ดับ ว่าง สงบ เยน็ มาอกี เห็นวา่ ทีเ่ ราปฏบิ ตั ินี่มันเปน็ อย่างนๆ้ี มนั ถกู ต้องแล้ว ทเ่ี ราปฏบิ ัติ มาน่ี มนั ถกู ตอ้ งทกุ ประการแลว้ ในพระไตรปฎิ กทพ่ี ระเดชพระคณุ ทา่ น อาจารยพ์ ทุ ธทาสท่านลอกมาแปล มันกเ็ หมือนทุกประการ เราอา่ นแล้ว เราก็ เออ…ใชๆ่ เราก็เข้าใจ น่ี เราก็ย่งิ เขา้ ใจเพ่ิมข้นึ ยิ่งรเู้ พ่มิ ขน้ึ มนั กม็ ี ความหนักแน่นเพ่ิมขึ้น เราก็จะได้อยู่กับบ้านท่ีสงบ ความสงบตัวนี้มัน จะสงบยังไง เด๋ยี วกค็ ่อยวา่ กนั อกี ทหี น่ึง นมี่ ันกส็ วา่ งแลว้ ขอใหท้ กุ ทา่ น เอาซดี ีม้วนนไี้ ปฟงั ให้หลายๆ เท่ียว ฟงั แลว้ กป็ ฏบิ ตั ไิ ป ปฏิบตั ไิ ป ต่อไป กจ็ ะเห็นตามทหี่ ลวงพ่อพดู นี่หลวงพ่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีหลวงพ่อมี หลวงพ่อไม่ได้กักตุน เอาไว้ หลวงพ่อไม่ได้กลัวว่า เด๋ียวพระอ่ืนไปพูดแล้วเราก็จะไม่ดัง ดังกช็ ่างหัวมนั ไม่ดังก็ช่างหัวมนั เราอย่าไปดงั เลย ใหธ้ รรมะนแี่ หละดัง เมอ่ื เขาปฏบิ ตั แิ ลว้ เขาเหน็ จรงิ แลว้ เขามจี ติ วา่ งแลว้ เขามจี ติ สงบแลว้ ให้ ธรรมะดงั ในดวงจติ ดวงใจของเขาน่นั แหละ แล้วเขากจ็ ะได้พูดต่อๆ ไป สอนตอ่ ๆ ไป แนะนำ� ตอ่ ๆ ไป แก่เพื่อนทีเ่ ราควรที่จะแนะนำ� ได้ นเ่ี รยี ก ว่า ดงั ดังอยา่ งนัน้ มนั ไม่เสียหาย ถา้ ดงั วา่ โอ…้ หลวงพอ่ เอีย้ นดังแลว้ ตอนน้ี มนั ดงั บา้ ๆ อยา่ งนนั้ อยา่ เอาเลย ไอด้ งั จบั ไมคน์ ะ่ มนั ดงั ทกุ ทแี หละ เอาไมคม์ าถงึ พูดมันกด็ ังแล้ว ไมไ่ ด้ดังถึงภายในของจิตใจของญาติโยม ดังบ้าๆ บอๆ อย่าไปเอา ดังอย่างน้นั มันดบั ไมก่ ว่ี ันมันก็ดับแลว้ 39
หลวงพ่อเอ้ียน วโิ นทโก อาตมาเองก็เหมือนกัน ระมัดระวังตัว ไม่ให้ตัวเองดัง ให้เสียง มันดัง ให้เสียงนี้เข้าไปอยู่ในจิตใจของญาติโยม จิตใจของญาติโยมจะ ได้ปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วเกิดธรรมะข้ึนมาในจิตใจของญาติโยม เกิดเห็น ความว่างขึ้นมา เห็นความสงบข้ึนมา จติ ใจกไ็ ด้อยู่กบั ความสงบ กิเลสก็ ดบั ไปๆๆ อยา่ งนนั้ ชอื่ ว่าดัง พระพุทธเจ้า ๒๕๕๔ แลว้ ปีนี้ พระองค์กด็ ัง มา พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายทา่ นกด็ งั มา ดงั ทไี่ หน ดงั ในจติ ใจของผปู้ ฏบิ ตั ทิ งั้ นน้ั เลย เพราะฉะนัน้ เราอยา่ ไปอยากดัง อยากดังเพ่ือลาภ เพื่อยศ เพ่อื สรรเสริญ เพ่อื ความสุข อยา่ ไปดังอย่างน้นั มนั กิเลส ตัณหา ทง้ั นน้ั เลย จบกนั ทตี อนน้ี คอ่ ยวา่ กนั ใหมต่ อนคำ�่ ขอความสขุ ความเจรญิ ใน ธรรมจงเกิดมีในจิตในใจของญาตโิ ยมทกุ ๆ ทพิ าราตรีกาลเทอญ 40
มรรค ๘ สกู่ ารปฏิบัติ เจรญิ พรญาตโิ ยมทกุ ๆ ท่าน ผ้ทู ีม่ าปฏบิ ตั ธิ รรม อาตมาคิดว่าทุกท่านก�ำลังจะมาสมัครเป็นญาติกับอาตมา เป็น ญาตกิ บั หลวงพอ่ และตอ่ ไปเมอ่ื เราปฏบิ ตั จิ นมธี รรมะเกดิ ขนึ้ มาในจติ ใจ เรากไ็ ด้เป็นญาติกบั พระพุทธเจ้าด้วย ญาติมี ๒ ประเภท ญาติท่ีเป็นสายโลหิต ก็แค่น้ันเอง ญาติทาง สายธรรมน่ันแหละเป็นญาติที่ไว้ใจได้ ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นก็เป็น ญาติกับหลวงพ่อ ผู้ใดท่ไี ม่ปฏบิ ตั ิธรรม ก็ไมช่ อ่ื ว่าเป็นญาตกิ นั ญาตใิ น ทางธรรม หลวงพ่อพยายามที่จะเล้ียง ป้อนธรรมะให้เขาทางโทรศัพท์ คนโน้นบา้ ง คนนีบ้ า้ ง พยายามทจ่ี ะปอ้ น เพราะหลวงพอ่ รูว้ า่ เปน็ ญาติ กนั เราเปน็ ญาตกิ นั ในทางธรรม ฉะนน้ั ในกลมุ่ ของเราทกุ คนทมี่ าปฏบิ ตั ิ กช็ อ่ื วา่ เปน็ ญาตซิ งึ่ กนั และกนั มอี ะไรกช็ ว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั นา่ ภมู ใิ จ ถา้ เรามีกลุ่มในการปฏิบัตธิ รรม กเ็ ป็นญาตยิ ง่ิ กว่าญาติเสยี อกี มันจะมี ความอนุ่ ใจ น่คี อื เรือ่ งญาติในทางธรรม
หลวงพอ่ เอี้ยน วโิ นทโก เราดวู า่ พระพทุ ธเจา้ เมอื่ พระองคไ์ ปโปรดพระญาติ ทพี่ ระองคเ์ ปน็ หว่ งกค็ อื เสดจ็ พอ่ ของพระองค์ พระเจา้ สทุ โธทนะ แลว้ กเ็ ปน็ หว่ งลกู ชาย ของพระองค์ พระองค์ต้องการท่ีจะให้เป็นญาติกับพระองค์ ก็โปรด พระเจา้ สทุ โธทนะเปน็ พระโสดาบนั สว่ นราหลุ กมุ าร เมอื่ พระองคไ์ ปโปรด ไปบณิ ฑบาทในพระราชวงั มเหสขี องพระองค์ กค็ อื ภรรยาเกา่ กเ็ ลยใชใ้ ห้ ราหลุ กุมารนน่ั แหละ ไปขอราชสมบัติกับพระองค์วา่ นน่ั ..พระพทุ ธเจา้ น่ะ เป็นพ่อของเจ้านะ เจ้าจงไปขอสมบัติเถอะ พระพุทธเจ้าได้โอกาส ก็เลยพาราหุลกุมารกลับไปวัดเลย พากลับไปวัดแล้วก็ให้พระสารีบุตร บวชให้พระเจา้ สทุ โธทนะเสยี ใจมากเพราะคดิ วา่ เจา้ ชายสทิ ธถะไมอ่ ยแู่ ลว้ ราชสมบตั คิ วามเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ กค็ งจะตกอยทู่ ร่ี าหลุ กมุ าร แตเ่ สรจ็ แล้วก็มาเอาพระราหุลกุมารไปเสียอีก พระเจ้าสุทโธทนะพูดไม่ออก แค้นใจ เรียกวา่ แค้นใจเปน็ อย่างย่งิ เลยทลู ขอพระพทุ ธเจา้ ว่า ต่อไปนี้ พระองค์จะบวชให้ใครต้องขออนุญาตพ่อแม่ของเขาก่อน ถ้าพ่อแม่เขา ไม่อนุญาตบวชให้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เลยรับค�ำอันน้ัน และเราที่บวช ทุกคนแหละ ก็ตอ้ งขออนญุ าตจากพอ่ แม่ ทนี ้ี ราหลุ เมอื่ บวชเปน็ สามเณร ถา้ เราไมอ่ า่ นประวตั ใิ หล้ ะเอยี ด ก็ ไมร่ หู้ รอก ราหลุ นรี้ กั พระพทุ ธเจา้ มาก ตอนทอ่ี ยทู่ เี่ ชตวนั แตล่ ะคนื ราหลุ จะไมไ่ ด้นอนเลย เอาคบเพลงิ เดนิ รอบๆ กุฏิของพระพุทธเจา้ ชว่ั โมงละ ครงั้ เดนิ ..เดนิ ปอ้ งกนั อนั ตรายทจ่ี ะเกดิ กบั พระพทุ ธเจา้ พอถงึ เวลานอน 42
ดบั ว่าง สงบ เยน็ ราหลุ จะนอนทีไ่ หน เขา้ ไปนอนในหอ้ งสว้ มของพระพทุ ธเจ้า ราหลุ นอน ในห้องส้วมต้งั แต่เปน็ สามเณร จนกระทง่ั อายุครบเปน็ พระแล้ว ก็นอน ในหอ้ งสว้ ม อย่างที่พระพุทธเจ้าไปโปรดญาติ ก็คือต้องการเปล่ียนญาติสาย โลหติ ใหเ้ ปน็ ญาตสิ ายธรรม อยา่ งเชน่ พระราหลุ อยา่ งน้ี ทหี ลงั กเ็ ปน็ ญาติ สายธรรม เพราะพระราหลุ กเ็ ปน็ พระอรหนั ตร์ ปู หนง่ึ แตท่ า่ นไดท้ ำ� กาละ คอื ไดม้ รณภาพก่อนพระพุทธเจ้า ท่านอายุสัน้ เมอ่ื เราตง้ั ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรม จดุ หมายปลายทางของเรากอ็ ยทู่ ่ี ดบั ทกุ ข์ คอื ใหด้ บั ทกุ ขไ์ ด้ ทพ่ี ดู มา ๒ ครงั้ แลว้ ในหวั ขอ้ ทวี่ า่ ดบั วา่ ง สงบ เย็น หวั ข้อของพระเดชพระคุณทา่ นอาจารย์พุทธทาสก็วา่ สะอาด สว่าง สงบ แตข่ องลกู ศษิ ยน์ เ่ี ปน็ ดบั วา่ ง สงบ เยน็ ไมไ่ ดค้ ดิ เอาเอง มนั เกดิ ขนึ้ มา พอเกดิ ขนึ้ มากเ็ ลยเอาเปน็ สโลแกน มนั เปน็ อยา่ งนนั้ ดบั วา่ ง สงบ เยน็ ดับ ด้วยการปฏบิ ตั ิตามอรยิ มรรคมีองค์แปด ถา้ จะใหด้ ับ เราต้องปฏบิ ตั ิตาม อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ถ้าไมป่ ฏบิ ตั ิ เราก็ไม่สามารถท่ีจะหาตัวดับได้ อย่างอ่ืนเอามาดับไม่ได้ นอกจาก อริยมรรคมีองค์ ๘ เท่าน้ัน เมื่อเราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ มัน ก็เกิดท้ังญาณ ทั้งปัญญา ทั้งวิชชา ท้ังแสงสว่าง แล้วก็เกิดดวงตาขึ้น มาในครั้งแรก คือดวงตาปัญญา ดังนั้นให้เราลืมตาข้ึน ก็คือ ลืมตา ปญั ญา ไมใ่ ชล่ มื ตาทห่ี นา้ ผากทต่ี รงนี้ ปฏบิ ตั ใิ หล้ มื ตาปญั ญาขนึ้ เรยี กวา่ จักขุงอุทะปาทิ จักษุเกิดข้ึนแล้วแก่เรา น่ันแหละก็คือตาปัญญาเกิดขึ้น มาแลว้ 43
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก ทนี ี้ พอลืมตาขน้ึ มาแลว้ กค็ อื จักขงุ อทุ ะปาทิ ลมื ตาขึ้นมาแลว้ ก็ รู้ พดู ไปแล้วว่า รู้ กค็ อื ตัวญาณ ไมใ่ ช่ รูจ้ ากการอา่ น ไม่ไชร่ ้จู ากการฟัง แตเ่ ปน็ รทู้ เี่ กดิ ขนึ้ ภายในจากการปฏบิ ตั ติ ามอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ กค็ อื เกดิ ญาณ เกดิ ตวั รขู้ น้ึ มา เกดิ จกั ขงุ อทุ ะปาทิ เกดิ ญาณงั อทุ ะปาทิ เกดิ ปญั ญา อุทะปาทิ เกิดวิชชาอทุ ะปาทิ แลว้ ก็เกิดแสงสวา่ งข้นึ มา สอ่ งเขา้ ไปในทุก ส่งิ ทกุ อยา่ ง ต้องการจะร้อู ะไร กเ็ อาปัญญาน่ันแหละ ส่องเข้าไป แลว้ มนั จึงจะรู้ คร้ังแรกก็ส่องเข้าไปในเร่ืองของเหตุผล ก็คือเร่ืองของอริยสัจ น่นั แหละ พอได้อาวธุ ข้นึ มาแลว้ ก็สอ่ งเข้าไปในเร่อื งของทุกข์ เร่อื งของ เหตุให้เกิดทุกข์ เร่ืองของความดับทุกข์ เรื่องของหนทางของความดับ ทกุ ข์ ส่องเข้าไป ทีนี้มันต้องส่องท่ีเหตุของอวิชชา ไม่ใช่ไปส่องท่ีตัวอวิชชา ส่อง ท่ีเหตุเกิดอวิชชา ก็คือตัวสมุทัย ส่องที่ตัวสมุทัยจนเห็นชัดเจนแล้ว ก็ ละสมทุ ยั พอละสมุทยั อวชิ ชากด็ ับ น่นั คอื ค�ำวา่ ดบั ฉะนน้ั เม่อื อวชิ ชา ดบั สงั ขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ทกุ ข์ ท้งั หมด ความเกดิ เปน็ ทกุ ข์ ความแกเ่ ป็นทกุ ข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเปน็ ทกุ ข์ ดบั หมดไมม่ อี ะไรเหลอื ดับหมด เมอื่ เราปฏิบัตอิ ยา่ งน้ัน มนั ก็ไมก่ ลวั ตายสิ มันไมก่ ลัวตาย มันไม่ กลัวแก่ มันไม่กลวั เจบ็ มันกลัวอะไร กลวั เกิด กลัวเกดิ จากอะไร ไมใ่ ช่ กลวั เกดิ จากทอ้ งแม่ กลัวเกิดจากความรสู้ กึ วา่ เปน็ ตัวกู กลวั เกดิ เพราะ 44
ดับ ว่าง สงบ เยน็ ว่า พอเกิดความรู้สึกว่าตัวกูทุกคร้ัง เกิดชาติ เลยไปถึง ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อุปายาส พอเกดิ ชาติข้นึ มาทุกที มนั กถ็ ึง ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทุกที มันกเ็ ป็นทกุ ข์ ทกุ ที พอเกดิ ความรูส้ ึกวา่ ตวั กูขน้ึ มา มันก็เปน็ ทกุ ขท์ ุกที เขาก็เลยระวงั ไม่ให้เกิดตัวกู ฉะนั้น ท�ำอย่างไร ก็ต้องท�ำให้ตัวกูนั่นแหละ ดับไปเสีย ตวั กูคืออวชิ ชา ใหอ้ วิชชามนั ดับไปเสีย หลวงพ่อพูดแล้วพูดอีกนั่นแหละว่า ไม่ใช่กู ไม่ใช่กู นั่นแหละ ไมใ่ ชก่ ู กค็ ือพยายามทำ� ใหม้ นั ดบั ใหต้ วั กนู น้ั มนั ดับไป แลว้ กว็ ่า ไม่ใช่กู น่ีแหละวิธีที่จะดับกู ให้ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อปฏิบัติตาม อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ กเ็ หมอื นกบั วา่ เราขดุ บอ่ นำ�้ เหมอื นกบั วา่ เราจะดบั ไฟ คอื ความทุกข์ ไม่รูจ้ ะเอาน้�ำทีไ่ หน กเ็ ลยตอ้ งขดุ บ่อน้�ำ พอไดน้ ำ้� มาแลว้ ก็ คอ่ ยๆ ดบั ไมใ่ ชด่ บั ตรงกลาง แลว้ คอ่ ยดบั ไปรอบๆ ใหด้ บั ไปทางขา้ งกอ่ น แล้วตรงกลางดับทหี ลงั ไม่อยา่ งนั้น มนั ก็ลุกโพลงขึน้ มาอีก ค่อยๆ ดบั ไป ดับไป ดับทีส่ มุทยั ตวั นำ้� ก็คือ ตัวนิโรธ คอื ตัวดับ ทนี พ้ี อเอาน�ำ้ ไปดับ น�ำ้ ปัญญา นำ้� วชิ ชาน่นั แหละ เอาไปดับ ดบั ทส่ี มุทยั พอสมทุ ยั ดบั ความทกุ ข์ คอื อวชิ ชา มนั กล็ กุ โพลงขนึ้ มาไมไ่ ด้ คอ่ ยๆ ดบั ไป มันกล็ ุกโพลงขึ้นมาไม่ได้ ตอนท่ีมนั ดับใหมๆ่ ยงั ไปจับต้องมันไม่ได้ มนั ยังร้อนอยู่ แล้วมนั คอ่ ยๆ ให้ไออ่นุ เบาลงทลี ะนิด ทลี ะนดิ ไออนุ่ น้ัน มนั เบาลงไป พอตอ่ ไป มนั กเ็ ยน็ ถงึ ทส่ี ดุ เยน็ ถงึ ทสี่ ดุ นนั้ เรยี กวา่ นพิ พาน 45
หลวงพอ่ เอีย้ น วโิ นทโก ทีน้ีเมอ่ื อวชิ ชาดบั ลกู น้องทง้ั หลาย ทัง้ ๑๐ ตวั สงั ขาร วิญญาณ นามรปู อายตนะ ผสั สะ... กด็ บั เราจะตอ้ งศกึ ษาทกุ ตวั ใหร้ จู้ กั ทกุ ตวั ถา้ เราไม่รูจ้ ัก มันไมด่ ับอีก ต้องร้จู ัก ทนี ก้ี ารดับ ไปดับตรงกลางกไ็ ด้ อนั นก้ี พ็ ดู มามากแลว้ ดับที่นาม รูป ทำ� ยังไงทนี ี้ ดบั ที่นามรปู เพราะวา่ ปญั ญามันยงั ไมพ่ อ เม่ือปัญญายัง ไม่พอ ก็ดับทตี่ รงกลางสิ ดบั ท่ีนามรปู นามรูปก็มี • รูป ก็ประกอบด้วยธาตุ ๔ ธาตุ ๖ ธาตุดิน ธาตุน�้ำ ธาตุไฟ ธาตลุ ม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ • เวทนา ความพอใจ ไมพ่ อใจ • สัญญา ความจำ� ความม่นั หมาย • สงั ขาร การคดิ การปรุงแตง่ • วิญญาณก็คอื ตวั รู้ ประกอบด้วยอวิชชาทั้งนน้ั ทง้ั รูป ทั้งเวทนา ท้งั สญั ญา ทัง้ สังขาร วิญญาณ เมื่ออวชิ ชายงั ไม่ดบั อวิชชาอมเอาไว้ทงั้ นน้ั เลย ทนี ี้เราอยากจะไปดบั ท่ีตรงกลาง เพราะว่านำ้� ของเรายงั ไมพ่ อ เรา กไ็ ปดับท่กี ลางนนั่ แหละ ท่ีนามรูป ดบั ท่ีนามรูป เราจะดับอยา่ งไร บอก แล้ววา่ ไม่ใช่กู ตัวแรกทอี่ วชิ ชาน่ะ ภาวนาว่า ไมใ่ ชก่ ู ไม่ใช่กู ทนี เ้ี ราไป ดบั ตรงกลาง ดบั ตรงกลางกไ็ มใ่ ชก่ อู กี นน่ั แหละ รปู ไมใ่ ชก่ ู เวทนาไมใ่ ชก่ ู สญั ญาไมใ่ ช่กู สังขารไมใ่ ช่กู วิญญาณไม่ใช่กู มนั ก็ไมใ่ ช่กทู ้ังนั้น ไม่ใช่กู 46
ดับ ว่าง สงบ เยน็ ลองไปใช้ดสู ิ รูปไมใ่ ชก่ ู รูปก็เป็นอนิจจงั เป็นทกุ ขงั เป็นอนตั ตา ไมใ่ ช่เปน็ นิจจงั ไม่ใช่เป็นสขุ ขัง ไมใ่ ชเ่ ปน็ อัตตา รูปก็เปน็ อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา ดเู วทนาอกี เวทนามนั กเ็ กดิ -ดบั สญั ญาความจำ� ความมน่ั หมาย อกี มนั กเ็ กดิ -ดบั สงั ขารการคดิ การปรงุ แตง่ มนั กเ็ กดิ -ดบั วญิ ญาณความ รู้ ความรตู้ วั นนั้ มนั กเ็ กดิ -ดบั มแี ตเ่ กดิ -ดบั เกดิ -ดบั ทนี เี้ รากภ็ าวนา เดนิ ภาวนาเลน่ ๆ เหมอื นกับร้องเพลงอย่างนน้ั หรือวา่ เราทำ� จรงิ ๆ อยา่ งน้นั ว่า รูปไม่ใช่กู เวทนาไมใ่ ช่กู สัญญาไม่ใช่กู สงั ขารไม่ใชก่ ู วิญญาณไมใ่ ช่ กู เอาไมใ่ ชก่ นู นั่ แหละมาฆา่ มนั มาฆา่ มนั ทตี่ รงนน้ั เพราะมนั เปน็ ลกู นอ้ ง ของอวิชชา เมอ่ื เราทำ� รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ไมใ่ ชก่ ู ลกู นอ้ งหรอื ว่าสายทีเ่ ปน็ ล�ำดับต่อไป จากนามรูป ก็เป็น สฬายตนะ กค็ ือ อายตนะ ๖ คอื ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ก็ทำ� อยา่ งน้ันอีก เราวา่ รูปไม่ใช่กู เวทนาไมใ่ ช่ กู สญั ญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่กู เบอ่ื ๆ ก็ว่า ตาไมใ่ ช่กู หูไมใ่ ช่กู จมูก ไมใ่ ชก่ ู ลนิ้ ไมใ่ ชก่ ู กายไมใ่ ชก่ ู ใจไมใ่ ชก่ ู นี่ เลน่ มนั อยา่ งนนั้ เลย ไมใ่ ชก่ ทู ง้ั น้ัน เมอื่ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจไม่ใช่กู สง่ิ ที่ตาเหน็ กค็ ือรปู สิ่งทห่ี ูได้ยนิ ก็ คอื เสยี ง สงิ่ ทเี่ กดิ ทางจมกู กค็ อื กลนิ่ สง่ิ ทเ่ี กดิ ทางลนิ้ กค็ อื รส สงิ่ ทเ่ี กดิ ทาง ผิวกายก็คือสัมผัส เรียกว่าโผฏฐัพพะ สิ่งท่ีเกิดทางใจก็คือธรรมารมณ์ มนั ล้วนไมใ่ ช่กทู ั้งนัน้ เลย ขบวนการไมใ่ ชก่ ู ตาไม่ใช่กู รูปทตี่ าเห็นกไ็ มใ่ ช่กูเหน็ กนู ีเ่ อาออก 47
หลวงพอ่ เอี้ยน วโิ นทโก เสยี สง่ิ ทตี่ าเหน็ ไมใ่ ชก่ เู หน็ ทก่ี เู หน็ กเ็ พราะไปเอาตามาเปน็ กู ไปเอาตามา เปน็ ของกู ตานน้ั มนั กเ็ กดิ ดบั ตานนั้ มนั กว็ า่ งจากตวั ตน มนั เกดิ -ดบั เหน็ ไหม รูปท่ีตาเห็นมันก็เกิด-ดับอีกน่ันแหละ ทีนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทาง ตาเรยี กจกั ขุวญิ ญาณ มันก็เกดิ -ดับอกี ทนี ี้มนั กเ็ กดิ เป็น ผสั สะ คือการ กระทบ การกระทบนนั้ กเ็ กิด-ดับ-ว่างจากตัวตน แล้วก็เกดิ เวทนาขนึ้ มา เหน็ วา่ เวทนานนั้ กเ็ กดิ -ดบั มนั วา่ งจากตวั ตน พอเหน็ เวทนาเกดิ -ดบั -วา่ ง จากตวั ตน เห็นตณั หา ตณั หามนั ก็ดบั ตัณหามนั กเ็ กดิ ไมไ่ ด้ ตัณหาดบั หรือวา่ ถ้ามนั เลยเถิดไป เลยเถิดไปถึงตัณหา เราก็ดูวา่ ตณั หาเองมนั ก็ เกดิ -ดบั แลว้ มันกด็ บั ไปเลย อย่างนเ้ี รียกว่า ปฏจิ จสมุปบาท คร่ึงท่อน แต่เราต้องท�ำให้ครบวงจรเหมือนที่พูดเม่ือคืน ต้องท�ำให้ครบ วงจร กค็ อื ตา-รปู -จกั ขวุ ญิ ญาณ-ผสั สะ-เวทนา ..ห-ู เสยี ง-โสตวญิ ญาณ- ผัสสะ-เวทนา ..จมูก-กลิ่น-ฆาณะวิญญาณ-ผัสสะ-เวทนา.. ลิ้น-รส- ชวิ หะวญิ ญาณ-ผสั สะ-เวทนา.. กาย-สงิ่ ทมี่ ากระทบกาย-กายะวญิ ญาณ- ผัสสะ-เวทนา .. ใจ-ธรรมารมณ์-มโนวิญญาณ-ผสั สะ-เวทนา.. ลว้ นแต่ เกิด-ดับ พอเกดิ เห็นมนั เกิด เหน็ มนั ดับ เหน็ ตัวเวทนา เห็นตัวเวทนาที่ เป็นสุขก็เกิด-ดับ เห็นตัวเวทนาที่เป็นทุกข์มันก็เกิด-ดับ เห็นตัวเวทนา ทเ่ี ป็นอวิชชามันก็เกดิ -ดบั มันเกิด-ดับ เกิด-ดับท้ังนัน้ เลย พอเห็นเกดิ -ดับ เรากไ็ มต่ อ้ งรอให้เกดิ ตณั หา ก็ดับมันเสยี ทตี่ รง นั้น น่เี รยี กว่า ปฏิจจสมุปบาทครง่ึ ท่อน ต่อไปกต็ ณั หาดบั อุปาทานดบั 48
ดับ ว่าง สงบ เยน็ ภพดบั ชาติดบั ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนัส อุปายาส ดบั นั่นแหละดบั ครง่ึ ท่อน เราดบั คร่งึ ท่อนจนกระทั่งชำ� นาญ ทีนี้เราก็ไตเ่ ตา้ ขนึ้ ขา้ งบน จากนามรปู กเ็ ป็น วิญญาณ วิญญาณก็ คอื ตวั ความรู้ แต่ความรูท้ ่ยี ังประกอบดว้ ยอวชิ ชาอยู่ เมอ่ื ความรู้น้ันยงั ประกอบ ดว้ ยอวิชชาอยู่ เราต้องไปเรง่ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ให้มันเข้มขน้ึ มาอกี ปฏิบัตใิ ห้เขม้ ขึน้ ในเร่อื งของสมั มาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ เร่งให้หนักขึน้ มาอีก พอหนกั ขน้ึ มาอีก ก็จักขุงอทุ ะปาทิ ญาณังอทุ ะปาทิ ปญั ญาอทุ ะปาทิ วชิ ชาอทุ ะปาทิ อาโลโกอทุ ะปาทิ มนั กเ็ ขม้ ขนึ้ พอเขม้ ขน้ึ เรากเ็ หน็ วา่ ตวั วญิ ญาณ ถา้ ประกอบดว้ ยอวชิ ชา มนั กม็ าควบคมุ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน มนั เป็นทกุ ข์ แตถ่ า้ วิญญาณตัวน้ันถูกตัว ปญั ญามาควบคมุ กจ็ ะทำ� ใหว้ ญิ ญาณนนั้ ถกู ปลดปลอ่ ยจากอวชิ ชา เปน็ วิญญาณท่ีถูกปลดปล่อยแล้ว คือ ความรู้ท่ีไม่ใช่กู ความรู้ไม่ใช่กู รู้ใน ขนั ธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ กไ็ มใ่ ช่กู กระเถบิ ขน้ึ ไปอกี เปน็ สงั ขาร สงั ขารถา้ ยงั อยใู่ ตอ้ ำ� นาจอวชิ ชากเ็ ปน็ กูหมด กายสงั ขารกค็ อื กกู ระท�ำ วจสี งั ขาร กค็ ือ กูพดู มโนสงั ขาร กค็ อื กูคิด กูหมด วันนี้เราทาสีตัวอาคารปรับปรุงใหม่ ก็ภาวนาไปสิ แต่ เม่ือเราไม่ภาวนา เป็นยังไง เราก็ไม่ได้คิดว่ามันมีกูหรือไม่มีกู ท�ำให้ดี ที่สุด เรียบร้อยที่สุด ไม่มีกูในตอนนั้น นี่แหละสติปัญญา ท�ำแล้วมัน เพลดิ เพลนิ ดี นนั่ คอื มนั มสี ตปิ ญั ญาในตอนนนั้ ถา้ ทำ� แลว้ มกี ู รสู้ กึ เหนอ่ื ย 49
หลวงพ่อเอ้ยี น วิโนทโก รู้สกึ เพลีย มันไม่ค่อยสู้ เหมือนว่าคนอน่ื มันไม่ท�ำ แต่วา่ กทู ำ� มนั กเ็ ลย อวชิ ชาเข้าไปครอบ ฉะน้นั ท่านอาจารย์ ท่านเลยวา่ ให้ท�ำงานทุกชนดิ ด้วยจติ ว่าง ก็คือจติ ท่ีวา่ งจากกนู นั่ แหละ วา่ ง – ไม่ใชก่ ู เราทุกคนท�ำงานท้ังน้ันที่มาจากกรุงเทพ ท�ำงานทุกอย่างให้มันมี กูข้ึนมาไม่ได้ อย่างกัปตันที่ขับเครื่องบิน มีกูไม่ได้ตอนนั้น เผลอไม่ได้ ต้องมีแต่สติปัญญาที่เราศึกษาเล่าเรียนมา ต้องมีท้ังสติ มีท้ังปัญญา นั่นคือขับเคร่ืองบินด้วยจิตว่าง ถ้าจิตไม่ว่าง ตายกันหมดท้ังล�ำ ขับเคร่ืองบินก็ต้องจิตว่าง ขับเรือก็ต้องจิตว่าง ขับรถก็ต้องจิตว่าง แต่ เสร็จแลว้ เราไมร่ ูจ้ ติ ว่างน้ันคอื ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้สมาธิ รอบไปหมดใน ตอนนน้ั นนั่ แหละคอื ทำ� งานทกุ ชนดิ ดว้ ยจติ วา่ ง แมแ้ ตก่ วาดขยะ กก็ วาด ขยะดว้ ยจิตว่าง ท�ำอะไรกไ็ ม่ใชก่ ู ไมใ่ ช่กู ไม่ใช่กู ซ้ายที ขวาที ซา้ ยที ขวา ที แกวง่ ไป แกว่งมา ไม่ใช่กู ไมใ่ ช่กู ไม่ใชก่ ู นคี่ อื ทำ� งานดว้ ยจิตวา่ ง แลว้ ปญั ญามันก็เกิดเอง ตอ่ ไปมนั กร็ ู้เองว่าจิตว่างน่มี ันยงั ไง ฉะนัน้ กายสงั ขาร ก็คอื การกระทำ� ทางกาย วจีสงั ขาร ทหี่ ลวงพอ่ ก�ำลังพูดอยู่นี่ เรียกว่า ทางวาจา สังขารคือการกระท�ำ การกระท�ำทาง วาจา ถา้ หลวงพอ่ พดู นม่ี นั กพู ดู อยา่ งนน้ั ไมใ่ ชแ่ ลว้ เราตอ้ งศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ อยา่ ใหม้ นั มีกูอยใู่ นนน้ั 50
ดับ ว่าง สงบ เย็น ครงั้ หนง่ึ หลวงพอ่ ไปเทศน์ หลายปแี ลว้ มโี ยมทนี่ เ่ี ขาเสยี ชวี ติ เขา ก็นิมนต์ไปพูดท่ีแหลมตะโหนด ไปเทศน์งานศพ น่ังพูดบนธรรมาสน์ จะเห็นเลย ที่ท้ายทอยน่ี เห็นด้วยญาณ ไม่ใช่เห็นกับตา ตามันจะเห็น ได้อยา่ งไร ทา้ ยทอยของตัวเอง จะเห็นเป็นน�ำ้ ใสๆ ไหลลงไปที่ทา้ ยทอย ทีน้ีเราก็ตัดค�ำพูดเป็นท่อน เป็นท่อน สร้างจังหวะในการพูด เราบังคับ จังหวะของมนั ตามธรรมชาติ นีค่ อื ธรรมะเข้าไปจัดสรรเอง ถา้ เราปฏิบตั ิ มากๆ เขา้ ธรรมะกเ็ ข้าไปจดั สรรเอง สงบ เยน็ ทโ่ี รงมหรสพทางวญิ ญาณ มอี ย่รู ปู หน่ึง รูปของท่านมิลาเรปะนั่ง ป้องหูอยา่ งน้ี ปอ้ งหูฟังอะไร ไม่ใชฟ่ งั เสียงลม ไมใ่ ชฟ่ ังเสยี งฝน ฟังเสียง แห่งความสงบ มลิ าเรปะเปน็ ชาวทเิ บต มปี ระวตั วิ า่ มลิ าเรปะถกู อจิ ฉารษิ ยา เพราะ ว่าครอบครวั ของพอ่ ทา่ นเป็นคนที่มที รพั ยส์ ินมรดก ญาติพี่น้องกอ็ ิจฉา เลยท�ำคณุ ไสใส่ สามารถที่จะเรยี กฝนได้ สามารถทจี่ ะเรียกลมได้ กเ็ ลย เกดิ ความเสยี หายขึน้ มา คนตาย อะไรต่ออะไร ท่านก็เลยแคน้ ใจ ออก ไปจากบ้าน ไปเรียนคุณไสบ้าง จบอาจารย์นี้ก็ไปเรียนอาจารย์โน้นอีก มลิ าเรปะไปอยกู่ บั อาจารยท์ า่ นหนง่ึ เขาสงั่ ใหส้ รา้ งบา้ น ไปหากอ้ นหนิ ไป แบกกอ้ นหนิ มา ก็เอามาวางบนนอกชาน ขนาดวางบนนอกชานน่ี เรอื น ทั้งหลังกระเทอื นหมดเลย นัน่ แหละเขาเล่นคณุ ไส 51
หลวงพอ่ เอ้ียน วโิ นทโก พอเรยี นเสรจ็ แลว้ มลิ าเรปะกไ็ ปทำ� อยา่ งคนทที่ ำ� ใหค้ รอบครวั เขา ใหพ้ อ่ เขาฉบิ หาย เขาไปทำ� ใหห้ มบู่ า้ นนน้ั ฉบิ หายหมด แตพ่ อฉบิ หายหมด มลิ าเรปะก็คิดได้ว่า ที่เราทำ� ไปมนั ไมด่ ี มลิ าเรปะก็เลยไปบวช เป็นพระ ทิเบต ศึกษาเล่าเรยี น ปฏิบัติอยา่ งเคร่งครดั ทรพั ยส์ มบตั ิอะไรกไ็ มเ่ อา ทา่ นไปปฏบิ ตั ทิ ี่ภเู ขา ในถ้�ำแห่งหนึ่ง แลว้ ทา่ นกก็ นิ แตผ่ กั กูด ต้มผกั กดู อย่างเดยี ว ไม่มอี ย่างอ่ืน กินจนเนื้อตัวเขยี วเหมือนกบั ผกั กูด ท่านไมม่ ี ผ้านุ่งเลย น้องสาวของท่านพอรู้ข่าวก็ไปเย่ียม ก็บอกว่าเอาผ้านุ่งมาให้ ทา่ นบอกว่าไมเ่ อา ผ้านุง่ ไม่เอา ท�ำเปน็ ปลอกสักนิดหนง่ึ กพ็ อแล้ว พอที หลังเปน็ ยงั ไง ท่านปฏบิ ตั ิจนเป็นพระอรหนั ต์ แลว้ ทา่ นก็ได้ฤทธ์ิ ใครๆ กก็ ลวั ท่านรู้หมดทุกอย่างเลย นี่คือเร่ืองของมิลาเรปะ หนังสือเม่ือวานที่โยมซื้อมาถวายเร่ือง ของทิเบต ก็จะมีเร่ืองพระที่ป้องหูอยู่อย่างน้ี น่ันคือท่านป้องหูฟังเสียง ฟังเสยี งแหง่ ความสงบ ก็คอื ความสงบเยน็ น่นั แหละ ดบั วา่ ง สงบ เสียง แห่งความสงบนี่มันดังกว่าเสียงอะไรทั้งหมด ถ้าฟังกับหูน่ีมันไม่ได้ยิน หรอก ต้องฟงั กบั สติปญั ญา ฟงั กบั สติปญั ญาเหมือนกบั วา่ หูทิพย์อย่าง นน้ั ทกุ สง่ิ วง่ิ เขา้ ไปหาความสงบทง้ั นน้ั ตน้ ไมต้ น้ ไรก่ ว็ ง่ิ เขา้ ไปหาความสงบ สตั วท์ กุ ประเภทวง่ิ เขา้ ไปหาความสงบ เราทมี่ าปฏบิ ตั ิ มาฝกึ มาศกึ ษา เรา กก็ �ำลังวิ่งไปหาความสงบ เหมือนกบั วา่ มีบ่อน้�ำ ใครไปด่ืมน�้ำท่นี ั่นก็จะ ท�ำใหเ้ ปลีย่ นหมด อะไรกเ็ ปล่ยี นหมด เรยี กวา่ บอ่ น้�ำอ�ำมฤต ดม่ื แล้วไม่ 52
ดบั วา่ ง สงบ เยน็ ตาย เพราะถา้ ถงึ ความสงบแล้วก็จะไมต่ าย คือค�ำทห่ี ลวงพ่อบอกวา่ ดับ ว่าง สงบ เย็น.. ดบั ว่าง สงบ เย็น ..ดบั วา่ ง สงบ เยน็ ทีนี้สงบน้ัน ก็ไม่ได้สงบไปถึงทีเดียว มันค่อยๆ สงบลง สงบลง สงบลง เหมือนกบั เม่ือสมยั กอ่ น เราหงุ ขา้ วกบั ถา่ น พอหุงข้าวเสรจ็ แล้ว ต้มแกงเสร็จแล้ว เราก็เอาน้�ำไปดับถ่านน้ันเพ่ือจะใช้อีก แต่ตอนแรก เรายังจับไม่ได้ เพราะว่ายังร้อน ยังอุ่นอยู่ เขาก็มีเหล็กส�ำหรับคีบถ่าน เพราะถ้าเอามือไปจับ มือก็จะพอง ถ้าเราไม่เอาเหล็กไปคีบ เราก็รอให้ มนั เยน็ เอง ใหม้ ันเยน็ ลง กค็ อื รอใหค้ วามรอ้ นมันสงบลง สงบลง นี่มัน กเ็ ป็นธรรมชาตทิ สี่ ุด หรือเหมือนอย่างวัวเถ่ือนควายเถื่อน เราเอามาฝึกให้มันสงบ ไม่ใชฝ่ กึ สมาธิใหม้ ัน แต่วา่ ฝกึ ใหพ้ ยศต่างๆ ของมัน ใหห้ ายไป พอพยศ มันหายไป มันกส็ งบ พอมนั สงบ เราให้มันไปทางซ้าย มันกไ็ ปทางซ้าย ใหม้ าทางขวา มนั กม็ าทางขวา มนั จะรเู้ ร่อื ง พอเราฝกึ มันจะรเู้ รอื่ งหมด แหละแมแ้ ต่สัตว์ เราทุกคนมีสตั ว์ตวั หน่งึ ทจี่ ะตอ้ งฝึก ก็คอื จติ ตัวน้แี หละ จิตตวั นมี้ นั เถอ่ื น พอมนั เถอ่ื นแลว้ เราตอ้ งจบั มนั ฝกึ ฝกึ สตมิ นั มงั่ ฝกึ สมาธมิ นั มงั่ ฝกึ ใหม้ ปี ญั ญามงั่ ฝกึ อยา่ ใหม้ นั โกรธมงั่ ฝกึ อยา่ ใหม้ นั โลภมง่ั ฝกึ อยา่ ใหม้ นั โง่ม่ัง น่ีเราฝกึ สัตว์ตวั น้ีแหละ ตัวทอ่ี ยู่ท่เี ราน่ี ฝกึ มัน พอฝึก มันเปน็ ยงั ไงทีน้ี กายสังขารกอ็ อกมาดี วจสี งั ขารกอ็ อกมา 53
หลวงพ่อเอีย้ น วโิ นทโก เรยี บรอ้ ย เพราะวา่ เราฝกึ มนั ใชป้ ญั ญาฝกึ มนั มโนสงั ขารกจ็ ะคดิ แตเ่ รอื่ ง ดๆี เรอ่ื งอจิ ฉารษิ ยา เรอ่ื งเอารดั เอาเปรยี บ อาฆาตพยาบาท จองเวร เราไม่ คดิ แลว้ นน่ั เรยี กวา่ คดิ ดี เหมอื นทสี่ โลแกนของหลวงพอ่ ปญั ญาวา่ คดิ ดี พูดดี ทำ� ดี แต่ดนี นั้ กย็ ังไมพ่ อ ตอ้ งไมเ่ ข้าไปยึดมัน่ ถอื มนั่ มนั ถึงจะดี สู่ ดับ ว่าง สงบ เยน็ การจะไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นใช้อะไร ก็ที่พูดมาแล้ว ก็ใช้ปัญญา น่ันแหละ ใช้ปัญญาในการที่จะให้เกิดความไม่ยึดมั่นถือม่ัน เม่ือ วจีสังขาร มโนสังขาร กายสังขาร ไม่ถูกควบคุมด้วยอวิชชา มันก็จะดี ทีน้ีท�ำยังไง เราท�ำอวิชชาให้มันดับ ก็ปฏิบัติตามอริยมรรคน่ันแหละ ปฏิบัติตามอริยมรรคแล้วมันได้สติ ได้ปัญญามา ได้จักขุงอุทะปาทิ ญาณังอุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชาอุทะปาทิ อาโลโกอุทะปาทิ เอา มาดบั พอดบั สมุทัย คอื เหตุมนั ตัวทุกข์มนั ก็ดบั พอดบั ตัวสังขาร ตวั วิญญาณมันก็ดับ น่ีมันดับ ทีน้ีดับแล้วก็ว่าง ถ่านไฟ มันก็ว่างจากไฟ ว่างจากความร้อน ทีน้ีจิตมันก็ว่างจากตัวกู ว่างจากความโลภ ความ โกรธ ความหลง ความโง่ ความเกลียด ความกลัว มันก็ว่างจากกิเลส ต่างๆ ดับแล้วมันก็ว่าง พอว่างแล้วต่อไป ยังมีไออุ่นอยู่ แต่ว่าเร่ิมท่ีจะ สงบแล้ว ตอ่ ไปมันกค็ ่อยๆ สงบลง สงบลง สงบลง จากว่างก็สงบ สงบ สงบ สงบลง เหมือนพระพุทธรูปปางไสยยาสน์รูปน้ีแหละ นั่นคือปาง สงบทพ่ี ระองคน์ อน 54
ดับ ว่าง สงบ เย็น ทนี ้ีไม่ใช่เฉพาะแต่ปางน้ที เ่ี ราปฏิบตั ิ เม่ือเราทำ� จติ ว่าง ทำ� กายวา่ ง ท�ำวาจาว่าง เดิน นงั่ นอน กิน ว่าง เคย้ี ววา่ ง กนิ ว่าง จนว่างนั้นอิ่มตัว พอ ว่างน้นั อ่มิ ตัว ตอ่ ไปจะข้ึนตัวสงบ พอข้นึ ตัวสงบแล้ว เราก็เอามาปฏิบัติ อกี เรยี กวา่ ขนึ้ หนา้ ใหมแ่ ลว้ พอเปดิ หนา้ ใหม่ เรากเ็ ดนิ สงบ นง่ั สงบ นอน สงบ เราก็อย่กู บั ความสงบ เป็นการอย่กู บั ความสงบไป เมอื่ กอ่ นเราอยกู่ บั ความดบั กอ่ นนน้ั เรากอ็ ยกู่ บั ตวั กู ตวั กนู แี่ หละ ตวั รา้ ย เราพยายามทจ่ี ะเลกิ ตวั กู เลกิ ตวั กกู ต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามองคม์ รรค ให้ เกดิ วชิ ชา เกดิ ปญั ญาแลว้ มาดบั ตวั กู เพราะดบั ตวั กแู ลว้ อวชิ ชาดบั แลว้ กด็ บั ดบั ดบั ดบั อยกู่ บั ความดบั อยกู่ บั ความดบั กค็ อื ตาไมใ่ ชก่ ู หไู มใ่ ช่ กู จมกู ลิ้น กาย ใจ ไม่ใชก่ ู อย่างนัน้ เรยี กว่าอยกู่ ับความดับ อะไรก็ไมใ่ ช่ กูหมด ไมใ่ ชก่ ูหมด ไมว่ า่ ทง้ั โลภะ โทสะ โมหะ อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรูป อายตนะ ผสั สะ ไม่ใชก่ ู พอไมใ่ ช่กถู ึงท่ีสดุ แล้ว ไอต้ วั ไมใ่ ช่กนู ั้น คอื ตัวกมู ันดับ ท่เี ราทอ่ ง ทอ่ งอยู่ ไม่ใช่กู ไมใ่ ชก่ ูมันเกดิ พอไม่ใชก่ มู ันเกิด มัน ก็เกดิ วา่ งจากกู มนั ว่างข้ึนมา เรากอ็ ยู่กับตวั ว่าง จะท�ำอะไร จะกนิ อะไร จะพูดอะไร อยู่กับตัวว่างตัวนั้น พออยู่กับตัวว่างจนอิ่มตัว พออ่ิมตัว อกี แล้วกร็ สู้ ึกเองแหละวา่ มนั อ่มิ ตัว พอมันอิ่มตวั กอ็ ยกู่ ับสงบ ทีนี้ วา่ งก็ คอื อยา่ งเดยี วกนั นน่ั แหละ พอวา่ งแลว้ มนั สงบ แตถ่ า้ ไมส่ งบกค็ อื ไมว่ า่ ง เหมอื นกบั ว่าเรามนี ้�ำอยู่ แล้วเรากก็ รองข้ฝี นุ่ ออกไปทิง้ ให้หมด แล้วเรา 55
หลวงพ่อเอีย้ น วโิ นทโก ก็จะเหน็ ว่าในน้�ำน้ันมอี ะไรบ้าง ในพระไตรปิฎกท่านบอกว่า เมอ่ื จติ มัน ใสสะอาด เหมือนกับน�้ำท่ีมนั ใสนั่นแหละ เราจะเห็นสตั วน์ ้ำ� เห็นปู เห็น หอย เหน็ ปลาทีล่ อ่ งไปล่องมาอย่อู ย่างนนั้ เหมอื นกนั แหละ เหมอื นกนั เพราะฉะนน้ั เราจะเหน็ วา่ มนั เกดิ โลภะ มันก็รู้ มนั เกดิ โทสะ มันกร็ ู้ มัน จะเกดิ โงข่ ึ้นมา มันกร็ ู้หมด เพราะวา่ น้�ำมนั ใส ดภู ายใน เรียกว่าร้ภู ายใน ฉะน้ัน ดับมันก็ว่าง ว่างก็ท�ำว่างไปเร่ือยๆ เขามาให้เราเห็น พอ เรานั่งกร็ ู้สกึ วา่ มันวา่ ง มันโลง่ หรือวา่ เราลืมตาอยู่นน่ั แหละ มันวา่ งบอก ไมถ่ กู มันเยน็ ยงั ไงบอกไมถ่ ูก มนั วา่ งไปหมด เจริญ เจริญเขา้ ไป เจรญิ เข้าไปอย่างนั้นบอ่ ยๆ อยกู่ ับว่าง ยกเทา้ ข้ึนมาว่าง เหยยี บลงไปว่าง ทีนี้ กว็ ่าง วา่ ง เดินวา่ ง ทีน้ี พอวา่ งไดท้ ี่ เหมอื นกับพระสงั ฆนายกองค์ที่ ๖ นัน่ คือ พระ หัวหน้าไปเขียนว่า ร่างกายเหมือนต้นโพธิ์ จิตเหมือนกระจกเงา เรา ตอ้ งเชด็ มนั ทกุ เวลา ขี้ฝุ่นมนั เลยจับไม่ได้ ทนี พี้ อท่านรเู้ ขา้ ไปเขา้ หขู อง พระสังฆนายกองคท์ ี่ ๖ ตอนนั้นทา่ นตำ� ข้าวอยู่ เป็นคนงานต�ำข้าว จาก ขา้ วเปลอื กเปน็ ขา้ วสาร พอไดย้ นิ ศษิ ยค์ นหนงึ่ ไปทอ่ งอยา่ งนน้ั วา่ รา่ งกาย เปรียบเหมือนตน้ โพธิ์ จิตเปรียบเหมอื นกระจกเงา ตอ้ งเช็ดมันทุกเวลา มนั ถึงใสสะอาด พระสงั ฆนายกองค์ท่๖ี ทา่ นก็วา่ มันไม่ใช่ ทา่ นไมไ่ ด้พดู กับใครว่ามันไม่ใช่ ท่านก็เลยไปดูแล้วก็ให้เขาเขียนใหม่ เม่ือมันไม่มี ตน้ โพธ์ิ ไม่มีกระจกเงา ขี้ฝนุ่ มนั จะลงจับที่ตรงไหน เพราะมันว่างท้งั น้นั แหละ มันว่าง มันว่างหมด 56
ดบั ว่าง สงบ เย็น พอเสร็จแล้ว พระสังฆนายกองค์ท่ี ๕ ท่ีจะมอบบาตร มอบจีวร ให้ ท่านกร็ แู้ ลว้ ทา่ นกไ็ ปเยีย่ มตอนดกึ ๆ ทา่ นไปเย่ยี มแล้วก็ถามวา่ เปน็ ยังไง ขา้ วสารน่นั ไดท้ ห่ี รือยัง “ได้ที่” น้นั ก็หมายถงึ ว่า จากขา้ วเปลอื ก กลายเป็นข้าวสาร จากข้าวสารเป็นข้าวสุก จากข้าวสุกเป็นข้าวท่ีกินได้ ท่านก็ถามว่า เป็นยังไง ข้าวได้ท่ีหรือยัง น่ีไม่ใช่ถามภาษาคนนะ ถาม ภาษาธรรมะ ทนี ้ีพระสังฆนายกองคท์ ี่ ๖ ทโ่ี ง่น้ันแหละ กเ็ ลยตอบทา่ นวา่ ขา้ วไดท้ ี่ตั้งนานแลว้ ขอรับ ขา้ วไดท้ ่ตี ัง้ นานแล้ว หมายความวา่ มนั เขา้ ท่ี แลว้ อวิชชาก็ดับแลว้ สังขารก็ดบั แลว้ วญิ ญาณก็ดบั แล้ว มนั กด็ ับ ดบั ดับกันไปแล้ว เพราะฉะนั้น ของเซน เรากอ็ า่ นได้ แตว่ า่ ต้องตีให้แตก ถา้ ตไี มแ่ ตก ปัญญาจะไมเ่ กดิ เราตอ้ งตใี หแ้ ตก พอตแี ตกแล้วก็คอื วา่ งนน่ั แหละ พอว่างแลว้ เปน็ ยังไง กส็ งบ พระบางรูปท่านไม่อยากยุ่งยาก จะอยู่กับความสงบ อย่างพระ อัญญาโกณฑัญญะ ท่านเป็นพระท่ีพรรษาแก่ท่ีสุดในพระพุทธศาสนา ทนี ี้เม่ือท่านนัง่ นั่งขา้ งหลงั พระพทุ ธเจา้ ท่านก็รองจากพระพทุ ธเจา้ เปน็ รูปที่สอง ทีนพี้ ระสารบี ตุ รมง่ั พระโมคคลั ลามง่ั สาวกเบ้ืองซ้ายเบอ้ื งขวา ใครมาก็ต้องมากราบท่านก่อน ท่านก็ชอบอยู่สงบๆ ดีกว่า ไม่อยากอยู่ ให้เขาไหว้อย่างนี้ เพระว่าเขาเกรงใจท่ีท่านมีพรรษามาก ท่านก็เลยลา พระพุทธเจ้าไปอยู่ท่ีสระบัวในปา่ หิมพานตโ์ นน่ ฉันลกู บวั ดอกบวั อะไร อยา่ งนนั้ ทา่ นคงจะอยอู่ ยา่ งนน้ั นนั่ คอื อะไร คอื ทา่ นอยากจะอยกู่ บั ความ สงบ อยู่กบั สงบ 57
หลวงพ่อเอยี้ น วิโนทโก ทนี อ้ี ยา่ งพระเซน คอื พระโพธธิ รรม ทที่ า่ นไปอยใู่ นถำ�้ ตงั้ ๗ ปี หนั หนา้ เขา้ ถ้ำ� ตง้ั ๗ ปี ท่านกอ็ ยกู่ บั ความสงบนั่นแหละ พอมพี ระองค์หนึง่ ไปหาท่าน ท่านก็นั่งสมาธิ หันหน้าเข้าหาผนังถ�้ำ พระองค์นั้นไปถึงก็ว่า กระผมมาเพอื่ ทจี่ ะใหท้ า่ นชว่ ยที ทา่ นกห็ นั หนา้ มาดู ถามวา่ จะใหช้ ว่ ยอะไร พระองค์นกี้ บ็ อกว่า อยากใหท้ า่ นท�ำจติ ของผมให้สงบที พระโพธิธรรม ก็บอกวา่ ถา้ อย่างน้ันคุณกเ็ อาจิตมาใหผ้ มสิ พระองคน์ นั้ ก็บอกว่า มนั ไมม่ ี ท่านกบ็ อกว่า ท�ำแล้ว ทำ� แลว้ กค็ ือ มันสงบนน่ั แหละ เห็นไหม เราไปศึกษาทีว่า เร่ืองดับ เรื่องว่าง เรื่องสงบ น่ีแหละ ไมใ่ ช่เรื่องเล็กน้อยแลว้ เป็นเร่ืองที่เราทกุ คนปรารถนา ที่เรามาปฏบิ ัตนิ ้ี เราปรารถนาในจุดนน้ั คือจุดแห่งความสงบ เพราะฉะนั้น ใครอยใู่ นขั้น ไหน ในตอนไหน กท็ ำ� ไป คดิ แลว้ เราก็ไปให้ถึงจดุ คือความสงบ อยู่กับ ความสงบ กนิ กบั ความสงบ อาบกบั ความสงบ ถา่ ยกบั ความสงบ คดิ กบั ความสงบ ทำ� กบั ความสงบ พดู กบั ความสงบ สงบท้ังน้ัน มันครอบคลุม ไปทัง้ นน้ั เราดูสิว่าในโลกนี้ ที่ว่าเสียงอึกทึกคึกโครม กับที่ไม่อึกทึกคึก โครม เสียงทไ่ี มอ่ กึ ทึกคกึ โครมน่ันมันมากกว่า คอื เสียงแหง่ ความสงบ มันมากกว่า เด็กร้องไห้ สักพักมันก็หยุด มันก็สงบ คนหัวเราะอย่างนี้ ดีใจหัวเราะ กห็ ัวเราะสัก ๓ ชัว่ โมงสิ เด๋ยี วก็ตาย มนั กต็ ้องหยุด หยดุ ไป อยกู่ บั ความสงบอกี ดใี จ ดใี จจนกนิ ขา้ วไมล่ งอยา่ งน้ี ถา้ ดใี จอยอู่ ยา่ งนนั้ มันก็ตาย มันต้องวิง่ เขา้ ไปหาความสงบวนั ยังคำ่� 58
ดบั ว่าง สงบ เยน็ ทีนเี้ ราปฏบิ ตั ธิ รรม กเ็ พอื่ จะใหถ้ งึ จดุ คือความสงบ เตสัง วปู สโม สโุ ข การเขา้ ไปสงบ ระงบั สงั ขารเหลา่ นนั้ เปน็ สขุ สงั ขารเหลา่ นน้ั คอื อะไร กายสังขาร การกระท�ำทางกาย วจีสังขาร การพูดทางวาจา มโนสังขาร ความคิดทางใจ การเข้าไปสงบระงับสังขารเหล่าน้ัน ไม่ใช่ไม่พูด ไม่ใช่ ไมท่ �ำ ไมใ่ ช่ไมค่ ิด แต่วา่ พดู ไป ทำ� ไป คดิ ไปไม่ใช่กู ตัวปัญญามันจัดการ เองแหละ ตวั ปญั ญาตวั ญาณนน่ั จดั การเองหมด ไมม่ กี ู มนั กเ็ ลยพดู ทำ� คดิ ดว้ ยความสงบ เห็นไหม ความสงบนค่ี วบคมุ โลก ควบคมุ สตั วโ์ ลก ควบคมุ มนษุ ย์ ควบคมุ จกั รวาล ควบคมุ ดวงดาวตา่ งๆ ในทกุ ๆ จกั รวาล อยู่ในความสงบหมด มแี ต่ เกดิ -ดับ-สงบ เกิด-ดับก็สงบ สงบท้ังนั้น ไปดสู ิ ลองไปคดิ ดู คิดเลน่ ๆ ดกู อ่ นกไ็ ด้ ตอนนกี้ ็ท�ำไปตามล�ำดับ คอื ใหด้ บั ดบั แลว้ กใ็ หว้ า่ ง วา่ งแลว้ กส็ งบ สงบแลว้ มนั ถงึ จะเยน็ มนั คอ่ ยๆ เยน็ ลง เยน็ ลง เยน็ ลง เย็นจนถงึ ที่สุด สงบแล้วกเ็ ยน็ มนั เย็นเอง ไมต่ อ้ ง ไปทำ� อะไรมนั นี่คือเรื่องของความสงบ กาย วาจาสงบ จิตสงบ อย่างท่ี ๓ กค็ ือ กิเลสสงบ กิเลสสงบก็เพราะวิชชาไปปราบ ไปปราบอวิชชานั่นแหละ อวชิ ชาเปน็ หวั หนา้ มนั พอไปปราบหวั หนา้ ของความโง่ อวชิ ชาดบั อวชิ ชา ดับคอื กเิ ลสสงบ • กาย วาจาสงบ อาศยั ศลี • จติ สงบ อาศัยสมาธิ 59
หลวงพ่อเอีย้ น วโิ นทโก • กเิ ลสสงบ อาศัยปญั ญา อันที่สามเขาเรยี ก อปุ ธสิ งบ สงบนี้ เขาเรยี กว่า วิเวก กายวเิ วก จิตตวิเวก อปุ ธิวเิ วก กาย วาจา สงบ อาศยั ศลี จติ สงบอาศยั สมาธิ กเิ ลสสงบอาศยั ปญั ญา กป็ ญั ญาทเ่ี รา ปฏิบตั ิตามอริยมรรคมีองค์ ๘ นน่ั แหละ มนั ไปดบั อวชิ ชาก็ท�ำใหก้ เิ ลส สงบ ไม่อย่างนน้ั มนั ไม่สงบ มนั จะไดอ้ ภญิ ญา ไปดเู ทวดา ไปดเู มืองโนน้ เมอื งนี้ แยกจิตไปดู มันกย็ งั ไมส่ งบ มนั ต้องทำ� อาสวกั ขยญาณใหส้ นิ้ ไป อาสวักขยญาณ ก็คือท�ำอาสวะ ก็คอื อวิชชาให้สิ้นไป อาสวะอย่างแรกเรียกว่า กามาสวะ คือ อาสวะในกาม ข้อท่ี ๒ ภวาสวะ ก็คือภพต่างๆ ภพมนุษย์ ภพเทวดา ภพโลก ภพเปรต ภพ อสูรกาย ตัวที่ ๓ เขาเรียกว่า อวิชชาสวะ อาสวะท้ังสามนี่ให้มันดับ พอมันดับ ต่อไปมันก็ว่าง ดับแล้วก็ว่าง ว่างแล้วก็สงบ สงบแล้วก็เย็น ดบั วา่ ง สงบ เย็น ดับ วา่ ง สงบ เย็น ดบั วา่ ง สงบ เยน็ คนท่ีได้อภิญญาก็ยังเป็นข้าวเล่นน้�ำอยู่ โยมรู้ไหมว่า ข้าวเล่นน้�ำ เป็นยังไง เวลาเราท�ำนา ถ้ามันมีน้�ำมาก ข้าวมันก็ไม่ยอมออกรวงสักที มนั เลน่ น้ำ� อยอู่ ยา่ งนัน้ ต้องเปิดน�้ำออกไป พอเปิดมนั ก็ตกใจ รีบตงั้ ท้อง รีบออกรวงขึน้ มาเลย นต่ี ้องทำ� ใหม้ นั ตกใจ ตอ้ งเล่นอยา่ งนัน้ ทีน้ผี ทู้ ีไ่ ด้ อภิญญากม็ ัวเลน่ อยู่ ไปรู้จิตของคนนน้ั ไปรู้จติ ของคนนี้ ไปรจู้ ิตของตวั เองวา่ เปน็ ตัวกู ไปรูน้ รก ไปรูส้ วรรค์ ไปรอู้ ะไร มัวเล่นนำ�้ อยู่ ไมส่ ามารถ ท่ีจะท�ำอวิชชาสวะให้สิ้นไป เพราะการท�ำอาสวะให้ส้ินไปต้องอาศัย 60
ดบั วา่ ง สงบ เยน็ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ อย่างเข้มแขง็ น่ีใครจะเอาอภิญญากไ็ ด้ แต่วา่ เป็น ข้าวเล่นน้�ำอยู่อย่างนั้น ไม่รู้อีกก่ีชาติ แต่ว่าได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง ให้มัน หมดทกุ ขช์ าตนิ กี้ แ็ ล้วกัน ให้มนั จบไป อย่างน้ีก็จะสบาย นี่คือสโลแกน อย่างที่บอกให้ฟัง ดับ ว่าง สงบ เย็น ของท่าน อาจารยพ์ ุทธทาสก็ สะอาด สว่าง สงบ กไ็ ปอยู่ที่สงบ อนั นไ้ี ปทที่ ัง้ สงบ ทั้งเย็น เอาสงบเย็นเป็นตัวเดียวกันก็ได้ ค่อยๆ เย็นเองแหละ ถ้าสงบ แลว้ มันก็เย็นมนั เองแหละ เป็นอันว่า ปฏิบัติกันไม่หมด ที่ฟังกันเยอะแยะไปหมดน้ี ต้อง ไปปฏิบัติ อย่างไรก็ต้องปฏิบัติ ใครอยู่ในขั้นไหนก็ปฏิบัติข้ันนั้นแหละ ปฏิบตั กิ นั ไป ไปดกู เิ ลส ไปดูจิตกัน วา่ ยังไงๆ กร็ ูม้ นั ทีนีก้ ต็ ้องเพิ่มความ รดู้ ้วยการปฏิบตั ิตามอริยมรรคมอี งค์ ๘ ตามระดับ เวลาในการบรรยายก็พอท่ีจะสมควรแล้ว ขอยุติการบรรยายใน ภาคคำ่� ของวันที่ ๑๓ เอาไวแ้ ต่เพียงเท่าน้ี 61
มรรคในแงม่ มุ ต่างๆ เจริญพรญาติโยมทกุ ทา่ น ตนื่ เชา้ ขน้ึ มา ไมว่ า่ จะอยทู่ บ่ี า้ น หรอื มาปฏบิ ตั ทิ ว่ี ดั พอตน่ื กใ็ หน้ ง่ั สมาธิทนั ที ก�ำหนดส่งิ ท่ีเราปฏบิ ัติอยู่ ไมต่ ้องเข้าหอ้ งน้�ำ ถ้าไม่ปวดจรงิ ๆ นงั่ เลย เพราะวา่ เราได้พักผอ่ นเตม็ ท่แี ลว้ สมองมนั กค็ ลายเครยี ด เราก็ ใหส้ มองทำ� งานเลย จับองคภ์ าวนาทันที เรอื่ งทง้ั หมดกค็ อื เรอื่ งของอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปดเรอ่ื งของอรยิ สจั ๔ เรื่องของขันธ์ ๕ เรื่องของปฏิจจสมุปบาท เราจะต้องจ�ำ อริยมรรคมี องคแ์ ปด ตอ้ งจ�ำ สวดบ่อยๆ เรอื่ งอริยสจั ๔ จ�ำไมย่ าก คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ส่วนขันธ์ ๕ ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัวท่ี ๔ ของปฏิจจสมปุ บาท คอื เรื่องของขันธ์ ๕ เรอื่ งปฏิจจสมปุ บาท ก็คือเร่ืองท้ังหมดของตัวเร่ืองทั้งหมดนี้ มันจะเกี่ยวข้องกัน เราจะขาด เรอื่ งหน่งึ เรือ่ งใดไมไ่ ด้ ใหจ้ �ำว่าอริยมรรคมีองค์แปด
หลวงพ่อเอีย้ น วิโนทโก • ข้อ ๑ และขอ้ ๒ เป็นข้อของปญั ญา สัมมาทฏิ ฐิ ความเหน็ อนั ถกู ตอ้ ง สัมมาสงั กัปโป คือ ความดำ� ริอันถูกตอ้ ง • สมั มาวาจา สมั มากัมมันโต การทำ� การงานชอบ สัมมาอาชีโว การเล้ยี งชพี ชอบ ชอบกค็ อื ถกู ตอ้ ง ๓ ขอ้ นเ้ี ป็นศลี จำ� ใหแ้ มน่ และ • สมั มาวายาโม สมั มาสติ สมั มาสมาธิ ความเพียรถกู ต้อง มสี ติ ถกู ตอ้ ง มีสมาธถิ กู ต้อง อันน้เี ปน็ สมาธิ ในเมื่อส่วนท่ี ๑ คือ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปโป ความเห็น อันถูกต้อง และความด�ำริอันถูกต้องยังไม่สมบูรณ์ เราก็ต้องเพ่ิม ศีล ไม่สมบูรณ์ ก็ต้องดูแลศีล สมาธิไม่สมบูรณ์ ก็ต้องสัมมาวายามะ ความเพียรในการระวัง ความเพียรในการละ ความเพียรในการสร้าง ความเพยี รในการรักษา ต้องใหค้ รบ แตเ่ มือ่ มันยงั ไมค่ รบ • ใหเ้ ราระวงั ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ น่ีสว่ นทีห่ นงึ่ คือ ระวัง • ระวงั แลว้ ยงั เกิดข้ึน ก็ข้อที่สอง พยายามทจ่ี ะละมนั ให้ได้ คือ ละสิ่งท่มี ันไมด่ ี ทเี่ ปน็ อกุศลออกไปเสีย ละในทางตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ แตล่ ะต้องละทใี่ จ ใจเขา้ ไปยินดยี ินร้าย ก็ต้องละ มนั รู้แลว้ ต้องละ • ขอ้ ที่สาม ตอ้ งตงั้ ใจในการท�ำกุศล หรือตั้งใจปฏิบัติให้ดีขึน้ • ข้อที่สี่ คือ รกั ษาส่ิงน้นั เอาไว้ 64
ดบั วา่ ง สงบ เยน็ มีอยู่ ๔ เพียร เพียรระวงั เพยี รละ เพยี รสรา้ ง เพยี รรักษา นี่คือ สมั มาวายาโม ทีน้ีมันต้องเสริมด้วยสติ ท่ีเราเผลอก็เพราะเราขาดสติ ระวังตา ไมย่ นิ ดี ไมย่ นิ รา้ ย แตม่ นั กย็ งั เผลอเขา้ ไปยนิ ดยี นิ รา้ ยจนได้ เรากเ็ พยี รใน การละ ตอ้ งเอาสัมมาสติ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธมิ าเสริมกนั เหมอื น กันทกุ ๆ ตวั ข้อทีเ่ ป็นศีล ขอ้ ทีเ่ ป็นสมาธิ ข้อไหนขาด ข้อไหนเกนิ ก็ต้องรู้ เพอ่ื ทจ่ี ะไดเ้ อาไปเสรมิ ตวั ทหี่ นงึ่ และสอง คอื เสรมิ ตวั ปญั ญา เพราะขอ้ ที่ หนง่ึ ความเหน็ อนั ถกู ตอ้ ง เหน็ อรยิ สจั สี่ เหน็ ขนั ธห์ า้ เหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ขอ้ ทส่ี อง ความดำ� รอิ นั ถกู ตอ้ ง ดำ� รใิ นการออกจากกาม ดำ� รใิ นการไมม่ งุ่ รา้ ย นต่ี อ้ งใชป้ ญั ญา ถา้ มงุ่ รา้ ยในทางกาย วาจา ความคดิ แสดงวา่ เราขาด สตแิ ลว้ เมอ่ื ขาดสติแล้ว ก็เอาสติมาเสริม ถ้ามนั ขาดศีล เช่น ไปมุ่งร้าย ทางกาม เพราะมันไปยึดในกาม มันก็ไปมุ่งร้ายกัน ฆ่ากัน เบียดเบียน กนั สว่ นมากทางวาจา ตอ้ งเอาศลี มาเสริม เอาสมาธมิ าเสรมิ ให้มันเกิด ปญั ญาข้ึนมา ต้องมตี ัวเสริมท้งั นั้น เพราะสัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะมัน ยงั พรอ่ งอยู่ ถา้ ยังพรอ่ ง มันก็ยงั ไมเ่ ต็มไม่บริบูรณ์ ขอ้ ทห่ี นง่ึ สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ ใหถ้ กู ตอ้ ง คอื เหน็ อรยิ สจั ส่ี ซง่ึ เปน็ เรอ่ื ง ซบั ซ้อน ถ้าไมเ่ ห็นอริยสจั ส่กี ด็ บั ทกุ ข์ไม่ได้ ตอ้ งเหน็ ก่อน จึงตอ้ งขน้ึ ตน้ ดว้ ยความเห็นที่ถกู ตอ้ งกอ่ น คอื เหน็ อรยิ สัจส่ี คือ เห็นทุกข์ เหน็ เหตุใน 65
หลวงพ่อเอยี้ น วิโนทโก การเกิดทุกข์ เห็นการดับทุกข์ และเห็นหนทางให้ถึงความดับทุกข์ มัน เกย่ี วกบั เรอื่ งของความทกุ ขท์ ง้ั นน้ั พระพทุ ธเจา้ พระองคต์ รสั รแู้ ลว้ เวลา ทเ่ี หลอื ของพระองค์ ๔๕ ปี พระองค์กใ็ ช้ในการสอน การอบรม ช้ีแนะ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เร่ืองที่พระองค์ชี้แนะก็ไม่มีเร่ืองอื่นนอกจากเรื่อง ของความทุกข์ และความดบั ทกุ ข์ มสี องเรือ่ งเทา่ น้ี พอเราดอู รยิ สัจส่ี คูแ่ รก ก็ทุกข์ กบั สมุทัย ค่ทู ่ีสองคือ นิโรธ กับ อรยิ มรรค • ทุกข์ ก็ไม่รู้จะแปลว่ายังไงแล้ว ทุกข์มันก็คือ ทุกข์ ทีน้ีตัว อวชิ ชาในปฏจิ จสมปุ บาท ตวั ขน้ึ ตน้ นนั้ คอื ตวั เจา้ ทกุ ข์ เจา้ เกาะ ของความทกุ ข์ ทกุ ขท์ ุกอย่าง อวิชชาน�ำหนา้ ท้ังนน้ั • เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ สมทุ ยั คอื ตวั เหตุ เรามาดอู ะไรเปน็ เหตุ อะไร เปน็ ผล เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขน์ นั่ แหละ คอื ตวั เหตทุ ที่ ำ� ใหเ้ กดิ อวชิ ชา ขึ้นมา เหตุให้เกิดทุกข์ท้ังหมดเป็นตัวเหตุ อวิชชาเป็นตัวผล ฉะน้ัน เราจะเห็นว่า หน่ึง ผล คือ ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัย เป็นเหตุ นนั่ เป็นฝา่ ยทุกข์ • สว่ นฝา่ ยดบั ทุกข์ คือ นโิ รธ ความดบั ทกุ ข์ และ • อริยมรรค มี สมั มาทิฏฐิ ความเห็นอนั ถกู ต้อง สมั มาสังกปั โป ความด�ำริอันถูกต้อง สัมมาวาจา วาจาอันถูกต้อง สัมมา กมั มนั โตการทำ� การงานอนั ถกู ตอ้ งสมั มาอาชโี วการเลย้ี งชพี อนั 66
ดับ วา่ ง สงบ เยน็ ถูกตอ้ ง สมั มาวายาโม ความเพยี รอันถูกตอ้ ง สมั มาสติ มสี ติ อันถูกตอ้ ง สัมมาสมาธิ มีสมาธอิ ันถกู ตอ้ ง ในเรือ่ งสมั มาวายาโม ความเพียรอันถกู ตอ้ ง แปลวา่ ความเพียร ทีไ่ มถ่ ูกต้องก็ต้องมี จงึ ตอ้ งมขี ้อบังคบั เอาไว้ขา้ งหน้า คอื ค�ำวา่ สัมมานน่ั แหละ บงั คบั ไวท้ กุ ๆ ขอ้ โจรกม็ คี วามเพยี ร คนทค่ี อรร์ ปั ชน่ั กม็ คี วามเพยี ร แต่เปน็ ความเพยี รทีไ่ มถ่ กู ตอ้ ง ทนี คี้ วามเพยี รทีไ่ มถ่ ูกต้อง เช่น การทำ� สมาธอิ ยา่ งเดยี ว ทำ� ใหเ้ กดิ นน้ั นี้ โนน้ ขนึ้ มา หรอื ความเพยี รทรมานกาย น้ีก็เป็นความเพียรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่สัมมาวายาโม เป็นมิจฉาวายาโม โจรก็มีความเพียรขโมยสิ่งต่างๆ แต่เป็นมิจฉา ทุกอย่างจึงต้องมีสอง เสมอ แล้วจงึ มสี ัมมาบงั คับไว้ ทิฏฐิ แปลวา่ ความเห็น สมั มา แปลวา่ ถกู ตอ้ ง ถา้ เป็นมิจฉา เป็น ความเหน็ อนั ไมถ่ กู ต้อง ต้องให้เปน็ สมั มาทิฏฐิ ความเห็นอันถูกต้อง ทีนี้สัมมาสังกัปโป ความด�ำริอันถูกต้อง ท่ีเราด�ำริไม่ถูกต้อง ก็ เป็นมิจฉา เช่น ที่เราลุ่มหลงอยู่ในกามวัตถุ ในกามตัณหา ด�ำริในการ เบียดเบียน มงุ่ รา้ ยในกนั และกัน ตอนน้ีรัฐบาลก�ำลังจะยุบสภา ยุบแล้ว คือให้ธงเขยี วเลย กก็ รอู อกมาหาเสียง คือ ใส่สีกัน คนนก้ี ส็ ำ� ทบั ด่าวา่ กัน น่ีคอื ความไมถ่ ูกตอ้ ง ส่วนคนทีถ่ กู ต้องมนั ก็มี ไหนๆ เราก็ก�ำลงั จะ เลอื กตงั้ กนั อยแู่ ลว้ คนทซ่ี อ้ื สยี งอนั นนั้ ไมถ่ กู ตอ้ งอยแู่ ลว้ ซอื้ เพราะอะไร ซื้อเพราะความอยาก มันก็เป็นด�ำริท่ีไม่ถูกต้องแล้ว คิดว่าจะเอาเงินไป 67
หลวงพ่อเอย้ี น วิโนทโก หว่านทไ่ี หนบ้าง ตอนน้กี ห็ วา่ นไปพลางๆ ก่อน ท�ำมาชว่ ยน้�ำทว่ ม มันมี อยู่แล้ว ท่ีมีแนวโน้มว่าไม่ได้ท�ำด้วยความบริสุทธิ์ใจ น่ันเป็นความไม่ ถกู ต้อง เรยี กว่า มิจฉาสังกัปปะ หรือ ด�ำริไม่ถูกตอ้ ง ทีนี้สาดน้�ำใส่กัน คือ สาดวาจาใส่ความกัน นี่เป็นมิจฉาวาจา คนน้ีดา่ คนนน้ั คนนน้ั ดา่ คนโนน้ มนั ตอ้ งยกเร่อื งนกั การเมืองจะไดเ้ ห็น กนั ชดั ๆ วา่ นคี่ อื ขาดธรรมมะ ถา้ มสี มั มา กจ็ ะพดู จาเรยี บรอ้ ย ไมซ่ อื้ เสยี ง แตน่ ถ่ี า้ ไมซ่ อื้ กไ็ มไ่ ด้ ทกุ คนกต็ า่ งซอ้ื กนั ทง้ั นนั้ พอซอ้ื แลว้ มนั เปน็ การทำ� มาคา้ ขาย เปน็ การประกอบธรุ กิจอย่างหนงึ่ ต้องเอาทนุ คืน จะเอาทไ่ี หน ก็ต้องเอาของพวกเราอีกนั่นแหละ น่ีเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มจิ ฉาวาจา มิจฉากัมมนั ตะ ท�ำอะไรที่ไม่ถกู ต้อง มิจฉาอาชีโว เลี้ยงชพี ไม่ถกู ต้อง มิจฉาวายาโม ความเพียรทไี่ ม่ถกู ตอ้ ง มันกต็ อ้ งเพียรกนั ทั้ง นั้น การจะเอาตวั เองเข้าเปน็ ผูแ้ ทนได้ มันตอ้ งเพยี ร เพียร เพยี ร ฉะนนั้ ถ้าเปน็ ความเพยี รที่ถกู ต้อง กเ็ ป็นสมั มาวายามะ ถา้ เปน็ ความเพียรท่ีไม่ ถูกตอ้ ง กเ็ ป็นมิจฉาวายามะ ทนี ี้สติ สมั มาสติ คอื สตทิ ถี่ ูกต้อง มสี ตทิ ง้ั สี่ คอื • มีสติเห็นกายในกาย คือ เห็นถูกต้อง เห็นว่ากายน้ี มัน เปอ่ื ย มันเน่า มนั สกปรก ไมน่ ่าเข้าไปยึดถอื เพราะมนั มกี าร เปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก็เลยไม่ยึดถือ น้ีเรียกว่า มีสติ เหน็ กายในกาย ถา้ มสี ติ เขาก็ปล่อยออก เพราะเหน็ กายนม้ี ัน 68
ดับ ว่าง สงบ เยน็ เน่าเปือ่ ย สกปรก ที่สำ� คัญคอื มนั ไมเ่ ทีย่ ง • มสี ตเิ หน็ เวทนาในเวทนา เวทนามนั กเ็ กดิ กบั กาย กายเจบ็ กาย ปว่ ย หรอื ความสขุ ตา่ งๆ เวทนามนั เกดิ ทง้ั ทางกาย และทางใจ เวทนาทีเ่ กดิ ทางใจ คือ เวทนามันเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กอ่ น พอเกดิ แลว้ ทหี ลงั มนั กเ็ กดิ ทางใจ สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เปน็ อวชิ ชา กเ็ รยี กเวทนาท้งั นัน้ • มีสติเห็นจิตในจติ และ • มีสติเหน็ ธรรมในธรรม ในเรื่องเวทนา เวทนาเกิดได้อย่างย่อๆ ๒ ทาง แต่โดยละเอียด เกดิ ได้ ๖ ทาง มนั เกิดทางตา มันเกิดทางหู มนั เกิดทางจมูก มนั เกดิ ทาง ล้ิน มันเกิดทางกาย มันเกิดทางใจ สติต้องทัน เห็นเวทนาในเวทนาว่า มนั ไมใ่ ชส่ ตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา เกดิ สขุ ขนึ้ มา สตกิ ร็ ทู้ นั วา่ เปน็ เวทนา เหมอื นกัน ทีนี้มนั จะทนั หรอื ไม่ ความพอใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย น่ี แหละ เรียกสขุ เวทนา ไปดูว่าเราหลงมันมากี่ปแี ล้ว ไปหลงวา่ อนั น้แี หละ เป็นของดี แต่ตามทจี่ รงิ นี่แหละคือตวั ดี ทำ� ใหเ้ ราหลง เพราะสุขเวทนา มนั กเ็ กดิ ดบั มนั หามตี วั ตนไม่ ถา้ มนั มตี วั ตนมนั กไ็ มต่ อ้ งดบั สิ แลว้ ทำ� ไม มนั ตอ้ งดบั ละ่ ทำ� ไมตอ้ งเกดิ ตอ้ งดบั นใ่ี หร้ วู้ า่ เปน็ สขุ เวทนา ทเ่ี ราลมุ่ หลง มันเพราะขาดสติ อกี อยา่ งคือ ทกุ ขเวทนา เหน็ แลว้ มันไมช่ อบใจ ไมพ่ อใจ เหน็ แลว้ 69
หลวงพ่อเอย้ี น วิโนทโก มันไมพ่ อใจ ไดย้ นิ ได้กลน่ิ ลิม้ รส สัมผสั แล้วมันกไ็ มพ่ อใจ ไมพ่ อใจอยู่ ทางตา ทางหู ทางจมกู ทางล้นิ ทางกาย พรากมาแลว้ ผ่านมาแลว้ แต่ ความพอใจนน้ั มันยงั เกิดอีก กเ็ กิดทุกขเวทนาทางใจขึ้นมา สุขเวทนาก็ เหมอื นกัน ผา่ นมาแลว้ มันกม็ าเกิดทางใจอกี เวทนาเกิดได้ ๒ ทาง สขุ เวทนาตัวหนึ่ง ทุกขเวทนาตัวหน่งึ สขุ เวทนาจำ� ง่ายๆ วา่ มนั ดงึ เข้ามาหา ตวั มนั ชอบมนั กเ็ ลยดงึ เขา้ มา ปใี หมท่ เ่ี ราไปเทยี่ วสนกุ กนั มนั กด็ งึ เขา้ มา หาตัวทั้งนั้น สว่ นทกุ ขเวทนา มนั ไมต่ ้องการ มนั ผลักออกไป ใหไ้ ปไกล ตวั เกิดทกุ ขเวทนา ส่วนอทุกขมสุขเวทนา มันยังอา่ นไม่ออก ยงั แยกไม่ ออก มันเปน็ อวชิ ชา ยังปนเปกนั อยู่ เป็นทกุ ขเวทนา ทีนีเ้ ราปฏิบัติปฏจิ จสมุปบาท • หน่งึ ตัวอวชิ ชา คือตวั โง่ • สองคือตวั สังขาร เมือ่ เกดิ ตัวโง่ข้ึนแล้ว สังขารมนั กโ็ ง่ คิดมัน ก็โง่ ท�ำมนั ก็โง่ พูดมันกโ็ ง่ เพราะเป็นกูน�ำหน้าหมด • ตวั ทส่ี าม วิญญาณ คือ ตวั รู้ ถ้าตัวรู้มันโง่ คอื จิตมนั โง่ มนั กค็ ดิ โง่ ท�ำโง่ พอมาถงึ ตัวรู้ มันกร็ ูโ้ ง่อกี นั่นแหละ คือ รู้ในรปู เสียง ฯลฯ กเ็ ปน็ กรู ู้หมด • พอมาตัวท่สี ่ี นามรูป คอื ตัวกาย กบั จติ พอแยกออกไปเป็น รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ มนั กเ็ ป็นของกหู มด คือ มนั กบ็ รรจดุ ว้ ยความโงห่ มด รปู รา่ งกายกเ็ ปน็ กู เวทนากเ็ ปน็ กู 70
ดับ ว่าง สงบ เยน็ สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ กเ็ ปน็ กหู มด มนั จะมแี ตค่ วามยดึ มนั่ ถอื มัน่ กอู อกนอกหน้า • พอถงึ ตวั ทีห่ ้า สฬายตนะ สฬ แปลวา่ หก คือ อายตนะท้งั หก สฬายตนะกแ็ ยกออกมาจากนามรปู มาจากกาย คอื ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ มนั กเ็ ป็นกไู ปหมดอกี นั่นแหละ คอื ตวั ทุกข์ เปน็ ของกูอีก เพราะมนั ก�ำชบั มาแล้วตง้ั แต่ตัวอวิชชาตัวต้น • เมื่อสฬายตนะเป็นกู ตัวที่หก ผัสสะ คือ การกระทบ การ กระทบทางตา เรยี กวา่ ผสั สะทางตา การกระทบทางหู กผ็ สั สะ ทางหู ผสั สะทางจมกู ผสั สะทางลนิ้ ผสั สะทางกาย ผสั สะทางใจ คอื การกระทบทางใจ ผสั สะการกระทบกเ็ ปน็ กู • พอเกดิ ผสั สะ ตวั ท่เี จด็ ก็มีเวทนา กค็ อื ตวั ที่สองของสมั มาสติ นนั่ แหละ ทีนี้สัมมาสติหมายถึง มีสติเห็นถูกต้อง ถ้าเราเห็นไม่ถูกต้องใน เวทนาก็คือ พอเห็นสุขเวทนา เราก็เข้าไปชอบ ดึงเข้ามาหาตัว พอเห็น ทุกขเวทนา เราก็ผลักออกไป พอเห็นอทุกขมสุขเวทนา เราก็ยังงงอยู่ ไม่รคู้ ือตวั ด�ำๆ อะไร มันคอื ตัวอวิชชานัน่ แหละ เวทนามีสามอย่าง แต่มันก็เป็นหนึ่ง คือ เวทนาท้ังสามน้ัน มันเกิดแล้วก็ดับ และก็ว่างจากตัวตน เราต้องปฏิบัติจนเห็นสายดับได้ ไม่เช่นน้ัน มันไม่ดับหรอก ถ้าเราไม่ดับที่อวิชชา หรือไม่ดับที่ตัวผัสสะ 71
หลวงพ่อเอี้ยน วโิ นทโก เราก็ดับท่ีตัวเวทนานี้ แต่ถ้าสติมาไม่ทัน มันจะไปดับได้อย่างไร สติ ตอ้ งมาทนั พอสติทนั ปญั ญาทัน ก็มาดบั ทตี่ ัวเวทนาน้ัน สขุ เวทนากไ็ ม่ เข้าไปลุ่มหลง ทุกขเวทนาก็ไม่เข้าไปลุ่มหลง เข้าไปเกลียดมัน อทุกขม สุขเวทนาก็เหมือนกัน เวทนาท้ัง ๓ น้ี เราไม่ต้องการท้ังนั้น เพียงแต่รู้ แล้วปล่อยวา่ งไป เมอื่ เราไมต่ อ้ งการเวทนา ความอยากกเ็ กดิ ขน้ึ ไมไ่ ด้ ตวั ตณั หา คอื ความอยากนนั้ มนั เกดิ ขนึ้ มาจากการทเ่ี ราไมร่ จู้ กั ตวั เวทนา กามตณั หา มันก็ทรมาน มันอยาก เพราะเราไม่รู้จักเท่าทันมัน อย่างเรื่องของกาม ท�ำไมธรรมชาติจึงสร้างให้สัตว์ทั้งหลายมีการเสพกาม คือ ถ้าสัตว์ ทง้ั หมดไมม่ ีการเสพกาม เผ่าพนั ธท์ุ ้ังหมดมันก็มขี นึ้ มาไมไ่ ด้ ธรรมชาติ เพียงแต่ท�ำหน้าท่ีให้นิดเดียว แล้วเราก็มาต่อเอาเอง เราจึงต้องไม่ไป ลุ่มหลงมันมากเกินไปในเร่ืองของกาม คือ ข้อท่ีสองของอริยมรรค มีองค์แปด สัมมาสังกัปปะ มีความด�ำริในการออกจากกาม เห็นไหม เร่ืองมนั เก่ียวโยงกันทั้งนั้น ฉะนั้น การปฏิบตั ทิ พ่ี ระพุทธเจา้ ทา่ นตรัสไวว้ ่า กามะสุขลั ลกิ านุ- โยค คือ การประกอบตนพวั พันอย่ดู ้วยความใคร่ในกามทงั้ หลายไม่ใช่ หนทาง นไี่ มใ่ ชท่ าง เพราะในสมยั นน้ั ในอนิ เดยี เขากแ็ สวงหากนั ทง้ั นน้ั เลย หาอะไร หาความสงบเย็น คือ พระนพิ พาน มนั กเ็ กิดลทั ธิขนึ้ มา ลัทธใิ น การเสพกามอยา่ งหน่งึ หลวงพอ่ ไม่เคยไปดู แตเ่ ขาจะมโี บสถใ์ หญ่ และ 72
ดับ ว่าง สงบ เยน็ กม็ วี ธิ เี สพกามตา่ งๆ เหมอื นกบั สตั วเ์ ดรจั ฉาน เพราะเขาเขา้ ใจวา่ พอเสพ กามแลว้ มนั กด็ บั แลว้ กเ็ ยน็ สนทิ เขากว็ า่ นพิ พานอยตู่ รงนน้ั นค่ี อื นพิ พาน ของคนสมัยโน้น แตพ่ อเสร็จแล้ว ความอยากในกามมนั กเ็ กิดข้ึนมาอกี พอเกิดขึ้นมาอีกอย่างน้ี มันก็ไม่ใช่นิพพานแล้ว มันก็เลยกระเถิบข้ึน ต่อไปจนถึงเร่อื งขององค์ฌาน ฌานทห่ี นึง่ วิตก วจิ าร เขากว็ ่า นแ่ี หละ นิพพานแล้ว พออยูไ่ ปกร็ ู้ว่าไมใ่ ช่อีกแลว้ ฌานที่หนึ่ง ฌานท่สี อง ฌานท่ี สาม ฌานทส่ี ี่ มนั กเ็ ลยทำ� ตอ่ ยอื้ กนั ไปเรอ่ื ย นน่ั คอื เรอื่ งของเวทนาทง้ั นน้ั ทีน้ีเวทนาทีเ่ ป็นสขุ ก็ดงึ เขา้ มาหาตัว เวทนาทีเ่ ปน็ ทกุ ขก์ ็ผลักออก ไป เวทนาท่ีไม่สุขไม่ทุกข์ก็เลยยังงงอยู่ นี่คือเวทนาทั้งในสติปัฏฐาน ส่ี และเวทนาในปฏิจจสมุปบาท ฉะน้ัน ในปฏิจจสมุปบาท ให้เราดับท่ี เวทนา ถา้ ดบั ท่ีเวทนา ตณั หาคือความอยากก็เกดิ ไมไ่ ด้ คือ กามตณั หา ความอยากในเร่อื งของกาม ภวตณั หา ความอยากในความมคี วามเป็น อยากเป็นน้นั เปน็ นี้ เปน็ รฐั มนตรีต่างๆ วิภวตัณหา เมื่อมันไม่สามารถท่ี จะกา้ วต่อไปไดแ้ ลว้ ขอตายดกี ว่า อย่างน้ี เรียกวา่ วิภวตณั หา เราจะไป ดบั ทีต่ ณั หาก็ได้ ถ้าเรารตู้ ัวทนั ทน่ี ี่ จะดบั ที่น่ีกไ็ ด้ น่ีปฏจิ จสมปุ บาทครึ่ง ทอ่ น เรม่ิ จากนามรปู ในเรื่องของอริยมรรคมีองค์แปด เร่ืองสัมมาสติท่ีพูดยืดยาวมา ตง้ั แตต่ น้ สมั มาสติ มสี ตเิ หน็ อนั ถกู ตอ้ ง มสี ตเิ หน็ กายในกาย กโ็ ยงใยกนั เอาสมั มาสตมิ าขยายเปน็ สตปิ ฏั ฐานส่ี แลว้ ก็มสี ตคิ วบคมุ ตา หู จมกู ลน้ิ 73
หลวงพอ่ เอยี้ น วิโนทโก กาย ใจ มนั กใ็ ชส้ ตหิ มด เปน็ วา่ ทกุ อยา่ งตอ้ งใชส้ ติ เหมอื นเราทำ� ขนม ทำ� แกง ถ้าไมใ่ สเ่ กลือกไ็ ม่ได้ ถา้ เทียบแล้ว สตเิ หมอื นเกลือ ตอ้ งเขา้ ไปผสม ทกุ สงิ่ ทกุ อย่าง ต้องมีสติ พอมีสติเห็นเวทนา ถ้าเห็นสุขเวทนา ก็อย่าไปหลงมัน เห็นมัน ดับอีกแล้ว พอเห็นเกิด เดี๋ยวมันก็ดับ เดี๋ยวมันก็เกิด เด๋ียวมันก็ดับ สขุ เวทนากเ็ กดิ ดบั ทกุ ขเวทนากเ็ กดิ ดบั อทกุ ขมสขุ เวทนากเ็ กดิ ดบั สาม อย่างน้มี ันเปน็ อยา่ งเดยี วกัน เพราะกรยิ าอาการมันกเ็ หมอื นกนั นคี่ ือมี สมั มาสติ เห็นเวทนาในเวทนาว่า เวทนาน้ีไม่ใชส่ ัตว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา มสี ติ ดงึ ปัญญามา แล้วก็สลดั มนั ออกไปเสยี พูดออกไปอีก ถ้าเราเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ไม่ใช่เราไป นอนครางอยู่ ทำ� ตาปรบิ ๆ ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนนั้ ตอ้ งภาวนาเขา้ ไป ภาวนาใหส้ ดุ แรงเกิดเลย ภาวนาเขา้ ไป ไมใ่ ชก่ ู ไมใ่ ช่กู ความเจ็บความปวดนไ้ี ม่ใช่กู มนั ทกุ ขเวทนา เกดิ ทกุ ขเวทนากไ็ มใ่ ชก่ ู เหน็ มนั เกดิ -ดบั มนั ไมใ่ ชก่ เู พราะ มนั กไ็ มม่ ตี วั ตน รา่ งกายนก้ี ไ็ มใ่ ชเ่ รา เมอ่ื รา่ งกายไมใ่ ชข่ องเรา เวทนาเกดิ ทไี่ หนละ่ มนั เกิดที่กาย กับเกิดทีจ่ ติ เวทนานี้มันกไ็ ม่ใชเ่ รา ดูคนท่นี อน เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เต็มโรงพยาบาล จะมีซักก่ีคนท่ีนอนภาวนาว่า เวทนา ไมใ่ ช่กู ไมใ่ ช่กู มีแต่ภาวนาว่า เวทนาของกู ความเจบ็ ของกู คือ ภาวนา ว่า กูเจบ็ กเู จบ็ เห็นไหมมันนอนกูเจ็บกันทง้ั นนั้ เป็นมะเร็งหมอบอกขั้น ทสี่ ามแลว้ กเ็ ปน็ กตู าย กตู าย ไมใ่ ชก่ เู จบ็ แลว้ นค่ี อื ไมร่ จู้ กั เวทนา ถา้ รจู้ กั 74
ดบั ว่าง สงบ เยน็ กภ็ าวนาไม่ใชก่ ู ไม่ใช่กู แข่งกับมันเลย ต้องภาวนาอยา่ งน้ัน เรยี กวา่ เป็น สมั มาสตใิ นขอ้ ทว่ี า่ เหน็ เวทนาในเวทนา เอาไปใชไ้ ดน้ ะ หลวงพอ่ กใ็ ช้ เรา กนิ อาหารกต็ ้องใชแ้ ลว้ เวทนาท่ีเกิดทางกาย ทางจิต ทางตา หู ฯลฯ ตอ้ ง ใช้ทงั้ นัน้ ถ้ามนั พลาดสตแิ ล้วกจ็ ะเสยี ทา่ อวชิ ชามนั ตอนน้ีเราตอ้ งสะสม สะสมทั้งปญั ญา ท้งั ความคม ความไว คือ ให้มีสติทันในเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน มีสมั มาสติ มสี ติเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา สัมมาสติข้อสามก็ เห็นจิตในจิต สติคือระลึกได้ ส่วนจิตมันก็ ไม่มีตัว ไม่รู้จะไปท�ำมันยังไง เราไปสมมติว่าจิตมันมีตัว ไปดูว่าตัวมัน หนา้ ตาเปน็ ยงั ไง เรากส็ มมติเอาเอง สมมติวา่ จิตทีป่ ระกอบด้วยอวิชชา คอื จติ ที่ยงั ไม่รู้อริยสจั จติ ตัวน้ันดำ� เมอื่ มเลย ไม่มหี ู ไมม่ ตี า นัน่ คอื จติ ที่โง่ ที่มันดำ� ถ้าจติ ทีฝ่ ึกแลว้ จติ ตงั ทนั ตัง สุขาวะหงั จติ ทฝี่ กึ แล้วนำ� สุข มาให้ สุขนี้กเ็ ปน็ สุขเย็น ไมใ่ ชส่ กุ ไหม้ ไมใ่ ช่สกุ เกรียม จติ ที่ฝกึ แล้วขาว อันน้ีเราก็สมมตอิ กี แหละ เพราะจิตเองมันไมม่ ตี ัวตน จับตอ้ งไมไ่ ด้ สกี ็ ไม่มี ไม่มีเครอ่ื งหมายอะไร การมีสตเิ หน็ จติ ในจติ คอื เหน็ ว่าจติ นัน้ มัน เขา้ ไปยินดี เข้าไปยนิ ร้ายไหม ถ้ายินดีก็เรียก เกดิ อภชิ ฌา ถ้ายนิ ร้ายก็ เรยี กโทมนสั เอาออกทง้ั สองอยา่ ง ถอนความพอใจ และไมพ่ อใจในโลก ออกเสียได้ ความพอใจ-ไมพ่ อใจทเ่ี กิดในกายกถ็ อนมันออกเสีย ความ พอใจไม่พอใจที่เกิดในเวทนาก็ถอนออกไปเสีย ความพอใจไม่พอใจท่ี เกดิ ทางจิตก็ถอนออกไปเสีย ต้องถอนท้ังนัน้ 75
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก การถอนจิตตอ้ งอาศยั การภาวนา เมอ่ื เราภาวนาแลว้ มันก็คอ่ ยๆ ถอนออก คือ ถอนจิตโง่น่ันแหละออกไป พอตัวจิตโง่มันออกไป เช่น เราเจ็บไข้ได้ป่วย ทนไม่ไหวแล้ว เราก็ภาวนา พอภาวนาถึง จิตมันจะ ถอนออกจากกาย แล้วไปยืนดูร่างกายน้ี มันถอนออกไปจากกาย จาก เวทนา อันน้ยี ังพอเห็น แตพ่ อถอนจติ ออกจากจิตคอื อะไร คือ ถอนจิต ท่ีฉลาดออกจากจิตโง่ ออกจากจิตที่ยึดม่ันถือมั่น พอมันว่างจากตัวกู ขึ้นมา มันก็ไม่ต้องเจ็บต้องปวด แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นั่นคือถอนจิต ถอนจติ ฉลาดให้ออกจากจติ โง่ ทนี จี้ ติ ฉลาดกเ็ ขา้ ไปยดึ ถอื ไมไ่ ด้ ถงึ บอกวา่ เราสมมตทิ งั้ นนั้ ในเรอื่ ง ของจิต สมมตวิ า่ จติ โงเ่ ปน็ สดี ำ� จติ ฉลาดเป็นสขี าว จติ ฉลาดกไ็ ม่ใช่กอู กี นนั่ แหละ คอื เมอื่ เราทำ� ถกู ตอ้ งตามกฎของธรรมชาติ เรากไ็ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ มนั กพ็ อแลว้ เทา่ นนั้ เราทำ� ถกู ตอ้ ง ปฏบิ ตั ถิ กู ตอ้ งมนั กไ็ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ นนั่ คอื การ ถอนจติ ออกจากจติ อกี ทหี นง่ึ นอกจากถอนกายออกจากกาย ถอนเวทนา ออกจากเวทนา ถอนธรรมออกจากธรรม คอื เมอ่ื เราปฏบิ ตั แิ ลว้ ไดผ้ ลจาก การปฏิบตั ิ เราก็ไม่ต้องไปยดึ ถอื ในธรรมนั้นอกี มนั ก็มีแต่ทำ� ไป ท�ำไป มีคนถามหลวงพ่อว่า สมมติว่าพอปฏิบัติถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ แล้ว (สมมตินะ เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาอวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์) ไม่ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ ชไ่ หม กเ็ ลยตอบเขาวา่ ไมใ่ ช่ อนั นน้ั คณุ เขา้ ใจผดิ การปฏบิ ตั ิ ท่ีมันเป็นท้ังเน้ือทั้งตัวของเขาน้ัน มันเป็นการปฏิบัติหมดแล้ว ท้ังกาย 76
ดบั ว่าง สงบ เยน็ ทั้งจติ เปน็ การปฏบิ ตั จิ นชินเป็นนิสัยของเขาแลว้ ฉะนน้ั ปฏิบตั กิ เ็ หมอื น ไมป่ ฏบิ ตั ิ ภาวนาก็เหมอื นไมภ่ าวนา เพราะมันชินจนเป็นนิสยั เป็นอย่าง นน้ั แลว้ พอยกยา่ งจะกา้ วเดนิ กภ็ าวนาแลว้ พอกน้ จะถงึ พนื้ กภ็ าวนาแลว้ ไมใ่ ชก่ นู ง่ั ไมใ่ ชก่ นู ง่ั พอไปกำ� หนดลมหายใจ กไ็ มใ่ ชก่ หู ายใจ จะหายใจเขา้ ไม่ใช่กู หายใจออก ไม่ใช่กู มันชินอย่างนั้นแล้ว พระอรหันต์ท่านชิน แล้ว แต่ไม่ใช่ความเคยชินท่ีเป็นอวิชชา เป็นความเคยชินที่เป็นวิชชา นี่เรียกว่าถอนจิตออกจากจิต ถอนธรรมออกจากธรรม ทุกอย่างมัน เปน็ ธรรมหมดแลว้ กาย เวทนา จติ ธรรม ทกุ สงิ่ ทีเ่ หน็ ท่ีได้ยนิ ไดก้ ลนิ่ ลมิ้ รส ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ในโลกในจกั รวาลน้ี ทกุ อยา่ งเปน็ ธรรมหมด ทกุ อยา่ งทมี่ กี ารเกดิ ขนึ้ มกี ารตง้ั อยชู่ วั่ ครง้ั ชวั่ คราว แลว้ กม็ กี ารดบั สลาย ไป นนั่ เปน็ ธรรมทง้ั น้ัน ส่งิ ไหนท่เี กดิ ดับ ส่งิ นน้ั เปน็ ธรรม นกั วทิ ยาศาสตรท์ เ่ี ปน็ นกั ดาราศาสตรเ์ ขากด็ แู ตด่ าว ดาวนเี้ กดิ เมอ่ื ไหร่ ประกอบด้วยอะไรบา้ ง ไกลจากโลกเท่าไหร่ มสี ารอะไรบ้าง นน่ั มนั ดบั ทกุ ข์ไดไ้ หม ถ้ามองเข้ามาหาทีต่ วั เองนี่ แลว้ ว่ากนู มี่ ันบา้ ดาวแล้ว แต่ กลบั ไมร่ ูจ้ ักโลก ไม่ร้จู ักจิต โลกกอ็ ยูต่ รงนี้แหละ โลกภายใน ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ โลกภายนอก คอื รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ นี่ ให้รจู้ กั โลกภายใน โลกภายนอก ให้เรารจู้ ักโลกวา่ โลกน้ีมนั เกดิ ดบั ที่ เรารูจ้ ักโลกภายนอกก็เพราะตามันเห็นรูป ตาเป็นโลกภายใน ส่วนวตั ถุ ต่างๆ ที่เราเห็นเป็นโลกภายนอก โลกภายในมันก็เกิดดับ ว่างจากตัว 77
หลวงพอ่ เอีย้ น วิโนทโก ตน โลกภายนอกก็เกิดดับ ว่างจากตัวตน ทีนี้เราไปพิสูจน์ดวงดาวก็ดี ดวงอาทิตยก์ ็ดี โลกกด็ ี ดาวตา่ งๆ ก็ดี ในทอ้ งฟา้ มนั เต็มไปดว้ ยดวงดาว ดาวทมี่ นั เกดิ ๆ ดบั ๆ อยู่อยา่ งน้ีแหละ ดวงน้ีดบั ไป ดวงโน้นเกดิ ข้ึน มัน อย่อู ยา่ งนั้น มาดูดีกว่าว่าชวี ติ ของเราไมถ่ ึงร้อยปี ถ้าเราศึกษาดาวดวงน้ี หน่ึงปี ไม่ถงึ ร้อยปี ชีวิตนี้ตายแลว้ แล้วมนั ก็ไมจ่ บ เกดิ ใหมม่ าดดู าวอีก มันก็เป็นอยา่ งน้ันอกี ทนี กี้ ารดดู าวมนั ได้ ไมใ่ ชจ่ ะไปปฏวิ ตั กิ ารดดู าว ดกู ไ็ ดแ้ ตค่ วรไปดู การเกดิ ดบั ของดวงดาว ทจี่ รงิ เรากค็ อื ดาวดวงหนง่ึ เหมอื นกนั ดาวมนั มี ภายนอกภายใน ดวงดาวคอื จติ ทอ่ี ยภู่ ายใน คอื ความรสู้ กึ ตวั รจู้ รงิ รไู้ ม่ จรงิ นนั่ แหละ ดาวดวงนม้ี นั กเ็ กดิ ดบั มนั กเ็ หมอื นๆ กนั กบั ดาวภายนอก นั่นแหละ แต่ดาวภายนอกมันมแี ต่รูป ดาวดวงนีม้ นั มอี ะไรพิสดารกวา่ ดาวดวงอื่นๆ เสียอีก ถ้าเราศึกษาอย่างน้ีมันก็ได้ผล อย่างนักวิทยา- ศาสตร์ไอน์สไตน์ท่ีคิดเร่ืองระเบิดปรมาณู เขาเป็นชาวพุทธ แต่เขาไม่ สามารถพูดได้ว่าเขาเป็นชาวพุทธ เขาศึกษาเรื่องศาสนาพุทธ เร่ืองของ พระพุทธเจ้า เร่ืองธรรมะ เขาพิสูจน์ เขาก็เลยหันกลับเข้ามาทางน้ี เขา บอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาของจักรวาล ทีนี้เราคนคนหนึ่งก็เท่ากับ จกั รวาลหนง่ึ ทนี ถ้ี า้ เขาขาดสตไิ ปพดู วา่ เขานบั ถอื ศาสนาพทุ ธ ศาสนาพทุ ธ เปน็ เลศิ ในจกั รวาลน้ี พวกศาสนาอ่ืนคงมาจบั เขาแขวนคอเลย เขาก็เลย เล่ียง เลยี่ งเปน็ ศาสนาของจักรวาล และมนั กเ็ ป็นอยา่ งนัน้ จรงิ ๆ เราคน 78
ดับ วา่ ง สงบ เย็น หนึง่ เท่ากับจักรวาลหนึง่ หรือเมด็ กรวดเม็ดทรายหนึ่ง กเ็ ทา่ กับจกั รวาล หนง่ึ ทุกอยา่ งเป็นจกั รวาลหนง่ึ ท้งั หมด มันโยงใยกนั ทงั้ น้ัน ทกุ จักรวาล มนั จะโยงใยกันหมด เราตอ้ งศกึ ษาจกั รวาลนแี้ หละ มนั มที ง้ั กาย มที ง้ั จติ มอี ะไรหลายๆ อยา่ ง ศกึ ษาใหร้ ตู้ ามความเปน็ จรงิ วทิ ยาศาสตรร์ บั รอง เปน็ พนื้ ฐานของ การรบั พระพทุ ธศาสนา วทิ ยาศาสตรย์ งิ่ เจรญิ กา้ วหนา้ ไปเทา่ ไหร่ ไมต่ อ้ ง กลวั วา่ พทุ ธศาสนาจะลม้ ละลาย เพราะพทุ ธศาสนาอยเู่ หนอื วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานรองรับพุทธศาสนาเอาไว้ ย่ิงพิสูจน์เท่าไหร่ ก็เป็นความจรงิ ขึน้ มาเท่าน้นั ส�ำหรับพวกเราทุกคนท่ีมาปฏิบัติธรรมน้ี สนใจในการปฏิบัติ ก็เท่ากับเราเป็นนกั วทิ ยาศาสตร์ ห้องทดลองอยูท่ ี่ไหน ทดลองอะไร เรา ควรทดลองว่า กายทีม่ นั ไมเ่ ทีย่ งเป็นยังไง พอทดลองเอาอะไรมาพิสูจน์ เราก็มีเครื่องมือ คือ อริยมรรคมีองค์แปดนั่นแหละเป็นเคร่ืองมือหน่ึง การทีจ่ ะพสิ จู น์ในเรอ่ื ง กาย วาจา จติ ห้องแล็บมนั กอ็ ยตู่ รงน้ี เครอ่ื งมือ ของเรากอ็ ยตู่ รงนี้ สง่ิ ทจี่ ะพสิ จู นก์ อ็ ยตู่ รงนี้ มนั กอ็ ยตู่ รงนหี้ มดแลว้ ฉะนน้ั อย่าลืมว่าเราท่ีเป็นนักปฏิบัติก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ แขนงไหนเหรอ แขนงท่ีจะดับทุกข์ ถ้าจะดับทุกข์ เราก็ต้องรู้สิว่าทุกข์มันอยู่ตรงไหน มาพิสูจน์ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเปน็ ทกุ ข์ 79
หลวงพ่อเอ้ยี น วิโนทโก เกิด อะไรเกิด เกิดจากท้องแม่ ไม่ใช่หรอก มันนานเกินไป มัน เกิดคร้ังเดียว แต่น่ีท�ำไมมันทุกข์มาราธอนล่ะ มันไม่ใช่แล้ว คิดค้น กันมาเร่ือยๆ ก็เกิดนักวิทยาศาสตร์อย่างพระพุทธเจ้าข้ึนมา ก็เลยรู้ว่า ความทุกข์คือส่ิงท่ีเกิดขึ้นมา ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่ เกิดจากท้องแม่น้ัน เปน็ การเกดิ ภาษาคน แตเ่ กดิ ทวี่ า่ น้ี คอื เกดิ จากความรสู้ กึ เปน็ ตวั กขู น้ึ มา เห็นไหมน่ีนักวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์ออกมาแล้วว่า ชาตปิ ทิ กุ ขา ความเกดิ เปน็ ทกุ ข์ พอเกดิ ตวั กทู หี นงึ่ มนั กท็ กุ ขท์ หี นงึ่ โกรธ ทีหน่ึง ก็ทุกข์ทีหนึ่ง มันโลภทีหน่ึง ก็ทุกข์ทีหนึ่ง ยึดม่ันถือม่ันทีหน่ึง มนั กเ็ ป็นทุกขท์ หี นึ่ง นี่ความเกดิ ก็เปน็ ทุกข์ คือ ชาติปทิ ุกขา ทา่ นพิสูจน์ แลว้ อย่างนี้ ทุกคนมีห้องแล็บส่วนตัวกันท้ังนั้น แต่ท�ำไมเอาเคร่ืองมือไปใช้ ในเร่อื งดดู าว ดจู กั รวาลอืน่ มีไหม จกั รวาลนี้มีขอบเขตเท่าไหร่ จกั รวาล นี้มันก�ำลังขยายอยู่ไหม ดวงอาทติ ย์มีกดี่ วง ฯลฯ ไปศกึ ษาให้มันรกหวั ท�ำไม มันไร้ผล มันดับทกุ ข์ไม่ได้ ถ้ามันดบั ทุกขไ์ มไ่ ด้ สลัดทิ้งมนั ไป มา ดทู ่ตี รงน้ีกอ่ น เพราะทุกคนมนั ตั้งต้นทีต่ รงนี้ เหมอื นเวลาขน้ึ ตน้ ไม้ ไป ข้นึ ที่ปลายมันจะไดอ้ ยา่ งไร มันต้องขนึ้ ไปจากโคน ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องศึกษา ต้นไม้ก็คือคนคนหน่ึง ตน้ ไมน้ ้รี ากมนั เปน็ ยงั ไง ใบ ดอก ผล มันเปน็ ยังไง การสืบทอดมนั เป็น ยังไง กายมันเป็นยังไง ความรู้สึกมันเป็นยังไง ความสุขมันเป็นยังไง 80
ดบั ว่าง สงบ เย็น อยู่เหนือทุกข์เหนือสุขมันเป็นยังไง ฯลฯ ก็ศึกษาไปสิ ศึกษาอย่างนี้ไม่ เกินเลยไป เราต้องรู้ วันหนง่ึ เราตอ้ งเหยียบกายน้ี เหยยี บจิตนี้ อยเู่ หนอื กาย เหนือจติ เหนือเวทนา อยเู่ หนอื ธรรมชาติ ทีจ่ ริงกเ็ ปน็ ธรรมชาตินั่น แหละ ภาษาธรรมะเรยี ก โลกุตรธรรม อยู่เหนือโลก เหนอื จกั รวาล ทุกๆ จกั รวาล เหน็ ไหมจิตมันขนาดไหน ที่เราศกึ ษากันน้ี มนั ตอ้ งพสิ ูจนว์ า่ ทเี่ ราภาวนาอยูน่ ี้ มันดับได้ไหม ทว่ี า่ ไมใ่ ชก่ ู อะไรไมใ่ ชก่ ู กายมนั ไมใ่ ชก่ ู ทำ� ไมไมใ่ ชก่ ู กท็ นี่ ง่ั อยนู่ ม้ี นั กอู ยนู่ ี่ แลว้ กมู นั เปลยี่ นไหมละ่ ดไู ป พสิ จู นไ์ ปสิ กเู ปลย่ี นหรอื ไมเ่ ปลยี่ น พสิ จู น์ อยา่ งไร ไปดคู นตายเปน็ ยงั ไง ดคู นแกเ่ ปน็ ยงั ไง เนอ้ื เหย่ี ว หนงั ยน่ ดคู น เจบ็ เปน็ ยงั ไง ดไู ป เอามาพสิ จู นม์ าทาบเขา้ กบั ตวั ทอ่ี ยใู่ นหอ้ งแลบ็ นแ้ี หละ ร่างกายนมี้ ันกเ็ ปลย่ี น นเี่ รียกว่าเราพิสูจนเ์ ร่อื งอนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา ถ้าเราไม่พิสูจน์ มันก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างน้ันแหละ เกิดมาก็ กู เปน็ หนมุ่ สาวกก็ ู แก่ก็กู เจ็บก็กู ตายก็กู ทกุ ขก์ ก็ ู สขุ กก็ ู กทู ้งั น้นั เลย ไมเ่ คยพิสจู น์เลย ทีนี้ถา้ เราเกดิ มาพบพระพทุ ธศาสนาแล้ว พทุ ธศาสนา ชที้ างใหเ้ ราปฏบิ ตั แิ ลว้ เกดิ สตปิ ญั ญาขนึ้ มา เรากพ็ สิ จู นเ์ อา แกม่ นั อยา่ งนี้ หนมุ่ สาวมนั อยา่ งนี้ ความแกก่ ม็ าจากความหนมุ่ สาว ความหนมุ่ สาวกม็ า จากความเปน็ เดก็ ทุกอย่างมนั อยทู่ ี่ความรสู้ กึ วา่ กูทงั้ นัน้ พอมันเกดิ ขนึ้ มา กช็ าติปิทกุ ขาแลว้ ละเอียดถึงขนาดน้นั ไมใ่ ช่เกดิ มาครั้งหน่งึ ๗๐ ปี ๑๐๐ ปีอย่างนน้ั ขอให้สลัดทิง้ ไปเลย พอกทู หี น่ึง มันทกุ ขท์ ีหน่งึ เห็นใน 81
หลวงพอ่ เอีย้ น วโิ นทโก ปัจจบุ ันเลย ไมต่ อ้ งไปเห็นในชาตหิ นา้ หรือถ้าเห็นในชาติหนา้ กใ็ ห้ชาติ หนา้ มนั ใกล้ๆ หน่อย นีค่ ือชาติปทิ ุกขา พอไปชะราปิทกุ ขากไ็ ม่ไหวแล้ว กูมันแก่ เดนิ ขึน้ มาบนเขานก้ี ไ็ ม่ ไหวแล้ว เวลาเราเดินขึ้นมาก็ทดสอบว่าเราแก่รึยัง ถ้ากูยังหนุ่มก็วิ่งขึ้น มาเลยสิ บางคนเห็นแล้วก็รู้สึกขึ้นไม่ไหว เพราะรู้สึกว่ากูแก่ ไปยึดถือ ในความแก่ ถ้าเปน็ คนที่ใจถงึ เปน็ นักปฏบิ ัตธิ รรม ก็วา่ กูไมแ่ ก่ พยายาม ขึน้ จนถงึ เพราะจะมาคุย มาฟังธรรมะ เขาสลดั ทงิ้ กไู วท้ เ่ี ชิงเขาแลว้ เขา ไม่ไดห้ า้ มว่าถา้ เหน่อื ยแล้วพกั ไม่ได้ ถ้าเดินมาแล้วเหนอ่ื ยกพ็ กั ซะ หรอื คุณจะหายใจในปี่ เดินพลาง พักพลาง ไม่น่ังก็ได้ เดินมาช้าๆ สบายๆ อย่าเดินมากับกู ถ้าเดินมากับกูมันเหนื่อย ถ้าเดินมากับไม่ใช่กู มันไม่ เหนื่อย พกั มาในตวั ได้ “กู” นี่แหละส�ำคัญจริงๆ เพราะเป็นตัวอวิชชา ชาติปทิ กุ ขา กเู กิด แลว้ พอกเู กดิ แลว้ กท็ กุ ขแ์ ลว้ ชะราปทิ กุ ขา กแู กแ่ ลว้ กผู มหงอกขน้ึ แลว้ กูแย่แล้ว พูดแลว้ วา่ นกั ร้องท่เี ขาไปท�ำหนา้ ทำ� ตา ท�ำจมกู ท�ำคอ ทกุ สิ่ง ทุกอยา่ งเปน็ รอ้ ยคร้งั พอรอ้ งเพลงแลว้ ไปกอดหนุม่ ๆ เหน็ แขนตวั เองก็ ว่ามันเห่ียวย่น ทนไม่ได้ ก็เลยไปผ่าตัดแขนอีก เพราะมันแขนกู มันกู ทง้ั นั้นเลย พอเข้าไปยดึ ถอื มันกเ็ ป็นทุกข์ เขา้ ไปยึดถือตา มันกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ไปยึดถอื น้ิว มนั ก็เปน็ ทกุ ข์ ฯลฯ ชาติปทิ กุ ขาทงั้ นน้ั แหละ พอเกดิ ชราขน้ึ มา ก็ชะราปิทุกขาอีก กูอีก เราก็ดูสิ หมาแมวมนั ก็ 82
ดบั ว่าง สงบ เยน็ แก่เหมอื นกนั ท�ำไมมนั ไม่เปน็ ทกุ ข์เลา่ หมามสี ามขา ขาหน่งึ งอ่ ยเดนิ ไม่ ได้ มันกล็ ากขาไป มนั ไม่เหน็ ชาตปิ ิทุกขาเลย แตเ่ ราท�ำไมชาตปิ ทิ กุ ขาทง้ั ที่มแี ขนมขี าดีๆ หมา ๓ ขามนั ไม่ชาตปิ ิทกุ ขาเลย มนั ๓ ขาก็ลากไปๆ ไม่ ไดภ้ าวนาวา่ กู วา่ ไมใ่ ชก่ เู ลย เพราะมนั เปน็ สญั ชาตญาณของสตั ว์ มนั เปน็ อยา่ งนน้ั แตเ่ ราดแู ลว้ กว็ า่ นา่ อายมนั เหลอื เกนิ ฉะนนั้ สลดั ทง้ิ ชาตปิ ทิ กุ ขา ออกไปเสีย แล้วชะราปิทุกขาก็ไม่ใช่กูสิ ความแก่มันเป็นเพราะอวัยวะ ทุกอย่างมันเสอื่ มไป พอเหน็ มันเสอ่ื มไปก็ไมใ่ ช่กู ไมใ่ ช่กไู ปเรอ่ื ยๆ แลว้ มนั จะมาเกง่ กวา่ เราไดย้ งั ไง เพราะเราพสิ จู นแ์ ลว้ วา่ มนั ไมใ่ ชก่ ู ชะราปทิ กุ ขา มันดับวา่ ง มันกไ็ ม่ใช่กู มะระณัมปทิ กุ ขัง โนน่ กทู �ำไว้ให้มึงแล้ว หบี ศพ ท�ำไว้เรียบร้อย แล้ว ถ้ามึงจะตายก็ไปนอนตายท่ีตรงน้ัน ทีน้ีเรายังไม่ตาย ยังเป็นอยู่ พอคิดถึงความตาย มนั เป็นทกุ ข์ขึ้นมาทกุ ที ไปทกุ ขม์ ันทำ� ไม ตายกต็ าย มันก็ต้องตายสักวันอยู่แล้ว แต่ว่าชีวิตน้ีต้องให้คุ้ม เกิดมาแล้วเป็นคน ตอ้ งยกระดบั จิตใหเ้ ปน็ มนษุ ย์แลว้ มาปฏบิ ตั ิธรรม ต้องใชใ้ ห้คุม้ ตวั เอง ใช้คุ้มแล้ว ก็ต้องช่วยเหลือผู้อื่นอีกให้มันคุ้มกัน มะระณัมปิทุกขัง ไมต่ ายเปล่าแลว้ คนนนั้ ถา้ คดิ ถึงความตายแล้วเปน็ ทุกข์ วนั หนง่ึ ถ้าคิด ๑๐๐ ครัง้ กท็ ุกข์ ท้ัง ๑๐๐ ครง้ั เหรอ คดิ ถึงความตายแบบตายก็คือตาย ไม่เปน็ ไร ไม่ใช่ ตายของกู คือในตาย ในแก่ ในเจ็บนั่นแหละมันมีเกิด มันซ่อนเอาไว้ 83
หลวงพอ่ เอยี้ น วโิ นทโก คือ เกิดความรูส้ ึก เปน็ ชาตปิ ทิ ุกขา ความรูส้ กึ ว่ากูเกิดข้ึน พอความรสู้ กึ ว่ากูเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ พอความรู้สึกว่าแก่ ว่าหนุ่ม ว่าสาว ก็ความรู้สึก ตัวเดียวกันน่ันแหละ พอไปรู้สึกในความแก่ ก็เป็นกูแก่ รู้สึกในเจ็บ ก็ เป็นกูเจ็บ มันซ่อนอยู่ท้ังน้ัน ต้องตีความรู้สึกนี้ให้แตกสลายไปเลยว่า ความรสู้ กึ นไ้ี มใ่ ชก่ ู ความรสู้ กึ นไี้ มใ่ ชก่ ู หนมุ่ สาวกด็ ี เดก็ กด็ ี เจบ็ กด็ ี เสอื่ ม ไปก็ดี ไม่ใชก่ ู พอไมใ่ ชก่ ู ชาตปิ ิทุกขามนั กเ็ กิดไมไ่ ด้ ชาตปิ ิทุกขามนั ไป ซอ่ นตวั อยู่ทัง้ นั้นเลย พอซ่อนตัวแล้ว กค็ อ่ ยๆ ไปเกิดความยดึ ถอื ไปมี อปุ าทานในนน้ั คือ ความยึดม่นั ถือม่ัน นค่ี ือท้งั หมด ถา้ เราปฏบิ ัตไิ ด้ท่ตี รงน้ี มนั กไ็ ดท้ งั้ หมด ไมต่ ้องเป็น ทกุ ข์ มนั ขนึ้ อยกู่ บั เราวา่ จะจบั เขา้ ทตี่ รงไหน มนั ขน้ึ อยกู่ บั เรา ตรงไหนกไ็ ด้ ท่พี ูดมาในอริยมรรคมอี งค์แปด น่แี คส่ ัมมาสติ ตอ่ ไปสมั มาสมาธิ กค็ อื สมาธนิ น่ั แหละ เรอ่ื งอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด ยงั ไม่จบ ต้องเคลยี รก์ ันอยู่อย่างนี้ เรื่องนส้ี �ำคัญ เร่อื งอรยิ สจั ส่กี ส็ �ำคญั เร่ืองปฏิจจสมุปบาทคือวงจรแห่งความทุกข์และความดับทุกข์ก็ส�ำคัญ ส�ำคัญทั้งน้ัน แต่ละเร่ืองมันโยงใยกัน เราจะแยกมันออกจากกันไม่ได้ เราปฏิบัติเรอื่ งหนึง่ ก็เทา่ กับเรอ่ื งทัง้ หมด เราปฏบิ ตั สิ มั มาทฏิ ฐิ คือ เหน็ อริยสัจส่ี เห็นขันธ์ห้า เห็นปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่เข้าไปยึดม่ันถือมั่น ก็ เท่ากับเห็นทั้งหมดในทุกเร่ือง ถ้าเราปฏิบัติไม่เห็นสัมมาทิฏฐิ มันก็ไม่ เห็นทง้ั หมด กเ็ ลยตอ้ งจาระไนกนั อยา่ งน้ี 84
ดับ ว่าง สงบ เย็น ตอนนเี้ วลากส็ วา่ งพอสมควรแลว้ ขอความสขุ ความเจรญิ ในธรรม จงมแี กญ่ าตโิ ยมทัง้ หลายทุกๆ ทา่ น เทอญ 85
อริยสัจ-กับ ปฏิจจสมปุ บาท เจริญพรญาตโิ ยมทุกทา่ น การฟงั ธรรมในคนื น้ี จะกลา่ วในเร่อื งอรยิ สัจสี่ พร้อมกับปฏิจจ- สมุปบาทท่ีเราสวดกันเมื่อครู่ เมื่อก่อนตอนที่หลวงพ่ออยู่สวนโมกข์ พระเดชพระคณุ ทา่ นพทุ ธทาสจะบรรยายในวนั เสารเ์ รอื่ งปฏจิ จสมปุ บาท น่ีแหละ มีพระ ๕ รูปรวมทั้งอาตมาจะต้องมาน่ังที่หน้าธรรมาสน์ และ สวดปฏิจจสมุปบาทก่อนที่ทา่ นจะบรรยายธรรม แตถ่ งึ สวด ถ้าเราไมจ่ ำ� ไม่เข้าใจ หรอื ไม่ปฏบิ ตั ิ เรากไ็ ม่สามารถจะร้ไู ด้ เรื่องน้ีเป็นเรื่องท่ีลึกซ้ึง อาตมารู้สึกจะใช้เวลามา ๓ ปีแล้วใน การบรรยายเร่ืองน้ี และฝักใฝ่สนใจทบทวนจนท�ำให้เกิดนิมิตขึ้นมา ว่า อาตมาขึ้นมานั่งบนเตียง ข้างหลังมีไม้ขึ้นเป็นเสา ๒ เสา มีไม้พาด ตรงกลางเหมือนราวตากผ้า แต่ไม่มีการตากผ้า มีเน้ือช้าง ๑๒ ร้ิวยาว ประมาณ ๑ วาพาดบนไม้น้ัน คงท�ำสุกแล้ว ทีน้ีอาตมาก็เดินมาคุกเข่า
หลวงพอ่ เอีย้ น วโิ นทโก ที่เตียง เตียงน้ีหันไปทางทิศตะวันออก แต่เสานั่นอยู่ทางทิศตะวันตก ท่ีมีเน้ือช้างอยู่ ๑๒ ร้ิวนั่นแหละ อาตมาก็ข้ึนมาท่ีเตียง แล้วก็คลาน ในใจคดิ วา่ เรากำ� ลงั เขา้ หาพระพทุ ธเจา้ แลว้ เนอ้ื ชา้ งนไี้ มใ่ ชช่ า้ งในปา่ เปน็ เนอ้ื ของพระพุทธเจ้า เพราะมใี นสมยั หนึ่งพระพทุ ธเจา้ เกดิ เป็นพญาช้าง ตัวประเสริฐ เมื่ออาตมาขึ้นมาที่เตียง แล้วก็คลานมา ทางซ้ายมือก็มี เดก็ คนหนึ่งประมาณ ๕-๖ ขวบ เขากจ็ ับเน้ือช้างทย่ี ังแขวนนั้นประเคน อาตมา หลวงพ่อก็เข้ามาจนเกือบชิด แล้วก็ฉันเนื้อช้างนั้น ฉันไม่ก่ีค�ำ ไม่ไดร้ ู้สึกวา่ อรอ่ ยหรอื ไมอ่ ร่อย แต่มีความรู้สกึ วา่ เน้อื ชา้ งนเ้ี ป็นเนื้อของ พระพทุ ธเจา้ พอเสรจ็ แลว้ ถอยหลงั ลงจากเตยี งยงั หนั ไปทางทศิ ตะวนั ตก ทีนี้ทางซ้ายมือเป็นมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดีย น้�ำสีคราม อาตมา ก็ลงไปในมหาสมุทร น�้ำก็แค่คร่ึงแข้ง ลงไป ลงไป น้�ำแค่ครึ่งแข้งเอง แลว้ ทพี่ ้นื กเ็ ปน็ ทรายนมิ่ ๆ เดนิ ไปมีแหลมยน่ื เปน็ ทราย เดินลงไปๆ มัน ก็ลึกเท่ากัน กเ็ ดนิ อ้อมไป แลว้ ไปขึ้นทีแ่ หลม พอข้นึ ไปแลว้ กเ็ ดนิ เขา้ มา หาฝั่ง ที่ฝัง่ น้ันกม็ ีบา้ น เปน็ หมบู่ ้าน แตบ่ า้ นนัน่ ว่างหมดเลย ไม่มใี ครอยู่ เลย เอะ๊ ! ชอบกล บา้ นทกุ หลงั ไมว่ า่ ประตู หนา้ ตา่ ง ฝาผนงั ทาสขี าวหมด ทีน้ีฝันเอง นิมิตเอง ก็ต้องแก้เอง การที่ไปฉันเน้ือช้างก็คือเร่ือง ปฏิจจสมุปบาท เร่ืองปฏิจจสมุปบาทน้ีลึกซ้ึง เหมือนท่ีพระพุทธโฆษา- จารยใ์ นประเทศลงั กาทา่ นกลา่ วไวว้ า่ เรอื่ งปฏจิ จสมปุ บาทเปน็ เรอื่ งทลี่ กึ ซึ้งเหมือนกับมหาสมุทร ไม่สามารถจะหยั่งลงไปได้ แต่ถึงอย่างไร จะ 88
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158