หลกั แมบ ท ของ การพัฒนาตน หลกั แมบท ของ การพฒั นาตน © พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ISBN 974-8356-80-9 ช่อื เดมิ : พัฒนาตน พมิ พ์ครงั้ ที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๘ พมิ พ์ครั้งที่ ๑๓ (ฉบับจ๋ิวพมิ พ์ครงั้ แรก) ธนั วาคม ๒๕๔๕ พมิ พครง้ั ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๙ ๕,๐๐๐ เลม - ชมรมกลั ยาณธรรม พมิ พเ์ ป็นธรรมทาน
หลกั แมบ ท ของ การพัฒนาตน ห©ลพักรแะพมรบหทมคขุณองากภราณรพ์ (ปฒั . นอา. ตปยนตุ ฺโต) ห©ISลBพกัNรแะ9มพ7บ4ร-หท8ม3ขค5อ6ุณง-8าก0ภา-รร9ณพ์ฒั (ปน. าอต. นปยุตฺโต) ©ISBพNระ9พ7ร4ห-8ม3ค5ุณ6า-8ภ0ร-ณ9์ (ป. อ. ปยุตฺโต) IชS่อืBNเด9มิ 7:4-8พ3ฒั 56น-8า0ต-น9 ชพพพพพชพ-พ่ือชอ่ืมิิมิมิมิมมิมิ มเเพพพดพพพพดริม์คค์คมิม์คค์คค์ค รร:กรรร:รรรั้งงั้รัง้ลั ั้งั้งพ้งัททท้ังง้ั้ังยพททททท่ี่ีทฒัี่า๑๑๒ี่ี่ณัฒี่ ่ี่ีี่๑๑น๒๓๗๑๑๒ธนา๓๗ร๓๗ต(ารฉนมต(บฉ(ับฉนบพมมจบับวิ๋ มิกกับพมมจพรรมมจมิว๋ิ กกาาวิ๋พพเ์ กกปคพครร์คมิ รร็นรามิามมพงั้าาคธคพค์แค๒ครรรค์มมก๒รง้ัรมม๕)แมงั้๕ธ๒ร๕แทก๒๒นั๒ร๙๕า)ก๒๕๘วนธ๕)๕า๕๒นัธ๕ค๙๒นั๘วม๙า๘วค๕า๒,มค๐๕ม๐๔๕๒๐๕,๕๐๕๒เ,ล๐๔๐๕ม๐๕๐๔๐๕เลเมลม -- ชชมมรรมมกกลั ัลยยาณาณธรธรรมรมพมิ พพมิ เ์ ปพน็ เ์ ปธรน็ รธมรทรามนทาน (ข้อมูลสถติ ิการพมิ พ์อยู่ระหวา่ งการรวบรวมข้อมลู เกา่ ((ตขขัวอ้อ้ เมมลลู ลูขสทสถถี่ใิตชิตก้เิกาปรา็นพรจพิมําพมิ น์อพวย์อนู่รยะขหู่ร้ันะวตหา่ งาํ่วกา่ เางทรกร่าาวทบรี่ปรวรบมาขกรอ้วฏมมหูลขลเ้อกกั มา่ ฐลู าเนกา่ในปัจจบุ ัน) hตพหวตหพhวหพhวัดัวtัดวัาtัดtาิมามิtเิมtpญกเลpญกpญกลพ:พทขพา:ท/ข:ทา/ทาเ/า่ณทเผ่าณ/เ่ใี่าwณ/นผชใ่ีผwนเwยนใชวw้เเยเปดใวยwแ้เศใวwปด็นแปศดกผแศw็นปจw.รกผwปวเกผาํ จะ.ปรันwว.นเaรwวําสเะปนันtวะนaปนังnตสaนสธนคtวy.นงnตขtบนรaจ์งnตธัน้คy.าnรธคขดับyต.รa์จงบaมัน้ พรa์จ่ําากnรัดvตาทnรงิมัดรeaมเพงํ่าทกะaมาพsvพทก่าินมท.รveเn์ทททิมระeโาึกพseี่ปปะโา่านทพs.tn์ดรทอรนท.โึกาn์eด่ีปย.ปกโสโกึ etตปดไรฏโอราtามดิ ดหมดอรย.กสตมลพดตย.ไฏสากั่อีคมตริดไหมฐาขาามตดิามลอมพนลนัก่อตอมคีพรใิขฐจขนน่อาคีสารา.ปอุญนนขลนาิทาจั อคอานใิขลจธจนนรตอบุ ส์ิ ิขป.ปทุญจนันนิทฐสัจี่).คุญานมจธิทรตุบคิ์าป๗ธทันรตฐ๓์ิ ี่ป)ทม๒ฐี่ ๑ม๗๐๓๗๒๓๑๒๐๑๐ พพพิมิมมิ พพพททท่ี ี่ี่ หนังสอื ดลี �ำดบั ท ่ี ๓๓๙ ของ ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชยั ต�ำบลปากนำ้� อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ www.kanlayanatam.com Facebook: kanlayanatam.com ออกแบบปก ทมี งานกลั ยาณธรรม พมิ พ์ บริษัทขมุ ทองอุตสาหกรรมและการพมิ พ์ จ�ำกัด โทรศพั ท ์ ๐-๒๘๘๕-๗๘๗๐-๓
ออนนุโโุ มมททนนาา เเปปปปสสขขแกแกนนจจวใวใใใมมปปหหหหิิออลลััสสดดลลรรรรยยััุุ่่งงบบ็็้ก้กนน้้ะะกกหหรรงงะะุุตต่่ิิสสพพนนววัับบชชพพเเววกกมมฺฺโโมม่่าาาาสสิิมมสสาาตตหห้้าารราาเเีีคคสสาาุุชชกกววชชรรพพปป))งงะะ้ออ้รรยยิิววนนกกรริิมมญญาาออ็็์์นนเเแแหหงงเเจจรราาดดรรชชรรปปสสออสสววกกดดนนณณมมะะพพมมนนชชมม็็นน่่กกาาดดาา้วว้ััแแงงปปพพ์์ิิกกมมุดุดธธยยรรไไงงสสผผปปแแเเรรปปััรรใใรรกกขขลลนนพพปปืืออ่่ขขหหลลรราาะะรรออาายยํํ้้าา์์็็ยยนนหหะะมมไไรร้้คคออะะรรงงหหาาใใดดาาธธถถหหททททมมนนุุณณยยผผจจณณ้้ยยแลแลาานนนนออาา่่ััาาาาูู้้งงสสปปพพจจัันนคคกกนนธธงงนนบบสสว่ว่าานนรร้้งงววสสรรชชแแรรยยดดืืใใออออาาคคเเใใะะาาหหมมููงงรรงงมมพพีีตตััรรนนจจแแววพพมมสสาามมซ้ซ้รรบบถถ่่่ืื่ออาาออททจจเเนนุุรรดดมมรร่งึ่ึงลลมมนนแแททญญกก่ั่ัูู้้ตตคคแแววโโหหฯฯิิศศจจปปดดาาททขขสสเเไไาา่่ววมมาากกปปดดปปรรยยงงออ่่ีีงงมมพพาาตตคคชชมมๆๆะะ็็สสีีนนออมมงงีีศศรริินนุุณณมมสสททออพพววกกยยเเธธะะรรททิิะะงงตตขขาา่่บบพพาา่่าาาารรััรรพพททคคงงทท้้ัว่่วัาารรภภแแรร้้งงออรรญญแแธธุุทท์์ปปขขใใปปกกพพาาแแรรมมมมจจหหาาออรรธธ..นน่่ญญณณททรรััฒฒททใใใใทท่่งงะะออเเออะะททนนนน้้จจาาปปจจ์์เเาาั้ั้นนงงนนททััชช((ตตจจั้ั้ธธงงรรธธ้้าาััญญนนปปมมุุญญาาาาศศิิปปิิมมฉฉงงรรททรร..นนตตญญออชชแแรรรราาิิตตววรรรรออ้ัั้นนมมนนนนบบมมกกตตาาาางงรรงง..่่
4 หลักแม่บทของการพัฒนาตน และทรัพย์อันล้ําค่าคือธรรม ที่จะเป็นหลักนํา ประเทศชาติให้พัฒนาไปในวิถีทางท่ีถูกต้อง เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขที่แท้และย่ังยืนแก่ชีวิต และสังคม ขออนุโมทนาธรรมทานบุญกิริยาของ ชมรม กัลยาณธรรม ในวาระนี้ ขอกุศลจริยาที่ได้บําเพ็ญ จงเป็นปัจจัยอํานวยจตุรพิธพรแก่ท่านผู้ประกอบ จาคธรรม และนํามาซ่ึงความเกษมศานต์สถาพร แห่งสงั คมประเทศชาตยิ ง่ั ยืนนานสบื ไป วดั ญาณเวศกวัน ๑๖ มกราคม ๒๕๕๙
µ¦´ °Ã» ¤µ ...........................................................................(Ò๓) Á¦É· µÎ .................................................................................๘Ò ®¨´Â¤n
° µ¦¡´ µError! Bookmark not ๑de๓๐fined. Ҁ ªµ¤Á
oµÄÁº°Ê oError! Bookmark not defin๑e๓๐d. ɸ¤µ
°Îµªnµ \"¡´ µ\" .Error! Bookmark not defin๑ed๔๑. µ¡´ µª´» ®´ ¤µÁo ¡´µ· ÄError! Bookmar๑k๓๖not defined. ¡´µ¦· o°Ä®o¹ £µªµError! Bookmark not de๑fi๘๕ned. °o ¥µÎ µÎ ´ Á¥É¸ ª´ µ¦¡´ µError! Bookmark ๑no๒๙t defined. ³¦³Á¦· ÁÈ ¡¦µ³¡´ µError! Bookmark n๒๑ot๕๒ defined. ҁ ®¨´ µ¦ f...............Error! Bookmark not defin๒e๗d๐. »Á¦·É¤o
°µ¦¡´ µError! Bookmark not d๒ef๗๐ined.
Ó6 หลักแม่บทของการพัฒนาตน
´Ê°¦nµªÇ
°µ¦¡´µError! Bookmark no๒๓t๓๖ defined.
Ê´o ¦¼o ´´Ê¦´ ..........Error! Bookmark not defin๒e๓d๙๖. ´´Åo ¨³¦´¦»n°Å¤¦¼ Er rror! Book๓m๔๓๐ark not defined. ¼o f °Éº °º ¼¤o µªn ¥Ä®Áo
µ fError! Bookmark๓๔n๒๕ot defined. ҂ ®¨´ µ¦«¹ ¬µ..........Error! Bookmark not defin๓e๔d๘๕. µ¦¦oµ·´¥´ «¹ ¬µ ®¦º° · ε¹
°´¡´µE๓r๔r๘๕or! Bookmark not defined. Á¤ºÉ°· ¤»nÁµj ®¤µ¥ Á¦É°º »·®È µ¥ÅÁ°Error! Bookm๔๘a๑rk not defined. Á¤ºÉ°¤°ÂÁ¦¸¥¦o¼ Ȥ¸ Ån o¨°Áª¨µError! Bookma๔๕r๓๖k not defined. Ê´¤»nÁµj ®¤µ¥ Ê´Ä Ái ¦¥¸ ¦o¼ o°¦¼n ¹ Åo µ¦Error! ๔๕๙๖ Bookmark not defined. °r¦³° Ô µo
°µ¦«¹¬µError! Bookmark n๕๖o๔๑t defined.
พ ร ะ พ ร ห ม คÔุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) 7 µ¦«¹ ¬µ Ô oµ µÎ ®¦´¦³µError! Bookmark ๕n๖o๗๔t defined. Á¦Éº°Â¦: Á¦É°º nª¥Â¨³Á¦°ºÉ ª´µ¦¡´ µError! ๖๖๒๙ Bookmark not defined. ¡»¡rÁº°Ä®o¤n» ®µo ¡´µError! Bookmark n๗๖o๒๕t defined. ҃ ®¨´ µ¦¡´µ...... Error! Bookmark not defin๖๗ed๘๕. µ¦¡´ µ¦É¸ °oµ Error! Bookmark not defin๖๗ed๘๕. ¡´µªµ¤´¤¡´ r´É· ª¨o°¤µª´ »Error! Boo๗km๘๑ark not defined. ¡´µµ´ ¤ °n ªo ¥¡´µ· Ĩ³{ µError!๗๘๔๑ Bookmark not defined. »¤¦¼ r
°µ¦¡´ µError! Bookmark not d๗e๘f๘๕ined. Á¦¤· ´¤o°¤¸µn ¥· ¤¥¥n°¡É¸ ´ µError! Bookm๘a๘๒rk not defined. ¡´µ®¤(ªµ¤¥¹ ¤´É)´ªError! Bookmar๘๙k๒๕not defined.
เกริ่นนาํ ∗ ขอเจรญิ พร ทานผูใฝธ รรมทกุ ทา น อาตมภาพมาในวันนี้โดยมีความรูสึกติดมาดวย วา จะพดู กบั ท่ปี ระชมุ ของทานท่ีอยูใ นวงการธรรม ซึ่ง เปน ผูไ ดศกึ ษาปฏบิ ตั มิ าแลว และหลายทานก็มคี วามรู กวา งขวาง ไดปฏบิ ตั ิไปแลวไกลพอสมควรทีเดียว ในเม่ือมคี วามรสู กึ อยางน้ี ก็ทาํ ใหมคี วามคดิ วา แมจะพูดเรื่องท่ีหนักสักหนอยและในลักษณะท่ีอาจจะนา เบอ่ื บา ง ก็คงไมเปน ไร ในเม่ือคดิ อยางนแี้ ลว กเ็ ลยตั้งแนววาจะพูดหนกั ∗แสดงแก กลมุ ขาราชการมหาวิทยาลัยมหดิ ล ผูสนใจในการ ปฏิบัติเพ่อื การพัฒนาตน ณ หองประชมุ จงจินต โรงพยาบาล รามาธิบดี วนั ที่ ๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๗ (ในการพมิ พค รงั้ ท่ี ๑๓ ซง่ึ เปน ฉบบั จวิ๋ ครงั้ แรก รบั ปใ หม ๒๕๔๖ ไดจัดปรับใหเหมาะทจี่ ะเปน หนงั สอื ขนาดเล็ก เฉพาะอยา งย่ิง ไดแยกบท และแบงซอยต้ังหวั ขอยอ ยเพ่ิมข้นึ อีกมาก แลวปรับ แกข้ชอื่ หนงั สอื จาก พฒั นาตน เปน หลกั แมบ ทของการพฒั นาตน)
๒พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) 9 ไปทางหลกั วชิ า หรือจะพดู ตามเนอ้ื หาของคัมภรี คืออาจ จะเปน การพูดแบบนกั ตาํ ราสักหนอย ความจริงนั้น สาระของธรรมอยทู ่ีการนาํ มาใชไ ด คอื ใชใ หส าํ เร็จประโยชน ดับทุกข หมดกิเลส ถา วาในแง นแี้ ลว เรอื่ งตาํ รากไ็ มสสู ําคญั เทาไร เหมอื นกนิ ยาถกู ถึง ไมรตู ํารายา โรคก็หาย (แตย านั้นถา ไมมตี าํ ราจะไดมา อยางไร ก็อกี เร่ืองหน่งึ ) อยา งไรกต็ าม สําหรบั ผูท่ีมคี วามรแู ละไดปฏิบัติ ธรรมมาแลวนัน้ ความรูด า นตาํ รากลับมาชวยเสรมิ คือ มาเปน แกน หรือเปนหลักเชือ่ มโยงในหมูทา นผูรูธรรม และไดป ฏิบัติธรรมดวยกัน ใหม สี ่ือสําหรบั หมายรกู ัน และพูดกันเขา ใจไดง า ยขนึ้ ในเมอ่ื จะพดู ตามแนวของตําราหรือคมั ภรี กเ็ กิด มคี ําถามขน้ึ มาวาจะพูดเร่อื งอะไรดี ทีน้ี เทาทอ่ี าตมภาพทราบ ท่ีประชมุ นี้ ดูเหมือนจะ มีความสัมพันธหรือสืบเน่ืองมาจากโครงการท่ีเรียกวา \"การพฒั นาตน\" จงึ มานกึ วา ควรจะพูดเร่ืองการพัฒนา ตนนแ้ี หละ เอาเร่อื งทเี่ ปนหลกั ของโครงการนี้
หลกั แมบท ของ การพัฒนาตน* —๑— ความเขาใจเบ้อื งตน เปน อนั วา จะพดู เรือ่ งการพฒั นาตน ตาม หลกั วิชา หรอื ตามเนือ้ หาในคมั ภีร ทนี ี้ พอตง้ั ชือ่ เรอ่ื งการพฒั นาตน ซงึ่ เปน ชือ่ ของโครงการ หรือเปนชือ่ ของกลมุ ที่มาประชมุ นี้ อยา งนอ ยกเ็ กดิ ปญหาขน้ึ มาวา คาํ วา พฒั นาตน น้ี ตรงกบั หลกั ธรรมขอ ไหน หรอื หวั ขอธรรมวาอยา งไร * หนงั สอื เลม เลก็ นแี้ สดงหลกั การทว่ั ไปพอเปน พน้ื ฐาน ผตู อ งการ เขาใจความสมั พนั ธภายในระบบใหชัดเจนขึ้น พึงดูหนังสือ จะพัฒนาคนกันไดอ ยา งไร หรือ “บทเพ่ิมเติม: ชีวิตทเ่ี ปน อยดู ี ดวยมีการศกึ ษาท้ัง ๓ ที่ทําใหพ ัฒนาครบ ๔“ ในหนงั สอื พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ), พ.ศ. ๒๕๔๔, หนา ๓๔๒–๓๗๔
๔ 11พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ท่ีมาของคําวา \"พฒั นา\" คาํ วา พฒั นา น้ี ในวงการของนกั ตาํ ราทาง ธรรมหรือนักคัมภรี ไ มค อ ยคนุ กนั รสู ึกวา เปน ศพั ท คอ นขา งใหม ในวงการศกึ ษาธรรมแตเ ดมิ มาไมได นยิ มใชคําน้ี และในเมอื งไทยโดยทวั่ ไปในชีวติ ประจาํ วันถอยหลงั ไปสกั ๓๐-๔๐ ป กไ็ มค อ ยได ยนิ คําวา พฒั นา จะไดย นิ บางแตค าํ วา วัฒนา ซ่งึ โดยมากจะใชในคําอวยชยั ใหพร เชน วา ขอให วฒั นาสถาพร อะไรทํานองนี้ คาํ วา “พฒั นา” นี้ อาตมภาพเขาใจวามาได ยนิ กนั มากขน้ึ ในสมัยหลังการปฏวิ ัติ พ.ศ. ๒๕๐๐ หรอื หลงั ปฉ ลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ คอื หลงั จาก การปฏวิ ตั คิ ราวน้นั แลว กป็ รากฏวาทางบานเมอื ง ไดมีนโยบายเรงรัดการสรางความเจริญของ ประเทศชาติ และไดน ําเอาคําวา พัฒนามาใชก ัน มาก แมก ระทง่ั เปนชอ่ื หนว ยราชการใหญๆ เชน กระทรวงพฒั นาการแหงชาติ บางหนวยก็ยงั มอี ยู
12 หลักแม่บทของการพัฒน๕าตน จนกระทงั่ ปจ จุบนั เชน สํานักงานเรง รดั พฒั นา ชนบท กรมการพฒั นาชุมชน อะไรทาํ นองน้ี กเ็ ลย นยิ มใชค าํ วา พัฒนากันมากข้ึน จนกระทัง่ ถงึ กับ เรยี กช่อื ยุคสมัยตอ แตนน้ั วาเปน ยคุ พฒั นา นับแตน้ันก็ไดพัฒนากันมาจนบัดนี้เปน เวลาเกอื บ ๓๐ ปแลว ความรสู กึ ทเ่ี นน กันมากใน สมยั กอ น ท่ีประชาชนมองเหน็ ชดั กค็ อื การสรา ง ถนนหนทาง ตลอดจนอาคารตึกรามสมยั ใหม ตา งๆ อนั น้เี ดนมาก และคําวาพัฒนานก้ี ็ไดเ ขาไป แมก ระทง่ั ในวัด ในวดั กร็ สู กึ กนั วาจะตอ งพัฒนา คาํ วา พัฒนาในสมยั นน้ั พว งความรูสกึ ผกู พนั กบั ความเจริญแบบใหมๆ เชน อาคารแบบสมยั ใหมเ ปน ตน อยางนอยถาจะพัฒนาก็ตอ งมีอาคาร สง่ิ กอ สรา ง มตี กึ ทสี่ วยงามใหญโ ต แลว กม็ คี วามรสู กึ ตอ ไปในทางตรงขา มวา ถา มีปา มตี นไมก ็ไมพฒั นา ฉะนนั้ วัดตา งๆ ก็มีการตัดตน ไมก นั เปน การ ใหญ วดั ไหนมีตนไมมากก็แสดงวา วัดนั้นยงั ไมไ ดม ี
๖ 13พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) การพฒั นา ทใี่ ดพฒั นาที่น้ันตองพน จากความเปน ปา ตน ไมเ ปนเครื่องหมายของปา ปาก็แสดงวา อาจจะเถอ่ื น เม่อื เถ่อื นก็แสดงวา ลา หลงั ไมพฒั นา ดงั นนั้ จงึ มีการตัดไม นยิ มสรา งเปนคอนกรีตกันข้ึน แพรหลายท่วั ไป จากพฒั นาวัตถุ หนั มาเนนพฒั นาจิตใจ ความรสู ึกน้ไี ดสบื กันนานพอสมควร จน กระทง่ั เมอ่ื ไมน านมานเ้ี อง กเ็ รมิ่ บน กันขน้ึ มาวา ประเทศเราน้พี ฒั นากันไป พฒั นากันมา ดูเหมือน จะมปี ญ หามากขึน้ มสี ่งิ ช่วั รา ยไมด ีไมง ามมาก มาย เปน ตน วา อาชญากรรม ความเสื่อมโทรมทาง ศลี ธรรม ความเส่อื มโทรมทางจติ ใจอะไรตางๆ ก็ เลยพดู กนั วา เราเห็นจะพฒั นาวตั ถกุ ันมากเกนิ ไป แลว พฒั นาผดิ พลาดแลว จะตอ งหนั มาพัฒนาคน กนั ใหม ากๆ ตอนนก้ี ็พูดกนั เกรอ มีการเนนการย้ํา วา จะตอ งมาพฒั นาคนใหมาก
14 หลักแม่บทของการพัฒน๗าตน คาํ วา การพฒั นาคน ในทนี่ ้ี กไ็ มใ ชไ ปเนน ดานการพัฒนาความสามารถหรือความรูในวิชา การวชิ าชพี อะไรตา งๆ แตห มายถงึ พฒั นาคณุ สมบตั ิ ทอ่ี ยภู ายในตวั บคุ คล เชนศลี ธรรม หรือพูดลกึ ลง ไปกค็ อื พฒั นาจิตใจนัน้ เอง เดี๋ยวนีก้ เ็ ลยมาพูดยาํ้ วา เราจะตอ งพฒั นาจติ ใจใหเจริญควบคกู ันไปกบั การพฒั นาวตั ถุ และในเม่อื ยคุ หรอื ชว งเวลาทผี่ า น ไปแลว ไดเ นน การพัฒนาวตั ถมุ าก ชว งนกี้ ็เลยหนั มาเนน การพัฒนาจิตใจมากข้ึน เม่อื พูดถึง “การพฒั นาจิตใจ” กเ็ ปน เรือ่ งภาย ในสว นลึก บคุ คลแตล ะคนตอ งทาํ ดวยตนเอง คน อนื่ จะไปพฒั นาใหไมไ ด แตก ช็ ว ยไดบ า ง เชน การ สรา งสภาพแวดลอมทเี่ กอ้ื กลู หรอื ชวยแนะนํา อะไรตา งๆ ให แตว าถงึ ตัวแทจ ริงแลว ทุกคนตองมี การพฒั นาตนเอง ดังนนั้ การพัฒนาจติ ใจกจ็ งึ เปน เรอ่ื งของการพัฒนาตน เม่อื พัฒนาตนก็ตรงกันเขา กบั ชอื่ โครงการน้ี เปนอนั วา ทเ่ี รยี กวาการพฒั นา
๘ 15พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ตนนนั้ กต็ รงกับเร่ืองสําคัญ ทจี่ ะตอ งใชต อ งเนน ตอ งยาํ้ กันในยุคสมัยนี้เปน อยา งดีทีเดียว ทนี กี้ ต็ อ งมาดวู า การพัฒนาตนตรงกับศัพท ธรรมหรือหลกั ธรรมขอไหน พัฒนาจริง ตอ งใหถึงภาวนา พัฒนา กแ็ ปลวา เจริญหรือทาํ ใหเ จรญิ น่ันเอง ทนี มี้ าดทู างธรรมกป็ รากฏวา คําวา เจรญิ เราใช กนั มานานแลว ในวงการธรรม ตั้งแตส มยั โบราณ เชน ถา ปฏิบัติวิปส สนา เรากเ็ รียกวาเจรญิ วปิ ส สนา หรอื ถาไปปฏิบัตใิ นทางเมตตา สรา ง เมตตาธรรมใหเกิดขน้ึ ในใจ เรากเ็ รยี กวาเจริญ เมตตา มาทําอานาปานสติกัมมฏั ฐาน กาํ หนดลม หายใจเขา ออกเปนอารมณ ทําใหจ ติ เปน สมาธิ สงบ เรากเ็ รียกวาเจริญอานาปานสติกมั มัฏฐาน หรอื เจรญิ อานาปานสติสมาธิ ตลอดกระทง่ั วา สรา งกศุ ลใหมากเรากเ็ รียกวาเจริญกุศล
16 หลักแม่บทของการพัฒน๙าตน คาํ วา เจรญิ จงึ เปนศัพทท ม่ี ีมาแตโ บราณ ซง่ึ เราใชก ันมานานแลว ปจจบุ ันก็ยังมไี วโ ดยสบื ตอ มาจากโบราณนั้นเอง ในเมอื่ คาํ วา พฒั นา แปลวา เจรญิ เราก็โยง ไดวา ท่ีจรงิ เราใช พฒั นา กนั มานานแลว คือ คําวา เจรญิ นน่ั เอง ซึง่ ใชกบั ศพั ทธ รรมตางๆ มากมาย พอไดศ พั ทน ้แี ลว ก็ไปดูอกี ทวี า คําวา เจริญ ซง่ึ เปน ศพั ทภ าษาไทยน้นั ถา ไปเทียบกับคําบาลี เดมิ ทเี่ ปน ตนตอ จะไดแกหลักธรรมอะไร กเ็ หน็ ได งา ยเลยทนั ที อยา งคาํ เม่ือกว้ี า เจริญวิปสสนา ทางพระ เรยี กวา วปิ สสนาภาวนา เจริญสมถะกเ็ รยี กวา สมถ- ภาวนา เจรญิ เมตตาทานก็เรียกวา เมตตาภาวนา เจรญิ อานาปานสตทิ านกเ็ รยี กวา อานาปานสติ- ภาวนา เจรญิ สมาธิเปน สมาธภิ าวนา เจรญิ กุศลเปน กศุ ลภาวนา กช็ ดั เลยทุกคาํ ลงภาวนาหมด เปน อนั วาตวั จริงของเจรญิ ก็คอื ศัพทว า
๑๐ 17พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) “ภาวนา” น่ีเอง คาํ วา ภาวนา แปลวาการเจรญิ เปน อันวา ไดศ พั ทแลว ตอนน้ีเม่ือจบั ศัพทได เรามาดคู วาม หมายกนั อกี อาตมภาพลองคน ดู เวลาทา นใชค าํ วา ภาวนา หนังสืออรรถกถาจะอธิบาย (เขาเรยี กวาไข ความ) ไขความวา ภาวนาแปลวา อะไร แทบทกุ แหง แปลภาวนาวาพฒั นา กเ็ ลยไปตรงกันเขาอีก ยกตัวอยาง เชน บาลใี นพระไตรปฎกพูดวา ภาเวติ ซงึ่ เปน รปู กรยิ าศพั ทข องภาวนา อรรถกถาก็ อธิบายวา ภาเวติ ไดแก วฑเฺ ฒติ วฑเฺ ฒติ ก็คือ วฒั นา หรือ พัฒนา กเ็ ปนอยางนี้ หรอื ภาเวตฺวา ก็ อธบิ ายวา ไดแ ก วฑเฺ ฒตวฺ า ซงึ่ เปน อีกรปู หนึ่งของ ภาวนา ภาวนาเปนตัวศัพท วัฒนา เปน คาํ ไขความ ตกลงวา ทเี่ ราใชพฒั นากไ็ มไ ปไหน ก็ตรง กบั คาํ วา วัฒนา ซึง่ เปนคําอธบิ ายของคําวา ภาวนาน้ันเอง เปน อนั วาเดยี๋ วน้ีนิยมใชคําวา พัฒนา กใ็ ชไ ด
18 หลักแม่บทของการพัฒ๑น๑าตน ไมผดิ เพราะเปนอกี รูปหนึง่ ของคําวา ภาวนา นัน่ เอง และอาจจะเหมาะกับสมยั ปจ จุบนั เพราะวา เดย๋ี วนคี้ าํ วา ภาวนา มีความหมายในภาษาไทยที่ ออกจะคลาดเคลอื่ นและก็แคบไปเสียแลว เวลาพดู ถึงคําวา ภาวนา คนสมยั ปจ จุบนั ไม คอ ยจะเขาใจวา เปนการพฒั นา หรอื ทาํ ใหเ จรญิ เสยี แลว แตมกั จะมองเปน วาภาวนาก็คอื การสวด มนตบนคาถา หรอื อาจจะไปถงึ วา เปน สวดมนต พน คาถาไปกไ็ ด เพราะฉะนัน้ คําวา ภาวนา ใน ภาษาไทยจึงมคี วามหมายแคบ และบางทคี ลาด เคลือ่ นไมคอ ยตรงเทาไรเลย แทท จี่ รงิ ในบาลี ภาวนา กม็ คี วามหมายเทา กบั พฒั นา แตใ นภาษาไทยไมไดเขา ใจอยา งนน้ั เสยี แลว ฉะนน้ั ถาเราใชค าํ วาพัฒนาก็จะส่อื ความ หมายไดง า ยข้นึ แตในเวลาเดยี วกนั ตอ งจบั โยงไว ใหไดดว ยวา ตวั แทต วั จรงิ ของมันในทางธรรมนั้น พฒั นาก็คือภาวนานนั้ เอง
๑๒ 19พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) เปน อนั วา วนั นอี้ าตมภาพมาโยงศพั ทพ ฒั นา เขา ไปหาตัวหลักเดมิ คอื ภาวนา ไดแลว ทนี ก้ี ม็ า พจิ ารณาความหมายของคําวา ภาวนา กันตอ ไป ถอ ยคาํ สาํ คญั เกยี่ วกบั การพฒั นาตน ภาวนา ทเี่ ราแปลวา เจรญิ นน้ั ถา แปลออก ศพั ทห รอื แปลโดยพยญั ชนะ ก็แปลวา ทําใหเกิดให มขี นึ้ หรอื ทําใหมีใหเปนขนึ้ หมายความวา อะไรท่ี ยงั ไมม ี กท็ ําใหม ขี ึ้น อะไรทยี่ งั ไมเปน ก็ทาํ ใหเปน ขนึ้ หรอื วา โดยเฉพาะทานหมายถงึ กศุ ลธรรม กุศล ธรรมอนั ใดยังไมเกดิ ข้ึนกท็ าํ ใหเ กดิ ขึ้น อยางน้ีเรียก วา ภาวนา ความหมายน้ีเรยี กวา ความหมายตาม ตวั อกั ษร สว นความหมายทแี่ ปลออกไปทางเนือ้ ความจบั เอาสาระ ทา นมกั แปลกนั วา การฝก อบรม ภาวนา แปลวา การฝกอบรม น้เี ปนการแปล เอาใจความ และแปลตอ ไปไดอกี วา ทาํ ใหเ จรญิ ทาํ ใหเพมิ่ พนู ข้ึน
20 หลักแม่บทของการพัฒ๑น๓าตน พออธิบายความหมายของภาวนาวาเปน การทาํ ใหเ กิดใหมขี น้ึ หรือทําใหมใี หเปนขนึ้ ตลอด จนการฝก อบรม ทาํ ใหเ จรญิ เพม่ิ พนู มากมายงอกงาม ขนึ้ มา ก็เลยไปโยงกับศพั ทธ รรมอืน่ ๆ เขาดวยอีก ที่ อยใู นชดุ เดียวกัน ซง่ึ ทางพระเรียกวา ไวพจน คือ คาํ ทม่ี คี วามหมายอยางเดยี วกัน หรือใชแ ทนกันได กเ็ ลยตอ งจบั ศพั ทท ่อี ยใู นกลุมน้มี าพูดดว ยกนั หมด จะขอจบั โยงศพั ทสําคญั เขา มา ซ่งึ ถือวา เปน เรอ่ื งการพฒั นาตนดวยกนั ท้ังสน้ิ มศี พั ทส าํ คัญอยู ๓ ศพั ท ซ่งึ นกั ศกึ ษาธรรม ควรจะรูเปนอยา งยิ่ง คือ ๑. ภาวนา ทพ่ี ดู มาแลว ๒. ทมะ ซงึ่ มอี ยดู ว ยในหลกั ธรรมทเี่ รารจู กั กนั มาก คอื หลกั การครองเรอื น ทเี่ รยี กวา ฆราวาสธรรม ๔ (ขอ ๒) อันไดแก สัจจะ (ซื่อสัตยจริงใจ) ทมะ (ฝก ตัวปรับใจ) ขันติ (เขมแข็งทนได) จาคะ (รูสละ มีนํ้าใจ)
๑๔ 21พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ทมะ แปลวา การฝก เปน ขอ สาํ คญั มาก บางที เราพดู ถงึ นอ ยไป เดยี๋ วจะพดู ถงึ วา มนั สาํ คญั อยา งไร ๓. สิกขา สกิ ขาเปน คําภาษาบาลี ถาใช อยา งภาษาสันสกฤต กเ็ รยี กวา ศกึ ษา สิกขา หรือ ศกึ ษา มคี วามสาํ คัญมาก ทางพระพุทธศาสนา มาในคาํ วา “ไตรสกิ ขา” การฝก อบรมทงั้ หมดในทาง พระพทุ ธศาสนา กระบวนการทางปฏบิ ตั ทิ งั้ หมด เรียกวา ไตรสิกขา สกิ ขา แปลวา การศึกษา การเรียนรู การ สาํ เหนยี ก การฝกฝนอบรม ทุกศัพทมีความหมายวาเปนการฝกทั้งนั้น ภาวนา กค็ อื การฝก อบรม ทมะ กแ็ ปลวา การฝกฝน สิกขา กแ็ ปลวา การฝกฝนเรียนรู กอ็ ยใู นพวกเดยี ว กนั แลว ก็มีความหมายอ่นื ๆ แยกกระจายออกไป ตกลงวา มศี พั ทสําคัญ ๓ อยางทจี่ ะตองรตู องเขา ใจอยใู นชุดเดียวกนั
22 หลักแม่บทของการพัฒ๑น๕าตน คนจะประเสรฐิ ก็เพราะพัฒนาตน พระพทุ ธศาสนานเี้ รยี กไดว าเปน ศาสนาแหง การพฒั นาตน หรือจะเรียกวา เปน ศาสนาแหง การ ฝก ตน หรอื ศาสนาแหง การศกึ ษากไ็ ด แตถ า จะใหต รง กบั ทเี่ ปน หวั ขอในทีน่ ี้ กเ็ รยี กวา เปนศาสนาแหงการ พฒั นาตน ทเ่ี รียกอยางน้กี ม็ เี หตผุ ลรองรบั อยางดี ประการที่ ๑ หลกั ธรรมทเี่ กย่ี วกบั การพฒั นา ตนนนั้ เปน เร่ืองใหญ เปนแกนกลาง เปน ท้งั หมด ของการปฏิบตั ธิ รรมในทางพระพทุ ธศาสนา คาํ วา ภาวนา กอ็ ยา งทย่ี กตัวอยา งเม่ือก้ี เราใชในเรือ่ ง การปฏิบตั ธิ รรมทุกอยาง จะเจริญเมตตากเ็ ปน เมตตาภาวนา เจริญกุศล ทํากุศลใหเ กิดมกี เ็ ปน กศุ ลภาวนา เจรญิ อานาปานสตกิ อ็ านาปานสติ ภาวนา เปนเร่ืองการพัฒนาตนหรือฝกฝนตนทง้ั นน้ั เพอื่ ใหเ กดิ มกี ศุ ลธรรมเหลา นน้ั คาํ วา ภาวนา จงึ เปน การปฏิบตั ทิ ีค่ รอบคลุมท่ัวไปท้งั หมด ทนี เ้ี รอื่ งสิกขากอ็ ยางทพ่ี ูดเมื่อก้วี า ไตรสกิ ขา
๑๖ 23พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ครอบคลุมการปฏิบัติท้ังหมดในพระพุทธศาสนา เราเรยี กกนั งายๆ วา ศลี สมาธิ ปญญา สว นทมะนนั้ ปรากฏวา ทา นใชม ากในรปู ทแี่ สดง คณุ สมบตั ิของบุคคล ซึง่ จะพูดในเหตผุ ลขอท่ี ๒ ประการท่ี ๒ บคุ คลทส่ี ูงสุดในทางพระพทุ ธ ศาสนา หรือผไู ดบ รรลเุ ปาหมายในทางพระพุทธ ศาสนา ทา นเรียกวา บุคคลทพี่ ฒั นาตนแลว หรอื มี ตนอนั พฒั นาแลว หรือมีตนอนั ฝก แลว ถา หากไปดูความในภาษาบาลี ไมเ อาศัพท ภาษาไทย เพราะไปดูพระไตรปฎ กภาษาไทยอาจ จะสงั เกตไมช ดั พระไตรปฎ กบาลมี ีศพั ทเรียกคนท่ี บรรลจุ ดุ มงุ หมายในทางพระพทุ ธศาสนาวา เปน บคุ คลทมี่ ตี นอนั พัฒนาแลว มตี นอันเจริญแลว มี ๒ ศพั ท โดยเอาศพั ทว า ภาวนา กบั ทมะ มาใช คาํ ทเ่ี อาภาวนามาใช ทา นเรยี กวา ภาวติ ตั ตะ แปลวา บุคคลผมู ตี นอันพฒั นาแลว ภาวิตะเปนรปู คณุ นาม หรืออยางทภ่ี าษาอังกฤษเรยี กวา กรยิ า
24 หลักแม่บทของการพัฒ๑น๗าตน ชอ ง ๓ ของภาวนา แปลงายๆ วา ผทู ี่ไดภาวนาแลว รวม ภาวติ ะ กบั อตั ตะ (ตน) เปน ภาวติ ัตตะ แปล วา ผมู ีตนอันพัฒนาแลว ทาํ ใหเจริญแลว พระพทุ ธเจา เวลาคนมาถามปญหา บางที เขาทกั พระองควา ทานภาวิตัตตะ ทานผมู ตี นอนั พฒั นาแลว สวนคาํ วา ทมะ กใ็ ชอยางเดยี วกนั เปนรปู กรยิ าชอ ง ๓ ไดแก ทนั ตะ ใชใ นรปู วา อตั ตทนั ตะ อตั ตทันตะ แปลวา ผมู ีตนอันฝกฝนแลว อัตตะ ตน + ทนั ตะ ฝก ฝนแลว สองศัพทค อื ภาวติ ตั ตะ กบั อตั ตทันตะ นเี้ ปน คาํ ทใี่ ชเ รยี กพระพุทธเจามากท่สี ุด และเรยี กพระ อรหนั ตดวย บางแหงก็ใชก บั พระอริยบคุ คลท่วั ไป ลงมาถงึ พระโสดาบนั กพ็ อได แตตามปกตินิยมใช กบั พระอรหันต มพี ระพทุ ธเจาเปน ตน ในคาถาหนง่ึ ทา นกลา ววา มนสุ สฺ ภตู ํ สมพฺ ทุ ธํ อตฺตทนฺตํ สมาหิตํ ไปเร่ือยจนถึงคําวา เทวาป
๑๘ 25พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) นํ นมสสฺ นฺติ บอกวา พระสัมพทุ ธเจา ทัง้ ท่ีทรงเปน มนษุ ยน แี้ หละ แตเ ปนผูไ ดฝ ก ฝนพัฒนาตนแลว เปน ผมู จี ติ ตง้ั มนั่ แมแ ตเ ทพทง้ั หลายกน็ อ มนมสั การ น้ีเปนการแสดงถึงความเคารพยกยองเชิดชูทานท่ี ไดพ ฒั นาตนแลว ถือวาเปนผปู ระเสริฐสงู สดุ ในอกี คาถาหนง่ึ พระพทุ ธศาสนาสรรเสริญ คนทพ่ี ฒั นาตนแลว วา ทนโฺ ต เสฏโฐ มนสุ เฺ สสุ แปล วา ในหมมู นุษย ผูท ีฝ่ ก ตนแลวประเสริฐสดุ ไมใ ช ประเสรฐิ เฉพาะในหมมู นุษยเทานั้น วชิ ชฺ าจรณ- สมปฺ นฺโน โส เสฏโฐ เทวมานุเส ผถู ึงพรอมดวย วิชาและจรณะเปนผูประเสริฐสุดท้ังในหมูมนุษย และทวยเทพ เทวดาทั้งหลายแมแ ตพ รหมก็เคารพ บูชา เปน อนั วา หลกั ในพระพทุ ธศาสนา เทดิ ทนู การ พฒั นาตนมาก ผพู ฒั นาตนแลว เปน สดุ ยอดของบคุ คล ทไ่ี ดร บั การสรรเสรญิ ในพระพทุ ธศาสนา การพฒั นา ตนเปนแกนของการปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธ
26 หลักแม่บทของการพัฒ๑น๙าตน ศาสนา นก่ี ็คอื ไดเ ขา มาสจู ุดท่เี ปนเปา หมายแลว
—๒— หลักการฝก จุดเร่ิมตน ของการพฒั นาตน ตอ ไป เมื่อไดเ ขา ใจอยา งนแี้ ลว ก็ควร พจิ ารณารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ วา ในเมอ่ื การพฒั นา ตนมคี วามสําคญั และบุคคลท่ีพฒั นาตนแลวเปน บคุ คลทบี่ รรลจุ ดุ หมายในทางพระพุทธศาสนา เรา จะมวี ธิ กี ารพัฒนาตนอยางไร ทนี ้ี กอ นจะมกี ารพฒั นาตนวาจะทาํ อยางไร กจ็ ะตอ งมคี วามเชอ่ื พน้ื ฐานกอ นวา คนเรานัน้ พฒั นาได อันน้ีเปน ความเชอ่ื ทส่ี ําคญั มากในพระ พทุ ธศาสนา คือเชือ่ วา มนษุ ยน้ีเปนสัตวที่ฝก ได อยา งในพระพุทธคุณถาทา นสงั เกต สวดไปจะมีคํา วา อนตุ ฺตโร ปรุ ิสทมฺมสารถิ แปลวา เปนสารถฝี ก
28 หลักแม่บทของการพัฒ๒น๑าตน บรุ ษุ ทค่ี วรฝก ผูยอดเยยี่ ม ไมม ีคนอ่นื ยิ่งกวา ขอใหส ังเกตวา ในคําวา “ปรุ ิสทมมฺ ” นนั้ ตวั ทมฺม ไมใช ธมฺม ทแ่ี ปลวา ธรรม ที่เปน กศุ ล ธรรมหรืออกศุ ลธรรม หรอื ธรรม ความดี ความชวั่ เปน ท. ไมใ ช ธ. ทมั มะ นเ้ี ปน รปู หนง่ึ เปน รูปคณุ นามของ “ทมะ” ทก่ี ลาวมาเม่อื กี้ แสดงวา ทมะ มีความ สาํ คญั จึงมาปรากฏตัวอยูในบทพทุ ธคุณน้ดี ว ย ทมฺม หมายความวา คนเรานเี้ ปน สตั วทฝี่ ก ฝนได ฝก ฝนไดต้งั แตยงั มีสญั ชาตญาณปาเถื่อน ไปจนกระทงั่ สงู สดุ เปนพระพุทธเจา อยา งในคาถา เม่อื กวี้ า มนสุ สฺ ภูตํ สมฺพุทธฺ ํ อตตฺ ทนฺตํ สมาหิตํ แปลวา พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ทง้ั ทเ่ี ปน มนษุ ยน แี่ หละ พระองคฝ กอบรมตนแลว เปน ผูมีจติ ต้ังม่นั ทา น บรรยายคุณสมบัตติ อไปอกี หลายอยา ง แลวลง ทา ยวา แมแตท วยเทพทง้ั หลายก็นมัสการ นอบ นอ มเคารพบชู า
๒๒ 29พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) เปน อนั วา พระพทุ ธศาสนาสรรเสรญิ การฝก ฝนตน และถา จะเทยี บศพั ทป จ จบุ นั กเ็ รยี กวา มนษุ ย มศี กั ยภาพ พุทธศาสนาเชือ่ ในศักยภาพของมนษุ ย วา เปน สตั วท่ีฝกได อันน้เี ปนพื้นฐานทสี่ ําคญั มาก แมแตในหลกั พระรัตนตรยั ขอ แรกในพระ รตั นตรยั กค็ อื พระพุทธเจา ความหมายอยางหน่ึง ของพระรัตนตรัยกค็ อื สรา งความมนั่ ใจใหพ ุทธ- ศาสนกิ ชนวา พระพทุ ธเจา เปน ตัวอยา ง เปนผูน ํา ของเราท่แี สดงวามนษุ ยเ ปน สตั วท่ฝี ก ได พระองค กเ็ คยเปนมนษุ ยป ถุ ุชนมากอ น แตไดท รงบาํ เพ็ญ บารมสี รา งสมคุณธรรม จนกระทั่งผลท่ีสุดก็ได สาํ เรจ็ เปนพระพุทธเจา ถา เราทัง้ หลายเชือ่ ในพระองค เชือ่ ในพระ ปญ ญาทต่ี รัสรู เราก็จะเช่อื ในตนเองดว ยวา เราน้กี ็ มคี วามสามารถ มศี กั ยภาพในตวั ที่จะฝก ฝนตน เองไดอ ยางพระองค เราจะเหน็ วา พระพุทธศาสนาเนนประวตั ิ
30 หลักแม่บทของการพัฒ๒น๓าตน การฝก ตนของพระพทุ ธเจา ทที่ านมคี ัมภรี ช าดก กนั มากมาย ๕๕๐ ชาตินน้ั จุดมุงหมายสาํ คญั ก็ เพื่อแสดงใหเห็นกระบวนการฝกหัดอบรมตนหรือ การพฒั นาตนของพระพทุ ธเจา ต้งั แตเปนปุถุชน ตงั้ แตเ ปน สัตวเดรจั ฉาน จนกระทงั่ ไดส าํ เรจ็ เปน พระพทุ ธเจา เพราะฉะนนั้ ถาเราเปน พทุ ธศาสนกิ ชนแลว ตอ งมกี าํ ลังใจ อยาไปทอ วา เราไมสามารถพัฒนา ตนได แมแ ตจ ะปรารถนาพทุ ธภมู เิ ปน พระพุทธเจา กส็ ามารถเปน ไดด ว ยการบาํ เพ็ญบารมี หลัก พทุ ธคณุ เปน องคพ ระรตั นตรัยขอที่หนึ่ง ซง่ึ จะสราง ความเชอ่ื มั่นอันนขี้ ึน้ มา ท่ีกลาวมาน้ีเปนหลักเปนฐานเบื้องตนที เดยี ว และพระพทุ ธศาสนายงั สอนหลักธรรมเกี่ยว กบั เรอื่ งเหลา นอี้ กี มากมาย เชน การจาํ แนกบคุ คล เปน ๔ ประเภท เปน ดอกบวั ๔ เหลา เปน การสอน เรอื่ งความแตกตางระหวางบคุ คล
๒๔ 31พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) พระพทุ ธเจา กจ็ ะตอ งมญี าณหยงั่ รคู วามแตก ตา งแหง บคุ คล ทา นเรยี กวา อนิ ทรยิ ปโรปรยิ ตั ตญาณ ญาณหย่ังรูความยิ่งและหยอนแหงอินทรียของ สตั วท ง้ั หลาย ตองรวู ามนษุ ยย ังอยูในระดบั การ พฒั นาตนตา งกนั อยางไร คนไหนควรจะสราง ความพรอม ทาํ อนิ ทรียใหแกก ลา ขึน้ ไปอยา งไร และทรงมวี ธิ ีการของพระองค เพราะทรงเปนสารถี ฝก บรุ ษุ ทยี่ อดเยย่ี ม พระองคจ ึงทรงหาวิธมี าฝกให เขาพรอม ใหม อี นิ ทรียแกก ลาขึ้นไปโดยลาํ ดับ หรอื อีกขอ หนงึ่ ใน ทศพลญาณ เปน นานาธ-ิ มตุ ตกิ ญาณ ญาณหยั่งรอู ธมิ ตุ ติ คอื ความสนใจ และแนวโนม เอียงในบุคคลทแี่ ตกตา งกนั เปนตน ซงึ่ ทาํ ใหพ ระองคเก่ยี วขอ งกบั บุคคลเหลานั้น ใน การสัง่ สอนใหบรรลผุ ลสาํ เร็จ เปน อนั วา ในทางพระพุทธศาสนามีความ เชอ่ื พนื้ ฐานวา มนษุ ยเปนสตั วท ฝ่ี กได หรอื อยา งท่ใี ช ศพั ทส มยั ปจ จุบนั วา มีศกั ยภาพอยใู นตวั ท่ีจะ
32 หลักแม่บทของการพัฒ๒น๕าตน พฒั นาได พอมีหลักความเช่ือพ้ืนฐานอันน้ี โดยมี ความสมั พนั ธก ับหลกั พระรตั นตรยั ก็มาถึงหลกั การพฒั นาตนตอไป การพัฒนาตน หรอื หลกั การพัฒนาตนนี้ อาตมภาพขอพูดในขอบเขตของคาํ ศัพทธ รรม ๓ คาํ เมื่อก้ี คือคําวา ภาวนา ทมะ และ สกิ ขา แตตอน นจี้ ะเปลีย่ นลําดบั ใหม จะเรม่ิ ดว ยคําวา ทมะ ไป ยงั สกิ ขา แลว จึงไป ภาวนา ตองทําความเขาใจกอนอีกอยางหน่ึงวา ศพั ทท ง้ั ๓ นี้ ความจรงิ เปนเรอื่ งเดยี วกนั คอื เปน เรอื่ งการฝกฝนพฒั นาตนทัง้ ส้นิ แตท า นพดู ดวย ศพั ทต า งกัน หรือเนน ยํ้าแงดานแปลกกัน ทีจ่ ะให ความหมายเดน ไปคนละดานๆ หรอื มาเสรมิ กันให บรบิ รู ณ ทีนี้เราลองมาดกู ารเนนการยาํ้ ในการ พฒั นาตนน้นั วา เปนอยา งไร
๒๖ 33พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ขัน้ ตอนคราวๆ ของการพฒั นาตน หลักที่ ๑ เร่ิมดวยขอ ทมะ ซง่ึ แปลวาการ ฝก อยา งท่กี ลาวเมอื่ กแ้ี ลว ทมะน้ที านเลยี นศพั ท มาจากการฝกสตั ว ขอใหส ังเกตเรื่องการฝกสตั ว แลว จะเขาใจเร่อื งทมะดวย การฝกสัตวนั้นหมายถึงต้ังแตตอนแรกท่ี สตั วอ ยูในปา ในไพร เถ่อื น พยศมาก แลว เราก็เอา มาฝก ๆ จนกระทงั่ มนั เชอ่ื ง จนกระทงั่ ใชงานไดดี ทาํ อะไรไดแปลกๆ ท่นี ึกไมถ งึ วา มันจะทาํ ได ในการฝก สตั วน นั้ มลี าํ ดบั อยู๒ขน้ั ตอน ตอนที่ ๑ กาํ ราบปราบพยศ เรยี กวา ขม หรอื ทาํ ใหห ายพยศ ทมะในแงน ้เี รามกั แปลวา การ ขม ใจ ตรงกับในหลกั ทวี่ าทําใหหายพยศ หรือ กาํ ราบปราบพยศอยา งที่วา เมอื่ กี้ คือสัตวป า เอา มาจากปา ใหมๆ เอามาจากดงดบิ จากไพร ตอน แรกกท็ าํ ใหห ายพยศ ใหเชื่อง ทําใหพน จากอํานาจ ของสญั ชาตญาณปาเถ่ือนนัน่ เอง ตอนน้เี ปน ข้นั
34 หลักแม่บทของการพัฒ๒น๗าตน ท่ี ๑ เปน กระบวนการฝก เริ่มแรก ทนี ้พี อปราบหาย พยศดีแลว ตอนที่ ๒ คอื ฝก ฝนปรบั ปรุงใหทาํ อะไรๆ ได ดยี ง่ิ ขนึ้ ไป จนกระทงั่ สตั วม คี ณุ สมบตั พิ เิ ศษมากมาย เรียกวา ทาํ ใหว เิ ศษ เชน ชา ง เราอาจจะฝก เอามาใช งาน เอามาลากซงุ และใชทําอะไรตา งๆ อยางพวก ละครสตั ว เอาไปเลน ในทางสนกุ สนานร่นื เรงิ กไ็ ด เอาชา งมายนื ดวยขาหลงั ๒ ขา เอา ๒ ขาหนาจับ งวงไหว หรือจะเอาขาทงั้ ๔ มารวมกัน ฯลฯ เร่อื งน้ี ทางญาตโิ ยมรูดี รวมความวา สัตวน ฝ้ี กแลว จะทําอะไรได แปลกๆ ไมว าชาง มา ไมวา สัตวอะไร แมแ ตลงิ ทีว่ า ซนนกั หนา คนก็ยังนาํ มาฝกใชงานและทาํ อะไรได แปลกๆ อนั นที้ านวาเปนเรือ่ งของการฝก ฝกแลว ก็ ทาํ อะไรๆ ไดดี เปนอัศจรรย ทีนี้สัตวทั้งหลายท่ีเปนเพียงเดรัจฉานนั้น ฝก แลว ยังมีคณุ สมบตั ทิ ีด่ ี มปี ระโยชนมากมาย ถา
๒๘ 35พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) เปน คนทฝ่ี ก ดแี ลว จะดปี านใด ทา นเลยกลา วเปน คาถาออกมา ถา ทานอานคมั ภีรพระธรรมบท จะ พบคาถาวา วรมสฺสตรา ทนตฺ า อาชานยี า จ สนิ ฺธวา กุ ฺชรา จ มหานาคา อตตฺ ทนโฺ ต ตโต วรํ นพ่ี บอกี แลว คาํ วา อตฺตทนโฺ ต ผทู ีฝ่ ก ตน แลว หรือพัฒนาตนแลว ทา นใหค ติวา อัสดร สนิ ธพ อาชาไนย ชาง สามญั และชางใหญทัง้ หลาย ฝก แลว ลว นดเี ลิศ แตค นทฝ่ี ก ตนแลว ประเสริฐยิ่งกวานนั้ นี้แหละเร่ืองของการฝกตนท่ีเรียกวาทมะ เอาหลกั การฝกสตั วน ั้นเองมาใช คนเราก็จะ คลา ยๆ อยางน้ี ถา เราจะฝกตวั เราเอง ก็คอื ๑. รจู ักขมคุมบงั คับใจ ควบคุมตัวได ไมยอม ตามกเิ ลสทที่ ําใหเราพยศ ที่ดึงลงไปสูความชัว่ ราย ลอ เรา เยายวน ย่ัวยุ อะไรตา งๆ และขม กาํ ราบ ปราบพยศ ระงับความเคยชินท่ีชั่วรา ยได
36 หลักแม่บทของการพัฒ๒น๙าตน ๒. ปรบั ปรุงตัวใหด ยี ง่ิ ข้ึนไป ฝก ในคุณความดี ใหมีปญญาความสามารถเจริญกาวหนางอกงาม จนเปน อตฺตทนฺต ขนั้ ตน รูจักตั้งรับ เมอื่ พดู ถงึ หลัก ทมะ แลว ก็อยากจะพดู ถงึ หลกั ธรรมทีอ่ ยใู นชดุ เดยี วกัน ซงึ่ มี ๓ อยาง ความ จรงิ กถ็ อื วา ทมะ นัน้ เองเปน ตวั จริง แตบ างคราวใน การสอนธรรมนนั้ ทา นตองการแยกแยะแจกแจง สอนกระจายใหเห็นแงดานขั้นตอนขอธรรมยอย เพอ่ื ใหมองเหน็ วธิ ีปฏิบตั ไิ ดล ะเอียดชัดเจนยงิ่ ขึ้น เรอื่ งทมะนี้ บางทีกซ็ อยใหเห็นลาํ ดบั ชั้นขั้น ตอนเบื้องตนละเอียดยงิ่ ขน้ึ ไปอกี กเ็ ลยแจงออกไป ธรรมในกลมุ นี้ทคี่ วรนาํ มาเทยี บกันมี ๓ อยา ง คือ ๑) สังวร คาํ นม้ี ีใชในภาษาไทย เขาใจวาได ยนิ กันพอสมควร ๒) สัญญมะ หรอื สงั ยมะ คํานไ้ี มไ ดยินบอย
๓๐ 37พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) นกั แตท จ่ี รงิ ใชม ากในทางธรรม ผูเรียน หลกั ธรรมนา จะเอามาศกึ ษาดู ๓) ทมะ เปน ตวั หลกั ใหญ กระจายลงไปขา ง ลา งเพอ่ื จะใหเ หน็ ขน้ั ตอนยกั เยื้องออกไป มากขน้ึ ทาํ ใหเหน็ วธิ ีการทจี่ ะเจริญกา ว หนา ในธรรม หรือการดาํ เนินชีวติ ท่ดี ี ๓ อยา ง สามอยา งนมี้ ขี อ แตกตา งกนั อยา งไร ๑. สงั วร แปลตามตัววา ระวงั หรือ ปดก้นั อนั นเ้ี นน ในแงร ับเขามา คอื คนเรารบั ส่ิงของภาย นอกเขา มาในตวั รบั ทางตาทางหู ทางจมกู ทาง ลน้ิ ทางกาย ทางใจ ไดเหน็ ไดย ินอะไรตางๆ มี ประสบการณ เราก็รับเขามา ทนี ี้ การรบั เขา มาน้ันมนั กม็ ที ้ังทางบวกและ ทางลบ ทางบวกรับเขามาแลว ก็เปน ผลดี เปน ความดงี าม เปน ความเจรญิ กาวหนา สวนทางรา ย ฝา ยตรงขา มกเ็ ปน เรอ่ื งความเสอื่ มเสีย เปน ความ ชวั่ เสยี หาย หรือบางคร้ังของนั้นเปน กลางๆ แตใจ
38 หลักแม่บทของการพัฒ๓น๑าตน รบั ไมดี วิธีรบั หรอื ตงั้ รบั ไมดี รบั เขามาแลว แปล ความหมายไมด ี เอามาทําใหเกดิ ผลเสีย และเกิด อกศุ ลธรรมขน้ึ ตรงขามกับอีกคนหนึง่ หรืออีกเวลา หนงึ่ เมอื่ รูจักฝก ตนแลว รับเขา มาแลวก็ทําใหเ กิด ผลดีเปนเร่ืองกุศลธรรม ขอยกตัวอยาง เชน มองเห็นคนประสบ ความทุกข นอนเจ็บปวด เดือดรอนอยู พอเรามอง เหน็ กเ็ รยี กวาไดรับเขามาแลว อาจจะเกิดกุศล ธรรมหรอื อกุศลธรรมกไ็ ด แลวแตใจตง้ั รับอยางไร ทา นเรยี กวา มีมนสิการอยางไร ทําในใจอยางไร ถา มมี นสกิ ารดี ทาํ ใจโดยดี โดยแยบคาย รู จกั คดิ รูจักพิจารณา กเ็ กิดกุศลธรรม เกดิ กรุณาขึ้น มา คดิ สงสารอยากจะชวยเหลือ ปลดเปล้ืองเขาให พน จากความทุกข หรืออาจจะเกิดปญ ญา พจิ ารณาความเปน จรงิ วา อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา นแี้ หละ ชวี ิตและโลก โลกและชวี ิตเปน อยางน้ี เกดิ ความเขาใจสจั ธรรมข้นึ มา จนถึงข้นั ทีเ่ กดิ ทัง้
๓๒ 39พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ปญ ญาและกรุณากไ็ ด เหมอื นอยา งพระโพธิสตั ว เจาชายสทิ ธตั ถะ กอ นเสดจ็ ออกบรรพชา ทรงเห็นนมิ ิต ๔ ประการ พระองคเ หน็ แลวกเ็ กดิ ความสังเวช เบอ่ื หนา ยใน ฆราวาสวสิ ยั และก็พจิ ารณามองเหน็ แนวทาง ปฏบิ ตั ทิ ่สี มควร เพอ่ื จะแกไ ขความทุกขข องมนษุ ย แตท นี อี้ กี คนหน่งึ หรืออีกเวลาหนึ่ง ต้งั ใจรบั ไมด ี มอี โยนโิ สมนสกิ าร ทําในใจโดยไมแยบคาย กลบั รสู กึ รังเกียจ ขยะแขยง เกลียดชงั เกิดโทสะ เกดิ ความไมพ อใจ กลายเปนอกุศลธรรมไป เพราะฉะน้ัน เร่ืองเดยี วกัน ใจตง้ั รับดหี รอื ไม ดกี ็มีผลดีผลเสยี ตา งกนั นเี่ รอ่ื งการรบั รู เปน ดา นแรกของเรา ตอ งใช หลกั สงั วร ซ่ึงเปนเคร่ืองระวงั ปดกนั้ โดยปดก้ันไม ใหส ง่ิ รา ยเขา มา เชน หลกั อินทรยี สังวร ซ่ึงเปน หลกั ธรรมอยางหนึ่งทท่ี านเนนมาก กลาวคอื การ สงั วรอนิ ทรียห รอื สํารวมอินทรีย
40 หลักแม่บทของการพัฒ๓น๓าตน สงั วร แปลเปนไทยงายๆ วา สํารวม ทวี่ า สาํ รวมอนิ ทรีย ระมดั ระวงั ปด กน้ั ทานอธิบายวา เมอื่ รบั รหู รือวา ไดเ หน็ ไดย นิ สิง่ ตา งๆ ดวยตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ก็ระวังไมใหอ กศุ ลธรรมเขา ครอบ งาํ จติ ไมใหความยนิ ดียินรายเขามาครอบงาํ จิตใจ นเี้ ปน เรอ่ื งสังวรระวงั ปดก้ันไมใหส งิ่ รา ยเกิดขนึ้ ไม เปดรบั สงิ่ ไมดี แลวจะไดเ ปดชอ งใหแกสิ่งทด่ี ี บงั คบั ตนไดและปรบั ปรงุ ตอ ไปจนสมบรู ณ ๒. สญั ญมะ แปลวา ควบคมุ บงั คบั หมายถงึ การรจู ักควบคมุ บงั คบั ตนในการแสดงออก เมือ่ กี้ รบั เขา คราวน้ีแสดงออก ในการแสดงออกของเรา ตอ งมกี ารบังคับควบคุมใหดี อยา ใหเกดิ ผลเสยี หายเปน โทษ โดยเฉพาะทานเนน ในแงอ ยา ให เบยี ดเบยี นผอู ่ืน พดู สนั้ ๆ วา เราตองรจู กั ควบคุมตนเอง ใหต ัง้ อยใู นศีล ในหลกั ความดงี าม เร่มิ ตั้งแตไมใ หเ บยี ด
๓๔ 41พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) เบยี นคนอนื่ ไมใ หก อโทษผลรา ยตอ สังคม อยา งนี้ เรียกวาสญั ญมะ ๓. ทมะ เมอ่ื มีดา นในการรับดี และมีเครอ่ื ง ควบคุมตนเองในการแสดงออกดแี ลว ตอ ไปนีก้ เ็ ขา สขู น้ั ตัวจริง คอื ทมะ ซงึ่ แปลวา ฝก ฝนปรับปรุงตน ที นก้ี ท็ าํ ใหเ จริญกา วหนา ไปในคณุ ความดจี นถึงท่ีสดุ คณุ ความดีมอี ะไรกท็ ําไปและทําจนเตม็ ท่ี ทาน เรยี กวา ทาํ ใหไพบลู ย เปน อนั วา มคี รบ ๓ อยาง คือ สังวร สัญญมะ ทมะ มสี งั วร สาํ หรับปด ก้นั ในการรับไมใหส ่ิงช่วั รา ยเขา มา มีสญั ญมะ สาํ หรบั ควบคุมตนในการ แสดงออก ไมใหเ บียดเบยี น ไมใ หเ กดิ ผลเสีย แลว กม็ ีทมะ ไวปรับปรุงตวั ใหเ จรญิ งอกงามในคุณ ความดยี งิ่ ข้นึ ไปจนถึงท่ีสดุ กเ็ ปน อันครบกระบวน การปฏิบตั ิธรรมในแงหนงึ่ การที่อาตมภาพแยกหลักธรรมชุดน้ีขึ้นมา นนั้ กต็ อ งการใหม องเหน็ วา เรอ่ื งการฝก ตวั พฒั นาตน
42 หลักแม่บทของการพัฒ๓น๕าตน น้ี มแี งด านตางๆ ทจ่ี ะพจิ ารณาไดหลายอยา ง ผฝู ก คนอน่ื คอื ผมู าชว ยใหเ ขาฝก ตน อนง่ึ มขี อสําคัญอกี อยางหนึง่ ที่ควรจะพดู ไว ดว ย คือวา ในเมือ่ มกี ารฝก และมผี รู บั การฝก แลว (การฝกจะเรียกวา ทมะ หรอื ทมนะ หรอื ทมถะ ก็ แลว แต เปน เรื่องของไวยากรณ เรยี กงายๆ ก็ทมะ อยา งทวี่ าเม่อื กแ้ี ลว สว นผูรบั การฝกกค็ อื ทมมฺ ใน ปรุ ิสทมฺม) จากนนั้ กต็ องมผี ฝู ก เรยี กวา ทมกะ ทนี ต้ี อ งทาํ ความเขาใจกอนวา ในทางพระ ศาสนา หรอื ทางธรรมนัน้ ไมใ ชค นอนื่ จะมาฝกเรา ได ความจริง ทเี่ รียกวา ผูฝก หมายความวา มา ชว ยใหเ ราฝกตนเอง ผฝู ก คอื ผูม าชวยใหเ ราฝก ตนเอง เชน อยา ง พระพทุ ธเจา ทรงเปน ทมโก แปลวา ผฝู ก หรอื ทเมตุ ทเมตา แปลวา ผฝู ก เหมือนกัน พระพทุ ธเจาไดช่อื วา เปน ทเมตา เชนในขอความวา ภควา อทนตฺ านํ
๓๖ 43พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ทเมตา แปลวา พระผมู พี ระภาคเจา เปน ผฝู ก อทนตฺ า นํ ซง่ึ คนผยู ังไมไ ดฝ ก ทีนี้ผูฝกอยางที่วามาเมื่อก้ีมีความหมายวา มาชว ยใหค นเขาฝกตนเอง การมาทาํ หนาที่ชวยให ผอู น่ื ฝก ตนเองน้นั ทา นเรยี กวา ทาํ หนา ทีก่ ัลยาณ- มติ ร ฉะนน้ั หลักสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนาอกี อัน หนงึ่ จึงไดแ กห ลกั กลั ยาณมติ ร พระพุทธเจาตรัสวาพระองคเปนกัลยาณ- มติ รของสตั วท ้งั หลาย อยา งพุทธพจนแ หง หน่ึงวา สตั วท ง้ั หลายมีความเกิด แก เจบ็ ตายเปนธรรมดา เราตถาคตเปนกัลยาณมิตรของสตั วท ง้ั หลาย ทํา ใหส ตั วผ ูม คี วามเกดิ เปน ธรรมดา พน จากความเกดิ ผมู คี วามแกเ ปนธรรมดา พน จากความแก ผมู ี ความตายเปน ธรรมดา พน จากความตาย เปนตน พน จากโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาส น้ีคือ ทาํ หนา ทเ่ี ปนกลั ยาณมติ ร กเ็ ลยมหี ลกั ในพระพทุ ธศาสนาวา ในกระบวน
44 หลักแม่บทของการพัฒ๓น๗าตน การฝก นั้นสิง่ สําคญั จะตองมกี ลั ยาณมติ รดวย ฉะนนั้ ในสงั คมของชาวพุทธ ส่ิงหนึ่งท่ีไม ค ว ร จ ะ ลื ม ก็ คื อ จ ะ ต อ ง พ ย า ย า ม ส ร า ง ส ร ร ค กลั ยาณมิตรใหม ขี น้ึ เพือ่ จะไดใ หส งั คมน้ีดี มศี ลี ธรรม เราจะใหคนเขาพัฒนาตน ฝกตนข้ึนมาเอง นนั้ มกั จะหวงั ไดยาก ถา มีกัลยาณมิตรเปน ตัว อยา งและชวยแนะนํา ก็มหี วังมากข้นึ ฉะนน้ั ในสงั คมขณะน้ี ถามีความเสอ่ื ม โทรมมาก ก็ตอ งการกลั ยาณมิตรมาก เพอ่ื จะได ชว ยกนั ทาํ ใหคนมีโอกาสพฒั นาตน อนั นเ้ี รือ่ ง ทมะ กข็ อผา นไป
—๓— หลักการศกึ ษา การสรางนสิ ยั นกั ศึกษา หรอื จิตสํานึกของนกั พฒั นาตน หลกั ท่ี ๒ สิกขา ในภาษาไทยเราใชคําวา ศกึ ษา สกิ ขา กอ็ ยางท่ีบอกเม่อื กว้ี าเปนเรือ่ งการ ฝก ฝน อบรมตน พฒั นาตนเหมือนกัน และเปน หลกั ปฏบิ ตั ทิ งั้ หมดในทางพระพุทธศาสนาทีเดียว สมัยโบราณแปล สกิ ขา วา สําเหนยี ก คาํ นี้ เปน คาํ เกา ทกุ วนั น้ไี มคอ ยไดยนิ ทจี่ ริงเปน คาํ ที่ดี คาํ หนง่ึ มีความหมายลกึ ซ้งึ สาํ เหนยี ก หมายความวา อยา งไร เทาที่พอ ทราบ สาํ เหนยี ก หมายความวารจู กั จบั รูจักเลอื ก เอามาใชป ระโยชน เอามาใชฝกฝนปรับปรงุ ตน
46 หลักแม่บทของการพัฒ๓น๙าตน หมายความวา เราไปไดยินไดฟง ใครพดู เชนมาฟง ปาฐกถา ก็รจู กั สาํ เหนียก รูจ ักจบั รูจ กั เลอื กสงิ่ ทดี่ ี มสี าระ สง่ิ เปนประโยชน ทจ่ี ะเอามาใชใ นการปรบั ปรงุ ตนเอง ใชป ระโยชนเ ขากับตัวเองได แลวหยบิ มาใชใ นการปรับปรุงตนเอง น้เี รยี กวา สําเหนยี ก ไมเ ฉพาะในการฟง เทา นน้ั ไมว า จะไปเกย่ี ว ขอ งกบั อะไร ถา รูจกั สาํ เหนยี ก กจ็ ับเลือกได เลอื ก สง่ิ ทดี่ มี ปี ระโยชนต อ ตนเอง เอามาใชประโยชนได สาํ เหนยี กนม้ี ีความสาํ คญั มากทีเดยี ว เปน หลกั ปฏบิ ตั ทิ ดี่ ี เหมาะกับความหมายของคาํ วา ศึกษา เพราะฉะนน้ั ศกึ ษา คือ สาํ เหนยี ก ในเมอื่ ศกึ ษา แปลวา สําเหนยี ก แลว เรา จะเหน็ แงของการศึกษาเปน ๒ อยา ง คอื ๑. ตอนทเี่ ราสาํ เหนยี ก เราจะเลอื กเอามา ใชประโยชน เราตองรตู อ งเขา ใจความ มุงหมายวาเราตองการเอาไปใชทําอะไร ใหเ ปน อะไร
๔๐ 47พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ๒. เราจะไดอ ะไร จะเอาอะไรมา ถาเรยี กวา เปน การเรยี นรู จะเรียนรูอะไร ขอ หน่ึง คอื เพื่อจะใหเปน อะไร และขอ สอง คอื เพอ่ื จะใหเปนอยา งนน้ั จะตอ งเอาอะไรมาใช โดยนยั นี้ เรื่องสําเหนียกหรือศกึ ษาจงึ มีสวน สําคญั ๒ ขนั้ ๑. ตองตระหนักชัดมั่นอยูในเปาหมายหรือ จดุ มงุ หมาย ๒. จบั เอาส่ิงนน้ั ๆ ท่จี ะใชประโยชนม าใหไ ด จับใหไดตัวสาระสําคัญ ฉะนน้ั ในเรอื่ งการศกึ ษาน้ี จึงมขี อท่ีสรา ง เปน แนวปฏิบัติได ๒ อยาง ๒ ดา น หรอื ๒ ขน้ั ตอน คอื คนทีเ่ ปนผศู กึ ษา เปน ผปู ฏิบตั ิ เปน ผูฝก ฝนตน เองนี้ ควรมีลักษณะนสิ ยั หรือจิตสํานกึ อยใู นใจ ๒ ประการเปนอยางนอ ย ซึง่ เปนอยา งสําคญั หรอื เปน หลกั ทเี ดยี ว คอื ๑. ความคิดหรอื ความรสู ึกของจติ ใจทีม่ ุงสู
48 หลักแม่บทของการพัฒ๔น๑าตน เปา หมาย ๒. ขอผูกเปนคาํ คลองจองวา มองอะไรๆ เปน การเรยี นรูท ัง้ หมด เมอ่ื จติ มงุ เปา หมายเรอ่ื งจกุ จกิ กห็ ายไปเอง แงท หี่ นง่ึ จติ มงุ สเู ปา หมาย จะตอ งทาํ ความ เขา ใจกอ นวา การมุงสเู ปาหมายนนั้ เปน เรื่องของ ปญ ญาทรี่ ทู ตี่ ระหนกั ไมใ ชเ ปน เรอื่ งของความอยาก ความปรารถนา เชนในการปฏิบัตธิ รรมน้ที านบอก วาอยาปฏิบัติโดยคิดอยากไดอยากจะเปนอยาง นน้ั อยา งน้ี ถา อยางนก้ี ผ็ ิด เพราะเวลาเราอยากเรา ไมปฏบิ ัติ พอเวลาปฏบิ ัตเิ ราไมไ ดอ ยาก เวลาเราอยาก จติ หยดุ จากการปฏิบตั ิมาอยู กบั ความอยาก เวลาเราปฏบิ ตั จิ ติ อยกู ับการปฏิบัติ ไมว า งทจ่ี ะอยาก อนั นีส้ ําคัญมาก ฉะนั้นทา นกเ็ ลย ใหร ะวังไวว า อยา ไปอยาก ทวี่ า มวี ตั ถปุ ระสงคม เี ปา หมาย ไมใ ชใ หอ ยาก
๔๒ 49พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) แตใ หร ู คอื คนเราจะปฏบิ ตั ติ อ งรเู ปา หมาย รตู ระหนกั กอ น รอู ยูแลว จงึ ทาํ ในเวลาท่ที าํ ดวยความรู ตระหนกั มนั กไ็ ปเอง เชนในเวลาเดนิ ทาง ถาเราไม รจู ดุ หมายเรากเ็ ดินทางไมถูก ไดแตสับสนวนุ วาย ทนี เ้ี มอื่ รเู ปาหมายแลว ถา เราอยากในเปา หมายแตเราไมไดเ ดิน ก็ไมม ีประโยชนอ ะไร ฉะนน้ั เมอื่ รตู ระหนักในเปา หมาย ตอจากน้ันเรากท็ าํ เมื่อ ทาํ ดว ยความตระหนกั รใู นเปาหมาย กท็ าํ อยา ง เดยี ว เดนิ ด่ิงไปสูเปา หมายนนั้ จนสําเร็จผล ฉะนนั้ ทว่ี ามุงสเู ปาหมายจึงเปนเรือ่ งของ ความรตู ระหนัก ไมใชค วามอยากความปรารถนา เอาละ เปน อนั วา ขอ ทีห่ นงึ่ มุงสูเปา หมาย การมุงสูเปาหมายเปนลักษณะของการฝก ฝนตนเองทีด่ ยี ง่ิ ไมตองพูดถงึ การปฏบิ ัตธิ รรมสงู สง อะไร แมแ ตในชวี ติ ประจําวัน คนทีจ่ ะเจริญกา ว หนา จะมลี กั ษณะอยา งหนง่ึ คอื การกระทาํ ทมี่ งุ สู เปา หมาย เชน คนขายของ ถา ขายสนิ คา ของตน
Search