กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรียนรู สามารถจําแนกประเภท ใชสํานวน สุภาษติ คําพงั เพยไดถกู ตองตรงความหมายและเหมาะสม กับสถานการณ สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงมนั่ ในการทํางาน 4. รกั ความเปน ไทย กระตนุ้ ความสนใจ Engage ôหนว่ ยที่ ครยู กตัวอยา งพระบรมราโชวาทในพระบาท สาํ นวน คาํ พังเพย และสุภาษติ สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชใหน กั เรยี น ภาษาไทยเปน็ ภาษาทไี่ พเราะ ซง่ึ คา� ฟง ความวา ตัวช้วี ดั ...ปญ หาเฉพาะในดา นรกั ษาภาษานก้ี ม็ หี ลายประการ คา� เดยี วมหี ลายความหมาย ทงั้ ความหมาย อยางหนึง่ ตอ งรักษาใหบริสทุ ธ์ิในทางออกเสยี ง... ท ๔.๑ ม.๑/๖ อกี อยางหน่ึงตอ งรกั ษาใหบ รสิ ุทธ์ใิ นวิธใี ช. ..ปญ หา ทสี่ ามคือ ความรํา่ รวยในคําของภาษาไทย ซึง่ พวก ■ จาํ แนกและใชส าํ นวนทีเ่ ปนคาํ พังเพยและสภุ าษติ โดยตรง และความหมายโดยนัย ผู้ฟัง เรานกึ วาไมร ํา่ รวยพอ จงึ ตอ งมกี ารบัญญตั ศิ ัพท ใหมมาใช. ... ตอ้ งสงั เกตและตคี วาม จงึ จะเขา้ ใจอารมณ์ น้�าเสยี ง และจดุ มงุ่ หมายของผูพ้ ูด คา� พูด จากนั้นใหน ักเรยี นรว มกนั แสดงความคิดเห็น ประเภทน้ีเรียกว่า ส�านวน หรือเรียกว่า ในประเดน็ ที่สอง “การรกั ษาใหบรสิ ทุ ธ์ิในวธิ ีใช สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ส�านวนโวหารก็ได้ การศึกษาเร่ืองส�านวน มคี วามเชอ่ื มโยงอยา งไรตอ การใชส าํ นวน คาํ พงั เพย คา� พงั เพย สภุ าษติ จะทา� ใหผ้ เู้ รยี นสามารถใช้ และสุภาษิต” ■ สํานวนที่เปน คาํ พังเพยและสุภาษติ ทักษะการรับสารได้เข้าใจลึกซ้ึงและสามารถ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ส่งสารได้อยา่ งไพเราะคมคาย สละสลวย และ ไดอยางอสิ ระ) ตรงความหมายย่ิงข้นึ เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรู สาํ นวน คาํ พงั เพย และสุภาษิต เปา หมาย สําคญั คอื นักเรียนสามารถจาํ แนกและใชสํานวน คาํ พังเพย และสภุ าษิตไดถูกตอง ตรงความหมายทีแ่ ทจ ริงและเขากับสถานการณก ารสอื่ สาร การจะบรรลเุ ปา หมายดงั กลา ว ครคู วรออกแบบการเรยี นการสอน โดยใหน กั เรยี น เปน ผคู น หาองคค วามรทู จี่ าํ เปน สาํ หรบั การบรรลเุ ปา หมายดว ยตนเอง ไดแ ก คาํ นยิ าม ความหมายของสาํ นวน คําพังเพย และสภุ าษิตแตละประโยคเทา ทคี่ น ควาได แนวทางการนาํ ไปใชแ ละรวมถงึ ขอ ควรระวงั ในการใช โดยแบง กลมุ สาํ หรบั การสบื คน หรือสรางกจิ กรรมฝกปฏิบตั เิ พ่อื ใหเ กดิ กระบวนการสงั เคราะหค วามรู การเรียนการสอนในลักษณะน้ีจะชวยเสรมิ สรา งทักษะที่จําเปนใหแกน ักเรยี น เชน ทักษะการสงั เกต ทกั ษะการจําแนก และทักษะการนาํ ความรูไปใช 142 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Expand Evaluate Explore Explain Explore สา� รวจคน้ หา สÓนวน คÓพงั เพย และสุภาษิต ครทู าํ สลากเทา กับจํานวนนักเรียนในช้นั เรียน เขยี นหมายเลข 1-4 ลงบนสลากในจาํ นวนเทา ๆ กนั หรอื ตามความเหมาะสม จากนนั้ ใหแ ตล ะคนออกมา ในกำรอ่ำนและกำรฟังสำรต่ำงๆ บ่อยคร้ังท่ีมักพบเห็นกำรใช้ส�ำนวน ค�ำพังเพย สุภำษิต จบั สลากประเด็นสาํ หรบั การสบื คนความรรู วมกัน เพื่อส่ือสำรให้ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังได้เข้ำใจมำกย่ิงขึ้น เช่น ฝ่ำยค้ำนติงรัฐบำลเร่ืองกำรใช้งบจะเป็นแบบ ผูท่ีจบั ไดห มายเลขเหมือนกันใหอยกู ลุมเดยี วกนั ดังนี้ ต�ำน�ำ้ พร๑กิ ล) ะสล�าำนยวแนม1่นพำ�้ จซนึง่ำสนำ� ุกนรวมนฉบคับ�ำพรำังชเพบยัณฑแลิตะยสสภุ ถำำษนิตพจ.ศะ.มลี๒ัก๕ษ๕ณ๔ะแใหตก้คตวำำ่ มงกหนั มำดยงั วน่ำี้ น. ถ้อยค�ำ หมายเลข 1 สาํ นวน ที่เรียบเรียง โวหำร บำงทีใช้ว่ำ ส�ำนวนโวหำร ถ้อยค�ำหรือข้อควำมท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้ว หมายเลข 2 คําพังเพย มีควำมหมำยไม่ตรงตำมตัวอักษรหรือมีควำมหมำยอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ำยน�้ำ สอนหนังสือ หมายเลข 3 สุภาษิต สังฆรำช กินบนเรือนข้ีรดบนหลังคำ น�ำ้ พ่งึ เรอื เสอื พ่งึ ป่ำ หมายเลข 4 แนวทางการใชสํานวน ๒) ค�าพังเพย หมำยถึง ถ้อยค�ำหรือข้อควำมท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำ โดยกล่ำวเป็นกลำงๆ เพื่อ คําพงั เพย และสภุ าษติ ให้ตีควำมให้เข้ำกับเร่ือง ไม่ใช่ค�ำสอน แต่เป็นค�ำติชมอยู่ในตัว เช่น กระต่ำยตื่นตูม กบเลือกนำย หนำ้ ไหวห้ ลงั หลอก ขี่ช้ำงจับตก๊ั แตน อธบิ ายความรู้ Explain ๓) สภุ าษติ ภำษติ หรือสภุ ำษติ หมำยถึง คำ� ที่กล่ำวดี คำ� พูดมีคตคิ วรฟงั เปน็ ถอ้ ยค�ำท่ีแสดง 1. นกั เรียนแตละกลมุ สงตัวแทนออกมาอธิบาย หลกั ควำมจริง มงุ่ แนะน�ำ ส่งั สอน เตอื นสติ เชน่ นำ�้ เช่ยี วอยำ่ ขวำงเรอื ตนเป็นทพ่ี ึ่งแห่งตน ธรรมะยอ่ ม ความรใู นประเดน็ ทไ่ี ดร บั มอบหมายหนา ชน้ั เรยี น รักษำผูป้ ระพฤติธรรม ชำ้ ๆ ได้พรำ้ สองเลม่ งำม น�้ำขึน้ ให้รีบตัก ตามลาํ ดบั ของกลุม นอกจำกนี้ในภำษำไทยยังมีกำรใช้ค�ำขวัญและค�ำคมด้วย เพื่อให้ถ้อยค�ำในภำษำมีควำมลึกซึ้ง 2. นกั เรยี นใชค วามรู ความเขา ใจเกยี่ วกบั คาํ นยิ าม กนิ ใจย่ิงขน้ึ ของสํานวน คาํ พงั เพย และสุภาษิต สังเกต ลักษณะสําคัญทเ่ี หมือนหรอื แตกตางกนั ของ ๔) ค�าขวัญ ค�าคม หมำยถึง ข้อควำมท่ีกล่ำวด้วยโวหำรอันคมคำย แสดงแง่คิด ปรัชญำ สาํ นวน คาํ พงั เพย และสภุ าษิต มีควำมหมำยลึกซึ้งกินใจ เช่น งำนคือเงิน เงินคืองำนบันดำลสุข สะอำดกำยเจริญวัย สะอำดใจ (แนวตอบ ลกั ษณะสาํ คญั ทเี่ หมอื นกนั ของสาํ นวน เจรญิ สุข อย่ำหม่ินเงนิ นอ้ ย อย่ำคอยวำสนำ ไม่มใี ครแกเ่ กินเรียน คาํ พังเพย และสุภาษติ เชน • มลี กั ษณะของการสบื ทอดตอ ๆ กันมา ในควำมหมำยโดยท่ัวไป เมื่อพูดถึงส�ำนวนไทย จะมีควำมหมำยกว้ำงๆ คือ รวมทั้งส�ำนวน • สะทอนใหเหน็ รองรอยทางประวตั ิศาสตร โวหำร ค�ำพังเพย สุภำษิต ค�ำขวัญ และค�ำคมท้ังหมดว่ำเป็นส�ำนวนไทย กำรใช้ภำษำพูดและภำษำ ประเพณี วัฒนธรรม และสภาพวิถชี ีวิตของ เขียนในชีวิตประจ�ำวันมักจะใช้ส�ำนวนโวหำรประกอบอยู่เสมอ เพรำะคนไทยมีนิสัยประนีประนอม คนในอดีต ไมต่ �ำหนิใครตรงๆ แต่จะพูดเป็นนัยให้ผู้ฟงั คิดเอง ช่ำงสงั เกต สนใจสิง่ แวดลอ้ ม และคนรอบข้ำง นยิ ม ลกั ษณะสําคัญท่แี ตกตา งกนั ของสาํ นวน ควำมสุภำพ เป็นนักคิด นักปรัชญำ มีควำมรู้ในวรรณกรรม วรรณคดี เข้ำใจวิถีชีวิตของคนในสงั คม คาํ พังเพย และสภุ าษิต เชน มไี หวพรบิ ชำ่ งกระทบกระเทยี บเปรยี บเปรย จงึ มกั ใชส้ ำ� นวน โวหำร คำ� พงั เพย สภุ ำษติ ประกอบกำรพูด • สาํ นวน คือ ถอยคําที่เรยี บเรยี งขึ้น หรือกำรเขียน ผู้รับสำรต้องคิดและตีควำมจึงจะเข้ำใจ ถ้ำคิดให้ลึกซ้ึงก็จะเกิดสติปัญญำ เข้ำใจคน เข้ำใจโลกยิ่งขึ้น เพรำะค�ำส�ำนวนโวหำรเหล่ำน้ีให้คติเตือนใจ ให้แนวทำงในกำรด�ำเนินชีวิต แสดง ใหเ้ ห็นลักษณะของคนไทยเดน่ ชดั มีความหมายไมตรงตามตัวอกั ษร • คําพงั เพย คือ ถอยคําหรือขอ ความทก่ี ลา ว กลางๆ เพอื่ ใหต ีความเขา กับเร่ือง 143 • สภุ าษติ คอื ถอยคาํ ท่กี ลาวดี มีลักษณะ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เปน คําสอนเพ่อื เตอื นสต)ิ เกร็ดแนะครู ขอ ใดตอ ไปน้ีมคี วามเกี่ยวขอ งกับประโยชนของการศกึ ษาสํานวน ครคู วรชแ้ี นะใหนักเรียนเห็นวา การใชภาษาใหถูกตอ งตามหลักไวยากรณ คาํ พังเพยและสุภาษติ นอ ยท่ีสดุ แตเพียงประการเดียว แมจะใชส อ่ื ความไดแตอ าจไมมีพลงั พอทจี่ ะกระทบอารมณ ความรสู กึ ของผรู บั สารได ผสู ง สารจงึ ตอ งมคี วามรคู วามเขา ใจเกย่ี วกบั สาํ นวน 1. ประเพณแี ละวัฒนธรรม คาํ พงั เพย และสภุ าษติ ทง้ั ในดา นความแตกตา งและความหมายทแ่ี ทจ รงิ ซง่ึ เปน ศลิ ปะ 2. พัฒนาสงั คมและประเทศชาติ ในการใชภ าษารปู แบบหนง่ึ และนาํ ไปใชใ หถ กู ตอ งเหมาะสมกบั สถานการณก ารสอื่ สาร 3. ความคดิ ความเชือ่ และคานยิ ม 4. ประวัตศิ าสตรค วามเปน มาของชาติ วเิ คราะหคาํ ตอบ การศึกษาเกีย่ วกบั สํานวน คาํ พังเพย และสุภาษติ นักเรยี นควรรู จะทาํ ใหผ ทู ศ่ี ึกษาไดม องเห็นประวัตศิ าสตร ความเปนมาของชนชาติ ประเพณี วัฒนธรรม และรวมถึงทราบวา คนในอดตี เขาคดิ เขาเชือ่ 1 สาํ นวน มลี ักษณะพิเศษเพราะใชถอยคํานอ ยแตกนิ ความมาก โดยอาศยั และเขาทําอะไร ขอ ท่ีมีความเกย่ี วขอ งนอยทีส่ ดุ คือชว ยพัฒนาสังคมและ ความเปรยี บที่ส่ือเรอ่ื งราวไดมากกวาการอธบิ ายดว ยถอยคําทยี่ ืดยาว ประเทศชาติ ดงั นัน้ จึงตอบขอ 2. คมู่ ือครู 143
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ นกั เรยี นยืนในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกันอธบิ าย น�้าพ่งึ เรอื เสอื พงึ่ ป่า เป็นส�านวนท่แี สดงใหเ้ ห็นความเออ้ื อาทรต่อกนั ของคนในสังคมไทย ความรูแบบโตตอบรอบวงเก่ยี วกับสาํ นวน คาํ พังเพย และสภุ าษติ โดยใชค วามรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดรบั จาก ขชี่ า้ งจบั ตก๊ั แตน คนไทยมักใช้เปรียบเปรยกบั การลงทนุ ทีไ่ มค่ ุ้มค่า การฟง บรรยายของเพื่อนๆ แตล ะกลุม เปนขอ มลู เบอื้ งตนสาํ หรบั ตอบคําถาม โดยครใู หเวลาในการ 144 ประมวลผลความรู ความเขา ใจรว มกันในช้นั เรยี น อีกครั้งหน่ึงเปนเวลา 10 นาที • เพราะเหตใุ ดในภาษาไทยจึงปรากฏการใช สาํ นวน คาํ พงั เพย และสภุ าษติ เพอื่ การสอื่ สาร ในชีวิตประจําวนั (แนวตอบ เพราะคนไทยเปนคนเจา บท เจากลอนและเปน คนชางสงั เกต นําพฤตกิ รรม ของคนไปเปรียบเทียบกบั สงิ่ ตา งๆ รอบตวั เพอื่ อธบิ ายพฤตกิ รรมของคนเหลา นนั้ ใหช ดั เจน ยง่ิ ขนึ้ นอกจากนด้ี ว ยความท่คี นไทยมลี ักษณะ นิสยั ประนีประนอม ไมชอบความขัดแยง และ มคี วามเกรงใจผอู น่ื ดงั นนั้ เมอื่ เกดิ สถานการณ ทต่ี อ งการจะตกั เตือนหรือติติงใคร จึงมัก ไมวา กลา วโดยตรง แตจ ะหยบิ ยกสํานวน คาํ พังเพยหรือสภุ าษิตข้ึนมากลา วอางทาํ ให ผฟู งตอ งใครค รวญและตีความดวยตนเอง) • การใชส าํ นวน คําพังเพย และสุภาษิต สามารถนาํ ไปใชเ พอื่ การสอ่ื สารในรูปแบบใด ไดบ าง (แนวตอบ นําไปใชป ระกอบการพูดหรือ การเขียนสือ่ สารในชวี ิตประจาํ วันเพอ่ื ให ขอ ความเหลา นั้นกระทบอารมณความรูสกึ ของผรู บั สารหรอื มคี วามคมคาย ลกึ ซึง้ ) • นักเรยี นคิดวาเพราะเหตุใดการใชสํานวน คําพังเพยและสภุ าษติ ในปจจบุ นั จึงคอ ยๆ เลือนหายไป (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอสิ ระ ครคู วรช้แี นะเพิม่ เติม) บูรณาการอาเซยี น ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT คน “..........................” จะใชจา ยตองระมดั ระวัง ควรเตมิ สาํ นวนใน ทุกสังคมกอ นจะมีการกาํ หนดกฎหมายใหบ คุ คลยดึ ถอื ปฏิบัตเิ พ่ือใหอยูรวมกนั ขอ ใดลงในชองวา งจึงจะเหมาะสมท่สี ดุ ไดอยา งสงบสขุ จะมีครอบครวั ซ่ึงเปนหนว ยพ้ืนฐานท่เี ล็กที่สดุ ในสงั คมทําหนา ทใี่ น 1. เบ้ียหวดั นอ ย การอบรมสง่ั สอนบุคคลในครอบครวั ใหม ีความประพฤติท่ีถกู ทาํ นองคลองธรรม 2. ยากจนขนแคน โดยคําสอนเหลาน้ีอาจมลี ักษณะเปน ถอ ยคาํ ธรรมดา หรือถกู เรยี บเรยี งขน้ึ ใหมีความ 3. เบย้ี นอยหอยนอ ย ลกึ ซงึ้ การส่ังสอนดว ยวธิ กี ารนี้นบั เปนหนง่ึ ในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมในอดตี 4. ชกั หนาไมถึงหลงั เพอื่ ตอบสนองนโยบายดา นประชาคมสังคมวัฒนธรรม ครอู าจแบงกลมุ นักเรยี น วเิ คราะหคําตอบ คําตอบในขอ 1. เบีย้ หวัด เปน คํานาม หมายถึง กลมุ ละ 3-5 คน ใหไ ดจ าํ นวน 10 กลุม มอบหมายใหรวมกนั สืบคน เกย่ี วกบั ถอยคาํ เงินไดจากราชการ คาํ ตอบในขอ 2. ไมใชสํานวนแตเ ปนลักษณะของ ทีเ่ รียบเรียงขนึ้ เพ่อื ใชขัดเกลาคนในสงั คม นําขอ มลู มาแลกเปลย่ี นกัน พรอ มทั้ง คําซอ นในภาษาไทย คําตอบในขอ 4. ชกั หนาไมถ ึงหลัง เปนคาํ กลาวที่มี อภิปรายวา ถอยคาํ คําสอนเหลา นน้ั สะทอ นใหเ หน็ ความคดิ ความเชอ่ื ของคนใน ความหมายถงึ คนท่มี ีรายไดไมพอกบั รายจา ยในแตละเดอื น สวนคาํ ตอบ ภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตอยางไร จดั การผลการอภิปรายรวมกนั ในลักษณะ ในขอ 3. เปนสํานวนทก่ี ลาวถึงคนที่มีเงินนอยจะใชจา ยตองระมดั ระวงั ของปายนิเทศประจําชัน้ เรียน ไมส ุรุย สุรา ย ดงั นัน้ จึงตอบขอ 3. 144 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ บทสนทนาในชีวิตประจา� วันทีส่ อดแทรกสา� นวน คÓพังเพย และสภุ าษิต นกั เรยี นยนื ในลักษณะวงกลมเพอื่ รวมกัน อธิบายความรแู บบโตตอบรอบวงเก่ยี วกบั แนวทาง แมศ่ รรี ้องเรียกแมพ่ รอ้ ม การนาํ สาํ นวน คาํ พงั เพย และสภุ าษติ ไปใชเ พอื่ การ “แม่พรอ้ ม เรว็ ๆ หน่อยซี มัวแต่งองคท์ รงเครือ่ งอยู่นน่ั แหละเดีย๋ วก็ไมท่ นั งำนเขำหรอก” สอื่ สารในชวี ติ ประจาํ วนั “เสรจ็ แล้วจ้ะ แหม จะไปงำนแต่งงำนของเศรษฐที ั้งที ตอ้ งสวยหนอ่ ยละ่ จะรบี รอ้ นไปท�ำไม บ้ำนก็ใกลๆ้ แคน่ ี้เอง” แมพ่ รอ้ มตอบ • จากสถานการณ “เพอ่ื นสองคนของสมสมร “น่ีเธอ รู้เรื่องเจ้ำสำวไหม เขำว่ำเจ้ำสำวสวย เจ้ำบ่ำวรวย สมกันรำวกับกิ่งทองใบหยก” กําลังขดั แยง กันและอยใู นอารมณหงุดหงดิ แม่ศรีพดู สมสมรซ่ึงรบั รูเหตกุ ารณม าโดยตลอดพูดขึ้น “รู้ เขำเป็นลูกสำวคุณนำยทรัพย์ไงละ่ เห็นเขำเลำ่ ว่ำเธอไปเรียนหนังสอื ที่กรงุ เทพฯ แต่เรยี น วา “เธอสองคนไมต อ งเถยี งกนั หรอก ฉนั เคย ไม่จบ มีคนเห็นว่ำคบเพ่ือนชำยหลำยคนจึงเรียนไม่จบ แม่เขำเลยให้กลับมำช่วยขำยของท่ีบ้ำน บอกแลว ใชไ หมวา คบคนใหด หู นา ซ้ือผาให พอดีไปถูกตำต้องใจเถ้ำแก่เฮงเจ้ำของร้ำนทองในตลำด เจ้ำสำวสวยเจ้ำบ่ำวมีเค้ำหล่อแต่แก่ ดเู นอ้ื ” จากสถานการณด งั กลาว นักเรียน ไปหนอ่ ย จะว่ำสมเป็นกง่ิ ทองใบหยกก็พอได้ คณุ นำยทรพั ยส์ ดุ แสนจะดใี จเลยจบั ใสต่ ะกรา้ ลา้ งนา�้ คิดวา สมสมรควรใชส าํ นวนน้ี หรอื ไม หมดหว่ งไป” แมพ่ รอ้ มเลำ่ อยา งไร “อย่ำงนีก้ ็ยอ้ มแมวขายน่ะซี พอดีกนั เลย เถ้ำแกเ่ ฮงก็ไม่เบำ กเี่ มียแล้วละ่ เหน็ สำวๆ ไม่ได้ (แนวตอบ สมสมรไมควรใชส าํ นวนน้ี เพราะ ทำ� กะลมิ้ กะเหลย่ี เป็นเฒ่าหัวงูเชยี ว” แม่ศรเี สริม เมอื่ พจิ ารณาแลวเทา กับเปนการซา้ํ เตมิ เพ่ือน “พอล่ะ อย่ำพดู ต่ออีกเลย ถงึ บ้ำนงำนแล้วละ” แมพ่ รอ้ มกระซบิ ให้แมศ่ รีหยุดพดู ทั้งสองคนใหรูส ึกวา เปน ความผดิ ของตนเอง สองนำงตำ่ งป้ันหนา้ แล้วเข้ำแถวไปรดน�ำ้ อวยพรเจำ้ บ่ำวเจำ้ สำว แมพ่ ร้อมกล่ำววำ่ ทเ่ี ลอื กคบเพื่อนเชนน้ี จึงตองมาทะเลาะกนั “ขอใหร้ กั ใคร่ ใหอ้ ภยั กนั ใจเดยี วรกั เดยี ว มลี กู เตม็ บา้ นมหี ลานเตม็ เมอื งนะจะ๊ ” กอ ใหเ กิดความบาดหมางขึ้นอกี สํานวนที่ แมศ่ รี “ขอใหอ้ ยดู่ ว้ ยกนั จนแกจ่ นเฒา่ ถอื ไมเ้ ทา้ ยอดทอง กระบองยอดเพชรนะ” สมสมรจะใชควรมคี วามหมายไปในทิศทาง เม่ือมำถึงที่โต๊ะอำหำร เจ้ำภำพจัดเลี้ยงโต๊ะจีน มีแขกมำร่วมงำนจ�ำนวนมำก สองนำง แกไขสถานการณ เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม กระซิบกนั เบำๆ “เจำ้ ภำพจดั งำนใหญโ่ ตสมฐำนะเศรษฐีนะ” แมพ่ รอ้ มวำ่ ของเพื่อนทัง้ สองไมใหท ะเลาะกนั ปรับความ แมศ่ รี “ฉันว่ำต�าน้า� พริกละลายแม่น้�ามำกกว่ำ” เขาใจซ่ึงกันและกนั เชน “เธอสองคนอยา แมพ่ รอ้ ม “เอำ้ ! กเ็ ขำรวยซะอยำ่ ง ใครจะทำ� ไม แคน่ ข้ี นหนา้ แขง้ ไมร่ ว่ งหรอก” ทะเลาะกนั เลย ยง่ิ พดู ไปกเ็ หมอื นสาวไสใ หก า แมศ่ รี “ปกตเิ ถำ้ แกเ่ ฮงเขำเคม็ นะ นำ่ กลวั วำ่ คณุ นำยทรพั ยจ์ ะขวา้ งงไู มพ่ น้ คอ” กนิ เปลา ๆ เรื่องใดใหอภยั กันไดก ใ็ หอภยั กัน แมพ่ รอ้ ม “ชำ่ งเขำเถอะ ฉนั วำ่ ยงั ไงกข็ อใหเ้ ขำอยกู่ นั ยดื ๆ อยำ่ ใหก้ น้ หมอ้ ไมท่ นั ดา� กแ็ ลว้ กนั ไป สามัคคคี อื พลังนะ” เปน ตน) คนรู้จักกัน ยังไงๆ ฉันก็สงสำรฝ่ำยหญิง คนเรำมันก็พลำดกันได้ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ ยงั รพู้ ลงั้ ไดแ้ ตง่ งำนเปน็ ตวั เปน็ ตนกด็ แี ลว้ และฉนั กส็ งสำรแมเ่ ขำดว้ ย หวั อกแมน่ ะ แมศ่ รี เขำเลยี้ งดู • นกั เรยี นมีแนวทางหรือวิธีการอยา งไรในการ ฟมู ฟกั ทะนุถนอมมำตัง้ แต่ตนี เทา่ ฝาหอย กห็ วังจะใหไ้ ดด้ ี พอไดแ้ ตง่ กพ็ ลอยยนิ ดกี บั เขำด้วย” เลือกใชสํานวน คําพงั เพย และสภุ าษติ เพอ่ื การสื่อสารในชวี ติ ประจําวัน (เรยี บเรียงโดยคณะผเู้ ขยี น) (แนวตอบ เลือกใชใ หตรงกับความหมาย เขา กับเนื้อเรือ่ งและสถานการณก ารส่อื สาร และอยา ใชม ากเกนิ ไปโดยเฉพาะในการเขยี น เพราะอาจทาํ ใหผ อู านเกิดความราํ คาญได) 145 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นกั เรยี นศกึ ษาเกีย่ วกบั แหลงทีม่ าของสาํ นวน คาํ พังเพย และสุภาษิต ครคู วรชีแ้ นะใหน กั เรยี นเขา ใจวาการนําสํานวนไปใชในการส่ือสาร นอกจาก ไทย พรอ มยกตัวอยางประกอบใหช ดั เจน นาํ เสนอผลการศึกษาในรูปแบบ ผสู ง สารจะตอ งมคี วามรู ความเขาใจ เปน อยางดเี ก่ียวกับความหมายและที่มาของ ใบความรเู ฉพาะบคุ คล สง ครู สํานวนแลว ยังตองคาํ นงึ ถงึ ความเหมาะสมกับกาลเทศะและความจาํ เปนอีกดวย เนื่องจากการพูดและการเขียนท่ีมกี ารใชส าํ นวนหากใชไดถ ูกตอง เหมาะสมและ กิจกรรมทา ทาย พอดีจะเปนการเพ่มิ ความสละสลวยใหแ กข อ ความ แตห ากใชเ กินความจําเปน อาจ เปน อุปสรรคในการสื่อสารได เมอื่ ใหนักเรียนปฏิบตั กิ ิจกรรมสรา งเสรมิ และกจิ กรรม นกั เรยี นศึกษาเก่ียวกบั แนวทางและขอควรระวังในการนาํ สาํ นวน ทาทายกอนเก็บใบความรูของนกั เรียน ครสู ุม เรียกช่อื นกั เรยี นกิจกรรมละ 3-5 คน คาํ พงั เพยและสุภาษิตไปใชใ นสถานการณก ารส่ือสารในชวี ติ ประจาํ วนั นําเสนอผลการศกึ ษาของตนเองหนาชัน้ เรยี น เพ่ือเปนการแลกเปล่ยี นความรซู ่งึ กนั นาํ เสนอผลการศึกษาในรปู แบบใบความรูเฉพาะบคุ คล สงครู และกัน คู่มือครู 145
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นกั เรียนใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับ จากบทสนทนาหนา้ ๑๔๕ มผี ้พู ดู เพยี งสองคน แตใ่ ชถ้ อ้ ยคา� สา� นวนโวหารหลากหลาย ดงั นี้ ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษติ ๑. ส�ำนวน เปน็ ค�าท่มี คี วามหมายโดยนยั ไมต่ รงตามตัวอกั ษร ได้แก่ ทาํ แบบวดั ฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 แต่งองค์ทรงเครื่อง หมายความว่า แต่งตัว มีความหมายเชิงประชดว่า แต่งตัวนานมาก หนว ยที่ 4 กจิ กรรมตามตวั ชว้ี ดั กิจกรรมที่ 4.1 เหมือนลเิ ก หรือละครท่ีตัวเอกมเี คร่อื งแต่งตวั มาก ตอ้ งแต่งตวั นาน ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝก ฯ ก่ิงทองใบหยก หมายความว่า คู่แตง่ งานที่เหมาะสมกันทัง้ รูปรา่ ง หนา้ ตา ฐานะ ความรู้ ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 4.1 ใส่ตะกร้าล้างน้�า หมายความว่า ท�าให้หมดมลทิน เหมือนผักเหมือนปลาที่สกปรก หรือมี เรื่อง การใชส้ �านวน คา� พังเพยและสภุ าษติ กลิน่ เหมน็ ใสต่ ะกร้าลา้ งน�า้ แล้วกจ็ ะสะอาดขึน้ หายเหมน็ คาว กิจกรรมตามตัวชีว้ ดั คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด ย้อมแมวขาย หมายความว่า ตกแต่งคนหรือสิ่งของที่ไม่ดี หรือมีค่าน้อย โดยมีเจตนา กิจกรรมท่ี ๔.๑ ใหนกั เรยี นเตมิ สาํ นวนท่กี ําหนดใหล งในชองวางใหถูกตอ ง ñð หลอกลวงให้ผู้อ่ืนเชอื่ วา่ ดี เฒา่ หัวงู หมายความวา่ ชายแกเ่ จ้าเล่ห์ ชอบหลอกสาวๆ (ท ๔.๑ ม.๑/๖) ป้ันหน้า หมายความว่า ปรบั สีหนา้ ใหเ้ ป็นปกติ ขิงกร็ า ขา กแ็ รง ตนี เทา ฝาหอย กระตายตนื่ ตูม ๒. ค�ำพังเพย เปน็ ค�าที่กลา่ วเปรยี บเปรย กล่าวเปน็ กลางๆ ไม่ว่าใคร ได้แก่ ก่งิ ทองใบหยก ดนิ พอกหางหมู จับปลาสองมอื ต�าน�้าพรกิ ละลายแมน่ ้า� หมายความวา่ ใชจ้ า่ ยทรพั ย์มากมายโดยไร้ประโยชน์ มือไมพาย เอาเทารานํา้ วัวลืมตนี ตํานํา้ พรกิ ละลายแมนํา้ ขนหน้าแข้งไมร่ ว่ ง หมายความว่า ไม่สนใจสงิ่ ทเี่ สยี ไป โดยเห็นวา่ เป็นของเลก็ นอ้ ย ตกน้าํ ไมไ หล ตกไฟไมไ หม ขวา งงูไมพน คอ มะนาวไมม นี ํ้า ขวา้ งงูไมพ่ ้นคอ หมายความว่า ท�าอะไรแลว้ ผลรา้ ยหรอื ภาระไม่พน้ ตนเอง สอนจระเขใ หว า ยนํ้า ปด ทองหลังพระ คางคกข้นึ วอ กน้ หมอ้ ไม่ทนั ดา� หมายความวา่ แตง่ งานอยู่กินกนั ฉันสามภี รรยาไม่นานก็เลิกรา้ งกัน ส่ีตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยงั รู้พลั้ง หมายความวา่ ทุกคนมโี อกาสท�าผดิ ได้ ๑. คูน้ีไมมีใครยอมใครเลยจรงิ ๆ……ข…งิ …ก…ร็ …า……ขา…ก…็แ…ร…ง…………………. ตนี เท่าฝาหอย หมายความว่า เล้ียงดูมาต้งั แต่ยงั เปน็ เดก็ ทารก เฉฉบลับย ๒. แมเลีย้ งลูกมาตั้งแต… …ต…นี …เ…ท…าฝ…า…ห…อ…ย……………………….มหี รือจะไมรวู า ลกู นสิ ัยเปนอยา งไร ๓. สภุ ำษติ เป็นค�าทไ่ี พเราะ ให้ขอ้ คดิ ให้คติเตอื นใจ ไดแ้ ก่ ๓. เธอนี่ทาํ ตกอกตกใจเปน……ก…ร…ะ…ต…า …ย…ต…ืน่ …ต…มู …………………….ไปได ขอให้รักใคร่ ให้อภัยกัน ใจเดียวรักเดียว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง หมายความว่า ๔. วิชิตกบั รินลดาสมกันราวกับ…ก…งิ่…ท…อ…ง…ใ…บ…ห…ย…ก………………………. ๕. เธอไมย อมทําการบาน ปลอยใหค่งั คา งจนกลายเปน …ด……นิ …พ…อ…ก…ห…า…ง…ห…ม…ู …………………. ให้อยดู่ ว้ ยกันอยา่ งมีความสขุ ให้รกั กันมนั่ คงใหอ้ ภัยไมน่ อกใจกนั (ไมท่ า� ผดิ ศลี ธรรม) ๖. ฉนั วา งานนีส้ งสยั จะ……ต…าํ …น…ํ้า…พ…ร…ิก…ล…ะ…ล…า…ย…แม…น……ํา้ …………..ไมคุมกบั ทลี่ งทุนไปเลยจริงๆ ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร หมายความว่า ๗. จะเลือกใครก็ไมยอมเลอื กเสียท…ี …จ…บั …ป…ล…า…ส…อ…ง…ม…อื …………………….อยไู ด ๘. เธอนมี่ ันเปน ประเภท……ม…ือ…ไม…พ…า…ย……เอ…า…เ…ท…าร…า…น…ํา้………. ทําแบบนี้แลวเมอ่ื ไรกลุมเราจะงานเสร็จ ใหอ้ ยู่ดว้ ยกันจนแก่เฒา่ ๙. พอไดดีมฐี านะกท็ าํ ตัวเปน……ว…ัว…ล…ืม…ต…ีน……………………………….ไมย อมกลบั มาหาพวกเราเลยนะ การสอ่ื สารในชวี ติ ประจÓวนั ผสู้ ง่ สารมกั จะใชส้ Óนวนโวหารประกอบการพดู และการ ๑๐. ฉนั เชอ่ื วาคนดๆี อยางกานต …ต…ก…น……ํา้ ไ…ม…ไ …ห…ล……ต…ก…ไ…ฟ…ไม…ไ…ห…ม… …….. ยังไงเขากต็ อ งปลอดภัย เขยี นอยูเ่ สมอ การใช้สÓนวนโวหาร คÓพงั เพย สภุ าษติ แสดงวา่ คนไทยเปน็ คนช่างคิด ๗๒ ช่างสังเกต รู้จักใช้ถ้อยคÓได้อย่างเหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ ใช้คÓพูดได้ตรง จดุ ประสงค์ โดยหลกี เลย่ี งการพดู ตรงๆ ใหส้ ะเทอื นใจ ผรู้ บั สารตอ้ งรจู้ กั คดิ สงั เกตบรบิ ท 2. นกั เรยี นทําสมดุ รวบรวมสํานวน คําพงั เพย และ ผทู้ ส่ี ามารถใชส้ Óนวน คÓพงั เพย และสภุ าษติ เหมาะสม จะทÓใหก้ ารใชภ้ าษาสละสลวยข้ึน สภุ าษติ ประเภทละ 10 ชนดิ นํามาเขียนอธิบาย ความหมาย แสดงรปู แบบการใชท ี่ถกู ตอง 146 ในรูปของประโยค พรอ มทั้งบอกทีม่ าของสาํ นวน คาํ พงั เพยหรือสภุ าษติ นนั้ ๆ สง ครโู ดยอาจ สรา งสรรคภ าพประกอบขนึ้ เองหรือคน หา จากแหลง การเรียนรอู นื่ ๆ มาประกอบตามความ เหมาะสม เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชือ่ มสาระ ความรู ความเขา ใจเกยี่ วกบั การจาํ แนกความหมายที่ถกู ตอ งของสํานวน ครอู าจขออาสาสมัครนกั เรียนอา นขอ ความน้ใี หเ พ่อื นๆ ฟง หนา ช้นั เรยี น คําพังเพย และสุภาษิต สามารถนําไปบูรณาการไดกับกลุมสาระการเรียนรู “ปญ หาความวนุ วายท่ีเกิดข้ึนในปจ จุบัน เพราะจาํ นวนคนทีเ่ สนอตวั ทํางานเพือ่ ศลิ ปะ วชิ าทศั นศลิ ป กลา วคอื เมอ่ื นกั เรยี นเขา ใจความหมายของสาํ นวนนน้ั ๆ สวนรวมจําพวกววั เหน็ แกห ญา ขี้ขาเหน็ แกกนิ มีมากข้ึนเรอื่ ยๆ คนจําพวกน้มี ี อยางลึกซึ้งก็จะสามารถถายทอดออกมาเปนภาพที่สามารถอธิบาย อุดมการณเ หมอื นไมห ลกั ปกเลน มกี จิ วัตรประจําวันในการละเลงขนมเบื้องดวยปาก ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไดครอบคลุมโดยใชความรู เดินลอยชายไปมาและสวมหนา กากเขา หากนั ไปวันๆ ประกอบกับคอยหาชอ งทาง เกย่ี วกบั องคป ระกอบศลิ ป เชน เสน สี แสง เงา เปน เครอ่ื งมอื ในการถายทอด สรา งวมิ านในอากาศ ขายฝน ใหก บั คนทวั่ ไปเพอื่ ประโยชนส ว นตน” จากนนั้ ตงั้ คาํ ถาม ผลงาน โดยนักเรียนอาจรวมกันคัดเลือกสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต กบั นักเรยี นวา ขอ ความดงั กลา วมลี กั ษณะการใชส ํานวนอยางไร ซ่งึ นักเรยี นสามารถ ท่ีนักเรียนควรรูชวยกันวาดภาพประกอบ จัดการความรูรวมกันในลักษณะ แสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ ขนึ้ อยกู บั ทกั ษะการวเิ คราะหแ ละสงั เคราะหส ว นตน ของปายนิเทศประจาํ ช้ันเรียน ครูควรชแี้ นะเพมิ่ เติมวา ขอความดังกลา วมลี กั ษณะการใชส ํานวน คําพงั เพยและ ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะทําใหนักเรียนมองเห็น สภุ าษติ มากเกินความจําเปน ในการเขียนเพอื่ การส่อื สารเม่ือจะใชสาํ นวน คาํ พงั เพย ความสัมพันธระหวางกระบวนการคิดและกระบวนการถายทอดความคิด และสภุ าษติ ประกอบการเขยี น ควรคาํ นงึ ถงึ ความเหมาะสม กาลเทศะและความจาํ เปน ของมนุษยโดยใชภาษา ทาทาง นอกจากน้ียังสามารถถายทอดผานภาพ หากใชเ กนิ ความจาํ เปน อาจทาํ ใหผ รู บั สารเกดิ ความสบั สนและเบอ่ื หนา ย เปน อปุ สรรค ซ่งึ ประกอบดว ยจุด เสน สี แสง และเงา เปนตน ในการสือ่ สาร 146 คู่มือครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คําถาม ประจําหนว ยการเรยี นรู 1. ครตู รวจสอบสมดุ รวบรวมสํานวน คําพงั เพย และสภุ าษติ ของนกั เรยี น โดยมขี อ ควรพจิ ารณา ๑. ก�รใช้สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสภุ �ษติ ในชีวติ ประจ�ำ วัน มีคว�มจ�ำ เป็นหรอื ไม่ เพร�ะเหตใุ ด ดงั ตอ ไปนี้ ๒. สำ�นวนไทยส่งผลต่อก�รสือ่ ส�รได้อย่�งไร จงอธิบ�ยและยกตวั อย�่ งประกอบ • จาํ แนกประเภทของสํานวน คําพังเพย ๓. ห�กนกั เรยี นตอ้ งก�รเตือนสติเพอื่ นเร่อื งก�รคบมติ ร ควรจะเลือกใชส้ ุภ�ษติ ใด และสุภาษติ ไดถกู ตอ ง ๔. สำ�นวน คำ�พงั เพย หรอื สุภ�ษติ มคี ว�มแตกต�่ งกนั อย่�งไร • ใหความหมายของสํานวน คาํ พังเพย ๕. ก�รใช้ส�ำ นวน ค�ำ พงั เพย หรือสภุ �ษิตในก�รสอื่ ส�รช่วยอนุรกั ษภ์ �ษ�ไทยได้หรอื ไม่ อย�่ งไร และสุภาษิตท่ีคัดเลือกมานาํ เสนอไดถ ูกตอ ง • บอกทม่ี าของสํานวน คาํ พงั เพย และ สภุ าษติ ท่ีคัดเลือกมานําเสนอไดถูกตอง • ยกตวั อยา งสถานการณการใชใ นรปู ประโยคหรอื นาํ สาํ นวน คาํ พงั เพย และ สุภาษติ มาประกอบประโยคไดถกู ตองตรง ความหมายทแี่ ทจ ริง 2. นกั เรียนตอบคําถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู กจิ กรรม สรางสรรคพัฒนาการเรยี นรู หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู กจิ กรรมที่ ๑ ให้นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ ๔-๕ คน รวบรวมส�ำ นวนไทย 1. สมดุ รวบรวมสํานวน คําพังเพยและสภุ าษิต และห�คว�มหม�ยของส�ำ นวนต่อไปนี้ 2. แบบวดั และบันทึกผลการเรียนรู ■ ส�ำ นวนไทยทเ่ี กย่ี วกบั สัตว์ ■ สำ�นวนไทยทเ่ี กย่ี วกบั ป�ก ■ สำ�นวนไทยท่เี กี่ยวกบั ใจ กจิ กรรมที่ ๒ ■ สำ�นวนไทยท่ีม�จ�กนทิ �น ต�ำ น�นต�่ งๆ กจิ กรรมท่ี ๓ เล่นละครหรอื บทบ�ทสมมติเกย่ี วกบั ปรศิ น�ส�ำ นวนไทย แลว้ ใหเ้ พื่อนๆ กจิ กรรมท่ี ๔ ในชนั้ เรยี นห�คำ�ตอบ ให้ถกู ต้อง แขง่ ขนั ท�ยภ�พปรศิ น�สำ�นวนไทย ให้นักเรยี นรวบรวมก�รใชส้ �ำ นวน คำ�พังเพย หรอื สภุ �ษิตจ�กหนังสอื พมิ พ-์ ร�ยวนั แล้วน�ำ ไปติดทีป่ �้ ยนเิ ทศ 147 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. การใชส าํ นวน คําพงั เพย และสุภาษิตมีความสาํ คญั ตอ การส่ือสารในชีวิตประจําวัน เพราะถึงแมว า การสื่อสารใหถ กู ตองตามหลักภาษาจะสามารถทาํ ใหเขาใจกัน ไดแลว แตก็อาจมีพลงั ไมมากพอที่จะกระทบอารมณค วามรสู ึกของผูรบั สารได 2. สํานวนไทยมสี วนชว ยในการสื่อสาร โดยชวยเพม่ิ ใหเกดิ ความชดั เจนในการสื่อสาร การสือ่ สารในบางเร่อื งหากใชสาํ นวนชว ยส่ือสารอาจทําใหเ ขา ใจงายกวา โดยที่ ไมตอ งอธิบายความ 3. สุภาษติ เก่ียวกบั การคบมิตรมปี รากฏใชเ ปน จาํ นวนมากในภาษาไทย เชน คบคนพาลพาลพาไปหาผดิ คบบณั ฑติ บณั ฑติ พาไปหาผล ทา นคบคนเชนไรก็เปนคน เชนน้ันแล เปน ตน 4. สาํ นวนเปนคาํ ท่มี ีความหมายไมตรงตามตัวอักษร มีความหมายในเชงิ เปรยี บเทียบ เชน เฒา หัวงู คาํ พงั เพย เปนคาํ ที่กลา วกลางๆ เพอ่ื ใหตคี วามเขา กับเร่อื ง มคี วามหมายลึกซึง้ กวา สํานวน มลี ักษณะติชมหรือแสดงความเหน็ อยูในตวั เชน ทาํ นาบนหลงั คน น้ําถงึ ไหน ปลาถงึ นัน่ สวนสุภาษติ คอื ขอความส้นั ๆ แตก ิน ความลึกซ้งึ และเปนคาํ สอนหรือวางหลักความจริง เชน ตนแลเปน ท่พี ึง่ แหงตน เปนตน 5. การใชสํานวน สภุ าษิต และคาํ พงั เพยใหถกู ตองตรงความหมายและเหมาะสมกับสถานการณก ารส่ือสารนับเปนการชวยอนรุ กั ษภาษาไทยประการหนง่ึ เพราะถอยคาํ เหลา นเ้ี ปนถอยคําที่กลา วสบื ตอกันมาเปนระยะเวลานาน ถายทอดกนั มาปากตอ ปาก แสดงใหเ ห็นความรมุ รวยทางภาษาของคนไทย หากใชใ หถกู ตองจึงเปนการชวย อนุรักษเ อกลักษณท างภาษาใหคงอยูต อไป คู่มือครู 147
กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปา หมายการเรียนรู สามารถแตง บทรอ ยกรองประเภทกาพยได สมรรถนะของผูเ รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มีวินัย 2. ใฝเรียนรู 3. รักความเปนไทย กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูนําเขาสูหนวยการเรียนรู ดวยการชักชวน õหน่วยท่ี นักเรียนสนทนาเก่ียวกับบทรอยกรองประเภทตางๆ การแตงบทรอ ยกรอง ท่ีรูจัก สุมเรียกช่ือนักเรียนเพ่ือทองบทรอยกรองน้ัน ค น ไ ท ย เ ป ็ น ช น ช า ติ ที่ ไ ด ้ ชื่ อ ว ่ า ใหเ พอ่ื นๆ ฟง จากนน้ั ครกู ระตนุ ใหน กั เรยี นตงั้ ขอ สงั เกต ตัวช้ีวดั เกย่ี วกบั บทรอยกรอง ดว ยวิธีการตั้งคําถาม เจ้าบทเจ้ากลอน จากประวัติศาสตร์ ท ๔.๑ ม.๑/๕ การประพนั ธว์ รรณคดตี า่ งๆ ทมี่ ลี กั ษณะ • การไดอานหรือฟง บทรอ ยกรองบทหนง่ึ ๆ ■ แตงบทรอ ยกรอง เป็นค�าประพันธ์ร้อยกรองอยู่มากมาย แลวรูสกึ วามีความไพเราะ นักเรียนคิดวา คา� ประพนั ธป์ ระเภทกาพย ์ เปน็ คา� ประพนั ธ์ มีสาเหตุมาจากสง่ิ ใด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ท่ีไพเราะและแต่งง่าย เหมาะส�าหรับ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑ ดังนนั้ ผเู้ รียน ไดอยางอิสระ ขนึ้ อยกู ับหลักฐานและรอ งรอย ■ แตงบทรอ ยกรองประเภทกาพยยานี ๑๑ จึงควรศึกษารูปแบบฉันทลักษณ์และฝกแต่ง ความรเู ดิม ซึง่ ส่งิ ทท่ี ําใหบ ทรอยกรองมีความ เพราะนอกจากจะเป็นการฝกทักษะการใช้ ไพเราะมสี าเหตุมาจากความสามารถของกวี ภาษาไทยแล้ว ยังเป็นการสืบสานและอนุรักษ์ ในการเลอื กใชถ อ ยคาํ ทมี่ ไี พเราะทางดา นเสยี ง มรดกทางภาษาอีกดว้ ย และความหมายที่ลึกซงึ้ ) เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในหนว ยการเรยี นรู การแตง บทรอ ยกรอง ครูควรชี้แนะวา แมก ารแตงบทรอ ยกรองจะเปนเรอื่ งของพรสวรรค แตก็ไมไดหมายความวาจะไม สามารถฝกฝนได หากคนๆ นนั้ มีพรสวรรคแตไ มม พี รแสวงในการทีจ่ ะฝกฝน เรียนรู ก็อาจทําใหพ รสวรรคน ั้นหดหายไป ดังน้นั การแตง บทรอยกรองจงึ สําคัญ ท่ีการฝก ฝน หากมคี วามรู ความเขาใจเปนอยา งดเี ก่ยี วกับฉันทลักษณ คํา และมี จนิ ตนาการทกี่ วางไกล ก็จะสามารถเปนผทู ่ีแตงบทรอ ยกรองไดด ี เปา หมายสําคญั ของหนวยการเรียนรูน้ี จงึ อยทู น่ี ักเรียนสามารถแตง บทรอยกรองประเภทกาพยได การจะบรรลุเปา หมายดงั กลาว ครูควรออกแบบการเรยี นการสอนใหน กั เรียน คน ควา ความรเู กยี่ วกบั ฉนั ทลกั ษณข องกาพยแ ตล ะประเภท และศลิ ปะแหง การประพนั ธ จากน้นั จึงนาํ ทฤษฎมี าใชฝ กปฏิบตั จิ ริง การเรยี นการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทกั ษะการนาํ ความรูไปใชแ ละทกั ษะ การประเมินใหแ กน กั เรียน 148 คู่มือครู
กระต้นุ ความสนใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Expand Evaluate Explore Explore สา� รวจคน้ หา ๑ การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ ครทู าํ สลากเทากับจํานวนนกั เรยี นในชนั้ เรียน โดยเขียนหมายเลข 1-3 ลงบนกระดาษในจํานวน การแตง่ บทรอ้ ยกรองประเภทกาพย์ เปน็ กำรแตง่ คำ� ประพนั ธข์ องไทยทง่ี ำ่ ยทส่ี ดุ เพรำะมเี พยี ง เทาๆ กัน หรอื ตามความเหมาะสม จากนั้นให กำรบังคับจ�ำนวนค�ำ เสียง และสัมผัส เท่ำนั้น ไม่มีบังคับครุ ลหุ เหมือนค�ำประพันธ์ประเภทฉันท์ แตล ะคนออกมาจบั สลากประเดน็ สาํ หรบั การสบื คน ค�ำประพันธ์ประเภทกำพย์จึงเป็นท่ีนิยมแต่งกันมำต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยำ และนิยมแต่งร่วมกับ ความรรู ว มกนั ดังน้ี ค�ำประพันธ์ประเภทฉันท์ เพรำะมเี สียงไพเรำะ ธำรทองแวรดรง1ณพรคะดนีปิพรนะธเภ์ในทเจก้ำำฟพ้ำยธ์ทร่ีมรมีชธื่อิเเบสศียรง ได้แก่ กำพย์เห่เรือและกำพย์ห่อโคลงเสด็จประพำส หมายเลข 1 กาพยย านี 11 (เจ้ำฟ้ำกุ้ง) กำพย์เห่ชมเคร่ืองคำวหวำนพระรำชนิพนธ์ หมายเลข 2 กาพยฉบัง 16 ในพระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำนภำลัย (ร.๒) และกำพย์เรื่องพระไชยสุริยำของสุนทรภู่ หมายเลข 3 กาพยส ุรางคนางค 28 ซ่ึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ใช้เป็นแบบฝึกอ่ำนกำรสะกดค�ำในมำตรำตัวสะกดต่ำงๆ และก�ำหนดให้ โดยนักเรยี นท่ีจบั สลากไดหมายเลขเหมอื นกนั ผู้เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนต้นเรียนในปัจจุบัน ใหอยูกลุมเดียวกัน สืบคน ใหม ีความครอบคลุมใน ลกั ษณะขอ้ บงั คบั ของร้อยกรองประเภทกำพย์ มีดงั น้ี เร่อื งคณะหรอื จาํ นวนคําภายในบท เสยี งและสมั ผัส ๑) คณะ หมำยถึง จ�ำนวนท่กี ำ� หนดใน ๑ บทว่ำมีกว่ี รรค วรรคละกค่ี ำ� ตัวเลขทำ้ ยชื่อกำพย์ ของกาพยแ ตละประเภท ซง่ึ การนาํ เสนอของ บอกว่ำในหนงึ่ บทน้นั มีจำ� นวนคำ� ก่ีคำ� เชน่ ยำนี ๑๑ หน่งึ บท มี ๑๑ คำ� ฉบงั ๑๖ หนงึ่ บท มี ๑๖ คำ� นักเรียนควรแสดงแผนผังประกอบใหช ัดเจน สุรำงคนำงค์ ๒๘ หน่ึงบท มี ๒๘ ค�ำ โดยสามารถสืบคนไดจ ากแหลง การเรียนรตู างๆ ๒) เสียง หมำยถึง ข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ กำพย์แต่ละชนิดจะมีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ ทส่ี ามารถเขาถึงได เชน หอ งสมุด อนิ เทอรเน็ต เปนตน แตกต่ำงกันซ่ึงวรรณยุกต์บำงเสียงท�ำให้กำพย์บำงชนิดมีควำมไพเรำะ หรือค�ำสุดท้ำยของวรรค ในกำพยบ์ ำงชนดิ ควรหลกี เลยี่ งกำรใช้วรรณยกุ ต์บำงเสียง ๓) สัมผัส หมำยถึง ข้อบังคับท่ีใช้ในฉันทลักษณ์เพ่ือให้เสียงรับกัน ประกอบด้วยสัมผัสใน และสัมผัสนอก ดงั นี้ สัมผัสใน เป็นสัมผัสท่ีอยู่ภำยในวรรค ช่วยให้บทร้อยกรองมีควำมไพเรำะ ซ่ึงค�ำประพันธ์ ประเภทกำพยจ์ ะไมบ่ ังคบั ใชส้ มั ผัสใน สัมผัสนอก เป็นสัมผัสนอกวรรคหรือสัมผัสระหว่ำงวรรค ตลอดจนสัมผัสระหว่ำงบท โดยกำพยแ์ ตล่ ะชนดิ มกี ำรบงั คบั สมั ผสั ทแ่ี ตกตำ่ งกนั กลำ่ วคอื ในบทหนงึ่ คำ� ทำ้ ยวรรคจะสง่ สมั ผสั รบั กบั คำ� ใดค�ำหนึ่งในวรรคต่อไป โดยบงั คบั ใหต้ ้องใช้วรรณยกุ ตร์ ปู ใด เสียงใดนั้น ขน้ึ อย่กู ับกำพยแ์ ตล่ ะชนดิ ๒ กาพยย์ าน ี ๑๑ กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกำพย์ที่แต่งง่ำย มีลีลำกำรอ่ำนช้ำๆ อ่อนหวำน มักใช้แต่งพรรณนำชม ควำมงดงำมของส่ิงของ ธรรมชำติ สงิ่ แวดล้อม มกั นยิ มแตง่ คู่กบั โคลง โดยขนึ้ ตน้ ด้วยโคลง แล้วตอ่ ดว้ ย กำพยย์ ำนี ๑๑ อกี หลำยบทท่ีมีเนอ้ื หำตรงกันกับโคลง เรียกว่ำ กำพย์หอ่ โคลง 149 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดมีความเก่ียวของกบั การแตง บทรอยกรองนอยทส่ี ดุ ครอู าจสรา งองคความรูท่มี คี วามจําเปนตอ การแตงบทรอยกรองประเภทตา งๆ 1. ฉนั ทลักษณ ใหแ กนักเรยี น เชน คาํ คลอ งจอง โดยใหค าํ นยิ ามเกี่ยวกับคําคลอ งจอง จากน้นั จงึ 2. สงิ่ แวดลอ มและบรรยากาศ ใหน กั เรียนคนหน่งึ ขึน้ ตน คําแลว ใหคนตอๆ ไป หาคําทล่ี งทายดวยเสียงที่คลองจอง 3. ความสามารถในการใชถ อ ยคํา กับคาํ ขา งหนา เชน นารี ลลี า พาไป ใครทาํ คํานวณ.......ชวนชม ลมลวง เปน ตน 4. จินตนาการและความคดิ สรา งสรรค วิเคราะหค ําตอบ การแตงบทรอยกรองผูแตงจะตองมีคณุ สมบตั หิ รือ นกั เรียนควรรู มคี วามรูในเรือ่ งฉันทลกั ษณ เพอื่ ใหสามารถแตงไดถกู ตอ งท้งั จํานวนคํา จาํ นวนวรรคและตาํ แหนง สัมผัส มจี ินตนาการ ความคดิ สรางสรรคในการ 1 กาพยหอ โคลงเสดจ็ ประพาสธารทองแดง เปน วรรณคดีท่ปี ระพนั ธดวย ถา ยทอดเนอื้ หาสาระทเี่ ปน ประโยชนแ กผ อู า น และมคี วามสามารถในการ บทรอ ยกรองประเภทกาพยย านี 11 และอธบิ ายความดว ยโคลงสี่สภุ าพควบคู เลอื กใชถอ ยคาํ เลอื กสรรถอยคาํ ที่มคี วามไพเราะทั้งดา นเสียงและ สลับกันไป เน้ือหากลาวถงึ ความงาม ความสมบรู ณข องธรรมชาติ โดยเฉพาะ ความหมายเพอื่ ถายทอดแนวคิดของตนเองไดอยา งครบถว น สิง่ ทีม่ ีความ สตั วปาและพชื พรรณธรรมชาติหลากหลายชนดิ เกี่ยวของนอยท่ีสุด คือส่งิ แวดลอ มและบรรยากาศ ดงั น้นั จงึ ตอบขอ 2. คู่มอื ครู 149
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นกลุมที่ 1 สงตวั แทนออกมาอธิบาย กำพยย์ ำนี ๑๑ มีลกั ษณะฉันทลกั ษณ์ ดงั น้ี ความรูในประเดน็ ท่ีไดรับมอบหมาย โดย ๑) คณะ กำพย์ยำนี ๑ บท มี ๒ บำท ๑ บำท มี ๒ วรรค วรรคหน้ำมี ๕ ค�ำ วรรคหลัง นําเสนอใหม ีความครอบคลมุ ตามประเด็น มี ๖ คำ� รวม ๑ บำท มี ๑๑ คำ� บำทแรกเรยี กวำ่ บำทเอก บำทสองเรยี กวำ่ บำทโท ที่กําหนดไว ๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า ในวรรคแรกมี ๕ ค�ำ วรรคหลังมี ๖ ค�ำ เหมือนกันท้ังบำทเอก และบำทโท รวม ๑ บำท มี ๑๑ ค�ำ จ�ำนวนตัวเลขท่ีบอกไว้ท้ำยกำพย์ หมำยถึง ก�ำหนดจ�ำนวนค�ำ 2. นกั เรียนยนื ในลักษณะวงกลมเพอ่ื รวมกนั อธบิ าย ใน ๑ บำท เชน่ ยำนี ๑๑ หนงึ่ บำท มี ๑๑ คำ� ความรแู บบโตตอบรอบวงเก่ยี วกบั ฉนั ทลกั ษณ ๓) เสยี ง คำ� สดุ ทำ้ ยของบำทโทใชเ้ สยี งวรรณยกุ ตส์ ำมญั และจตั วำเปน็ สว่ นใหญเ่ พรำะจะทำ� ให้ ของกาพยย านี 11 โดยใชค วามรู ความเขา ใจ อำ่ นไดไ้ พเรำะ สว่ นคำ� สดุ ทำ้ ยของบทผแู้ ตง่ มกั หลกี เลยี่ งไมใ่ ชค้ ำ� ตำยและคำ� ทม่ี รี ปู วรรณยกุ ต์ อำจมที ใ่ี ช้ ที่ไดร บั จากการฟง บรรยายของเพ่ือนๆ กลุมท่ี 1 คำ� ตำยเสยี งตรหี รอื เสยี งเอกบำ้ งแตน่ อ้ ยมำก เปน ขอ มูลเบือ้ งตน ๔) สมั ผสั กำ� หนดสมั ผสั ระหวำ่ งวรรค ๒ แหง่ และสมั ผสั ระหวำ่ งบท ๑ แหง่ ดงั นี้ (แนวตอบ กาพยย านี 11 บทหนง่ึ มี 2 บาท บาทแรกเรียกวา บาทเอก บาททสี่ องเรียกวา สมั ผสั ระหวา่ งวรรค ค�ำท้ำยของวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำท่ี ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคหลัง บาทโท บาทหนงึ่ มีจาํ นวนคําทงั้ สิ้น 11 คํา ในบำทเอก แบงเปน 2 วรรค วรรคหนา มีจํานวนคาํ 5 คํา คำ� ทำ้ ยของบำทเอกสมั ผสั กบั คำ� ทำ้ ยของวรรคหนำ้ ของบำทโท วรรคหลงั มจี าํ นวนคาํ 6 คาํ ดังนั้นกาพยย านี 11 บทหน่งึ จึงมี 4 วรรค สัมผัสบังคบั ในกาพยย านี สมั ผสั ระหวา่ งบท คำ� ทำ้ ยของบทแรกสมั ผสั กบั คำ� ทำ้ ยของบำทเอกบทตอ่ ไป 11 ประกอบดว ยสัมผสั ระหวางวรรค คือ คาํ ทา ย ของวรรคหนาจะสงสัมผัสมายงั คําท่ี 1, 2 หรอื 3 แผนผังและตัวอย่างกาพย์ยานี ๑๑ ของวรรคหลงั ในบาทเอก คาํ ทายของวรรคหลัง ในบาทเอกจะสง สัมผสั มายงั คาํ ทายของวรรค หนาในบาทโท สว นสัมผสั ระหวา งบท จะเกิดขน้ึ เม่อื มีการแตง กาพยย านี 11 มากกวา 1 บท ซึง่ คําทายของบทแรกจะสงสมั ผัสมายังคาํ ทา ย ของวรรคหลงั ในบาทเอกของบทตอไป) ยำนมี แี บบมำ วรรคแรกหำ้ หลงั หกคำ� คำ� ทำ้ ยวรรคแรกนำ� มำสมั ผสั วรรคหลงั ตำม สง่ มำยงั ทำ้ ยวรรคสำม คำ� ทำ้ ยของวรรคหลงั ระหวำ่ งบทตอ้ งจดจำ� สมั ผสั ทดี่ งี ำม (ท ๐๔๑ ก�รประพนั ธ์ : ฐะปะนยี ์ น�ครทรรพ) หมายเหตุ คำ� ทำ้ ยวรรคแรกของบำทโท จะสมั ผสั คำ� ที่ ๑, ๒ หรอื ๓ ของวรรคท่ี ๒ บำทโท หรอื ไมก่ ไ็ ด้ 150 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ครใู หน กั เรยี นทาํ กจิ กรรมเพมิ่ เตมิ โดยใชค วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั กาพยย านี 11 คาํ ในตวั เลอื กใดตอ ไปน้ีเหมาะสมทจี่ ะนํามาเติมในชองวา งท้ัง 2 คาํ โดยใหจัดลาํ ดบั กาพยยานี 11 ท่กี าํ หนดตอ ไปนีใ้ หถกู ตองตามฉันทลักษณและ เรอื่ ยเรือ่ ยมาเรียงเรยี ง นกบนิ .........ไปทง้ั หมู เนื้อความ ตัวเดียวมาพลดั ........ เหมือนพ่ีอยูผ ูเดยี วดาย 1. เอยี ง, เฉียง ลกู ศษิ ยคิดลา งครู 2. พลัน, ครัน ลอยฆาฟน ดว ยตัณหา 3. เฉยี ง, คู สอ เสียดเบยี ดเบียนกนั 4. เรยี ง, บาน ลกู ไมร ูคณุ พอ มัน วเิ คราะหค าํ ตอบ บทรอยกรองขา งตน อยูในวรรณคดเี รอ่ื ง กาพยเ หเรือ (ลกู ศษิ ยค ิดลางครู ลูกไมรูคุณพอมัน พระนพิ นธใ นเจา ฟา ธรรมธเิ บศรหรอื เจา ฟา กงุ ซงึ่ ประพนั ธด ว ยกาพยย านี 11 สอเสยี ดเบยี ดเบียนกนั ลอยฆา ฟนดว ยตัณหา) จากตัวเลือกถายดึ จากสัมผัสบังคบั ของกาพยย านี 11 จะพบวาคาํ ทาย ของวรรคหนา จะสง สมั ผสั มายงั คาํ ท่ี 1, 2 หรอื 3 ของวรรคหลงั ในบาทเอก ซงึ่ ครอู าจหาวรรณคดเี รอื่ งท่ีประพันธด ว ยกาพยย านี 11 มาเขยี นสลับวรรคกนั คําทา ยของวรรคหลังในบาทเอกจะสงสัมผสั มายังคําทา ยของวรรคหนา สรางสรรคเ ปน ใบงาน ใหนักเรยี นไดใ ชค วามรเู กี่ยวกบั ฉนั ทลักษณข องกาพยยานี 11 ปฏบิ ัติกิจกรรม ในบาทโท ดังนั้นจึงตอบขอ 3. 150 คมู่ อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู หลกั การแตง่ กาพยย์ านี ๑๑ มดี งั น้ี 1. นกั เรยี นยืนในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกัน ๑. คำ� ทรี่ บั สมั ผสั ไมใ่ ชค้ ำ� ทมี่ เี สยี งเดยี วกบั คำ� ทส่ี ง่ สมั ผสั แมจ้ ะเขยี นตำ่ งกนั เชน่ สำน-ศำล-สำร อธบิ ายความรูแบบโตตอบรอบวงเกย่ี วกบั การ ๒. ในกำรแต่งกำพย์ยำนี ๑๑ ไม่มีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ หรือรูปวรรณยุกต์ แต่ส่วนใหญ่ แตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 โดยใช จะนยิ มใชเ้ สยี งวรรณยกุ ตส์ ำมญั และจตั วำในคำ� สดุ ทำ้ ยของบำทโท เสยี งตรี เสยี งเอก กม็ บี ำ้ งแตไ่ มค่ อ่ ยนยิ ม ความรู ความเขา ใจ ทไ่ี ดร บั จากการฟง บรรยาย คำ� สดุ ทำ้ ยของบท ไมน่ ยิ มใชค้ ำ� ตำยหรอื คำ� ทมี่ รี ปู วรรณยกุ ต์ ของเพอื่ นๆ กลมุ ที่ 1 เปน ขอ มลู เบอ้ื งตน สาํ หรบั ๓. กำพยย์ ำนี ๑๑ เหมำะกบั เนอื้ หำทเ่ี ปน็ พรรณนำโวหำร เชน่ พรรณนำควำมรสู้ กึ ควำมรกั ตอบคาํ ถาม และควำมงำม • นกั เรียนต้ังขอ สังเกตวา บทรอยกรอง ๔. สัมผัสใน คือ สัมผัสภำยในวรรคเป็นสัมผัสไม่บังคับจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ถือเป็นข้อบังคับ ประเภทกาพยม คี วามแตกตางจากบท และไมเ่ ครง่ ครดั มำกนกั แตถ่ ำ้ มจี ะทำ� ใหท้ ำ� นองของกำพยย์ ำนี ๑๑ ไพเรำะสละสลวยยง่ิ ขนึ้ เชน่ รอยกรองประเภทอนื่ ๆ อยา งไร (แนวตอบ บทรอยกรองประเภทกาพยมคี วาม รอนรอนออ่ นอสั ดง พระสรุ ยิ งเยน็ ยอแสง แตกตางจากบทรอ ยกรองประเภทอืน่ ดงั น้ี • แตกตางจากกลอนในเร่อื งการแบงวรรค ชว่ งดงั นำ�้ ครง่ั แดง แฝงเมฆเขำเงำเมรธุ ร การอา น • แตกตา งจากโคลงและรา ยในเรือ่ ง ลงิ คำ่ งครำงโครกครอก ฝงู จง้ิ จอกออกเหำ่ หอน ไมบังคบั คําเอก และคาํ โท • แตกตา งจากฉนั ทในเรอ่ื งไมบ ังคับคาํ ครุ ชะนวี เิ วกวอน นกหกรอ่ นนอนรงั เรยี ง 1 คําลหุ) • กาพยย านี 11 เปน บทรอ ยกรองทม่ี ีความ (กาพยพ์ ระไชยสุริยา : สนุ ทรภ)ู่ เหมาะสมท่จี ะนํามาใชถ ายทอดเนอ้ื ความ ทม่ี ลี ักษณะอยางไร หมายเหต ุ เสน้ แสดงสมั ผสั บนแสดงสมั ผสั อกั ษร สว่ นเสน้ แสดงสมั ผสั ลำ่ งแสดงสมั ผสั สระ (แนวตอบ กาพยยานี 11 เปนบทรอ ยกรอง ทมี่ คี วามเหมาะสมจะนํามาใชถายทอด ๓ กาพยฉ์ บัง ๑๖ เนอ้ื ความทเี่ ปน พรรณนาโวหาร เชน พรรณนา ความรูส ึก ความรกั ความงาม) กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นร้อยกรองท่ีใช้บรรยำยควำมที่รวดเร็ว มีลีลำคึกคัก มีควำมไพเรำะ น�้ำเสียงก้องกังวำน แสดงควำมสง่ำงำมจึงนิยมใช้แต่งร่วมกับค�ำฉันท์ บรรยำยควำมย่ิงใหญ่อลังกำร 2. นักเรียนรวมกันสรปุ ลงความคดิ เหน็ วาแหลง หรือพรรณนำควำมโอ่อ่ำงดงำมของบ้ำนเมือง ปรำสำทรำชวัง เช่น ฉันท์ยอเกียรติชำวนครรำชสีมำ ขอมูลของเพ่ือนๆ กลุมที่ 1 มีความนาเชอ่ื ถอื ของพระยำอุปกิตศลิ ปสำร (นิ่ม กำญจนำชวี ะ) สำมคั คเี ภทค�ำฉนั ท์ ของ นำยชิต บุรทตั ฉนั ท์ดษุ ฎีสังเวย หรอื ไม เพราะเหตใุ ด กล่อมช้ำง เปน็ ต้น โบรำณนยิ มแตง่ กำพยฉ์ บงั ๑๖ เพ่อื พำกย์โขนและบทสวดมนต์ ปัจจุบันนยิ มแต่ง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ รว่ มกับฉันท์ถวำยพระพรในโอกำสต่ำงๆ ไดอยา งอิสระ ครคู วรชแี้ นะเพ่ิมเตมิ ) กำพย์ฉบงั ๑๖ มลี ักษณะฉนั ทลักษณ์ ดงั น้ี ๑) คณะ กำพยฉ์ บัง ๑๖ หนงึ่ บท มี ๓ วรรค คอื วรรคต้น วรรคกลำง และวรรคท้ำย ๒) พยางค์หรือจ�านวนคา� กำพย์ฉบัง ๑๖ หนง่ึ บท มี ๓ วรรค วรรคตน้ มี ๖ ค�ำ วรรคกลำง มี ๔ ค�ำ และวรรคท้ำยมี ๖ ค�ำ รวม ๓ วรรค มี ๑๖ ค�ำ เท่ำกับตวั เลขท้ำยช่อื วำ่ กำพยฉ์ บัง ๑๖ ๓) เสยี ง นิยมใช้เสียงสำมัญและเสยี งจตั วำเปน็ คำ� สง่ สัมผัสและค�ำท้ำยวรรค 151 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นักเรียนคดั สรรวรรณคดเี รอ่ื งทป่ี ระพนั ธด ว ยบทรอยกรองประเภท เมอ่ื ใหน ักเรียนปฏิบตั กิ จิ กรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายกอนเก็บผลงานให กาพยย านี 11 จาํ นวน 1 บท นํามาโยงเสนสมั ผัสใหถูกตอง พรอมกบั ครสู มุ เรยี กชอื่ นกั เรยี นกจิ กรรมละ 3-5 คน แสดงผลการศกึ ษา วเิ คราะห หนา ชน้ั เรยี น ถอดความเปนรอ ยแกวใหไ ดใ จความสมบูรณ แสดงผลการปฏิบัติกจิ กรรม เพ่อื เปน การแบงปนขอ มูลซึ่งกนั และกัน ลงสมุด สง ครู นักเรียนควรรู กิจกรรมทา ทาย 1 กาพยพระไชยสุริยา เปนผลงานของสุนทรภู ประพันธดว ยกาพยยานี 11 นกั เรยี นศึกษาวรรณคดีเรือ่ งท่ปี ระพันธด ว ยบทรอยกรองประเภท กาพยฉบัง 16 และกาพยส รุ างคนางค 28 โดยมจี ุดมุงหมายเพอ่ื ใชเปนแบบเรยี น กาพยยานี 11 ในจํานวนเพียงพอท่จี ะแสดงใหเหน็ รูปแบบการใชเสยี ง สอนอา นและเขยี น เมอ่ื สนุ ทรภไู ดท าํ หนา ทถี่ วายพระอกั ษรเจา ฟา อาภรณ เจา ฟา กลาง วรรณยกุ ตในคาํ ทา ยวรรคแตล ะวรรค สรุปผลการศกึ ษาวเิ คราะห และเจาฟา ปว พระราชโอรสในสมเดจ็ พระเจา บรมวงศเ ธอ เจา ฟากุณฑลทพิ ยวดี ลงสมดุ สง ครู พระอัครชายาในรัชกาลที่ 2 กาพยพ ระไชยสุริยา ยงั มีคณุ คาดานวรรณศลิ ปทีโ่ ดดเดน มสี ัมผัสในทุกวรรค ทง้ั สมั ผสั สระ และสมั ผสั อกั ษร แสดงอารมณท ีห่ ลากหลาย รวมถงึ ใหข อคิดคตเิ ตอื นใจในเรอ่ื งความซอ่ื สัตยสจุ ริต คมู ือครู 151
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนกลมุ ที่ 2 และ 3 สงตวั แทนออกมา ๔) สมั ผสั กำ� หนดสมั ผสั ระหว่ำงวรรค ๑ แห่ง และสมั ผัสระหวำ่ งบท ๑ แห่ง ดงั นี้ อธิบายความรใู นประเด็นท่ไี ดร ับมอบหมาย สมั ผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยวรรคหนำ้ สัมผสั กับค�ำทำ้ ยวรรคกลำง โดยนําเสนอใหมีความครอบคลุมตามประเดน็ สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยวรรคสำมของบทแรกสัมผัสกับค�ำทำ้ ยวรรคหนำ้ ของบทต่อไป ท่กี ําหนดไวต ามลําดบั แผนผงั และตัวอย่างกาพย์ฉบงั ๑๖ 2. ครูสมุ เรียกชือ่ นกั เรียนเพือ่ อธิบายความรู เกยี่ วกับฉนั ทลกั ษณข องกาพยฉบงั 16 โดยใช ความรู ความเขา ใจ ท่ไี ดร บั จากการฟงบรรยาย ของเพอื่ นๆ กลมุ ท่ี 2 เปนขอ มลู เบ้อื งตน (แนวตอบ กาพยฉ บงั 16 บทหนง่ึ มี 3 วรรค วรรคแรกมจี ํานวนคํา 6 คาํ วรรคที่สองมี จาํ นวนคาํ 4 คํา และวรรคทีส่ ามมีจาํ นวนคํา 6 คํา รวมแลว ทง้ั สามวรรคจะมีจํานวนคาํ ท้งั สน้ิ 16 คาํ สมั ผัสบงั คบั ในกาพยฉบัง 16 ไดแก สัมผสั ระหวางวรรค โดยคาํ สดุ ทายของวรรคแรก ชำยใดไมเ่ ทยี่ วเทยี วไป ทกุ แควน้ แดนไพร จะสงสมั ผสั มายังคาํ สุดทายของวรรคสอง มอิ ำจประสบพบสขุ ไมด่ น้ ซนซกุ สว นสมั ผัสระหวา งบทคาํ สดุ ทา ยของวรรคสาม ในบทแรกจะสงสมั ผัสมายงั คําสุดทายของวรรค ชำยใดอยเู่ หยำ้ เนำทกุ ข์ (นิท�นเวต�ล : น.ม.ส.) แรกในบทตอ ไป) กช็ อื่ วำ่ ชว่ั มวั เมำ 3. ครูสมุ เรียกชอื่ นักเรียนอธบิ ายความรเู กี่ยวกบั หลกั การแตง่ กาพยฉ์ บัง ๑๖ มีดงั น้ี ฉันทลกั ษณของกาพยสรุ างคนางค 28 โดยใช ๑. กำพย์ฉบังมีลีลำคึกคัก โลดโผนและสง่ำกว่ำกำพย์ยำนี โบรำณนิยมใช้แต่งบทพำกย์โขน ความรู ความเขาใจ ที่ไดร บั จากการฟง บรรยาย บทสวดมนต์ ถำ้ เปน็ นยิ ำย นทิ ำนกใ็ ชเ้ ปน็ บทพรรณนำโวหำรทต่ี อ้ งกำรใหม้ ลี ลี ำดงั กลำ่ ว ปจั จบุ นั นยิ มใช้ ของเพอ่ื นๆ กลมุ ท่ี 3 เปน ขอ มูลเบอ้ื งตน เขียนบทสดดุ ี และบทปลุกใจ (แนวตอบ กาพยส ุรางคนางค 28 บทหนง่ึ มี ๒. ค�ำสุดท้ำยของบทมักนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำกันมำก ส่วนวรรณยุกต์อ่ืน 7 วรรค วรรคละ 4 จงึ ทําใหมีจํานวนคาํ ท้งั ส้ิน ไม่นิยมใช้และพบไม่บอ่ ยนกั ไมบ่ งั คบั สมั ผัสระหว่ำงวรรคท่ี ๒ กบั วรรคท่ี ๓ จะมีหรือไม่มีก็ได้ 28 คํา ซึ่งสมั ผสั ในกาพยส ุรางคนางค 28 ไดแก ๓. ควำมไพเรำะของกำพย์ฉบังขึ้นอยู่กับเสียงสัมผัสใน นิยมเพ่ิมในวรรคเป็นคู่ๆ ทุกวรรค สัมผัสระหวางวรรคมจี ํานวน 4 แหง คือ คาํ ทาย ท้ังสมั ผสั สระและสัมผัสอกั ษร เช่น ของวรรคแรกสง สัมผัสมายังคาํ สุดทายของ วรรคสอง คําสดุ ทา ยของวรรคสามสง สัมผัส เขำสงู ฝงู หงสล์ งเรยี ง เรงิ รอ้ งกอ้ งเสยี ง มายังคําสดุ ทา ยของวรรคหา และวรรคหก คําสดุ ทายของวรรคสส่ี ง สมั ผสั มายงั คําแรกหรือ สำ� เนยี งนำ่ ฟงั วงั เวง คาํ ทส่ี องของวรรคหา ‘บางตาํ รากลา ววาเปน คาํ ท่ีสามของวรรคหา ’ สวนสัมผัสระหวางบท กลำงไพรไกข่ นั บรรเลง ฟงั เสยี งเพยี งเพลง คาํ สดุ ทา ยของวรรคเจด็ ในบทแรกจะสง สมั ผสั มายงั คาํ สุดทา ยของวรรคสามในบทตอ ไป) ซอเจง้ จำ� เรยี งเวยี งวงั (ก�พยพ์ ระไชยสรุ ยิ � : สนุ ทรภู่) หมายเหตุ เสน้ แสดงสมั ผสั บนแสดงสมั ผสั อกั ษร สว่ นเสน้ แสดงสมั ผสั ลำ่ งแสดงสมั ผสั สระ 152 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดกลาวถกู ตองเกี่ยวกบั กาพยฉ บัง 16 ครคู วรใหน กั เรียนทํากจิ กรรมเพิ่มเตมิ เพอื่ ทบทวนความรู ความเขาใจเก่ียวกับ 1. มีจํานวนคําทง้ั ส้นิ 28 คาํ กาพยฉ บงั 16 โดยครอู าจคน หาวรรณคดที ปี่ ระพนั ธด ว ยกาพยฉ บงั 16 นาํ มาเขยี นเปน 2. มกี ารบังคับเสียงวรรณยุกตใหเปนไปตามแบบแผน ขอ ความทไ่ี มม กี ารเวน วรรคบนกระดาน จากนนั้ สมุ เรยี กชอื่ นกั เรยี น หรอื ขออาสาสมคั ร 3. เหมาะสมทจ่ี ะใชใ นกระบวนความทีเ่ ปนการพรรณนา ออกมาจดั วรรคขอ ความดังกลา วใหถูกตอ งตรงตามฉันทลกั ษณของกาพยฉ บงั 16 4. บทหน่ึง มี 3 วรรค วรรคแรก 6 คํา วรรคสอง 4 คํา และวรรคหลัง 6 คํา วเิ คราะหคําตอบ กาพยฉบัง 16 บทหน่งึ มี 3 วรรค วรรคแรกมี 6 คํา วรรคสองมี 4 คํา และวรรคทา ยมี 6 คํา ดงั นนั้ บทหน่ึงจึงมจี าํ นวนคํา ทงั้ ส้ิน 16 คํา ซ่งึ ลกั ษณะคําประพนั ธเหมาะสมท่ีจะใชใ นการแตง บทสดุดี บทไหวค รู และไมมกี ารบังคับเสียงวรรณยุกต ดังนั้นจงึ ตอบขอ 4. 152 ค่มู อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๔ กาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ 1. นกั เรยี นยนื ในลกั ษณะวงกลมเพอื่ รว มกนั อธบิ าย ความรเู กยี่ วกับการแตง บทรอ ยกรองประเภท กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ มลี ักษณะฉนั ทลักษณ์ ดังน้ี กาพยฉบัง 16 และกาพยส รุ างคนางค 28 ๑) คณะ กำพยส์ รุ ำงคนำงค์ ๒๘ หน่ึงบท มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คำ� รวม ๒๘ ค�ำ • กาพยฉ บัง 16 เปนบทรอยกรองทมี่ คี วาม ๒) พยางคห์ รือจา� นวนคา� ในแตล่ ะวรรค มี ๔ ค�ำ ๗ วรรค รวมเป็น ๒๘ คำ� จึงเขยี นจ�ำนวน เหมาะสมจะนาํ มาใชก ับเนอ้ื ความที่มี คำ� ทำ้ ยชอ่ื กำพยว์ ำ่ สรุ ำงคนำงค์ ๒๘ หมำยถงึ มีจำ� นวนคำ� ๑ บท ๒๘ คำ� ลกั ษณะอยางไร ๓) เสยี ง ไมบ่ ังคบั เสยี งวรรณยุกต์ แตส่ ่วนมำกนยิ มเสียงสำมญั และเสียงจตั วำ (แนวตอบ กาพยฉ บัง 16 เปนบทรอยกรองท่ี ๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๔ แหง่ และสัมผัสระหวำ่ งบท ๑ แห่ง ดงั นี้ มีจังหวะลลี าโลดโผน ในสมัยโบราณนยิ มใช แตงเปนบทพากยโ ขน บทสวดมนต ปจจุบนั สมั ผัสระหวา่ งวรรค ค�ำท้ำยวรรคหนำ้ สัมผัสกบั คำ� ทำ้ ยวรรคสอง นยิ มใชแตง เปน บทไหวครู บทสดุดีหรือเร่ือง คำ� ท้ำยวรรคสำมสมั ผัสกับค�ำทำ้ ยวรรคหำ้ และวรรคหก ท่วั ไปในการบรรยายความ) คำ� ท้ำยวรรคสสี่ มั ผสั กบั ค�ำที่หนึ่งหรือสองของวรรคห้ำ • การแตงบทรอ ยกรองประเภทกาพยฉ บัง 16 สัมผัสระหวา่ งบท ค�ำทำ้ ยวรรคเจด็ ของบทแรกสมั ผัสกับค�ำท้ำยวรรคที่สำมของบท ไมม กี ารบงั คบั เรื่องเสยี งวรรณยกุ ตแ ตเ พราะ ต่อไป เหตใุ ด นกั เรยี นจงึ ควรเรยี นรเู กยี่ วกบั ความ นยิ มในการใชเสียงวรรณยุกตคาํ ทายวรรค แผนผังและตัวอยา่ งกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ (แนวตอบ การเรียนรเู กีย่ วกับความนยิ มใน เสียงวรรณยุกตคําทายวรรค นบั เปน ศลิ ปะ การประพันธป ระการหนง่ึ เพราะความรู เหลา นี้จะชวยทาํ ใหก าพยฉบงั 16 ทีแ่ ตง มี ความไพเราะ อานแลว ใหค วามรสู กึ ราบรนื่ ตอเน่อื ง) • นักเรยี นคดิ วาความไพเราะของการแตง สรุ ำงคนำงค์ เจด็ วรรคจดั วำง ใหถ้ กู วธิ ี กาพยส รุ างคนางค 28 คืออะไร สมั ผสั มหี ลกั คำ� วรรคละส่ี ยส่ี บิ แปดมี ครบบทจดจำ� (แนวตอบ ภายในวรรคเดียวกนั ผแู ตง สรุ ำงคนำงค์ แตง่ เปน็ ตวั อยำ่ ง เหมำะสมคมขำ� สามารถใชการเลนคํา ซ้าํ คําหรอื ซํา้ ความ คดิ นกึ ตรกึ ตรำ เลอื กหำถอ้ ยคำ� สอดเสยี งสงู ตำ�่ ฟงั เพรำะเสนำะแล ไดเหมาะสม) 2. นกั เรียนเขยี นสรุปความรู ความเขาใจของ (ท ๐๔๑ ก�รประพนั ธ์ : ฐะปะนยี ์ น�ครทรรพ) ตนเองเกีย่ วกับฉันทลักษณของกาพยแ ตละ ประเภท ไดแ ก กาพยยานี 11 กาพยฉ บัง 16 หลักการแตง่ กาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ มดี ังน้ี และกาพยสุรางคนางค 28 โดยเขยี นแผนผัง ๑. ค�ำสุดทำ้ ยของวรรคท่ี ๓ หำกลงด้วยเสียงจตั วำจะเพิ่มควำมไพเรำะยง่ิ ขึ้น แสดงฉันทลกั ษณ โยงสัมผัสระหวา งวรรค ๒. ควำมไพเรำะของกำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ บำงวรรคอำจจะเล่นค�ำ ซ้�ำค�ำ ซ้�ำควำม ระหวางบทใหถูกตอง รวมถึงต้งั ขอสงั เกต ดว้ ยเสยี งสระหรอื เสียงพยญั ชนะกจ็ ะเพม่ิ ควำมไพเรำะข้ึน 153 เกี่ยวกบั การใชเ สยี งวรรณยุกตในคําทา ยวรรค เพอ่ื เพิม่ ความไพเราะใหแ กก าพย สรปุ เปน ใบความรูเ ฉพาะบุคคล สง ครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู นกั เรยี นศึกษาบทรอยกรองประเภทกาพยฉ บัง 16 แลว ตัง้ ขอสงั เกตวา ครูควรยกตัวอยางบทสดุดที ี่ประพันธดวยกาพยฉบงั 16 เชน บารมพี ระรมเกลา สามารถนาํ ไปประพนั ธรวมกับบทรอยกรองประเภทใดไดบ าง โดยยก (วรรณคดี สรรพจิต) โดยขออาสาสมคั รนักเรยี นทม่ี ีทกั ษะการอานออกเสยี งทีด่ ี ตวั อยางประกอบ นาํ เสนอผลการศึกษาในรปู แบบใบความรเู ฉพาะบุคคล ออกมาอานออกเสยี งทํานองเสนาะใหเพอื่ นๆ ฟง หนา ช้ันเรียน จากนน้ั ใหร วมกนั ลงสมดุ สง ครู ถอดความ เม่อื ใหนักเรยี นปฏิบัติกิจกรรมทางซายมือ กอ นเกบ็ ใบความรู ครูอาจสมุ เรียกช่อื นักเรยี นกิจกรรมละ 3-5 คน เพื่อแสดงผลการศกึ ษาและผลการวเิ คราะห กจิ กรรมทา ทาย หนาชนั้ เรยี น แลกเปล่ียนขอมลู เพอื่ นําไปประยกุ ตใชในกิจกรรมตอๆ ไป หรือการ แตง บทรอ ยกรองของตนเอง นกั เรยี นศกึ ษาวรรณคดเี รอ่ื งทปี่ ระพนั ธด ว ยบทรอ ยกรองประเภทกาพย- ฉบงั 16 ในจาํ นวนเพียงพอทีจ่ ะแสดงใหเหน็ รูปแบบการใชเ สียงวรรณยกุ ต ในคาํ ทายวรรคแตล ะวรรค สรปุ ผลศกึ ษาวิเคราะหลงสมดุ สงครู คูม่ อื ครู 153
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๓. สมั ผสั ใน เปน็ สมั ผสั ไมบ่ งั คบั จะมหี รอื ไมม่ กี ไ็ ด ้ สว่ นใหญน่ ยิ มแตง่ ใหม้ สี มั ผสั ในเปน็ คๆู่ เชน่ ความรแู บบโตต อบรอบวงเกยี่ วกบั การแตง บทรอ ยกรอง ดวยวธิ ีการตง้ั คาํ ถามของครู จนั ทราคลาเคลอ่ื น กระเวนไพรไกเ่ ถอ่ื น เตอื นเพอื่ นขานขนั • ผทู ่ีจะแตง บทรอ ยกรองไดด ี ควรมคี ุณสมบัติ ปเู่ จา้ เขาเขนิ กเู่ กรน่ิ หากนั สนิ ธพุ ลุ น่ั ครน้ื ครน่ั หวนั่ ไหว อยางไร (แนวตอบ พระฟน้ื ตน่ื นอน ไกลพระนคร สะทอ้ นถอนทยั • มคี วามรู ความเขาใจในเร่อื งฉันทลักษณ • มคี วามรใู นขนบและศลิ ปะแหง การประพนั ธ เชา้ ตรสู่ รุ ยิ น ขนึ้ พน้ เมรไุ กร มกี รรมจา� ไป ในปา่ อารญั • มที ักษะในการอานออกเสียง • เปน ผรู อบรู ซง่ึ ไดมาจากการอา นมาก (กาพย์พระไชยสรุ ิยา : สุนทรภู่) ฟงมาก) หมายเหต ุ เสน้ แสดงสมั ผสั บนแสดงสมั ผสั อกั ษร สว่ นเสน้ แสดงสมั ผสั ลา่ งแสดงสมั ผสั สระ • ความรูเกี่ยวกับฉนั ทลักษณข องบทรอยกรอง เพียงพอหรอื ไมก ับการแตงบทรอ ยกรองให เกรด็ ภาษา ไพเราะ ลมุ ลึก (แนวตอบ ความรู ความเขาใจในเรอื่ ง ศลิ ปะในการประพนั ธ์ ฉนั ทลกั ษณจ ะทําใหน กั เรียนเปนผทู ี่แตง บทรอยกรองได แตไ มพ อสําหรับการแตง การแตง่ คา� ประพนั ธใ์ หไ้ พเราะ แสดงใหเ้ หน็ ความสามารถของกวแี ละความงามเชงิ วรรณศลิ ป์ บทรอ ยกรองใหไ พเราะ นกั เรยี นตอ งมคี วามรู ในเชงิ ศลิ ปะแหง การประพนั ธ รูวา จะตองเลอื ก สามารถท�าไดห้ ลายวิธี เช่น การใชโ้ วหาร ภาพพจน์ การเลน่ คา� เลน่ เสียง ดังตวั อย่างการสรรคา� ใชค าํ อยา งไร ใหม คี วามไพเราะท้ังดานเสยี ง ความหมาย ถายทอดแนวคดิ ไดค รบถว น โดยการใช้ภาพพจน์แบบสัทพจน์ เพ่ือให้เกิดจินตนาการ เห็นภาพและเกิดเสียงท่ีได้ยินจากรส สว นบทรอ ยกรองจะมีความลมุ ลกึ หรือไมน ้ัน ยอมขึน้ อยูกับแนวคดิ และจนิ ตนาการของ ของบทประพนั ธ์ เช่น พญาลอคลอเคยี ง ผแู ตงเปน สําคัญ) กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง เพลินฟงั วังเวง • ทกั ษะดานการออกเสยี ง มีความเกยี่ วขอ ง แอน่ เอ้ยี งอโี ก้งโทงเทง กบั การแตง บทรอ ยกรองอยา งไร คอ้ นทองเสียงรอ้ งป๋องเปง๋ (แนวตอบ เพราะในขณะทแ่ี ตงบทรอ ยกรอง ผแู ตง จะตอ งอานออกเสียงคําที่บรรจุลงไป อีเกง้ เริงร้องลองเชงิ ในแตล ะวรรคดวย เพ่ือตรวจสอบวาคําทบ่ี รรจุ ลงไปน้ันเมื่อออกเสียงแลว ทาํ ใหทว งทํานอง (กาพยพ์ ระไชยสุริยา : สนุ ทรภ)ู่ ของบทรอ ยกรองท่ีแตง มคี วามสะดุดหรอื ไม และหากพบวา ไมเหมาะสม จะไดแ กไ ขให บทร้อยกรองเป็นเอกลักษณ์และสมบัติทางภาษาท่ีควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คง ถูกตอ ง เหมาะสม) อยู่ด้วยการแต่งบทร้อยกรองและพัฒนาให้มีศิลปะ เพิ่มความงามทางภาษา เน่ืองด้วย บทร้อยกรองมีฉันทลักษณ์ท่ีบังคับเป็นกฎเกณฑ์ ส่งผลให้เป็นงานประพันธ์ที่มีสÓนวน ภาษาด ี มคี วามสละสลวย มคี ณุ คา่ ทงั้ ดา้ นภาษาและเนอ้ื หา ซง่ึ ใหค้ วามร ู้ ความสนกุ สนาน ขอ้ คดิ คตเิ ตอื นใจ ผอู้ า่ นสามารถนÓไปปรบั ใชก้ บั การดÓเนนิ ชวี ติ ประจÓวนั อกี ทง้ั ยงั เปน็ การช่วยดÓรงสมบัตทิ างภาษาของชาตไิ ด้เปน็ อย่างดี 154 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรชี้แนะแกน กั เรียนวา ผทู แ่ี ตง บทรอ ยกรองได คือผทู แี่ ตง บทรอยกรองได นักเรยี นอา นวรรณคดเี รื่อง กาพยพระไชยสรุ ิยา ต้ังแตวรรค “วันน้ัน ถูกตอ งตามฉันทลักษณทงั้ จาํ นวนคาํ วรรค และสัมผัส สว นผทู ี่แตง เปน คือผูท ีม่ ี จันทร...วาวอนเวียงวัง” โดยแสดงแผนผังโยงสัมผัสใหถกู ตอง พรอ มทง้ั ความรูใ นเชิงศลิ ปะแหง การประพันธ สามารถสรรคําหรือเลือกคาํ ที่มคี วามถงึ พรอ ม ถอดความเปนรอ ยแกว ลงสมุด สง ครู ในดา นเสยี ง ท้งั เสยี งพยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต เลอื กใชค าํ ทม่ี คี วามถงึ พรอ ม ในดานความหมาย มีพลงั ทําใหผ ูอาน ผฟู ง ไดเห็น ไดย ิน ไดสมั ผสั นอกจากน้ี กิจกรรมทาทาย ยังตอ งรขู นบการประพนั ธ รวู า คาํ ประพันธประเภทน้ีเหมาะทจี่ ะใชกบั เนื้อความใด การจดั วางคําใหไ ดเสยี งเสนาะ เมอ่ื มีความรูในดานฉนั ทลกั ษณและศิลปะแหงการ นักเรียนศกึ ษาวรรณคดเี ร่ืองทป่ี ระพันธด ว ยบทรอยกรองประเภทกาพย ประพันธ ก็เทา กับวา นักเรียนมีเครือ่ งมอื สาํ หรบั การถา ยทอดจนิ ตนาการหรือแนวคดิ สุรางคนางค 28 ในจาํ นวนเพียงพอทีจ่ ะแสดงใหเหน็ รปู แบบการใชเสยี ง ของตนเอง ซึง่ ความลมุ ลึกของบทรอ ยกรองแตละบทลว นเกดิ จากจนิ ตนาการหรือ วรรณยุกตในคําทายวรรคแตละวรรค สรุปผลการศึกษาวเิ คราะหลงสมดุ ความคดิ ของผูแตง เม่ือใหนักเรียนปฏบิ ตั ิกิจกรรมดานขวามือ กอนเก็บใบความรู สง ครู ครสู มุ เรยี กชอ่ื นกั เรยี นกจิ กรรมละ 3-5 คน แสดงผลการศกึ ษาและวเิ คราะหแ ลกเปลยี่ น ความรู เพอ่ื นาํ ไปประยกุ ตใ ชใ นกจิ กรรมตอ ๆ ไป หรอื การแตง บทรอ ยกรองของตนเอง 154 คมู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ Expand คาํ ถาม ประจําหนวยการเรยี นรู นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ทไ่ี ดร ับจาก การฟง บรรยายของเพอื่ นๆ แตละกลมุ และรวมถงึ ๑. ก�รศกึ ษ�ฉันทลักษณ์ของบทรอ้ ยกรองมีประโยชนต์ ่อก�รแต่งคำ�ประพนั ธ์อย�่ งไร รอ งรอยความรเู ดมิ หรือประสบการณส วนตนของ ๒. วรรณคดที ่แี ต่งดว้ ยก�พยย์ �นี ๑๑ ท่นี กั เรียนรูจ้ ักมีเร่อื งใดบ้�ง นกั เรียน รวมกนั ตั้งเกณฑเ พ่อื กาํ หนดลกั ษณะของ ๓. สัมผัสในมีคว�มส�ำ คัญตอ่ ก�รแต่งค�ำ ประพนั ธห์ รอื ไม่ อย�่ งไร บทรอยกรองประเภทกาพยย านี 11 ทดี่ ี สําหรบั ๔. ก�พยฉ์ บัง ๑๖ นิยมแตง่ ค�ำ ประพนั ธท์ ี่มีลักษณะเน้อื ห�อย�่ งไร ใชป ระเมนิ ผลงานการแตงบทรอ ยกรองประเภท ๕. ก�พยส์ ุร�งคน�งคม์ ีลกั ษณะค�ำ ประพนั ธ์อย่�งไร กาพยยานี 11 ของตนเอง รวมถงึ เพ่อื นๆ ใน ชน้ั เรียน และใชเ ปนแนวทางปรับปรุงแกไ ขใน กจิ กรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู คร้ังตอไป ซง่ึ คําตอบของนักเรยี นควรครอบคลุม ประเดน็ ดังตอ ไปน้ี กิจกรรมที่ ๑ นกั เรียนเลอื กแต่งคำ�ประพันธป์ ระเภทก�พย์ คนละ ๑ ชนิด ในหวั ขอ้ ทีก่ ำ�หนด หรือให้นกั เรียนก�ำ หนดเอง เชน่ (แนวตอบ เชน ■ โลกรอ้ นจรงิ หนอ • มีฉนั ทลกั ษณทถี่ ูกตอ ง ■ มลพิษในชวี ิต • นําศิลปะแหง การประพนั ธมาใชไดสอดคลอ ง ■ คนไทยไมแ่ ล้งน�้ำ ใจ ■ ขยะดมี ีค่� เหมาะสมกบั เน้ือหาสาระ นกั เรยี นแบ่งกลุ่ม แต่งค�ำ ประพนั ธป์ ระเภทก�พย์ต�มที่รว่ มกนั ก�ำ หนดหัวขอ้ • สะทอนจนิ ตนาการ หรอื มคี วามลุมลกึ ใน แลว้ น�ำ เสนอผลง�นหน�้ ชั้นเรียน นักเรยี นแต่งค�ำ ประพันธ์เกี่ยวกับก�รใชภ้ �ษ�ไทยให้ถกู ต้อง เพ่ือรณรงค์ แนวคดิ ท่ีถา ยทอด ก�รใชภ้ �ษ�ไทยในโรงเรียน แล้วนำ�ม�จัดป�้ ยนิเทศ • ลาํ ดับความและสอ่ื ความไดครบถว น) จากนน้ั ใหแ ตง บทรอ ยกรองประเภทกาพยย านี 11 คนละไมตํ่ากวา 2 บท ตรวจสอบผล Evaluate กิจกรรมที่ ๒ 1. ครตู รวจสอบบทรอ ยกรองประเภทกาพยย านี กิจกรรมที่ ๓ 11 โดยยึดหลกั เกณฑท่ีนักเรยี นรวมกนั กาํ หนด ขนึ้ ภายใตค าํ แนะนาํ ของครู 2. นักเรยี นตอบคาํ ถามประจาํ หนว ยการเรียนรู หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู บทรอ ยกรองประเภทกาพยยานี 11 จาํ นวน ไมต าํ่ กวา 2 บท 155 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรียนรู 1. การแตง บทรอยกรองแตละประเภทสิ่งสาํ คญั ประการแรก คอื ผูแ ตง จะตองมคี วามรู ความเขา ใจ ทีถ่ ูกตองเก่ยี วกับฉนั ทลกั ษณของบทรอยกรอง เพอ่ื ใหสามารถแตงได ถูกตอ งตามแบบแผน ทั้งเรือ่ งจํานวนคาํ จาํ นวนวรรค สัมผสั และเสียงวรรณยกุ ต 2. วรรณคดีทแ่ี ตงดว ยบทรอยกรองประเภทกาพยย านี 11 ไดแก กาพยเ หชมเคร่อื งคาวหวาน กาพยเ หเรอื กาพยพระไชยสรุ ยิ า 3. สมั ผัสในแมว า จะไมใชส มั ผัสบังคับที่จะตอ งปรากฏในบทรอยกรอง แตถ ือกนั โดยทั่วไปวา หากผแู ตงแตละคนสามารถเลือกสรรถอยคําใหม สี ัมผัส เกิดความคลอ งจอง ของเสียงสระ เสยี งพยัญชนะภายในวรรคเดียวกนั ได จะยงิ่ ทําใหบ ทรอ ยกรองน้นั ๆ มีความไพเราะมากยงิ่ ขึน้ เปนศลิ ปะแหง การประพนั ธ 4. กาพยฉ บงั 16 ในสมัยโบราณนยิ มแตงเพือ่ ใชเ ปน บทพากยโ ขน แตใ นปจ จุบนั นยิ มแตง เปน บทสวด บทไหวครู บทสดดุ หี รอื เรอื่ งท่วั ไปในการบรรยายความ 5. กาพยสุรางคนางค 28 บทหนึง่ มี 7 วรรค วรรคละ 4 คาํ ซงึ่ สมั ผัสของกาพยส รุ างคนางค 28 ไดแก สัมผัสระหวางวรรคมีจํานวน 4 แหง คอื คําทายของวรรคแรก สงสัมผัสมายงั คาํ สุดทายของวรรคสอง คาํ สุดทายของวรรคสามสงสมั ผสั มายงั คาํ สดุ ทายของวรรคหา และวรรคหก คาํ สดุ ทา ยของวรรคสสี่ งสัมผัสมายงั คําแรก หรือคําทีส่ องของวรรคหา สวนสมั ผสั ระหวา งบทคาํ สดุ ทายของวรรคเจ็ดในบทแรกจะสง สมั ผัสมายงั คาํ สุดทา ยของวรรคสามในบทตอไป ค่มู อื ครู 155
กระตุ้นความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate บรรณานกุ รม กองเทพ เคลือบพณิชกุล. ๒๕๔๒. การใชภ้ าษาไทย. กรงุ เทพมหำนคร : โอเดียนสโตร.์ กุหลำบ มัลลิกะมำศ และวิพุธ โสภวงศ.์ ๒๕๔๒. การเขียน ๑. กรุงเทพมหำนคร : อกั ษรเจรญิ ทัศน์. กสุ มุ ำ รักษมณี. ๒๕๓๔. สีสันวรรณกรรม. กรุงเทพมหำนคร : ศยำม. . ๒๕๓๑. ทกั ษะสื่อสาร ๑. กรงุ เทพมหำนคร : อักษรเจริญทศั น.์ . ๒๕๓๑. ทกั ษะสื่อสาร ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจรญิ ทศั น.์ กสุ ุมำ รักษมณี และคณะ. ๒๕๓๑. สังกัปภาษา ๑. กรงุ เทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์. เจอื สตะเวทนิ . ๒๕๒๒. ตา� รบั วรรณคดี. กรุงเทพมหำนคร : อนงคศ์ ิลป์กำรพิมพ.์ ฐะปะนีย์ นำครทรรพ. ๒๕๔๓. การเขยี น ๒. กรงุ เทพมหำนคร : อักษรเจรญิ ทศั น์. . ๒๕๑๙. ท ๐๔๑ การประพันธ.์ กรงุ เทพมหำนคร : อักษรเจรญิ ทัศน.์ . ๒๕๒๖. ท ๐๔๒ การเขยี น ๒. กรงุ เทพมหำนคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น.์ . ๒๕๒๘. บันไดหลักภาษา ๑. กรงุ เทพมหำนคร : อักษรเจรญิ ทัศน์. . ๒๕๔๒. บนั ไดหลกั ภาษา ๒. กรงุ เทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน.์ . ๒๕๔๒. บนั ไดหลักภาษา ๓. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน.์ ฐะปะนยี ์ นำครทรรพ และคณะ. ๒๕๔๒. ภาษาสุนทร ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทศั น์. ณรงค์ มนั่ เศรษฐวทิ ย.์ ๒๕๔๐. ภาษากบั ความคิด. กรงุ เทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์. นววรรณ นำครสรรพ. ๒๕๒๗. ไวยากรณ์ไทย. กรงุ เทพมหำนคร : ร่งุ เรอื งสำส์นกำรพิมพ.์ บรรจบ พันธเุ มธำ. ๒๕๓๔. ลักษณะภาษาไทย. กรงุ เทพมหำนคร : โรงพมิ พค์ ุรุสภำ. ผจงวำด พลู แก้ว. ๒๕๔๗. แบบฝกึ ทกั ษะฟงั พูด อา่ น เขียน. กรงุ เทพมหำนคร : สุวรี ิยำสำส์น. ไพศำล อินทวงศ.์ ๒๕๔๗. ตามรอยโหมโรง. กรุงเทพมหำนคร : สุวรี ิยำสำส์น. . ๒๕๓๘. เอกสารการสอนชุดการใช้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรุง) หน่วยท่ี ๙-๑๕. นนทบุรี : โรงพิมพ์ มหำวทิ ยำลัยสุโขทยั ธรรมำธิรำช. . ๒๕๓๔. เอกสารการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ ๑-๗. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัย สุโขทัยธรรมำธริ ำช. . ๒๕๓๔. เอกสารการสอนชดุ การอ่านภาษาไทย หนว่ ยท่ี ๘-๑๕. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัย สุโขทยั ธรรมำธิรำช. . ๒๕๔๔. เอกสารการสอนชดุ การเขยี นเพื่อการสอ่ื สารธุรกจิ หนว่ ยที่ ๑-๘. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์ มหำวิทยำลัยสโุ ขทยั ธรรมำธริ ำช. รำชบัณฑติ ยสถำน. ๒๕๕๐. พจนานกุ รมศพั ท์วรรณกรรมไทย ภาคฉนั ทลักษณ.์ กรุงเทพมหำนคร : รำชบัณฑติ ยสถำน. รำชบณั ฑิตยสถำน. ๒๕๕๖. พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พมิ พค์ รั้งท่ี ๒. กรุงเทพมหำนคร : ศริ ิวัฒนำ อินเตอรพ์ รน้ิ ท์ จ�ำกัด (มหำชน). วนดิ ำ จนั ทรจุ ิรำกร. ๒๕๔๓. อินเทอรเ์ น็ต มติ ใิ หม่ของการสือ่ สาร. กรงุ เทพมหำนคร : เธิรด์ เวฟ เอด็ ดเู คชนั่ . วำสนำ บุญสม. ๒๕๓๙. กลอนสัมผสั ใจได้อย่างไร. กรุงเทพมหำนคร : ลนิ คอรน์ โปรโมชั่น. วิจิตร อำวะกลุ . ๒๕๔๐. เพ่อื การพดู การฟังและการประชุมทดี่ .ี กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์. สนิท ตง้ั ทว.ี ๒๕๓๖. อา่ นไทย. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์. สุวิทย์ มลู คำ� . ๒๕๔๕. ชวนครฮู าพานักเรยี นเฮ. กรงุ เทพมหำนคร : หจก.ภำพพิมพ์. อัจฉรำ ชีวพันธ.์ ๒๕๔๔. อา่ นสนกุ -ปลกุ สา� นกึ . กรุงเทพมหำนคร : โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย. อัศศริ ิ ธรรมโชติ. ๒๕๓๐. ขุนทองเจา้ จะกลบั มาเมอื่ ฟ้าสาง. กรุงเทพมหำนคร : ก.ไก.่ อุปกิตศิลปสำร, พระยำ. ๒๕๓๕. หลักภาษาไทย : อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์. กรุงเทพมหำนคร : ไทยวฒั นำพำนิช. 156 156 คมู่ อื ครู
สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก >> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท. คู่มือครคู ู่มบือรค. ภราู บษรา.ไทภยาษหาลไทักยภาหษลาักฯภมาษ.1า ม.1 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200 โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 885 88654896 41932 25163203256.6-03 6.- www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166