ชาวบาน บริหารจัดการดูแลกันเอาเองและไดยกคันดินลอม รอบที่แหง นน้ั ซึ่งไดลอมเอาบา นผมเขาไปดวย เหตนุ นี้ ้ำจงึ ไม ทวมครบั ผูบรรยายเองมีเหตุท่ีจะตองเดินทางไปใหความรูกับ มวลชนทจ่ี งั หวดั ชยั ภมู ิ กม็ นี ำ้ ทว มเหมอื นกนั ดงั ทเี่ หน็ เปน ขา ว ออกทางจอโทรทัศน เม่อื กำหนดวันเดินทางไปถงึ แลว ปรากฏ วาไมมีน้ำดังท่ีเห็นในจอโทรทัศนสักหยด น้ำไดอันตรธาน หายไปจากถนน เหลือแตเครื่องสบู นำ้ ยังคงคา งอยบู นถนน จากตัวอยางท่ียกขึ้นมาบอกเลาใหฟง จึงเปนเครื่อง ยืนยันไดวา “ธรรมยอมคุมรักษาผูประพฤติธรรม” น้ันเปน จรงิ แทแ นน อน ผใู ดปรารถนาพสิ จู นส จั ธรรมนี้ ตอ งพฒั นาจติ (วปิ สสนาภาวนา) ตวั เองใหเ ขาถงึ ปญ ญาเหน็ แจง หรอื เห็นถูก ตรงตามธรรม แลวใชปญญาที่พัฒนาไดมาบริหารจัดการจิต ตนเองใหมีพฤติกรรม ถูกตรงตามธรรมวินัยของพุทธศาสนา ใหธ รรมวนิ ยั สถติ อยกู บั ใจอยทู กุ ขณะตน่ื แลว ชวี ติ ของผนู น้ั จงึ จะพบแตความสวสั ดี ดงั ท่กี ลา วไวข างตน ๔๙ดร.สนอง วรอุไร
กำเนดิ บ ร ร ด า สั ต ว โ ล ก
ทีน้ีลองถามตัวเองวา มนุษยมาเกิดอยูบนโลกใบนี้ เพียงโลกเดียวหรือ ใชตามองก็เห็นวามีอยูเพียงโลกเดียวที่ มีมนุษย แตนักวิทยาศาสตรผูมีความรูทางโลกสูง พยายาม สรา งเครือ่ งมือเพ่อื ใชใ นการตรวจสอบเกี่ยวกับคำถาม แตผ ล สัมฤทธ์ิยังไมพบวา มีมนุษยเกิดข้ึนบนดาวดวงอื่น พบแตสิ่ง มีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกวาจุลินทรียมาอาศัยอยูบนดาว (โลก) ดวงอน่ื ได ผรู จู รงิ และรทู กุ ส่ิงทกุ อยา ง เรยี กโลกท่ีมมี นุษยอยู อาศัยวาทวีป ซึ่งมีอยสู ่ีทวปี ดงั นี้ ๑. อุตตรกุรทุ วีป ๒. ปพุ พวเิ ทหทวีป ๓. อมรโคยานทวปี ๔. ชมพทู วปี ๕๑ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนชมพูทวีปเปนชื่อท่ีใชกันอยูในคร้ังโบราณ เม่ือ ประมาณสามพันปเศษลวงมาแลว กอนท่ีจะมาใหชื่อวา ประเทศอินเดียในปจจุบัน ในอดีตท่ียังมีช่ือเรียกวาชมพูทวีป พระโพธิสัตวไดจุติจากดุสิตสวรรค ลงมาเกิดเปนเจาชาย สทิ ธตั ถะ ซ่ึงตอมาไดต รสั รูเปน พระพุทธเจา ทม่ี ชี ือ่ เรยี กขาน กันวา พระพทุ ธโคดม ผู บรรยาย ในฐานะ ที่ เปนนัก วิทยาศาสตร ไมมี ประสบการณในทวีปที่มีชื่อเรียกดังสามทวีปท่ีกลาวมาขาง ตน แตมีอยูวันหนึ่ง ผูบรรยายไดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเขาถึงความต้ังมั่นเปนสมาธิระดับฌาน เม่ือถอนจิตออก จากความทรงฌานแลว ทิพพจกั ขุญาณไดเกิดข้ึนและไปเห็น มนุษยตางดาว ท่ีมีนิ้วมือและนิ้วเทาขางละสามนิ้ว แตมิได สนใจในสถานทีแ่ หงนัน้ วา เขาเรียกวา อะไร สนใจอยกู บั ความ รทู างวทิ ยาศาสตรใ นดา นทเ่ี กย่ี วกบั เทคโนโลยไี รส าย ซง่ึ ความ รูในดานน้ีของเขาเจริญกาวหนามากกวาโลกท่ีเราอาศัยอยูใน ปจ จบุ นั นอกจากนยี้ งั ไดไ ปเหน็ การอบุ ตั เิ ปน มนษุ ยม ไิ ดเ กดิ ขน้ึ แบบที่เปนอยูในโลกของเรา เขาอุบัติขึ้นเปนตัวเต็มวัยทันที ๕๒
(โอปปาตกิ ะ) และเมอ่ื เขาหายไปก็มไิ ดป รากฏรองรอยใหเ ห็น จากประสบการณท่ีไปเห็นการอุบัติขึ้นของมนุษยตางดาว จึง ไดยอนระลึกถึงการอุบัติข้ึนของอัมพปาลีในครั้งพุทธกาล มไิ ดอาศยั ทองของแมเปนทเ่ี กิด แตเ กิดดวยการผุดข้นึ เปน ตัว เตม็ วัยทนั ที ท่โี คนตน มะมวง ในพระราชอทุ ยานเมืองเวสาลี แควน วชั ชกี ารเกดิ เปน มนษุ ยโ ดยวธิ โี อปปาตกิ ะจงึ เปน เรอื่ งจรงิ ท่ีความรูทางโลกไมสามารถสัมผัสได และเชนเดียวกัน กอน ท่ีจะมีการประดิษฐานอนุสาวรียพระนางจามเทวีข้ึนท่ีจังหวัด ลำพนู ผูบรรยายไดม โี อกาสจดั ทำประวัตขิ องพระนางฯ และ จดั พมิ พเ ปน รปู เลม ใหก บั จงั หวดั ลำพนู จงึ ไดร วู า พระนางฯเกดิ เปนมนุษยอยูใ นดอกบัว ซงึ่ ถือวา เปนการเกดิ ในที่ชนื้ แฉะ (สัง เสทชะ) ไดดังท่ีเคยเกิดข้ึนในพุทธันดรกอนท่ีพระพุทธโคดม จะอุบัติขึ้นในโลก อดีตของพระอุบลวรรณาภิกษุณี เคยเกิด เปนมนษุ ยอ ยใู นดอกบวั ใหญ และตอ มาไดรับแตงต้ังเปน พระ มเหสีของพระเจากรุงพาราณสีในอดีต กอนท่ีโลกใบน้ีจะเกิด ขึ้นดงั ที่เหน็ อยูใ นปจ จุบนั ความรูเห็นเขาใจเชนน้ีปญญาทางโลกไมสามารถ หย่ังถึงได แตหากใครผูใดประสงคจะพิสูจนวาเปนความจริง ๕๓ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนหรอื ไมจ รงิ อยา งไร ตอ งพฒั นาจติ จนเขา ถงึ ความรสู งู สดุ ระดบั โลกิยญาณไดแลว จึงจะสามารถพิสูจนความจริงในเรื่องที่ บอกเลา มานี้ได ผรู ไู ดบอกไววา การกำเนดิ ของสตั วมอี ยู ๔ รปู แบบ (โยนิ ๔ ) คอื ๑. เกดิ ในครรภ (ชลาพชุ ะ) ๒. เกิดในไข (อณั ฑชะ) ๓. เกิดในทีช่ ้ืนแฉะ (สังเสทชะ) ๔. เกิดโดยการผดุ ขน้ึ ทันที (โอปปาติกะ) ผบู รรยายไมเ คยมปี ระสบการณว า มนษุ ยส ามารถเกดิ ขึน้ ไดใ นไข แตมีประสบการณวา มนุษยสามารถอุบัติขน้ึ ไดใ น สามวิธีทีเ่ หลือ มนษุ ยม าทำอะไรอยบู นโลกใบน?ี้ มนษุ ยท ม่ี าอบุ ตั ขิ น้ึ บนโลกใบนี้ มพี ฤตกิ รรมในการดำเนนิ ชวี ติ ทไ่ี มเ หมอื นกนั บาง คนเกิดมาเพื่อชดใชหน้ีกรรมเกาพรอมกับสรางหน้ีกรรมใหม ๕๔
ดังจะเห็นไดจากคนท่ีปลอยชีวิตใหดำเนินไปตามยถากรรม จงึ ทำทงั้ กรรมดกี รรมชว่ั ซงึ่ สง ผลใหจ ติ มที ง้ั บญุ และบาปสงั่ สม ไปพรอมๆกัน บางคนเกิดมาเพ่ือปรับแกไขขอผิดพลาดของ ชีวิต บางคนเกิดมาเพ่ือเตรียมปจจัยเดินทางสูปรภพ ตลอด จนบางคนเกิดมาสรางและส่ังสมบารมี เพื่อนำพาชีวิตไปสู ความพน ทกุ ข นกั วทิ ยาศาสตรท มี่ หาวทิ ยาลยั ฮารว ารด ไดค น พบมา หลายปแ ลววา พลงั งานสามารถเกบ็ บนั ทึกขอมูลไวเปนความ จำได ซึง่ เรื่องในทำนองนี้ พระพุทธโคดมไดพบมานานหลาย พันปแลววา พลังงานจิตสามารถเก็บบันทึกผลของกรรมไว เปน ความจำ (สญั ญา) ได จึงมีความจำเปนที่พระโพธิสัตวจำเปนตองเวียนตาย เวียนเกิดมานานหลายอสงไขยแสนกัป เพื่อสรางและสั่งสม บารมีใหครบ ๓๐ ทัศ จึงจะตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ได และยังสามารถระลึกไดวา ในแตละชาติท่ีเกิดมานั้นเกิด มาเปน อะไรและส่งั สมบารมปี ระเภทใด เชน เคยเกิดเปน ชาง เพอ่ื สง่ั สมศลี บารมี เคยเกดิ เปน ลงิ เพอื่ สง่ั สมวริ ยิ บารมี เคยเกดิ เปน นกคมุ เพื่อสัง่ สมสัจจบารมี เคยเกิดเปน คน (พระสวุ รรณ ๕๕ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนสาม)เพอื่ สง่ั สมเมตตาบารมี เคยเกดิ เปน เทวดาเพอ่ื สง่ั สมขนั ติ อปุ บารมี ฯลฯ เหลา นเี้ ปนเพราะจติ ไดเ ก็บบนั ทึกผลของกรรม ไวเ ปน สญั ญาใหระลึกได ดงั นนั้ กรรมทบี่ คุ คลไดก ระทำใหส ำเรจ็ ลงแลว ผลของ กรรมมไิ ดส ญู เปลา ตามทบี่ คุ ลผมู คี วามเหน็ ผดิ คดิ เอาเองวา ผล ของกรรมไมม ี แตผ ทู รี่ แู จง และรทู กุ สง่ิ อยา งคอื พระพทุ ธโคดม ไดต รัสไวว า “กมมฺ สสฺ กทา สตตฺ า กมมฺ ทายาทา กมมฺ โยนี กมมฺ พนธฺ ู กมฺมปฏสิ รณา กมฺม สตเฺ ต วิราชติ ยทิทํ หนี ปฺปณีตตาย” ซง่ึ มคี วามหมายในทำนองทวี่ า สตั วท งั้ หลายทเ่ี กดิ มา ในโลกน้ี ยอมมีกรรมเปนของตน มกี รรมเปนเชื้อสาย มีกรรม เปน กำเนดิ มีกรรมเปน เผาพนั ธุ มีกรรมเปนที่พึ่งอาศัย กรรม จึงแบงสัตวทั้งหลาย ออกเปนฝายชั่วชาเลวทราม และฝาย ประณตี ดงี าม ดงั นนั้ ในกรณที เ่ี กดิ นำ้ ทว ม ดนิ ถลม ทบั ทางสญั จร พายุ พัดบานพัง ทรัพยสินสูญหาย การสูญเสียชีวิต ฯลฯ ตางๆ เหลานี้ เปนความวิบัติท่ีเกิดจากการกระทำที่ไมรูจริงของ มนษุ ยเปน ตนเหตุ ๕๖
ปญ ญาเหน็ แจง รู ไ ด เ ฉ พ า ะ ต น
ตายแล้วไปไหนทานทน่ี ั่งฟงธรรมบรรยายอยูใ นท่ปี ระชมุ แหง นี้ เมอ่ื ไดยนิ ไดฟงผูรูจ รงิ แทม าพูดใหฟง แลว ไมจำเปนตอ งเชอ่ื (ตาม หลักกาลามสตู ร) แตห ากประสงคน ำพาชวี ิตไปสคู วามสวสั ดี ตองพิสูจนดูดวยตนเองวา ส่ิงท่ีไดยินไดฟงนั้นเปนเร่ืองจริง หรือเปนเร่ืองไมจริงอยางไร แลวคอยปลงใจเชื่อเม่ือตนเขา ถงึ สัจธรรมนนั้ ไดแลว หากผูใ ดประสงคจ ะเขาถงึ ความจริงใน เร่ืองของกฎแหงกรรม ตองพัฒนาความรูสูงสุด (ภาวนามย ปญญา) ทั้งสองฝา ยคือฝายโลกิยญาณหรอื อภิญญา ๕ และ ฝายโลกุตรญาณ หรือญาณ ๑๖ ใหปรากฏขึ้นกับจิตของ ตนเอง การพฒั นาจติ (สมถภาวนา) จนตงั้ มนั่ เปน สมาธสิ งู สดุ (ฌาน) เมอ่ื ถอนจิตออกจากความทรงฌาน อภิญญา ๕ ดงั ท่ี กลา วไวข า งตน ยอ มปรากฏใหจ ติ ทพี่ ฒั นาดแี ลว สมั ผสั ได และ ๕๘
หากพฒั นาจติ (วปิ สสนาภาวนา) จนเกิดปญ ญาเหน็ แจง อนั นำไปสญู าณโลกตุ ระทั้ง ๑๖ ตวั ไดแ ลว ยอมเขา ถึงความจริง ในเร่ืองของกฎแหงกรรมไดดวยตัวเอง แลวเม่ือนั้นจึงจะรูได วา กาลามสูตรเปรียบไดด่ังเคร่ืองกรองความจริงและความ ไมจ ริงใหแยกออกจากกนั ได กฎแหง กรรมทพี่ สิ จู นไ ดง า ย เชน ทา นผฟู ง ลองหยดุ กนิ ขา วหยุดดืม่ นำ้ นานสกั ๓ วนั แลวคอยดูปรากฏการณ (ผล) ทเ่ี กิดตามมาวา การประพฤติดังกลาวใหผลเปนอยา งไร การ พิสูจนดังท่ียกตัวอยางมานั้นอาจจะยาวไป หากหดสั้นเขามา เหลือเพียงหน่ึงวัน คือลองเอาศีรษะชนเสาอยางแรง แลวดู ผลทปี่ รากฏขน้ึ วา จะเปน อยา งไร ไมเ ปน ไร คณุ หมอทนี่ ง่ั อมยมิ้ อยูน ีค่ งชว ยทานได กรรมบางอยา งใหผ ลชา เชน การดม่ื สรุ า เพยี งดม่ื แกว แรกหมดไป ผลของการเกดิ โรคตบั แขง็ จะยงั ไมเ กดิ ขนึ้ หากดมื่ ไปเร่อื ยๆ ดืม่ ทกุ วนั โอกาสทจ่ี ะเปน โรคตับแขง็ ยอ มเกดิ ข้ึนได เมื่อกรรมไมดีใหผล กรรมบางอยางใหผลชามากใหผลขาม ภพชาติ กรรมประเภทนีแ้ หละ ทผ่ี ูมีความเหน็ ผิดยอมไมเชอื่ วากฎแหงกรรมมจี รงิ จงึ ไดประพฤติอกุศลกรรมใหเ กดิ ขน้ึ ๕๙ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนเชนคนที่มีอารมณรอน มีอารมณโทสะเกิดข้ึนเปน ประจำกบั จติ ของตวั เอง ตายแลว พลงั ของบาปยอ มผลกั ดนั จติ วิญญาณทอ่ี อกจากราง ใหโ คจรไปเกดิ เปนสัตวอยูในภพนรก คนที่มีความโลภประพฤติคอรรัปช่ันอยูเสมอ ตาย แลวพลังของบาป ยอ มผลกั ดนั จติ วิญญาณทอี่ อกจากราง ให โคจรไปเกิดเปนสตั วอยูใ นภพเปรต คนที่มีความเห็นผิด มีจิตเปนทาสของความไมรูจริง ตายแลว พลังของบาปยอมผลักดันจติ วญิ ญาณท่ีออกจากราง ใหโคจรไปเกดิ เปนสตั วอ ยใู นภพติรัจฉาน ฯลฯ ตา งๆ เหลาน้ี เปนไปตามกฎแหง กรรมทัง้ สนิ้ ผบู รรยายไดม โี อกาสไปใหค วามรแู กน กั โทษ ในหลาย เรือนจำ ผูตองขังบางคน มีโทสะเปนแรงผลักดันใหกระทำ กรรมฆาหั่นศพ ผูตองขังบางคนมีความพรองไมอ่ิมไมเต็มไม พออยใู นดวงจติ อยากมที รพั ยม ากจงึ มคี วามโลภ เปน แรงผลกั ดันใหประพฤติคา ยาบา ผูต องขังบางคน มีความหลง (โมหะ) มีความเห็นผิดจึงเอาจิตไปเปนทาสของกาม ใหประพฤติลวง ละเมิดทางเพศ เม่ือมีหลักฐานกระทำความผิดและประพฤติ ๖๐
ผิดกฏหมาย จงึ ถูกศาลตดั สินใหตองรับผลของกรรมไมดี คอื ถกู จองจำใหต อ งสญู เสยี อสิ ระภาพของชวี ติ กรรมมไิ ดห ยดุ ลง หรอื จบสนิ้ เพยี งแคช วี ติ น้ี แตก รรมยงั มผี ลสบื ตอ ขา มภพชาตไิ ด อีก ในกรณีลว งละเมดิ ทางเพศ ท่ียกขน้ึ มาเปน ตัวอยางนี้ ตาย แลวยังตองลงไปเสวยอกุศลวิบากอยูในภพท่ีไมมีความเจริญ ตอไปอกี ดว ย กรรมท่ีประพฤติผิดกฎหมายของบานเมือง ใหผลใน ภพปจ จบุ นั มจี กั ขปุ ระสาทสามารถสมั ผสั ได และกรรมเดยี วกนั นท้ี ผี่ ลกั ดนั จติ วญิ ญาณใหต อ งลงไปเสวย (รบั โทษ) อกศุ ลวบิ าก อยูในภพหนา มีแตจิตท่ีพัฒนาดีแลวเทานั้นท่ีสามารถสัมผัส ได ดังนั้นผูท่ีพัฒนาจิตจนเขาถึงปญญาสูงสุด จึงเห็นมนุษย และสตั วท ท่ี ำกรรมไมดีไว ยอ มรูท ไ่ี ปของจิตวิญญาณ วา ตาย แลว ยงั ตอ งไปเสวยวบิ ากตอ ในภพหนา จนกวา จะชดใชห นเี้ วร กรรมไดห มดสน้ิ เม่ือหันกลับมาดูมนุษยท่ีมาอุบัติขึ้นบนผิวโลกใบนี้ มี มนุษยอยูจำนวนไมมากนักท่ีมีปญญาเห็นถูก ประพฤติอยู แตส่ิงท่ีเปนกุศลกรรม มีพฤติกรรมไมผิดกฎหมาย ไมผิดศีล และไมผิดธรรม เมื่อใดท่ีกรรมดีใหผลชีวิตนี้ยอมพบแตความ ๖๑ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนสะดวก ราบรื่นและมีความสุข ผลแหงกุศลกรรมที่ประพฤติ ไวแลวนี้ยังสงตอไปถึงภพหนา คือไปเกิดเปนสัตวอยูในภพท่ี ดี เปน สุคติภพ อันไดแก ภพมนุษย ภพสวรรคแ ละพรหมโลก ดงั นั้นผรู ูจ ริงจงึ มคี วามเชือ่ ในเรือ่ งของกฎแหงกรรมวา มจี ริง เปน จรงิ และกฎแหง กรรมนม้ี ไิ ดบ ญั ญตั ไิ วส ำหรบั สตั วท ม่ี าเกดิ อยูในภพมนุษยแตยังครอบคลุมถึงสรรพสัตวท่ีเวียนตายเกิด อยใู นวัฏสงสารดวย ตามคำที่หลวงพอคำเขียนไดพูดไวเม่ือตะก้ีน้ีวา “ทำ ดีไดดี ทำช่ัวไดชั่ว” จึงเปนคำพูดที่ออกมาจากใจของผูรูจริง ผูรูจริงนิยมใหอภัยในทุกสิ่งที่เปนเหตุขัดใจ ดวยการภาวนา วา “ชางมันเถอะ” แลวเมตตาคือ ความรักความปรารถนา ใหผูอ ่นื ไดประโยชนแ ละมีความสขุ ยอมเกิดขึ้น และสัง่ สมอยู ในดวงจติ เปนเมตตาบารมี ซงึ่ สง ผลใหม ีอารมณสงบและเย็น ความมเี มตตาถกู เกบ็ บนั ทกึ ไวใ นดวงจติ เมอื่ ตายแลว พลงั ของ เมตตายอ มผลกั ดนั จติ วญิ ญาณ ใหโ คจรไปเกดิ เปน พรหมอยใู น พรหมโลก ผูใดมีศีล ๕ ที่บริสุทธ์ิคุมใจอยูทุกขณะตื่น และไมมี อกศุ ลวบิ ากใดใหผ ล ผนู น้ั ยอ มมที รพั ยป ลอดภยั ไมว บิ ตั ดิ ว ยโจร ๖๒
ดว ยน้ำดวยไฟและดว ยพระราชา หลายปทีผ่ า นมาผูบ รรยาย ไดม ีโอกาสไปทอดกฐนิ กบั คณะของคุณหญิงสุรีพนั ธ มณวี ัติ ทางภาคอีสานตอนบน และไปส้ินสุดลงท่ีวัดภูทอก จังหวัด หนองคาย ณ ศาลาของวัดภทู อก คณุ หญงิ ฯได เลา ใหคณะ ศรัทธาทอดกฐินฟงวา มีอยูปหนึ่งที่เสาตนนี้ คุณหญิงฯพูด พรอ มกบั ชน้ี ว้ิ ไปยงั เสาคอนกรตี ตน หนง่ึ ทศี่ าลาภทู อก แลว พดู วา มอี ยปู ห นง่ึ ไดม สี ภุ าพสตรที า นหนง่ึ ไดม ารว มขบวนทอดกฐนิ กับคุณหญิงฯ และบนศาลาแหงนี้ สตรีทานนั้นไดนำเอาเงิน ออกจากถงุ กระดาษสนี ำ้ ตาล เพอ่ื รว มในองคกฐิน เงินทีเ่ หลือ เอาเก็บเขาไวในถุงกระดาษสีน้ำตาลใบเดิมใชหนังยางรัดปาก ถงุ แลว วางไวท โี่ คนเสาตน น้ี หลงั จากนนั้ คณะกฐนิ ไดเ ดนิ ทาง กลับกรุงเทพฯ ขณะอยูที่บา นในกรงุ เทพฯ คุณหญิงฯ ไดร บั โทรศัพท จากสตรีทานนั้นและบอกวา “ไดลืมถุงกระดาษสีน้ำตาลไวท่ี โคนเสาของศาลาภูทอกในถุงใบนั้นมีเงินอยูดวย” สตรีทาน น้ันมิไดวิตกกังวลแตอยางใด เพียงแตโทรศัพทมาบอกใหคุณ หญิงฯ ทราบเทาน้นั และในปรงุ ขึ้นสภุ าพสตรีทา นนั้น ไดม า รวมในขบวนกฐินของคุณหญิงฯอีกครั้ง ตระเวนทอดกฐินไป ๖๓ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนตามวัดตางๆในภาคอีสานตอนบน และมาส้ินสุดลงท่ีศาลาภู ทอกแหงน้ี สุภาพสตรีทานนั้นไดเดินไปยังตนเสาของศาลาฯ และไดพบถุงกระดาษสีน้ำตาลที่ตนลืมทิ้งไวเม่ือปที่แลว ยัง คงวางอยูท่ีโคนเสาตน เดมิ มเี งนิ บรรจอุ ยูเทา เดมิ ท้ังๆ ทีเ่ วลา ไดผ า นไปยาวนานถงึ หนง่ึ ปแ ลว แตเ งนิ (ทรพั ย) มไิ ดส ญู หายไป ไหนเรื่องนีเ้ ปนไปตามกฎแหงกรรม ผใู ดประพฤติศลี ขอ ๒ ได บรสิ ทุ ธแิ์ ลว ยอ มมที รพั ยป ลอดภยั เปน จรงิ ดงั ทพี่ ระพทุ ธโคดม ไดต รสั ไวเ กอื บสามพนั ปแ ลว กย็ งั คงเปน ความจรงิ อยจู นทกุ วนั น้ี ดว ยเหตนุ ผ้ี ูบรรยายจงึ ไดบ อกวา ผใู ดรักษาศลี ๕ ให มอี ยกู ับใจทุกขณะตนื่ คอื ไมฆาสตั ว ไมล กั ทรัพย ไมประพฤติ ผิดกาม ไมพูดเท็จ และไมด่ืมสุราเมรัยพรอมทั้งรักษาใจใหมี เบญจธรรม (มีเมตตากรุณา มีสัมมาอาชีวะ มีกามสังวร มี สัจจะ และมีสติสัมปชัญญะ) ใหไดทุกขณะตื่น ผูนั้นยอมมี เทวดาคุม รักษา ผมู ีทง้ั ศลี มที ้ังธรรมสถิตอยกู ับใจ เรียกวา เปนผมู ีศีล ธรรม ผูมีศีลธรรมยอมมีความสงบและมีปกติสุขเกิดขึ้นกับ ชวี ติ ครอบครัวเปน สงั คมทีเ่ ลก็ สดุ หากสมาชกิ ของครอบครัว ๖๔
มศี ลี ธรรมคุม ครองใจ ครอบครัวยอมสงบและมีความสขุ เชน เดียวกันประเทศชาติเปนสังคมที่ใหญขึ้น หากพลเมืองของ ประเทศชาติมศี ีลธรรมคุมครองใจ ประเทศชาติยอมสงบและ มคี วามสขุ ดว ยเหตนุ ศ้ี ลี ธรรมจงึ เปน คณุ ธรรมทน่ี ำมาซงึ่ ความ ปกติสุขของผูมีศีลธรรมประจำใจ และยังสงผลใหเกิดความ สงบสุขของครอบครวั และประเทศชาตอิ กี ดว ย ทานผูฟงสามารถพิสูจนกฎแหงกรรมดวยตนเองได วา ศลี โดยเฉพาะศีลขอ ๒ ของทานสมบูรณบริบูรณแลวหรือ ยัง ดว ยการวางสิ่งของไวในท่สี าธารณะสกั หน่ึงป แลวดูสวิ า สิ่งของที่วางไวจะสูญหายไปจากเจา ของไหม แคเพียงวางท้ิง ไวยังไมทันขามวัน ทรัพยสิ่งของก็สูญหายไปแลว หรือ ใน กรณที ผ่ี โู ดยสาร ลมื กระเปา บรรจเุ งนิ ไวใ นรถแทก็ ซ่ี แลว ไมไ ด รับกระเปา คนื หรือ ในทางตรงกนั ขาม ไดรบั กระเปา คนื นนั่ ยอ มเปนเครื่องบงชใี้ หเ หน็ สัจธรรมวากฎแหงกรรมมีอยูจรงิ นอกจากนศ้ี ลี ๕ ยงั เปน คณุ ธรรม ผลกั ดนั จติ วญิ ญาณ ท่ีหลุดออกจากรางเดิมไปแลว กลับโคจรเขาอยูอาศัยในราง ใหมท่ีเปนมนุษย คือเกิดเปนมนุษยซ้ำไดอีก ผูบรรยายมี ประสบการณไดไปเห็นการเคล่ือนที่ของจิตออกจากรางกาย ๖๕ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนจงึ รวู า นคี่ อื การตาย ไมม อี ะไรนา กลวั ดงั ทค่ี นทงั้ หลายกลวั กนั ท้งั นีเ้ ปนเพราะเขาไมรจู รงิ นั่นเอง การท่ีจิตออกจากรางเดิมแลวไปเขาอาศัยอยูในราง ใหม ไมตางไปจากการเปล่ียนเส้ือผา วันนี้เราสวมเสื้อผาชุด นี้ วันถัดไปเราสวมเสื้อผา ชุดใหมท ี่ไมเหมอื นชุดเกา ผรู จู รงิ ใน เรอ่ื งของความตายจงึ ไมก ลวั ตาย ปญ หาจงึ มอี ยวู า ตายแลว จะ ไปสวมเสอื้ ผาใหมใ นชุดไหน ซง่ึ หมายความวาจิตจะเขา ไปอยู อาศัยในรางกายใหมที่ภพไหน หากจิตวิญญาณเขาอยูอาศัย ในรา งกายทอ่ี ยใู นทคุ ติภพ ก็เรียกไดว า “มาสวางไปมดื ” แต หากจติ วญิ ญาณไปไดร า งใหมใ นสคุ ตภิ พอยอู าศยั กเ็ รยี กไดว า “มาสวางไปสวา ง” ซงึ่ เปนเรอ่ื งของกรรมผลกั ดนั จติ วิญญาณ ใหโ คจรไปสูภ พท่เี หมาะทค่ี วรกับกรรมทท่ี ำไวเ ปน ตน เหตุ จากความรูในทางพุทธศาสนาจึงไมมีส่ิงใดเกิดขึ้น ดวยความบังเอิญ แตเกิดข้ึนดวยเหตุและผลของการกระทำ ผทู ำกรรมดไี วเปนเหตุ เมอื่ จติ ออกจากรา งแลว พลงั ของกรรม ดี ยอ มผลักดนั จติ วญิ ญาณใหโ คจรไปสสู คุ ติภพ และพลงั ของ กรรมไมด ี (ช่วั ) ยอมผลักดนั จิตวิญญาณใหโคจรไปสูท คุ ติภพ ๖๖
บทพสิ ูจน ก ฎ ธ ร ร ม ช า ติ
ตายแล้วไปไหนผูใดปรารถนาพิสูจนเรื่องกฎแหงกรรมที่เกิดข้ึนแลว ในอดีตเชนอยากรูวา พระเทวทัตตายแลวจิตวิญญาณโคจร ไปเกิดเปนสัตวอยูในภพภูมิไหน ก็ยอมสามารถพิสูจนไดดวย การพฒั นาจิต (สมถภาวนา) จนเขา ถึงความตง้ั มนั่ เปน สมาธิ ระดับฌาน เม่ือจิตออกจากความทรงฌานแลว อธิษฐานขอ เห็นพระเทวทัต วาตายแลวไปเกิดอยูในภพภูมิใด ก็สามารถ เหน็ ไดดวยทิพพจักขุญาณ ในสมัยที่ผูบรรยายเดินทางไปยังประเทศอินเดีย เม่ือเดินทางไปถึงบอน้ำแหงหนึ่งที่เมืองสาวัตถี คนนำเที่ยว (มัคคุเทศก) ไดบอกกับคณะทองเท่ียววา “บอน้ีเปนบอท่ี พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ลงไปเกิดเปนสัตวอยูในอเวจีนรก” ผู ๖๘
บรรยายฟงแลวไมเชื่อ จนตอมาไดกลับถึงเมืองไทยมาแลว หลายป พอมีโอกาสไดพ ิสูจนคำพูดดังกลาว ดว ยการทำจิตให เขาถึงความทรงฌาน นำจิตออกจากฌานแลวอธิษฐานของ เห็นเพระเทวทัต วามีอยูจริงหรือไม จึงไดพบวา กำลังเสวย ความทุกขอยางแสนสาหสั รา งกายของสตั วนรกมเี หล็กทอ น ใหญเ สยี บทะลุ จากศรี ษะจรดเทา เสยี บทะลแุ ขนซา ย-ขวา ถกู ตรงึ อยใู นทา ยนื กางแขน มเี ปลวไฟนรกลกุ โชตชิ ว ง แผดเผาอยู ตลอดเวลา มีสตั วน รกอน่ื หลายตัวอยูก ันอยางแออดั ยดั เยยี ด ผูใ ดอา นเรอื่ งนีแ้ ลวไมเชอ่ื ถือวาเปนสิ่งทถี่ กู ตอ งตาม คำสอนของพระพทุ ธโคดม แตห ากประสงคจ ะพสิ จู นส จั ธรรม ในเรอื่ งน้ี ตองทำจิตใหเ ขาถงึ ความทรงฌาน ถอนจิตออกจาก ฌานแลว อธษิ ฐาน ขอเหน็ สตั วน รกเทวทตั ในอเวจี โอกาสทจี่ ติ จะไปสัมผสั กับสตั วกายทพิ ย ในอเวจนี รกจงึ จะเกดิ ขึน้ นี่เปน หนทางทจ่ี ะเขา ถงึ ความจรงิ ในเรอื่ งนี้ เปน สง่ิ ทรี่ เู หน็ เขา ใจดว ย จติ ของตนเอง แจงชดั กับตนเองโดยไมขึ้นกบั ผอู นื่ ไมตอ งเช่อื ตอคำพูดของใครผูใด ผูปฏิบัติธรรมและเขาถึงธรรมท่ีปฏิบัติ ไดแ ลว เรยี กสภาวะเชน นี้วา สนฺทิฐ ิโก ดงั ที่มีระบุไวในพุทธ ศาสนา ๖๙ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนเชน เดยี วกนั ยังมนี ักธุรกิจอยูคนหนึ่ง ท่ีผูบรรยายได มโี อกาสไปพดู คยุ ดวย เขาเคยตายจากโลกมนษุ ยนาน ๕ นาที แตกลับปรากฏวากายทิพย(สัมภเวสี) ของเขาไดโคจรไปสู ภพนรก ท่ีกำลงั เสวยทกุ ขท รมานดวยการถูกทบุ ตีดว ยตะบอง เหลก็ ใหญ เมอ่ื ฟน และบำบดั รกั ษาโรคจนหายแลว เขาไดบ วช เปน ภกิ ษโุ ดยไมม ใี ครขอรอ งใหบ วช แตภ ายหลงั ไดล าสกิ ขาออก มาอยูในเพศฆราวาส และยังสานตอธุรกิจท่ีทำอยูกอนบวช อยูในเพศของฆราวาสไดไมนาน บัดนี้ไดตายจากโลกมนุษย ไปแลว และจติ วญิ ญาณไดโ คจรไปเกดิ เปน สตั วน รก ตามทต่ี น เคยไปเหน็ มา ยังมีอีกเรื่องหนึ่งของสัตวกายทิพย ท่ีผูบรรยาย ประสงคจะบอกเลาใหฟงวาในครั้งพุทธกาลท่ีพระพุทธโคดม ไดเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุเปนครั้งแรก ในหวงเวลาน้ันเปน วันที่เจาชายนันทะลูกของพระนานาง (เจาหญิงโคตมี) จะ อภิเษกสมรสกบั นางชนบทกลั ยาณี หลงั จากที่พระพุทธโคดม ฉันภัตตาหารในวังแลวเสร็จ พระพุทธองคไดสงบาตรใหเจา ชายนันทะถอื เพอ่ื ตามไปสง ใหถงึ วัดนิโครธาราม ณ วัดนโิ คร ธาราม พระพุทธโคดมไดต รสั ถามเจาชายนนั ทะวา ๗๐
พระพุทธโคดม : นนั ทะเธอจกั บวชหรือ เจาชายนันทะ : จักบวชพระเจาขา พระพทุ ธโคดมจงึ มรี บั สงั่ ใหส าวกชว ยกนั บวชเจา ชาย นันทะเปนภิกษุโดยยังมิไดอยูรวมหอกับนางชนบทกัลยาณี ตอมาพระพทุ ธโคดมไดใชอิทธฤิ ทธิ์นำภิกษุนนั ทะ ไปดนู างฟา ในสวรรคช้ันดาวดึงส และเห็นวานางชนบทกัลยาณีมีความ สวยงามดอยกวานางฟาเปนรอยเทา พระพุทธโคดมจึง ตรัสวา พระพุทธโคม : เธอจกั ไดน างฟา เหลา นนั้ มาเชยชม แตข อให ปฏิบตั ิธรรมใหไ ดก อ น ภิกษุนันทะปฏิบัติธรรมอยูไดไมนาน จิตก็บรรลุ อรหัตตผลจึงทำใหจิตของพระนันทะเปนอิสระจากกายดวย การสำรวมอินทรีย จงึ เพกิ ถอนตณั หาออกจากใจไดห มดสนิ้ ผูบรรยายจึงขอยืนยันอกี ครั้งหน่ึงวา การจะไปรูเห็น เขาใจวาสัตวกายทิพยมีจริงเปนจริง ตองพัฒนาจิต (สมถ ภาวนา) ตนเองใหเขาถึงความตั้งม่ัน เปนสมาธิระดับฌาน เมื่อใดถอนจิตออกจากความทรงฌาน ทิพพจักขุญาณ (ตา ๗๑ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนทิพย) ยอมไปสัมผัสกับส่ิงอันเปนทิพยนั้นได นี่คือเหตุตรงที่ ผปู รารถนาจะพิสจู น วาสัตวก ายทิพย (เทวดา) นัน้ มีอยูจ ริง ทั้งๆ ที่มีผูรูมาบอกกลาว แตก็ยังมีผูที่ไมเช่ือและไมพิสูจน สัจธรรมน้ี ใหประจักษแจงดวยตัวเอง เปนเพราะผูที่ศึกษา หาความรูทางโลกมามาก มายาวนานจนเรียกไดวาเปนผูคง แกเ รียน (พหสู ตู ) ยอมมอี ตั ตาเกิดขน้ึ กับจติ ตัวเอง อัตตาเปน ความเหน็ แกต วั หรอื คือความถือตวั เองเปน ใหญ ไมย อมเชอื่ ฟงใคร ดังตวั อยา งทเี่ คยเกดิ ข้ึนในครง้ั พุทธกาล ณ ยอดเขา คิชฌกฏู อนั เปน ทต่ี ั้งของพระคนั ธกุฎี ทีพ่ ระพุทธองคใ ชเ ปนที่ ประทบั ในกรงุ ราชคฤหใ นครงั้ นนั้ มนี กั ปราชญแ หง กรงุ ราชคฤห (วัสสการพราหมณ) ชอบขึ้นไปเสวนาอยูกับพระพุทธโคดม ท้ังนี้เปนดวยเหตุท่ีวา พระพุทธเจาตรัสส่ิงใดไว ส่ิงท่ีตรัส (พทุ ธวจนะ) ยอมเปน หน่ึงไมม ีสองและไมข น้ึ กับกาลเวลา จึง เปน ท่ชี ื่นชอบของผแู สวงหาความรูใ หย ิง่ ๆ ขึน้ ไป มอี ยวู นั หนงึ่ วสั สการพราหมณ ไดเ ดนิ ขน้ึ เขาคชิ ฌกฏู เพื่อไปสนทนาธรรมกับพระพุทธเจา ระหวางท่ีเดินขึ้นเขา วัสสการพรหมณไดสวนทางกับพระมหากัจจายนะ องค อรหนั ต ที่มกี ิรยิ าคลองแคลววอ งไว กำลังเดินลงมาจากยอด ๗๒
เขา เมื่อนักปราชญแหงกรุงราชคฤห เห็นสมณะรูปน้มี ีกิรยิ า ทาทางไมสำรวม ประจวบกับแรงผลักของอัตตา จึงไดกลาว วาจาปรามาส (ดถู กู ) พระมหากจั จายนะออกไปวา “สมณะรปู นม้ี กี ริ ยิ าเหมอื นวานร” และดว ยความเปน พระสมณะทมี่ จี ติ พน ไปแลว จากกเิ ลสทผี่ กู มดั ใจ (สงั โยชน) เมอ่ื พระมหากจั จายนะ ไดฟ ง คำปรามาสจากนกั ปราชญผ มู อี ตั ตาสงู จงึ มไิ ดก ลา วตอบ โตใ ดๆ ออกไป ยงั คงมอี ารมณส งบนง่ิ และไดเ ดนิ จากไป ความ เรื่องน้ีไดรูไปถึงพระกรรณของพระพุทธเจา จึงไดพยากรณ พฤติกรรมของนักปราชญผูนี้ออกไปวา “วัสสการพราหมณ เฒา เจา ทำเรื่องฉิบหายแลว ตายจากภพนี้ไป เจา จะตอ งไป เกิดเปนวานรมีหางเหมือนโค อยูในปาไผของกรุงราชคฤห แหง น”ี้ คำพยากรณของพระพุทธเจา ไดลวงรูไปเขาหูของ วสั สการพราหมณว า พระพทุ ธเจา ไดพ ยากรณว า ตวั เองจะตอ ง ไปเกิดเปน ลงิ อยใู นปา ไผ และรูวาส่งิ ทีพ่ ระองคไ ดต รัสออกไป แลวเปนหนึ่งไมมีสอง จึงไมประมาท ตามชาติของการเปน นักปราชญของตน จึงไดสั่งใหบริวารปลูกตนไมท่ีออกผลกิน ได ไวต ามทีต่ างๆ ในปา ไผข องกรุงราชคฤห ในทสี่ ุดเมื่อวาระ ของอายขุ ยั เวยี นบรรจบ วสั สการพราหมณไ ดต ายจากโลกนไ้ี ป ๗๓ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนและไดไ ปเกดิ เปน ลงิ มหี างเหมอื นโค ตรงตามคำพยากรณข อง พระพทุ ธเจา ที่บอกเลาเร่ืองน้ีใหฟง ก็ดวยมีจุดประสงคที่จะบอก วา การพัฒนาปญ ญาทางโลก เปน เหตุใหเ กิดความเหน็ แกตวั ทเ่ี รยี กวา อตั ตา ซงึ่ เปน เหตใุ หน ำความเสอื่ ม มาสชู วี ติ ของการ เปน มนษุ ยไ ด ดงั นนั้ สง่ิ ทผ่ี บู รรยายบอกเลา ใหฟ ง จงึ อยา ปลงใจ เชื่อ แตตองพิสูจนใหเขาถึงความจริงดวยตัวเอง หากเม่ือใด บุคคลสามารถเขาถึงสัจธรรมที่บอกกลาวมาแลวได ความรู สูงสดุ (ทพิ พจักข)ุ ท่ียงั เปนโลกยิ ะญาณกส็ ามารถเกิดขนึ้ กบั ผู พสิ จู นไ ด แลว ความเชอ่ื ทอี่ ยเู หนอื ระบบประสาทสมั ผสั จงึ เปน ความจริง และมอี ยูจรงิ วา การกลา ววาจาปรามาส กบั ผทู รง คุณธรรมสูง ยอ มนำทกุ ขน ำโทษมาสูชีวิตของตนได ยังมีอยูอีกเร่ืองหน่ึงที่ผูบรรยายประสงคจะบอกเลา ใหฟ ง วา ในคร้งั ทพ่ี ระพทุ ธกัสสปะมาตรสั รูอยูบ นโลกใบน้ี ใน เชาวันนนั้ ชาวบา นท่ีนับถือพุทธศาสนา ตางพากนั ปรุงอาหาร แลวนำไปถวายพระพุทธกัสสปะและพระสาวก ขณะที่เดิน ผานทุงนาชาวบานไดเห็นชายไถนาอยูคนหน่ึง จึงไดเอยปาก ชวนชาวนาผูน น้ั วา ๗๔
ชาวบาน : เพื่อน วันน้ีเปนวันพระ พวกเรากำลังนำ อาหารไปถวายพระสงฆที่วัด หยุดพักไถนาสักวัน แลวไป ทำบุญที่วัดดว ยกัน ชาวนา : หากพระพุทธกัสสปะมาไถนาแทนเราได เรากจ็ ะไปวดั รวมทำบุญกับพวกทา น ดวยคำพูดอันเปนอกุศลวจีกรรม ท่ีกลาววาจา ปรามาสผูทรงคุณธรรมสูง ไดถูกเก็บบันทึกผลของกรรมไมดี ไวในดวงจิตของชาวนา เมื่ออายุขัยของรูปขันธเวียนบรรจบ จิตของชาวนาจำเปนตองออกจากราง กรรมชั่ว(อกุศลวจี กรรม) ไดผลักดันจิตวิญญาณของชาวนา ใหโ คจรไปเกิดเปน เปรต ที่มีรางกายใหญโตคลายมนุษย กำลังไถนาอยูกลางปา ใหญลำพังเพียงตนเดียว ไถนาท้ังกลางวันและกลางคืนโดย มิไดหยุดพัก เปนเวลานานถึงหนึ่งพุทธธันดร ก็ยังหยุดไถ ไมได เหตุที่เปนเชนน้ีก็เน่ืองดวยแรงกรรมชั่วผลักดัน ผลัก ดันใหชีวิตดำเนินไปเชนนั้น ดังท่ีหมูภิกษุกลุมหนึ่ง หลงทาง อยูกลางปาใหญและไดไปพบเขา เม่ือครั้งท่ีพระพุทธโคดม เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานไปนานแลว โดยภกิ ษกุ ลมุ นน้ั มเี จตนา ท่ีจะไปกราบไหวบูชาตนพระศรีมหาโพธ์ิอันเปนสถานท่ีตรัสรู อนตุ รสมั มาสมั โพธิญาณของพระพุทธโคดม ๗๕ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนในทางตรงกันขาม ผูมีสติและสำนึกไดในบาปท่ีตน กระทำ จึงหยุดทำกรรมช่ัวแลวหันมาทำแตกรรมดี โอกาส นำพาชวี ิตใหพน ไปจากความวิบตั ิ ยอมเกิดข้นึ ได ดังตัวอยาง ของโสเภณีแหงแควนมคธ ที่มีชื่อวา “สิริมา” หลังจากที่ นางไดฟงธรรมจากพระโอษฐแลว นางเกิดมีสติและสำนึก ไดวา อาชีพท่ีตนไดกระทำอยูเปนมิจฉาอาชีวะเมื่อตาย แลวจิตวิญญาณจะตองถูกแรงของอกุศลกรรม ผลักดันให ไปเกิดเปนสัตวปนตนง้ิวอยูในสิมพลีนรก จึงเลิกประกอบ อาชีพที่เปนกรรมชั่วอยางเด็ดขาด แลวหันมาประพฤติศีล ภาวนา อันสัมปยุตดวยอุปนิสัยบารมีท่ีตนเคยสั่งสมอบรม มาแตปางบรรพ ในท่ีสุดจิตของสิริมาผูมีรูปสมบัติงามเลิศ ไดบรรลุโสดาปตติผล ขณะท่ียังอยูในเพศของฆราวาสและ ในที่สุดสิริมาไดตายลงดวยอาการของพิษไขกำเริบ สุดท่ีจะ บำบัดรักษาใหหายได เมื่อจิตของสิริมาจำเปนตองท้ิงรูปขันธ เพื่อไปเกิดใหม ปรากฏวาพลังของกุศลธรรมอันเปนอริยผล ข้ันตน ไดผลักดันจิตวิญญาณของสิริมาใหโคจรไปเกิดเปน นางฟา และมีชื่อวา สิริมาเทพนารีโสดาบันอยูในสวรรคชั้น ปรนิมมิตวสวตั ตี ๗๖
หลงั จากทสี่ ริ มิ าตายลงแลว พระเจา พมิ พสิ ารไดไ ปเขา เฝาและกราบทูลพระพทุ ธเจา ใหทรงทราบวา พระเจาพิมพิสาร : ขาแตพระองคผูเจริญ สิริมานองสาว ของหมอชวี กโกมารภัจ ไดตายลงแลว ดวยพษิ ไขเม่ือตอนเยน็ วนั นเ้ี อง พระพุทธเจา : ดลี ะ มหาบพติ รอยา เพงิ่ กระทำการฌาปนกจิ ใหเ อาไปเก็บไวที่ปา ชาผีดิบ และจดั เวรยามใหเฝาดแู ลรกั ษา ศพ อยา ใหแ รง กาทำอนั ตรายแกศ พได เมอ่ื ถงึ วาระอนั สมควร แลวตถาคตจะนำภิกษุไปพิจารณาซากศพของสิริมาในภาย หลัง เม่ือซากศพถูกท้ิงรางไวในปาชาผีดิบ เปนเวลานาน ถึงสี่วัน ศพของสิริมาไดข้ึนอืดบวมพอง มีน้ำเลือดน้ำเหลือง ไหลออกทางจมูกและปาก สงกลิ่นเหม็นฟุง มีตัวหนอนไต ย้วั เยี้ย เขา ออกทางหทู างจมูกและทางปาก จนไมเ หลอื ความ สวยความงามของสิริมาปรากฏใหเห็น เม่ือถึงเวลาน้ันแลว พระพทุ ธเจา จงึ ไดน ำหมภู กิ ษไุ ปพจิ ารณาซากศพ (อสภุ ะ) เมอ่ื ภกิ ษไุ ดเ หน็ ซากศพของสริ มิ าแลว ตา งอทุ านออกมาวา “นหี่ รอื สริ ิมา ท่คี นเขาลอื กันวา สวยนักสวยหนา มแี ตส ิง่ ปฏิกูลเหลือ ๗๗ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนอยู ซ้ำยังสงกล่ินเหม็นคละคลุง” เม่ือหมูภิกษุไดเห็นซากศพ ของสริ มิ าแลว ทำใหจ ติ สงบระงบั ปลอดจากกามตณั หา ปลอด จากราคะและความเห็นผดิ ลงได ในวันท่ีพระพุทธเจานำหมูภิกษุไปพิจารณาซากศพ ของสิริมา ไดปรากฏวามีภิกษุตาทิพยอยูรูปหนึ่ง มีช่ือวา “วงั คสี ะ” ไดเ หน็ นางฟา ตนหนง่ึ มากราบพระพทุ ธเจา แลว เกดิ ความสงสัยวาเปนใคร มาจากไหน จึงไดทูลขอพุทธานุญาต พูดคุยกับนางฟาตนนั้น เม่ือพระพุทธเจาทรงประทานพุทธะ อนุญาตแลว พระวงั คสี ะจึงไดถามนางฟาวา พระวังคสี ะ : นางฟา เธอมาจากประชุมเทวโลกใด? เทวโลกนน้ั มชี อื่ วา อยางไร? และเหตุใดเธอจงึ มา นางฟา : เทวโลกใดที่มีช่ือวา ปรนิมมิตวสวัตตี ขาพเจามาจากท่ีน่ัน เหตุท่ีมาเพราะขาพเจาเคยอาศัยอยูใน รา งน้ี (พดู พรอ มกับชี้นิ้วไปทซี่ ากศพ) มากอ น จากตวั อยา งทย่ี กขนึ้ มาบอกเลา ใหฟ ง จะเหน็ ไดว า คน ทมี่ จี ติ ทง้ิ รา งเมอื่ รปู ขนั ธค รบอายขุ ยั จติ ยอ มโคจรไปเกดิ อยใู น ภพใหมทนั ที พระวงั คสี ะจึงไมส ามารถจำไดว า นางฟานั้นเปน ๗๘
ใคร เพราะสญั ญาใหมข องการเปน นางฟา มไิ ดถ กู เกบ็ บนั ทกึ ไว ในจติ ของพระวังคีสะ จงึ ไมสามารถเขา ใจรปู นามของนางฟา ท่ีตนเห็นได ตรงกันขาม จิตวิญญาณของนางฟาสิริมายังคง บนั ทกึ รปู ลกั ษณเ ดมิ ทต่ี นเคยผา นประสบการณก ารเปน มนษุ ย มากอ น จงึ จำไดว า อดตี ตนเคยอาศยั อยใู นรา งทเ่ี รยี กวา สริ มิ า น้มี ากอ น เชน เดยี วกนั ในครั้งพทุ ธกาล ยงั มีภกิ ษรุ ูปหนง่ึ ที่เรยี ก วาติสสภิกษุ เปนผูท่ีรูจักกวางขวาง (ปอปพิวลา) อยูในหมู ภิกษุดวยกัน ติสสภิกษุไดมรณภาพ เน่ืองจากรูปขันธหมด อายขุ ัยการใชงาน เมือ่ จติ ทิง้ รูปขนั ธแลว ไดไ ปเกดิ (อุบตั ิ) เปน ติสสมหาพรหม อยูในพรหมโลกชั้นที่สาม ท่ีมีชื่อชั้นวามหา พรหมาภูมิ พระมหาโมคคัลลานะผมู ีความเปน เลิศ (เอตะทคั คะ) ในการแสดงฤทธิ์ สงสยั วา ติสสภิกษุไปเกิดอยู ณ โลกใด ในวฏั สงสาร จึงเขาฌาน แลว ถอนจติ ออกจากความทรงฌาน อธษิ ฐานขอเหน็ อดตี ตสิ สภกิ ษุ วา บดั นี้ ไปเกดิ เปน สตั วอ ยใู นภพ ภมู ใิ ดของวฏั สงสาร ชวั่ ขณะหดแขนแลว ยดื ออก รปู นามทเี่ ปน ทิพยของพระมหาโมคคัลลานะ ก็ไดไปนั่งอยูหนาวิมานของ พรหมตนหนึง่ พระพรหมผูเ ปนเจา ของวิมานกผ็ ูม สี ภาวธรรม ๗๙ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนในดวงจิตเปนปุถุชนไดออกมากราบพระมหาโมคคัลลานะ องคอรหันต แลวเรียนใหทราบวาตนคือ อดีตติสสภิกษุ ใน คร้ังพุทธกาล หลังจากท้ิงรางท่ีเปนมนุษยแลวจิตวิญญาณได โคจรมาเกิดเปน ตสิ สมหาพรหม อยใู นพรหมโลกช้ันทีส่ าม ดัง ท่พี ระคณุ เจาเห็นอยูนแ่ี หละครับ เหตทุ ีข่ าพเจาไดมาอุบัติเปน ติสสมหาพรหม ก็เนือ่ งดวยในสมยั ทเ่ี ปนมนุษย ขาพเจา ชอบ ปฏิบตั ิสมถภาวนา จนจิตเขาถึงความตั้งมน่ั เปนสมาธแิ นว แน อยใู นระดับรปู ฌานท่ี ๑ อยา งละเอียด เมอ่ื จติ เขา ถึงรปู ฌาน ดงั กลา ว ขา พเจา มคี วามสขุ จากการเสพฌานสมาบตั อิ ยา งมาก จึงติดใจและไดพัฒนาจิตใหเขาถึงสภาวะที่มีวิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตาอยูเสมอ เมื่อตายจากมนุษยแลว จิตวิญญาณ ของขาพเจา จงึ ไดม าอบุ ตั ิเปนพระพรหมทพี่ ระคุณเจาไดเ หน็ เปน ปจ จบุ ันอยใู นขณะน้ี จากเรื่องของติสสภิกษุท่ีบอกเลามานี้ จะเห็นไดวา เม่ือมนุษยตายลง จิตวิญญาณจะโคจรไปเกิดเปนสัตวอยูใน ภพภมู ิใดกข็ น้ึ อยกู บั ผลของกรรม ท่ที ำสง่ั สมไวในดวงจติ เปน พลงั ผลกั ดันจิตวิญญาณท่ที ้งิ รางแลวใหโคจรไปสู ๘๐
การพฒั นาจิต เ ป น เ ค รื่ อ ง ส อ ง น ำ ชี วิ ต
ตายแล้วไปไหนดวยเหตุน้ีผูไมประมาทจึงระมัดระวังในการดำเนิน ชีวิต ดวยการพัฒนาจิตใหมีสติ แลวใชสติเปนเคร่ืองสอง นำทางใหกับชีวิต ดวยการประพฤติเหตุใหถูกตรงตอส่ิงที่ตน ปรารถนาใหเ กดิ ข้นึ กบั ชีวติ หนา อาทิ หากมสี ตริ ะลึกอยูในศีล ๕ และประพฤติตนใหม ีศลี ๕ คุมใจอยูทุกขณะต่ืน เมอื่ ตาย แลวพลังของคุณธรรมในศีล ๕ ยอมผลักดันจิตวิญญาณ ให โคจรไปเขาอยูอาศัยในรางที่เปนมนุษยได คือเกิดเปนมนุษย ไดอกี คร้ัง หากมีจิตระลึกอยูในศีล ๕ และมคี วามศรทั ธาม่ันคง อยใู นการบรจิ าคทานตลอดชวี ติ หรอื มสี ตริ ะลกึ อยกู บั การกระ ทำในกศุ ลกรรมบถ ๑๐ เวน จากการทำลายชวี ติ เวน จากการถอื เอาของท่เี ขามไิ ดให เวน จากการประพฤตผิ ิดในกาม เวน จาก ๘๒
การพูดเทจ็ เวนจากการพูดสอ เสียด เวน จากการพดู คำหยาบ เวน จากการพดู เพอ เจอ ไมโ ลภคอยจอ งอยากไดข องเขา ไมค ดิ รา ยเบยี ดเบยี นเขา และเหน็ ชอบตามคลองธรรม อยตู ลอดชวี ติ เมื่อใดท่ีอายุขัยของรูปขันธเวียนบรรจบ จิตยอมถูกพลังของ คุณธรรมดังกลาว ผลักดันใหโคจรไปเกิดเปนสัตวอยูในสุคติ ภพโลกสวรรค เปนเทพบุตร เปน เทพธิดา ตามแรงผลกั ของ กศุ ลกรรมอนั บุคคลไดก ระทำไวเ ปน ตนเหตุ บางคนเอาสตมิ าคมุ ใจ แลว นำตวั เองเขา ปฏบิ ตั ธิ รรม ดวยการพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเขาถึงความตั้งมั่นเปน สมาธิแนวแน (ฌาน) อยูเสมอ เมื่อรูปขันธถึงอายุขัย จิตที่ ออกจากรางยอมถูกพลังของฌานสมาบัติ ผลักดันใหโคจรไป เกิดเปนสัตวอยูในพรหมโลก มีอายุขัยยาวนานเปนกัป ตาม กำลังของฌานท่ีตนพัฒนาไดใ นขณะทีย่ งั เปน มนุษย ดังน้ันการที่จิตวิญญาณจะโคจรไปสูภพภูมิใด จึงขึ้น อยูกับกรรม ท่ีทำส่งั สมไวใ นดวงจติ เปน ตน เหตุ จิตของบุคคล จึงมีความสำคัญในการโคจรไปเกิดเปนสัตวอยูในภพภูมิตางๆ ของวัฏสงสาร ดงั ทผ่ี ูรูจ รงิ ไดกลา วไววา “สำเรจ็ ดว ยใจ” (มโน มยา) นน่ั เอง ๘๓ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนผบู รรยายมสี ถานะอยใู นเพศของฆราวาส ทท่ี ำหนา ท่ี เปนครูบาอาจารย ถายทอดความรูทางวิทยาศาสตร ใหกับ เยาวชนในมหาวทิ ยาลัย แตต อ งมาประกาศสจั ธรรมของชีวิต ใหผูไมประมาท (มีสติ) ไดรับรู ก็เน่ืองดวยเหตุท่ีจิตไดระลึก กลับไปสูภูมิหลังของตัวเองกอนที่จะมาเกิด ไดอธิษฐานไววา จะมาชวยเพื่อน ไมใหทำเหตุอันไปสูการเกิดเปนสัตวอยูใน อบายภูมิ คือไมลงไปเกิดเปนสัตวเดรัจฉาน ไมลงไปเกิดเปน สตั วเ ปรต สัตวอ สุรกายและสตั วนรก ซ่งึ ตอ งไมประพฤตติ น ใหมีจติ เปนทาสของความหลง ความโลภและความโกรธ การ จะเปน เชน นไ้ี ด บคุ คลตอ งพฒั นาจติ ตนเอง (วปิ ส สนาภาวนา) ใหเ กดิ ปญ ญาเหน็ ถกู ตามธรรมขน้ึ ประพฤตติ นเปน ผใู ห ผสู ละ ผบู รจิ าค รวมถงึ ประพฤตติ นใหม อี ารมณส งบและเยน็ ดว ยการ ใหอ ภยั เปน ทานในทกุ สงิ่ ทเ่ี ปน เหตขุ ดั ใจ แลว ความเมตตายอ ม เกิดข้ึน ดังน้ันหากบุคคลไดพัฒนาจิตจนเปนอิสระจากความ โกรธ ความโลภ ความหลงไดแลว ก็เปนอันหวังไดวา ชีวิต หนา จะไมต องลงไปเกิดเปน สัตวอ ยใู นอบายภมู แิ นนอน ๘๔
กำจัดกิเลส ด ว ย ป ญ ญ า เ ห็ น แ จ ง
ตายแล้วไปไหนกิเลสใหญทั้งสามตัว กิเลสที่เปนโทสะกำจัดไดงาย ท่ีสุด ดวยการใหอภัยเปนทาน กิเลสที่เปนโลภะกำจัดไดงาย รองลงมา ดว ยการประพฤติตนเปนผใู ห ผสู ละ ผูบ ริจาค สวน กิเลสท่ีเปน โมหะกำจัดไดยากท่ีสดุ แมจ ะกำจัดไดย าก บคุ คลก็ สามารถกำจดั ได ดว ยการพฒั นาจติ (วปิ ส สนาภาวนา) ใหเ กดิ ปญญาเห็นแจง แลวใชปญญาเห็นแจงกำจัดกิเลสท่ีผูกมัดใจ ตอ งเวียนตายเวียนเกดิ อยา งไมรจู บ (สังโยชน ๑๐) ใหห มดไป จากใจไดเมื่อใด สภาวะท่ีเรียกวานิพพานยอมเกิดขึ้น ความ หลงคอื ความไมรูจรงิ (อวิชชา) ถึงจะหมดสนิ้ ไปจากใจได บางคนพยายามกำจัดอวิชชาแตขาดกัลยาณมิตรใน ทางธรรมเก้อื หนนุ ดวยเหตุทีต่ วั เองมีสัญญาและมอี ตั ตาแข็ง กลา จึงไมมีใครกลาทจี่ ะมาเปน ครูชที้ างพน ทกุ ขให ๘๖
ดังตัวอยางท่ีไดเกิดข้ึนแลวในอดีตอันยาวไกล ยังมี อบุ าสกอยคู นหนงึ่ ชอบศกึ ษาหาความรใู นธรรมวนิ ยั ของพทุ ธ ศาสนา ดวยการฟง การอาน (สตุ มยปญญา) จากตำราคัมภรี แลวใชจ ติ ของตัวเองจินตนาการ (จินตามยปญญา) ใหค วาม รูแตกฉานย่ิงขึ้น เปรยี บดังตูพ ระไตรปฎ กเคล่อื นท่ี อบุ าสกคน น้นั มชี อ่ื วา มหาวาจกอุบาสก เขาไดคิดวา การเขาถึงความจริง ในความรูท่ีเปนเพียงความจำ (สัญญา) น้ัน บุคคลตองเขา ถึงความจริงแทดวยการปฏิบัติจิตตภาวนา จึงนำตัวเองเขา ปฏบิ ตั ธิ รรมตง้ั แตห นมุ จนแก เปน ระยะเวลายาวนานถงึ ๕๐ ป ก็ยังไมสามารถพัฒนาจิตใหเขาถึงความจริงในพุทธศาสนาได เนื่องดวยขาดวาสนาบารมี และไมม ใี ครกลาสอนกลา แนะนำ ทั้งน้ีเพราะตัวเองรูไปหมดทุกเร่ืองท่ีมีบุคคลมาบอกกลาว ซ่ึงเปรียบไดกับน้ำชาลนถวย ท่ีไมเช่ือในคำสอนของใครผูใด ในท่ีสุดมหาวาจกอุบาสกหมดความศรัทธาในธรรมะของ พระพุทธเจาจึงเลิกปฏิบัติจิตตภาวนา เม่ือมหาวาจกอุบาสก ตายลง ความหลงที่มีอยูในดวงจิต ไดผลักดันจิตวิญญาณ ของมหาวาจกอุบาสก ใหโคจรไปเกิดเปนจระเขอยูในบึงใหญ ยาวนานจนส้ินอายขุ ยั ๘๗ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนผูท่ีพัฒนาความรใู นสองระดับตน เปนความรทู เ่ี รยี ก วา สญั ญาซง่ึ เขา ถงึ ความจรงิ ไดช วั่ คราว (สภาวสจั จะ) หรอื ชวั่ ระยะเวลาหนง่ึ ทเี่ หตแุ ละผลมคี วามสมั พนั ธก นั โดยมกี าลเวลา มาทำใหแปรเปล่ียนไปเปนความไมจริงได หรือคือไมมีความ สัมพันธกันอีกตอไป ผูบรรยายไดมีโอกาสพบเจอคนประเภท น้ีแลวเกิดความสงสารที่เขามีความเห็นผิด เอาจิตเขาไปผูก ติดเปนทาสของโลกธรรมและวัตถุ เมื่อกาลเวลาผันแปรไป สง่ิ ทเ่ี คยยดึ ตดิ นนั้ กลบั แปรเปลย่ี นไปในทางตรงขา ม ทำใหเ กดิ ความผดิ หวงั และเสยี ใจ บคุ คลท่ีมคี วามเห็นผิด และมีจติ เปน ทาสของความไมจริงแท แลวยังใชความรูที่ไมจริงแทสองนำ การพฒั นาจติ ของตน การเขา ไมถ งึ ธรรมจงึ เกดิ ขนึ้ เปน ธรรมดา ดงั ตวั อยา งทผ่ี มู คี วามเหน็ ผดิ นำตวั เองเขา ปฏบิ ตั ธิ รรมแลว ยงั ทำตวั เองเปน นำ้ ชาลน ถว ย หนอี อกจากการพฒั นาจติ ดว ยการ ปฏบิ ัติธรรม และนำตัวเองเขา รว มในพธิ กี รรมทอดกฐนิ อันมี อานสิ งสส งู สดุ เปน เพยี งสวรรคส มบตั ิ ทง้ั ๆ ทก่ี ารปฏบิ ตั ธิ รรม มีอานิสงสเ ขาถึงพรหมสมบัตหิ รอื นิพพานสมบัติได มตี ัวอยา งของราหุลราชกุมารอายุ ๗ ป ไดไปทูลขอ มรดกจากสมเด็จพอ (พระพุทธเจา) โดยหมายใจวาจะไดเปน ๘๘
พระเจา กรงุ กบลิ พสั ดสุ บื ตอ จากพอ ทปี่ ฏเิ สธไมเ ปน กษตั รยิ แ ลว ซงึ่ พระพุทธเจา ไดต รัสกับราหลุ วา “มนษุ ยสมบตั นิ ้ันมีแตน ำความคบั แคนใจมาให แตสมบตั ทิ พ่ี อจะใหแ กลกู นั้น เปน สมบัติท่เี ทย่ี งแทย่ังยนื มีความสขุ สงู สดุ กบั ผทู ี่ครอบครอง” ในที่สุดพระพุทธเจาไดมีพระบัญชา ใหพระสารีบุตร บวชราหุลกุมาร เปนสามเณรรูปแรกในพุทธศาสนา และได ปฏบิ ตั ธิ รรมตอ เนอื่ งเรื่อยมา จนมีพระชนมายไุ ด ๒๐ พรรษา จึงบรรลุอรหัตตผล ซึ่งเปนอริยสมบัติท่ีมนุษยสามารถเขา ถึงได ดว ยเหตแุ หง ความหลงหรอื ความไมร จู รงิ แท จงึ นำพา จติ ของมนษุ ยใ หเ ขา ไปผกู ตดิ เปน ทาสของโลกธรรม ทมี่ อี ยแู ปด อยา งไดแกมีลาภ มเี สอื่ มลาภ มียศ มเี ส่อื มยศ มีสขุ มีทุกข มี สรรเสริญ มีนินทา โลกธรรมเปน ของคู เม่อื ไขวควาเอาอยาง ใดอยา งหนึ่งมาครอบครอง จึงตอ งเอาคูข องมันมาดวย ๘๙ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนฉะนั้นผูมีความหลง หรือมีความรูไมจริงแทจึงนิยม แสวงหาโลกธรรมมาประดับตัวตน ผูหลงอยูกับโลกธรรมจึง มีอารมณสมปรารถนาและมีอารมณผิดหวังเกิดข้ึนได ตรง กนั ขา มผรู จู รงิ แทป ฏเิ สธการครอบครองโลกธรรม แตห ากเมอ่ื จำเปนตองครอบครองโลกธรรม ก็จะอยูกับโลกธรรมอยางมี สติ ใชโลกธรรมใหเกิดประโยชน แตไมเอาจิตเขาไปผูกจิต เปนทาสของโลกธรรม ทั้งนเี้ น่อื งดวยเหตุท่รี เู ทา ทันความเกดิ ขึ้นและความเสื่อมไปของธรรมที่มีอยูประจำโลกนั่นเอง ดัง นั้นผูท่ีพัฒนาความรูในทางโลกใหเกิดข้ึนแลว จึงไมเหมาะ ที่จะนำความรูในทางโลกมาใชนำทางใหกับการดำเนินชีวิต เพราะเห็นไมถูกตรงตามความเปนจริงแท ยอมทำใหชีวิตพบ กับอุปสรรค และมีปญ หาใหตอ งแกไข ซ่งึ ไมเ หมือนกบั ปญ ญา เห็นแจง เมื่อใชสองนำทางใหกับชีวิตแลว ยอมพบกับความ สะดวกราบร่ืนและมีความสุข ย่ิงไปกวาน้ันปญญาเห็นแจง สามารถนำพาชีวิตไปสูความเปนอิสระ และหลุดพนไปจาก ความทกุ ขทัง้ ปวงได ๙๐
สมั มาทฏิ ฐิ ส อ ง น ำ ท า ง ชี วิ ต
ตายแล้วไปไหนมีตัวอยางที่เกิดข้ึนในยุคปจจุบัน กับการใชปญญา ทางโลกสองนำทางใหกับชีวิตแลวนำพาชีวิตไปพบกับปญหา ใหตอ งแกไขดงั นี้ คอื ไดมบี คุ คลผเู ปนโรคอมั พฤกษไ ดโ ทรศพั ท เขามาถามผูบรรยายวา ผมู ีปญหา : อาจารยค รบั ผมเปนอมั พฤกษท ำใหแ ขนขา ออ นแรงทำงานไมสะดวก ผมทำกรรมอะไรไวจ ึงใหผ ลเชน น้ี ผบู รรยาย : การเจ็บปวยของคุณ มีตนเหตุมาจากการ ประพฤติทุศลี ผมู ปี ญหา : ศีลอะไรครับ ผูบรรยาย : ศลี ๕ ยงั บกพรอง ๙๒
ผูมีปญหา : ผมมศี ลี ๕ อยูครบครับ ผูบ รรยาย : บุคคลประพฤติศีล ๕ ขอไดครบถวนเปน ปรกตแิ ลว ความวบิ ตั ขิ องชวี ติ ยอ มไมเ กดิ ขน้ึ คณุ ทำอาชพี อะไร บอกไดไ หม ผูม ีปญ หา : ผมมอี าชีพคาขายครบั ผบู รรยาย : คา ขายอะไร บอกไดไหมครับ ผมู ปี ญ หา : ขายยาฆา แมลงครับ ผูบรรยาย : นน่ั แหละเปน จำเลยทห่ี นง่ึ ของการประพฤติ ทุศีลในขอ ปาณาตบิ าต จากตัวอยางจริงท่ียกขึ้นมาบอกเลาใหฟงวา การใช ความรทู างโลก มาประกอบอาชพี คาขายยาฆาแมลง ไมถอื วา เปนการกระทำที่ผิดกฎหมาย แตในทางธรรมถือวาเปนการ กระทำทีผ่ ิดศลี เมื่อกรรมใหผล โรคอมั พฤกษจ งึ เกดิ ขนึ้ น่คี ือ ปญหาของการใชความรูท่ีไมจริงแท จึงทำใหเกิดปญหาข้ึน กับชวี ติ ได ๙๓ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนยังมอี ยอู กี กรณีหนง่ึ ท่ีใชความรไู มจ รงิ แท แลว ทำให เกดิ ปญ หาขน้ึ กับชวี ิต คือมอี ยคู รง้ั หนงึ่ ผูบรรยายไดร ับเชญิ ไป ใหความรูกับผูที่เขามาพัฒนาจิตที่อำเภอสะบายอย จังหวัด สงขลา จากการบรรยายในคืนวันน้ัน มีผูเขามารับฟงคำ บรรยายเกือบสามรอยคน ทุกคนลงนั่งพับเพียบหรือน่ังขัด สมาธิอยูบนพื้นตามท่ีตัวเองถนัด แตมีชายสูงอายุอยูหนึ่งคน ไดนั่งฟงบรรยายแตกตางไปจากคนอื่น คือนั่งอยูบนเกาอี้ที่มี พนักพิง เม่ือการบรรยายไดยุติลง ผูบรรยายไดเดินเขาไปหา ชายคนทนี่ ั่งอยบู นเกา อ้ี พรอมกับยกมอื ไหวแ ลวถามวา ผบู รรยาย : สวัสดีครับคุณพี่ ผมเห็นคนอื่นน่ังราบอยู บนพน้ื หอ ง แตค ณุ พ่นี งั่ อยบู นเกา อ้ี เปนเพราะอะไรครบั ชายผสู ูงอายุ : ผมนงั่ ขดั สมาธิอยา งเขากไ็ ด แตเมื่อจะลกุ ข้นึ ยนื ผมยดื ขาไมอ อกครบั ขณะทชี่ ายสงู อายกุ ลา วตอบผบู รรยายไดเ หน็ ปมู า และ ปทู ะเลคลานเรยี งรายอยรู อบเกา อี้ ของชายผสู งู อายคุ นนน้ั จงึ ไดถ ามตอ ไปวา ๙๔
ผูบรรยาย : คุณพี่ไปทำอะไรไวก บั ปมู าและปูทะเล ชายสงู อายุ : ผมมีอาชีพมัดขาปูครับ ความแปลกแยกในพฤติกรรมของผูสูงอายุ จึงได มาถึงขอยุติท่ีวาอาชีพท่ีชายสูงอายุประพฤติอยูน้ัน เปนการ กระทำที่ไมผิดกฎหมาย แตผิดศีลที่ทำเหตุเบียดเบียน เม่ือ กรรมไมดีใหผลเปนอกุศลวิบาก ผูประพฤติเบียดเบียนจึงมี พฤตกิ รรมไมเ หมอื นกบั พฤตกิ รรมของคนทวั่ ไป คอื นงั่ พบั เพยี บ หรือนง่ั ขดั สมาธิบนพ้นื ราบจงึ ทำได แตเ วลาจะลุกขน้ึ ยอ มยดื ขาไมออก ตามท่ีไดกลาวไวกอนหนานี้วา การเจ็บปวยของ คนในยุคปจจุบัน เกิดข้ึนดวยเหตุสี่อยาง ผูใดประพฤติตรง ขามกับสามเหตุแรกโรคภัยไขเจ็บยอมไมเกิดข้ึน แตในเหตุที่ ส่ี เปนการประพฤติเบียดเบียน จึงเรียกวาโรคที่เกิดจากการ ถูกจองเวร วาโรคกรรม หากหมอไปบำบัดรักษาโรคกรรมให หายได หมอยอ มไดอ านสิ งสจ ากคนไขเปนบญุ แตยังมโี อกาส รับอานิสงสบาปจากเจากรรมนายเวรของคนไข หันมาผูก พยาบาทกับผูเขารวมกระบวนกรรมจองเวรน้ีได เม่ือดูใหลึก ลงไปถึงการกระทำท่ีเปนเหตุของการเจ็บไขไดปวย หมอมิได ๙๕ดร.สนอง วรอไุ ร
ตายแล้วไปไหนประพฤตเิ หตเุ บียดเบยี นดวยตวั เองโดยตรง แตหมอประพฤติ เหตุใหตัวเองเขารวมในการเบียดเบียน ระหวางคนไขกับเจา กรรมนายเวรของคนไข หมอจงึ มโี อกาสรับอานิสงสบ าป ผบู รรยายมตี วั อยา งจรงิ ทผ่ี เู จบ็ ปว ยมไิ ดป ระพฤตเิ หตุ เบยี ดเบียน แตย งั ตองรับอานสิ งสบ าป ดงั มีประสบการณอ กี เร่ืองหนึ่งท่ีจะบอกเลาใหฟงวา มีอยูครั้งหน่ึงผูบรรยายไดรับ การตดิ ตอ จากเพอ่ื นในเครอื่ งแบบวา อาทติ ยน วี้ า งไหม? อยาก ใหช ว ยพาไปวัดสองแหง คือวัดสันติธรรม กบั วดั อรญั ญวิเวก เมื่อผูบรรยายตรวจสอบตารางการทำงานแลวยังมีเวลาเปน อิสระ จึงไดตอบกลับไปทางโทรศัพทวายังวาง และจะไปรับ ทีส่ นามบินเชยี งใหม เพ่ือทำธรุ ะตามทีป่ ระสงค เมอ่ื วนั เวลาทน่ี ดั หมายมาถงึ ผบู รรยายจงึ ไดว า จา งรถ ตูไ ปรับคณะท่มี าจากกรุงเทพฯ และไดพ าคณะกรงุ เทพฯ เดนิ ทางไปทำธุระตามที่นัดหมายไว คณะจากกรุงเทพฯมีอยูสี่คน แตผูบรรยายรูจักเพียงสองคนท่ีเปนเพื่อนกันมากอน อีกสอง คนที่เหลือเพียงจะมารูจักกันที่สนามบิน เมื่อคณะพรอมแลว จึงไดเดินทางไปวัดสันติธรรมซึ่งอยูในตัวเมืองเชียงใหม เมื่อ พดู คุยธุระเรือ่ งการบวชเปนภิกษเุ รยี บรอยแลว จึงไดอ อกเดิน ๙๖
ทางไปวัดอรัญญวิเวก ซึ่งต้ังอยูท่ีอำเภอแมแตง ในระหวาง การเดินทางน้ัน คณะจากกรุงเทพฯ ไดพูดคุยกันอยูในตอน หนาของรถตู และมีคนหนึ่งไดกลาวถึงเรื่องอาการปวดหลัง ของเขา ดว ยการไปหาหมอแลว รับยามารับประทาน ซ่งึ หลงั จากทานยาไปแลว อาการปวดหลงั หายไปไดไมน าน ก็กลับมา ปวดหลังอีก เปนเชน นี้มาหลายเดอื นแลว ขณะที่คนมีอาการ ปวดหลงั พูดถึงการบำบัดรักษาของเขา ผบู รรยายซึ่งนัง่ อยใู น ตอนทายของรถตู ไดเห็นภาพใบหนาของวัวตัวหนึ่ง มีแตหัว ววั กบั เขาวัว ลำตัวไมม ี ววั ไดพ ูดกับผบู รรยายวา “ใครเอาเน้อื กูไปกิน กูจะทำรายมนั ” เมื่อคณะจากกรงุ เทพฯ หยุดการพูด คุยลงช่วั ขณะ ผูบรรยายจึงไดพ ดู ขน้ึ วา “เมอื่ ก้นี ผี้ มไดเ หน็ ววั ตวั หน่ึงมแี ตใ บหนา วัวเขาวัว ไดม าบอกผมวา ใครเอาเนอื้ กูไป กนิ กจู ะทำรา ยมนั ” เม่ือผบู รรยายกลาวประโยคนจี้ บลง เสยี ง หัวเราะจากคณะที่มาจากกรุงเทพฯก็ดังข้ึน ผูบรรยายจึงได พดู ออกไปวา ผบู รรยาย : พวกคณุ หวั เราะเรอื่ งอะไรกัน เพื่อนจากกรุงเทพฯ : อาจารยรูไหมครับไอเพื่อนผมคนที่มี ปญหาปวดหลังน้ี มันชอบกนิ สะเตกเน้อื ววั ๙๗ดร.สนอง วรอุไร
ตายแล้วไปไหนออ ดวยเหตนุ น้ี ี่เอง เพอื่ นคนหน่งึ ท่ีมาจากกรุงเทพฯ ไดถามผูบรรยายวา “ส่ิงท่ีอาจารยอุทานออกมาหมายความ วาอยางไร” ผูบรรยายจึงไดตอบเขาไปวา โรคปวดหลัง นั้น แมจะไมไดประพฤติเบียดเบียนหรือทุบตีสัตวใหไดรับ บาดเจ็บจนสัตวมีอาการเจ็บปวดท่ีหลัง หรือ หากสัตวไดผูก พยาบาทไวแลว เราเขาไปมีสวนรวมในการผูกพยาบาทน้ัน เราก็สามารถรับเอาการผูกพยาบาทนั้นมาเปนของเราได วัว ตัวท่ีผูบรรยายไดเห็นหนาของเขา กอนถูกนำเขาโรงฆาสัตว เพ่ือเอาเนื้อไปขาย วัว ไดผูกพยาบาทไววา “ใครเอาเนื้อกู ไปกินกูจะทำรายมัน” เร่ืองอาการปวดหลังของคนท่ีมาจาก กรุงเทพฯ จึงไดรูถึงตนเหตุท่ีแทจริงวาเกิดจากอะไร ผูปวด หลังจงึ ไดถามผูบ รรยายไปวา ผูปวดหลงั : เม่อื ไรผมจะหายจากอาการปวดหลงั ครับ ผูบรรยาย : ไมทราบครับขึ้นอยูกับวัวตัวที่ไปเอาเนื้อ ของเขามากิน เขาเลกิ ผกู เวรเม่ือไร อาการปวดหลังก็หายเมือ่ นน้ั ๙๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131