สดุ ทา ยผบู รรยายยงั มเี รอื่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ จากความไมร จู รงิ เม่ือนำความรูไปใชแลวทำใหเกิดเปนปญหากับผูใช ซ่ึงมีอยู ครง้ั หนง่ึ ผบู รรยายไดถ กู เชญิ ไปใหค วามรผู มู ที กั ษะในการรกั ษา คนไขใหหายเจบ็ ปว ย หลงั จากการบรรยายจบส้นิ ลง ไดม ีหมอ ใหญทานหนึ่งเขา มาทักทายผูบรรยายแลว พูดวา หมอใหญ : ผมไปเปลยี่ นตบั มาครบั เอาตบั ของเดก็ ทถี่ กู รถชนตายมาเปลี่ยนแทนตับของผม ผบู รรยาย : คณุ หมอทำงานทางดานไหนครับ หมอใหญ : ผมมีความรูและมีประสบการณในดานยา รกั ษาโรค กอ นนำยามาใชก บั คนไข ผมตอ งเอายาไปฉดี ทดลอง ในหนูขาว (mice) กอน หากหนูหายจากโรคและไมมีไซต เอ็ฟเฟกต ผมจึงจะนำยาน้นั มาฉดี ใหคนไขค รบั จากคำบอกเลา ของหมอใหญ ผบู รรยายจงึ ไดร วู า การ กระทำของคุณหมอมิไดผิดกฎหมายและมิไดผิดจรรยาแพทย แตผิดกฎแหงกรรมตรงท่ีวา กระทำเหตุเบียดเบียนสัตว เพราะตับของสัตว รวมถึงตับของมนุษยทำหนาท่ีสรางน้ำดี และสรา งโปรตนี บางชนดิ ขน้ึ เพอ่ื ทำลายพษิ ทเี่ ขา สตู วั ยาทคี่ ณุ ๙๙ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนหมอฉีดเขาไปในตัวหนูทดลอง ถือวาเปนส่ิงแปลกปลอมท่ีนำ เขาไปในตวั สตั ว ตบั ของสัตวจ งึ ตอ งทำหนาท่กี ำจดั สารพิษให หมดไปจากรางกาย เมือ่ ตับตองทำงานหนกั จนเส่ือมดลุ ยภาพ ผลการเปลี่ยนตับ (organ transplant) จึงไดเกิดขึ้นกับคุณ หมอ ดวยเหตุนี้การใชความรูทางโลกหรือความรูที่ไมจริงแท ไปในทางท่ีเบยี ดเบียน ยอ มนำทกุ ขโทษมาสูผใู ชไ ด เมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ ผูบรรยาย ไดมีโอกาสเขาไปกราบพระนิยตโพธิสัตว ท่ีมีชื่อวา “ครูบา บญุ ชุม ” ในถ้ำราชคฤห อำเภองาว จงั หวัดลำปาง ถ้ำนนั้ แบง ออกเปน สามเขต โดยมปี ระตกู น้ั เขตถำ้ ชนั้ ในสดุ เปน ทอ่ี ยขู อง สงฆ (สงั ฆาวาส) จงึ มฆี ราวาสเพศชายประมาณ ๒๐ คนไดร บั อนุญาตใหเขาไปยังถ้ำชั้นในสุดได หลังจากท่ีไดกราบครูบาฯ แลว ทา นไดพ ดู ขนึ้ วา “ตอ ไปนโี้ ลกจะวกิ ฤตมากยงิ่ ขน้ึ พวกเรา อยาไดประมาท จงพัฒนาจติ แลว ปด อบายภมู ใิ หได” คำวา “วกิ ฤต” หมายถงึ เหตกุ ารณทีก่ ำลังจะแปรผนั ไปเปนอันตราย คำวา “กลียุค” หมายถงึ สมยั ที่มเี หตุการณปน ปว น ๑๐๐
หรือเดือดรอนกันไปทั่ว ดังนั้นความหมายของคำวาวิกฤต ท่ี ครูบาฯ ไดกลา วเตือนญาตธิ รรมก็คอื ในวนั เวลาขางหนา โลก ท่ีเราอยูอาศัยกำลังจะเกิดเหตุการณแปรผันไปอยูในข้ันท่ีปน อันตรายตอการอยูอ าศัยของคนบางหมบู างพวกมากย่ิงข้นึ ผู บรรยาย ได ฟง แลว ยัง พอใจ ช้ืน ท่ี ยัง ไม เขา ถึง เหตุการณที่ทำใหเดือดรอนกันไปท่ัวท่ีเรียกวา กลียุค จาก ภาพขาวเร่ืองน้ำทวมที่ออกเผยแพรทางจอโทรทัศนจะเห็นได วา น้ำทวมเกดิ ขน้ึ ในท่หี ลายแหง เชนทีโ่ คราช ท่นี ครสวรรค ท่อี ยธุ ยา ที่จงั หวัดชยั ภูมิ ฯลฯ เหลา นเ้ี ปน เหตุการณวกิ ฤตที่ ทำใหม นุษยม คี วามเปน อยทู ไี่ มส งบสุข ซ่ึง พระพุ ทธ โค ดม ได ต รัส ไว ใน ครั้ ง พุท ธ ก า ล ว า “มนุษยมีทรัพยสมบัติเปนสาธารณะแกโจร แกน้ำ แกไฟ แกพระราชา” แมกาลเวลาไดสืบตอมายาวนานนับหลาย พันป สัจธรรมดังกลาวก็ยังคงความเปนจริงสืบตอมาจนถึง ยุคปจจุบัน ดังที่ครูบาฯ ไดกลาวเนนย้ำไมใหประมาทในการ ดำเนินชวี ิต ปญ หาจึงมอี ยูวา เราจะปด อบายภูมิไดอยา งไร? การพัฒนาจิตแลวปดอบายภูมิใหได เปนคำกลาวที่ ดร.สนอง วรอไุ ร ๑๐๑
ตายแล้วไปไหนบุคคลตองทำเหตุปจจุบันใหถูกตรง แลวชีวิตในกาลเวลาขาง หนา จะไมโ คจรลงไปเกดิ เปนสตั วอ ยูในอบายภมู ิ อันไดแ ก ไม ลงไปเกิดเปนสัตวเดรัจฉาน ไมลงไปเกิดเปนสัตวเปรต สัตว อสรุ กาย รวมถึงไมลงไปเกิดเปน สตั วนรก การจะทำเชน นไี้ ด บคุ คลตอ งพฒั นาจติ (สมถภาวนา) ใหเขาถึงความตั้งม่ันเปนสมาธิ และพัฒนาจิต (วิปสสนา ภาวนา) ใหเกิดปญ ญาเห็นแจง แลว ใชป ญญาเห็นแจง กำจดั กิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน) อยางนอยกำจัดสังโยชนสามตัว แรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส) ใหห มดไป จากใจไดแ ลว โอกาสปดอบายภูมิ คอื ไมน ำพาชวี ติ ไปเกดิ เปน สตั วอ ยใู นทคุ ตภิ พจึงจะเกิดขึน้ ได ตายเกดิ อีกไมเกิน ๗ ชาติ ยอมนำพาชีวิตไปสูความพนทุกขหรือท่ีเรียกวา เขานิพพาน น้นั จึงจะมีความเปน จริงได สิ่งที่ผูบรรยายบอกเลามาใหฟงน้ี บุคคลอยาไดหวัง วาจะไดพบไดทราบและไดสนทนาธรรมกับพระนิยตโพธิสัตว ทีม่ ีนามวา ครูบาบุญชุม เพราะนับแตวนั ที่ ๑๘ เดอื นเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เปน ตนไป ครบู าฯจะไมออกจากถำ้ มาพบ บคุ คลผมู ีอตั ภาพเปนมนุษยเปน เวลานานถงึ ๓ ป ท้งั น้ีครบู าฯ ๑๐๒
ไดพูดวา “อาตมาตองเตรียมตัวใหพรอมท่ีจะนำพาชีวิตไปสู ภพใหม” เรอ่ื งการใชป ญ ญาทางโลกสอ งนำทางใหก บั ชวี ติ และ การใชป ญ ญาสงู สดุ นำพาชวี ติ ใหพ น ไปจากโลก มผี ลแตกตา ง กนั ดงั ตวั อยา งเรอ่ื งจรงิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในยคุ ปจ จบุ นั ซง่ึ ผบู รรยายจะ นำมาบอกเลาใหฟง ดงั นี้ มีนักศึกษาคนไทยที่ไปศึกษาระดับปริญญาเอกอยูใน ตา งประเทศอยคู นหนง่ึ ไดส ง ขอ ความเขา มาในเวบ็ ไซด www. kanlayanatam.com เปน ขอ ความทมี่ ไิ ดม จี ดุ ประสงคท จ่ี ะถาม ปญ หา แตเ ปน ขอ ความทเ่ี กย่ี วกบั ความคดิ ของเขา คดิ ดงั ๆ ให คนทเี่ ขา มาอา นเวบ็ ไซดไ ดร วู า เขามคี วามคดิ เปน เชน ไร ซง่ึ แบง ความคิดของเขาออกเปน สามขั้นตอนคอื ความคิดในข้ันตอนที่ ๑ เขาพูดวา ขณะน้ีเขากำลัง ศกึ ษาตอ อยใู นตา งประเทศและไดม โี อกาสไปฝก พฒั นาจติ ตาม แนวของโคเอน็ กา แลว เหน็ วา วธิ กี ารฝก เชน นนั้ เปน ประโยชน กบั ชวี ติ จงึ คดิ ทจี่ ะไปกเู งนิ มาสกั หนง่ึ กอ นเพอื่ นำมาสรา งสถาน ปฏิบัติธรรมตามแนวดงั กลาวข้ึนท่ีเมืองไทย ดร.สนอง วรอุไร ๑๐๓
ตายแล้วไปไหนความคิดในขั้นตอนท่ี ๒ เขาไดคิดตอไปวา จะยังไม กูเงินแตขอใหเรียนจบการศึกษากอน แลวกลับไปทำงานเก็บ เงนิ ใหไ ดส ักกอนหน่งึ แลว จึงคอยสรางสถานปฏิบตั ิธรรม ความคิดในขั้นตอนที่ ๓ เขาไดคิดตอไปวาจะยังไมกู เงนิ แตจ ะไปปฏบิ ตั ธิ รรมใหเ ขา ถงึ ดวงตาเหน็ ธรรมไดเ มอื่ ไรแลว จงึ จะสรางสถานปฏบิ ตั ธิ รรมในภายหลัง เมือ่ ผบู รรยายไดท ราบความคดิ ดังๆ ของเขา ทจ่ี ะทำ ประโยชนใหกับมวลชน ถือวาเปนเรื่องดีที่ตองอนุโมทนา และยังไดใชจิตวิเคราะหความคิดของเขาดวยวิธีการอัน แยบคาย (โยนิโสมนสิการ) วาหน่ึงในสี่ของกามโภคี สุขที่ คฤหัสถสามารถเขาถึงได คือความสุขที่เกิดจากการไมทำตัว ใหเปนหน้ี และยังไดพิจารณาตอไปถึงคำวา “ดวงตาเห็น ธรรม” ซึ่งมีความหมายวา สิ่งใดส่ิงหนึ่งมีการเกิดข้ึนเปน ธรรมดา สิ่งน้ันทั้งปวงยอมมีความดับไปเปนธรรมดา ผูที่จะ เขาถึงปญญาเห็นแจงเชนน้ีได ตองมีสภาวธรรมในดวงจิต เปน อรยิ บุคคล นับแตพ ระโสดาบันข้ึนจนถงึ พระอรหันต ตาม ๑๐๔
ทมี่ รี ะบไุ วใ นบทสวดมนตส งั ฆานสุ ติ ทภ่ี กิ ษสุ งฆใ ชส วดทำวตั ร เชา -ทำวตั รเยน็ ในครั้งพุทธกาล ที่กรุงสาวัตถีแควนโกศล มีอนาถ บิณฑิกเศรษฐีโสดาบัน ไดสรางวัดเชตวัน มีนางวิสาขา โสดาบัน ไดส รางวดั บพุ พารามและทีก่ รงุ โกสมั พี แควนวงั สะ มีโฆสกเศรษฐีโสดาบันไดสรางวัดโฆสิตาราม มีปาวาริก เศรษฐโี สดาบัน ไดสรางวัดปาวารกิ าราม และมกี กุ กุฏเศรษฐี โสดาบันไดสรา งวดั กกุ กฏุ าราม แตล ะเศรษฐีโสดาบนั ไดส ราง วัดคนละหน่ึงวัดถวายไวในพุทธศาสนา สวนผูมีจิตบรรลุ สภาวธรรมต้ังแตพระสกทาคามีขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต มิไดสรา งวดั หรอื ศาสนสถานใดๆ ถวายไวใ นพุทธศาสนา ที่กลาวมาขา งตน พอทจ่ี ะสรุปลงไดว า ผูมีดวงตาเห็น ธรรมขั้นพระโสดาบันเทานั้น ยังมีโอกาสสรางวัด หรือสราง ศาสนสถานถวายไวใ นพทุ ธศาสนาได แตผ มู ดี วงตาเหน็ ธรรม ขนั้ พระสกทาคามจี นถงึ ขนั้ พระอรหนั ตจ ะไมส รา งศาสนสถาน ใดๆใหเ กิดขึ้น ดังน้ันนักศึกษาคนที่คิดดังๆ วาขอใหไดดวงตาเห็น ธรรมเสียกอนแลวจึงจะสรางสถานปฏิบัติธรรมข้ึนมาภาย ดร.สนอง วรอไุ ร ๑๐๕
ตายแล้วไปไหนหลัง เปนความคิดเห็นของคนท่ียังเขาไมถึงความจริงแทของ สจั ธรรม หากเขา ถงึ ดวงตาเหน็ ธรรมขน้ั ทส่ี งู กวา พระโสดาบนั แลว โอกาสสรางสถานปฏิบัติธรรมยอมไมเกิดข้ึน ท้ังนี้เปน ดวยเหตุพระสกทาคามีเปนผูมีกำลังของกามราคะออน สวน พระอนาคามีและพระอรหันตเปนผูปราศจากกามราคะแลว จึงไมเอาจิตเขาไปผูกติดเปนทาสของวัตถุใดๆ มีแตคิดกำจัด กิเลสทค่ี างคาใจใหห มดไปเทานน้ั เพ่ือชวี ิตไมหวนกลบั มาเกดิ อยใู นวฏั สงสารอกี จากเจตนารมณข องนกั ศกึ ษา ทไ่ี ปแสวงหาความรอู ยู ในตา งประเทศ เมอื่ สำเรจ็ การศกึ ษาแลว เขาจะมาปฏบิ ตั ธิ รรม จนเขา ถงึ ดวงตาเหน็ ธรรม นนั่ แสดงวา เขาเหน็ ความตายรออยู เบอื้ งหนา เมอื่ ตายแลว จติ ยงั ตอ งโคจรไปเกดิ อยใู นภพใหม เขา จึงประสงคเตรยี มตวั ไวใหพรอ มกอ นตาย วา ตายแลว จะไมลง ไปเกิดในอบายภมู อิ ีกจนกวา จะเขา สนู ิพพาน ๑๐๖
พั ฒ น า จิ ต เขา ถงึ ปญ ญาสงู สดุ
ตายแล้วไปไหนผูบรรยายไดมีโอกาสไปพัฒนาจิต จนเขาถึงปญญา สงู สดุ ทเ่ี รยี กวา อภญิ ญา ๕ แลว จงึ ไดเ หน็ ความจรงิ วา ตนเอง เวียนตายเวียนเกิดมานับภพชาติไมถวน แตละภพที่เกิดมี แตรูปขันธเทาน้ันที่แตกสลาย สวนจิตท่ียังมีกิเลสคางคาอยู ภายใน ไมเคยตายหรือไมเคยสลาย จิตยังตองโคจรเขาไป อยูในรูปขันธตัวใหมอยางน้ีเร่ือยไป เม่ือไดเห็นความจริงของ ชวี ิตเปนเชน นแี้ ลว จงึ ไดรูวาเราโงเอง ที่ปลอ ยใหก ิเลสเขา มา มอี ำนาจเหนือใจ หลังจากเห็นสัจธรรมของชีวิตเปนเชนนี้แลว จึงได คิดหาทางออกใหกับชีวิตดวยการพัฒนาปญญาเห็นแจงให เกิดขนึ้ แลวพบวา มนุษยเ ปน สตั วส งั คม ชีวิตจะดำรงอยูได ตองอาศัยปจจัยจากสังคมมาหลอเล้ียง มนุษยจึงตองพัฒนา ความรูหรือปญญาภายนอก (สุตมยปญญา และจินตามย ปญ ญา) เพือ่ ใชทำงานใหก บั สังคม ชีวิตจึงจะดำรงอยรู อดได ๑๐๘
อกี ประการหนงึ่ มนษุ ยต ายแลว ยงั ตอ งไปเกดิ ใหม การ โคจรของจิตไปสูภพใหมท่ีดี (สุคติภพ) ตองใชบุญเปนปจจัย เดินทาง ผูใดมีบุญส่ังสมอยูในดวงจิตนอย ตายแลวจิตยอม โคจรไปไดไ มไ กล ตรงกนั ขา ม ผใู ดมบี ญุ สงั่ สมอยใู นดวงจติ มาก ตายแลว จติ วญิ ญาณสามารถโคจรไปสสู คุ ตภิ พทอ่ี ยหู า งไกลได ดงั นนั้ ผปู รารถนามชี วี ติ ในภพใหมท ด่ี ี จงึ ตอ งทำงานภายในให กับตวั เองดวยการสรางและส่งั สมบญุ ไวใ นดวงจิต ผูบ รรยายขออนญุ าตยืมคำทีห่ ลวงพอคำเขยี น ไดพ ูด ไวเ มอ่ื สกั ครูน ี้วา “มโน ปพุ พฺ คํ มา ธมมฺ า (จติ เปนรากฐานของสิง่ ท้ังหลาย) มโน เสฏฐา (จิตประเสรฐิ กวาส่งิ ทั้งหลาย) มโน มยา (ส่ิงท้งั หลาย สำเรจ็ ดว ยจิต)” จากอมตวลีท่ีหลวงพอฯ ไดยกข้ึนมากลาวใหญาติ ธรรมไดร ับฟง แลว ตองนำไปคิดเอาเองวา สิง่ ทง้ั หลายสำเรจ็ ดวยใจจรงิ ไหม ในท่ปี ระชุมแหง น้ี มใี ครบางไหมที่คิดวา ตาย ดร.สนอง วรอุไร ๑๐๙
ตายแล้วไปไหนแลว ตวั เองจะไมเ กดิ อกี ตราบใดทยี่ งั มกี เิ ลสคา งคาอยู ในเมอื่ จติ ทงิ้ รปู ขนั ธแ ลว กิเลสยงั มพี ลงั ผลกั ดันจิตวญิ ญาณ ใหโคจร ไปเขา อยอู าศยั ในรา งใหม เพอื่ ใชร า งใหมท ำกจิ กรรมใหก บั ชวี ติ สบื ตอ ไป ผทู ค่ี ดิ วา ตวั เองจะไมเ กดิ อกี เพราะเกดิ มาเปน สตั วไ ม วา จะอยูในภพภูมไิ หน ก็ยอ มมีความทุกขต ามมาพรอ มกบั การ เกิดทั้งสิน้ ผบู รรยายไดร ับโทรศพั ทท างไกล จากสภุ าพสตรที า น หน่ึง สุภาพสตรีทานนั้นไดพูดกับผูบรรยายวา “อาจารยคะ ดิฉันแตงงานแลว แตไมมีบุตร ดิฉันเปนเจาของรีสอรทแหง หนึ่ง และมีเงินอยูจำนวนหนึ่งจะบริจาคสรางกุฏิพระไวใน พุทธศาสนา” ผูบรรยายเมื่อไดฟงเจาของรีสอรทพูดแลว จึงได คิดตอไปวาสุภาพสตรีทานน้ีคงมีความทุกข ท่ีตองยุงเก่ียว กับสมบัติท่ีนำความคับแคนใจมาให จึงไดพูดเตือนสติไปวา “ตายแลวเอารีสอรทไปดวยนะ อยาท้ิงไวเปนสมบัติกำพรา ใหเ ปน ภาระของผอู ยหู ลงั ตอ งเดอื ดรอ น” เธอไดฟ ง แลว หวั เราะ หๆึ แทจ รงิ สภุ าพสตรที า นนนั้ ไดโ ทรศพั ทม าหาดว ยจดุ ประสงค บริจาคทรัพย สรางกุฏิพระไวที่วัดแหงหนึ่งท่ีผูบรรยายรูจัก จงึ ไดแนะนำใหต ิดตอกับเจาอาวาสโดยตรง ๑๑๐
หวนกลบั มาพดู ถงึ วลที เี่ ปน ภาษาบาลที กี่ ลา ววา “มโน มยา” หมายถึงสำเร็จดวยใจ จะเปนคนดีมีศีลธรรมไดก็ตอง พัฒนาใจใหมีสติสัมปชัญญะ จะมีชีวิตที่สงบราบรื่นได ก็ ตองพัฒนาใจใหมีสัมมาทิฏฐิ จะมีความสุขไดก็ตองพัฒนา ใจ ใหสงบจากอารมณป รงุ แตงหรอื ใหม คี วามสันโดษ จะเปน อริยบุคคลได ก็ตองพัฒนาใจใหเปนอิสระจากกิเลสที่ผูกมัด ใจ (สังโยชน) ฯลฯ ตรงกันขา ม จะเปน คนช่ัวก็อยูที่การทำใจ ใหประพฤติทุศีลไรธรรม จะมีชีวิตสะดุดและมีปญหาใหตอง แกไ ขกต็ อ งปลอ ยใจใหอ ยใู ตอ ำนาจของความเหน็ ผดิ หรอื ความ หลง จะมชี วี ติ วบิ ตั ิ กต็ อ งปลอ ยใจใหเ ปน ทาสของอบายมขุ ฯลฯ จากตวั อยา งทยี่ กขน้ึ มาพดู ใหฟ ง จะดจี ะชว่ั ขนึ้ อยกู บั ใจของตวั เองเปนตน เหตุ เม่ือยอนกลับมาพิจารณาวาตายแลวไปไหน ก็ตอง คิดถึงตนเหตุที่บุคคลไดกระทำไวกอนตาย มีพระสวดบังสุกุล บางรูป ไปเอามือเคาะที่ขางฝาโลงศพ แลวพูดวา “โยมไป ที่ชอบๆ เถิด” เม่ือไดยินไดฟงแลว ตองพิจารณาตอไปวา รา งกายทไ่ี รว ญิ ญาณ (ศพ) ยงั คงนอนนง่ิ อยใู นโลงศพ รา งกาย มไิ ดโ คจรไปไหน แตจิตทีอ่ อกจากรางตา งหากละ ทโ่ี คจรไปยงั ดร.สนอง วรอไุ ร ๑๑๑
ตายแล้วไปไหนท่ีตางๆ ได ทงั้ นี้ข้ึนอยกู ับกรรมทำไวเปนตน เหตุ ในคร้ังทีย่ งั มี ชีวติ อยู ทช่ี อบๆ ของบคุ คลผูป ระพฤติชัว่ เชน นันทมาณพ ประพฤติขมขืนทางเพศพระอุบลวรรณ ภิกษุณอี รหนั ต ไดถกู ธรณสี ูบลงไปเกิดในอเวจนี รก นางจิญจมานวิกา แกลงทำเปนทอง แลวกลาวตู พระพทุ ธโคดม ไดถ กู ธรณีสบู ลงไปเกิดในอเวจนี รก วสั สการพราหมณ นกั ปราชญแ หง กรงุ ราชคฤหก ลา ว วาจาปรามาสพระมหากจั จายนะอรหนั ต ผลปรากฏวา เมอ่ื ตาย แลว ตอ งลงไปเกิดเปนลงิ อยใู นปา ไผของกรงุ ราชคฤห โตเทยยพราหมณ เศรษฐมี ที รัพยม หาศาล มีจิตหลง เปนทาสของทรัพยเงินทอง ตายแลวไปเกิดเปนลูกสุนัข เฝา สมบตั ิตวั เองในบา นของลกู ชาย สวนท่ีชอบๆ ของผูประพฤตดิ ีงาม เชน สริ มิ า โสเภณแี หง แควน มคธ ไดฟ ง ธรรมจากพระโอษฐ แลว มีจติ สำนกึ ผดิ ในอาชพี ท่ีตนทำ จึงเลกิ มจิ ฉาอาชวี ะ แลว หนั มาประพฤตทิ าน ศลี ภาวนา จนจิตบรรลโุ สดาปต ตผิ ลใน ๑๑๒
ขณะยังเปนฆราวาส เม่ือนางไดตายลงแลว จิตวิญญาณถูก พลังแหงความดีผลักดันใหไปเกิดเปนสิริมาเทพนารีโสดาบัน อยใู นสวรรคชัน้ สูงสดุ (ปรนมิ มติ วสวตี) โทณพราหมณ ผทู ำหนา ทจ่ี ดั แบง พระบรมสารรี กิ ธาตุ ไดปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ตายแลวจิตวิญญาณถูกพลังแหง ความดี ผลักดันใหไปเกิดเปนพระพรหมอนาคามี อยูใน สทุ ธาวาสพรหมโลก ฉนั นภกิ ษุ ผดู อ้ื รนั้ จนไมม ใี ครสอนได ไดถ กู หมสู งฆล ง พรหมทณั ฑ (ไมพ ดู ดว ย ไมว า กลา วตกั เตอื น ไมค บหาสมาคม) เกดิ สำนกึ ผิดแลว หันมาปฏิบัติธรรม จนจิตบรรลุอรหตั ตผล นางสารี ผเู ปนมารดาของพระสารีบตุ ร มีความเหน็ ผดิ ทศ่ี รทั ธาเลอ่ื มใสบชู าทา วมหาพรหม ภายหลงั ไดเ หน็ เทวดา ชนั้ ผูใ หญเนรมติ มาเปนมนุษยก ายหยาบมีรัศมีสดใส มาเย่ยี ม พระสารีบุตรกอนเขานิพพานแลว เกิดศรัทธาในตัวของพระ สารีบุตร (ลูกชาย) จึงขอใหสอนธรรมให ทำใหจิตของนาง เปล่ียนจากมิจฉาทิฏฐิมาเปนสัมมาทิฏฐิ แลวบรรลุโสดาปตติ ผลเปน พระอริยบคุ คลข้นั ตน ได ปด อบายภูมไิ ด ดร.สนอง วรอุไร ๑๑๓
ตายแล้วไปไหนจากตวั อยา งทย่ี กขนึ้ มาบอกเลา ใหฟ ง จะเหน็ ไดว า ชวี ติ ของบุคคลจะดำเนนิ ไปสทู คุ ติภพ หรือดำเนินไปสสู ุคติภพหรือ พน ไปจากการเวยี นตายเวยี นเกดิ อยใู นวฏั สงสาร ยอ มสำเรจ็ ได ดว ยใจท้ังสน้ิ ดังน้ันผูท่ีศึกษาเลาเรียน เพ่ือใหเกิดความรูในระดับ สุตมยปญญาและจินตามยปญญา แมจะเรียนมาจนสูงสุด เทาไร ก็ยังเปนความรูหรือปญญาที่ยังไมรูความเปนจริงท่ีแท รูความจริงช่ัวระยะเวลาหน่ึงแตเมื่อกาลเวลาน้ันไดผานพน ไปแลว เหตุผลท่ีเคยสัมพันธกันหรือความจริงท่ีเคยเปนยอม ไมเปนจริงอีกตอไป ความรูเชนน้ีจึงเรียกวาเปนความรูท่ีไม จริงแท หรือคอื ความหลง (โมหะ) อันเปนเหตไุ มร จู ริงที่เรียก วาอวิชชานั่นเอง ดังผูท่ีศึกษาเลาเรียนมาในทางโลกที่บุคคล ทั่วไปนิยมแสวงหา โดยหารูไมวา อวิชชาเปนตนเหตุใหสัตว ตอ งเวยี นตายเวยี นเกิด อยูใ นวัฏสงสารอยา งไมมวี ันจบส้นิ ผูใดปรารถนานำพาชีวิตใหพนไปจากวัฏสงสาร ผู น้ันตอ งพฒั นาจิตใหเ กิดปญญาสงู สดุ ทเ่ี รียกวา ญาณ ซึง่ เปน ปญ ญาทเี่ หน็ ความจรงิ ในระดบั จติ สมั ผสั ปญ ญาสงู สดุ มอี ยสู อง ระดบั คอื โลกยี ญาณหรืออภญิ ญา ๕ เห็นความจรงิ ทม่ี เี หตผุ ล ๑๑๔
รองรับทยี่ าวนานขา มภพชาตไิ ด และ โลกุตรญาณหรอื ญาณ ๑๖ ท่ีเห็นความเปนจริงแทและสามารถใชสองนำทางชีวิตให พน ไปจากวฏั สงสารได การรเู หน็ เขา ใจเชน น้ี ยอ มรไู ดด ว ยจติ ที่ พฒั นาดแี ลว มาสมั ผสั ดงั ทพี่ ระนางเขมา ผมู รี ปู รา งสวยงามมี สผี วิ ดง่ั ทองคำ ถอื กำเนดิ อยใู นขตั ตยิ สกลุ แหง แควน มทั ทะ และ เปน มเหสขี องพระเจา พมิ พสิ ารอกี พระองคห นงึ่ ดว ย เมอื่ ไดไ ป เทยี่ วชมความสวยงามของวดั เวฬุวันแลว ไดเขา ฟงธรรมจาก พระพทุ ธเจา พรอ มดว ยบญุ เกา ของพระนางเขมาทท่ี ำสง่ั สมมา แตช าตอิ ดตี สง ผล ขณะฟงธรรมจากพระโอษฐ พระนางเขมา ไดใชจิตท่ีสงบพิจารณาธรรมโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) เม่ือพระพุทธองคเทศนาธรรมจบลง จิตของพระนางฯ ได ปรวิ รรตถงึ อรยิ ธรรมสงู สดุ เปน พระอรหนั ตต งั้ แตย งั อยใู นเพศ ฆราวาส ประจวบกับขณะนั้นเปนเพลาเย็นใกลค่ำ พระเจา พิมพิสารไดเสด็จไปยังวัดเวฬุวัน เพื่อขออนุญาตพระศาสดา นำพระมเหสีกลับวัง พระพุทธเจาจึงไดตรัสกับพระเจาพิมพิ สารวา “มหาบพิตร หากนำพระนางเขมากลับวังในวันนกี้ ็จะ ไดเ ชยชมรา งทเ่ี ปน ศพของพระนางฯ” แตห ากมหาบพติ รทรง ประทานอนญุ าตใหพระนางฯ ไดบ วชเปน ภกิ ษุณี มหาบพติ ร จะยงั ไดเ ห็นยงั ไดส นทนากนั อยูใ นวนั ขางหนา ดร.สนอง วรอไุ ร ๑๑๕
ตายแล้วไปไหนในที่สุดพระนางเขมาผูมีจิตบรรลุอรหัตตผลจึงได บวชเปนภิกษุณีอรหันต และไดรับแตงตั้งใหเปนพุทธสาวิกา ผูมีปญญามากอยูในพุทธศาสนา ซ่ึงตางจากพาหิยะไดบรรลุ ดวงตาเหน็ ธรรมขน้ั สงู สดุ เปน พระอรหนั ตเ ชน เดยี วกบั พระนาง เขมา แตไมมีโอกาสไดบวชเปนภิกษุ ตองมาดวนส้ินชีวิตลง กอ นบวช ดว ยถกู เจา กรรมนายเวร (ยกั ษณิ )ี มาพบเขา ระหวา ง เดนิ หาเครือ่ งบวช ยักษณิ ีจงึ เขา สงิ รา งแมโ คและขวิดพาหิยะ จนตาย แตด ว ยสภาวธรรมในดวงจติ ของพาหิยะ ปลอดแลว ซง่ึ กเิ ลสท่ผี ูกมัดใจ (สงั โยชน ๑๐) เม่ือจิตท่ีปราศจากมลทินได เคล่อื นออกจากราง จงึ ไดโ คจรไปสูภาวะท่ีเรียกวานพิ พาน จติ ที่ปลอดจากมลทินไดเ กดิ ขน้ึ ในยุคปจจุบัน เชน ใน กรณขี องหลวงพอธี ชาวไทยใหญอพยพทีเ่ ขา มาอยู ณ ตำบล เมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม ไดขออนุญาต ภรรยาบวชเปนฤาษี แลวขน้ึ ไปปฏิบัตธิ รรมอยบู นยอดเขา ผล ปรากฏวา จติ ไดบ รรลอุ รยิ ธรรมสงู สดุ เหน็ สรรพสงิ่ เปน อนตั ตา จึงตองบวชเปนพระสงฆไ ทยอยูจ นทกุ วันน้ี เร่ืองการบรรลุอรหัตตผลในขณะยังเปนฆราวาสนี้ ทานเจาคุณโชดกไดพูดกับผูบรรยายวา ฆราวาสคนใดมีจิต ๑๑๖
บรรลุอรหตั ตผลแลว ตอ งบวชเปนภิกษสุ งฆภายใน ๗ วนั ถา ไมบ วช จิตจะตอ งท้ิงรางเขาสนู ิพพาน คำพูดของทานเจา คณุ อาจารยยังหาเหตุผลมายืนยันไมได แตที่รูวาในคร้ังพุทธกาล พระนางเขมา (ฆราวาสหญิง) บรรลุอรหัตตผลแลวตองรีบ บวชในวันนั้น พาหิยะ (ฆราวาสชาย) บรรลุอรหัตตผลแลว ตองรีบบวช ขณะเดินหาเคร่ืองบวชถูกคูปรับเกาจองเวร จึง ตองมาตายลงกอนบวช โสปากะเด็กชายที่ถือกำเนิดในปาชา ไดฟ งธรรมจากพระศาสดาแลว มีจิตบรรลุอรหตั ตผลในขณะ ยังเปน เด็กชายมอี ายุไดเพยี ง ๗ ขวบ จงึ ไดรับพทุ ธานุญาต ๖ ใหบ วชเปนสามเณรในวนั น้ัน ฯลฯ ดังนั้นระยะเวลาของการเปลี่ยนจากเพศฆราวาส มาอยูในเพศของนักบวช หลังจากที่จิตบรรลุอรหัตตผลแลว จะตองบวชทันทีหรือจะตองบวชภายในเจ็ดวัน ก็สุดแต วจิ ารณญาณของผฟู ง ตอ งวนิ จิ ฉยั ดว ยตวั เอง เพราะผบู รรยาย ยังไมมีประสบการณตรงในเร่ืองดังกลาว แตจากคนที่ไมเชื่อ ในพระธรรม ไมเชื่อในพระวนิ ัย และไมเ ช่อื ในพระสูตรจงึ ได ไปพิสูจน ดวยการบวชเปนภิกษุปฏิบัติธรรมจนเขาถึงธรรม เม่อื ปพทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘ เปนตนมา จนกระทั่งบัดน้ี เปนเวลา ดร.สนอง วรอุไร ๑๑๗
ตายแล้วไปไหนกวา ๓๕ ปแ ลว ยงั หาขอ ผดิ พลาดในพุทธวจนะไมได ดงั น้ันใน เรอื่ งระยะเวลาของการบวชหลงั จากทจี่ ติ บรรลอุ รหตั ตผลแลว ทานผูฟงจะเช่ือพุทธวจนะหรือจะเช่ือพระไตรปฎกซึ่งเกิดข้ึน หลังพทุ ธปรนิ ิพพานไปแลว กส็ ุดแตท า นจะปลงใจเช่อื ดว ยตัว ทา นเอง แตผ บู รรยายเชอื่ คำทพี่ ระพทุ ธองคไ ดต รสั ไว จงึ ทำให ชวี ติ ของผบู รรยายเปลยี่ นไปในทางทด่ี ี ในทางทเี่ ปน ธรรม เปน วินัยทุกขณะตื่น จึงมีบุญเขาส่ังสมในดวงจิตแทบจะไมมีบาป เกิดขึ้น ท้ังนี้เปนเพราะไดพัฒนาจิตจนมีสติอยูเกือบทุกลม หายใจเขา-ออก และมีปญญาเห็นแจงในแทบจะทุกส่ิงท่ีเขา สัมผัสจติ อาทิ ไดยินใครเขาดาวาเรา เขากเ็ ปนครทู ดี่ สี อนเรา ใหนำเอาคำท่ีไดยินมาพิจารณาดูตัวเอง หากเรายังมีสิ่งไมดี อยูใ นดวงจิต ตอ งปรบั แกไข แตหากเรามิไดเ ปน อยา งทเี่ ขาวา เขาก็เปนครูที่ดีสอนเราวา จะไมประพฤติเชนเขา แลวเราก็ จะไมเปน เหมือนเขา ผใู ดมธี รรมวนิ ยั สถิตอยกู บั ใจทกุ ขณะตื่น ทุกส่งิ ทเ่ี ขา กระทบจิตยอ มเปน ครสู อนใจเราได ยังมีอยูอีกเร่ืองหนึ่งที่จะบอกเลาใหฟงวา มีอยูคร้ัง หน่ึง ผูบรรยายไดไปรวมคณะทอดกฐินกับคุณหญิงสุรีพันธ ๑๑๘
คณะกฐินมีเปนจำนวนมาก จงึ ทำใหม ปี ญ หาเกิดขึ้นกับที่หลับ นอน ปญ หาเร่ืองหองสุขา ปญหาเรื่องหองอาบน้ำ ฯลฯ ตางๆ เหลาน้ีไมเปนปญหากับผูมีธรรมวินัยสถิตอยูกับใจ ไมมีน้ำให อาบก็ใชผ าชบุ น้ำขวดเชด็ ตวั หองสขุ าไมวา งกเ็ ดนิ เขา ปาหาที่ ถา ยทกุ ข ทีน่ อนไมมกี ็หาท่ีหลบั นอนในปา ในครงั้ นั้นยงั จำได วา เมื่อศาลาท่ีใชเปนท่ีหลับนอน แออัดยัดเยียดไปดวยผูคน ทม่ี าทอดกฐนิ จนหาทว่ี า งลม ตวั ลงนอนไมไ ด ผบู รรยายพรอ ม เพอ่ื นอกี สองคน ไดเ ดนิ เขา สปู า เมอ่ื เวลาใกลจ ะถงึ สองนากิ า กลางดึก เดินเขาปา ไปไดป ระมาณครึง่ กิโลเมตรไดพ บกฎุ ิพระ หลังหน่ึงอยูกลางปา ไดเขาไปกราบพระปา แลวขออนุญาต นอนบนพนื้ ดนิ ใกลก บั กฏุ ทิ พ่ี ระปา ใชจ ำวดั เมอ่ื พระปา อนญุ าต แลวยงั ไดพ ดู ขึ้นอีกสองเรอ่ื งวา พระปา : “โยมระวังนะ ใตถุนกุฎิของอาตมามีงูพิษ อาศัยอยูและเวลาโยมจะไปขับถาย ใหไปขับถายท่ีนั่น” พระ ปา พดู พรอ มกับชี้นว้ิ บอกสถานที่ ผูบ รรยาย : “ไมเ ปนไรครับ พวกกระผมจะปฏบิ ตั ิตาม ทพี่ ระคุณเจาชแ้ี นะ” ดร.สนอง วรอุไร ๑๑๙
ตายแล้วไปไหนคืนน้นั เม่ือผบู รรยายจัดการกับเรื่องของตัวเองเสร็จ เรียบรอยแลว กอนนอนไดสวดมนตบทสรรเสริญคุณพระ รตั นตรยั แลว ตอ ดว ยการสวดมนตบ ทขนั ธปรติ ร เพอื่ แผเ มตตา กับพญางูท้ังสี่ตระกูล (งูตระกูลวิรูปกษ งูตระกูลเอราบถ งู ตระกลู ฉพั ยาบตุ ร และงูตระกลู กัณหาโคดม) เพ่ือปองกนั มิให ถูกงูพิษขบกัด ซ่ึงบทมนตขันธปริตรนี้เคยนำไปใชกับหมูฤาษี ที่อาศัยอยู ณ ปาหิมพานต ในคร้ังกระโนนที่พระพุทธโคดม ไดไปเสวยพระชาตเิ ปนฤาษี ผลปรากฏวา คนื นนั้ เปน คนื เดอื นหงายบรเิ วณโดยรอบ มีแสงจันทรส อ งสวา ง ปราศจากสิง่ รบกวนใดๆ จึงนอนหลบั สบายและมีความสุข เมื่อตื่นขึ้นกอนลุกออกจากกลดในตอน เชา ยังไดพ ิจารณาจนเหน็ วา งูมีอำนาจอยทู พ่ี ษิ ของมนั เดก็ มกี ารรอ งไหเปน อำนาจ สตรมี คี วามโกรธเปน อำนาจ บัณฑิต มีการเพงโทษตัวเองเปนอำนาจ แตคนพาลมีการเพงโทษผู อื่นเปนอำนาจ โจรมีอาวุธเปนอำนาจ นักการเมืองมีทรัพย เปน อำนาจ ฯลฯ ความรูตา งๆ เหลาน้ีเกดิ ขนึ้ เมอื่ จิตมีอารมณ สงบ และเชนเดียวกัน ปญญาเห็นแจงยังไดเห็นอีกวา ๑๒๐
บคุ คลมีชีวิตเปนของตัวเอง จึงตอ งบริหารจดั การชวี ิตดวยตวั เอง จึงไดศรัทธาในพระปญญาคุณของพระพุทธเจา ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระองคเผยแพรธรรม พระองคมิไดเขาไปกาว ลวงในชีวิตของใครผูใด ดังนั้นเมื่อพระสารีบุตรมาทูลลาเขา นพิ พาน พระองคไ ดต รสั วา “กาลํ ชานาหิ สารบี ตุ ร” เมือ่ พระ มหาปชาบดมี าทลู ลาเขา นพิ พาน พระองคไ ดต รสั วา “กาลํ ชา นาหิ โคตม”ี เมอื่ พระยโสธรามาทลู ลาเขา นพิ พาน พระองคไ ด ตรัสวา “กาลํ ชานาหิ ยโสธรา” เม่ือพระอญั ญาโกณฑัญญะ มาทูลลาเขา นพิ พาน พระองคไ ดต รัสวา “กาลํ ชานาหิ โกณ ฑญั ญะ” และยงั ไดเ สดจ็ ไปในพธิ เี ผาศพของทา นทปี่ า หมิ พานต อกี ดวย ฯลฯ สวนเร่ืองการแสดงฤทธิ์ ทรงบัญญัติเปนวินัย หาม พระปณโฑล ภารทวาชะแสดงฤทธิ์ที่เหาะไปเอาบาตรไม จันทนที่เศรษฐีผูกหอยไวกับปลายไมท่ีปกอยูบนหลังคาบาน พระพุทธองคทรงตำหนิการมีพฤติกรรมเชนน้ัน จึงใหภิกษุ ประพฤติ ตรงกันขาม พระพุทธองคทรงมีพระบัญชาใหพระ มหาปชาบดี แสดงฤทธก์ิ อ นเขา นพิ พาน ใหพ ระยโสธราแสดง ฤทธก์ิ อ นเขา นพิ พาน ใหพ ระสาคตะแสดงฤทธป์ิ ราบมจิ ฉาทฏิ ฐิ ดร.สนอง วรอไุ ร ๑๒๑
ตายแล้วไปไหนของชาวแควน องั คะ และในพรรษาท่ี ๖ กอ นเสดจ็ ไปโปรดพทุ ธ มารดาในดาวดงึ ส พระองคไ ดแ สดงยมกปาฏหิ ารยิ เพอ่ื ปราบ ทฏิ ฐิของเหลาเดยี รถีย ฯลฯ การแสดงฤทธิต์ า งๆเหลา นี้ เกดิ ขนึ้ ไดด ว ยการพฒั นาจติ ใหต งั้ มนั่ เปน สมาธริ ะดบั ฌาน ซง่ึ เปน โลกิยอภญิ ญาทม่ี ไิ ดเ ปนเหตุนำไปสคู วามพนทุกข ทา นผฟู งจงตระหนักในสจั ธรรมดงั กลา ววา “มไิ ดเ ปนเหตนุ ำไปสูความพนทกุ ข” พระองคจึงหามภิกษุมิใหแสดงฤทธิ์ เวนไวแตวามี พระบัญชาใหแสดงฤทธิ์เพื่อจุดประสงคอันเปนเหตุใหเกิด สัมมาทฏิ ฐทิ นี่ ำไปสคู วามพน ทกุ ข การบรรยายเร่อื งตายแลวไปไหน ผูบรรยายไดแ สดง หรือชี้ใหเห็นในแงมุมตางๆ ท่ีเกิดข้ึนในครั้งพุทธกาลและท่ี เกิดขน้ึ ในกาลปจ จุบนั แตท ั้งหลายทงั้ ปวงน้ีอยทู ่ีการประพฤติ เหตุปจจุบันใหถูกตรง โดยใชปญญาเห็นถูกตามธรรมเปน เครอื่ งสอ งนำทางใหก บั ชวี ติ แลว ความสมปรารถนาจงึ จะเกดิ เปนจริงไดใ นวันขา งหนา ๑๒๒
บทมนตข ันธปริตร วิรปู ก เขหิ เม เมตตัง ความเปน มิตรของเรา จงมแี กพ ญางทู ัง้ หลาย สกุลวิรูปกขดวย เมตตัง เอราปะเถหิ เม ความเปนมติ รของเรา จงมีกบั พญางทู ้ังหลาย สกลุ เอราบทดวย ฉพั ยาปุตเตหิ เม เมตตงั ความเปน มติ รของเรา จงมแี กพ ญางูทง้ั หลาย สกลุ ฉพั ยาบุตรดว ย เมตตงั กัณหาโคตะมะเกหิ จะ ความเปนมิตรของเรา จงมแี กพ ญางูท้ังหลายสกลุ กัณหาโคตมกะดว ย อะปาทะเกหิ เม เมตตงั ความเปนมติ รของเรา จงมีกบั สัตวท ั้งหลาย ที่ไมมีเทา ดว ย เมตตัง ทปิ าทะเกหิ เม ความเปน มิตรของเรา จงมีกับสัตวท งั้ หลาย ทม่ี ีสองเทาดว ย จะตปุ ปะเทหิ เม เมตตัง ความเปน มติ รของเรา จงมกี บั สัตวท ง้ั หลาย ท่มี สี ่เี ทาดวย เมตตงั พะหปุ ปะเทหิ เม ความเปนมิตรของเรา จงมีกับสัตวท ง้ั หลาย ท่ีมีหลายเทา ดว ย มา มงั อะปาทะโก หิงสิ สตั วไ มม เี ทาอยา เบยี ดเบียนเรา มา มงั หิงสิ ทปิ าทะโก สตั วส องเทาอยา เบียดเบียนเรา มา มงั จะตุปปะโท หิงสิ สตั วสเ่ี ทา อยาเบียดเบียนเรา ดร.สนอง วรอไุ ร ๑๒๓
ตายแล้วไปไหนมา มัง หงิ สิ พะหปุ ปะโท สัตวห ลายเทาอยาเบียดเบียนเรา สัพเพ สตั ตา สัพเพ ปาณา ขอสรรพสัตวที่มชี วี ิตทั้งหลาย สัพเพ ภตู า จะ เกวะลา ทเ่ี กิดมาทัง้ หมดจนส้นิ เชิงดว ย สัพเพ ภทั รานิ ปสสันตุ จงเห็นซึง่ ความเจริญทงั้ หลายทั้งปวงเถดิ มา กญิ จิ ปาปะมาคะมา โทษลามกใดๆ อยาไดม าถึงแลว แกส ตั วเหลานัน้ อัปปะมาโณ พทุ โธ พระพุทธเจา ทรงพระคณุ ไมม ีประมาณ อัปปะมาโณ ธมั โม พระธรรม ทรงพระคณุ ไมมปี ระมาณ อปั ปะมาโณ สังโฆ พระสงฆ ทรงพระคณุ ไมม ีประมาณ ปะมาณะวนั ตานิ สริ ิงสะปานิ อะหิ วิจฉกิ า สะตะปะที อณุ ณานาภี สะระพู มสู กิ า สัตวเ ลื้อยคลานทั้งหลาย คอื งู แมลงปอง ตะเข็บ ตะขา แมงมุม ตกุ แก หนู เหลา นี้ ลว นมปี ระมาณ ( ไมม ากเหมือนพระรตั นตรัย ) กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา ความรักษา อนั เรากระทำแลว การปอ งกัน อนั เรากระทำแลว ปะฏิกกะมนั ตุ ภูตานิ หมูสตั วท ้งั หลายจงหลีกไปเสีย โสหงั นะโม ภะคะวะโต เราน้นั กระทำนอบนอ ม แดพระผมู ีพระภาคเจา อยู นะโม สตั ตนั นัง สมั มาสมั พทุ ธานังฯ กระทำนอบนอม แดพระสมั มาสัมพุทธเจา เจ็ดพระองคอยู ฯ ๑๒๔
บทมนตโมรปรติ ร ๑. อเุ ทตะยงั จกั ขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะถะวปิ ปะภาโส ตัง ตงั นะมัสสามิ หะริสสะวณั ณงั ปะถะวิปปะภาสงั ตะยาชชะ คตุ ตา วหิ ะเรมุ ทิวะสงั พระอาทิตยผูเปนดวงตาของโลก ผูยิ่งใหญพระองคนี้ เสด็จอุทัย ขึ้นทรงพระรัศมีสีทองสาดสองปฐพี ดวยเหตุนี้ ขาพเจาขอนมัสการ พระอาทิตยผูทรงรัศมีสีทองสาดสองปฐพีพระองคนั้น พระองคได คุมครองขาพระองคในวันนี้แลว ขอใหขาพระองคมีชีวิตยั่งยืนอยู ตลอดวัน ๒. เย พรฺ าหฺมะณา เวทะคู สพั พะธมั เม เต เม นะโม เต จะ มงั ปาละยันตุ นะมตั ถุ พุทธานงั นะมัตถุ โพธยิ า นะโม วิมตุ ตานัง นะโม วมิ ุตตยิ า อมิ ัง โส ปะรติ ตงั กตั ฺวา โมโร จะระติ เอสะนา พระพทุ ธเจาเหลา ใด ทรงรแู จง ธรรมทงั้ ปวง ขา พเจาขอนอบนอม พระพทุ ธเจา เหลา นนั้ ขอพระพทุ ธเจา เหลา นน้ั จงคมุ ครองขา พเจา ขอน อบนอ มแดพ ระพทุ ธจา ทง้ั หลาย ขอนอบนอ มแดพ ระโพธญิ าณ ขอนอบ นอ มแดพ ระพทุ ธเจา ผูหลดุ พน แลว ขอนอบนอมแดวิมุตตธิ รรม เมื่อนก ยูงน้ันสาธยายพระปรติ รอยา งนีแ้ ลว จงึ ออกเสวงหาอาหาร ดร.สนอง วรอุไร ๑๒๕
ตายแล้วไปไหน๓. อะเปตะยงั จกั ขมุ า เอกะราชา หะรสิ สะวณั โณ ปะถะวิปปะภาโส ตงั ตัง นะมสั สามิ หะรสิ สะวณั ณงั ปะถะวิปปะภาสงั ตะยาชชะ คุตตา วหิ ะเรมุ รตั ติง พระอาทติ ยผ เู ปน ดวงตาของโลก ผยู ง่ิ ใหญพ ระองคน ้ี เสดจ็ อสั ดงคต ทรงพระรัศมีสีทองสาดสองปฐพี ดวยเหตุน้ี ขาพเจาขอนมัสการ พระอาทิตยผูทรงรัศมีสีทองสาดสองปฐพีพระองคนั้น พระองคได คุมครองขาพระองคในวันนี้แลว ขอใหขาพระองคมีชีวิตยั่งยืนอยู ตลอดราตรี ๔. เย พฺราหฺมะณา เวทะคู สัพพะธมั เม เต เม นะโม เต จะ มงั ปาละยนั ตุ นะมัตถุ พทุ ธานงั นะมัตถุ โพธยิ า นะโม วิมตุ ตานัง นะโม วมิ ตุ ตยิ า อมิ ัง โส ปะริตตัง กตั วฺ า โมโร วาสะมะกัปปะยิ พระพุทธเจา เหลาใด ทรงรแู จง ธรรมทั้งปวง ขาพเจาขอนอบนอม พระพทุ ธเจา เหลา นนั้ ขอพระพทุ ธเจา เหลา นนั้ จงคมุ ครองขา พเจา ขอน อบนอ มแดพ ระพทุ ธจา ทง้ั หลาย ขอนอบนอ มแดพ ระโพธญิ าณ ขอนอบ นอมแดพระพุทธเจาผูหลุดพนแลว ขอนอบนอมแดวิมุตติธรรม เมื่อ นกยูงนัน้ สาธยายพระปริตรอยา งนีแ้ ลว จงึ นอน ๑๒๖
รายนามผรู วมศรทั ธาพมิ พหนังสอื ตายแลว ไปไหน ลำดบั ชอ่ื -สกุล จำนวนเงนิ ลำดับ ช่ือ-สกลุ จำนวนเงิน ๑ คณุ ฉนิ ซิวซัน และ ครอบครวั ๑๒,๐๐๐ ๒๕ คณุ ยศภัทร เกรียงชตุ ิมา ๙๐๐ ๒๖ คณุ ฉลองชัย - ๒ คุณเริงศกั ดิ์ โอภาสรศั มี ๘,๐๐๐ ๙๐๐ คณุ วรรณกร คงบันเทิง ๓ คณุ พัชรา ธรรมลขิ ิตชยั ๖,๘๕๐ ๒๗ คณุ จนั ทรา-คุณเทียนชยั - ๘๐๐ ๔ คณุ รงั สติ คุณอัญจนา อุดมผล ๕,๐๐๐ คุณธรรมนาถ ทองเคียน ๖๔๐ ๒๘ คณุ รชั กฤต อรุณเดชาวฒุ -ิ ๖๓๐ ๕ รานเหมอื นฝน ๔,๔๐๐ คณุ ภคั วรนิ ทร พนิตกุลเศรษฐ ๖๐๐ ๖ คุณจันทรทิพย คนั ธมานนท ๔,๑๐๐ ๒๙ คุณรำพรรณี ชูชยั ๖๐๐ ๓๐ คุณแนง นอ ย ภิญโญชนม ๗ คณุ วลยั ทพิ ย ปต ิจอมวงค ๕๘๐ และคุณพยุง กาญจนกนั ทร ๕๗๐ และคณะ ๔,๐๐๐ ๓๑ คณุ ณาตยา เกตแกว ๕๔๐ ๓๒ คณุ วรลักษณ อรา มประยูร ๕๐๐ ๘ คุณขนิษฐา พงศศ รวี ฒั น ๔,๐๐๐ ๕๐๐ และครอบครัว ๕๐๐ ๙ คุณนรนิ ทร - คณุ ธรี ประภา ๔,๐๐๐ ๓๓ คณุ ฉลองชัย คงบนั เทิง ๕๐๐ ๓๔ พ.ต.อ.เดชชาภากร หิรัญวัฒน ๔๐๐ เศวตประวชิ กุล ๓๕ คุณพฤกษ นิลสขุ และครอบครัว ๔๐๐ ๓๖ คณุ ย้มิ ล้ิมสมบูรณื ๓๘๐ ๑๐ คุณพิรณุ จติ รยง่ั ยืน ๔,๐๐๐ ๓๗ คณุ ณัฏฐวุฒิ อุทัยเสน ๓๓๐ ๓๘ คุณนภา แกนทองแดง ๓๐๐ ๑๑ คุณอุทยั วรรณ ขนุ เจริญ ๒,๖๕๐ ๓๙ คุณปราณี ชวนปกรณ ๓๐๐ ๔๐ คุณเอกชัย ดรี ุงโรจน ๓๐๐ ๑๒ คณุ พมิ พน ิภา กิตตชิ ัยชนะกลุ ๒,๓๐๐ ๔๑ คุณมาลี บุญนาค ๔๒ คุณวฒุ ิชัย ใยมณี ๓๐๐ ๑๓ พระชาลี ฐานยตุ โต ๒,๒๐๐ ๔๓ พระชยั พร จนฺทวโํ ส ๔๔ คณุ พรทิพย ไชยณรงค และครอบครัว ๑๔ อามาเซย่ี มฮัว้ แซลี้ ๒,๑๖๐ ๔๕ พ.ต.อ.สมศักดิ์ จติ ตริ ตั น ๔๖ คุณวรี ะ-คณุ สุจรรยา ถ่ินทวี ๑๕ คณุ มานะ นาวนิ ๒,๐๐๐ และครอบครวั ๑๖ คณุ นฤมล ภทั รวมิ ลพร ๒,๐๐๐ ๑๗ คุณตอง ๑,๖๐๐ ๑๘ คณุ ธมน ไทยวานิช ๑,๕๖๐ ๑๙ คณุ ญาตกิ า นนั ทฐ ณฏั และ คณุ อนนั ต ปกสงั คะเณย ๑,๐๐๒ ๒๐ คณุ พาสพร ธปู พลี ๑,๐๐๐ ๒๑ พ.ต.ต.หญิง ทัศนม น ดิษเจรญิ ๑,๐๐๐ ๒๒ พ.ต.อ.บุญเสรมิ -คุณยุพดี ศรชี มภู ๑,๐๐๐ ๒๓ คณุ วิชยั โพธ์นิ ทีไท และครอบครัว ๑,๐๐๐ ๒๔ คณุ อดุ มพร สายเพ็ชร และครอบครวั ๑,๐๐๐ ดร.สนอง วรอุไร ๑๒๗
ลำดบั ชื่อ-สกลุ จำนวนเงนิ ลำดบั ชอ่ื -สกุล จำนวนเงิน ๔๗ คณุ อุกฤษฎ คุณเขษมศกั ด์ิ ๓๐๐ ๗๖ คณุ ฉลองชัย คงบนั เทิง ๘๐ อายตวงษ และครอบครัว ๒๔๐ ๗๗ คุณอุษา สงางาม ๘๐ ๒๒๐ ๗๘ คณุ ประยทุ ธ ปย ะกาโส ๗๐ ๔๘ คณุ สรที สุขวฒั น และครอบครัว ๒๒๐ ๗๙ คุณประมวญ ผวิ สวย ๗๐ ๔๙ คณุ ทวิ าพร หลวงบำรุง ๒๐๐ ๘๐ คุณนฤมล เอ่ยี มสอาด ๖๐ ๕๐ คณุ นภัจสรณ หมอดี ๒๐๐ ๘๑ คุณนวรตั น ดกี ัง ๖๐ ๕๑ คุณยายโสภา ปทมดิลก ๒๐๐ ๘๒ คณุ นภางค ตกึ ปากเกลด็ ๖๐ ๕๒ คณุ ชรินทร สุวัชรังกูร ๒๐๐ ๘๓ คณุ ยุวดี โอโลรัมย ๖๐ ๕๓ คุณนำ้ ริน แรมกมล ๒๐๐ ๘๔ คณุ เบญจรัตน สุทธิชูจติ ๖๐ ๕๔ คณุ บศุ กร ทรงพุฒิ ๒๐๐ ๘๕ คณุ ศภุ โชค โพธท์ิ อง ๖๐ ๕๕ คณุ เพยี งจันทร ทองเคียน ๒๐๐ ๘๖ คณุ เกยี รติสิน อ่ิมบตุ ร ๖๐ ๕๖ คุณวาทินี สุธนรกั ษ ๒๐๐ ๘๗ คณุ เรวัตร ศรจี ันทร ๖๐ ๕๗ คุณทอ -คุณสนุ ันทา แหลมไพศาล ๒๐๐ ๘๘ คณุ ปาณศิ า พีรวณชิ กลุ ๖๐ ๕๘ คุณพิกุล จนั ทรเจรญิ กิจ ๒๐๐ ๘๙ คุณสำราญ ชื่นบญุ ๕๐ ๕๙ คุณอารยา ปฏิณาณกวี ๑๗๐ ๙๐ คณุ ศริ ิยภุ า ปน กรวด ๔๐ ๖๐ คณุ ลำดวน กฤษดา ๑๖๐ ๙๑ คณุ เทวี กอไทสง ๔๐ ๖๑ คณุ วรรตั น ชัยสวสั ดิ์ ๑๖๐ ๙๒ คุณสมจติ ร มหานันทกลู ๔๐ ๖๒ คณุ ณิฏฐฑติ า มหาปญ ญาวงค ๑๖๐ ๙๓ คณุ สทั ยาพันธ เช่ยี วชาญ ๔๐ ๖๓ คุณวไิ ล บญุ เตม็ ๑๔๐ ๙๔ คณุ อรสิ ราภรณ ศรีรตั นอาภรณ ๔๐ ๖๔ พระมหาธีรานนท จริ ฏฐิโก ๑๒๐ ๙๕ คุณกติ ตวิ ชั แยนการ ๔๐ ๖๕ คุณสมนกึ ลาภวงคไ พบลู ย ๑๒๐ ๙๖ คณุ ดำรงค ศักดช์ิ ัยกลุ ๓๐ ๖๖ คุณจฑุ ามาศ ธรรมบวั ชา ๑๐๒ ๙๗ พระมหาสมถวลิ ปราโส ๓๐ ๖๗ คุณปลกี ยนุ สยาม ๑๐๐ ๙๘ คุณธนา ศรนี เิ วศน ๓๐ ๖๘ คุณสรุ ัตน พมุ ผล ๑๐๐ ๙๙ คุณสมปอง รามศริ ิ ๒๐ ๖๙ เทศบาลเมอื งปเู จา สมิงพราย ๑๐๐ ๑๐๐ คุณสราวุธ รัตนยานนท ๒๐ ๗๐ คณุ ภาสกร รุจิราธาดากลุ ๑๐๐ ๑๐๑ ด.ช.ภูมินทร อรจันทร ๒๐ ๗๑ คุณอุษณยี พงคประยรู ๑๐๐ ๑๐๒ คณุ ปราณี มหารำลกึ ๒๐ ๗๒ คณุ ไพรวัน ลิขิตวานชิ ๑๐๐ ๑๐๓ คุณปรดี า เล็งอดุ มภาค ๒๐ ๗๓ คุณสรุ ตั น พุม ผล ๑๐๐ ๗๔ คุณอารียา พนั ธุสุริยานนท รวมศรัทธาทัง้ ส้ิน ๙๖,๔๒๔ ๗๕ คณุ ปวรศิ า แกนดี ๑๒๘ ตายแล้วไปไหน
การประพฤตเิ หตุปจ จุบันใหถ ูกตรง โดยใชปญ ญาเหน็ ถกู ตามธรรม เปนเครอ่ื งสองนำทางใหก ับชวี ิต ความสมปรารถนาจงึ จะเกดิ ข้ึน เปน จริงไดกับทานในวันขา งหนา ดร.สนอง วรอุไร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131