิธีการอนื่ อีก ตนเองมาเป็นเวลากว่าเจ็ดร้อยปี ภาษาไทยมีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงมาโดยตลอด หรือไม นาํ คาํ ตอบที่ไดจากการอภปิ ราย บนั ทกึ แต่เปล่ียนแปลงแบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป เราจงึ สามารถอา่ นศลิ าจารกึ คมั ภรี ์ พระไตรปฎิ ก เปน ใบความรเู ฉพาะบุคคล สง ครู ตÓราตา่ งๆ ทจ่ี ารกึ เรอ่ื งราว ความรขู้ องบรรพบุรุษได้เขา้ ใจ เปน็ หนา้ ที่ของลกู หลานไทย ที่จะต้องศึกษาภาษาไทยให้เข้าใจ ออกเสียงภาษาไทยให้ถูกต้องชัดเจน สามารถสร้าง 2. นักเรียนแตละกลมุ ทีศ่ ึกษาในประเด็นตา งๆ คÓไทยและใช้คÓไทยท้ังการพดู อา่ น และเขียนไดถ้ ูกต้องตามหลักภาษา รวมกันทบทวนความรูเกี่ยวกับวิธกี ารสรางคาํ ในรปู แบบทีก่ ลุมของตนเองจบั สลากได จากนนั้ ใหรวมกนั คนหาคาํ ศพั ทใ นภาษาไทย ทม่ี ลี กั ษณะการสรา งคาํ ตรงกบั ทก่ี ลมุ ศกึ ษา ใหไดจํานวนมากที่สุด ทาํ เปน สมุดคาํ ศัพท ซ่ึงคาํ ที่สามารถหาภาพประกอบได กค็ วรหา ภาพประกอบและแตงประโยค เพอ่ื แสดง ความหมายเมอ่ื นําไปใชเ พ่ือการสอ่ื สารใน สถานการณจรงิ 117 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นกั เรยี นศกึ ษาเกยี่ วกับวิธีการออกเสยี งคําซาํ้ ในภาษาไทย พรอม ครูควรสรา งความรู ความเขาใจใหแกนักเรยี นเกยี่ วกบั คาํ พอ งในภาษาไทย ยกตัวอยา งประกอบใหชดั เจน นําเสนอผลการศึกษาในรปู แบบใบความรู โดยอธิบายใหเ หน็ วา คําพองท่ปี รากฏใชใ นภาษาไทยมี 3 ประเภท โดยมีหลัก เฉพาะบุคคล สงครู จาํ งายๆ ดังน้ี กิจกรรมทา ทาย 1. พอ งรปู รปู เหมือนกนั แตออกเสยี งตางกนั เชน เพลา กรี เปน ตน 2. พอ งเสยี ง เสยี งเหมอื นกนั แตเ ขยี นตา งกนั เชน กานท กานต กาญจน เปน ตน นกั เรียนศกึ ษาเก่ยี วกับชนดิ ของคาํ ทีส่ ามารถนาํ มาสรา งเปน คําซอน 3. พอ งท้งั รูปพอ งทง้ั เสยี ง คือ เหมอื นท้งั รปู ท้งั เสยี ง แตความหมายไมเหมอื นกนั ในภาษาไทย พรอ มยกตวั อยางประกอบใหช ัดเจน นาํ เสนอผลการศึกษา เชน ในรปู แบบใบความรูเ ฉพาะบคุ คล สงครู “เขา ลําคลองหวั รอตอระดะ ดูเกะกะรอรางทางพมา เหน็ รอหกั เหมอื นหนงึ่ รกั พี่รอรา แตร อทา ร้ังทกุ ขม าตามทาง” เมอ่ื ใหน กั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมสรา งเสรมิ และกจิ กรรมทา ทาย กอ นเกบ็ ใบความรู ของนักเรยี น ครสู มุ เรียกชือ่ นกั เรียนกจิ กรรมละ 5-10 คน ออกมานําเสนอผลการ ศกึ ษาเพอื่ แลกเปลย่ี นขอ มลู ซกั ถามซง่ึ กนั และกนั จนเกดิ ความเขา ใจทถี่ กู ตอ งรว มกนั คู่มอื ครู 117

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. นกั เรียนแตล ะกลมุ ออกมานาํ เสนอขอมลู คาํ ถาม ประจําหนวยการเรยี นรู เกีย่ วกบั เสียงในภาษาไทยทก่ี ลุมของตนเอง เลอื กศึกษา ๑. เพลงปลกุ ใจ จดั เป็นพลงั ของภ�ษ�ในเชิงสร้�งสรรคห์ รือไม่ อย่�งไร ๒. ก�รใชค้ �ำ พ้องในก�รสอ่ื ส�ร ควรคำ�นึงถึงสิง่ ใดเป็นสำ�คัญ 2. ครูสุมเรยี กนกั เรยี นบางกลุมออกมานาํ เสนอ ๓. อกั ษรส�มหมู่ มีคว�มส�ำ คัญตอ่ ก�รผนั เสยี งวรรณยุกตอ์ ย�่ งไร ขอ มลู เกย่ี วกับพลังของภาษา ๔. ก�รสร้�งค�ำ ในภ�ษ�ไทยเกิดขนึ้ เพร�ะเหตใุ ด จงอธิบ�ย ๕. เหตใุ ดจงึ ต้องระมดั ระวงั เมอื่ ใชค้ ำ�ซอ้ นเพ่อื เสียงในก�รส่อื ส�ร จงอธบิ �ยพอสงั เขป 3. ครตู รวจสอบขอมูลการนําเสนอของนกั เรยี นวา มีความถกู ตอ ง ครอบคลุมหรอื ไม รวมถึงแหลง การเรยี นรูท ่เี ลือกคนควา 4. ครูตรวจสอบปายนเิ ทศทีน่ ักเรียนรว มกนั จัดทํา โดยพจิ ารณาจากความถูกตอง ครอบคลมุ รปู แบบการนําเสนอและความสวยงาม 5. ครตู รวจสอบใบความรูเฉพาะบุคคลที่บนั ทึก ผลการอภปิ รายเกย่ี วกบั การสรา งคาํ ในภาษาไทย 6. นักเรียนตอบคําถามประจําหนว ยการเรียนรู หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรม สรา งสรรคพัฒนาการเรยี นรู 1. ปา ยนิเทศขนาดเลก็ บนแผน พลาสตกิ ลูกฟูก กิจกรรมท่ี ๑ ใหน้ ักเรียนร่วมกันคิดและบอกหลักในก�รท่องจ�ำ อักษรส�มหมู่ เกย่ี วกบั เสยี งในภาษาไทย (ประเภทที่เลือก กิจกรรมท่ี ๒ แล้วแลกเปลยี่ นคว�มรูก้ ัน ศกึ ษา) กจิ กรรมท่ี ๓ ใหน้ กั เรียนส�ำ รวจชื่อเล่นของเพอื่ นในชน้ั เรียน แลว้ จำ�แนกประเภทชอื่ ท่ีเป็น ค�ำ เปน็ และคำ�ต�ย พร้อมท้ังบอกหลกั ในก�รจ�ำ แนกชอ่ื ให้ถกู ต้อง 2. ปา ยนิเทศขนาดเลก็ บนแผน พลาสตกิ ลูกฟกู ใหน้ กั เรยี นร่วมกนั ยกตวั อย�่ งค�ำ พ้องที่มปี ญั ห�ในก�รใช้ พร้อมท้งั รว่ มกัน เก่ยี วกบั พลงั ของภาษา (ในประเด็นทีเ่ ลอื ก เสนอแนวท�งแก้ไข ศึกษา) 3. สมุดรวบรวมคําศพั ทอ านอยา งไรเขยี นอยางไร 4. สมุดรวบรวมคําศัพททเ่ี กดิ จากการสรา งคาํ ในรูปแบบตา งๆ 5. ใบความรเู ฉพาะบุคคลท่บี นั ทึกผลการอภิปราย 6. แบบวัดและบนั ทึกผลการเรยี นรู 118 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรียนรู 1. เพลงปลุกใจจัดเปน พลงั ของภาษา เพราะเน้ือหาของบทเพลงเรา ใหเ กดิ อารมณค วามรสู กึ ฮึกเหมิ สรา งความรสู กึ เปนอนั หน่ึงอันเดียวกนั ใหเกดิ ขนึ้ แกผฟู ง บทเพลง 2. การใชคาํ พอ งผใู ชจะตอ งทราบเก่ียวกับความแตกตา งระหวา งคําพองรูป คาํ พอ งเสียง คาํ ทพี่ อ งท้งั รูปและเสียง เมื่อเวลาทจ่ี ะตอ งอา นคําพอ งแตละประเภทควรสงั เกต ความหมายโดยรวมของประโยคกอนเพอื่ ท่จี ะไดอ า นออกเสยี งถูกตอง และเม่อื จะใชค ําพองเพื่อเขียนส่ือสารกค็ วรจดจาํ รปู และความหมายของคําแตละคาํ 3. การจําแนกพยญั ชนะเปน อกั ษรสงู อกั ษรกลาง อกั ษรตาํ่ ทาํ ใหสามารถผนั คาํ ใหม ีเสยี งและรูปตา งๆ ได เมือ่ คําเหลา นั้นมีเสยี งและรปู ตางกนั ความหมายของคําก็จะ ตางกนั ดวย เชน ปา ปา ปา ปา ปา 4. การสรางคําในภาษาไทยเกิดจากความเปล่ียนแปลงทางดา นสงั คม เทคโนโลยี การแลกรบั วฒั นธรรมตา งประเทศเขา มาใช ทาํ ใหคําทมี่ ีอยูมจี าํ นวนไมพอสาํ หรบั ใชส อ่ื ความหมายได จงึ มกี ารสรา งคาํ ใหมเ กดิ ขน้ึ 5. การใชค ําซอนเพื่อเสียงในการสือ่ สารตองระมดั ระวังเรอื่ งการเลือกใชใ หเ หมาะสมกบั สถานการณ เพราะหากใชไมถ กู ตอ งหรือไมเหมาะสมอาจกอใหเ กดิ ความเขา ใจ ทีค่ ลาดเคลอ่ื นได 118 ค่มู ือครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู สามารถวเิ คราะหชนดิ และหนา ทขี่ องคํา ในประโยคได สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเ รยี นรู 2. มคี วามรบั ผดิ ชอบ 3. มงุ มั่นในการทาํ งาน òหน่วยที่ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ชนดิ และหนาที่ของคําในประโยค ครตู งั้ คาํ ถามกบั นกั เรยี นเพอื่ กระตนุ ความสนใจ คา� ในภาษาไทยสามารถจา� แนก และนาํ เขาสหู นว ยการเรยี นรู ตวั ชวี้ ัด ตามหน้าทขี่ องค�าได้ ๗ ชนิด คา� เหลา่ น้ี • ในความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น ประโยคมี ท ๔.๑ ม.๑/๓ มหี นา้ ท่ีและต�าแหนง่ การวางในประโยค ความสําคญั ตอการสือ่ สารในชวี ติ ประจําวนั ■ วิเคราะหช นิดและหนาทีข่ องคําในประโยค แตกต่างกัน การศึกษาชนิดของค�าโดย ของมนษุ ย อยางไร ท�าความเข้าใจถึงหน้าที่ของค�านั้นๆ ที่ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความ สาระการเรียนรู้แกนกลาง ปรากฏในประโยค ช่วยให้สามารถใช้ค�า คดิ เห็นไดอยา งอสิ ระ ขึ้นอยูก บั พ้ืนฐานหรือ ในการสื่อสารได้ถูกต้องตรงความหมาย รอ งรอยความรเู ดมิ โดยครอู าจชแี้ นะเพมิ่ เตมิ ■ ชนดิ และหนาท่ขี องคํา และหลักไวยากรณ์ภาษาไทย วา ประโยคมีความสาํ คัญตอการส่ือสารใน ชวี ติ ประจาํ วนั ของมนษุ ย เพราะการสอื่ สาร ดว ยถอ ยคาํ เพยี งคําเดียวหรอื กลมุ คํานน้ั ไมสามารถสือ่ ความหมายไดค รบถวนตาม จดุ มงุ หมายของผสู ง สาร ดังนั้นจึงตอ ง เรียบเรยี งถอ ยคาํ กลุม คาํ ใหเปน ประโยค เพอื่ ใหส ามารถสอื่ สารไดต รงตามจดุ มงุ หมาย ท่ีต้ังไว) เกรด็ แนะครู การเรียนการสอนในหนว ยการเรยี นรู ชนดิ และหนาที่ของคาํ ในประโยค เปา หมายสาํ คญั คอื นกั เรยี นมคี วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั คาํ ทง้ั 7 ชนดิ ในภาษาไทย จนกระท่งั สามารถวเิ คราะหห นา ทแ่ี ละจาํ แนกชนิดของคําในประโยคทีพ่ บได การจะบรรลเุ ปาหมายดงั กลา ว ครูควรออกแบบการเรยี นการสอนโดยให นักเรยี นเปนผคู น หา แลกเปลย่ี นองคค วามรเู กี่ยวกับชนดิ และหนาที่ของคํา ในภาษาไทยดว ยตนเอง โดยใชว ธิ กี ารแบง กลมุ สบื คน แลว จงึ นาํ ขอ มลู มาแลกเปลยี่ น แบงปน ซ่ึงกันและกนั จากนัน้ ครจู ึงทาํ หนา ที่เปนผูตงั้ คาํ ถามโดยโจทย ควรทําหนา ที่ ทบทวนความรู ความเขาใจของนกั เรยี น เมือ่ มีความรู ความเขา ใจท่ีเพยี งพอจึง มอบหมายชน้ิ งานใหวิเคราะหหนาท่ีและจําแนกชนิดของคําจากรูปประโยคทีพ่ บเหน็ ในชีวิตประจาํ วัน การเรียนการสอนในลกั ษณะนจี้ ะชวยฝก ทกั ษะการจําแนกและการวิเคราะห ใหแกน กั เรยี น สามารถนาํ ความรู ความเขาใจเกีย่ วกับชนิดและหนา ท่ีของคาํ ไปใช เขียนหรอื พูดสอื่ สารในชวี ติ ประจาํ วนั ไดถูกตอ งและมีประสทิ ธภิ าพ คูม่ อื ครู 119

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครตู ้งั คําถามเพื่อกระตุนความสนใจและ ๑ ลักษณะของพยางค์ คÓ1 กลุม่ คÓ และประโยค ความสงสัยใครรู โดยพยายามใหนักเรยี นทุกคน มีสวนรว มกบั การตอบคาํ ถาม ค�ำเกิดจำกกำรน�ำเสยี งในภำษำ คอื เสยี งพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสยี งวรรณยุกต์ประสมกนั คำ� ทป่ี ระสมแลว้ ไมม่ คี วำมหมำยเรยี กวำ่ “พยำงค”์ ถำ้ พยำงคห์ นง่ึ พยำงค์ หรอื สองพยำงคข์ นึ้ ไปรวมกนั • นกั เรยี นคิดวา เสยี งในภาษาไทย คํา และ จะเกดิ เปน็ คำ� ทม่ี คี วำมหมำยขนึ้ เรยี กวำ่ “คำ� ” ดงั นนั้ คำ� หนง่ึ คำ� อำจมพี ยำงคเ์ ดยี ว หรอื หลำยพยำงคก์ ไ็ ด้ ประโยคมีความสมั พนั ธกนั อยางไร (แนวตอบ เสียงในภาษาไทย ประกอบดว ย ค�า จ�านวนพยางค ์ ความหมาย เสยี งสระ เสยี งพยญั ชนะ และเสยี งวรรณยกุ ต จะรวมกนั เปน คาํ ที่มีความหมาย แตก าร กิ ๑ ไม่มี สือ่ สารดวยถอยคาํ ไมส ามารถสอื่ สารได ครอบคลุมจดุ ประสงคของผสู ง สาร กิน ๑ เคี้ยว เคย้ี วกลนื ทำ�ให้ลว่ งล�ำ คอลงสูก่ ระเพ�ะอ�ห�ร ดังนัน้ คําจึงรวมกนั เปนกลุม คาํ หรือวลี และวลีจึงรวมกันเปนประโยคเพ่อื ใชสือ่ สาร มะระ ๒ ชื่อไมเ้ ถ�ชนิดหนงึ่ ผลขรขุ ระ รสขม กนิ ได้ ในชีวติ ประจาํ วัน) ขนั ๑ - ภ�ชนะตกั น�้ำ หรือใส่น้�ำ - หมุนให้แนน่ - หวั เร�ะ น�่ หวั เร�ะ ชวนหวั เร�ะ สา� รวจคน้ หา Explore จำกตวั อยำ่ งจะเหน็ วำ่ คำ� ไทยคำ� เดยี วมหี ลำยควำมหมำย และควำมหมำยจะแตกตำ่ งกนั เมอื่ ปรำกฏ ในตำ� แหนง่ ตำ่ งๆ ของประโยค ผอู้ ำ่ นจงึ ตอ้ งพจิ ำรณำบรบิ ทหรอื ขอ้ ควำมทแี่ วดลอ้ มดว้ ย เชน่ นกั เรยี นจบั กลุมยอ ย กลมุ ละ 3 คน รวมกนั ศึกษาคน ควา เพ่อื สรา งความรู ความเขา ใจทถ่ี ูกตอง หนหู ยบิ ขนั ใหแ้ มห่ นอ่ ย ขนั เปน็ คำ� นำม หมำยถงึ ภำชนะตกั นำ้� เก่ียวกบั ลกั ษณะของคาํ ประโยค และสว นประกอบ เอกขนั หวั ตะปเู กลยี วจนแนน่ ขนั เปน็ คำ� กรยิ ำ หมำยถงึ หมนุ ใหแ้ นน่ ของประโยคในภาษาไทย จากแหลงการเรียนรูท่ี นอ้ งพดู จำนำ่ ขนั ขนั เปน็ คำ� วเิ ศษณ์ หมำยถงึ นำ่ หวั เรำะ สามารถเขาถึงได เชน ตาํ ราวชิ าการ อนิ เทอรเ นต็ เปนตน จดบนั ทึกความรขู อ มลู ท่เี ปน ประโยชนห รอื เมื่อน�ำค�ำหลำยๆ ค�ำมำเรียงกันตำมระเบียบของภำษำจะเกิดเป็นกลุ่มค�ำท่ีมีควำมหมำย ขอ สงั เกตรวมกนั ลงสมุด แต่ยังไม่สมบูรณ์เรียกว่ำ “กลุ่มค�ำ” หรือ “วลี” ถ้ำกลุ่มค�ำนั้นมีควำมหมำยชัดเจนว่ำ ใครท�ำอะไร ท�ำแก่ใคร ท�ำให้เข้ำใจได้ชัดเจนขึ้นเรียกว่ำ “ประโยค” เพ่ือให้เข้ำใจประโยคได้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็อำจ มคี �ำ กลุม่ ค�ำ หรอื ประโยคมำขยำยก็ได้ วลีจงึ เปน็ เพียงส่วนหนึง่ ของประโยค ดังนั้นในกำรส่ือสำรเพ่ือให้มีควำมเข้ำใจตรงกัน หำกใช้เพียงค�ำพูดเป็นค�ำๆ หรือกลุ่มค�ำ อำจไม่สำมำรถส่ือควำมได้ชัดเจน จ�ำเป็นต้องใช้ถ้อยค�ำท่ีเป็นประโยคจึงจะได้ควำมเด่นชัด ประโยค ท่ีใช้ส่ือสำรกันท่ัวไป ได้แก่ ประโยคควำมเดียว (ประโยคสำมัญ) ประโยคควำมรวม และประโยค ควำมซ้อน ซ่ึงควำมส้ันยำวของประโยคขึ้นอยู่กับควำมต้องกำรของผู้ส่งสำร ดังน้ัน จึงต้องศึกษำ ควำมส�ำคัญของประโยค ชนิดและหน้ำที่ของค�ำซึ่งเป็นส่วนประกอบของประโยคให้เข้ำใจ เพื่อให้ กำรส่ือสำรมคี วำมหมำยครบถ้วน ชัดเจน และมีประสิทธิภำพ 120 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดมจี าํ นวนพยางคน อ ยทีส่ ดุ เกรด็ แนะครู 1. สรรพางค 2. สมานไมตรี ครอู าจมอบหมายชน้ิ งานยอยใหแกนักเรยี น ดวยการใหแตละคนรวบรวม 3. สรรพสินคา คําศพั ทท ี่ปรากฏใชใ นภาษาไทยทเี่ คยไดฟ งหรอื เคยอาน จํานวน 20 คํา 4. สงั กรประโยค เขยี นคาํ อาน พรอ มท้งั ระบุจาํ นวนพยางคข องคําใหถูกตอ ง บนั ทึกลงสมุด สงครู วเิ คราะหค ําตอบ ขอ 1. อา นวา สัน-ระ-พาง มีจํานวนพยางค 3 พยางค ขอ 2. อา นวา สะ-หมฺ าน-ไม-ตฺรี มีจาํ นวนพยางค 4 พยางค ขอ 3. อา นวา นักเรียนควรรู สบั -พะ-สิน-คา มีจาํ นวนพยางค 4 พยางค สวนขอ 4. อา นวา สงั -กะ-ระ- ปรฺ ะ-โหยฺ ก หรอื สัง-กอ-ระ-ปฺระ-โหฺยก มีจาํ นวนพยางค 5 พยางค 1 คาํ คอื หนวยยอ ยทสี่ ดุ ในภาษาทีม่ คี วามหมายและสามารถปรากฏได ดงั นนั้ จึงตอบขอ 1. ตามลาํ พงั โดยคําเกดิ จากการนาํ เสียงในภาษามารวมกันเปนพยางค อาจจะมี พยางคเดยี วหรือหลายพยางคก็ได พยางคใ ดๆ จะมีฐานะเปน คาํ กต็ อ เม่อื พยางคน้ันๆ มีความหมายและสามารถปรากฏไดตามลาํ พงั ดงั น้นั คุณสมบัติ ของคําจงึ ตองประกอบดว ยรูปภาษา ความหมาย และสามารถปรากฏไดอ ยางอิสระ 120 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๒ ส่วนประกอบของประโยคในการสอื่ สาร นกั เรียนรว มกันอธบิ ายความรู ความเขา ใจของ ตนเองเก่ยี วกบั คาํ ในภาษาไทยและสวนประกอบ สว่ นสำ� คสญั ำ๒รทส่ีใว่ชน้ส1่ือคอืสำภรำกคันปสระ่วธนำมนำแกลจะะภพำคูดแแสลดะงเขียนเป็นประโยคหรือวลี ประโยคประกอบด้วย ของประโยค ซ่ึงไดจากการสืบคนรวมกนั กบั เพ่ือน ๑) ภาคประธาน ไดแ้ ก่ สว่ นท่เี ป็นผกู้ ระท�ำ อำจจะมสี ว่ นขยำยหรอื ไม่มีกไ็ ด้ เช่น ในกลมุ ครผู ูสอนอาจใชวิธีการสมุ เรียกชอื่ เพอื่ ตอบ คําถาม กองลูกเสอื สำมญั โรงเรยี นนพเก้ำวทิ ยำไปอยคู่ ำ่ ยพกั แรมท่คี ่ำยลกู เสือวชริ ำวุธำนุสรณ์ นักเรยี นโรงเรียนสำยอนุสรณส์ ละทน่ี ่งั ใหค้ นชรำ • คําในภาษาไทยเกดิ ข้ึนไดอ ยา งไร ๒) ภาคแสดง ได้แก่ ส่วนที่บอกอำกำรหรือบอกสภำพของประธำน อำจมีส่วนขยำยหรือ (แนวตอบ คําเกดิ จากการนําเสยี งในภาษาไทย ไม่มกี ไ็ ด้ สว่ นขยำยอำจเป็นคำ� วลี หรือประโยคกไ็ ด้ เชน่ ซ่ึงไดแ ก เสยี งสระ เสยี งพยัญชนะ และเสียง นกรอ้ งเสยี งไพเรำะ วรรณยุกตม าประกอบขึ้นเปน คํา) นภำและครอบครัวยำ้ ยไปอยู่บ้ำนใหม่ซ่ึงสรำ้ งเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ • ประโยคมีลกั ษณะสาํ คญั ทีโ่ ดดเดนอยางไร ตัวอยา่ งการวเิ คราะหป์ ระโยค (แนวตอบ ประโยค คือหนวยทางภาษาท่ี ประกอบดวยคําหลายคาํ มาเรียงตอ กนั ภาคประธาน ภาคแสดง ซ่งึ คําทีน่ ํามาเรยี งตอกนั นั้น ตองมคี วาม ประโยค บทประธาน สว่ นขยาย สมั พนั ธท างไวยากรณต อ กนั อยา งใดอยา งหนงึ่ บทกรยิ า บทกรรม ซ่ึงประโยคเปน หนวยทางภาษาท่สี ามารถ กองลูกเสือส�มัญ กองลูกเสอื โรงเรยี น กริยา ส่วกนรขิยยาาย กรรม ส่วกนรขรยมาย สอ่ื ความไดว าเกดิ อะไรข้นึ หรืออะไรมสี ภาพ โรงเรียนนพเก้�วทิ ย� ส�มญั นพเก�้ วทิ ย� ไป อยู่ค�่ ย ค่�ยลูกเสือ วชิร� เปนอยางไร ทําใหม นษุ ยส ามารถสอ่ื สารกัน ไปอยคู่ �่ ยพักแรมทค่ี ่�ย พกั แรม วธุ �นสุ รณ์ ไดเ ขา ใจ) ลูกเสือวชริ �วธุ �นุสรณ์ * ค�ำ เชอ่ื ม คอื ท่ี • นกั เรียนลองตัง้ ขอสังเกตเบื้องตนเกี่ยวกับ ประโยคทใ่ี ชส่อื สารในชวี ิตประจาํ วัน นักเรยี นโรงเรยี น นกั เรยี น โรงเรยี น สละ ใหค้ นชร� ทน่ี ง่ั - มลี ักษณะการเรียงรปู ประโยค อยา งไร ส�ยอนุสรณส์ ละท่นี ัง่ ส�ยอนสุ รณ์ (แนวตอบ การเรยี งคาํ เขา ประโยคในภาษาไทย ให้คนชร� ในเบอ้ื งตนประกอบดว ยผูกระทํา และคาํ แสดงสภาพหรืออาการ เปน การสือ่ สารเพอ่ื นกรอ้ งเสียงไพเร�ะ นก - ร้อง เสียงไพเร�ะ - - บอกสภาพ เชน ฉันเดิน ฉันหิว ฉนั นอน นภ�และครอบครัว นภ�และ - ย้�ยไปอยู่ - บ้�นใหม่ - เม่อื ตองการความชดั เจนยงิ่ ขน้ึ ประโยคจะ ย�้ ยไปอย่บู ้�นใหม่ ครอบครัว ประกอบดว ยผกู ระทํา คาํ แสดงสภาพอาการ (ประโยคหลกั ) และผถู กู กระทาํ เปนการส่อื สารเพอื่ บอกวา ใครทาํ อะไร หรือเกิดอะไรข้นึ เชน ฉันเดิน บ�้ นใหม่สร้�งเสร็จ บ้�น ใหม่ สร้�งเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว - - ไปโรงเรียน ฉนั ดมื่ นํ้า ฉนั กินขาว เปนตน ) เรียบรอ้ ยแล้ว (ประโยคย่อย) 121 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นกั เรียนศึกษาเกี่ยวกับนามวลีและกรยิ าวลี โดยรวบรวมขอมลู ให ครคู วรใหค ําอธบิ ายเพ่มิ เติมเก่ียวกับวลใี นภาษาไทย เมือ่ ครใู หนักเรยี นปฏิบัติ ครอบคลมุ ประเดน็ เกยี่ วกบั ความหมาย สว นประกอบและหนา ทใ่ี นประโยค กิจกรรมสรา งเสรมิ และกิจกรรมทาทาย กอ นเก็บใบความรคู วรสมุ เรยี กชื่อนักเรียน นําเสนอผลการศกึ ษาในรปู แบบใบความรูเฉพาะบคุ คล สงครู กจิ กรรมละ 3-5 คน เพอื่ แลกเปลย่ี นขอ มลู ความรทู เี่ ปน ประโยชนร ะหวา งกนั จากนน้ั ต้ังคําถามกับนักเรยี นวา วลีในภาษาไทยมีทง้ั หมด 5 ประเภท แตเ พราะเหตใุ ดใน กจิ กรรมทา ทาย ประโยคจึงประกอบดวยสวนสาํ คัญเบอ้ื งตนเพยี ง 2 สวน ไดแก นามวลแี ละกริยาวลี นกั เรยี นศกึ ษาเกยี่ วกบั ปรมิ าณวลี บพุ บทวลี และวเิ ศษณว ลี โดยรวบรวม นักเรียนควรรู ขอมูลใหครอบคลมุ ประเด็นเกีย่ วกับความหมาย สว นประกอบ และหนาท่ี ในประโยค นําเสนอผลการศึกษาในรปู แบบใบความรเู ฉพาะบคุ คล สงครู 1 สวนสําคัญ 2 สว น โดยทัว่ ไปประโยคประกอบดวยสวนสาํ คญั 2 สวน ไดแก นามวลแี ละกรยิ าวลี โดยนามวลีทําหนาทีเ่ ปนภาคประธานของประโยค สว นกรยิ าวลที าํ หนาทเ่ี ปน ภาคแสดงของประโยค โดยนกั เรียนอาจศึกษาเพ่ิมเตมิ เก่ียวกับสวนประกอบของประโยค ไดจากหนงั สอื บรรทัดฐานภาษาไทย เลม 3 ซึ่งจดั พิมพโดยกระทรวงศกึ ษาธกิ าร คูม่ ือครู 121

กระตนุ ความสนใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore สาํ รวจคน หา Explore ครูทําสลากจาํ นวน 7 ใบ โดยเขยี นหมายเลข ๓ ชนดิ และหน้าที่ของคÓในประโยค 1-7 ลงบนกระดาษ คดั เลือกตวั แทนนักเรยี นท่มี ี คุณลกั ษณะเปนผูนาํ และมีความสามารถในการ คำ� ในภำษำจ�ำแนกไดเ้ ปน็ ๗ ชนิด คอื ค�ำนำม ค�ำสรรพนำม คำ� กริยำ คำ� วิเศษณ์ คำ� บุพบท สรุปประเด็น ออกมาจับสลากจํานวน 7 คน ดังน้ี คำ� สันธำน และค�ำอุทำน กำรท่ีคำ� ไทยคำ� เดยี วมีหลำยควำมหมำยและหลำยหน้ำที่ ทั้งกำรจัดลำ� ดบั คำ� ในประโยค ถ้ำเรียงผิดต�ำแหน่งจะท�ำให้หน้ำท่ีและควำมหมำยผิดไป นักเรียนจึงต้องเรียนรู้ชนิด หมายเลข 1 คาํ นาม และหน้ำท่ีของค�ำในประโยค เพ่ือให้ผู้รับสำรและผู้ส่งสำรเข้ำใจได้ตรงกัน และประสบผลส�ำเร็จใน หมายเลข 2 คําสรรพนาม กำรส่ือสำร รวมถึงหน้ำท่กี ำรงำนตำมจุดประสงค์ หมายเลข 3 คํากรยิ า หมายเลข 4 คําวิเศษณ ๓.๑ หมวดคา� นาม หมายเลข 5 คําบพุ บท หมายเลข 6 คาํ สันธาน ค�านาม คือ ค�ำที่ใช้เรียกช่ือคน สัตว์ ส่ิงของ สภำพ ลักษณะ และอำกำรของสิ่งมีชีวิต หมายเลข 7 คาํ อุทาน และสิ่งท่ไี ม่มีชีวติ ทง้ั สิง่ ทีเ่ ปน็ รูปธรรมและนำมธรรม ใหนกั เรยี นทัง้ 7 คน เปด รับสมาชิกกลุม ใน จํานวนเทา ๆ กัน หรอื ตามความเหมาะสม เม่อื ได ๑) ประเภทของคา� นาม แบ่งได้ ๕ ประเภท ตอ่ ไปนี้ จาํ นวนสมาชกิ แลว ใหสมาชกิ ของแตละกลมุ รวมกัน ๑.๑) คา� นามที่เรยี กช่ือท่วั ไป ได้แก่ ชื่อบคุ คล ชอื่ สตั ว์ ช่ือส่ิงของ ช่อื สถำนท่ี เช่น พ่อ ชำ้ ง ศึกษาวา หมวดคํานั้นๆ มีนยิ ามอยางไร ทําหนา ท่ี ใดในประโยค รวบรวมและบันทกึ ขอ มูลท่ีเปน สมุด โรงเรยี น ธนำคำร เป็นตน้ ประโยชนเ หลาน้นั ไว โดยนักเรียนสามารถสืบคน ๑.๒) ค�านามท่ีเป็นช่ือเฉพาะ ได้แก่ ชื่อบุคคล ช่ือสัตว์ ชื่อสิ่งของ และช่ือสถำนที่ ความรเู พื่อตอบประเดน็ ขางตนไดจ ากตาํ ราทาง วิชาการเก่ียวกับภาษาไทย เชน หนังสือบรรทัดฐาน เช่น พระอภัยมณี ชำ้ งกำ้ นกลว้ ย หนังสือเรยี นภำษำไทย สถำนรี ถไฟหวั ล�ำโพง เป็นต้น ภาษาไทย เลม 3 ซง่ึ จดั พมิ พโ ดยกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ๑.๓) คา� นามท่ีบอกความเป็นหมพู่ วก กลุ่ม หรือคณะ ได้แก่ ชอ่ื บคุ คล ช่อื สตั ว์ ช่ือส่ิงของ หรืออนิ เทอรเน็ต โดยควรคํานึงถึงความนาเช่อื ถอื ของแหลงขอ มูล และชอื่ สถำนท่ี เชน่ คณะนกั เรยี นโรงเรยี นบำ้ นหนองนำ�้ ใส โขลงชำ้ งพงั กองหนงั สอื หมบู่ ำ้ นทำ่ ขำ้ ม เปน็ ตน้ ๑.๔) ค�านามที่เป็นนามธรรม ไม่มีขนำดและรูปร่ำง แต่สำมำรถสื่อควำมหมำยได้เข้ำใจ ดังนี้ “กำร” หรอื “ควำม” นำ� หน้ำคำ� กริยำเรียกว่ำ อำกำรนำม1เช่น กำรกนิ กำรนอน กำรเดนิ กำรน่งั ซ่ึงค�ำทม่ี ี “ควำม” นำ� หนำ้ มกั เปน็ ค�ำวเิ ศษณ์หรอื คำ� ทเี่ กยี่ วกับจติ ใจ เช่น ควำมรัก ควำมซอ่ื สตั ย์ ควำมจงรักภกั ดี ควำมคดิ ควำมโกรธ ควำมผูกพนั เปน็ ตน้ “กำร” นำ� หน้ำค�ำนำม จดั เปน็ นำมทัว่ ไป เชน่ กำรบ้ำน กำรเมือง กำรครวั กำรคลัง ๑.๕) ค�านามท่ีใช้บอกลักษณะของนาม บำงทีเรียก ลักษณนำม ค�ำนำมประเภทนี้ บอกใหท้ รำบถึงลกั ษณะของส่งิ ทก่ี ลำ่ วถึงวำ่ มีรปู พรรณสัณฐำนเป็นอย่ำงไร เช่น บ้�นเรือน มีลักษณน�มเปน็ หลงั รถ รม่ มลี ักษณน�มเปน็ คัน ดินสอ มีลักษณน�มเปน็ แท่ง กระด�ษ มลี ักษณน�มเป็น แผน่ 122 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT คํานามในขอ ใดตอ ไปน้ที าํ หนา ทต่ี า งจากขอ อ่นื นักเรยี นควรรู 1. หนงั สอื เลมน้ีมแี ตคนสนใจ 2. เขาชอบอานหนงั สอื เลมนม้ี ากท่สี ดุ 1 อาการนาม คําอาการนามท่ีขึ้นตนดว ยหนวยคาํ เติมหนา “การ” เชน การกิน 3. หนงั สือชดุ น้ีพวกเขาเหลานั้นชอบมาก หากต้ังขอสังเกตจะเหน็ วาเปน คาํ ทแี่ สดงใหเห็นกระบวนการในการทาํ กรยิ า สว นคาํ 4. หนงั สอื เลม นน้ี า สนใจเพราะเปนเรอ่ื งทดี่ ีมาก อาการนามทข่ี ึ้นตน ดว ยหนว ยคาํ เตมิ หนา “ความ” เชน ความเปน อยู จะแสดงสภาพ วเิ คราะหค ําตอบ ตัวเลือกท้งั 4 ขอ มคี าํ นามเปนคําเดยี วกัน คือคาํ วา หรอื ลักษณะรวมๆ ของกริยา ซง่ึ คํากรยิ าบางคําสามารถเตมิ “การ” เพอื่ สรางคํา “หนังสอื ” แตหนังสอื คาํ เดียวกนั น้ีทําหนาทีใ่ นประโยคแตกตางกนั ขอ 1. อาการนามได แตไ มส ามารถเติม “ความ” ได เชนเดียวกับคํากริยาบางคําก็เติมได “หนงั สอื ” ทาํ หนา ท่ีเปน กรรมในประโยค ขอ 2. “หนงั สอื ” ทาํ หนาท่เี ปน เฉพาะ “ความ” และคาํ กริยาบางคาํ กไ็ มสามารถเติมไดท งั้ “การ” และ “ความ” เชน กรรมในประโยค ขอ 3. “หนงั สอื ” ทาํ หนา ทีเ่ ปนกรรมในประโยค สว นขอ คาํ วา “คือ” 4. “หนงั สอื ” ทาํ หนา ทเี่ ปน ประธานในประโยค ดงั นน้ั จงึ ตอบขอ 4. 122 คูมือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ นอกจำกน้ี ค�ำลักษณนำมใช้เป็นค�ำบอกจ�ำนวนนับโดยมีจ�ำนวนนับอยู่หน้ำลักษณนำมน้ัน 1. นกั เรียนกลุมท่ี 1 สง ตวั แทน 2 คน ออกมา เช่น มีคนเดินมำในห้อง ๑๐ คน แม่ซ้ือดินสอให้ฉัน ๕ แท่ง หรือใช้ประกอบหลังค�ำนำม เช่น อธิบายความรใู นประเดน็ “คาํ นาม” โดยนํา บำ้ นหลงั ท่ที ำสขี ำวเป็นบำ้ นของพ่ชี ำย สมุดเลม่ น้ฉี ันยมื น้องมำ เปน็ ตน้ เสนอขอมูลใหค รอบคลุมประเดน็ ของคํานิยาม และการทาํ หนา ที่ในประโยค ๒) หน้าทีข่ องค�านามในประโยค ค�ำนำมมีหนำ้ ท่ีในประโยค ดังนี้ ๒.๑) ทา� หนา้ ทเ่ี ป็นประธานของประโยค เชน่ 2. นกั เรียนยนื ในลักษณะวงกลมเพอื่ รว มกัน คณะรัฐมนตรกี �ำลังประชมุ ทรี่ ัฐสภำ อธบิ ายความรแู บบโตต อบรอบวงเก่ียวกับ ปลำฉลำมกดั นกั ท่องเทีย่ วทก่ี �ำลังเล่นนำ้� ทะเล คํานาม โดยใชค วามรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดร บั ๒.๒) ทา� หนา้ ที่เปน็ กรรมของประโยค เช่น จากการฟง บรรยายของเพอื่ นๆ กลมุ ท่ี 1 เปน ลกู ๆ กำ� ลงั อำ่ นหนังสือเรยี น ขอ มลู เบ้อื งตนสําหรับตอบคาํ ถาม เด็กๆ ชอบเล่นตุก๊ ตำ • คาํ นาม แบง เปน กีป่ ระเภท และไดแ ก ๒.๓) ท�าหน้าที่เป็นกรรมตรงและกรรมรอง โดยค�ำที่อยู่หลังกริยำเป็นกรรมตรง ถ้ำมี อะไรบา ง (แนวตอบ 5 ประเภท ไดแก คํานามเรียกช่ือ คำ� วำ่ แก่ หรือ ให้ อย่ขู ำ้ งหน้ำคำ� นำมนัน้ เรียกว่ำ กรรมรอง เชน่ ทั่วไป คาํ นามทเ่ี ปนชือ่ เฉพาะ คํานามท่บี อก แม่ให้เงินแกน่ ้องทุกวนั (เงนิ เปน็ กรรมตรง สว่ นนอ้ ง เปน็ กรรมรอง) ความเปน หมู เปน พวก คาํ นามทเ่ี ปน นามธรรม เรำส่งสิง่ ของตำ่ งๆ ใหผ้ ้ปู ระสบภัยน�้ำท่วม และคาํ นามท่ใี ชบอกลักษณะ) (ส่ิงของต่ำงๆ เปน็ กรรมตรง สว่ นผูป้ ระสบภยั นำ�้ ท่วม เป็นกรรมรอง) • ลกั ษณนามมีความสัมพันธอ ยางไรกบั คาํ นามท่ีอยูข า งหนา ๒.๔) ท�าหน้าทข่ี ยายค�าอน่ื ให้ชดั เจนยงิ่ ข้นึ ไดแ้ ก่ ขยำยค�ำนำม คำ� กรยิ ำ เช่น (แนวตอบ คาํ ลกั ษณนามทําหนาทบี่ อกให นำยณรงค์ รกั ดี คณะกรรมกำรหมู่บำ้ นกลำ่ วเปดิ งำนวนั สง่ิ แวดล้อมไทย ทราบวา คาํ นามทอ่ี ยูขา งหนา มรี ูปพรรณ (นำยณรงค์ รักดี เป็นค�ำนำมท่ีเป็นช่ือเฉพำะ คณะกรรมกำรหมู่บ้ำน เป็นค�ำนำม สณั ฐานอยา งไร เชน บานมลี ักษณนามเปน หลัง นกั เรยี น มลี กั ษณนามเปน คน) ท่ัวไปทีข่ ยำยนำมช่ือเฉพำะให้ชดั เจนยงิ่ ขน้ึ ) • คาํ นามสามารถทาํ หนา ทใี่ ดไดบ า งในประโยค พอ่ นอนเลน่ ทเี่ กำ้ อ้ี (เก้ำอี้ เป็นค�ำนำมขยำยค�ำกริยำเพื่อบอกสถำนที)่ (แนวตอบ คาํ นามสามารถทาํ หนา ทใี่ นประโยค เรำกำ� ลงั รบั ประทำนอำหำรวำ่ งตอนบำ่ ย (อำหำรวำ่ งตอนบำ่ ย เปน็ คำ� นำมขยำยกรยิ ำ ไดโดยเปนประธาน เปน กรรมตรง กรรมรอง ทาํ หนาทขี่ ยายคาํ อื่นในประโยคใหชัดเจน และบอกเวลำตอนบำ่ ย) ยิง่ ข้ึน ทําหนาทเ่ี ปน คาํ เรยี กขาน และสว น ๒.๕) ทา� หน้าท่เี ป็นคา� เรยี กขาน เชน่ เติมเต็มใหคาํ กริยาในประโยค) คณุ ยำยขำท�ำอะไรอยคู่ ะ (คณุ ยำย เป็นค�ำนำม ส่วนคุณยำยขำ เปน็ ค�ำเรียกขำน) คณุ ตำ� รวจคะถนนตกไปทำงไหนคะ (ตำ� รวจ เปน็ คำ� นำม สว่ นคณุ ตำ� รวจคะ ทำ� หนำ้ ที่ เป็นคำ� เรียกขำน) ๒.๖) ทา� หนา้ ทเี่ ป็นส่วนเติมเต็มใหค้ �ากรยิ า เปน็ เหมอื น คล้ำย เท่ำ คอื แปลวำ่ เช่น พุ่มพวงเป็นรำชนิ เี พลงลูกทุ่ง นอ้ งนกหน้ำตำคล้ำยพอ่ มำก 123 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ประโยคในขอ ใดไมป รากฏคาํ สมหุ นามหรอื คาํ นามทบ่ี อกความเปน หมเู ปน พวก ครูควรแนะนําเพม่ิ เตมิ ใหแ กน กั เรียนวา เกณฑการจาํ แนกชนดิ ของคํามี 1. คณะนกั เรยี นโรงเรียนบานรีวทิ ยาไปทศั นศกึ ษา หลายเกณฑ ดังน้นั จงึ ทาํ ใหจาํ นวนชนดิ ของคาํ แตกตา งกนั ออกไปดว ย เชน 2. ฝูงโลมาวายมาเกยตนื้ บริเวณปากอา วไทย พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร จําแนกชนิดของคําออกเปน 7 ชนดิ อาจารยว จิ นิ ตน 3. กองหนงั สอื วางอยบู นโตะในหองสมดุ ภาณพุ งศ จาํ แนกชนดิ ของคาํ ออกเปน 26 ชนดิ อาจารยน ววรรณ พันธุเมธา จาํ แนก 4. ชาวนาตอ งการสวงิ หาปลาหลายปาก ชนดิ ของคําออกเปน 6 ชนดิ สวนหนงั สืออเุ ทศภาษาไทย ชดุ บรรทดั ฐานภาษาไทย วเิ คราะหค ําตอบ คําสมุหนาม คอื คํานามท่บี อกความเปน หมู เปน พวก เลม 3 ซ่ึงจดั พิมพโ ดยกระทรวงศึกษาธกิ าร ไดจ ําแนกชนิดของคําออกเปน 12 ชนิด กลุมหรอื คณะ ไดแ ก ชอื่ บคุ คล ชอ่ื สัตว ชอ่ื สิ่งของ และช่ือสถานที่ จากคํา โดยใชเกณฑหนา ที่ ตาํ แหนงที่ปรากฏ ความสัมพนั ธกบั คําอืน่ และความหมาย นิยามนีท้ าํ ใหพ จิ ารณาไดว า คาํ สมุหนามในขอ 1. คอื คาํ วา “คณะ” เปนเกณฑส ําหรับการจาํ แนก ดังน้ี คาํ นาม คาํ สรรพนาม คํากริยา คําชวยกริยา คาํ สมุหนามในขอ 2. คือคาํ วา “ฝูง” คาํ สมุหนามในขอ 3. คือคําวา “กอง” คาํ วเิ ศษณ คําทเ่ี กยี่ วกับจาํ นวน คาํ บอกจาํ นวน คาํ บพุ บท คาํ เช่ือม คําลงทา ย สว นคาํ วา “ปาก” ในขอ 4. ไมใชคําสมหุ นาม แตเ ปนคาํ ลกั ษณนาม คาํ อุทานและคาํ ปฏิเสธ ดงั นน้ั จงึ ตอบขอ 4. คมู่ ือครู 123

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นกลมุ ที่ 2 สง ตวั แทน 2 คน ออกมาอธบิ าย ๓.๒ หมวดคา� สรรพนาม ความรูใ นประเด็น “คําสรรพนาม” โดยนาํ เสนอ ขอ มูลใหค รอบคลมุ ประเด็นของคํานิยามและ คา� สรรพนาม คอื ค�ำที่ใชแ้ ทนชอื่ คน สตั ว์ สง่ิ ของ มกั ใชใ้ นกำรพูด เช่น ผม ฉนั ดิฉนั คุณ ทำ่ น การทาํ หนา ทใ่ี นประโยค เขำ เรำ เปน็ ตน้ 2. นกั เรียนยืนในลักษณะวงกลมเพอื่ รว มกันอธิบาย ๑) ประเภทของค�าสรรพนาม แบ่งได้ ๗ ประเภท ดงั นี้ ความรูแบบโตตอบรอบวงเกีย่ วกบั คําสรรพนาม ๑.๑) คา� สรรพนามท่ีใช้ในการพูด (บรุ ษุ สรรพนาม) ได้แก่ โดยใชค วามรู ความเขาใจ ที่ไดร ับจากการฟง บรรยายของเพอื่ นๆ กลุมที่ 2 เปน ขอ มลู สรรพนามบรุ ษุ ท ่ี การใช้ ตัวอย่างค�าสรรพนาม เบื้องตนสาํ หรบั ตอบคาํ ถาม • คาํ สรรพนามมลี ักษณะสาํ คญั ทโ่ี ดดเดน ๑ ใชแ้ ทนตัวผพู้ ูด ข้� ฉัน ดฉิ ัน หนู ผม กระผม เกล้�กระผม ข้�พเจ�้ จากคาํ ชนิดอน่ื ๆ ในภาษาไทยอยางไร ข้�พระพทุ ธเจ�้ (แนวตอบ คําสรรพนาม คือคําท่ีใชแทนชอื่ คน ๒ ใช้แทนผทู้ พ่ี ดู ด้วย แก เจ�้ เธอ คุณ ท่�น พระคุณเจ�้ ฝ่�พระบ�ท สตั ว สิง่ ของ หรืออาจกลาววา เปนคาํ ท่ใี ชแทน ใตฝ้ �่ พระบ�ท ใต้ฝ�่ ละอองธลุ ีพระบ�ท คาํ นาม สามารถแบง ได 7 ประเภท ไดแก • คําสรรพนามทใ่ี ชในการพูด ๓ ใช้แทนผู้ทถี่ ูกกล�่ วถึง เข� มัน แก เธอ ท่�น ท�่ นช�ย ท�่ นหญิง • คาํ สรรพนามช้ีระยะ พระองค์หญงิ เสดจ็ พระองคห์ ญิง ทูลกระหมอ่ ม • คาํ สรรพนามท่ใี ชเปนคําถาม • คาํ สรรพนามบอกความไมเฉพาะเจาะจง กำรใช้คำ� สรรพนำมบำงครง้ั สำมำรถใช้ตำ� แหนง่ หรอื หน้ำท่ีแทนได้ เช่น • คําสรรพนามบอกความช้ซี าํ้ แบง พวก มะลิชว่ ยครูยกสมุดหนอ่ ยสิ (ครู เปน็ สรรพนำมบุรษุ ที่ ๑) • คําสรรพนามเช่ือมประโยค หมอจะให้หนไู ปตรวจทหี่ ้องไหนคะ (หมอ เปน็ สรรพนำมบรุ ุษท่ี ๒) • คาํ สรรพนามทชี่ ว ยเนน คาํ นามทอี่ ยขู า งหนา ) คณุ สุดำ ทำ่ นผูอ้ ำ� นวยกำรอยู่ไหมคะ (ทำ่ นผูอ้ �ำนวยกำร เปน็ สรรพนำมบรุ ษุ ที่ ๓) ค�ำท่ีใช้แสดงควำมสัมพันธ์ทำงเครือญำติอำจใช้เป็นสรรพนำมบุรุษท่ี ๑ หรือบุรุษท่ี ๒ ก็ได้ ผอู้ ำ่ นหรอื ผฟู้ งั ตอ้ งพจิ ำรณำบริบทว่ำเป็นสรรพนำมบรุ ษุ ท่ี ๑ หรอื ๒ เช่น พอ่ คะ นำยกสมำคมฝำกจดหมำยเชิญมำให้คะ่ (พอ่ เปน็ สรรพนำมบรุ ษุ ที่ ๒) ค�ำบรุ ุษสรรพนำมบำงคำ� อำจเป็นได้ทั้งสรรพนำมบุรษุ ที่ ๒ หรือบรุ ุษท่ี ๓ เช่น เธอไม่รับประทำนอำหำรประเภทเนอื้ ใช่ไหม (เธอ เป็นสรรพนำมบรุ ุษที่ ๒) เธอเป็นผหู้ ญิงท่ีสุภำพ อ่อนโยน นำ่ รกั มำก (เธอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๓) ดังนั้น กำรที่จะบอกว่ำค�ำนั้นๆ เป็นค�ำชนิดใด ท�ำหน้ำท่ีอะไรในประโยค ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังต้อง พิจำรณำว่ำค�ำสรรพนำมนน้ั วำงอยู่ในตำ� แหน่งใดของประโยค และพิจำรณำบริบทว่ำข้อควำมแวดล้อม เปน็ อยำ่ งไร๑จ.งึ๒จ)ะพคิจ�าำสรรณรพำคนวาำมมชห้ีรมะำยยะไ1ดคถ้ ือูกตคอ้ �ำงสรรพนำมท่ีใช้แทนค�ำนำมที่อยู่ใกล้ หรือห่ำงและไกล จำกผ้พู ูด ไดแ้ ก่ คำ� นี่ น่ัน โนน่ เช่น นเ่ี ส้อื ของใคร (นี่ เปน็ สรรพนำมแทนนำมทอ่ี ยู่ใกล้ผ้พู ดู ) น่นั เป็นกระเป๋ำของเธอหรอื (นัน่ เปน็ สรรพนำมแทนนำมทอ่ี ยู่หำ่ งจำกผพู้ ูด) โน่นเพือ่ นเธอหรอื (โน่น เปน็ สรรพนำมแทนเพอ่ื นซง่ึ อยู่ไกลจำกผพู้ ดู มำก) 124 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอใดปรากฏคําบรุ ษุ สรรพนามทท่ี ําหนาที่ตา งจากขออืน่ ครอู าจสรา งสรรคก จิ กรรมภายในชน้ั เรยี น ดว ยการใหน กั เรยี นประกอบรปู ประโยค 1. เราพาพอกับแมไปซอื้ ของท่ีตลาด โดยใชคาํ สรรพนามชร้ี ะยะ ปากเปลาเปน รายบคุ คล 2. ฉันไมไดไปโรงเรียนเพราะไมส บาย 3. วนั น้ีเคามเี รอ่ื งมาเลาใหฟ ง ดว ยแหละ นกั เรียนควรรู 4. ผมเตอื นแกหลายคร้ังแลววาเวลาขบั รถตอ งระวงั วเิ คราะหคาํ ตอบ คําสรรพนาม คอื คาํ ท่ีใชแทนชื่อ คน สตั ว ส่งิ ของ 1 คําสรรพนามชรี้ ะยะ ในหนังสอื อเุ ทศภาษาไทย เลม 3 ไดร ะบวุ า คําสรรพนาม โดยคาํ สรรพนามสามารถทําหนา ท่ีไดเชนเดยี วกบั คาํ นาม จากรปู ประโยค ชร้ี ะยะมี 8 คํา ไดแ ก น่ี นัน่ โนน นนู น้ี นน้ั โนน นนู โดยจะใชบ อกระยะใกลท ีส่ ุด ทปี่ รากฏ ขอ 1. “เรา” เปน คาํ สรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 ใชแ ทนตวั ผพู ดู ทาํ หนา ท่ี ไปจนถงึ ระยะไกลที่สดุ 4 ระยะ ไดแก นี่ กบั นี้ บอกระยะใกลท ีส่ ดุ นน่ั กับ น้ัน เปนประธานในประโยค ขอ 2. “ฉัน” เปน คาํ สรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 ใชแ ทนตวั บอกระยะทไ่ี กลออกไป โนน กับ โนน บอกระยะทไี่ กลออกไปอกี นนู กบั นูน บอก ผพู ดู ทาํ หนา ทเี่ ปน ประธานในประโยค ขอ 3. “เคา ” เปน คําสรรพนามบุรุษ ระยะไกลทสี่ ุด คาํ สรรพนามช้รี ะยะ นี่ น่นั โนน นนู สามารถใชตามหลังคํากริยา ที่ 1 ใชแทนตวั ผพู ดู ทาํ หนา ทเี่ ปนประธานในประโยค สวนขอ 4. “แก” เชน นงั่ นไ่ี หม หรอื ใชข ้นึ ตน ประโยคได เมือ่ ใชข้ึนตนประโยคอาจตามดวยคํานาม เปน คาํ สรรพนามบุรุษท่ี 3 ใชแทนผูทีถ่ กู กลา วถึงทําหนาท่ีเปนกรรมใน หรอื คํากรยิ าก็ได เชน น่กี ระเปาใคร นั่นวง่ิ ไปแลว เปนตน ประโยค ดังนน้ั จึงตอบขอ 4. 124 คมู อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๑.๓) คำ� สรรพนำมที่ใชเ้ ป็นค�ำถำม ได้แก่ ค�ำวำ่ ใคร อะไร ไหน เชน่ นักเรียนยนื ในลักษณะวงกลมเพอ่ื รวมกัน ใครมำเปิดตูข้ องฉัน อธิบายความรูแ บบโตตอบรอบวงเกยี่ วกับคํา เธอตอ้ งกำรอะไร สรรพนาม โดยใชค วามรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดร บั จาก ไหนกระเป๋ำของฉนั การฟง บรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ท่ี 2 เปน ขอ มลู เบอื้ งตนสําหรับตอบคําถาม ๑.๔) คำ� สรรพนำมบอกควำมไมเ่ จำะจง ไมก่ ำ� หนดว่ำเปน็ ใคร อะไร ทไ่ี หน ส่งิ ใด หรือผ้ใู ด ไม่ตอ้ งกำรคำ� ตอบ มักใชพ้ ดู ลอยๆ เชงิ ปรำรภ เช่น • เธอ คุณ ทาน ตัวอยา งคาํ เหลา นี้ จดั เปน คาํ สรรพนามประเภทใด ไหนๆ กเ็ ป็นไปแลว้ ท�ำใจเสียเถดิ (แนวตอบ จดั เปนคําสรรพนามทใี่ ชในการพดู (ไหนๆ เปน็ คำ� สรรพนำมบอกควำมไมเ่ จำะจง ทำ� หนำ้ ทปี่ ระธำนของประโยค) หรอื เรยี กอีกอยา งหนง่ึ วา บรุ ุษสรรพนาม) ใดๆ ในโลกล้วนอนจิ จงั (ใดๆ เปน็ คำ� สรรพนำมบอกควำมไมเ่ จำะจง ท�ำหน้ำที่เปน็ ประธำนของประโยค) • คาํ สรรพนามชร้ี ะยะ เปนคําสรรพนามที่ ๑.๕) ค�ำสรรพนำมบอกควำมชซี้ ้ำ� แบง่ พวก หรือรวมพวก ได้แก่ ต่ำง บำ้ ง กัน ทําหนาทีใ่ ดในประโยค พรอมยกตัวอยา ง คำ� สรรพนำมประเภทนมี้ กั ใชช้ ซี้ ้�ำกับค�ำนำมที่อยขู่ ำ้ งหนำ้ เชน่ ประโยคประกอบคาํ อธบิ าย ผคู้ นตำ่ งช่วยกนั ตกั นำ้� ดับไฟ (แนวตอบ คาํ สรรพนามชร้ี ะยะ คอื คาํ สรรพนาม (ตำ่ ง เปน็ ค�ำสรรพนำมแทนผูค้ น แสดงควำมรวมพวก) ท่ชี ้ีหรอื แสดงใหเหน็ วา คํานามของประโยค นักเรียนบ้ำงกเ็ ลน่ บำ้ งกน็ งั่ ท�ำงำน น้ันๆ อยหู า งจากตวั ผูพูดมากเทา ไร ไดแ ก (บำ้ ง เป็นค�ำสรรพนำมแทนนกั เรียน บอกควำมแยกพวก) คําวา น่ี น่ัน นนู โนน เชน นบี่ านใหมข อง เดก็ ๆ นดั ท�ำรำยงำนกันที่หอ้ งสมุด ฉนั นนั่ โรงเรยี นของฉนั นูนแมวของฉนั (กัน เปน็ ค�ำสรรพนำมแทนเดก็ ๆ บอกควำมช้ซี �้ำ) โนน ตนไมท ่ีพอของฉันปลกู ไว) ๑.๖) คำ� สรรพนำมเชอื่ มประโยค ใชแ้ ทนนำมทอ่ี ยขู่ ำ้ งหนำ้ และทำ� หนำ้ ทเี่ ชอ่ื มประโยคหลกั และประโยคย่อยให้เป็นประโยคเดียวกนั ซึง่ มีลกั ษณะเปน็ ประโยคควำมซอ้ น โดยคำ� ทใี่ ชแ้ ทนนำมและ • นกั เรยี นคดิ วา คาํ สรรพนามมปี ระโยชนอ ยา งไร ใช้เชื่อมประโยคน้ี ไดแ้ ก่ ค�ำวำ่ ท่ี ซึง่ อัน ผู้ เชน่ ตอ การเขยี นส่ือสาร คุณย่ำชอบหลำนที่อดทน ขยัน ซ่ือสัตย์ กตัญญู (ที่ เปน็ คำ� สรรพนำมแทนหลำน) (แนวตอบ คาํ สรรพนาม คอื คาํ ทใี่ ชแ ทนชอื่ คน ประโยคหลกั คอื ยำ่ ชอบหลำน สตั ว สิง่ ของ ซง่ึ คาํ สรรพนามมปี ระโยชน ประโยคย่อย คอื หลำนเปน็ คนอดทน ขยัน ซอื่ สตั ย์ กตัญญู ตอ การเขียนสือ่ สาร คอื ทําใหผเู ขียนไมตอ ง เด็กน้อยผรู้ ำ่ เริงคนน้ันเปน็ หลำนภำรโรง (ผู้ เปน็ ค�ำสรรพนำมแทนเด็กน้อย) เขยี นคาํ นามน้นั ๆ ซํ้ากนั หลายๆ คร้งั ซง่ึ ประโยคหลกั คือ เดก็ น้อยเป็นหลำนภำรโรง อาจกอ ใหเ กิดความไมร าบรื่นในการสือ่ สาร ประโยคยอ่ ย คือ เดก็ น้อยคนนั้นรำ่ เรงิ เชน ประโยคท่เี ขยี นวา “สมชายไมส บาย ๑.๗) ค�ำสรรพนำมที่เน้นค�ำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ เพื่อบอกควำมรู้สึกของผู้พูดท่ีมีต่อผู้ท่ี สมชายจึงไมไ ปโรงเรียน” กับประโยคทเ่ี ขยี น กลำ่ วถึงข้ำงหน้ำ คำ� สรรพนำมประเภทนี้มักเปน็ ค�ำสรรพนำมบรุ ุษที่ ๓ เชน่ วา “สมชายไมสบายเขาจึงไมไ ปโรงเรยี น” ฉนั ร้ดู วี ำ่ คุณแมค่ ุณพอ่ ทำ่ นรกั ลูกทุกคนอยำ่ งเทำ่ เทยี มกัน สองประโยคนแี้ สดงประโยชนข องคาํ สรรพนาม (คำ� วำ่ ทำ่ น แทนคณุ พอ่ คุณแม่ ซ่ึงผู้พูดกลำ่ วถงึ ดว้ ยควำมรักเคำรพ) ตอการเขียนสอื่ สารไดอ ยางชดั เจน) 125 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ประโยคในขอใดไมป รากฏคาํ สรรพนามบอกความไมเจาะจง ครูควรชี้แนะเพม่ิ เติมใหแกน กั เรยี นวา ชนิดของคาํ ในภาษาไทย นอกจากจะทํา 1. ใดๆ ในโลกลว นอนจิ จงั หนา ทตี่ า งๆ ในประโยคแลว ยงั สะทอ นใหเห็นวฒั นธรรมอกี ดว ย กลา วคอื คาํ บรุ ุษ- 2. ไมวาอยทู ไ่ี หนกไ็ มส ขุ ใจเทา บานเรา สรรพนามในแตล ะภาษา จะสะทอ นใหเหน็ วฒั นธรรมและการมองโลกทแี่ ตกตา งกนั 3. อมรชยั ถามสมศรวี า เธอกําลังทําอะไร คาํ บรุ ุษสรรพนามในภาษาไทยสะทอ นใหเหน็ วฒั นธรรมไทย การมองโลก และแสดง 4. อะไรๆ เขาก็สามารถกินไดท กุ ส่งิ ทุกอยาง วัฒนธรรมการใชภาษาไทยหลายประการ เชน แสดงสถานภาพ แสดงความอาวโุ ส วเิ คราะหคําตอบ คาํ สรรพนามบอกความไมเ จาะจง คอื คําสรรพนาม แสดงเพศ แสดงความสภุ าพ แสดงความสนิทสนมระหวา งผพู ูดกบั ผูฟ ง และผูที่ ท่ีจะไมก าํ หนดวาเปนใคร อะไร ที่ไหน ส่ิงใดหรือผใู ด ไมต อ งการคาํ ตอบ กลา วถงึ จากน้นั จงึ ใหนกั เรยี นรว มกนั ยกตวั อยางคาํ สรรพนามทีส่ ะทอ นใหเ ห็น มักกลาวขน้ึ ลอยๆ จากรปู ประโยคสามารถวเิ คราะหไ ดว าคําสรรพนาม วฒั นธรรมไทยในดา นตางๆ บอกความไมเ ฉพาะเจาะจงในขอ 1. คอื คาํ วา “ใดๆ” ขอ 2. คอื คาํ วา “ไหน” ขอ 4. คือคําวา “อะไรๆ” สว นคําวา “อะไร” ในขอ 3. เปนคาํ สรรพนาม ท่ใี ชเปนคาํ ถามเพ่อื ตอ งการใหผ ูฟ ง ตอบ ดงั น้นั จึงตอบขอ 3. คู่มือครู 125

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ นกั เรยี นยนื ในลักษณะวงกลมเพ่อื รว มกนั อธิบาย คณุ พชั รเธอมธี ุรกจิ สำ� คญั ต้องไปต่ำงจงั หวดั ค่ะ ความรูแบบโตตอบรอบวงเก่ียวกับหนา ทีข่ องคํา สรรพนาม โดยใชความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรับจาก ๒) หนา้ ท(ขี่ คอำ� วง่ำคา�เธสอรรแพทนนาคมุณ1พเนชั อ่ื รงจซำงึ่ กกคลำ�ำ่ สวรถรึงพดว้นยำคมวคำอืมยคกำ� ยท่อแี่ งทแนลคะำ� คนนุ้ ำเมคยฉ)ะนน้ั คำ� สรรพนำม การฟงบรรยายของเพอ่ื นๆ กลมุ ท่ี 2 เปนขอมูล เบอื้ งตนสาํ หรับตอบคาํ ถาม จึงมีหนำ้ ทเ่ี หมือนคำ� นำม ดังนี้ ๒.๑) คา� สรรพนามทา� หนา้ ทเี่ ปน็ ประธานของประโยค เชน่ • นอกจากการทําหนา ท่ีเปน ประธานและกรรม ผมซอ้ื ของมำฝำกคุณยำยครบั ในประโยคแลว คําสรรพนามยงั ทําหนาที่ใด ใครๆ กร็ มุ ซื้อจนท�ำไมท่ ัน ในประโยคไดอ กี บาง ๒.๒) ค�าสรรพนามทา� หน้าท่ีเปน็ กรรมของประโยค เชน่ (แนวตอบ ทาํ หนา ท่ีเปนสว นเตมิ เตม็ และทํา คณุ แม่ให้ฉันไปตลำด หนา ท่ีเปนคาํ ขยายคาํ นามในประโยค) เรำถกู นำยจ้ำงให้ออกจำกงำน ๒.๓) คา� สรรพนามทา� หน้าทเี่ ป็นสว่ นเตมิ เตม็ ในประโยค มกั ตำมหลงั ค�ำว่ำ เปน็ เหมอื น • คําสรรพนามเปน คาํ ทีใ่ ชแทนคํานาม จากขอสงั เกตน้ี นักเรยี นสามารถสรปุ หนา ท่ี คล้ำย เทำ่ เชน่ ของคําสรรพนามไดหรือไม อยา งไร น้องนดิ หนำ้ ตำเหมอื นเธอมำก (แนวตอบ เนือ่ งจากคาํ สรรพนามเปน คําท่ีใช ถ้ำฉนั เป็นเขำนะฉันจะขยนั มำกกวำ่ น้ี แทนคาํ นาม ดงั นั้นจงึ สามารถสรุปไดวา คําสรรพนามสามารถทาํ หนาทใี่ นประโยคได ๒.๔) ค�าสรรพนามท�าหนา้ ทเ่ี ป็นค�าขยาย เชน่ เชน เดียวกับคํานาม เชน สดุ ำหยบิ กระเปำ๋ ใบนนั้ ใหฉ้ นั หนอ่ ย (นนั้ เปน็ คำ� สรรพนำมชเี้ ฉพำะขยำยคำ� วำ่ กระเปำ๋ ) • เปน ประธานในประโยค เชน ฉนั ไปซื้อของ ของทีถ่ ืออยนู่ ่นั เปน็ อะไร (นน่ั เปน็ ค�ำสรรพนำมไมเ่ จำะจงขยำยคำ� วำ่ ของในมอื ) ท่ีตลาด เขาไมสบาย • เปน กรรมในประโยค เชน คณุ แมใ หฉ นั การเขียนสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพ ผู้เขียนควรศึกษาความหมายและชนิดของค�าได้จากพจนานุกรมภาษาไทย ไปซ้ือของท่ตี ลาด สนุ ัขกดั เขาจนไดรบั ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน บาดเจ็บ) • การจะระบุวาคาํ สรรพนามน้นั ๆ ทาํ หนาที่ใด ในประโยค นกั เรียนมีวธิ กี ารสงั เกตอยา งไร (แนวตอบ ผอู านหรอื ผูฟงประโยคนน้ั ๆ จะตองพิจารณาวาคําสรรพนามน้ันวางอยู ในตาํ แหนง ใดของประโยค รวมถึงบรบิ ท แวดลอ มดว ยวา เปนอยา งไร จงึ จะสามารถ บอกหนา ท่ีของคําสรรพนามนน้ั ๆ และทําให เขาใจความหมายของประโยคไดถกู ตอง) 126 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT คําสรรพนาม “ทา น” ในขอ ใดแตกตางจากขอ อืน่ ครสู รางสรรคก ิจกรรมยอ ยภายในช้นั เรียนเพื่อสรางความรู ความเขา ใจท่ีถกู ตอง 1. ทานเดนิ ทางไปตางจงั หวดั เม่ือสปั ดาหท ่แี ลว เกี่ยวกบั หนาทีข่ องคาํ สรรพนาม โดยใหนักเรยี นยกตัวอยา งประโยคทีใ่ ชคําสรรพนาม 2. ผมเห็นทา นเดนิ ไปทีด่ านหลังของสาํ นกั งานเมอ่ื สักครู ทําหนา ที่เชนเดียวกบั คาํ นาม 3. ขอเชิญทานถา ยรปู เพื่อเปนเกยี รตแิ กเ จา ภาพงานในวนั น้ี 4. ดฉิ ันเรียนทา นไปแลววา คุณจะมาพบพรอ มกับครอบครัว นกั เรยี นควรรู วิเคราะหค าํ ตอบ จากรูปประโยคในขอ 1. คาํ วา “ทา น” เปน คํา สรรพนามบุรุษท่ี 3 ใชแ ทนผทู ่ีถกู กลา วถงึ เชนเดยี วกับคาํ วา “ทา น” 1 หนาท่ขี องคาํ สรรพนาม ในภาษาระดบั ทไ่ี มเปน ทางการ คําบุรุษสรรพนาม ในรูปประโยคขอ 2. และ ขอ 4. สว นขอ 3. “ทาน” เปน คําสรรพนาม บางคาํ อาจทาํ หนาทไี่ ดหลายหนา ที่ เชน คาํ วา “เรา” อาจทําหนา ท่เี ปนไดท้ัง บุรษุ ท่ี 2 แทนผทู ่ผี ูพ ูดสอ่ื สารดวย ดงั นัน้ จึงตอบขอ 3. คาํ สรรพนามบรุ ุษที่ 1 และคําสรรพนามบุรษุ ท่ี 2 จากรปู ประโยค เราพาพอ กับแม ไปดหู นงั “เรา” ในประโยคแรกเปนคาํ สรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 ทําหนาทีเ่ ปนประธาน ของประโยค กับรปู ประโยค เราตอ งกินขา วเยอะๆ จะไดโตเรว็ ๆ “เรา” ในประโยค ท่สี องเปน คําสรรพนามบรุ ุษที่ 2 126 คู่มือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๓.๓ หมวดคา� กรยิ า 1. นักเรียนกลมุ ที่ 3 สง ตัวแทน 2 คน ออกมา อธบิ ายความรใู นประเดน็ “คาํ กรยิ า” โดยนํา ค�ากริยา คือ ค�ำที่แสดงอำกำร บอกสภำพ หรือแสดงกำรกระท�ำของประธำนในประโยค เสนอขอ มลู ใหครอบคลุมประเดน็ ของคํานิยาม หำกขำดค�ำกริยำจะสื่อสำรกันไม่เข้ำใจ ค�ำกริยำจึงเป็นค�ำส�ำคัญในประโยคซ่ึงอำจจะเป็นค�ำแสดง และการทาํ หนา ท่ใี นประโยค อำกำรค�ำเดียวหรือเป็นกลุ่มค�ำก็ได้ เช่น นั่ง น่ังเล่น ดู ดูแล ร้อง ร้องเรียก เรียกร้อง ร้องเพลง น่ังร้องเพลง เปน็ ต้น 2. นักเรียนยนื ในลกั ษณะวงกลมเพ่ือรวมกนั ๑) ประเภทของคา� กริยา แบง่ ได้ ๔ ประเภท ดงั น้ี อธบิ ายความรูแบบโตต อบรอบวงเกี่ยวกับ ๑.๑) คา� กรยิ าทมี่ คี วามหมายสมบรู ณใ์ นตวั เอง ไมต่ อ้ งมกี รรมมำรบั ขำ้ งทำ้ ย เปน็ คำ� ทบ่ี อก คาํ กริยา โดยใชค วามรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดรับ อำกำรแล้วผู้ฟงั สำมำรถเขำ้ ใจได้ทนั ที อำจมคี �ำขยำยกริยำ หรือค�ำบุพบทประกอบประโยคก็ได้ เช่น จากการฟงบรรยายของเพอ่ื นๆ กลุม ท่ี 3 นกร้องเพลงในสวน (มีส่วนขยำย คือ ค�ำวำ่ ในสวน) เปน ขอมูลเบอื้ งตนสาํ หรับตอบคําถาม แม่นง่ั เลน่ ทีใ่ ตถ้ นุ บ้ำน (มีสว่ นขยำย คือ คำ� วำ่ ทีใ่ ต้ถนุ บำ้ น) • คํากรยิ ามีความสมั พันธทางไวยากรณก บั ๑.๒) คา� กรยิ าท่ตี อ้ งมีกรรมมารบั คำ� กริยำชนิดนีถ้ ำ้ ไมม่ ีกรรมมำรับข้ำงท้ำยจะท�ำให้ผูฟ้ ัง คํานามในประโยคอยา งไร ไมเ่ ขำ้ ใจเพรำะควำมหมำยยังไมส่ มบรู ณ์ เชน่ (แนวตอบ คํากรยิ าเปน คําทแี่ สดงอาการ ฉนั ไป (โรงเรียน) (จำกประโยคข้ำงต้น ไมส่ ำมำรถบอกไดว้ ำ่ ไปไหน) บอกสภาพ หรอื แสดงการกระทาํ ของประธาน สมสุขซื้อ (ชดุ เนตรนำร)ี (จำกประโยคขำ้ งตน้ ไม่สำมำรถบอกได้ว่ำ ซ้อื อะไร) ในประโยค ซง่ึ คาํ นามและคําสรรพนามเปน ๑.๓) ค�ากริยาท่ีต้องมีส่วนเติมเต็ม เพรำะใจควำมของประโยคยังไม่สมบูรณ์ ต้องมี คาํ ที่ทาํ หนาที่เปนประธานในประโยคได ค�ำนำมหรือสรรพนำมมำรับข้ำงท้ำยจึงจะได้ใจควำมสมบูรณ์ ค�ำกริยำประเภทน้ีได้แก่ค�ำว่ำ เป็น ดงั นั้น คาํ กรยิ าจงึ มีความสมั พนั ธท าง เหมือน คลำ้ ย เท่ำ แปลวำ่ หมำยควำมว่ำ เทำ่ กับ รำวกับ คอื เช่น ไวยากรณกบั คํานามและคาํ สรรพนามใน นอ้ งชำยของฉันเปน็ นกั ดนตรี ประโยค คอื ทาํ หนา ทบ่ี อกสภาพ บอกอาการ เธอวำงทำ่ รำวกับนำงพญำ ของคาํ นามหรอื คาํ สรรพนามน้นั ๆ) ๑.๔) ค�าช่วยกริยา เป็นค�ำที่ไม่มีควำมหมำยในตัวเองต้องอำศัยกริยำส�ำคัญในประโยค • คํากรยิ าทตี่ องมีกรรมมารบั กบั คํากริยา ช่วยส่ือควำมหมำยในประโยคให้ชัดเจนย่ิงขึ้น ค�ำช่วยกริยำเป็นค�ำที่บอกควำมรู้สึก กำรคำดคะเน ที่ไมตองมีกรรมมารบั มลี กั ษณะสําคัญ กำรขอร้อง บังคับ โดยกริยำช่วยบำงค�ำจะอยู่ท้ำยประโยค ถ้ำเอำค�ำช่วยกริยำออกก็ไม่ท�ำให้ขำด ทแี่ ตกตา งกันอยา งไร ใจควำมสำ� คัญ เช่น (แนวตอบ คาํ กริยาทตี่ อ งมีกรรมมารบั เม่ือนํา วนั นีฝ้ นตกหนักรถคงติดมำก (เป็นกำรคำดคะเน) มาใชในประโยค โดยไมมกี รรมมารองรับ ลกู ควรนอนได้แลว้ มิฉะน้นั พร่งุ นจี้ ะตนื่ สำย (เป็นกำรขอรอ้ งโดยให้เหตผุ ล) จะทําใหป ระโยคไมส มบรู ณหรือไมสามารถ ๒) หนา้ ทขี่ องคา� กรยิ า มีดงั น้ี สือ่ ความได เชน ฉนั กนิ “กิน” เปนคํากริยา ๒.๑) เปน็ ค�าแสดงอาการหรอื บอกสภาพของประธาน เชน่ ที่ตองมกี รรมมารับ เม่อื นํามาใชใ นประโยค ไกจ่ กิ ข้ำวทต่ี ำกบนลำน จะทาํ ใหสอื่ ความไดไ มสมบูรณ ไมทราบวา นกอินทรบี ินร่อนบนท้องฟำ้ ฉนั กินอะไร สว นประโยค นักเรียนหวั เราะ ถึงแมจะไมมีหนวยกรรมมาเตมิ เตม็ 127 ก็สามารถเขา ใจความหมายไดเ พราะ “หัวเราะ” เปน คํากรยิ าท่ีไมต อ งมีกรรม มารับก็สามารถสือ่ ความได) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู “เขาปลกู ตน กา มปไู วท างทิศตะวนั ตก เพอื่ ใหม ันบงั แดดตอนบา ย” คาํ ที่ ครูควรอธิบายความรูเ พิม่ เติมเก่ียวกบั คาํ กรยิ าท่ีมคี วามหมายสมบรู ณในตัวเอง ขีดเสนใตเ ปน คาํ ชนดิ ใด และทาํ หนา ทใ่ี ดในประโยค ในตําราของพระยาอุปกติ ศิลปสาร เรยี กวา อกรรมกรยิ า สว นในหนังสอื อเุ ทศ ภาษาไทย ชดุ บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม 3 กระทรวงศึกษาธกิ าร เรยี กวา คํากริยา 1. เปน คาํ สรรพนาม ทาํ หนา ที่เชอื่ มประโยค อกรรม แตม ีความหมายเชนเดยี วกัน คอื คาํ กริยาท่ไี มต อ งมกี รรมมารับหรอื มาเปน 2. เปนคําสรรพนาม ทาํ หนา ท่ีบอกความชีเ้ ฉพาะ หนว ยเตมิ เตม็ จากนั้นครใู หน กั เรียนรวมกันยกตวั อยางคํากริยาอกรรม เชน หวั เราะ 3. เปน คําลกั ษณนาม ทําหนาทบี่ อกลักษณะของคํานามทีอ่ ยูขา งหนา ปวดทอง พรอ มทั้งแตงประโยคประกอบใหชดั เจน นอกจากนคี้ วรอธบิ ายคาํ กรยิ า 4. เปนคําสรรพนาม ทาํ หนา ทแี่ ทนกรรมของประโยคเมอ่ื มกี ารกลาวซาํ้ อกี ประเภทหนง่ึ ซง่ึ มลี กั ษณะตรงขา มกบั อกรรมกรยิ า คอื “สกรรมกรยิ า” พรอมกับให วเิ คราะหค ําตอบ จากประโยค “เขาปลูกตน กามปูไวท างทศิ ตะวนั ตก นักเรียนยกตวั อยา งประโยคประกอบใหช ัดเจน ดวยปากเปลาภายในชนั้ เรียน เพื่อใหมันบังแดดตอนบา ย” ประโยคนม้ี ีการกลาวซํา้ ถงึ คาํ ท่เี ปน กรรมตรง ของประโยค ซง่ึ ประโยคเต็มคือ “เขาปลูกตนกา มปไู วท างทิศตะวนั ตก เพอ่ื ใหตน กามปบู ังแดดตอนบา ย” “มัน” จงึ เปนคาํ สรรพนามที่ถกู ใช แทนตนกา มปูเมอ่ื ถูกกลาวซ้ําอกี ครงั้ ในประโยค ดังนั้นจึงตอบขอ 4. คู่มือครู 127

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนกลุม ท่ี 4 สงตวั แทน 2 คนออกมา ๒.๒) คำ� กรยิ ำท�ำหน้ำท่ีขยำยนำม เช่น อธบิ ายความรใู นประเด็น “คําวเิ ศษณ” คณุ ยายทา� อาหารถวายพระทุกวนั โดยนาํ เสนอขอมูลใหค รอบคลุมประเดน็ ของ (ทา� อาหาร เปน็ กรยิ าส�าคญั ถวาย เป็นคา� กริยาขยายนาม พระ) คาํ นิยามและการทาํ หนา ทใ่ี นประโยค พชี่ วนฉนั ไปทะเล (ชวน เปน็ กริยาสา� คัญ ไป เป็นค�ากริยาขยาย ทะเล) 2. นักเรยี นยนื ในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกันอธบิ าย ความรแู บบโตตอบรอบวงเกย่ี วกับคาํ วิเศษณ ๒.๓) คำ� กรยิ ำที่ท�ำหน้ำทเ่ี หมอื นค�ำนำม เชน่ โดยใชความรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดรบั จากการฟง สูบบุหรี่เปน็ อันตรายตอ่ ชีวิตเป็นพิษตอ่ คนใกลเ้ คียง บรรยายของเพื่อนๆ กลมุ ท่ี 4 เปน ขอมูล (สบู บหุ รี่ เปน็ ค�ากรยิ า ท�าหน้าทเ่ี ปน็ ประธานของประโยคเหมือนคา� นาม) เบ้อื งตน สําหรับตอบคาํ ถาม พดู ดเี ป็นศรแี กต่ วั • คําวเิ ศษณมีลกั ษณะสาํ คญั ท่โี ดดเดนจาก (พดู ดี เป็นค�ากริยา ท�าหน้าท่เี ปน็ ประธานของประโยคเหมือนค�านาม) คาํ ชนิดอืน่ ๆ ในภาษาไทยอยา งไร (แนวตอบ คาํ วิเศษณ คอื คําที่ใชสําหรับ ๓.๔ หมวดคำ� วิเศษณ์ ประกอบคําอืน่ ๆ และชวยขยายคาํ อ่นื ๆ ใหม ี เนอ้ื ความทแ่ี ปลกออกไป ทําใหใ จความของ ค�ำวิเศษณ์ คือ ค�าท่ีประกอบค�าอื่นและช่วยขยายค�าอ่ืนให้มีเนื้อความแปลกออกไป ท�าให้ ประโยคนัน้ ๆ มคี วามสมบรู ณด ว ยอารมณ ใจความในประโยคสมบรู ณด์ ้วยอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ ความรสู กึ และจินตนาการ) • คําวเิ ศษณท ใ่ี ชข ยายคาํ กรยิ าโดยทั่วไป ๑) ประเภทของคำ� วิเศษณ์ จา� แนกย่อยได้ ๙ ประเภท ดังนี้ หมายความวา อยา งไร ยกตัวอยางประโยค ๑.๑) คำ� วเิ ศษณ์บอกลักษณะ เช่น ประกอบใหช ดั เจน นางสาวไทยผวิ ขาวสวยจรงิ ๆ (แนวตอบ คาํ วิเศษณท ใ่ี ชข ยายคาํ กรยิ าทั่วไป ขนมไทยหอมหวานน1่ารบั ประทาน คือ คาํ วิเศษณท ่ีใชขยายคาํ กริยาใดๆ ก็ได ๑.๒) ค�ำวเิ ศษณ์บอกเวลำ เช่น ไมไดก ําหนดวาจะตอ งใชข ยายเฉพาะคํากริยา ลูกนอนดึกมากจงึ ต่ืนสาย คํานี้ เชน คาํ วา “ที่สุด” สามารถใชขยาย วนั นค้ี ุณดม่ื นมหรอื ยัง คาํ กรยิ าใดกไ็ ด เชน “เขาเกงที่สดุ ” “เขาขยนั ๑.๓) คำ� วเิ ศษณ์บอกสถำนท่ี เช่น ทส่ี ุด” หรอื คําวา “จริงๆ” ใชขยายคํากรยิ า บา้ นนอ้ งอย่ฝู ง่ั ซ้าย บา้ นพีอ่ ยฝู่ งั่ ขวา ใดก็ได เชน “แมเสยี ใจจริงๆ” “เขาไปจริงๆ” บา้ นของเขาอยไู่ กลจากบา้ นของเธอ เปนตน) ๑.๔) คำ� วเิ ศษณบ์ อกปรมิ ำณหรือจำ� นวน เชน่ เปดิ เทอมน้แี มต่ อ้ งจ่ายค่าเลา่ เรียนจา� นวนมาก ลกู ทุกคนต่างมากราบขอพรแม่ ๑.๕) คำ� วิเศษณ์บอกควำมไม่ช้เี ฉพำะ เช่น หนทู �างานอะไรกไ็ ด้ ไมม่ ีใครรกั เธอเท่าแม่ 128 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นกั เรียนศึกษาเกย่ี วกับคําวเิ ศษณที่ใชขยายคํากริยาทว่ั ไปทีป่ รากฏใช ในภาษาไทย โดยรวบรวมและนาํ มาเรียบเรียงเขา ประโยคประกอบ ครยู กตัวอยางวลีตอไปนใ้ี หนกั เรยี นฟง แดงแจ, ขาวจ๊ัวะ, ดาํ ป, คมกริบ, คําอธิบายใหชัดเจน นาํ เสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะ เหลอื งออ ย หรอื วลอี นื่ ๆ เพมิ่ เตมิ เมื่อนักเรยี นปฏบิ ัติกิจกรรมสรางเสรมิ และ บคุ คล สง ครู กจิ กรรมทา ทาย ครคู วรสมุ เรยี กชอื่ นกั เรยี นออกมาแสดงผลการศกึ ษาเพอ่ื แลกเปลยี่ น ขอ มลู ความรู จากนน้ั ใหท กุ คนรว มกนั สรปุ เกย่ี วกบั หนา ทแี่ ละรปู แบบการใชค าํ วเิ ศษณ กจิ กรรมทาทาย นกั เรยี นควรรู นักเรียนศึกษาเก่ยี วกับคาํ วิเศษณทใี่ ชข ยายคาํ กริยาคําใดคาํ หนงึ่ โดยเฉพาะทีป่ รากฏใชใ นภาษาไทย โดยรวบรวมและนํามาเรยี บเรยี ง 1 คําวเิ ศษณบ อกเวลา ใชเ พื่อบงบอกเวลาทีเ่ กดิ เหตุการณหรอื การกระทาํ เขาประโยคประกอบคาํ อธิบายใหชดั เจน นําเสนอผลการศกึ ษาในรปู แบบ อยา งใดอยา งหนง่ึ เชน กลางคนื กลางวนั เมอื่ ก้ี เปน ตน ซงึ่ อาจปรากฏในประโยค ใบความรเู ฉพาะบคุ คล สงครู โดยอยใู นตาํ แหนง ตน หรอื ทา ยประโยคกไ็ ด โดยไมทาํ ใหความหมายโดยรวมของ ประโยคเปล่ยี นไป เชน “เชา ๆ นกั กฬี าจะซอ มวงิ่ กนั ” กบั “นกั กฬี าจะซอ มวง่ิ กนั ตอนเชา ๆ” 128 คู่มือครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๑.๖) ค�าวิเศษณบ์ อกความชีเ้ ฉพาะ เชน่ นักเรยี นยนื ในลักษณะวงกลมเพอ่ื รว มกัน บ้ำนโน้นเขำมีงำนแตง่ งำน อธบิ ายความรแู บบโตต อบรอบวงเกี่ยวกับคํา ๑.๗) คเดา� ก็ วคิเศนษนณีเ้ ป์แ็นสลดกู งขคอา� งถฉาันม1เช่น วิเศษณ โดยใชความรู ความเขา ใจ ท่ไี ดรบั จาก วิชำใดทเ่ี ธอชอบเรยี นมำกท่ีสดุ การฟงบรรยายของเพอื่ นๆ กลมุ ที่ 4 เปน ขอ มูล มอี ะไรหำยไปบำ้ ง เบ้ืองตน สาํ หรบั ตอบคําถาม ๑.๘) คา� วเิ ศษณ์แสดงการร้องเรยี ก ขานรับ หรอื แสดงความสุภาพ เช่น แสงเอ๊ย เปดิ ประตใู หย้ ำยหน่อย • คําวเิ ศษณม ีความสมั พนั ธท างไวยากรณ คุณตำครับ ผมขออนญุ ำตไปเล่นดนตรีกับเพื่อนนะครับ กบั คําท่ีอยูขางหนา และสงผลตอ ๑.๙) คา� วเิ ศษณแ์ สดงความปฏเิ สธ เชน่ ประโยคนั้นๆ อยางไร อยำ่ เปิดประตรู บั คนแปลกหน้ำ (แนวตอบ คาํ วิเศษณ คือคําที่ใชข ยายคํา ไม่ใชเ่ ธอคนเดยี วท2ลี่ ำ� บำก คนอ่ืนๆ ก็ล�ำบำกเหมือนกนั ท่อี ยูข า งหนา เพือ่ ทาํ ใหป ระโยคนั้นๆ ๒) หน้าท่ีของค�าวิเศษณ์ ค�ำวิเศษณ์เป็นค�ำที่ขยำยค�ำอื่น ท�ำให้ควำมหมำยของค�ำต่ำงๆ มีความสมบูรณ กอใหเ กดิ ความเขาใจ กระจ่ำงชัดเจนย่งิ ขึน้ ค�ำวิเศษณ์จงึ มีหนำ้ ท่ี ดังนี้ ท่ชี ดั เจนยง่ิ ขึ้น) ๒.๑) ค�าวิเศษณ์ท�าหนา้ ทขี่ ยายคา� นาม เช่น คนดีธรรมะย่อมคุ้มครอง • จากประโยค “ลมพดั แรง” กบั “นนทตอก เดก็ เลก็ ๆ กำ� ลังวำ่ ยน�้ำในสระ ตะปูแรงๆ หนอ ย” แสดงใหเห็นตาํ แหนง ๒.๒) คา� วิเศษณ์ท�าหนา้ ท่ีขยายค�าสรรพนาม เช่น ของคําวิเศษณอ ยางไร เขำเองเป็นตวั กำรในเรอื่ งนี้ (แนวตอบ หากประโยคประกอบดวยประธาน ใครโงท่ ี่หลงไปเป็นเหย่อื เขำ และคํากริยาทีไ่ มตอ งมกี รรมมารับ ตําแหนง ๒.๓) คา� วเิ ศษณ์ท�าหนา้ ท่ขี ยายค�ากรยิ า เช่น ของคําวเิ ศษณจะปรากฏหลงั คาํ กรยิ าน้นั ๆ ยำยเดินงกๆ เงิน่ ๆ ไปเปิดประตู โดยตรง ดงั นนั้ คาํ วา “แรง” ซง่ึ เปน คาํ วเิ ศษณ นลนิ ีพดู จำไพเรำะ จึงปรากฏอยหู ลงั คําวา “พดั ” แตถา ประโยค ๒.๔) ค�าวิเศษณท์ า� หนา้ ท่ีขยายค�าวเิ ศษณ์ เชน่ ประกอบดว ยประธาน กริยา และกรรม คาํ วเิ ศษณจะปรากฏในตาํ แหนงหลังคาํ นาม ซง่ึ ทาํ หนา ท่เี ปนกรรมตรงในประโยค ในท่ีน้ี คาํ วา “แรง” จึงปรากฏหลงั คําวา “ตะป”ู ) เดก็ ๆ ไมค่ วรนอนดึกเกนิ ไป เด็กชำยพชรเปน็ เด็กฉลำดเฉยี บแหลม เกง่ และดี ๒.๕) ค�าวเิ ศษณ์ทา� หนา้ ที่เป็นค�าบอกสภาพและเปน็ ตัวแสดงกรยิ าอาการ เช่น กล้วยเครือนีแ้ ก่จัดแลว้ (แกจ่ ดั แล้ว เปน็ ค�ำวิเศษณ์แสดงสภำพ) น้ำ� ในขวดน้เี ย็นจัด (เยน็ จัด เป็นคำ� แสดงสภำพของนำ้� ) 129 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู ประโยคในขอใดตอไปนี้ใชคําวเิ ศษณไดถ ูกตอ ง 1 คําวเิ ศษณแสดงคําถาม หมายถึง คําวิเศษณที่ใชแสดงคําถามเกี่ยวกับการ 1. ผูหญงิ คนนนั้ ไวผ มยาวป กระทําวากระทาํ ไปเพราะเหตุใด หรือเพอ่ื วตั ถปุ ระสงคอะไร กระทาํ ลงไปเวลาใด 2. เดก็ คนนั้นตวั อวนกลมมอ ตอ กระทาํ ในลักษณะใด เชน เหตใุ ดจึงไมแจง กาํ หนดการลว งหนา ทาํ ไมสตั วปา 3. เขาเหลาดนิ สอจนแหลมเปยบ หลายชนิดจงึ สญู พันธุ เครือ่ งบินจะลงเมือ่ ไร ซงึ่ คาํ วเิ ศษณแสดงคาํ ถามบางคาํ จะ 4. เขาเคี้ยวหนังไกท อดกรอบดงั กรอดๆ ปรากฏในรูปประโยคตาํ แหนง ตน หรอื ตําแหนง ทา ยประโยคเทานัน้ ไมสามารถสลบั วิเคราะหคาํ ตอบ ขอ 1. คาํ วิเศษณ คือ “ป” ใชข ยายคาํ วา “ดํา” เปน ตาํ แหนง ได เชน “เหตใุ ดจึงมาชา” ไมสามารถสลับตําแหนง เปน “มาชา เหตุใด” ได “ดําป” ทีถ่ ูกตองควรใชคาํ วา “ยาวเฟอ ย” ขอ 2. คาํ วิเศษณ คอื “มอตอ ” 2 หนาทข่ี องคาํ วิเศษณ สาํ นวนบางสาํ นวนทปี่ รากฏใชในภาษาไทยสามารถทํา ใชข ยายคาํ วา “เต้ีย” เปน “เตีย้ มอตอ ” ที่ถูกตองควรใชค ําวา “กลมดิ๊ก” หนา ท่เี ชน เดียวกับคําวเิ ศษณไ ด คือ ใชขยายคํากริยาท่อี ยูขา งหนา เชน พูดน้ําไหล สว นขอ 4. คําวิเศษณ คอื “กรอด” ใชในรูปประโยควา “กัดฟนดังกรอดๆ” ไฟดบั ทํางานหามรงุ หามคํ่า ส่ันเปนเจาเขา โกรธเปนฟน เปน ไฟ นอนกินบา น กนิ เมือง เปนตน ท่ถี ูกตอ งควรใชค ําวา “ดงั กรวมๆ” ดังนัน้ จึงตอบขอ 3. คูม่ ือครู 129

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นกลมุ ที่ 5 สง ตัวแทน 2 คน ออกมา ๓.๕ หค�ามบวุพดบคท1า� คบือพุ คบ�ำทท่ีใช้เชื่อมค�ำต่อค�ำ มักอยู่หน้ำค�ำนำม ค�ำสรรพนำม หรือค�ำกริยำ มีค�ำว่ำ อธบิ ายความรใู นประเดน็ “คาํ บุพบท” โดยนาํ เสนอขอ มลู ใหครอบคลุมประเดน็ ของคํานิยาม ด้วย โดย ใน ของ แห่ง กับ แก่ แด่ ต่อ เป็นต้น ค�ำบุพบทมักจะน�ำหน้ำค�ำ หรือกลุ่มค�ำ และการทําหนาทีใ่ นประโยค เพอ่ื บอกควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งขอ้ ควำมขำ้ งหน้ำกับค�ำ หรอื กล่มุ คำ� ขำ้ งหลัง 2. นักเรยี นยืนในลักษณะวงกลมเพ่ือรวมกนั อธบิ าย การใช้และหนา้ ทขี่ องคา� บพุ บท ความรูแบบโตต อบรอบวงเกยี่ วกบั คาํ บพุ บท โดยใชความรู ความเขา ใจ ท่ีไดรบั จากการฟง ค�าบพุ บท การใช้ ตวั อย่าง บรรยายของเพอ่ื นๆ กลมุ ท่ี 5 เปนขอ มลู เบอื้ งตนสําหรบั ตอบคําถาม ของ แห่ง ใน ใช้เพ่ือแสดงคว�มเป็นเจ�้ ของ โรงเรยี นส�ธติ แห่งมห�วิทย�ลยั เกษตรศ�สตร์ • จากรูปประโยค “เขาวางแผนไปเท่ยี วทะเล กับ บ�งเขนเปิดรบั สมัครนกั เรยี น กับเพือ่ นๆ” คาํ บพุ บทในประโยคนี้คอื คําวา แก่ แด่ ใช้กับข้อคว�มท่เี ป็นไปในทิศท�ง น�้ กับหล�นม�เยยี่ มป�้ ที่โรงพย�บ�ล อะไรและบอกความหมายอยา งไร เดียวกัน (แนวตอบ คาํ บุพบทในประโยคนคี้ อื คําวา “กับ” ต่อ ใช้ในคว�มหม�ยว�่ ให้ - คุณย่�ถว�ยภัตต�ห�รเพลแดพ่ ระสงฆ์ ซง่ึ บอกความหมายของการกระทํากรยิ า แต่ จ�ก - แด่ ใชเ้ มือ่ ผู้นอ้ ยใหผ้ ้ใู หญ่ - พอ่ ยกมรดกใหแ้ ก่ลูก รว มกันระหวา ง “เขา” “เพ่ือน” โดยคาํ กรยิ า ละบพุ บท - แก่ ใชเ้ มื่อผู้ใหญ่ให้ผ้นู อ้ ยและ ทีก่ ระทาํ รวมกันคอื “วางแผนไปเท่ยี ว”) - น�ยแดงทำ�ดตี ่อหน�้ เจ�้ น�ยเท�่ น้นั • คําบุพบทมกั มีความหมายในทิศทางใดบา ง ใช้กับคนทัว่ ไป - เลข�นกุ �รแสดงคว�มคิดเห็นตอ่ ที่ประชุม (แนวตอบ คําบพุ บทมกั มคี วามหมาย เมือ่ ประจนั หน�้ หรือใชบ้ อกคว�ม - แหวนนีท้ �่ นได้แต่ใดม� เพ่อื บอกตาํ แหนง หนาที่ ความเกีย่ วขอ ง เฉพ�ะ - เข�ม�จ�กไหน ความมุงหมาย ความเปนเจาของ) ใช้น�ำ หน�้ ค�ำ เพ่ือบอกเวล�หรือบอก แม่อย่ทู ีบ่ �้ น (อ�จละบุพบท ท่)ี • จากรปู ประโยค “ผมขอลงตรงสะพานลอย” สถ�นท่ี และอ�จใชแ้ ทนกันได้ กบั “สนุ ัขขององิ ฟา หายไป” ใชค าํ บุพบทใน อ�จละบุพบทในฐ�นทีเ่ ข�้ ใจได้ ความหมายท่แี ตกตางกนั อยา งไร (แนวตอบ ประโยค “ผมขอลงตรงสะพานลอย” ขอ้ สงั เกต ใชค าํ บพุ บทเพอื่ บอกตาํ แหนง ทต่ี งั้ สว นประโยค ค�ำบุพบทจะใช้บอกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงข้อควำมข้ำงหน้ำและข้ำงหลัง ดังนั้น ค�ำบุพบท “สนุ ขั ขององิ ฟาหายไป” ใชค ําบพุ บทเพอื่ บอก จงึ ตอ้ งอยหู่ น้ำคำ� นำม ค�ำสรรพนำม คำ� กรยิ ำ และค�ำวิเศษณ์ เชน่ หรอื แสดงความเปนเจาของ) ๑. น�ำหนำ้ คำ� นำม เชน่ อยำ่ หักพรำ้ ดว้ ยเข่ำ ของขวัญน้ีเพอ่ื นอ้ งนะจ๊ะ ๒. น�ำหน้ำคำ� สรรพนำม เช่น พด่ี ตี อ่ ฉันมำก พระท่ำนใหพ้ รแกพ่ วกเรำ ๓. น�ำหนำ้ ค�ำกรยิ ำ เช่น เขำเป็นคนเห็นแกไ่ ด้ หนังสอื นเี้ ขำใช้สำ� หรบั คน้ คว้ำเท่ำนั้น ๓.๖ หมวดคา� สนั ธาน คา� สนั ธาน คอื คำ� ทเี่ ชอื่ มประโยคกบั คำ� เชอื่ มประโยคกบั กลมุ่ คำ� หรอื เชอ่ื มประโยคกบั ประโยค รวมให้เป็นประโยคเดียวกัน ท�ำให้ประโยคชัดเจน กะทัดรัด สละสลวยย่ิงข้ึน ดังน้ัน ประโยค ทเ่ี กดิ ใหม่จึงสำมำรถแยกเปน็ ประโยคควำมเดียวไดต้ ัง้ แต่ ๒ ประโยคขึน้ ไป จะพบคำ� สนั ธำนในประโยค ควำมรวมและประโยคควำมซอ้ น ดังเชน่ ตำรำงตอ่ ไปน้ี 130 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดใชค าํ บพุ บทถูกตอ ง ครคู วรยกตวั อยา งประโยคแลว ใหน กั เรยี นรว มกนั วเิ คราะหว า คาํ บพุ บทในประโยค 1. เราทกุ คนมั่นใจตอมตทิ ีป่ ระชุม น้ันๆ คอื คาํ วาอะไร และบอกความหมายอยางไร เชน “พอตัดแตง ตน ไมหลายตน 2. นอ งต้งั ใจเรยี นเพราะอนาคตของตนเอง ในสวน” คําบพุ บทคือ “ใน” ปรากฏหนา นามวลี “สวน” รวมกันเปน บพุ บทวลี 3. เรากลา วคําสรรเสริญแกพ ระผมู ีพระภาคเจา “ในสวน” ใชข ยายนามวลี “ตนไมหลายตน” โดยใชค าํ บพุ บทเพื่อบอกตําแหนง ท่ีตั้ง 4. นสิ ิตตอ งย่ืนคํารองตอมหาวทิ ยาลัยเมือ่ ตอ งการเปลีย่ นวชิ า วเิ คราะหค ําตอบ คาํ บพุ บทมกั มีความหมายเพื่อบอกตาํ แหนง หนา ท่ี นักเรยี นควรรู ความเกย่ี วขอ ง ความมงุ หมาย ความเปนเจาของของนามวลีทมี่ คี วาม สมั พันธก บั คาํ กริยา หรอื บอกความสมั พันธระหวางนามวลีกับนามวลี 1 คาํ บุพบท หรือคาํ บรุ พบท เม่อื อยใู นประโยคจะปรากฏในตาํ แหนง หนา นาม ในประโยคเดียวกัน จากคาํ นยิ ามขา งตน จะทําใหวเิ คราะหไ ดวา ขอ 1. วลี และประกอบกนั เปน บุพบทวลี ทําหนา ทเี่ ปน สวนขยายนามวลหี รือกรยิ าวลที ่ี ทีถ่ กู ตองควรใชค ําวา “ในมติ” ขอ 2. ที่ถูกตองควรใชคาํ วา “เพ่ืออนาคต อยขู างหนา เชน ปากกาของฉันหายบอ ย คําบุพบทคือ “ของ” ปรากฏหนา นามวลี ของตนเอง” ขอ 3. ท่ถี กู ตองควรใชคําวา “แดพระผูม ีพระภาคเจา ” “ฉนั ” รวมเปน บพุ บทวลีขยายคาํ นาม “ปากกา” บพุ บทวลี “ของฉัน” รวมกับนามวลี ดังนั้นจงึ ตอบขอ 4. “ปากกา” กลายเปน นามวลเี ดียวกัน “ปากกาของฉัน” 130 คูม่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ประโยคความเดียว ประโยคความเดียว เชือ่ มดว้ ยสนั ธาน กลายเป็น 1. นักเรยี นกลุม ที่ 6 และกลุมที่ 7 สงตวั แทน พอ่ ของฉันเปน็ แมข่ องฉันเป็น และ กลุมละ 2 คน ออกมาอธบิ ายความรูใน คนขอนแก่น คนขอนแก่น พ่อและแมข่ องฉันเป็น ประเด็น “คาํ สันธาน” และ “คาํ อทุ าน” กว�่ ...ก็ คนขอนแก่น ตามลําดบั โดยนาํ เสนอขอ มลู ใหครอบคลมุ ถ่วั สุก ง�ไหม้ ที่ (ประโยคคว�มรวม) ประเดน็ ของคาํ นิยามและการทาํ หนาท่ใี น กว�่ ถว่ั จะสุกง�ก็ไหม้ ประโยค เดก็ ยืนรอ้ งไห้ เดก็ เปน็ น้องของฉัน (ประโยคคว�มรวม) เด็กทีย่ ืนรอ้ งไหเ้ ป็นน้อง 2. ครูสมุ เรียกชอ่ื นักเรยี นเพื่อตอบคําถามเกย่ี วกบั ของฉนั คําสันธาน และคาํ อุทาน โดยใชค วามรู (ประโยคคว�มซ้อน) ความเขา ใจ ท่ไี ดร บั จากการฟงบรรยายของ เพื่อนๆ กลมุ ท่ี 6 และ 7 เปน ขอ มลู เบื้องตน หนา้ ทข่ี องคา� สนั ธาน ค�ำสันธำนมหี นำ้ ที่ ดงั นี้ สาํ หรับตอบคาํ ถาม หรือครอู าจใหน ักเรยี น ๑.๑) เชือ่ มคา� กบั คา� เชน่ ต้งั คาํ ถามเพื่อถาม-ตอบกนั เอง โดยครูเปน ฉันกบั เธอเปน็ ศษิ ยเ์ ก่ำโรงเรียนวัฒนำวิทยำลัยเหมือนกนั (เชื่อม ฉนั กับ เธอ) ผชู วยในการตั้งขอสังเกตเพอื่ ชีน้ าํ ใหนักเรียน ๑.๒) เชือ่ มค�ากับกลุ่มคา� เชน่ ตั้งคําถาม คณุ พอ่ และญำตๆิ ของฉนั ตำ่ งเลย้ี งฉลองแสดงควำมยนิ ดที ฉี่ นั ไดร้ ำงวลั (เชอ่ื มคณุ พอ่ • นักเรยี นคดิ วา คําสนั ธานและคําบุพบท มรี ปู แบบการใชใ นประโยคแตกตา งกัน และ ญำติๆ ของฉัน) อยา งไร ๑.๓) เชื่อมประโยคกบั ประโยค เชน่ (แนวตอบ คาํ บพุ บทมักจะใชนาํ หนาคาํ หรือ เธอจะเอำสำยสร้อยหรือเอำนำฬิกำ (เชื่อมประโยคเธอจะเอำสำยสร้อย กับ เธอ กลุมคําเพือ่ แสดงหรอื บอกความสัมพนั ธ ระหวางนามวลีทั้งสองในประโยค สว นคาํ จะเอำนำฬิกำ ดว้ ยคำ� วำ่ หรอื เพอื่ ให้เลือกอย่ำงใดอย่ำงหน่งึ ) สันธานจะใชเ ชอ่ื มประโยคกับประโยค ข้อสงั เกต รวมใหเปน ประโยคเดยี วกนั จากตวั อยาง ๑. กำรใช้คำ� สันธำนเชอ่ื มประโยคบำงครัง้ อำจละคำ� สันธำนไวใ้ นฐำนท่ีเข้ำใจ เชน่ รปู ประโยค “แมวของอรทัยหายไป” กบั (เม่ือ) น�้ำมำ ปลำ (ก็) กนิ มด (แตพ่ อ) นำ�้ ลด มด (ก็) กินปลำ ประโยค “พอและแมเปนผูใหก ําเนดิ ลกู ” ๒. ค�ำวำ่ ให้ เปน็ คำ� กริยำ แต่เมอ่ื น�ำมำเชือ่ มประโยค ก็ทำ� หนำ้ ทีเ่ ปน็ คำ� สันธำน เชน่ จะเหน็ วา ประโยคแรกไมส ามารถแยกประโยค กรรมกรชมุ นมุ ไดเ พราะใชค าํ บพุ บท “ของ” เพอ่ื แสดงความ กรรมกรเรยี กร้องรัฐบำล เปน เจาของ แตประโยคหลงั สามารถแยก รัฐบำลขึ้นคำ่ แรง ไดค อื “พอเปนผูใหก ําเนิดลกู ” “แมเปน ผูให รวมเป็นประโยคควำมซ้อน กรรมกรชุมนุมและเรียกร้องรัฐบำลให้ข้ึนค่ำแรง โดยมี กําเนิดลกู ” ดังนั้นการใชคําสันธานหรือ คาํ เชื่อมจึงเปนการเชื่อมหนวยทางภาษา ค�ำสนั ธำน และ กับ ให้ เชอ่ื มประโยค ตง้ั แต 2 หนว ยขึน้ ไปเขาเปนหนวยภาษา ๓. ค�ำสรรพนำมเชื่อมควำม ที่ ซ่ึง อัน ผู้ เม่ือเชื่อมประโยคจะท�ำหน้ำที่เป็นค�ำสันธำน เช่น เดียวกัน) เขำท�ำงำน เขำตอ้ งอดทนมำก เชือ่ มประโยคเปน็ เขำทำ� งำนทต่ี ้องใชค้ วำมอดทนมำก 131 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นักเรยี นคน หาประโยคจากงานเขยี นประเภทตา งๆ ที่พบเห็นใน จากกิจกรรมสรา งเสริมคาํ ตอบของนักเรยี นจะมีลกั ษณะ ดังนี้ ชวี ติ ประจําวนั จํานวน 20 ประโยค นาํ มาวิเคราะหวา แตละคํามีความ “ฉนั กนิ ขาวทีโ่ รงอาหาร” “ฉนั ” เปน คาํ สรรพนาม ทาํ หนา ทเ่ี ปน ประธานใน สมั พันธท างไวยากรณตอกันอยางไร สรปุ ผลการศกึ ษาเปน ใบความรู ประโยค “กนิ ” เปน คาํ กรยิ ามคี วามสมั พนั ธท างไวยากรณกบั คาํ วาฉัน โดยแสดง เฉพาะบุคคล สงครู สภาพ หรืออาการ “ขาว” เปนคาํ นาม ทาํ หนาทีเ่ ปน กรรมตรงของประโยค มี ความสมั พันธท างไวยากรณกับคาํ วา ฉัน โดยถูกกระทํา “ท่ี” เปนคาํ บุพบทปรากฏ กจิ กรรมทา ทาย หนานามวลี โรงอาหาร รวมเปนบุพบทวลี “ท่ีโรงอาหาร” ขยายกรยิ าวลี “กนิ ” สว นกิจกรรมทาทาย คาํ ตอบจะมลี ักษณะ ดงั น้ี นกั เรียนคน หาประโยคจากงานเขียนประเภทตา งๆ ทพี่ บเหน็ ในชวี ติ “บนทองฟา นกบนิ ไปมาอยา งอสิ ระ” ปรากฏการยายสวนใดสวนหนง่ึ ของ ประจาํ วนั นาํ มาวเิ คราะหว าประโยคมกี ารยายตาํ แหนง คาํ เพื่อตอ งการ ประโยคในท่ีนี้คอื ยา ยบพุ บทวลี “บนทองฟา” มาไวห นา ประธานเพื่อเนน ยาํ้ เนนสว นใดสว นหนงึ่ หรือไม สรปุ ผลการวเิ คราะหเปน ใบความรู สถานท่ี เฉพาะบคุ คล สง ครู คมู่ ือครู 131

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. จากความรู ความเขาใจ เก่ยี วกบั ชนิดและ ๔. ค�ำสันธำนอำจเป็นค�ำชนิดอ่ืน เช่นเดียวกับค�ำสรรพนำมในข้อ ๓ แต่เมื่อท�ำหน้ำที่เช่ือมค�ำ หนาท่ขี องคาํ ในประโยค ใหนักเรยี นเลือกศึกษา กลุ่มค�ำ หรือประโยค ค�ำนั้นกเ็ ป็นค�ำสนั ธำน เชน่ ภาษาในงานเขยี นตอ ไปน้ี - ภาษาในงานหนังสอื พิมพ เขำทำ� งำนระหวำ่ งเรยี น (ระหว่ำง เป็นคำ� บพุ บทเพรำะอยหู่ นำ้ ค�ำกริยำ) - ภาษาในงานโฆษณา เขำท�ำงำนระหวำ่ งนอ้ งชำยนอนหลบั (ระหว่ำง เป็นค�ำสันธำนเพรำะเชอ่ื มประโยค) - ภาษาในงานบนั เทิงคดี โดยศึกษาวา มรี ปู แบบการเรียงคาํ เขาประโยค ๓.๗ หมวดคา� อทุ าน อยางไร การเรียงคําเขา ประโยคไดค ํานงึ ถงึ ชนิด หนาที่ และความสัมพันธท างไวยากรณห รือไม ค�าอุทาน คือ ค�ำหรือเสียงที่เปล่งออกมำเพ่ือแสดงอำรมณ์ ควำมรู้สึกต่ำงๆ เช่น ดีใจ เสียใจ อยางไร เขียนผลการวเิ คราะหแลว นํามาเสนอ พอใจ ตกใจ แปลกใจ เปน็ ต้น คำ� อุทำนไม่มีควำมหมำยสำ� คญั ในประโยค แต่ทำ� ให้ผรู้ บั สำรเข้ำใจเจตนำ ใหค รแู ละเพือ่ นๆ ฟง หนา ชัน้ เรียน และควำมร้สู กึ ของผสู้ ่งสำรชัดเจนย่ิงขึ้น 2. นักเรยี นเขยี นสรุปความรู ความเขาใจของ ประเภทของค�าอุทาน แบ่งได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ตนเองเกยี่ วกบั ชนดิ และหนา ทข่ี องคาํ ทง้ั 7 ชนดิ ๑.๑) คา� อุทานบอกอารมณ์ ความรสู้ ึก เชน่ ในภาษาไทย พรอมยกตวั อยางประโยคจาก ตำยจรงิ ! ฉนั ลมื ปดิ เตำแกส๊ (ตำยจรงิ อุทำนดว้ ยควำมตกใจ) สอ่ื ทพี่ บเหน็ ในชวี ติ ประจาํ วนั จาํ นวน 10 ประโยค ไชโย ! สวนกหุ ลำบชนะแลว้ (ไชโย อทุ ำนดว้ ยควำมดใี จ) เพือ่ แสดงผลการวเิ คราะหห นาท่ีและจําแนก ๑.๒) ค�าอุทานเสริมบท เป็นค�ำที่ไม่ได้บอกอำรมณ์ควำมรู้สึกของผู้พูด แต่ใช้ในกำร ชนิดของคาํ ในประโยคโดยศกึ ษาและคนหา ตัวอยางใหค รบท้งั 7 ชนดิ สนทนำเพ่ือแสดงควำมรู้สึกคุ้นเคยและท�ำใหก้ ำรสนทนำมีรสชำติข้ึน เช่น ควำมประพฤตขิ องหลำนๆ ทำ� ให้ยำ่ หนกั อกหนกั ใจมำกนะ เธอเหน็ ฉนั เปน็ หวั หลกั หวั ตอหรืออย่ำงไร กำรใช้ค�ำอุทำนท�ำให้ผู้รับสำรเกิดอำรมณ์คล้อยตำม สนุกสนำนตำมเน้ือเร่ือง และเห็น ภำพพจนช์ ัดเจนย่งิ ขึ้น เนอ่ื งจากคÓในภาษาไทยมหี ลากชนดิ และหลากความหมาย ซง่ึ แตล่ ะคÓทÓหนา้ ท่ี แตกตา่ งกนั การทจ่ี ะจÓแนกวา่ คÓนน้ั เปน็ คÓชนดิ ใด ทÓหนา้ ทอ่ี ยา่ งไร สงั เกตจากตÓแหนง่ ท่คี Óปรากฏในประโยค การเรยี นรเู้ กย่ี วกบั ชนดิ และหนา้ ทข่ี องคÓในประโยค คอื สง่ิ จÓเป็น เพราะจะทÓให้ใช้ภาษาส่อื สารไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ 132 บูรณาการเช่อื มสาระ ชนดิ และหนา ทขี่ องคําในประโยคมคี วามจาํ เปน อยา งย่งิ ตอ การนาํ ไป เกร็ดแนะครู ใชใ นชีวิตประจาํ วนั เพอ่ื การส่ือสารในรูปแบบตา งๆ ซงึ่ นกั เรียนสามารถนาํ องคความรูเรื่องชนิดและหนา ทขี่ องคาํ บรู ณาการไดกบั เรอื่ งการเขยี น กจิ กรรมในกระบวนการขยายความเขา ใจทใ่ี หนักเรยี นปฏิบตั นิ นั้ จะทาํ ให ในกลุม สาระการเรยี นรูวชิ าภาษาไทย โดยครูมอบหมายใหนักเรยี น นกั เรียนมองเหน็ รูปแบบการใชคําเพ่ือเรยี บเรยี งเขาประโยคโดยใชท กั ษะการสังเกต เขยี นเรียบเรียงเกยี่ วกบั ชีวิตของตนเองในชว งระยะเวลาท่ีผานมาความ ในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม ซ่งึ การเรยี งคําเขาประโยคสาํ หรับภาษาหนงั สือพมิ พ จะไม เปล่ยี นแปลงตา งๆ ของชวี ติ ท่ีสามารถนาํ มาใชเ ปนบทเรยี นหรอื แงคดิ คาํ นงึ ถงึ ความถกู ตอ งทางไวยากรณ แตจะมงุ เนนเพื่อการสือ่ สาร และเรา ความสนใจ ใหแกผ อู ื่นได โดยใชค วามรเู กยี่ วกับชนดิ และหนาที่ของคําเรียงรอย เปน สําคญั เชน ครม.ดันพระธาตุเมอื งคอนมรดกโลก หรือการใชภ าษาเพอ่ื การ ประโยคเปนเร่ืองราวความยาวไมเ กนิ 1 หนา กระดาษ A4 สง ครู โฆษณาของรานขายอปุ กรณทางการเกษตรที่เขยี นไววา “ดิน ขุย ปยุ กาบ” เปน การ ผลทไ่ี ดรบั จากการปฏิบัตกิ จิ กรรมบรู ณาการ จะทาํ ใหน กั เรยี นนํา เรยี บเรยี งคาํ เขา ประโยคท่ีไมม ีประธาน กริยา กรรม มุง เพียงสื่อสารใหเขาใจวา ความรู ความเขาใจในเชิงทฤษฎไี ปใชป ฏิบัตจิ รงิ ในสถานการณก ารสอื่ สาร รา นน้ีขายดนิ ขยุ มะพรา ว ปยุ และกาบมะพราว เมือ่ นักเรยี นไดท าํ กจิ กรรมจะทําให ที่แตกตา งกนั เกดิ ความเขาใจวา การเรียบเรียงคําเขาประโยคของงานเขียนแตล ะประเภทมคี วาม แตกตา งกนั ดว ยจดุ ประสงค การวเิ คราะหช นดิ และหนา ทข่ี องคาํ จงึ ตอ งพจิ ารณาจาก ความสมั พันธท างไวยากรณก ับคาํ อน่ื ๆ ในประโยคเปนสาํ คัญ 132 คมู่ ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คําถาม ประจาํ หนวยการเรยี นรู 1. นกั เรยี นนาํ เสนอขอ มลู เกย่ี วกบั การเรยี บเรยี งคาํ เขา ประโยคของภาษาในงานเขยี นทเ่ี ลอื กศกึ ษา ๑. เหตุใดจึงตอ้ งศกึ ษ�เร่อื งชนดิ และหน�้ ทีข่ องค�ำ ในประโยค ๒. คำ�ในภ�ษ�ไทยมกี ี่ประเภท อะไรบ�้ ง 2. ครตู รวจสอบการนาํ เสนอขอ มูลของนกั เรียน ๓. ถ้�ผสู้ ่ือส�รเรียงคำ�สลบั ตำ�แหนง่ ในประโยค จะท�ำ ใหก้ �รส่ือส�รประสบผลส�ำ เรจ็ หรอื ไม่ โดยพจิ ารณาวา สามารถบอกไดว า การเรยี บเรยี ง ๔. ค�ำ สนั ธ�นมวี ธิ ีใช้ประกอบประโยคอย่�งไร ยกตัวอย�่ งประกอบ คาํ เขา ประโยคมลี ักษณะอยา งไร ซ่งึ ขอ มลู ท่นี ํา ๕. จงระบุพร้อมให้เหตผุ ลประกอบว�่ คำ�ตอ่ ไปนีค้ �ำ ใดเปน็ อ�ก�รน�มและคำ�ใดเป็นค�ำ น�ม ก�รบ�้ น เสนอยอมสะทอนใหเ หน็ วา นักเรยี นมคี วามรู ความเขา ใจเกีย่ วกบั ชนดิ และหนาที่ของคาํ ก�รเมือง ก�รรกั ษ�พย�บ�ล ก�รทตู ก�รคลงั ก�รกิน ก�รนอน ก�รเล้ียงดู ก�รอบรม ก�รกุศล จนกระทั่งสามารถบอกไดวา การใชภ าษา ก�รท�ำ บุญ คว�มดี คว�มง�ม คว�มสงบสุข คว�มส�มคั คี คว�มรัก คว�มรบั ผดิ ชอบ คว�มมธั ยสั ถ์ ของงานเขียนประเภทที่เลอื กมรี ูปแบบอยา งไร คว�มละเอยี ดถ่ถี ว้ น คว�มอุดมสมบรู ณ์ คว�มอ้วน หรือบกพรอ งทางไวยากรณอ ยา งไร 3. ใบความรเู ฉพาะบคุ คลแสดงความรู ความเขา ใจ เก่ียวกับชนิดและหนาทขี่ องคาํ ในภาษาไทย พรอมบทวเิ คราะหหนา ท่ี จาํ แนกชนดิ ของคํา จากประโยคทนี่ าํ เสนอ 4. นักเรยี นตอบคําถามประจาํ หนวยการเรียนรู กิจกรรม สรา งสรรคพัฒนาการเรยี นรู หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นรวบรวมค�ำ ทเี่ ขยี นเหมอื นกนั แตม่ คี ว�มหม�ยแตกต�่ งกนั น�ำ ม� 1. ขอมูลการวิเคราะหร ปู แบบการเรียบเรยี งคํา กจิ กรรมที่ ๒ แตง่ ประโยคใหส้ อดคลอ้ งกบั คว�มหม�ยน้ัน เช่น ฉนั เข� เก�ะ เขา ประโยคของภาษาในงานเขยี นทีเ่ ลือก กิจกรรมท่ี ๓ ให้นกั เรียนแต่งเรื่องจ�กจนิ ตน�ก�ร โดยใช้คำ�อุท�นท้ังอทุ �นบอกอ�รมณ์ กิจกรรมท่ี ๔ และอุท�นเสรมิ บท ใหม้ ีคว�มย�วประม�ณ ๑๐ บรรทดั 2. ใบความรเู ฉพาะบุคคลเกีย่ วกับการวิเคราะห ใหน้ กั เรยี นรวบรวมประโยคคว�มรวมและประโยคคว�มซอ้ นจ�กหนงั สอื พมิ พ์ หนาทีแ่ ละชนดิ ของคํา หรอื หนงั สอื เรยี น แล้ววิเคร�ะห์ว่�ค�ำ ใดเปน็ คำ�สันธ�น เพร�ะเหตุใด ใหน้ ักเรียนเลือกประโยคคว�มเดียว ประโยคคว�มรวม และประโยค คว�มซอ้ นจ�กหนังสือทอ่ี ่�น ประเภทละ ๕ ประโยค น�ำ ม�วเิ คร�ะห์ว่� สว่ นใดเป็นภ�คประธ�น สว่ นใดเป็นภ�คแสดง หรือส่วนขย�ย 133 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. การศกึ ษาเกย่ี วกบั ชนิดและหนา ท่ขี องคําในประโยค จะทาํ ใหสามารถอา น เขียน หรอื พูดสื่อสารทําความเขา ใจกบั ผูอืน่ ในรปู แบบท่ีซับซอ นขนึ้ ได 2. คาํ ในภาษาไทยมี 7 ประเภท ไดแ ก คํานาม คาํ สรรพนาม คาํ กริยา คําวิเศษณ คําบุพบท คาํ สันธาน และคําอุทาน 3. ถา เรยี งคําสลบั ตาํ แหนงในประโยคจะทําใหก ารสื่อสารไมประสบผลสําเรจ็ ตามจดุ ประสงคท ีต่ ง้ั ไว เพราะคาํ คําเดียวมหี ลายความหมายและสามารถทาํ ไดห ลายหนา ที่ ในประโยค ถา เรียงผดิ ตําแหนง จะทําใหห นาท่แี ละความหมายเปล่ยี นไป 4. คาํ สนั ธาน คอื คาํ ทใี่ ชเ ชอื่ มประโยคกบั คาํ เชอ่ื มประโยคกบั กลมุ คาํ หรอื เชอ่ื มประโยคกบั ประโยคใหเ ปน ประโยคเดยี วกนั ทาํ ใหป ระโยคทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหมน น้ั มคี วามชดั เจน มากขึน้ เชน แมและฉนั ไปซื้อของที่ตลาด ประโยคนีใ้ ชคําสนั ธาน “และ” เชอื่ มระหวา งประโยค “แมไ ปซื้อของที่ตลาด” “ฉนั ไปซือ้ ของท่ีตลาด” ประโยคที่เกดิ ข้นึ ใหมน้ี จึงมคี วามชัดเจนมากข้ึน คอื หมายรวมถึงทัง้ แมแ ละฉันท่ไี ปซื้อของทต่ี ลาด 5. คํานาม ไดแก การบา น การเมอื ง การทูต การคลงั และการกศุ ล สวนคําอาการนาม ไดแก การรกั ษาพยาบาล การกนิ การนอน การเล้ียงดู การอบรม การทาํ บุญ ความดี ความงาม ความสงบสุข ความสามคั คี ความรัก ความรับผดิ ชอบ ความมธั ยัสถ ความละเอยี ดถีถ่ วน ความอดุ มสมบรู ณ ความอว น เพราะมีหนว ยคาํ เติมหนา “การ” หรือ “ความ” นาํ หนาคํากริยาหรอื คาํ วิเศษณ คูม ือครู 133

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรยี นรู วเิ คราะหค วามแตกตา งของภาษาพดู และ ภาษาเขียนที่ปรากฏใชในชีวติ ประจาํ วนั ไดโ ดยใช การเปรียบเทียบ สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค 1. ใฝเรยี นรู 2. มคี วามรับผิดชอบ กระตนุ้ ความสนใจ Engage óหน่วยที่ ครตู ง้ั คาํ ถามกบั นกั เรยี นเพอ่ื กระตนุ ความสนใจ ความแตกตางของภาษา ในชีวิตประจ�าวันมนุษย์รับสาร และสรางการมีสว นรวมตอ การเรยี นการสอน ในช้นั เรยี น ตัวชวี้ ดั ดว้ ยการฟงั การอา่ น สง่ สารดว้ ยการพดู และการเขียน ดังน้ัน ทักษะการฟัง • นักเรียนคดิ วา ความแตกตางของภาษา ท ๔.๑ ม.๑/๔ มีความหมายอยางไร (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ■ วิเคราะหความแตกตา งของภาษาพดู และภาษาเขยี นตามความสนใจ ไดอยางอิสระ ข้นึ อยกู ับพน้ื ฐานและรอ งรอย ความรูเดิม ซ่งึ นกั เรยี นอาจตอบวา ภาษา การพูด การอ่าน และการเขียนจึงเป็น มคี วามแตกตางในประเดน็ ของการเลือก ทกั ษะส�าคัญทจ่ี �าเป็นตอ้ งฝกฝน ใชถ อ ยคํา ภาษามคี วามแตกตา งเมือ่ อยูใ น การส่ือสารท่ีดีผู้ใช้ภาษาจะต้องมี สถานการณหรือโอกาสการสอ่ื สารท่ี สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ความรู้เรื่องการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน แตกตางกัน ภาษามีความแตกตา งเม่ือ เขา้ ใจความหมาย ลกั ษณะภาษาพดู ภาษาเขยี น เน้อื หาสาระท่ีจะสอ่ื สารมีความแตกตา งกัน ■ ภาษาพูด สามารถใชภ้ าษาไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา และ เปน ตน ) ■ ภาษาเขยี น ระดับภาษา เหมาะสมแก่กาลเทศะและบุคคล ผู้ที่มีทักษะในการใช้ภาษาสื่อสารจะท�าให้เข้าใจ ตรงกนั ไม่ว่าจะประกอบธรุ กจิ ใดยอ่ มประสบผล ส�าเร็จ เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนวยการเรยี นรู ความแตกตางของภาษา เปาหมายสาํ คญั คอื นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหค วามแตกตา งของภาษาพดู และภาษาเขยี นทใ่ี ชส อ่ื สาร ในชีวติ ประจาํ วันได โดยใชวธิ กี ารเปรยี บเทียบ การจะบรรลเุ ปาหมายดังกลาว ครคู วรใหน กั เรยี นคนควาเก่ยี วกับลกั ษณะเฉพาะ ของภาษาพดู และภาษาเขียนดว ยตนเอง ในลกั ษณะการแบง กลมุ สบื คน จากน้ันจงึ นาํ ขอมลู มาเปรียบเทียบเพ่อื ใหเ ห็นความแตกตา งของภาษาท้ังสองประเภท การเรียนการสอนในลักษณะนีจ้ ะชว ยฝก ทกั ษะการเปรียบเทยี บใหแ กนกั เรยี น และเพื่อความรู ความเขา ใจทม่ี ากย่ิงขึน้ ครคู วรใหนกั เรียนสังเกตวธิ กี ารใชภาษาพดู และภาษาเขียนในชวี ติ ประจําวนั ของตนเองเพื่อฝกทักษะการเปรียบเทียบจาก สถานการณจ รงิ 134 ค่มู ือครู

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑ ภาษาพดู ครกู ระตุน ความสนใจดวยวิธกี ารตัง้ คาํ ถาม เพื่อใหน กั เรยี นมสี วนรวมในการเรยี นการสอน กำรพูดเป็นกำรส่ือสำรโดยใช้ถ้อยค�ำ น้�ำเสียง รวมทั้งกิริยำอำกำร ถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด และเริ่มฝก ทักษะการสงั เกต ควำมรู้สึก จินตนำกำร และควำมต้องกำรของผู้พูดให้ผู้ฟังรับรู้และตอบสนอง ดังนั้น กำรพูดจึงมี • นกั เรยี นสังเกตพฤติกรรมการใชภ าษาพูด ดควังทำม่ีสสนุ ำ� ทครญั ภมูก่ ำลกำ่ วเไพวรใ้ นำะนคิรำ�ำพศดูภเูเปขน็ำทสอื่อทง1แำ� ลใหะก้เพำรลสงอย่ื สำวำถรสวำมั ยฤโทอธวผิ ำลทวอำ่ กี ทง้ั สำมำรถทำ� ใหค้ นรกั และคนชงั ได้ ของตนเองวา มลี กั ษณะอยางไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น “ถงึ บำงพดู พดู ดีเปน็ ศรศี ักด์ิ มีคนรักรสถอ้ ยอรอ่ ยจติ ไดอ ยางอสิ ระ เชน หากพดู กบั คนทม่ี ีความ แมน้ พูดช่ัวตวั ตำยทำ� ลำยมติ ร จะชอบผิดในมนุษยเ์ พรำะพดู จำ” สนิทสนม คนุ เคย จะมกี ารลดระดับความ แต่ลมปำกหวำนหูไม่รหู้ ำย เปน ทางการลงมา โดยเลอื กใชถอ ยคาํ ภาษา “อนั ออ้ ยตำลหวำนล้นิ แลว้ สนิ้ ซำก เจบ็ จนตำยนนั้ เพรำะเหน็บให้เจ็บใจ” ในระดบั ปาก แตถาสื่อสารกบั บุคคลทีไ่ ม แมน้ เจ็บอนื่ หมนื่ แสนจะแคลนคลำย สนทิ สนมจะเลอื กใชถอยคาํ ภาษาในระดบั ที่เปน ทางการ) ดังนัน้ ผพู้ ดู ตอ้ งพดู อย่ำงระมดั ระวัง กลำ่ วคือ พดู แตส่ ิง่ ที่ดี มีประโยชน์ เปน็ มงคล พดู ในเชงิ สร้ำงสรรค์ พูดด้วยถ้อยค�ำท่ีไพเรำะ มีส�ำเนียงอ่อนหวำน และมีท่ำทีอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อกล่ำวถึง สา� รวจคน้ หา Explore ผู้อื่นใหก้ ล่ำวด้วยเจตนำดี ไม่ใช้วจีทจุ รติ เช่น ค�ำหยำบ ค�ำเทจ็ คำ� ส่อเสียด คำ� เพอ้ เจ้อ เปน็ ต้น การแสดงพื้นบ้าน จะใช้ภาษาพูดเพ่ือการถ่ายทอด จึงท�าให้ผู้รับชมและฟังสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระได้โดยทันที ครูทาํ สลากเทา กบั จํานวนนักเรยี นในชั้นเรยี น ทา� ใหเ้ กดิ อรรถรสในการชม โดยเขยี นหมายเลข 1 และ 2 ลงบนสลากในจาํ นวน เทาๆ กนั หรือตามความเหมาะสม จากน้นั ให แตล ะคนออกมาจบั สลากประเดน็ สาํ หรบั การสบื คน ความรูรว มกนั ผทู ่จี บั ไดห มายเลขเหมือนกนั ใหอ ยู กลมุ เดยี วกนั หมายเลข 1 ภาษาพดู หมายเลข 2 ภาษาเขยี น โดยแตละกลุมรว มกนั สบื คน วาภาษาท่กี ลุม ของตนเองไดร บั มอบหมาย มีความสําคญั อยางไร ตอ กระบวนการส่ือสารของมนุษย ลักษณะเฉพาะ ของแตล ะภาษา โอกาสหรือสถานการณใ นการใช ซ่ึงนักเรียนสามารถสืบคน ไดจ ากแหลง การเรียนรู ตางๆ ทีส่ ามารถเขาถึงได เชน ตาํ ราทางวิชาการ อนิ เทอรเน็ต หรือการรวบรวมจากรองรอยความรู เดิมของสมาชิกแตละคนภายในกลุม เปนตน 135 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นักเรยี นศกึ ษาเกยี่ วกบั สถานภาพและความสมั พันธระหวา งบคุ คลวา หลังจากใหน กั เรียนปฏบิ ัติกจิ กรรมสรางเสรมิ และกิจกรรมทา ทายครคู วรให สงผลตอ การเลือกใชถอยคําภาษาเพอื่ การส่อื สารอยางไร สรุปความรทู ่ีได นักเรียนเขา กลมุ ใหญ เพื่อแลกเปลีย่ นความรูซ งึ่ กนั และกนั เกย่ี วกบั ขอมลู ทไ่ี ด จากการศกึ ษาคนควาลงสมดุ จากการสืบคน เปน เวลา 10 นาที จากนนั้ จงึ ใหจดั การความรรู ว มกันโดยสมมติ สถานการณ 2-3 สถานการณ แลวนํามาแสดงบทบาทสมมติหนาชั้นเรียน กิจกรรมทา ทาย นกั เรยี นควรรู นกั เรยี นศึกษาเกี่ยวกบั สภาวะทางอารมณข องบุคคลและสถานการณ ทางการส่อื สารวา สงผลตอ การเลือกใชถอยคาํ ภาษาเพื่อการสื่อสารอยา งไร 1 นริ าศภูเขาทอง เปนนริ าศเรอ่ื งเอกของสุนทรภูท ี่ไดรับยกยอ งใหเปน ยอดของ สรปุ ความรูท่ีไดจ ากการศึกษาคนควาลงสมดุ กลอนนิราศ ซ่งึ นิราศภูเขาทองเปนนิราศทสี่ มบรู ณดว ยลกั ษณะของกระบวนนริ าศ ทุกประการ ใชถอ ยคาํ ท่ีประณีต บรรจงเรยี งรอยมากกวา นิราศเร่ืองอ่ืนๆ อกี ทั้ง สุนทรภูยงั ไดสอดแทรกโลกทัศน ความรสู ึกนึกคดิ สว นตนลงไปไดอยา งไพเราะ คมู่ อื ครู 135

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 และ 2 สงตัวแทน 2 คน ๑.๑ ลกั ษณะของภาษาพดู ออกมาอธิบายความรูใ นประเด็นท่ีกลุมไดรบั มอบหมายตามลําดับ โดยนาํ เสนอขอมูลใหมี ภาษาพดู หมำยถงึ ภำษำทใ่ี ชพ้ ดู ในชวี ติ ประจำ� วนั ผพู้ ดู ไมเ่ ครง่ ครดั ในระเบยี บของภำษำ มงุ่ เนน้ ความครอบคลมุ ประเดน็ ๆ ตาง ที่ไดกําหนดไว ใหส้ ำมำรถสอื่ สำรเขำ้ ใจไดต้ รงกนั และบรรลผุ ลตำมทต่ี อ้ งกำรเทำ่ นน้ั โดยมลี กั ษณะทคี่ วรสงั เกต ดงั น้ี ๑. ระดับภำษำที่ใช้ส่วนมำกเป็นภำษำระดับกันเอง ระดับสนทนำ ระดับก่ึงทำงกำร มักใช้ 2. นักเรียนใชความรู ความเขา ใจ ที่ไดร ับจากการ สภนำษทำนรำะกดับบั คกนนั ทเอ่ีไมงส่คำ�ุ้นหเครับยคแนตสกนตทิ ่ำงคกุน้ ันเคดย้วยเคชุณ่นวใุฒชิตส้ ร่ำรงๆพนเำพมื่อวแ่ำสฉดันงควเรำำมสเธุภอำพเ1ปเน็ ชต่นน้ ใชภ้ ำษำระดับ ฟง บรรยายของเพื่อนๆ กลมุ ที่ 1 และ 2 ผม กระผม ดิฉัน คุณ ท่ำน ใช้สรรพนำมว่ำ ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนว ยที่ 3 กิจกรรมตามตัวชีว้ ดั กิจกรรมท่ี 3.1 ๒. ประโยคทใี่ ชส้ ว่ นมำกเปน็ ประโยคควำมเดยี วและประโยคควำมรวม สว่ นประโยคควำมซอ้ น ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ มีไม่มำกนกั ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง ระดับภาษา ๓. มักมีกำรตัดคำ� ยอ่ ค�ำ รวบค�ำ เพื่อควำมรวดเร็ว เชน่ ใหญเ่ ปือ่ ยไม่งอกสอง หมำยถงึ กว๋ ยเตยี๋ วเส้นใหญ่ เนอ้ื เปือ่ ย ไม่ใส่ถวั่ งอกสองชำม ผอ. สบำยดีหรือ หมำยถงึ ท่ำนผู้อ�ำนวยกำรสบำยดหี รือ กจิ กรรมตามตัวชี้วัด คะแนนเตม็ คะแนนทไ่ี ด ๔. มีค�ำลงท้ำยเรียกขำนหรือค�ำขำนรับ เพื่อแสดงควำมสุภำพหรือยกย่อง เช่น แม่จ๋ำ กจิ กรรมที่ ๓.๑ ใหน ักเรยี นตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี (ท ๔.๑ ม.๑/๔) ñð ๑. ภาษาพูด ...ภ....า..ษ....า...ท....ีใ่...ช...พ....ูด....ใ..น.....ช...ีว...ติ....ป....ร...ะ...จ...าํ...ว...นั.........ไ..ม....เ.ค....ร....ง...ค....ร....ดั ....ใ..น.....ร...ะ...เ.บ.....ยี ...บ....ข...อ....ง...ภ....า..ษ.....า.............. คุณหนขู ำ คณุ คงเข้ำใจนะคะ เปน็ ต้น ๒. ภาษาพดู ระดับ .......................................................................................................................................................................... ๕. มกี ำรใชภ้ ำษำท้องถน่ิ ปะปน เช่น ปลำแดก บักห่งุ ตำ� มั่ว บักหนำน บกั เสย่ี ว เป็นต้น กันเอง ๖. มีกำรพูดโดยใช้ถ้อยค�ำ ส�ำนวนโวหำร สุภำษิต ค�ำพังเพย ค�ำซ้�ำ ค�ำซ้อน ค�ำคล้องจอง ...ไ...ม....เ.ค.....ร....ง...ค....ร....ัด....ใ...น.....ร...ะ...เ..บ....ี.ย...บ.....ท....า...ง...ภ....า...ษ.....า.........ใ...ช....ส....น.....ท....น.....า...ใ..น.....ช...ีว...ิ.ต....ป....ร....ะ..จ....ํา...ว...ัน......... ๓. ภาษาพดู ระดบั ...ร...ะ...ห....ว...า..ง....ค....น....ใ...ก....ล....ช...ดิ ........ส....น.....ิท....ส....น....ม....ก....ัน......................................................................................... ประกอบกำรพูด หรือใช้ค�ำพูดที่มีควำมหมำยโดยนัยต้องตีควำม เช่น จับปลำสองมือ ย้อมแมวขำย สนทนา ...ใ..ช...ส.....น....ท....น.....า..ก....ับ....ผ....ทู....ีไ่..ม....ค....ุน....เ..ค....ย........ต....อ....ง...ต....ดิ ....ต....อ ...ก....ัน.....ต...า...ม....ม...า...ร...ย....า...ท....ท....า..ง....ส....ัง...ค....ม............ ๔. ภาษาพดู ระดับ .......................................................................................................................................................................... ววั หำยลอ้ มคอก เป็นตน้ ทางการ ...ใ..ช...ส.....ื่อ...ส....า...ร...ก....ับ.....ม...ว...ล....ช...น.....ห...ร....ือ...ส.....น....ท....น.....า..ก....ับ....ค....น.....ก....ล....ุม...ใ...ห....ญ..... ............................................... เฉฉบลับย ๕. ภาษาพูดระดบั ๗. มีกำรใช้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เช่น กำรละประธำน กริยำ กรรม หรือค�ำบุพบทไว้ในฐำน พธิ ีการ .......................................................................................................................................................................... ๖. ภาษาเขยี น ...ใ..ช...ส.....่ือ...ส....า...ร...ใ...น....ง....า..น.....พ....ธิ ...กี....า...ร........ใ..ช...ภ....า...ษ....า...ต....า...ม...ร...ะ...เ..บ....ยี ...บ.....แ...บ....บ....แ...ผ....น..................................... ท่ีเข้ำใจซึ่งสำมำรถส่ือสำรกันได้เพรำะเป็นกำรพูดเฉพำะตัวบุคคล ผู้พูดอยู่ในสถำนกำรณ์น้ันอยู่แล้ว ๗. ภาษาเขียนอยา ง .......................................................................................................................................................................... หำกถ่ำยทอดเปน็ ภำษำเขยี นกต็ อ้ งดูข้อควำมทแี่ วดล้อม (บรบิ ท) จึงจะเขำ้ ใจ เชน่ ไมเปนทางการ กรกนก : “(พ่)ี ซ้ืออะไรมำบำ้ งคะ พ่ซี ้อื (ของ) ได้ครบหรือยัง” ละสรรพนำมและกรรม ...ก....า...ร...ถ....า..ย....ท....อ...ด....ค....ว...า...ม...ร....ู ....ค....ว...า..ม....ร...ูส....ึก........ค....ว...า...ม...เ..ข...า ...ใ..จ....ข...อ...ง...ม....น....ษุ.....ย...โ..ด....ย....ใ..ช...อ....ัก....ษ....ร........ วนดิ ำ : “(พ)่ี กไ็ มไ่ ดซ้ อื้ อะไรมำกหรอก (พซี่ อ้ื ของ) ไดค้ รบแลว้ ละ่ ” ละสรรพนำมและประโยค ๘. ภาษาเขียนอยา ง ...ห....ร...ือ....ส....ญั.....ล....กั ....ษ....ณ.....อ....่ืน....ๆ........แ...ท....น....ค....าํ...พ....ูด............................................................................................ เปนทางการ ...ใ..ช...ถ....า...ย...ท....อ....ด....อ...า...ร...ม....ณ.....ข...อ....ง...ผ...สู.....่ือ...ส....า...ร...เ..ห....ม....อื ...น.....เ.ส.....ีย...ง...พ....ูด....ข...อ....ง...ม....น....ษุ....ย.... ........................... ๑.๒ ระดบั ภาษาทใ่ี ชใ้ นการพดู สอ่ื สาร ...ท....ีพ่ ....ูด....ส....อื่....ส....า..ร....ใ..น.....ช...วี...ติ....จ...ร....ิง................................................................................................................. ๙. ลักษณะประโยค ...เ.ป....น.....ก...า...ร...เ..ข...ยี...น.....อ...ย...า...ง...ม....แี ...บ....บ....แ...ผ...น........ม...หี....ล....กั ....ใ..น....ก....า...ร...เ..ข...ยี...น.......ใ...ช...ภ....า..ษ....า...ส....ล....ะ..ส....ล....ว...ย........ กำรพูดในชวี ิตประจ�ำวันมลี กั ษณะกำรใช้ภำษำแต่ละระดับแตกต่ำงกัน ดงั นี้ ท่ีใชในภาษาพดู ๑) ภาษาพิธีการ มีลักษณะเป็นแบบแผน ใช้ถ้อยค�ำประณีตบรรจง มุ่งให้ผู้รับสำรฟังด้วย .......................................................................................................................................................................... ควำมส�ำรวม มักพบในกำรพูดสดุดี คำ� กล่ำวบวงสรวง คำ� กลำ่ วในพิธตี ่ำงๆ ๑๐. ลักษณะของ ๒) ภาษาทางการ มีลักษณะเป็นแบบแผน แต่ใช้ถ้อยค�ำกะทัดรัดกว่ำระดับพิธีกำร ถ้อยค�ำ ภาษาเขียน ...ใ..ช...ป....ร....ะ..โ...ย...ค....ค....ว...า...ม...เ..ด....ยี....ว..ห....ร....ือ...ป....ร....ะ..โ...ย...ค....ค....ว...า...ม...ร....ว...ม.......ป....ร....ะ..โ...ย...ค....ม....ัก....ไ..ม....ส....ม...บ.....ูร...ณ.......... มีควำมสละสลวย แต่ชัดเจน เคร่งครัดไวยำกรณ์ ใช้สื่อสำรอย่ำงเป็นทำงกำรไปสู่สำธำรณชน มักพบ ในกำรแสดงปำฐกถำ .......................................................................................................................................................................... ...เ..ข..ยี....น....ต....า...ม....ภ...า...ษ....า...พ....ดู ....ท....พี่ ....ูด....ใ...น....ช...ีว...ติ ....ป....ร...ะ...จ...าํ...ว...ัน.........แ...ล....ะ..เ..ข...ยี ....น....โ...ด...ย....ใ..ช....ภ...า...ษ....า.................. ...ท....ก่ี....ล....นั่ ....ก....ร....อ...ง...อ....ย...า...ง...ล....ะ...เ..ม...ีย...ด....ล....ะ...ไ..ม................................................................................................ ๖๖ 136 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดเปนลกั ษณะเดน เฉพาะของภาษาพดู สาํ หรับหนว ยการเรียนรนู ี้ ครูมคี วามจาํ เปน อยางยง่ิ ท่ีจะตอ งใหค วามรู ความ 1. มคี วามเครงครัดในเรื่องไวยากรณ เขา ใจทถี่ กู ตอ งเกยี่ วกบั ระดบั ภาษา เพราะนกั เรยี นจะตอ งมคี วามรู ความเขา ใจเรอื่ ง 2. ใชป ระโยคที่ซบั ซอ นในการสอื่ สาร ระดบั ภาษาเปน พน้ื ฐานเพอ่ื ใหม ขี อ มลู เพยี งพอทจ่ี ะแยกแยะไดวา ถอ ยคําในระดับ 3. ใชประโยคทล่ี ะประธานในการสือ่ สาร ภาษานม้ี ักจะใชในการพดู ถอ ยคาํ ในระดับภาษานี้มกั จะใชในการเขยี น 4. มักขึน้ ตนประโยคโดยการใชค ํานามธรรม วิเคราะหค ําตอบ ภาษาพูดเปนภาษาทใี่ ชส าํ หรบั การสื่อสารในชวี ิต นักเรยี นควรรู ประจําวนั ในสถานการณท ีไ่ มเ ปนทางการกับบคุ คลทม่ี คี วามสนทิ สนม คนุ เคย ไมม คี วามเครง ครดั ทางไวยากรณ ไมมกี ารใชรูปประโยคท่ีซับซอ น 1 ความสภุ าพ หมายถงึ ความเรยี บรอ ย ออ นโยน สามารถแสดงออกโดยผา น ในการสอื่ สาร จดุ ประสงคเ พยี งเพ่อื ใหเ ขา ใจความหมาย และปรากฏการ การใชภาษาและการกระทาํ ในดานการใชภาษาสามารถแสดงความสภุ าพได 2 วิธี ใชร ูปประโยคทีล่ ะสวนประกอบของประโยค เชน ละประธาน ละกรรม คือ การใชน า้ํ เสยี งและการเลอื กใชค าํ การใชน า้ํ เสยี งทถ่ี อื กนั วา สภุ าพ คอื การพดู เบาๆ ดังนัน้ จึงตอบขอ 3. และทอดเสยี งใหย าว หรอื เรยี กวา พดู ใหม หี างเสยี ง สว นการเลอื กใชถ อ ยคาํ เพอ่ื แสดง ความสภุ าพนนั้ จะสงั เกตไดจ ากการใชค าํ สรรพนาม และคาํ ลงทา ยในการสอ่ื สาร 136 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) ภาษาก่ึงทางการ1มีลักษณะกำรใช้ถ้อยค�ำคล้ำยคลึงกับภำษำทำงกำร แต่ลดระดับควำม นกั เรยี นยนื ในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกนั อธบิ าย ความรแู บบโตต อบรอบวงเกย่ี วกับกระบวนการ เป็นทำงกำร ลดควำมเครง่ ครัดในไวยำกรณ์ ผสู้ ่งสำรและผ้รู ับสำรมีปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวำ่ งกนั มสี ว่ นร่วม สอ่ื สารของมนษุ ย โดยใชค วามรู ความเขาใจจาก ในกำรสอื่ สำร มกั พบในกำรอภิปรำย กำรประชุม กำรบรรยำยในชั้นเรียน รอ งรอยความรเู ดิมหรอื ประสบการณสว นตนเปน ๔) ภาษาสนทนา มกี ำรใชถ้ อ้ ยคำ� ทเี่ ปน็ กนั เองมำกขน้ึ ระยะหำ่ งระหวำ่ งผสู้ ง่ สำรและผรู้ บั สำร ขอมูลเบื้องตน สําหรับตอบคําถาม มีน้อยลง เป็นภำษำท่ีใช้เพื่อกำรสนทนำอย่ำงมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ใช้ในกำรพูดคุย สนทนำกับบุคคล • ภาษาพดู มลี ักษณะสําคัญอยางไร ทวั่ ไปทีร่ จู้ กั กันในวงสนทนำ หรอื คนุ้ เคยกันในระดับหนึ่ง (แนวตอบ ภาษาพดู เปนภาษาท่ีใชส ือ่ สาร ในชีวติ ประจาํ วัน ซึง่ ผูพ ูดจะไมเครงครดั ๕) ภาษากันเอง มีกำรใช้ถ้อยค�ำที่เป็นกันเองมำกขึ้น ไม่ให้ควำมส�ำคัญกับควำมถูกต้องทำง ในระเบยี บของภาษาหรือไวยากรณข อง ไวยำกรณ์ ผสู้ ง่ สำรและผรู้ บั สำรมคี วำมสนทิ สนมกนั ใชถ้ อ้ ยคำ� ทเี่ ขำ้ ใจกนั เปน็ กำรสว่ นตวั คำ� เฉพำะกลมุ่ ๒ ภาษาเขียน รูปประโยคมากนัก) • ในกระบวนการสือ่ สารของมนษุ ยป ระกอบ ภาษาเขียน หมำยถึง กำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมร้สู ึกนกึ คิด ควำมคิด ควำมเข้ำใจของมนษุ ย์ โดยใช้อักษรหรือใช้สัญลักษณ์อื่นๆ แทนค�ำพูด เช่น แผนภำพ แผนภูมิ แผนที่ เพื่อให้ผู้อ่ืนได้รับรู้ ดวยผสู งสาร สาร ผูรับสาร และส่ือ เข้ำใจ และตอบสนองตำมท่ีผู้เขียนต้องกำร กำรเขียนเป็นกำรสื่อสำรที่เป็นลำยลักษณ์อักษร และเป็น นกั เรียนคิดวา ผสู ื่อสารมโี อกาสตดิ ตอ กับ หลักฐำนท่ีใช้อ้ำงอิงได้ ผู้เขียนสำมำรถตรวจทำน ทบทวน แก้ไขให้ถูกต้องเหมำะสมได้ ซ่ึงแตกต่ำง ผรู ับสารท่ีมลี กั ษณะอยา งไรไดบ าง จำกภำษำพูดเพรำะกำรพูดเปน็ กำรสือ่ สำรเฉพำะหนำ้ ทม่ี โี อกำสแกไ้ ขค�ำพดู ของตนนอ้ ยมำก ภำษำพูด (แนวตอบ ผูสื่อสารมโี อกาสตดิ ตอส่ือสารกบั จึงอำจผิดพลำดไม่เหมำะสมไดเ้ ท่ำกับภำษำเขยี น บคุ คลทอี่ าจมีสถานภาพทางสงั คมที่สูงกวา อาจติดตอ กับคนทสี่ นิท คนแปลกหนา หรือ ๒.๑ ความสา� คญั ของภาษาเขยี น บางคร้ังอาจตองติดตอส่อื สารกับบคุ คลที่มี สภาวะทางอารมณต า งๆ เชน ดใี จ หงดุ หงดิ ในสมัยโบรำณกำรเขียนมีควำมส�ำคัญในฐำนะท่ีเป็นหลักฐำนในกำรบันทึกควำมรู้ ควำมคิด หรอื เสยี ใจ ทอ แท เปน ตน) ควำมเช่ือ สภำพสังคมในสมัยนั้นถ่ำยทอดให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้ำใจวิถีชีวิตของบรรพชน • นกั เรยี นคดิ วาสภาวะทางอารมณข องบุคคล เป็นกำรเขยี นเพื่อระบำยอำรมณ์ ควำมรสู้ กึ หรอื เพื่อแสดงภูมิปญั ญำของผเู้ ขียน แต่ปัจจุบันกำรเขียน มีควำมส�ำคัญมำกขึ้น นอกจำกเป็นกำรส่ือสำรควำมรู้ควำมเข้ำใจจำกคนหนึ่งไปยังอีกคนหน่ึงแล้ว สง ผลตอ การเลอื กใชถอ ยคาํ ในการพดู กำรเขียนยังท�ำให้เกิดอำชีพ เช่น อำชีพนักเขียนสำรคดี นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ นักโฆษณำ สอ่ื สารอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ เปน็ ตน้ กำรเขยี นบนั ทึกเหตุกำรณท์ ีเ่ กิดขน้ึ ทำ� ให้ทรำบสภำพวิถีชวี ิต ควำมคดิ ควำมเชื่อ ควำมตอ้ งกำร (แนวตอบ ความรูสกึ โกรธ โมโห ฉุนเฉียว ดีใจ ของคนในสังคม กำรเขียนกฎหมำย เป็นกฎระเบียบแนวทำงที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติเพื่อให้สังคมสงบสุข หรอื เศรา ใจยอ มสงผลใหภ าษาท่จี ะใชส ื่อสาร กำรเขยี นขำ่ ว เป็นกำรแจ้งขำ่ วครำว เหตกุ ำรณบ์ ำ้ นเมอื งใหค้ นในสงั คมทรำบ ดงั นั้น ภำษำเขยี นจึงเปน็ แตกตางไปจากการส่อื สารที่คูสือ่ สารมี เคร่อื งมอื แสดงควำมคดิ ควำมรู้ อำรมณ์ ควำมรู้สึก และแสดงภูมปิ ัญญำของมนุษย์ สภาวะทางอารมณปกติ เชน นดิ กับหนอ ย ๒.๒ ลกั ษณะของภาษาเขยี น เปน เพ่อื นสนทิ กนั ในการพูดคุยจะเรียกช่อื เลน ของกนั และกนั เสมอ แตเมื่อหนอยทาํ ให กำรเขยี นเป็นกำรบนั ทึกควำมรู้ ควำมคิด ควำมเขำ้ ใจต่ำงๆ เป็นลำยลกั ษณอ์ ักษร ซง่ึ แตกตำ่ ง นิดโกรธ นดิ จะใชสรรพนามเรยี กหนอย จำกภำษำพูด ผู้เขียนสำมำรถขัดเกลำภำษำให้สละสลวย ท�ำให้ภำษำเขียนมีลักษณะสุภำพ ถูกต้อง วา “คณุ ” ซ่ึงเปนคาํ ท่แี สดงความหางเหิน ตำมระดบั ภำษำ ตรงควำมหมำย และสะกดถูกตอ้ ง ภำษำเขยี นโดยทัว่ ไปมี ๒ ลักษณะ คือ ไมสนทิ สนมกนั เหมอื นเชน ที่ผานมา จาก 137 สถานการณที่ยกตวั อยางนีจ้ ะเหน็ วา สภาวะ ทางอารมณข องผูสง สารมผี ลตอ การเลือกใช ถอ ยคาํ เพ่อื การส่อื สาร) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บุคคลใดตอไปน้ีขาดความสภุ าพในการสื่อสาร นักเรียนควรรู 1. มงคลพดู กบั คุณแมโ ดยใชคําลงทายวา “ครับ” 2. วิศรุตสนทนากบั อาจารยท ีป่ รึกษาดวยน้าํ เสียงทน่ี ุมนวล 1 ภาษากง่ึ ทางการ ในหนังสือเก่ียวกับวิชาภาษาไทย ไดก ําหนดระดับภาษาไว แตกตา งกนั ดงั น้ี 3. ทิวากรใชสรรพนามแทนตนเองวา “ผม” เมือ่ สนทนากับญาตผิ ูใหญ 3 ระดับ 5 ระดบั 4. สพุ จนส นทนากบั คณุ พอโดยใชน ้ําเสยี งท่ีส้ันและหว นเพื่อความรวดเร็ว ภาษาปาก ภาษาปาก วิเคราะหค ําตอบ ความสภุ าพ หมายถึง ความเรียบรอ ยออนโยน ซ่ึง ภาษากง่ึ ทางการ ภาษากึง่ ราชการ สามารถแสดงออกได 2 ทาง คือการเลือกใชถอ ยคําและการวางตัว โดยใน ภาษาทางการ ภาษาสนทนา ประเดน็ ของการเลอื กใชถ อยคาํ ไดแก การใชคาํ ลงทา ยและคําสรรพนาม ภาษาระดับพธิ กี าร ท่เี หมาะสมหรือแสดงความเคารพเมื่อตองสอื่ สารกบั บคุ คลท่ีมีอาวุโสสงู ภาษาราชการ กวา เชน พอ แม ครู อาจารย ญาตผิ ใู หญ เปนตน ดังนน้ั จงึ ตอบขอ 4. ซ่ึงภาษากง่ึ ทางการจะใชใ นการพดู และการเขยี นท่ีมีความเปน ทางการขึ้นมา จากการสนทนาในชีวติ ประจาํ วนั สวนภาษาทางการจะใชในการเขยี นมากกวา การพูด หรืออาจใชส ําหรบั การพูดท่เี ปน ทางการ เชน คาํ กลา วปฏญิ าณตนของ นายกรัฐมนตรี เปนตน ค่มู อื ครู 137

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ นกั เรียนยืนในลกั ษณะวงกลมเพ่อื รว มกันอธิบาย ๑) เขียนตามภาษาพูดท่ีพูดในชีวิตประจ�าวัน เหมำะสมกับลักษณะวิถีชีวิต ควำมเป็นอยู่ ความรเู กี่ยวกับลกั ษณะเฉพาะของภาษาพูดและ ของบคุ คล เชน่ กำรเขยี นบนั ทึกส่วนตวั บันทึกควำมรู้จำกกำรอำ่ น กำรเขียนเรื่องสัน้ นวนยิ ำย นทิ ำน ภาษาเขียนทจี่ ะทาํ ใหน ักเรยี นสามารถวเิ คราะห อตั ชวี ประวัติ เป็นตน้ เปรียบเทียบความแตกตา งได ๒) เขยี นโดยใชภ้ าษาทกี่ ลนั่ กรองถอ้ ยคา� อยา่ งละเมยี ดละไม มคี วำมประณตี ในกำรใชภ้ ำษำ • เมื่อนักเรยี นไดอ า นขอ ความ “...มงึ มาดูอะไร ใชภ้ ำษำท่ีถกู ต้องตำมพจนำนุกรม ตำมรูปแบบ ตำมระเบยี บ และตำมขนบธรรมเนยี มของภำษำ เช่น นี่สิ เขาเรยี กใหพรดอู ะไรบางอยา ง...” กบั กำรเขียนเรยี งควำม ยอ่ ควำม บทควำม สำรคดี รำยงำน โครงงำน และร้อยกรอง เป็นตน้ ประโยค “...งานวิจยั เรอ่ื งนี้ศึกษาความสําคัญ และผลกระทบของแนวคิดเรอื่ งศักดศิ์ รี...” ๒.๓ การใชภ้ าษาเขยี น นกั เรียนคดิ วา ตนเองจะตอ งมีความรใู น เรอ่ื งใดจงึ จะสามารถวเิ คราะหไ ดว า ขอ ความใด กำรสื่อสำรด้วยภำษำเขียนนั้น ผู้ส่งสำรต้องมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเรื่องหลักภำษำและสำมำรถ ใชภ าษาพดู และขอ ความใดใชภ าษาเขียนใน ใช้ภำษำเขียนถำ่ ยทอดอำรมณ์ ควำมรู้ ควำมคิด จนิ ตนำกำร และประสบกำรณ์ เป็นตวั อกั ษรสื่อสำร การสือ่ สาร ให้ผู้รับสำรเข้ำใจได้ อย่ำงไรก็ตำม กำรใช้ภำษำเขียนข้ึนอยู่กับจุดมุ่งหมำยของผู้ส่งสำรและรูปแบบ (แนวตอบ ตอ งมคี วามรู ความเขาใจเก่ียวกับ กำรเขยี น ซ่ึงสำมำรถแบ่งได้ ๒ ลกั ษณะ ดงั นี้ ระดับภาษา เพราะภาษาในแตล ะระดับมี รูปแบบการใชถ อ ยคาํ ตา งกัน หากมคี วามรู ๑) การเขยี นอยา่ งไม่เปน็ ทางการ เปน็ กำรเขยี นถำ่ ยทอดเหตกุ ำรณ์ อำรมณ์ ควำมรู้สกึ ของ ความเขาใจเกย่ี วกบั ระดับภาษา จะสามารถ ผเู้ ขยี น เช่น กำรเขียนบนั ทึกประจ�ำวัน กำรเขยี นจดหมำย กำรเขียนเล่ำเรือ่ ง กำรแตง่ เพลง กำรเขียน ตอบไดวา ขอความแรกเขยี นดวยภาษาพดู เร่ืองส้ัน นวนิยำย เป็นต้น ให้ผู้อื่นได้รับรู้ หรือเก็บไว้อ่ำนเอง ภำษำเขียนอย่ำงไม่เป็นทำงกำร เพราะปรากฏการใชถ อ ยคาํ ในระดบั ภาษาปาก เป็นกำรถ่ำยทอดอำรมณข์ องผูส้ ื่อสำรเหมอื นเสยี งพดู ของมนุษยท์ ี่ใช้ส่ือสำรในชวี ิตประจ�ำวัน สวนขอความท่สี องเปนประโยคทเ่ี ขียนดว ย ภาษาเขยี น เพราะปรากฏการใชถอยคําใน ๒) การเขียนอย่างเป็นทางการ เป็นกำรเขียนอย่ำงมีแบบแผน มีหลักในกำรเขียน เช่น ระดับทางการ) กำรเขยี นเรยี งควำม ยอ่ ควำม กำรแตง่ คำ� ประพนั ธ์ กำรเขยี นรำยงำนกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ กำรเขยี นรำยงำน โครงงำน รำยงำนกำรวจิ ัย กำรเขียนบนั ทกึ ข้อควำม จดหมำยรำชกำร เป็นตน้ กำรใช้ภำษำเขยี นต้อง • นอกจากระดับภาษาแลว นกั เรียนยังจะตอ ง มีกำรขัดเกลำภำษำให้ละเมียดละไม ไพเรำะสละสลวย เหมำะสมกับระดับภำษำ สถำนภำพบุคคล มคี วามรูเ กยี่ วกบั อะไรอีกบา ง ทจ่ี ะทาํ ให สามารถวเิ คราะหค วามแตกตา งของภาษาพูด โอกำส และสถำนกำรณ์ ถูกต้องตำมข้อบังคับ และภาษาเขยี นได องคป์ ระกอบ และรปู แบบทก่ี ำ� หนด (แนวตอบ ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลกั ษณะ สําคญั ของแตละภาษาจะทําใหส ามารถ ระดับภำษำเป็นส่ิงส�ำคัญที่จ�ำเป็นต้อง วิเคราะหค วามแตกตางภาษาพดู และ คำ� นงึ ถงึ ทกุ ครง้ั ทใี่ ชภ้ ำษำ ไมว่ ำ่ จะเปน็ กำรพดู หรอื ภาษาเขยี นได เชน ภาษาพูดมักใชคาํ ซ้าํ กำรเขยี น เพรำะกำรสอ่ื สำรจะไมป่ ระสบผลสำ� เรจ็ คาํ ที่ไมช ดั เจน ใชร ปู ประโยคท่ลี ะประธาน หำกใชร้ ะดบั ภำษำไมถ่ กู ตอ้ ง อยำ่ งไรกต็ ำมในชวี ติ - สว นภาษาเขยี นมักปรากฏการใชค าํ นามธรรม ประจำ� วนั ผสู้ อื่ สำรอำจใชร้ ะดบั ภำษำปะปนกนั ได้ ท่ีข้นึ ตน ดว ยคาํ วา “การ” ใชประโยคทขี่ น้ึ ตน เชน่ ภำษำระดบั พธิ กี ำร อำจมภี ำษำระดบั ทำงกำร ดว ยคําวา “เปน ที่” ใชประโยคที่ข้ึนตน ดว ย วัยรุ่นมักมีภาษาที่ใช้เฉพาะกลุ่ม และเปล่ียนแปลงไป ปะปนอยดู่ ้วย คาํ บพุ บท ใชประโยคทซี่ บั ซอ น เปนตน ) ตามสมยั นยิ ม 138 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอใดกลาวถกู ตองทีส่ ดุ หลังจากนักเรียนตอบคําถามในขอแรกเกี่ยวกับหลักเกณฑการวิเคราะหภาษา 1. ภาษาพดู มคี วามเครงครดั ทางไวยากรณ พูดและภาษาเขียนจากรูปประโยคท่ีกําหนด ครูอาจต้ังคําถามเพ่ิมเติม เพื่อให 2. ภาษาพูดและภาษาเขยี นสามารถแยกออกจากกันได นักเรียนตั้งขอสงั เกตเกย่ี วกบั การใชภ าษาพดู และภาษาเขียนในชีวติ ประจําวนั ซ่ึงครู 3. ภาษาพูดและภาษาเขียนสามารถนาํ ไปใชขามสถานการณก ันได ควรช้ีแนะใหเขาใจวา ภาษาพูดไมไดหมายถึงภาษาที่ใชส่ือเปนเสียงพูดเทาน้ัน 4. การพจิ ารณาภาษาพูดและภาษาเขยี นใหพ ิจารณาจากผทู ่ีสง สาร เพราะในชีวิตประจําวันผูส่ือสารสามารถนําถอยคําที่ปกติใชในภาษาพูดไปเขียน วเิ คราะหคําตอบ ภาษาพูดและภาษาเขียน ไมสามารถแยกออกจากกนั ได ส่ือสารได เชน การเขียนบทสนทนาของตัวละครในเร่ืองส้ันเพ่ือความสมจริง อยางชดั เจน เพราะในบางสถานการณผ ูส อ่ื สารอาจใชภ าษาพูดในการเขยี น “ใหต ายเถอะ สุดจะวางฟอรม โต แตงตัวก็เชยเชย หมอคงคิดวาโกเ ตม็ ที่ เราทกั ทาย และใชภาษาเขียนในการพูด ภาษาพดู ไมมีความเครงครัดเรือ่ งไวยากรณ ดๆี วา จะมโี อกาสพดู จาภาษาดอกไมก นั บา งไหม มนั กลบั ถามกระชากๆ วา มธี รุ ะอะไร การพิจารณาวาขอความน้ันๆ เปน ภาษาพูดหรอื ภาษาเขียน ตอ งพจิ ารณา โธ...ไอหอย แถมยังบอกใหไปนัดกับเลขาฯ แลวทําเปนหันไปคุยกับแขกใหญโต จากสถานการณประกอบกับรูปแบบการใชถ อ ยคาํ ระดับภาษา ดงั นน้ั พูดธุรกิจพันลาน...” (บนเสนลวด : วัฒน วรรลยางกูร) และการพูดในบางโอกาส จึงตอบขอ 3. กน็ าํ ภาษาเขยี นไปใชใ นสถานการณท เี่ ปน ทางการ เชน แถลงการณข องนายกรฐั มนตรี แถลงการณของสํานกั พระราชวงั เปน ตน 138 ค่มู อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ ๓ เปรยี บเทยี บภาษาพดู และภาษาเขยี น1 นกั เรียนใชความรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั การวิเคราะหภ าษาพดู และภาษาเขียน ทําแบบวัดฯ ภำษำพูดที่ใช้ในกำรสื่อสำรมีอยู่หลำยระดับ และแตกต่ำงจำกภำษำเขียน เพรำะภำษำเขียน ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยท่ี 3 กิจกรรมตาม มรี ะดับและระเบยี บท่เี ครง่ ครดั มำกกวำ่ ภำษำพดู ตัวช้ีวัด กจิ กรรมที่ 3.3 ภาษาพดู ภาษาเขียน ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ ๑. มงุ่ สื่อส�รอย�่ งรวดเรว็ ทำ�ให้ใช้คำ�ในประโยค ๑. มงุ่ สือ่ ส�รให้เข้�ใจ รจู้ ักคิดและตคี ว�ม ผู้เขียน ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 3.3 เรอื่ ง การวเิ คราะหภาษา ไมส่ มบรู ณ์ ก�ำ กวม อ�จท�ำ ใหผ้ รู้ บั ส�รเข�้ ใจผดิ มเี วล�ในก�รกลัน่ กรองถอ้ ยค�ำ และผูอ้ ่�นมเี วล� เช่น ขอหอมหนอ่ ย อ�จหม�ยถงึ ขอต้นหอม ในก�รพิจ�รณ�ส�ร กจิ กรรมท่ี ๓.๓ ใหน กั เรยี นพจิ ารณาขอ ความตอ ไปนวี้ า ควรจดั เปน ภาษาพดู คะแนนเตม็ คะแนนทไ่ี ด หรอื ขอหอม (แก้ม) ก็ได้ หรอื ภาษาเขียนในระดบั ใด (ท ๔.๑ ม.๑/๔) ๒. ใช้ภ�ษ�ไมป่ ระณีต มักใช้ภ�ษ�ระดบั กันเอง ๒. มีก�รใช้ภ�ษ�ประณีตกว่�ภ�ษ�พูดเพร�ะผ้เู ขียน ñð และภ�ษ�สนทน�หรอื กง่ึ ท�งก�ร มเี วล�ในก�รขัดเกล�ภ�ษ�ให้สละสลวยตรงกบั ระดบั ภ�ษ� ๑. คิดดเู ถอะ ถาชาวบา นชาวเมืองเขาเดือดรอ น คุณจะสบายอยคู นเดียวไดยงั ไง ๓. มกั พูดคำ�ไทยปนกับภ�ษ�ต�่ งประเทศและ ภาษาพดู ระดบั กนั เอง........................................................................................................................................................................................................................................... เลยี นเสยี งภ�ษ�ต�่ งประเทศ ทำ�ให้เสยี งใน ๓. มีก�รใชภ้ �ษ�ต�่ งประเทศในง�นเขียนทเ่ี ปน็ ภ�ษ�เปล่ียนไป วิช�ก�ร ห�กเขยี นเล�่ เรื่องจะอธบิ �ยคว�มหม�ย ๒. อยา งนี้มนั ทฮี ทู ีอทิ นะ แย็ปมาตองซดั ตูมตอบไป ของคำ�ภ�ษ�ต�่ งประเทศด้วย ภาษาพดู ระดบั กนั เอง........................................................................................................................................................................................................................................... ๔. ก�รพดู ไม่ส�ม�รถใช้เปน็ หลักฐ�นอ้�งองิ นอกจ�กบนั ทกึ เสยี งหรอื บนั ทกึ ภ�พไวเ้ ท�่ นน้ั ๔. ก�รเขยี นเปน็ ล�ยลักษณ์อกั ษรส�ม�รถใชเ้ ปน็ ๓. การกระจายอาํ นาจออกสทู องถน่ิ จะทําใหประชาชนไดเ รยี นรูก ารใชสทิ ธิ และการทาํ หนาที่ หลักฐ�นอ้�งอิงได้ ของตน และเทากบั ไดเ รยี นรูการเปนประชาธปิ ไตย ภาษาเขยี น ระดบั ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ๔. ไงพวก ตอนนลี้ ่าํ ซําละซี อยากอบโกยจนพุงแตกนะ ภาษาพดู ระดบั กนั เอง........................................................................................................................................................................................................................................... ๕. คุณจะทาํ งานน้ีใหสําเร็จแตลาํ พงั คนเดียวไดอ ยางไรเฉฉบลบั ย ภาษาพดู ระดบั ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ๖. เราขอเชิญชวนคนหนมุ คนสาวท่มี ีบุคลกิ ดี และรักความกาวหนามารวมงานกบั เรา ภาษาเขยี น ระดบั ไมเ ปน ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ๗. สดุ าเพ่อื นรกั ปดเทอมน้ีคุณแมจะพาฉันไปเท่ยี วระยอง ฉันหวงั วา เราคงไดพบกนั ภาษาเขยี น ระดบั ไมเ ปน ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ๘. คณุ นิดเปน ผูจัดการไรค นใหมใชไหมคะ ภาษาพดู ระดบั กงึ่ ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ๙. ขอขอบคณุ กรมศิลปากรทม่ี องเห็นคุณคา และสนับสนนุ ศิลปกรรมรวมสมยั ของไทย และ ๕. ก�รพดู เปน็ ก�รสอ่ื ส�รเฉพ�ะหน�้ ผพู้ ดู มีเวล� ๕. ก�รเขียนผู้เขยี นมีเวล�คดิ ห�ค�ำ ตอบ ห�ขอ้ มูล ยังอนุญาตใหนักเรยี นเขา ชมไดโ ดยไมเสียคาใชจาย คิดตอบค�ำ ถ�มน้อย อ�จพูดผิดพล�ดได้ และ หลกั ฐ�นอ้�งอิงท�ำ ใหก้ �รเขียนมีคว�มน�่ เช่ือถอื ภาษาเขยี น ระดบั ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ไมส่ �ม�รถเรียกคำ�พูดกลับม�แก้ไขได้ ๖. ก�รเขยี นตอบโตโ้ ดยไม่ได้ประจันหน้�กัน ๑๐. คณุ มาลนิ คี รบั รจู กั กบั คณุ สพุ รรษาหนอ ย คณุ สพุ รรษากาํ ลงั จะยา ยจากบรษิ ทั โนเคมาอยกู บั ๖. ก�รพูดเป็นก�รสื่อส�รประจนั หน�้ อ�จมี แม้คว�มคดิ เห็นจะไม่ตรงกนั แต่กส็ �ม�รถ ค�ำ พดู ที่มีท้ังถูกใจและไมถ่ กู ใจผฟู้ ัง จนเกดิ ลดระดบั คว�มขัดแยง้ ได้ เราเรว็ ๆ นี้ ก�รตอบโตก้ นั ทั้งท�งว�จ�และท�งก�ย ภาษาพดู ระดบั กง่ึ ทางการ........................................................................................................................................................................................................................................... ๗. ก�รใช้ภ�ษ�ในง�นเขียน ผ้เู ขียนมีอทิ ธพิ ลตอ่ ก�ร ๗. ก�รพูดปัจจุบันมกั ออกเสียงผิดเพย้ี น ท�ำ ให้ ใช้ภ�ษ� มกั สร�้ งค�ำ ใหม่ สำ�นวนใหม่ มกี �ร ๖๘ ภ�ษ�เปลยี่ นแปลงไดม้ �ก ห�กพูดผดิ กท็ �ำ ให้ ตั้งสมญ�น�ม ซึง่ เป็นแบบอย่�งของก�รใช้ภ�ษ� เขียนผดิ ด้วย ท้ังดีและไมด่ ี 139 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู ขอ ใดตอ ไปนีไ้ มใชป ระเด็นท่แี สดงถึงความแตกตา งระหวางภาษาพูด 1 เปรยี บเทยี บภาษาพูดและภาษาเขียน การพิจารณาวา การใชถ อ ยคําหน่งึ ๆ กับภาษาเขียน เปน ภาษาพดู หรอื ภาษาเขยี นตอ งพจิ ารณาภาพรวมทง้ั หมดของขอ ความหรอื ขอ เขยี น เพราะในขอ ความหรอื ขอเขยี นหนง่ึ ๆ อาจมกี ารใชถ อยคาํ ท่มี รี ะดบั ภาษามากกวา 1. ไวยากรณ 1 ระดับ และในบางกรณีคาํ บางคาํ อาจใชไ ดท้งั ในภาษาพูดและภาษาเขียน เชน 2. ระดับภาษา คําวา บาน หากทราบวา รูปประโยคน้ันๆ ใชส ื่อสารในสถานการณใด ก็จะสามารถ 3. ผูส งสารและผรู บั สาร ทราบไดวาเปน ภาษาพูดหรอื ภาษาเขียน รวมทงั้ ทาํ ใหต ัดสินใจไดว า เมอ่ื อยูใน 4. โอกาสและสถานการณใ นการส่อื สาร สถานการณหนง่ึ ๆ จะมวี ธิ กี ารเรียบเรียงภาษาเพอ่ื ใหเหมาะสมกบั สถานการณ วเิ คราะหค ําตอบ ภาษาพดู และภาษาเขียนเมือ่ นํามาเปรยี บเทียบแลว จะ และบรรลุวตั ถปุ ระสงคข องการสอื่ สารอยางไร ทาํ ใหมองเหน็ ความแตกตา งกันในประเดน็ ความเครงครดั เร่ืองไวยากรณ ระดบั ภาษาทใ่ี ชใ นกระบวนการส่อื สาร รวมถึงโอกาสและสถานการณใน การสอื่ สาร ซง่ึ ในกระบวนการส่ือสารของมนุษยไมว าจะใชภาษาพดู หรอื ภาษาเขียนในการส่อื สารจะไมมคี วามแตกตางในประเด็นของผสู งสาร หรือผูร ับสาร ดังนัน้ จงึ ตอบขอ 3. คมู่ อื ครู 139

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. จากคาํ ถามและกจิ กรรมตา งๆ ท่นี ักเรียน 1 ไดป ฏบิ ตั ิ ใหเขียนสรปุ ความรู ความเขา ใจของ ตนเองเกย่ี วกบั ส่งิ ที่จะตอ งคํานึงถึงสําหรับการ ตัวอยา่ งการใชภ้ าษาพูดและภาษาเขยี น เลอื กใชถอยคําเพ่ือการสื่อสารทั้งในรูปแบบ ของการพดู และการเขียน บันทกึ เปนใบความรู ภาษาพูด อำจำรยค์ ะ หนูร้สู กึ ไม่สบำยและปวดหวั ตัวร้อนเปน็ ไข้ สงสัยจะเปน็ ไข้หวดั ใหญ่ เฉพาะบคุ คล สงครู หนูขออนุญำตหยุดเรียน ๒ วนั นะคะ 2. นกั เรยี นจัดทาํ ตารางวิเคราะหลักษณะเดน กรำบเรยี นอำจำรยท์ เี่ คำรพ ดฉิ นั ร้สู ึกไม่ใคร่สบำยมำก มอี ำกำรปวดศีรษะ เฉพาะทท่ี ําใหภาษาพูดและภาษาเขยี นมี ภาษาเขียน ตวั ร้อน มไี ข้ แพทย์บอกว่ำเปน็ ไข้หวัดใหญ่ จึงขออนุญำตลำปว่ ยเป็นเวลำ ความแตกตา งกนั ทีป่ รากฏใชใ นชวี ติ ประจําวนั โดยการยกตวั อยา งประกอบใหเ หน็ ชดั เจน เชน ๒ วนั ถานักเรยี นวิเคราะหว า ลกั ษณะเดน เฉพาะของ ภาษาพูด คอื ใชป ระโยคทไี่ มมีกรยิ า นักเรยี น ภาษาพดู เพื่อนผมหยิบหนังสือมำกองให้ดู แล้วพูดว่ำ “เอ็งลองดูซิ ถ้ำเขียนแบบนี้ได้ ก็ตองยกตวั อยา งประโยคประกอบดว ย เชน เอำมำให้กู แล้วเอำไปเล่มละสพี่ ัน” แค่ดชู ่อื ก็รู้วำ่ เน่ำสนิททั้งนนั้ เช่น รกั สุดหวั ใจ “วนั นี้ วนั เสาร” โดยประโยคทนี่ ํามาประกอบคาํ คณุ นำยตัณหำ วำสนำคนยำก มันคำบลูกคำบดอกไปทำงโป๊ ทง้ั นั้น ผมท�ำไม่ได้ อธบิ ายน้ีละคํากรยิ า “เปน” เม่ือเปน ภาษาเขยี น ตองใชวา “วนั น้เี ปนวนั เสาร” หรือ “คนน้ัน เพื่อนของผมหยิบหนังสือมำกองให้ดู แล้วบอกว่ำ ถ้ำผมเขียนตำมแนวที่ตลำด เพอ่ื นฉนั ” เมอ่ื เปนภาษาเขียนตองใชว า “คนน้นั ภาษาเขยี น ต้องกำร คือเป็นเร่ืองเก่ียวกับตัณหำ กำมำรมณ์ ค่อนไปทำงลำมก จะให้รำคำ เปนเพ่ือนของฉนั ” สรปุ ผลการวิเคราะหเปน ตาราง นําสงครู เล่มละสพ่ี นั แต่ผมไมส่ ำมำรถทำ� เช่นนั้นได้ ภาษาพูดและภาษาเขียนมีความสÓคญั ในการสอื่ สาร มคี วามสัมพันธเ์ กี่ยวข้องกนั เพราะภาษาเขียนบันทึกภาษาพูดตามที่เปน็ จรงิ สะทอ้ นภาพวถิ ชี ีวิต ความคิด ความเช่อื ของคนในสมยั นนั้ ๆ อกี ทงั้ ถา่ ยทอดอารมณ ์ ความรสู้ กึ จนิ ตนาการ ความคดิ ของผสู้ ง่ สาร ให้ผู้รับสารทราบ อย่างไรก็ตาม ภาษาพูดและภาษาเขียนย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งในเร่ืองลักษณะภาษาและการใช้ภาษา ผู้เรียนจึงควรเรียนรู้และสังเกตการใช้ภาษา เวพ่าใ่อื ชใอ้หยก้ ่าางรไสร่อืจสึงจาระถบกูรตรล้อุผงตลตามามหเลปกั า้ ไหวมยาายกไรมณ่ส ์ ญู ตเรสงยี คเวอากมลหกั มษาณย ท์ เาหงมภาาะษสาม2กบั ระดับบคุ คล 140 นกั เรยี นควรรู บรู ณาการเชอื่ มสาระ ความรู ความเขา ใจเก่ียวกับลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูดและ 1 ภาษาพดู และภาษาเขียน ความรู ความเขาใจเกย่ี วกับการวิเคราะหความ ภาษาเขยี นสามารถบรู ณาการไดกบั เรอ่ื งทกั ษะการพดู และการเขยี น แตกตางของภาษา สามารถนาํ ไปใชไ ด 2 กรณี คอื ใชใ นสถานภาพทเี่ ปน ผรู บั สาร ในกลมุ สาระการเรียนรวู ชิ าภาษาไทย โดยครใู หนกั เรยี นเลือกเขียนแนวทาง เชน ถา นักเรยี นอานเร่อื งส้ันเรื่องหนง่ึ ซึ่งเปนเร่อื งราวเกย่ี วกบั ความเปน จริงใน การนาํ ภาษาพดู และภาษาเขยี นไปใชเ พอ่ื การสอื่ สารในชวี ติ ประจาํ วนั เชน สังคม นักเรยี นยอมคาดหวังวาภาษาจะตอ งมคี วามสมจริง ปรากฏการใชภาษาพูด นกั เรยี นบางคนอาจเลอื กนําไปใชใ นทักษะการเขียนของตนเอง โดยมี ในบทสนทนาของตวั ละคร แตถา ในหนังสือเลมนน้ั ใชภ าษาเขยี น คอื ใชถอยคาํ ที่เปน แนวทางวา จะนาํ ความรู ความเขา ใจไปปรับใชในการเขยี นบทสนทนาของ ทางการมากเกนิ ไปในบทสนทนา นักเรยี นก็จะสามารถวิเคราะหไดวา รปู แบบการใช ตัวละครใหมคี วามสมจริง นกั เรยี นท่ีเลือกทกั ษะการพดู อาจมีแนวทาง ภาษาในเรื่องสั้นเรื่องนไ้ี มมคี วามสมจรงิ ในกรณที ี่นักเรียนเปนผูส ง สาร กจ็ ะทําให วา จะนําไปปรบั ใชในสว นของการเลือกใชถอ ยคําสื่อสารใหเหมาะสมกบั เลือกใชภาษาเพือ่ สอ่ื สารไดตรงกบั วัตถปุ ระสงคและมีความถูกตอ ง สถานการณ ซ่งึ นักเรยี นควรแสดงตัวอยางทชี่ ัดเจนประกอบคาํ อธบิ าย 2 เอกลกั ษณท างภาษา ภาษาไทยเปนภาษาที่มเี อกลักษณหลายประการ เชน ผลท่ไี ดรบั จากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมบูรณาการจะชวยฝก ทกั ษะการนาํ คาํ คาํ เดยี วมหี ลายความหมาย ภาษาไทยเปน ภาษาดนตรมี รี ะดบั เสยี งสงู ตาํ่ ภาษาไทย ความรูไปประยกุ ตใ ช ทําใหม องเห็นประโยชนของการเรียนรูใ นเชิงทฤษฎี มรี ะดบั นิยมใชคําใหเ หมาะสมแกบุคคล โดยเฉพาะเรอ่ื งการเคารพผอู าวโุ สตอ งใช ใหเ ขาใจกอนนําไปใชใ นชีวิตประจาํ วนั ของตนเอง ภาษาใหเหมาะกบั วัยวุฒิ ลําดับญาติ เปนตน 140 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คําถาม ประจาํ หนวยการเรียนรู 1. ครสู ุมเรยี กชื่อนกั เรยี นออกมานาํ เสนอความรู ความเขาใจของตนเองเก่ยี วกับปจจยั ที่ตอ ง ๑. ภ�ษ�พดู และภ�ษ�เขยี นมีคว�มแตกต่�งกนั อย่�งไร จงอธิบ�ย คํานึงถึงสําหรบั การเลือกใชถ อ ยคาํ เพอื่ การ ๒. ก�รใช้ภ�ษ�เขยี นในก�รส่อื ส�รควรระมัดระวังในเรื่องใดบ�้ ง จงอธบิ �ย สอ่ื สารในรปู แบบของการพดู และการเขยี น ๓. ภ�ษ�สแลงท่ีใช้กนั ในชีวติ ประจ�ำ วนั ควรนำ�ไปใช้เป็นภ�ษ�เขยี นหรือไม่ เพร�ะเหตุใด ๔. ภ�ษ�พูดมอี ทิ ธพิ ลต่อภ�ษ�เขยี นหรอื ไม่ เพร�ะเหตุใด 2. ครูตรวจสอบตารางวเิ คราะหล กั ษณะเดน ๕. ก�รใช้ภ�ษ�พูดและภ�ษ�เขียนอย�่ งสร�้ งสรรคม์ หี ลกั ก�รใชอ้ ย่�งไร เฉพาะท่ที ําใหภ าษาพดู และภาษาเขยี นมคี วาม แตกตา งกัน โดยพิจารณาวา นกั เรียนนาํ เสนอ ลักษณะเฉพาะของแตละภาษาไดค รอบคลมุ ทกุ ประเดน็ หรอื ไม รวมถงึ ความถูกตองของ ตวั อยา งประโยค 3. นักเรียนตอบคาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู กิจกรรม สรา งสรรคพ ัฒนาการเรยี นรู หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมที่ ๑ นกั เรียนช่วยกันรวบรวมภ�ษ�พูดท่ีใชใ้ นชวี ิตประจ�ำ วนั ๕-๑๐ คำ� รว่ มกนั 1. ใบความรูเ ฉพาะบุคคลเก่ยี วกบั ปจ จัยทีต่ อ งคํานงึ อภปิ ร�ยถึงคว�มถูกต้องเหม�ะสมในก�รน�ำ ม�ใช้ และเสนอแนะวิธกี �ร ถึงในการเลอื กใชถ อยคําเพ่ือการสอ่ื สารใน กิจกรรมที่ ๒ น�ำ ม�ใชใ้ ห้ถูกต้อง รูปแบบของการพูดและการเขียน กจิ กรรมท่ี ๓ นักเรยี นยกตัวอย่�งคำ�สแลงท่ีใชก้ นั ในปัจจบุ ัน นำ�ม�วเิ คร�ะหแ์ ละแสดง คว�มคิดเหน็ เกีย่ วกับคว�มหม�ยและระดบั ของภ�ษ� 2. ตารางวิเคราะหล กั ษณะเดน เฉพาะของภาษาพดู กิจกรรมที่ ๔ นักเรยี นฝกแต่งประโยคจ�กภ�ษ�พูดใหเ้ ปน็ ภ�ษ�เขยี นอย�่ งถกู ตอ้ ง เช่น และภาษาเขยี น ■ ภ�ษ�พูด แมช่ อบดูละครทีวี ■ ภ�ษ�เขยี น แม่ชอบดลู ะครโทรทศั น์ 3. แบบวัดและบันทึกผลการเรยี นรู นกั เรียนจัดกิจกรรมรณรงคก์ �รใช้ภ�ษ�ไทยให้ถูกตอ้ งและมีระเบียบแบบแผน เชน่ ■ กจิ กรรมรักษ์ภ�ษ�ไทย ■ กิจกรรมวยั รนุ่ วัยใส ใส่ใจก�รใช้ภ�ษ�ไทย 141 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรียนรู 1. ภาษาพูด เปนภาษาทใี่ ชส ือ่ สารในชวี ติ ประจาํ วัน จงึ ไมเครง ครดั ในเร่ืองความถกู ตอ งตามหลักภาษาหรอื ไวยากรณ เนนทีก่ ารสอ่ื สารเพื่อใหเกดิ ความเขาใจท่ตี รงกัน บรรลุวัตถุประสงคความตองการของผสู ง สาร สว นภาษาเขยี นเปน ภาษาท่เี ครงครัดในเรอ่ื งความถูกตองของไวยากรณ 2. การใชภาษาเขียนในการส่ือสารควรระมัดระวงั เกย่ี วกบั สถานการณในการสื่อสาร บางคร้ังทผ่ี ูส ื่อสารนําภาษาเขียนมาใชส ื่อสารในการพูด ในเนอื้ หาสาระทไี่ มจ ําเปน ตอ งใชภาษาเขียนหรอื ภาษาท่ีเปนทางการอาจกอ ใหเกดิ ความราํ คาญตอ คูสอ่ื สารได 3. ภาษาสแลงท่ใี ชก นั อยูในชวี ิตประจาํ วนั เมื่อจะนาํ มาใชในภาษาเขยี นก็ตองพจิ ารณากอนวา จะนาํ มาเขียนในบริบทใด ถา เขยี นในบริบทของงานบนั เทิงคดีทต่ี องการ ความสมจริงของตัวละคร ก็อาจใชคําศพั ทส แลงเหลา นใี้ นบทสนทนาของตวั ละครได 4. ในชวี ิตประจาํ วนั มนุษยใชภ าษาพดู และภาษาเขยี นปะปนกนั ในบางสถานการณท ่ีเปน ทางการอาจใชถ อ ยคาํ ทเ่ี ปน ภาษาเขยี นมาใชส ื่อสาร แตในบางสถานการณ กใ็ ชถอยคาํ ในภาษาพูดมาใชเ ขียนส่ือสาร เชน ในงานบันเทิงคดี หรอื งานเขียนสอ่ื สารท่ีไมเปนทางการ เชน นติ ยสาร บทความ เปน ตน 5. การใชภ าษาพดู และภาษาเขยี นอยา งสรา งสรรค ผสู ง สารจะตอ งคาํ นงึ อยเู สมอวา สง่ิ ทไี่ ดส อื่ สารออกไปนน้ั จะไมส รา งความเดอื ดรอ นใหแ กใ คร แตจ ะกอ ใหเ กดิ การ เปลย่ี นแปลงไปในทิศทางท่ีดขี นึ้ เพียงเทานีก้ ถ็ อื วาเปนการใชภาษาเชงิ สรา งสรรค คมู่ อื ครู 141


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook