Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Lpeain.DapWang

Lpeain.DapWang

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-12 07:09:00

Description: Lpeain.DapWang

Search

Read the Text Version

ดบั วา่ ง สงบ เยน็



ดบั วา่ ง สงบ เยน็ ...... เพราะปฏิบัตติ ามอริยมรรค พระครูวินยั ธร หลวงพ่อเอ้ียน วิโนทโก บรรยายธรรม ๑๒-๑๕ เมษายน ๒๕๕๔ ณ สำ�นักวิปสั สนาวังสนั ตบิ รรพต (วัดวงั เนยี ง) อำ�เภอเมือง จงั หวดั พทั ลงุ



คำ�น�ำ หลวงพอ่ เอยี้ น ชอ่ื ของทา่ นอาจจะมคี นไมม่ ากนกั ทเี่ คยไดย้ นิ หรอื เคยรู้จักนอกจากลูกศิษย์ใกล้ชิดหรือปฏิบัติอยู่กับท่าน หนังสือเล่มนี้ เป็นการถอดคำ�บรรยายของหลวงพ่อเอ้ียนในโอกาสที่ท่านบรรยายใน ช่วงวันสงกรานต์ปี ๒๕๕๔ ณ สำ�นักวิปัสสนาวังสันติบรรพต จังหวัด พัทลงุ โดยคุณวรชั ญา ศรมี าจนั ทร์ และลกู ศิษยห์ ลวงพ่ออีกหลายคน ท่ีเห็นคุณค่าของธรรมะได้ช่วยกันถอดคำ�บรรยายจนทำ�ให้เกิดหนังสือ เล่มนข้ี ้นึ มา ตอ้ งขออนุโมทนา คำ�สอนของหลวงพ่อเอ้ียนซึ่งโดดเด่นมากสำ�หรับทุกคนที่ไปหา หรือได้ศึกษาปฏิบัติกับท่าน จะได้ยินคำ�ท่ีท่านให้ภาวนาว่า “ไม่ใช่กู” นั่นอาจทำ�ให้ผู้เข้าไปพบท่านหรือฟังบรรยายจากท่านออกอาการงง เพราะไมเ่ ขา้ ใจ แลว้ ท�ำ ไมตอ้ งภาวนาอยา่ งนี้ หลายทา่ นคงเคยไดย้ นิ ค�ำ วา่ “ตัวกู-ของกู” มาอย่างคุ้นเคยเพราะท่านอาจารย์พุทธทาสได้พูดเอาไว้

หลวงพอ่ เอี้ยน  วิโนทโก บ่อยมาก แต่คำ�ว่า “ไมใ่ ช่ก”ู นีม้ าได้ยินก็จากหลวงพ่อเอ้ียน ซงึ่ ท่านเอง ก็เป็นศษิ ย์ของทา่ นอาจารย์พทุ ธทาส คนที่จะเข้าใจคำ�น้ีได้คงต้องปฏิบัติธรรมมาพอสมควรทีเดียว เพราะหากเราเคยได้ศึกษาเร่ืองอริยสัจ ๔ มาบ้าง ในส่วนของทุกข อริยสัจนั้น พระพุทธองค์ได้แจกแจงเร่ืองของทุกข์เอาไว้อย่างมากมาย ดงั ตัวอยา่ งน้ี “ความทกุ ข์ สภาพทีท่ นไดย้ าก สภาวะท่ีบบี คัน้ ขดั แยง้ บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความเทย่ี งแท้ ไมใ่ หค้ วามพงึ พอใจจรงิ ไดแ้ ก่ ชาติ ชรา มรณะ การประสบกบั สง่ิ อนั ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั การพลดั พรากจากสง่ิ ทเี่ ปน็ ทรี่ กั ความปรารถนาไมส่ มหวงั วา่ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เปน็ ทกุ ข”์ แต่สุดท้ายจะเห็นค�ำ วา่ “วา่ โดยยอ่ อปุ าทานขันธ์ ๕ เปน็ ทกุ ข”์ เม่ือศึกษาและปฏิบัติไป จะพบความจริงทั้งหมดของทุกข์ที่เกิดขึ้นใน สัตว์โลก เกิดขึ้นจากมูลเหตุเดียวที่เป็นจุดเร่ิมต้นของทุกข์ทั้งมวลอยู่ ตรงน้ีเทา่ นั้นเองคือ การยึดขันธ์ ๕ มาเปน็ ของเรา มันยึดขนั ธ์ ๕ มาเปน็ ของเราได้อย่างไร ก็เพราะจิตโง่ซ่ึงมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นเคร่ืองอยู่ เป็นอาหาร เร่ิมก่อร่างสร้างความยึดถือตัวจิตเองมาเป็นตัวตนน่ันเอง มาอย่างยาวนาน จึงเกิดการยึดขันธ์ ดังน้ัน สิ่งท่ีขันธ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วย ไม่วา่ คน สัตว์ สิง่ ของ จึงถูกยดึ ขน้ึ มาดว้ ยความหลงผิด สิง่ ต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว จึงเกิดมี เกิดเป็นตัวเป็นตนข้ึนมา (6)

ดบั วา่ ง สงบ เย็น ในใจของคนๆ นั้น น่ันเพราะมีมูลเหตุจากการมีจิตโง่เป็นจุดเร่ิมต้น น่ันเอง หากใครก็ตามละวางอุปาทานขนั ธ์ ๕ ลงได้ ทุกข์ทั้งหมดจะไม่มี ท่ีตัง้ ทุกขน์ ่ันจะดับลง ดังนั้น การท่ีหลวงพ่อเอ้ียนให้ภาวนาว่า “ไม่ใช่กู” จึงเป็นคำ�ที่ มีจุดมุ่งหมายให้จิตเกิดปัญญาข้ึนมาเพื่อให้เห็นความจริง แน่นอนใน เบ้ืองต้นแม้จะยังไม่เห็นส่ิงน้ีเพราะอาจจะเข้ามาปฏิบัติใหม่ แต่คำ� บริกรรมทง้ั หลายไม่วา่ จะเปน็ คำ�ใด อาทิเชน่ พทุ โธ สัมมาอรหงั เปน็ ตน้ มสี ว่ นท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ สมาธจิ ากการภาวนาทอ่ งบน่ ทงั้ สน้ิ แตห่ ลวงพอ่ เอยี้ น ให้แง่คิดว่า “ไม่ใช่กู” น้ีสามารถเป็นได้ท้ังสมถะให้เกิดเป็นสมาธิ และ เป็นปัญญาช้ีช่องให้จิตเม่ือเกิดความต้ังม่ันเป็นสัมมาสมาธิขึ้น ให้จิต ไดพ้ บความจรงิ ทเ่ี ปน็ อนัตตา รูแ้ จ้งขึ้นเป็นขณะ จนถงึ ขัน้ สญุ ญตา เมือ่ เกิดการปล่อยวาง การจะภาวนาคำ�วา่ “ไม่ใชก่ ู” ใหเ้ กิดผลอยา่ งแท้จรงิ ผปู้ ฏิบตั ติ ้องเหน็ ความเปน็ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตาในสรรพสง่ิ ควบคมู่ า ด้วยจากการปฏบิ ัติดว้ ยตนเอง เม่ือเกิดการปล่อยวาง ในอีกมุมมองหน่ึงนั่นก็คือ การ “ดับ” หรือนิโรธจะเกิดขึ้นด้วย เม่ือสภาพดับเกิดมากข้ึน ความรู้สึกท่ีเกิดข้ึน กับผู้ปฏิบัติเองจะรู้สึก “ว่าง” ในความเป็นจริง “ว่าง” ในภายใน และ เห็นสภาพว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนในสรรพสิ่ง ซ่ึงนั่น ก็เป็นผลมาจากดับยาวข้ึน และวางความยึดถือในความเป็นตัวตนใน (7)

หลวงพ่อเอย้ี น  วโิ นทโก สรรพสง่ิ เพราะการวางขนั ธ์ ๕ ไดม้ ากขน้ึ นานขน้ึ นน่ั เอง เมอ่ื ขนั ธท์ งั้ หลาย ถกู สลายออกไปจนไมส่ ามารถเขา้ มากอ่ รวมกนั ใหเ้ กดิ เปน็ สภาพมอี ตั ตา ตวั ตนไดอ้ ีก จติ โง่จะเริม่ เห็นความจริง วางตัวตนลงไดอ้ กี จนเกิดความ “สงบ” ขน้ึ ในจติ ใจเปน็ เวลายาวนาน จนกระทง่ั จติ เกดิ เปน็ สมั มาญาณวา่ ไมม่ ใี ครทไ่ี หนเลย ทกุ อยา่ งลว้ นเปน็ ธรรมชาติ เกดิ อรหตั มรรคเขา้ ช�ำ ระ จิต ท�ำ ลายอวิชชา เกดิ เป็นวชิ ชาขนึ้ มา จึงเกิดเปน็ สัมมาวิมตุ ติ หลดุ พ้น จากความหลงผิดอีก เกิดความ “เย็น” ข้ึนในจิตอย่างไม่หวนกลับอีก เกดิ จกั ขุง อุทะปาทิ จักษเุ กิดขึ้นแลว้ แกเ่ รา ญาณงั อทุ ะปาทิ ญาณเกดิ ขน้ึ แล้วแกเ่ รา ปญั ญาอุทะปาทิ ปัญญาเกิดขน้ึ แล้วแกเ่ รา วชิ ชาอทุ ะปาทิ วิชชาเกิดข้ึนแล้วแก่เรา อาโลโกอุทะปาทิ แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา น้จี ึงเปน็ การร้แู จง้ ท่ีเปน็ วชิ ชาอยา่ งแท้จรงิ ดังน้ัน หนังสือเล่มนี้ซ่ึงเป็นคำ�บรรยายจากหลวงพ่อเอ้ียน คงจะเป็นเครื่องนำ�ทางให้ผู้ท่ีสนใจใฝ่ธรรมได้รับทั้งปริยัติ ปฏิบัติและ ปฏิเวธจากพระอริยสงฆ์เจ้าผู้ท่ีสามารถปฏิบัติจนเข้าถึงพระธรรม และ ยังนำ�พระธรรมในส่วนคำ�สอนท่ีเป็นเส้นทางเดินของมรรคมีองค์ ๘ มาประกอบ ทำ�ให้เข้าใจและเดินทางอย่างมั่นใจด้วยการเจริญมรรค จนถงึ ทส่ี ดุ แห่งทกุ ข์ได้อยา่ งหมดขอ้ ลงั เลสงสยั สำ�หรับผมเองก็ถือว่าได้รับเกียรติอย่างมากจากหลวงพ่อเอ้ียน ท่ีให้โอกาสเป็นผู้เขียนคำ�นำ� น่ีจึงถือเป็นการได้ตอบแทนบุญคุณของ (8)

ดับ ว่าง สงบ เย็น ครูบาอาจารย์ผู้ช้ีทางอันประเสริฐตามคำ�พระบรมศาสดา และความ ภมู ใิ จสว่ นตัวอีกอย่างหนง่ึ ทห่ี ลวงพ่อเอีย้ นมใี ห้กค็ อื ทกุ ๆ ทที่ มี่ ีโอกาส ไปบรรยายกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อกล่าวแนะนำ�ให้ผู้คนได้รู้จักแล้ว ทา่ นจะตอ่ ด้วยค�ำ วา่ “คนน้ลี ะ่ มอื ขวาของหลวงพ่อ” … ขอน้อมรับด้วย ความเคารพย่งิ ค�ำ นำ�โดย : ประเสรฐิ อทุ ยั เฉลิม (9)



สารบัญ หน้า ๑ อรยิ มรรคมีองค์แปด ๒๕ สงกรานตว์ นั ว่าง ๔๑ มรรคแปดสกู่ ารปฏบิ ัติ ๖๓ อรยิ มรรคในแงม่ มุ ตา่ งๆ อริยสัจส่ีในปฏจิ จสมปุ บาท ๘๗ โอวาทปดิ ของหลวงพอ่ เอีย้ น ๑๒๕ บทส่งท้าย ๑๓๗



อรยิ มรรคมีองค์ ๘ เจริญพรญาติโยมที่มาจากสุราษฎร์ธานี ญาติโยมท่ีมาจาก กรุงเทพ อุตส่าห์เสียค่าเคร่ืองเป็นราคาแพง ฉะนั้น เม่ือมาฟังแล้ว ต้องปฏิบัติให้หลุดค่าเครื่อง วันนี้ตั้งใจว่าจะพูดเร่ืองต่างๆ ที่มันเก่ืยว โยงกัน บางเร่ืองเราก็ยังไม่เข้าใจ หรือว่าเรามองข้ามไป เช่นเร่ืองของ อริยมรรคมีองค์แปด เรามักจะมองเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ส�ำคัญ ตามที่จริง เรอื่ งนีเ้ ป็นเร่อื งส�ำคญั ท่ีสดุ ในพระพทุ ธศาสนาของเรา มีพระรูปหน่ึงไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ต่อไปเม่ือพระองค์ ปรินิพพานไปแล้ว พระอรหันต์จะยังมีอีกหรือไม่ พระองค์เลยตรัสว่า ในศาสนาไหนกต็ าม ถา้ ยงั มอี รยิ มรรคมีองค์แปด คอื สมั มาทฏิ ฐิ สัมมา สงั กปั โป สมั มาวาจา สมั มากมั มันโต สมั มาอาชโี ว สมั มาสติ สมั มาสมาธิ คอื ยงั มอี รยิ มรรคมอี งคแ์ ปด และมผี ปู้ ฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบตามอรยิ มรรค มีองค์แปดนั้น สมณะที่หน่ึงก็จะมี สมณะท่ีสอง สมณะที่สาม สมณะ

หลวงพอ่ เอ้ยี น  วิโนทโก ท่ีส่ีก็จะมีโดยไม่ขาดสูญไป สมณะที่หนึ่งก็คือพระโสดาบัน สมณะท่ี สองก็คือพระสกิทาคามี สมณะทส่ี ามก็คอื พระอนาคามี สมณะทส่ี ่ีก็คอื พระอรหันต์ ฉะนั้นพระองค์เลยตรัสว่าเมื่อยังมีอริมรรคมีองค์แปด ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ในศาสนาน้ีก็จะไม่ขาดจากพระอรหันต์ ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องมีความหนักแน่นในการปฏิบัติตามอริยมรรค มีองคแ์ ปด อริยมรรคมอี งคแ์ ปดคืออะไร อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด ขอ้ หนงึ่ คอื สมั มาทฏิ ฐิ เปน็ ตวั ทสี่ ำ� คญั อยา่ ง ย่ิง สัมมาทฏิ ฐิ คือ ความเห็นอันถูกต้อง - เหน็ ประการทหี่ นง่ึ คอื เหน็ อรยิ สจั สี่ อรยิ สจั สกี่ ค็ อื ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค เด๋ยี วคอ่ ยแจงกันทหี ลงั - เห็นต่อมาคือ เห็นขันธ์ห้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ขันธ์ห้าที่อยู่กลางๆ ตัวที่ส่ีของ ปฏิจจสมปุ บาท - เหน็ ประการที่สามกค็ อื เหน็ ปฏิจจสมปุ บาท ปฏจิ จสมุปบาท เราจะต้องอา่ น จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ แล้วกต็ อ้ งฟงั ใหเ้ ข้าใจ ปฏิจจสมุปบาทแปลว่า เม่ือสิ่งน้ีมี-สิ่งน้ีจึงมี เม่ือสิ่งน้ีเกิดข้ึน- สงิ่ นจ้ี งึ เกดิ ขน้ึ เมอื่ สงิ่ นไี้ มม่ -ี สงิ่ นจี้ งึ ไมม่ ี เมอ่ื สง่ิ นด้ี บั -สงิ่ นจ้ี งึ ดบั ทว่ี า่ เมอ่ื 2

ดบั ว่าง สงบ เยน็ ส่ิงน้ีมี-สิ่งนี้จึงมี เม่ืออวิชชามี อวิชชาก็คือ ตัวกูน่ันแหละ เมื่อตัวกู มี อวิชชาเกิดแล้วในตอนนั้น เมื่ออวิชชามี คือจิตโง่ อวิชชาคือจิตโง่ เพราะฉะนนั้ หลวงพอ่ จงึ บอกบอ่ ยๆ ว่า ให้ภาวนาวา่ ไม่ใชก่ ู ไอ้ไม่ใชก่ นู ่ี มนั วา่ ง วา่ งจากกู คอื วา่ งจากตวั กู ทนี เ้ี มอ่ื เราภาวนาวา่ ไมใ่ ชก่ ู เดนิ ไมใ่ ชก่ ู นอนไม่ใช่กู น่ังไม่ใช่กู อาบไม่ใช่กู ถ่ายไม่ใช่กู คิดไม่ใช่กู ท�ำไม่ใช่กู พูดไม่ใช่กู ทุกอย่างไม่ใช่กู ถ้าไม่ใช่กู อวิชชาตัวน้ัน ตัวโง่นั้นก็จะดับ ดับเพราะอะไร ดบั เพราะว่าเราปฏบิ ัติตามอริยมรรคมีองค์แปด เม่ือเราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด คือสัมมาทิฏฐิ จนถึง สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาสังกัปโป ความด�ำริอัน ถูกต้อง ด�ำริในการออกจากกาม ด�ำริในการไม่มุ่งร้าย ด�ำริในการไม่ เบยี ดเบยี น นคี่ อื ปัญญา สองข้อนีเ้ ปน็ ปญั ญาอย่างยิ่ง ทนี ีก้ ารเหน็ ขอ้ ที่ หน่ึงสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นอันถูกต้อง ความเห็นนี้เป็นญาณมากกว่า คอื เห็นด้วยญาณ เห็นดว้ ยปัญญา ตอ่ มาคอื สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ อนั นนั้ เปน็ ศลี แล้วก็สมั มาวายามะ ความพากเพียรอนั ถูกตอ้ ง - หนง่ึ เพียรในการระวงั ระวังอะไร ระวงั ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ไม่ให้เขา้ ไปยนิ ดี ไม่ให้เขา้ ไปยนิ ร้าย แตว่ ่ามันเผลอ พอเผลอ มันก็เกิดยินดีขึ้นมาบ้าง เกิดยินร้ายขึ้นมาบ้าง ก็ต้องเพียร เพยี รในการละ 3

หลวงพอ่ เอีย้ น  วิโนทโก - สอง เพียรในการละ ละส่ิงที่เราเผลอนนั่ ไลม่ นั ออกไป - สาม เพียรในการสรา้ ง สรา้ งอะไร สรา้ งกศุ ล อะไรมันคอื กศุ ล กุศลก็คือไม่ใช่กู นั่นน่ะมันเป็นกุศล มันเป็นปัญญา ไม่ใช่กู ไมใ่ ช่กู ไมใ่ ชก่ ู สรา้ งกศุ ล - ส่ี เพียรในการรักษา ในการเดินก็สรา้ ง ในการนัง่ ก็สรา้ ง ในการนอนกส็ รา้ ง ท�ำอะไรก็ สรา้ ง ไมใ่ ชก่ ูอย่เู รือ่ ย นน่ั นะ่ คอื วา่ ง วา่ งจากตัวกู หรือวา่ เราจะว่า “ว่าง” ก็ได้ ว่าง ว่าง ว่าง ก็คือว่างจากอวิชชานั่นแหละ ว่างจากอวิชชาก็คือ วา่ งจากตวั กู วา่ งจากตัวกูก็คอื ว่างจากจติ โง่ นี่เราก็ว่าง วา่ ว่าง ว่าง ฉะนนั้ สมั มาวายามะคอื มคี วามเพยี รในการระวงั มคี วามเพยี รใน การละ มคี วามเพยี รในการสรา้ ง มคี วามเพยี รในการรกั ษา สง่ิ ทเ่ี ราสรา้ ง ข้ึนมา คือจิตตัวน้นั จติ ที่ว่างจากตวั กู เพยี รในการรกั ษาไว้ ทนี ต้ี อ่ ไป สมั มาสติ มสี ตเิ หน็ กายในกาย วา่ กายนไ้ี มใ่ ชส่ ตั ว์ บคุ คล ตัวตน เรา เขา ไมเ่ ข้าไปยินดี ไม่เขา้ ไปยินร้าย ไม่ให้เกดิ อภชิ ฌาโทมนสั อภชิ ฌาคอื การเขา้ ไปพอใจ โทมนสั คอื ความไมพ่ อใจ ละความพอใจและ ความไม่พอใจในโลกออกเสยี ได้ ก็คือละ - ข้อท่หี นง่ึ เร่อื งของกาย กล็ ะความพอใจและความไมพ่ อใจ - ขอ้ ท่ีสอง เรื่องของเวทนา ก็ละความพอใจและความไมพ่ อใจ - ข้อทสี่ าม เรื่องของจิต กล็ ะความพอใจความไมพ่ อใจ 4

ดับ วา่ ง สงบ เย็น - ขอ้ ทส่ี ี่ ธรรม ละความพอใจและความไมพ่ อใจในโลกออกเสยี ได้ เปน็ สง่ิ ทเี่ ราตอ้ งละ ฉะน้ัน การทเ่ี ราเห็น เราเห็นท�ำไม เหน็ เพ่อื ท่จี ะละ มสี ติเห็นกาย ในกายวา่ กายนไี้ มใ่ ชส่ ตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา ถา้ เราเหน็ วา่ ไมใ่ ช่ แลว้ ไป เอามาเปน็ ของกทู ำ� ไม ละมนั ไปเสยี มสี ตเิ หน็ เวทนาในเวทนาวา่ เวทนาน้ี ไมใ่ ช่สตั ว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เขาตอ้ งการใหเ้ ราละ ฉะน้นั เราต้องละ เวทนา จิตนไ้ี ม่ใชก่ ู ทใ่ี หภ้ าวนาวา่ จิตไมใ่ ช่กๆู ๆ กเ็ หลือสามตวั ว่า ไม-่ ใช-่ กู แตถ่ า้ ให้เต็มๆ ตามบรรทดั ก็ จติ -ไม่-ใช่-กู จติ ไมใ่ ชก่ ู กค็ อื ถอนจิต ออกจากอวชิ ชา ใหเ้ ปน็ จติ ทว่ี า่ งจากตวั กู เปน็ จติ ทไี่ มใ่ ชก่ ู ขอ้ ทสี่ ี่ ธรรมทงั้ หลายทเี่ ราปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ชป่ ฏบิ ตั แิ ลว้ กเ็ อามายดึ มนั่ ถอื มนั่ ธรรมทง้ั หลายก็ เหมอื นกบั เรือแพน่นั แหละ เราใช้ส�ำหรบั ขา้ มฟากข้ามทะเล พอขา้ มไปสู่ ฝง่ั โนน้ แลว้ เรากไ็ มย่ กเรอื ขน้ึ ไปแบกอกี ไมเ่ อาพายขนึ้ ไปแบกอกี เรากท็ ง้ิ เรือไว้ท่นี นั่ อยู่คนละฝ่ังกันแลว้ ฉะนัน้ ธรรมะมีไว้ส�ำหรับปฏบิ ตั ิ ปฏิบัติ เพ่อื ขา้ มฝ่ัง จากฝง่ั โลกยี ะ ไปสู่ฝงั่ โลกุตตระ คอื ไปสูฝ่ งั่ โนน้ โลกุตตระ ก็คือพระนิพพาน พระนิพพานก็คือความสงบเย็น ฝั่งโน้นสงบเย็น สมั มาสตกิ ค็ อื สติปัฏฐานสี่ สุดท้ายคือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นองค์ฌาน อย่างน้อยก็ เป็น วิตก วจิ ารณ์ ถา้ มันเกดิ เหนอื ไปเป็นปิติ เปน็ สุข ก็ได้ เป็นเอกัคคตา กไ็ ด้ แตถ่ า้ มนั ไมเ่ หนอื ไป กอ็ ยแู่ คว่ ติ กวจิ ารณก์ ไ็ ด้ วติ กวจิ ารณน์ แี่ ปลวา่ 5

หลวงพอ่ เอี้ยน  วิโนทโก ตรกึ ตรอง พอเรานั่งภาวนา ไมใ่ ชก่ ูๆๆๆ เป็นสมาธแิ ล้ว เรากต็ รกึ ตรอง ไป เรามีปญั หาอะไรท่จี ะเอามาแก้ เราก็เอาปัญหาน้ันน่ะมาตรกึ ตรอง ปฏิบตั ิตามอริยมรรคมอี งค์แปดไปท�ำไม อริยมรรคมีองค์แปดมีไว้ส�ำหรับให้เราปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็จะ เกิดจักขุง อุทะปาทิ จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ทีน้ีใครก็ได้ท่ีปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด จะเป็นอย่างนั้น จักขุง อทุ ะปาทิ จกั ษเุ กดิ ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา จกั ษกุ ค็ อื ปญั ญาภายใน ถา้ เราไมป่ ฏบิ ตั ิ มันก็ยังปิดอยู่ เป็นปัญญาที่ปิดอยู่ ไม่สามารถท่ีจะลืมตาได้ จักษุนี้ หมายถึงดวงตาปัญญา ส่วน อุทะปาทิ แปลว่าเกิดข้ึน จักขุงอุทะปาทิ จกั ษุเกิดข้ึนแล้วแกเ่ รา ญาณังอุทะปาทิ คิดดู เม่ือก่อนเราปิดตา เราเห็นอะไรมันก็เห็น มืดๆ อะไรก็มืดหมด คือเห็นด้วยอ�ำนาจของอวิชชาเพราะตามันปิด เห็นมืดๆ เห็นตัวเองก็เห็นมืดๆ เห็นตัวเอง ไม่เห็นความแก่ ไม่เห็น ความเจ็บ ไม่เหน็ ความตาย ไม่เหน็ อนจิ จัง ไมเ่ ห็นทุกขงั ไมเ่ หน็ อนัตตา เห็นตัวเองว่าเป็นตัวกู เห็นจิตเองว่าเป็นตัวกู นั่นมันเห็นด้วยตาโง่ๆ ภายนอก แต่ถา้ จักขุงอุทะปาทิ เห็นดว้ ยปญั ญา เห็นตัวเองวา่ อ้าวนี่มนั ไม่ใช่กู นี่มันไม่ใช่กู เพราะว่าร่างกายน้ีมันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็น อนตั ตา ยดึ มัน่ ถือม่นั มันไม่ได้ น่เี รียกว่าจกั ขงุ อุทะปาทิ 6

ดับ วา่ ง สงบ เย็น เกิดจักขุงอุทะปาทิแล้ว ก็เกิดญาณังอุทะปาทิ ข้ึนมา ญาณัง คือตัวรู้ ตัวรู้น่ีเรียกว่าญาณ ญาณะ แปลว่า รู้ นั่นคือญาณ ญาณัง อุทะปาทิ ญาณเกิดข้ึนแล้วแก่เรา ก็ลองคิดดู เราปิดตาไม่เห็นอะไร เห็นมืดๆ ก็เหมือนกบั ว่าตาบอดไปคล�ำช้างอยา่ งนน้ั ตาบอดไปคลำ� ชา้ ง ไปกนั หลายคน เสรจ็ แลว้ กม็ ารายงานวา่ ชา้ งมีลักษณะเหมอื นเสาเรอื น น่ันไปคล�ำที่ขาช้าง ช้างมีลักษณะเหมือนกระด้ง ไปคล�ำโดนเอาหูช้าง ชา้ งมลี กั ษณะเหมือนไมก้ วาด เอา้ ไปโดนเอาหางชา้ ง นน่ั นะ่ คือเขาเรยี ก วา่ ตาบอดคลำ� ช้าง เราทกุ คนก็ตาบอดกันมาแลว้ ท้ังนั้น แต่ถา้ เราปฏบิ ัติ ธรรมด้วยการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด ตาเราก็ค่อยๆ ลืมข้ึน ลืมขึน้ พอลมื ขนึ้ ก็คือเกิดญาณขึน้ มา คอื เหน็ ญาณังอทุ ะปาทิ ญาณเกิด ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา ญาณนะ่ คอื ตวั รู้ เปดิ ตาแลว้ มนั กร็ ู้ แลว้ มนั กเ็ หน็ แลว้ มนั ก็ รู้ ว่าอะไรเป็นอะไร เห็นจิตก็เปน็ อนิจจัง เป็นอนตั ตา วา่ งจากตวั ตน เปน็ สญุ ญตา เหน็ รา่ งกายกเ็ ปน็ อนจิ จงั เปน็ อนตั ตา เขา้ ไปยดึ มนั่ ถอื มนั่ ไมไ่ ด้ แลว้ กเ็ ปน็ สญุ ญตา ว่างจากตัวตน นค้ี ือเห็นดว้ ยปญั ญา จักขุงอุทะปาทิ ญาณังอุทะปาทิ เสร็จแล้วก็เกิดความแตกฉาน ขนึ้ มา เกดิ ปญั ญาอทุ ะปาทิ ปญั ญาเกดิ ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา ปญั ญารเู้ รอ่ื งตา่ งๆ ตามทเี่ ป็นจริง เห็นตามทเี่ ป็นจรงิ เห็นเกิด เห็นดบั เหน็ ว่าง คือวา่ งจาก ตัวตน เห็นทุกอยา่ งวา่ งจากตวั ตน ทีนี้ ปญั ญาอทุ ะปาทิ มันยง่ิ เขม้ แข็ง ขึ้นมาเรื่อยๆ เข้มแข็งขึ้นมาจนเป็นวิชชาอุทะปาทิ วิชชาเกิดข้ึนแล้วแก่ 7

หลวงพ่อเอี้ยน  วโิ นทโก เรา วชิ ชา เรม่ิ ทีจ่ ะเต็มรูปแบบแล้ว วิชชาอทุ ะปาทิ เกดิ วชิ ชาขึน้ มา ทีนี้ท่ีเราเข้าไปยึดม่ันถือม่ันว่าจิตเป็นตัวกู แล้วเราก็พยายามจะ สรา้ งวิชชา ภาวนาวา่ จิตไม่ใช่กู ไอจ้ ติ ไมใ่ ช่กนู แี่ หละ คอื เราสร้างวิชชา สร้างวิชชาให้มันเกิดขึ้นวันละนิดวันละหน่อยไปเรื่อยๆ สร้างให้วิชชา มนั เกดิ ข้ึน น่ันเขาเรยี กวา่ วิชชาอทุ ะปาทิ พอวิชชามันมีพลังขึ้นมาแลว้ แสงสวา่ งแหง่ วชิ ชา แหง่ ปญั ญานน้ั กจ็ ะเหน็ ทกุ อยา่ งเกดิ ดบั เกดิ ดบั เกดิ ดบั เหน็ ทกุ อย่างไม่มีตัวตน เรากเ็ รยี กวา่ ว่างจากตวั ตน ทีน้ี เม่ือเกิดจักขุงอุทะปาทิ ญาณังอุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชาอุทะปาทิ อาโลโกอุทะปาทิ เกิดแสงสว่างเห็นอะไรตามท่ีเป็นจริง หมดแลว้ ปัญญาก็เปน็ ทั้งผ้เู หน็ แล้วเปน็ ผ้ทู ี่ส่องแสงสวา่ งออกมาด้วย ปัญญาหรอื วชิ ชาเป็นแสงสวา่ ง อวิชชามันมดื บอด เมื่อเราปฏิบัติ ตามอริยมรรคมีองค์แปด จะเกิดสิ่งเหล่าน้ีขึ้นมา แล้วเราก็จะเห็นหรือ เข้าใจอริยสัจสี่ เห็นไหมในข้อแรกนั่นคือ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นอัน ถูกตอ้ ง กค็ ือเห็นอริยสจั ส่ี อรยิ สจั ส่คี อื อะไร เราทุกคนก็จ�ำได้ อริยสัจส่ีคือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ คือสมุทัย ความดับทุกข์ หนทางให้ถึงความดับทุกข์ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ อรยิ มรรค 8

ดับ ว่าง สงบ เย็น ทกุ ข์ คืออะไร ทุกข์ก็คือ การเอาจติ มาเป็นตัวกนู น่ั แหละ นน่ั คืออวชิ ชา อวชิ ชา น่ันแหละเป็นตัวทุกข์ อวิชชาเป็นตัวทุกข์เพราะเอาจิตมาเป็นตัวกู เหตุเกิดของอวิชชา คืออะไร ก็เพราะมันโง่น่ันแหละ อวิชชาคือตัวโง่ โงเ่ พราะมนั ไม่รู้อะไร เพราะมนั ไม่ร้อู รยิ สัจ ไม่ร้อู รยิ สจั ก็ไมร่ ู้เร่ืองเกิด ไมร่ ู้เรอ่ื งดับ ไมร่ ูเ้ ร่อื งอะไรทงั้ นนั้ เขาจึงเปรียบเป็นภาพปรศิ นาเอาไว้วา่ อวิชชาเปรียบเหมือนคนตาบอด ไมบ่ อดแตต่ า หูก็หนวก ทั้งตาบอดท้ัง หหู นวกอวิชชาน่ะ ที่เราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดก็เพ่ือที่จะเอามาดับตัว อวิชชา เม่ือปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดแล้ว จะต้องเห็นอริยสัจส่ี จะเห็นกับตา เห็นกับความจ�ำได้ยังไง มันไม่ได้ เพราะทุกข์ก็คือการ เอาจิตมาเป็นตัวกู เหตุให้เกิดทุกข์ เพราะจิตตัวน้ันมันไม่รู้จักอริยสัจ นนั่ คอื เหตุ ฉะนน้ั เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขน์ น่ั กค็ อื สมทุ ยั ทนี คี้ วามดบั ทกุ ข์ กค็ อื นโิ รธ นโิ รธแปลวา่ ดับ ดบั ทกุ ข์ ส่วนข้อทส่ี ่กี ็คืออริยมรรคมอี งคแ์ ปดนน่ั แหละ คอื หนทางแหง่ ความดบั ทกุ ข์ กต็ อ้ งเดนิ ตามอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด สมทุ ัยคืออะไร ตอนทพี่ ระสารบี ตุ รทา่ นยงั ไมไ่ ดบ้ วช ทา่ นเขา้ ไปเจอกบั พระอสั สชิ ตอนน้ันท่านก็อยู่กับอาจารย์แล้ว แต่ว่าก็ยังมุ่งหาอยู่ ยังไม่พอใจ 9

หลวงพอ่ เอี้ยน  วโิ นทโก ไปถึงเห็นพระอัสสชิ เห็นว่าพระองค์น้ีดูท่าทางน่าศรัทธาเล่ือมใส ใครเปน็ ศาสดาของทา่ นกไ็ มร่ ู้ กเ็ ลยตดิ ตามพระอสั สชไิ ปตอนทท่ี า่ นเดนิ บณิ ฑบาต บณิ ฑบาตเสรจ็ แลว้ ทา่ นกค็ งจะไปฉนั ทร์ มิ หนองนำ้� หรอื ทต่ี รง ไหนท่ีเหมาะสมสักแห่งหน่ึง สารีบุตรตอนนั้นยังไม่บวช ท่านก็ตามไป แล้วก็ไปนง่ั คุย ไปถาม ตอนแรกท่ีถาม พระอัสสชบิ อกวา่ โยม ตอนนี้ ไมเ่ หมาะสมในการทจี่ ะพูด เมือ่ ทา่ นฉันภตั ตาหารเสรจ็ แลว้ กเ็ ลยคุยกนั ได้ คอื สารบี ตุ ร ถามทา่ นวา่ ใครเปน็ ครบู าอาจารยข์ องทา่ น ครบู าอาจารย์ ของท่านสอนเรื่องอะไร พระอัสสชิคือองค์สุดท้ายของพระปัญจวัคคีย์ นั่นแหละ ท่านก็เลยยกสุภาษิตน้ีขึ้นมา ว่า “เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสงั เหตงุ ตะถาคะโต เตสญั จะ โย นโิ รโธจะ เอวงั วาที มะหาสะมะโณ” ธรรมเหลา่ ใด มีเหตุเปน็ แดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตแุ หง่ ธรรมนน้ั และความดบั แห่งธรรมน้นั ธรรมเหลา่ ใดนีเ่ ราอยา่ ไปคดิ ว่าเปน็ ธรรมที่ เปน็ กุศลท้ังนัน้ นะ ที่เปน็ กุศลกต็ าม ไม่เปน็ กุศลก็ตาม เป็นอกุศลกต็ าม เรยี กวา่ ธรรมทง้ั นนั้ “สพั เพธมั มา” สง่ิ ทง้ั ปวง ธรรมทงั้ นน้ั เรยี กวา่ ธรรม ทงั้ นน้ั นท่ี า่ นพดู ยอ่ ๆ อยา่ งน้ี แลว้ ทา่ นกอ็ อกตวั วา่ อาตมาเพง่ิ บวชมาได้ ไม่นาน เพราะฉะนั้นไม่สามารถท่ีจะพูดให้ยาวกว่าน้ี แต่ว่านั้นมันก็กิน เน้ือความทัง้ หมด ตอนนน้ั ทา่ นเป็นพระอรหันตใ์ หมๆ่ “ธรรมเหลา่ ใด มเี หตเุ ปน็ แดนเกดิ ” กค็ อื สมทุ ยั นนั่ แหละ สมทุ ยั น่ันแหละคือ เหตุที่เป็นแดนเกิด เป็นแดนเกิดของอะไร เป็นแดนเกิด 10

ดับ ว่าง สงบ เยน็ ของทุกข์ ก็คืออวชิ ชา เพราะว่าสมทุ ยั คอื ราคะ โทสะ โมหะ มนั กเ็ กิด มาจากสมทุ ยั มนั เกดิ มาจากเหตุ แลว้ กป็ อ้ นราคะ โทสะ โมหะ ใหอ้ วชิ ชา เป็นคนส่งอาหาร เรียกว่าส่งเสบียง น่ันน่ะคือเหตุ หรือเหมือนกับว่า ตะเกยี งนำ้� มนั อวชิ ชาเปน็ ตะเกยี ง แลว้ กม็ ไี ส้ แลว้ กม็ นี ำ้� มนั แตว่ า่ สมทุ ยั ต้องเอาน้�ำมันส่งให้ พอจะหมดก็เติมเข้าไปอีก คือราคะ โทสะ โมหะ เป็นอาหารของอวิชชา ทีน้ีการตัดอวิชชา ก็ต้องตัดที่สมุทัย อวิชชาน่ะเป็นผล สมุทัย เป็นเหตุ อวิชชาคือตวั ทุกข์ ตัวทุกข์เปน็ ผล ตวั สมทุ ยั คอื เหตใุ หเ้ กิดทุกข์ นโิ รธเป็นผล อริยมรรคมีองค์แปด เมื่อปฏบิ ัติแลว้ เปน็ หตุ เพราะฉะน้ัน ผล-เหตุ ผล-เหตุ นิโรธคอื อะไร เมื่อปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด ได้จักขุงอุทะปาทิมาแล้ว ปัญญาอุทะปาทิ ญาณังอุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชาอุทะปาทิ อาโลโกอทุ ะปาทิ ก็เอามาดบั ตัวเหตุใหเ้ กิดทกุ ข์นนั่ แหละ คอื เราไดน้ ิโรธ มาครบแล้ว ได้มาหมดแล้ว ได้ปัญญามาครบแล้ว ก็มาดับตัวเหตุให้ เกดิ ทุกข์ คือตวั สมุทยั พอดับท่ีตวั สมุทยั เปน็ การตัดเสบยี งของอวชิ ชา อวิชชาก็ดบั พออวิชชาดับ ก็คือความมดื ความบอดมันดับ อะไรมันจะ เกิดข้ึนทีนี้ พอความมืดมันดับไป แสงสว่างมันก็เกิดข้ึน คือนิโรธนั่น 11

หลวงพ่อเอยี้ น  วโิ นทโก แหละ นโิ รธนเี่ ปรยี บดว้ ยแสงสว่าง พออวิชชาดบั แสงสวา่ งกเ็ กดิ ขึน้ มา ทนั ที การเหน็ อรยิ สจั สี่ พระพุทธเจา้ ยังตรัสวา่ เราจะต้องเหน็ เรียกวา่ ปริวตั รสาม อาการ สิบสอง จึงจะรับรองตัวเองวา่ บรรลแุ ลว้ ปริวัตรสามในส่วนของทุกขก์ ็ คอื ทกุ ขเ์ ปน็ อยา่ งนอ้ี ยา่ งน้ี ทกุ ขเ์ ปน็ สงิ่ ทเ่ี ราควรกำ� หนดรู้ ทกุ ขเ์ รากำ� หนด รไู้ ดแ้ ล้ว ฉะนัน้ เวลาเกดิ ทกุ ขข์ นึ้ มา อย่าวิ่งหนคี วามทุกข์ เอาความทกุ ข์ นน้ั มาวจิ ยั วา่ มนั มาจากไหน ความทกุ ขน์ นั้ เหตมุ นั มาจากไหน วจิ ยั ทเ่ี หตุ มนั ทกุ ขเ์ ปน็ อยา่ งนอ้ี ยา่ งนี้ ทกุ ขเ์ ปน็ สง่ิ ทเี่ ราควรกำ� หนดรู้ กค็ อื ตอ้ งศกึ ษา ทกุ ข์เราก�ำหนดรไู้ ด้แล้ว ในส่วนของเหตุให้เกิดทุกข์ หรือสมุทัย ต้องเห็นปริวัตรสามคือ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างน้ีอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นส่ิงที่เราควรละ เหตใุ หเ้ กิดทกุ ขเ์ ราละได้แล้ว นั่นขอ้ ที่สอง ทนี ขี้ ้อท่ีสามนิโรธ ตอ้ งเห็น นโิ รธเปน็ อย่างนีอ้ ยา่ งน้ี นโิ รธเป็นสง่ิ ท่เี ราควรทำ� ใหแ้ จง้ ก็คือตวั ปัญญานั่นแหละ นโิ รธเราทำ� ให้แจ้งได้แลว้ ทีนพี้ อไปตัวท่สี ่ี อริยมรรคมีองค์แปด สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสังกัปโป สัมมาวาจา สมั มากมั มนั โต สัมมาอาชีโว สมั มาวายาโม สมั มาสติ สัมมา สมาธิ เปน็ อยา่ งนอี้ ยา่ งนี้ อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปดเปน็ สงิ่ ทเี่ ราควรปฏบิ ตั ใิ ห้ 12

ดับ ว่าง สงบ เย็น เกิดมี อริยมรรคมีองค์แปด เราปฏิบตั ิใหเ้ กิดมีไดแ้ ล้ว น่ีเห็นไหม อย่างละสาม ก็เรียกว่าปริวัตรสาม อาการสิบสอง กค็ อื รวมกนั แลว้ ไดส้ บิ สอง พอครบแลว้ พระองคจ์ งึ ปฏญิ ญาวา่ ไดต้ รสั รู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ ก็หายไป ไอ้ตัวกูนั้นมันก็หายไป พอตัวกูหายไปนั่นแหละ ก็เกิดเป็น พระพุทธเจ้า กอ่ นจะพบทางพ้นทุกข์ เมอื่ กอ่ นพระองคย์ งั ไมเ่ ปน็ พระพทุ ธเจา้ พระองคเ์ ทย่ี วคน้ ควา้ อยู่ พระองคเ์ หน็ วา่ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค การหมกมนุ่ ในเรอื่ งของกาม ไมใ่ ชข่ อ้ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะทำ� ใหพ้ น้ ทกุ ขไ์ ด้ มแี ตท่ กุ ขเ์ พมิ่ ขน้ึ พระองคก์ เ็ ลยปฏบิ ตั แิ บบ นกั บวชในสมยั นน้ั เรยี กวา่ อตั ตกลิ มถานโุ ยค การอดอาหาร การทรมาน ตนดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ พระองคก์ เ็ ลอื กเอาการอดอาหาร และกเ็ หน็ วา่ ไมม่ ที าง ทจ่ี ะสำ� เรจ็ ได้ เพราะมนั เกดิ ปญั ญาขน้ึ มาไมไ่ ด้ พระองคก์ เ็ ลยพจิ ารณาวา่ สองอย่างนีม้ นั ไม่ใช่ทางแลว้ พระองคก์ ด็ ำ� รถิ ามตวั เองขน้ึ มาวา่ พระพทุ ธเจา้ องคก์ อ่ นๆทา่ นเดนิ ทางไหน ทา่ นกเ็ ลยวจิ ยั ไป วจิ ยั ไป และแสดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กเอาไว้วา่ เหมือนกับว่า มีทางๆ หนึ่ง เม่ือเดินไป เดินไป ก็ไปถึงเมืองใหญ่เมือง หนึ่ง แต่ว่ามันถูกปกคลุมด้วยต้นไม้บ้าง ด้วยอะไรบ้าง แต่เป็นเมือง 13

หลวงพ่อเอีย้ น  วิโนทโก ที่เคยเจริญมาก่อน ท่ีน้ีคนเขาก็ไปทูลแก่พระราชาว่า ทางนี้เป็นทางไป เมอื งๆ หนง่ึ แลว้ เมอื งนน้ั เคยใหญโ่ ตมโหฬาร แตต่ อนนเี้ ปน็ เมอื งรา้ งไป พระราชาองค์นั้นก็ไปปรับปรุงให้เจริญข้ึนจนมีอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เหมอื นกันกับอรยิ มรรคมีองคแ์ ปดนี่แหละ พระองค์เห็นว่านั่นคือทางเดิน ทางเดินของพระพุทธเจ้าองค์ ก่อนๆ พระองค์ก็เลยตัดสินใจ เดินทางอริยมรรคมีองค์แปด ก็คือเอา อริยมรรคมีองค์แปดนั้นมาปฏิบัติ แล้วก็เกิดจักขุงอุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญั ญาอุทะปาทิ วิชชาอุทะปาทิ อาโลโกอทุ ะปาทิ อวิชชากเ็ ลย อยไู่ ม่ได้ เพราะว่าถูกตดั เสบียง อวชิ ชากด็ บั ไป เมื่อก่อนอวิชชามันเกิดไม่หยุด เหมือนของเรานั่นแหละ อวิชชา เปน็ ปจั จยั ทำ� ใหเ้ กดิ สงั ขาร สงั ขารเปน็ ปจั จยั ทำ� ใหเ้ กดิ วญิ ญาณ วญิ ญาณ เปน็ ปจั จัยทำ� ใหเ้ กิดนามรูป เกดิ เกิด เกดิ จนไปเป็นทกุ ขท์ ุกที เกดิ ทาง ตาก็เปน็ ทกุ ข์ เกิดทางหูก็เป็นทุกข์ เกิดทางจมูกกเ็ ป็นทกุ ข์ เกิดทางไหน ก็ยดึ มนั่ ถือมนั่ หมด เพราะอะไร เพราะวา่ จติ ตวั นั้นมันโง่ คอื จติ อวิชชา นน่ั มันเปน็ จติ โง่ เพราะมนั เป็นจิตโง่ มนั ก็เลยเกิดทุกที มนั ก็ทุกขท์ กุ ที ตามหลักสูตรของปฏิจจสมปุ บาทฝา่ ยเกดิ นั่นแหละ ทีนี้พอพระองค์รู้อริยสัจ เพราะพระองค์ปฏิบัติตามอริยมรรคมี องคแ์ ปด เมอ่ื เปน็ อยา่ งนน้ั แลว้ เกดิ ไมไ่ ด้ เพราะวา่ วชิ ชานแี้ หละจะเขา้ ไป ดบั อวชิ ชา ไม่เชน่ นนั้ ปรกติเราก็ว่ากูอยู่เรอ่ื ยนั่นแหละ อะไรกก็ ู อะไรก็ 14

ดับ วา่ ง สงบ เยน็ ของกู มแี ตก่ ู ของกู กู ของกู กู ของกู ขนั เป็นนกเขาอย่างนั้นอยูเ่ ร่ือยไป การจะถอนอวิชชาออกไป ต้องปฏิบัติตามองค์มรรค แล้วจะ เกิดจักษุ เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดวิชชาขึ้นมา ไปฆ่าตัวอวิชชาน้ันให้ ตาย พอตวั อวิชชาดบั ลกู น้องมนั จะอยู่กับใคร หวั หน้ามนั ตายแล้ว คอื พออวิชชามันตายแล้ว ทีน้ีตัวสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ท่ีเม่ือก่อนมันกูคิด กูท�ำ กูพูด กูท้ังนั้นเลย พออวิชชามันตายแล้ว ไอห้ วั หนา้ ตวั นนั้ มนั ตายแลว้ มหี วั หนา้ ใหมข่ น้ึ มา เปน็ หวั หนา้ ทป่ี ระกอบ ด้วยจักษุ ด้วยญาณ ปัญญา วิชชา อาโลโก ได้หัวหน้าใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่ใช่กู วา่ งจากกหู มด หนทางปฏิบัติ ดงั นน้ั จงึ ใหภ้ าวนาวา่ “ไมใ่ ชก่ ”ู แต่ “ไมใ่ ชก่ ”ู เฉยๆ ไมไ่ ด้ มนั ตอ้ ง ปฏิบัติด้วย ทีนี้เม่ือเราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด เราก็เห็นจริงๆ วา่ มันไม่ใชก่ ู พอไมใ่ ชก่ จู รงิ ๆ ขนึ้ มา เป็นยงั ไงทนี ้ี อวิชชาดับกเ็ กิดวิชชา เกิดวชิ ชาก็คือสติปัญญา เกดิ ญาณอะไรข้นึ มา แลว้ ตัวสังขาร เป็นยงั ไง ทนี ้ี แล้วใครจะไปควบคมุ สังขารล่ะ ไม่มีกู ก็คอื ตวั สตปิ ญั ญานน่ั แหละ ไปคุม ไปคุม ก็ตัวสติปัญญา ไอ้ตัวไม่ใช่กูนั่นแหละ คือตัวสติปัญญา หรือตัวว่างจากตัวกู อาตมาเคยบอกวา่ ดับ วา่ ง สงบ เยน็ ส่ีค�ำ ดบั วา่ ง สงบ เยน็ 15

หลวงพอ่ เอีย้ น  วโิ นทโก ค�ำว่าดบั ก็คืออวชิ ชาดับนั่นแหละ อวชิ ชาดับ สังขารดบั วญิ ญาณ ดับ นามรูปดับ อายตนะดับ ผัสสะดับ เวทนาดับ ตัณหาดับ อุปาทาน ดับ ภพดับ ชาตดิ ับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาส ดับ นนั่ คือดับ ค�ำทสี่ องก็คือว่าง อะไรว่าง กค็ ือจิตทีว่ า่ งจากตัวโง่ ท่เี ม่ือกอ่ นไป เอาจติ มาเปน็ ตวั กู มแี ต่โง่ คดิ โง่ พูดโง่ ทำ� โง่ แต่วา่ ไอ้ตัวโงน่ นั้ มนั วา่ ง จากตวั โง่ เพราะตวั โงน่ นั้ มนั ดบั ไป พอตวั โงด่ บั ไป มนั กว็ า่ งจากตวั โง่ คอื วา่ งจากราคะ โทสะ โมหะ มันวา่ ง ดบั แล้วก็ว่าง ว่างจากอวิชชา ว่างจาก สังขาร ว่างจากวญิ ญาณ วา่ งจากนามรปู ว่างจากอายตนะ ผัสสะ ไมเ่ อา มาเปน็ ตัวกูหมด แต่เม่อื กอ่ นเอามาเป็นตัวกหู มด เราจึงต้องวิ่งเข้าหาการปฏิบัติธรรม เพราะมันไม่ไหวแล้ว ไอ้ “ตัวก”ู นี่ ข่ีหวั ขีค่ อเราทุกวนั เลย อยา่ ไปอวดดไี ปเลย ต่อให้เป็นนายก รฐั มนตรี มนั ก็ขีห่ วั ขี่คอทัง้ น้ัน มีเงินสกั พันลา้ นสกั หมน่ื ลา้ น มันก็ข่ีหัว ขีค่ อ ไม่หยดุ ไมห่ ยอ่ น นตี่ วั อวชิ ชามนั ไมเ่ ลอื กหรอก มันไมเ่ ลือกใครทง้ั นน้ั แหละ แต่ถ้าคนที่มีปัญญา ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด จนเกิด เห็นอริยสัจสี่ข้ึนมา แล้วก็ท�ำให้อวิชชาดับ อวิชชามันกลัวทีนี้ อย่างเรา บางคนทีป่ ฏบิ ตั ิ บางทอี วชิ ชามนั เกดิ ขึ้น พอเรารทู้ ันมัน มนั ไปแล้ว แต่ ถา้ เราไมร่ ู้ทนั มนั ก็ขคี่ อเราทันทีเลย เชน่ เราคดิ มตี วั กูขึ้นมาแล้ว มนั ก็ 16

ดบั วา่ ง สงบ เยน็ เอาแล้ว อวชิ ชาเกิดแลว้ อย่างนั้น ฉะนัน้ เม่ืออวิชชาดับ สังขารดบั วชิ ชา คอื สตปิ ัญญานนั่ แหละมาควบคุมสงั ขารเอาไว้ ทนี ้ตี ัววญิ ญาณ ตวั วิญญาณคือตัวรู้ ตวั รู้สึกไม่ใช่เปน็ วิชชา แลว้ ก็ไม่ใช่เปน็ อวิชชา ตัวรสู้ กึ น่ีคือตัวจิต ตวั จิตทีย่ ังเป็นประภัสสรอยู่ คอื จติ ทส่ี ะอาดอยู่ เหมอื นกบั ผา้ ขาว ยงั ไมถ่ กู สมี ายอ้ ม ทนี จ้ี ติ ตวั นนั้ ถา้ เอา สีด�ำมาย้อม มันก็กลายเป็นอวิชชา เป็นจิตอวิชชา ถ้าเราต้องการให้ถึง จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือจิตวิชชา แต่ว่าจิตประภัสสรน่ะ มันยังอ่อน อยู่ จิตที่เรืองแสง แสงยังไม่จ้า เรียกว่ายังไม่มีอาโลโกอุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโกอุทะปาทิ คือ แสงสว่างเกิดข้ึนแล้วแก่เรา อาโลโก อทุ ะปาทิ รวมแสงรวมพลงั เปน็ หัวหนา้ ขบวน ทีนี้เมื่อวิชชาเข้มแข็งข้ึน ก็ค่อยๆ ไปลบสีอวิชชา คือสีด�ำแหละ ลบออกไป ลบออกไปก็เลยท�ำให้ จิตเดิมแท้ตัวนั้น เป็นจิตท่ีประกอบ ดว้ ยปญั ญา เปน็ จติ วชิ ชาขน้ึ มา แลว้ กเ็ ปน็ พระพทุ ธเจา้ เปน็ พระโสดาบนั สกทิ าคามี อนาคามี สูงสุดกเ็ ปน็ พระอรหนั ต์ เพราะฉะนั้นค�ำว่า ความรู้สึก มันยังเป็นกลางอยู่ ถ้าเป็น ความร้สู กึ วา่ “กู” นน่ั อวชิ ชาแลว้ ความร้สู ึกนนั่ เปน็ ตวั กแู ลว้ จิตน้นั เป็น กแู ล้ว ถา้ ความร้สู ึกว่า ไมใ่ ชก่ ู ไม่ใช่กู เปน็ วิชชา ทเ่ี ราปฏิบตั ิวา่ ไม่ใช่กู ไม่ใช่กูนี้ ถา้ เราว่าอยูเ่ ฉยๆ มันไม่เหน็ ถา้ ไม่เห็น มนั ก็ไม่เกิดปญั ญาขนึ้ มา มนั ต้องเหน็ คือภายในมนั ต้องเหน็ เห็นดว้ ยอะไร ก็เห็นด้วยญาณ 17

หลวงพอ่ เอ้ียน  วโิ นทโก นนั่ แหละ จกั ขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั อทุ ะปาทิ เหน็ ดว้ ยญาณ เหน็ ดว้ ยปญั ญา เห็นด้วยวชิ ชา เพราะว่าแสงสวา่ งของวิชชานน้ั ขยายออกไป แลว้ กท็ ำ� ให้ เห็น นัน่ แหละจติ ตวั นัน้ ก็เลยเป็นจติ ทเ่ี ข้มแขง็ ด้วยสติปัญญา เมือ่ เป็น จิตที่เข้มแข็งด้วยปัญญาท่ีสามารถขับไล่ความมืดคืออวิชชาออกไป สงั ขารนัน้ ก็ไร้อวชิ ชา มแี ต่วชิ ชาควบคมุ พูดก็ถูกต้อง ทำ� กถ็ ูกตอ้ ง คดิ กถ็ กู ต้อง แตเ่ มอ่ื กอ่ นไมถ่ ูกตอ้ งหมดเลย คิดกก็ ู ท�ำก็กู พูดกก็ ู กหู มด น่นั คอื สังขาร ทีนี้พอไปถึงตัววิญญาณ ตัววิญญาณคือตัวรู้ วิญญาณหก ความรู้สึก หรือว่าความรู้ที่เกิดข้ึนทางตา ทางหู ทางจมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นคือประกอบด้วยวิญญาณ นี้ถ้าวิญญาณน้ันรู้ว่าเป็นกู ไอ้ตัวรู้น่ีเป็น กู ไปแล้วนน่ั น่ะ ถา้ วิญญาณกกู ็อวชิ ชาเขา้ ไปกินแลว้ แตถ่ า้ วญิ ญาณน้นั ไม่ใช่กู วิญญาณไม่ใช่กู การเห็นทางตาก็ไม่ใช่กู การได้ยินทางหู ทาง จมกู ล้นิ กาย ใจ กไ็ มใ่ ชก่ ู น่ีมนั ไม่ใช่กู น่ัน อยา่ งนั้นน่ะก็เรยี กว่า มันถูก ควบคมุ ด้วยวชิ ชา ฉะน้ัน จ�ำให้ดีว่า ถ้าเป็นทาสของอวิชชา หรือว่ามันก�ำลังต่อสู้ กนั อยใู่ นตอนนี้ เราปฏบิ ัติเดีย๋ วแพ้ เดี๋ยวชนะ เด๋ียวชนะ เด๋ียวแพ้ แพ้ กลับชนะ ชนะกลับแพ้ ถา้ ขาดสตเิ มื่อไหร่ เปน็ ปญั หา ฉะน้ันจะตอ้ งฝกึ ฝกึ สมั มาสติ มสี ตเิ หน็ กายในกาย เหน็ เวทนา เหน็ จติ เหน็ ธรรมนนั่ แหละ ฝกึ สัมมาสติ แตถ่ ้าหากวา่ มันอ่อนความเพียร กฝ็ กึ สมั มาวายามะเขา้ ไป 18

ดับ วา่ ง สงบ เย็น เพิ่มสัมมาวายามะเข้าไป ถ้ามันขาดสมาธิ ก็เพ่ิมสัมมาสมาธิเข้าไป ไม่ ต้องกลวั นน่ั คือแรงหนนุ ส่วนสมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ นั่นเร่ืองทางกาย ทางวาจา มันก็ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเราเข้าใจกันแล้ว โดยส่วนมาก ตัวยาก ก็คอื สมั มาทฏิ ฐิ กวา่ จะเห็นอรยิ สัจ มันตอ้ งใช้ตาภายใน เหน็ กวา่ จะรอู้ รยิ สจั ตอ้ งใชญ้ าณ ตอ้ งใชป้ ญั ญา ตอ้ งใชว้ ชิ ชา แลว้ วชิ ชาท่ี มแี สงสวา่ งดว้ ย ถา้ แสงสวา่ งไมพ่ อ มนั กเ็ หน็ ลางๆ เหมอื นกบั คนตาบอด แตว่ า่ บอดไมห่ มด ยงั พอเหน็ อยบู่ า้ ง ฉะนน้ั ตอ้ งเขม้ แขง็ เอาไว้ การปฏบิ ตั ิ อรยิ มรรคใหเ้ ขม้ แขง็ เอาไว้ ถา้ อรยิ มรรคเขม้ แขง็ กจ็ ะเกดิ จกั ขงุ อทุ ะปาทิ ญาณังอุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชาอุทะปาทิ อาโลโกอุทะปาทิ อาโลโกอุทะปาทิน่ี จะไปเป็นพระเอก คอื นิโรธ ตวั ดับทุกข์ สามอยา่ งทเ่ี ราควรจะรู้ หนง่ึ อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด รใู้ นการปฏบิ ตั ิ เข้าใจ พยายามท�ำความเข้าใจ หรือว่าสวดบ่อยๆ อ่านบ่อยๆ ไม่จ�ำไม่ เป็นไร แต่ให้เข้าใจ พอเขา้ ใจแลว้ ก็เอามาปฏบิ ัติ ทนี ี้ มาวิจยั ดูว่าตอนนี้ มันอ่อนข้อไหน มันอ่อนข้อไหนอย่ตู อนนี้ ก็เอาบรวิ ารนัน่ แหละไปเสรมิ ทีนี้สัมมาสังกัปโป มีความด�ำริในการออกจากกาม มีความด�ำริ ในการไม่มุ่งร้าย มีความด�ำริในการไม่เบียดเบียน ก็ดูสิทุกอย่างมันมา จากกามท้ังน้ันแหละ ไอ้ท่ีเบียดเบียนกันมุ่งร้ายกันอะไรกัน มันมาจาก กามทงั้ นน้ั แมแ้ ตเ่ รอ่ื งทภ่ี เู ขาพงั ทำ� ใหน้ ำ�้ ทว่ มน่ี มนั กม็ าจากกามเหมอื น 19

หลวงพ่อเอี้ยน  วิโนทโก กันแหละ ถ้าไม่อยากได้เงิน แล้วจะไปตดั ไมท้ ำ� ไม ร้ไู หมวา่ ไม้มันมีราก ท่ยี าวออกไป เขาบอกวา่ กง่ิ ก้านสาขามันแผ่ออกไปแค่ไหน รากมันกไ็ ป แคน่ น้ั แหละ ตน้ ไมใ้ นปา่ รากมันจะประสานกัน ทำ� ใหเ้ มื่อฝนตก มันก็ สามารถกกั กนั เอาไว้ได้ มนั ซึมมันดูดเขา้ ไปในรากของมนั ในลำ� ต้นของ มัน ไอ้ท่ีเหลือมันก็ค่อยๆ ย้อยลงมาในป่าใหญ่บนภูเขา เสร็จแล้วเป็น ยังไง มันมารวมตัวกัน เราลองไปฟังดูซิ ถ้าข้ึนไปบนน�้ำตกแล้วก็ตาม ขน้ึ ไปดู ไม่มีน้ำ� แล้ว แต่ว่าพอเราเอาหไู ปแนบกบั พืน้ ดินหรอื กบั ก้อนหิน เราจะได้ยนิ เลย เสยี งนำ้� ไหลใต้ดิน ทีนพ้ี อเราไปทำ� ลายท�ำนบ เปน็ ยังไง ทีนี้ ตน้ ไม้นั่นคือท�ำนบของนำ้� ก็ท�ำให้ท้ังก้อนหนิ ต้นไม้ ดนิ ไหลทะลัก ลงมา เราไปโทษใครล่ะ ไปโทษดินฟา้ อากาศวา่ มนั ตกไมห่ ยดุ แลว้ ทำ� ไม มนั ทว่ มถงึ ขนาดนี้ กเ็ พราะเราไปทำ� ลายธรรมชาติ นไี่ ปโทษธรรมชาติ ไม่ เคยเหน็ ความผิดของตวั เอง ทีนี้ลองดูต่อไปอีกที่ว่า ประเทศนี้ก็โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ประเทศ โนน้ กโ็ รงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์ พอเกดิ แผน่ ดนิ ไหวขน้ึ มา โรงไฟฟา้ นวิ เคลยี รก์ ็ รวั่ ทกุ ประเทศในโลกน้ี มโี รงไฟฟา้ นวิ เคลยี รก์ นั กำ� ลงั เหอ่ กนั เสรจ็ แลว้ พอมนั เกดิ แอ๊กซิเดนขน้ึ มา มันกเ็ ลยลามไปท้งั โลกน่ันแหละ พอลามไป ท้ังโลก อยู่กันยังไงทีน้ี ตายหมดไม่มีใครเหลือ มีอยู่บ้างก็ตามเขาตาม ถ�้ำท่ีนิวเคลียร์ไปไม่ถึงนั่นแหละ ทีน้ีจะท�ำมาหากินยังไง ในดินก็มีแต่ นิวเคลียร์ ปลูกอะไรกไ็ ม่ได้ นใ่ี ครเป็นคนท�ำลายโลก โลกภายนอกกถ็ กู 20

ดับ ว่าง สงบ เยน็ ทำ� ลายด้วยอ�ำนาจของอวชิ ชาเหมอื นกนั อวชิ ชาตวั นั้นนะ่ สัมมาสังกัปโป มีความด�ำริในการออกจากกาม กามนี่ไม่ใช่กาม ระหว่างเพศอย่างเดียว กามก็คือวัตถุกาม อยากได้ อยากรวย อยาก สวย อยากมี อยา่ งเดน่ อยากดงั อยากอะไร กามทัง้ นัน้ แหละ เรือ่ งลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ นก่ี ามทง้ั นนั้ เลย เรอื่ งกามระหวา่ งเพศนี่ ถกู ลงโทษกนั เทา่ ไหรแ่ ลว้ ลองคดิ ดสู ิทนี ยี้ งั กามวตั ถอุ กี อยากรวยยง่ิ ๆขนึ้ ไปอยากสวย ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป นกั รอ้ งผหู้ ญงิ คนนนั้ ชอ่ื อะไรนะ หนา้ กผ็ า่ ตดั แลว้ คอกผ็ า่ ตดั แล้ว ตาจมูกก็ผ่าตัดหมดแล้ว เป็นร้อยครั้งแล้ว แหม เวลาร้องเพลง เอามือไปกอดพวกหนุ่มๆ โอ้ย มือมันเห่ียว ก็มันแก่ ท�ำยังไงล่ะ ไปผ่าตัดมืออีก ไม่ต้องตาย เป็นสาวอยู่นั่นแหละ น่ีคือไม่เห็นอนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตาเลย อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา มนั เกิดกับจติ เกิดกับจติ แลว้ ก็ยังไม่พอ มันก็เกิดกับร่างกายนี้แหละ ไม่อยากเห็นมัน ไปผ่าตัดมัน เห็นไหม ฝนื ธรรมชาติ แลว้ เปน็ อะไรทนี ี้ มนั กเ็ ป็นทุกขส์ ิ อนั น้ีก็เรียกวา่ กามเหมอื นกนั กาม วัตถกุ าม แล้วกก็ ิเลสกาม วัตถกุ ามก็คือเรือ่ งของวตั ถตุ า่ งๆ ฉะน้ันข้อท่ีสอง สัมมาสังกัปโป มีความด�ำริในการออกจากกาม มันก็ ไม่ใชเ่ รอ่ื งเล็กนอ้ ย ถ้าไม่มปี ัญญาแล้วกอ็ อกไม่ได้ หลีกออกไมไ่ ด้ เมื่อ หลีกออกไม่ได้ก็เลยจมอยู่น่ัน จมทั้งกิเลสกาม จมท้ังวัตถุกาม จมอยู่ นั้นแหละ พวกเทวดาก็จมอยู่ในกิเลสกาม เทวดาท่ีเป็นสมมุติเทพก็ดี 21

หลวงพอ่ เอีย้ น  วโิ นทโก เทวดาในช้ันต่างๆ เรามองไม่เห็นเพราะเราอยู่คนละมิติกัน เทวดานี่จะ เนรมติ อะไร เอาเรอื นยอดสกั หลงั หนง่ึ อะไรสกั หลงั หนงึ่ เนรมติ ไดท้ งั้ นน้ั เลย แตว่ า่ พอหมดบญุ แลว้ เปน็ ยงั ไง ถา้ ทำ� ชวั่ ไวก้ ต็ อ้ งลงนรก เราไมต่ อ้ ง ไปเอา เปน็ เทวดากไ็ มต่ อ้ งไปเอา เมอื งนรกกไ็ มเ่ อา เราเกดิ มาเปน็ มนษุ ย์ แล้ว เอาพระนิพพานดีกว่า ถ้าเราจะเอาพระนิพพาน เราก็ต้องปฏิบัติ ปฏบิ ัติตามอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปดนแ่ี หละ นัน่ คือทางท่ีตรงท่สี ุด เข้มแข็ง ที่สุด น่ีทางนี้ ไมม่ ที างอ่นื ท่ีจะดับทุกข์ไดอ้ ีกแลว้ ดบั วา่ ง สงบ เย็น ท่พี ดู ค้างเอาไว้วา่ ดบั วา่ ง สงบ เยน็ จิตที่ประกอบด้วยอวิชชานั้น พอมีวชิ ชาข้นึ มา จติ โงน่ ้ันก็ดับ พอจติ โงน่ ้นั ดบั มันก็ดบั ตามกันไปหมด อวิชชาดับ สังขารดบั วิญญาณดบั นามรปู ดับ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อปุ ายาส ดับ ดบั หมด ดบั ไม่เหลือ ทนี ี้เรากจ็ ะต้องศกึ ษาใหล้ กึ เขา้ ไปอกี ถา้ เราไมไ่ ดส้ อนคนอนื่ เรากเ็ อาเฉพาะดบั ตวั เราเองกพ็ อ ดบั แลว้ มนั กว็ า่ ง วา่ งจากกเิ ลส ว่างจากตัณหา ว่างจากอวิชชา ตณั หา อุปาทาน นนั่ แหละ ว่าง วา่ งคอื หยดุ ยดึ มนั่ ถอื ม่ัน มีอาจารย์เซ็นอยู่รูปหน่ึง ปลูกกระต๊อบริมภูเขา แล้วก็จะต้อง ไปปลูกผักไกลหน่อย ทีนี้วันนั้นมีแขกท่ีเป็นพระเซ็นด้วยกันมาขอพัก 22

ดับ ว่าง สงบ เย็น พระที่เป็นเจ้าของช่ือว่าพระนันเซ็น พระนันเซ็นก็เลยพูดว่า “ผมจะไป ท�ำสวนผกั แลว้ คณุ ก็พกั อยู่น่ีแหละ แลว้ จัดการหงุ อาหารฉนั เองก็แลว้ กัน แต่อย่าลืมเว้นไว้ให้ผมหน่อย พอผมกลับมาจะได้มาฉันอาหารน้ัน แลว้ ก็คุณไม่ตอ้ งเกรงใจ ให้คดิ วา่ เหมือนกับบ้านของคณุ นั่นแหละนะ” ทนี ้ี พระองคน์ น้ั กไ็ มไ่ ดพ้ ดู อะไร อาจารยน์ นั เซน็ กอ็ อกไปตง้ั แตเ่ ชา้ เอาเคร่ืองไม้เครือ่ งมือไปในการท�ำสวนผัก เพราะว่าพระญ่ปี นุ่ ส่วนมาก เขาจะตอ้ งกินเจ ทนี ีอ้ าจารยค์ นน้นั ท่ีไม่ได้เอ่ยรปู ไม่ไดเ้ อ่ยนามกท็ �ำตาม หนา้ ท่ี เขา้ ครวั หงุ อาหาร ทำ� อะไรเสรจ็ เรยี บรอ้ ย ฉนั เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ก็ ขนไอส้ มบตั พิ สั ถาน อะไรทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ขนออกไปทง้ิ ขา้ งนอกหมดเลย ขนออกไปท้ิงหมด เอาไปกองไว้ข้างนอกหมด เหลือแต่กระต๊อบว่างๆ ทนี ้ีพระนันเซน็ มาถึงตอนคำ่� แล้ว มาถึงดู อ้าว หมอ้ ขา้ วกไ็ ม่มขี ้าว แลว้ ก็ ไมม่ หี มอ้ ไม่มอี ะไรทงั้ นน้ั เลย พระองค์น้ีขนไปทงิ้ หมดแลว้ พระนันเซ็น กเ็ ลยเข้านอนเลย แอบเข้านอน ใกล้ๆ กบั พระองคน์ ั้นนะ่ พระองคน์ ้นั ก็ คงจะท�ำหลับมั้ง พอนอนเสร็จแล้ว พระองค์น้ันเห็นว่าอาจารย์นันเซ็น หลับแล้ว หนีเลยทีนี้ ลุกขึ้นแล้วก็ไปเลย ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวอะไร กันท้ังน้ัน พอพระอาจารย์นันเซ็นลุกข้ึนมา พระองค์นี้หายไปไหนแล้ว พระนนั เซน็ กเ็ ลยคดิ คดิ ดู เออ น่ี วา่ งมนั เปน็ อยา่ งนเี้ อง วา่ งมนั เปน็ อยา่ ง น้ีเอง (ว่างไมใ่ ช่วา่ งไม่มีอะไร แตว่ า่ งจากตัวกูของกู เพราะไมม่ อี ปุ าทาน) 23

หลวงพอ่ เอ้ยี น  วโิ นทโก เหมอื นกับว่า เราสร้างสญุ ญตาวิหารน่ี ถา้ เราไม่ท�ำใหก้ ลวง เราก็ มานั่งไม่ได้ เราก็มาใช้สถานท่ีน้ีไม่ได้ น่ีคือมันต้องว่าง หม้อข้าวก็ต้อง ท�ำให้วา่ ง หม้อแกงก็ตอ้ งท�ำใหว้ ่าง โอ่งน�ำ้ กต็ ้องทำ� ใหว้ ่าง จานข้าวกต็ ้อง ท�ำให้วา่ ง มนั ต้องวา่ งท้งั น้นั เลย ทกุ อย่าง ถ้าไมว่ ่างมนั ก็ไมไ่ ดป้ ระโยชน์ ใชป้ ระโยชนไ์ มไ่ ด้ ท�ำใหว้ า่ งไปท้งั นัน้ ทีนี้ว่างน้ีเป็นว่างวัตถุ แต่ว่าว่างวัตถุเป็นส่ือในการท่ีจะท�ำให้เห็น ว่างในจิต ในจิตของเราน่ันแหละ เราจะเหน็ จิตวา่ จิตที่ไม่ยึดมนั่ ถือมน่ั อะไรน่ี คือจติ ว่าง ก็คอื จิตท่ไี มม่ กี ิเลส คอื จิตวา่ ง วา่ งจากกเิ ลส ตัณหา อุปาทาน ดับ ว่าง สงบ เยน็ ตอนแรกก็คือดบั ตอนทส่ี องก็คือว่าง ตอนที่ สามก็สงบ ตอนที่ส่กี ็เย็น สงบแลว้ มนั ก็เย็น ดบั วา่ ง สงบ เยน็ เรอื่ งสงบ เดย๋ี วคอ่ ยพดู กนั อกี ครง้ั หนงึ่ เพราะเปน็ เรอ่ื งทจ่ี ำ� เปน็ ทเ่ี ราจะตอ้ งพดู ใน โอกาสน้ี ก็ให้โยมทุกท่านนั่งสมาธิสักสามสิบนาที แล้วเด๋ียวค่อยเดิน จงกรมทีหลัง เอ้า ลงมอื ได.้ .. (เดินจงกรมน้ี เดินรอบวิหารภายนอก เดินอย่างน้อย ๓ รอบ ทำ� เอาเองใหเ้ ป็นจังหวะ เชน่ ภาวนาว่า ดับ วา่ ง สงบ เย็น การภาวนาคอื การรอ้ งเพลงอยใู่ นใจ การยกขนึ้ การเหว่ียงเทา้ ไป การจกิ ปลายเทา้ ลง จนถึงการเหยียดเต็มฝ่าเท้า ก่ีจังหวะก็ได้ ให้เราจัดเอาเองให้มันลงตัว ดับ-วา่ ง-สงบ-เย็น ดบั -ว่าง-สงบ-เย็น ดับ-วา่ ง-สงบ-เย็น) 24

สงกรานต์ วนั ว่าง เจริญพรญาติโยมทุกท่าน วันนี้ก็เป็นวันท่ี ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นครั้งที่สองแห่งการบรรยาย เก่ียวกับวันสงกรานต์นี้ ทาง ภาคใตเ้ มอ่ื สมยั กอ่ น เขากไ็ มไ่ ดพ้ ดู คำ� วา่ สงกรานต์ แตท่ กุ คนจะรจู้ กั กนั วา่ “วันว่าง” วนั นี้เป็นวนั วา่ ง วนั วา่ งมันดีอย่แู ล้วในภาคใตน้ ่ี บรรพบุรษุ ของเรากไ็ ด้ฝากไว้ แตเ่ ราก็ไมร่ ู้ พระท่านก็ไมไ่ ด้พดู ใหล้ ะเอยี ด เม่ือก่อนพอวันว่างนี่ ทุกอย่างเตรียมพร้อม เตรียมพร้อมไปวัด เดก็ ๆ ไปวัด ผู้ใหญก่ ไ็ ปวดั หน่มุ สาวก็ไปวัด เต็มหมด ในวดั มีคนเตม็ น่กี เ็ รียกว่า “วันวา่ ง” พอมาสมยั ใหม่เรียกว่า “วันสงกรานต”์ ตามทจ่ี รงิ วันว่างนี่มันดอี ยูแ่ ลว้ วันวา่ ง วนั สญุ ญตา เราถูกอทิ ธิพลทางบ้านเมอื งท่ี เจริญ มาครอบงำ� ไปเสียจนหมดรปู

หลวงพอ่ เอ้ียน  วิโนทโก อนจิ จงั ทุกขัง อนัตตา สุญญตา วนั ว่างของเรา นกั ปฏิบัตติ อ้ งเหน็ สุญญตา สญุ ญตาคือความว่าง เราจะเห็นทีเดียวไม่ได้ เราต้องเดินมาจากอนิจจัง เห็นความไม่เท่ียง ทุกขัง ยึดมั่นถือม่ันอะไรก็เป็นทุกข์ ทุกส่ิงทุกอย่างเป็นทุกข์ในตัวของ มันเอง ตัวมนั เองก็เป็นทกุ ข์ ผยู้ ึดมน่ั ถอื ม่นั ก็เป็นทุกข์ อนิจจังคือความ ไมเ่ ทยี่ ง ทกุ ขงั เปน็ ทกุ ข์ เปลย่ี นไป เปลยี่ นไปเปน็ ทกุ ขงั แลว้ กเ็ ปลยี่ นไป เปน็ อนตั ตา ไมใ่ ชเ่ ปน็ อตั ตา ไม่ใช่ตัวเรา คนทไ่ี มเ่ หน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา คนพวกนน้ั เหน็ อะไร เขากเ็ หน็ นจิ จงั เหน็ ทกุ อยา่ งเทย่ี งไปหมด เหน็ ทกุ อยา่ งยงั่ ยนื ไปหมด เปน็ เหมอื น เดมิ ไปหมด คอื เหน็ นจิ จงั แลว้ เขากส็ นกุ สนาน สขุ ขงั เหน็ สขุ ขงั หาความ สนุกสนานทางตา หาความสนกุ สนานทางหู จมกู ลน้ิ กาย ใจ หาสุขขัง เข้าหาสุขขัง กเ็ หมือนในสมยั นีแ้ หละ วนั สงกรานต์นตี้ ้องเท่ยี ว ไมพ่ ิเศษ เหมอื นพวกเราทมี่ าจากกรงุ เทพบา้ ง มาจากสรุ าษฎรบ์ า้ ง พเิ ศษดว้ ยการ มาปฏบิ ตั ธิ รรม เพอื่ ทจี่ ะขดั เกลาตวั เอง เมอ่ื ยามทท่ี างโรงงานหรอื วา่ การ ท�ำงานของเราพัก เราก็มาพักผ่อน ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง นี่เรียกว่าท�ำเวลาให้เป็นประโยชน์ การเดินไปสู่ความว่าง ต้องเดินทาง อนิจจัง ทุกขงั อนตั ตา สว่ นทางเดนิ ทเ่ี ราเคยเดนิ คอื นจิ จงั เหน็ วา่ สง่ิ ทง้ั ปวงเปน็ ของเทยี่ ง ทง้ั รา่ งกาย และจติ ใจเทย่ี งหมด อนั นน้ั สลดั ทง้ิ ไปเลย พจิ ารณาใหเ้ หน็ วา่ 26

ดับ ว่าง สงบ เย็น อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา แลว้ คำ� ว่า “นจิ จัง” มนั ก็จะสลายตวั ไปเอง คำ� วา่ ทกุ ขงั แปลวา่ นา่ เกลยี ด รา่ งกายนกี้ เ็ ปน็ ของนา่ เกลยี ด ไมไ่ ด้ สวยงามอะไรทีไ่ หนเลย มันน่าเกลยี ด ตอนหนุ่มๆ สาวๆ กพ็ อดูหนอ่ ย พอแกค่ วามนา่ เกลยี ดกป็ รากฏทกุ วนั ทกุ นาที ทกุ วนิ าที มองเหน็ ชดั เจน เลย ทีนี้เห็นว่าน่าเกลียดก็อย่าไปเกลียดตัวเอง เห็นว่าสวยงามก็อย่า ไปชอบตัวเอง เพราะพอเสรจ็ แล้ว มนั กไ็ มใ่ ช่ตวั เอง มันไม่ใชต่ ัวเอง ถา้ เราคิดว่าตัวเอง มันมีความสุข นั่นคือสุขขัง แต่ว่าสุขขังน่ันแหละก็คือ สขุ เวทนา กค็ อื ทกุ ขน์ น่ั แหละ ทบ่ี อกใหฟ้ งั เมอ่ื ตอนคำ�่ วา่ นกั รอ้ งนนั่ แหละ ผา่ ตดั ตรงนนั้ ตรงนี้ ตรงนนู้ ผา่ ตดั หมด อา้ วทแ่ี ขน มนั ยงั แก่ เนอื้ มนั ยน่ เวลาร้องเพลง ก็ท�ำท่าท�ำทางไปกอดหนุ่มๆ ดูมือที่เหี่ยวๆ เป็นมือท่ี นา่ เกลยี ด กต็ อ้ งไปหาสขุ ขงั ใหม้ อื อกี ตามทจี่ รงิ มนั กไ็ มใ่ ชส่ ขุ มนั คอื ทกุ ข์ นนั่ แหละ มันปรากฏใหเ้ ราเห็น อนิจจัง ความไมเ่ ที่ยง ทุกขัง น่าเกลียด อนัตตา เพราะมันไมใ่ ช่ตัวตน ที่เราเห็นกันเป็นประจ�ำ ท่ีมันชินจนเป็นนิสัย นิจจัง ความเท่ียง สุขขงั เทยี่ วกนั เลยวันน้หี าความสขุ หาความสุขทางตา ทางหู ทางจมกู ลน้ิ กาย ใจ หาความสขุ กนั วนั น้ี ตง้ั เปา้ เอาไวไ้ ปเทยี่ วทนี่ น่ั ทน่ี ี้ เพราะเรามี รถราสะดวกตอนน้ี คนทมี่ ฐี านะหนอ่ ยกไ็ ปเมอื งนอกเมอื งนา ไปเทย่ี วกนั กค็ อื ไปหาความสขุ หาความสขุ ทางตา หาความสขุ ทางหู ในกรงุ เทพเองน่ี กไ็ ปกนิ ตรงนนั้ ไปดมื่ ตรงน้ี กค็ อื ไปหาความสขุ ทางลนิ้ แตม่ นั ไมม่ เี ฉพาะ 27

หลวงพ่อเอ้ียน  วโิ นทโก ลน้ิ มันกม็ ีการเต้นร�ำ มอี ะไรตอ่ อะไรโชว์ นัน่ คอื ความสุขทางตา และใน นนั้ แหละ ในบรเิ วณนน้ั มนั กม็ เี พลง มอี ะไร ความสขุ ทางหู ความสขุ ทาง จมูก ความสุขทางลิ้น ความสุขทางกาย ความสุขทางใจ ไปพิจารณาดู ทุกข์ท้ังน้ันเลย นนั่ คือความทกุ ขท์ ง้ั นนั้ เลย ถา้ เขาพาหลวงพอ่ ไปรา้ นอาหารใหญๆ่ ทเี่ ขามอี ะไรครบทกุ ส่งิ ทกุ อย่าง หลวงพ่อคงไม่รู้จะท�ำยังไง สงสัยต้องนั่งปิดตา น่ังสมาธิปิดตา ภาวนา ไม่เอาอะไรทง้ั น้ัน มันแสนทจี่ ะทรมาน เพราะเราไมต่ อ้ งการแล้ว สิ่งอยา่ งน้นั ความสขุ ของเขา มันเปน็ ความทกุ ข์ของเรา ทีเ่ รยี กวา่ สขุ ขัง นน่ั แหละ มันก็คอื ทกุ ขัง แตเ่ ขาเหน็ เป็นตัวกูไปหมด ทกุ อย่างเป็นตัวกู สนกุ สนานกนั ใหต้ วั กู สนกุ สนาน รา่ เรงิ จนลมื ตวั พอมเี หตรุ า้ ยอะไรเกดิ ข้ึนจนเสียชีวติ กนั ไมร่ ู้เท่าไหร่ น่าเสียดายชวี ิต นีค่ ืออัตตาที่เราเขา้ ใจผดิ นิจจัง สุขขัง อัตตา ไม่ใช่ทางเดินของพวกเรา พวกเราต้อง เดินทาง อนิจจัง เห็นความไม่เท่ียงของรูป ของเสียง ของกล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง เหน็ ความทกุ ข์ เหน็ วา่ ทกุ อยา่ ง เปลีย่ นแปลง เพราะวา่ ทุกอยา่ งวา่ งจากตวั ตน ไมม่ ีตัวตนจริงๆ วนั หนง่ึ ตอนทอ่ี ยสู่ วนโมกข์ เพราะวา่ อายตุ อนนน้ั กเ็ ขา้ เบญจเพส มีคนงานยี่สิบกว่าคน มีเด็กๆ ด้วย มันก็มีดนตรีในตัวอ�ำเภอ เพื่อนท่ี ทำ� งานอยกู่ ช็ วนไปดู หลวงพอ่ กไ็ ปกบั เขาดว้ ย เพอ่ื นกอ็ ายไุ ลเ่ ลยี่ กนั ทนี ้ี ไปดลู ิเก กไ็ ปดหู ลงั ฉากมนั ไม่เห็นมนั มอี ะไรเลย ดเู ขา ดดู นตรี แลว้ ก็ 28

ดบั ว่าง สงบ เยน็ รู้สึกว่า โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้ว ท�ำยังไงล่ะ เพราะว่าจาก สวนโมกขไ์ ปทไ่ี ชยา มนั สกี่ โิ ลครง่ึ กบ็ อกเพอ่ื นวา่ นฉ่ี นั จะกลบั แลว้ กไ็ ม่ ไดบ้ อกหรอกวา่ เปน็ ยงั ไง บอกแตว่ า่ จะกลบั แลว้ เพอ่ื นบอกวา่ ไปยงั ไงละ่ ไปคนเดยี ว กว็ า่ ไมเ่ ปน็ ไร ฉนั ไมก่ ลวั หรอก ฉนั กลบั คนเดยี วได้ นคี่ อื ดไู ม่ ไดแ้ ลว้ เพราะวา่ ดแู ลว้ มนั เหน็ แตพ่ วกกระดกู เหน็ มนั รอ้ งเพลง เหน็ กราม มนั เหน็ ฟนั มนั เหน็ มนั ทำ� อะไร ดไู มไ่ ดเ้ ลย มนั เหน็ ความเบอื่ หนา่ ยขนึ้ มา ชอบกล มันเบื่อ มันเกิดความเบอื่ หนา่ ยข้นึ มา น่ันแหละเห็นทุกขังแลว้ ทนี ้ีเราต้องปฏบิ ตั ใิ ห้เหน็ อนิจจงั ใหเ้ หน็ ทกุ ขงั ให้เหน็ อนตั ตา เอา อนิจจังไปปรับกับนิจจัง เอาทุกขังไปปรับกับสุขขัง หรือสุขจอมปลอม สขุ จรงิ ๆ มนั ไมม่ ี เอาอนตั ตาไปปรบั กบั อตั ตา คอื ตวั ตน พอปรบั ไดก้ เ็ หน็ อนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา แลว้ สิ่งท่ีเราจะเห็นตอ่ มาก็คือ สุญญตา หลวงพอ่ พูดไวห้ ลายปีแลว้ สญุ ญตานี่ ให้เห็นสญุ ญตา เราก็ต้องภาวนาสญุ ญตา ภาวนาคำ� วา่ ว่าง วา่ ง ว่างเอาไว้ ท่ีเห็นกว็ า่ ง ท่ีได้ยนิ กว็ า่ ง ท่ีได้กลน่ิ กว็ ่าง ท่ลี ้ิมรสก็วา่ ง ที่สมั ผสั ทางผิวกายก็วา่ ง ท่ีรู้ทางใจก็ว่าง ถา้ รใู้ หล้ ะเอยี ดกวา่ นนั้ ไปอกี เรากต็ อ้ งทำ� ใหล้ ะเอยี ด เชน่ การทเี่ รา ทานอาหารเขา้ ไปน่ี มนั กจ็ ะไมว่ า่ ง ลนิ้ มนั กจ็ ะไมว่ า่ ง อาหารมนั กจ็ ะไมว่ า่ ง รสของอาหารก็จะไมว่ ่าง ความรูส้ กึ มนั ก็จะไมว่ ่าง เพราะความเคยชิน ท่ี เราอยู่กับความไม่ว่าง ทีน้ีหลวงพ่อก็ปฏิบัติมาในเรื่องน้ี ปฏิบัติมาโดย ไม่ใช่ว่าพระเดชพระคุณท่านอาจารย์จะสอนว่าอย่างนี้ คือมันท�ำเอง 29

หลวงพอ่ เอย้ี น  วิโนทโก กเ็ ลยตอ้ งนับค�ำอาหาร ค�ำทีห่ นึง่ สกั แตว่ ่าธาตวุ ่างๆๆ เคย้ี ว เคยี้ วแล้วก็ ธาตวุ า่ งๆๆ เขา้ ไป จนกลนื กธ็ าตวุ า่ ง นท่ี ำ� ใหช้ นิ อยา่ งนนั้ เราทำ� ใหช้ นิ เดนิ ก็ยก ยา่ ง ก้าวไป ไมใ่ ชว่ า่ เฉพาะแตเ่ ดนิ จงกรมอย่างเดียว วันหนึง่ เราจะ ตอ้ งเดนิ เดนิ เรากต็ อ้ งเดนิ วา่ ง นง่ั เรากต็ อ้ งนง่ั วา่ ง ทำ� งาน เรากต็ อ้ งทำ� งาน ว่าง กินก็ต้องกินอาหารว่าง คนกินก็ต้องว่าง นุ่งห่มก็จะต้องพิจารณา เสอื้ ผา้ เปน็ ของวา่ ง ผทู้ สี่ วมใสเ่ สอื้ ผา้ กเ็ ปน็ ของวา่ ง นแี่ หละเปน็ การเจรญิ คำ� วา่ ว่าง ว่าง ให้มาก เจริญค�ำวา่ วา่ งน้ีใหม้ าก ใหว้ า่ งเอาไวเ้ รือ่ ยๆ วา่ ง นี้ให้เข้าใจว่า ว่างจากตัวตน อย่าว่างไม่มี อันน้ันผิด บางคนไปแปล ว่า วา่ งเปล่า บาปมาก ถ้าแปลผดิ เป็นการทำ� ลายพุทธศาสนาโดยไมร่ ตู้ วั “ไม่ใช่ก”ู นน่ั คอื ว่าง ทภี่ าวนาว่า “ไมใ่ ช่ก”ู น่ันแหละคอื ว่าง วา่ ง จากอะไร ก็คือว่างจากกูน่ันแหละ ทีนี้ให้มันว่างไปเรื่อยๆ จนเข้าเน้ือ เข้าตัวเลย แต่นั่นแหละก็ต้องเดินทาง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็น อนัตตา แล้วก็จะเห็นสุญญตา เหน็ ความว่าง ไม่ใชเ่ ห็นความว่างเฉพาะ ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ แม้แต่ รปู เสยี ง กล่นิ รส ท่เี ราเหน็ เหน็ นีม่ ันเหน็ ไปท่ัวหมด แตว่ ่ามันไม่ได้ไปปักใจให้อะไร ถา้ ไปปกั ใจ เชน่ ไปปักใจว่า ดอกไมน้ ้ีสวย อ้าว ดเู ลย เพ่งดเู ลยทีน้ี มนั สวยยงั ไง แตพ่ อล่วงเวลาไป มันไมส่ วยไมง่ ามแลว้ พระท่ีเขาไปเจริญอสุภะกรรมฐาน ไปดูซากศพ สมัยก่อนถ้าคน ตายมากๆ เผาไม่ทัน เขาก็ค้างเต่ิงเอาไว้อย่างนั้น มีพระท่ีท่านปฏิบัติ 30

ดบั วา่ ง สงบ เย็น ธรรม ท่านก็ไปเจริญอสุภะ คือความไม่สวยไม่งาม หรืออย่างประเทศ ญี่ปุ่นที่ตายกันเป็นหมื่น เขาก็ต้องเก็บเอามากองกันไว้ก่อน เอามากอง ไว้ แลว้ ก็ขดุ หลุม เอารถแทรคเตอรม์ าขดุ หลมุ แล้วก็ฝังลงไป ผปู้ ฏบิ ัติ ธรรมกต็ ้องดู ดูตอนท่เี ขาเอามากองไว้น่นั แหละ มนั ก็มแี ตอ่ นิจจัง มแี ต่ ทกุ ขัง นอนปีนปา่ ย น�้ำเหลือง น�ำ้ เน่าไหล ดูไมไ่ ด้ ผมเผ้าก็ดูไม่ได้ อะไร กด็ ไู ม่ได้ อยา่ งท่ใี นญี่ปุ่นนี้ บางคนกแ็ ขนขาด บางคนก็ขาขาด บางคนก็ คอขาด บางคนกเ็ ทา้ ขาด บางคนกก็ ลางตวั ขาด บางคนกไ็ สท้ ะลกั ออกมา บางคนกม็ แี ตศ่ รี ษะ อะไรอยา่ งนี้ นแ่ี หละลาภอนั วเิ ศษเลย นเี่ รยี กวา่ การ พิจารณาให้เห็นอสุภะ ความไม่สวยไม่งาม ที่เราหลงว่าสวย ว่างาม นนั่ มนั จะเกดิ ทุกขัง พอเกดิ เราถ่ายตดิ เอาไวใ้ นจิตของเราเลย มันมีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งที่บ้านหลวงพ่อ เขาไม่ให้เด็กๆ ดูศพ เพราะกลัวเดก็ จะกลัว แม้แต่ใครหามหีบศพไป หรือว่าเอาหีบศพ นใี้ ส่เรอื ไปเผา ถ้าเด็กเหน็ เขาจะเอาเขม่าท่ตี ดิ ที่กน้ หมอ้ ด�ำๆ นนั่ แหละ เอามาเช็ดที่หนา้ ผากเด็ก อยา่ ให้เด็กกลวั เขาทำ� อย่างนั้น ทนี ้ีหลวงพอ่ นี่ ชอบดศู พ ตอนทเี่ ปน็ นกั เรยี นตวั เลก็ ๆ พอใครตาย โรงเรยี นพกั เรากไ็ ป ดแู ล้ว เวลาเขาเผากจ็ ะไปดู เวลาเขาเปดิ กจ็ ะไปดู อะไรก็จะไปดู คือมัน ชอบอยู่ นี่คือนิสัยที่มันมาแล้วอย่างนั้น เราก็เลยเพ่ิมนิสัยอย่างนั้นให้ มันเพ่มิ ข้ึน จนให้เห็นอนจิ จงั ใหเ้ ห็นทุกขัง ให้เหน็ อนตั ตา ถ้าเราไม่เห็น อนิจจัง ทกุ ขัง อนตั ตาท่คี นอนื่ ท่สี ่ิงอ่ืน เรากด็ อู นิจจัง ทกุ ขัง อนัตตาที่ 31

หลวงพ่อเอ้ยี น  วิโนทโก ตวั เรา ดทู ตี่ วั เราวา่ มนั เปลยี่ นแปลง มนั มอี นจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาอยตู่ ลอด เวลาที่ตวั เรานีอ้ ย่างไร ในอดีต ในปัจจุบัน และตอ่ ไปในอนาคตมนั เป็น อยา่ งไร น่ตี ้องใชป้ ญั ญาดูจงึ จะเห็นหรือเข้าใจ บางคนนานๆ เหน็ กนั ครง้ั หนง่ึ โอ้ เขากแ็ ก่ เรากแ็ ก่ มนั กแ็ กเ่ หมอื น กัน บางทีแก่จนจ�ำไม่ได้ เม่ือวานซืนมีลูกศิษย์เขามาเยี่ยม เอาลูก เอา หลาน เอาเขย เอาสะใภม้ าเยย่ี ม เออ้ มนั แกก่ วา่ เราอกี เราขนาดน้ี มนั แก่ กวา่ อกี ทำ� ไมมนั จงึ แก่ เพราะวา่ มนั ดม่ื เหลา้ บา้ ง มนั สบู บหุ รบ่ี า้ ง มนั กเ็ ลย แกเ่ ร็ว เราอย่ใู นวัดนี่ เราไมม่ อี ะไรมาก เราเปน็ พระปฏิบัตธิ รรม มนั กไ็ ม่ แกถ่ งึ ขนาดนน้ั นเี่ ราจะเหน็ ชดั เจนเลย เหน็ ความแก่ แลว้ กน็ อ้ มเขา้ มาหา ตวั เรากแ็ ก่ เขากแ็ ก่ ทนี ถี้ า้ เราไปเหน็ เดก็ มนั หนมุ่ มนั สาว แตเ่ รานน่ั แหละ แกแ่ ล้ว ตอ้ งอย่าลมื มองเขา้ มาหาตัวเอง พอมองเขา้ มาหาตวั เอง เราก็จะ เหน็ อนจิ จงั มนั เปน็ อยา่ งนนั้ ทกุ ขงั มนั เปน็ อยา่ งนน้ั อนตั ตามนั เปน็ อยา่ ง นน้ั ถา้ เดนิ ทางนั้นแล้วปลอดภยั ต่อไปกจ็ ะเห็นสญุ ญตา เกดิ -ดับ-วา่ ง ทีน้ีถา้ เหน็ สญุ ญตาแล้ว จติ นั้นอย่กู บั เรอื นว่างๆ มเี รือนหลงั ใหม่ ไมย่ ึดมั่นถอื มนั่ ว่าง ว่าง ว่าง นนั่ คอื วา่ งจากกิเลส ตัณหา วา่ งจากตวั กู ว่างจากของกู ได้อยู่เรือนว่างแล้วทีน้ีสบาย อยู่เรือนว่างแล้วสบาย พออยู่เรือนว่าง เราก็สร้างไปเรื่อยๆ เรือนหลังน้ีเราก็สร้างไปเรื่อยๆ 32

ดบั ว่าง สงบ เย็น ตาเกิด-ตาดบั -ตาว่าง ทเ่ี คยพดู เรอื่ งสามสบิ นน่ั แหละ กต็ านี่ตอ้ งใชง้ าน ทกุ วนั ตาเกดิ - ตาดบั -ตาวา่ ง รปู เกดิ -รปู ดบั -รปู วา่ ง รปู ทตี่ าเหน็ รปู อะไร กต็ ามทเี่ ราเขา้ ไปเพง่ ทเี่ ราเขา้ ไปพอใจหรอื ไมพ่ อใจ ตาเกดิ -ตาดบั -ตาวา่ ง รปู เกิด-รปู ดับ-รูปว่าง จักขุวิญญาณคือความรูส้ ึกทางตา จักขวุ ญิ ญาณ เกิด-จักขุวิญญาณดับ-จักขุวิญญาณว่าง คือความรู้สึกทางตาว่ารูปนั้น รูปน้ี ที่น้ีก็ผัสสะ คือ การกระทบ พอสามอย่างนี้มันกระทบกัน ตา รปู จกั ขุวญิ ญาณ พอมันท�ำงานรว่ มกันแลว้ กเ็ กิดผสั สะ คือการกระทบ เต็มรูปแบบ ผัสสะเกิด-ผัสสะดับ-ผัสสะว่าง ทีนี้มันก็ตามมาอีก ความ พอใจไมพ่ อใจมนั กต็ ามมาอกี เวทนาเกดิ -เวทนาดบั -เวทนาวา่ ง แลว้ มนั ว่างต้งั เทา่ ไหร่ลองคดิ ดู ตาเกิด-ตาดับ-ตาว่าง รูปเกิด-รูปดับ-รูปว่าง จักขุวิญญาณเกิด- จักขุวิญญาณดับ-จักขุวิญญาณว่าง ผัสสะเกิด-ผัสสะดับ-ผัสสะว่าง เวทนาเกดิ -เวทนาดับ-เวทนาว่าง แลว้ กท็ างหอู กี ทางหมู นั กว็ า่ งอยา่ งนนั้ ทางจมกู มนั กว็ า่ งอยา่ งนนั้ ทางล้ินมนั กว็ า่ งอยา่ งนั้น ทางกายมนั กว็ ่างอย่างนน้ั ทนี ที้ างมโน มโนคอื ใจ ใจเกดิ -ใจดบั -ใจวา่ ง นตี่ วั สำ� คญั ตวั สำ� คญั วา่ ทเี่ กดิ ทางตา ทางหู ทางจมกู ทางลน้ิ ทางกาย จบไปแลว้ แตว่ า่ มานอน ไม่หลับอยู่ มาคดิ ถึงมันอกี ชอบใจก็มาคดิ ถึงอยู่ ไม่ชอบใจเกลียดก็มา คิดถึงอยู่ อารมณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอามาคิด เพราะไม่เห็นว่าง ถ้า 33

หลวงพอ่ เอย้ี น  วิโนทโก เหน็ วา่ ง ก็จะเห็นว่า ใจเกิด-ใจดบั -ใจว่าง ธรรมารมณ์เกิด-ธรรมารมณ์ ดับ-ธรรมารมณ์ว่าง เพราะว่าธรรมารมณ์นั่นแหละ มันผ่านมาจากตา หู จมูก ล้นิ กายก่อน แล้วเก็บเอาไวๆ้ สญั ญาตัวน้นั แหละมันเกบ็ เอาไว้ พอเกบ็ เอาไว้ มาเกดิ ใหมอ่ กี ที มาเกิดใหมไ่ ม่เกดิ ทางตา ทางหูแลว้ เกดิ ทางใจ ท่เี กดิ ทางใจนีเ่ รยี กวา่ ธรรมารมณ์ ทนี ้ีใจกเ็ กดิ ตอนท่ใี จคดิ เรยี ก ว่าใจเกดิ ดบั มนั เสีย ใจดบั เพราะมันวา่ งจากตวั ตน ส่ิงไหนท่เี กดิ สิ่งนน้ั มนั ว่างจากตัวตนทั้งนั้น ใจเกดิ -ใจดบั -ใจวา่ ง ธรรมารมณเ์ กดิ -ธรรมารมณด์ บั -ธรรมารมณ์ ว่าง มโนวิญญาณเกิด-มโนวิญญาณดับ-มโนวิญญาณว่าง ผัสสะเกิด- ผสั สะดบั -ผสั สะว่าง เวทนาเกิด-เวทนาดับ-เวทนาวา่ ง เห็นอย่างนี้ มนั ไม่เอาอะไรแลว้ มันวา่ งทั้งนั้นเลย ไปโง่มนั ทำ� ไม นอนไมห่ ลับ ไม่ต้องไปกนิ ยานอนหลับ อยา่ ไปกินมัน ช่างหัวมัน กูนอน มาตงั้ แตอ่ ยใู่ นทอ้ งแมโ่ นน่ คนื นน้ี อนไมห่ ลบั มนั จะเปน็ อะไรไป นน่ั บอก มนั อย่างน้นั นอนวา่ งทนี ี้ นอนกบั ใครละ่ นอนกับวา่ ง ตาก็อย่บู ้านใหม่ เสีย อย่าอยู่บ้านโงๆ่ อย่บู ้านใหม่ บ้านวา่ ง หูกอ็ ย่บู า้ นวา่ ง จัดให้อยูบ่ ้าน วา่ ง จมกู ลิน้ กาย ใจ ให้อย่กู บั บา้ นว่าง บ้านท่ีเราอยู่ทุกวันน้ี สร้างกันเป็นแสนเป็นล้าน เป็นหลายล้าน เปน็ รอ้ ยลา้ นกม็ ี มนั ไมว่ า่ ง เพราะมนั บา้ นกู บา้ นนนั้ มไี วท้ ำ� ไม มไี วส้ ำ� หรบั ร่างกายเท่าน้ัน แต่วา่ บ้านของจติ ยงั ไม่ได้สรา้ ง ฉะน้นั เรามาทีน่ ้ี เรามา 34

ดับ ว่าง สงบ เย็น สร้างบ้าน มาสร้างบ้านให้จิตของเรา ให้จิตของเราได้อยู่กับบ้านว่างๆ สร้างให้จิต ตาก็ได้อยู่ หูก็ได้อยู่ จมูกก็ได้อยู่ ล้ินก็ได้อยู่ กายก็ได้อยู่ ใจกไ็ ดอ้ ยู่ ได้อยบู่ ้านว่างๆ ว่างนอี่ ยา่ คิดว่าบ้านไมม่ ี คอื มนั วา่ งจากตัวกู มนั วา่ งจากของกู พดู มาตงั้ หลายปแี ลว้ เรอื่ งวา่ งนี้ ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสทา่ นบอกวา่ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ใช้เวลาสบิ ปีท่านวา่ อย่างนน้ั ต้องใชเ้ วลาสิบปี ในการพูดเร่ืองความว่าง แต่ถ้าคนปฏิบตั ิจรงิ ไมถ่ ึงสิบปหี รอก มันกจ็ ะรู้ ไปภาวนา ภาวนาวา่ ตาวา่ ง หวู า่ ง จมกู วา่ ง ลน้ิ วา่ ง กายวา่ ง ใจวา่ ง คอื เราเอา เพยี งแตว่ า่ ง ตาเกดิ -ตาดบั -ตาวา่ ง หเู กดิ -หดู บั -หวู า่ ง วา่ ไปใหเ้ ปน็ ลอ็ กเลย ตาเกิด-ตาดับ-ตาว่าง รูปเกิด-รูปดับ-รูปว่าง จักขุวิญญาณเกิด- จักขุวิญญาณดับ-จักขุวิญญาณว่าง ผัสสะเกิด-ผัสสะดับ-ผัสสะว่าง เวทนาเกิด-เวทนาดับ-เวทนาว่าง ให้มันไปเป็นล็อกของมันเอง ทีน้ีหู ก็เหมอื นกนั จมกู ลิ้น กาย ใจ ก็เหมอื นกนั พอเราเขา้ ใจอยา่ งนนั้ แลว้ เรากว็ ่า ตาว่าง หูวา่ ง จมกู ว่าง ลิ้นว่าง กายว่าง ใจวา่ ง เรากว็ า่ “ว่าง” ไป เตรียมพร้อมอยู่อย่างน้ันไปตลอดเวลาเลย อย่าได้พลาด ขาดสติเวลา ไหน ได้เร่ืองทุกที ทีนี้เวลาตายล่ะ ท�ำยังไง เราก็ตายว่าง ตายว่าง ก็จะมีแต่ความ ว่างควบคุมเราเอาไว้ ไม่ยึดมั่นถือม่ัน ถ้ายึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็ไม่ว่าง ไม่เหมอื นกบั ภาษาคน วา่ งภาษาคนคือว่างไมม่ อี ะไร ไมม่ ีคนนงั่ อยู่ในนี้ 35

หลวงพอ่ เอย้ี น  วิโนทโก ไมม่ ตี วั อาคารน้ี ไมม่ วี ดั นี้ มนั วา่ ง แตใ่ นภาษาธรรม เรยี กวา่ ภาษาโลกตุ ระ นีค่ อื ว่าง ฉะน้ันเราจะตอ้ งยกฐานะของจิตให้มันสูงขึน้ ไป ทว่ี างสโลแกนเอาไว้ว่า ดับ แล้วกว็ า่ ง วา่ งแล้วตอ่ ไปอะไรอกี ว่าง นี่ก็ต้องท�ำให้จนชินนะ ไม่ใช่ท�ำนิดๆ หน่อยๆ หลวงพ่อท�ำมากี่ปีแล้วก็ ไมร่ ู้ จำ� ไมไ่ ดแ้ ลว้ สงบ-เย็น ทนี บ้ี า้ นของเรา เรากจ็ ะตอ้ งปรบั ปรงุ อกี ไมใ่ ชแ่ คน่ นั้ บา้ นวา่ งเสรจ็ แล้ว บ้านว่างต้องสงบสิ ฉะน้ัน คนเวลาใกล้จะตายเขาก็ต้องบอกทาง บอกว่าสงบเอาไว้ สงบเอาไว้ ให้จติ มนั สงบ เราไม่เข้าใจค�ำว่าสงบ เราเข้าใจเพียงว่าพอน่ังสมาธิก็จิตสงบ เป็นสมาธิ แล้วก็พิจารณาส่ิงต่างๆ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่น คือเรายังไม่ช�ำนาญอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอจิตสงบแล้ว ก็พิจารณา อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา จติ สงบ ทนี ้ี สงบ ตามธรรมดามันไม่กลวั ถา้ เรา กลัวนั่นมนั ไมส่ งบแล้ว เชน่ เราขน้ึ มาบนน้ี เราเดินมาคนเดียว ไปเทีย่ ว ในตลาด ไปเทีย่ วเมอื งนอกเมอื งนา พอเราขึ้นมาบนนี้ รสู้ กึ วา่ มันโล่งไป ที เพราะว่ามนั สงบ พอขนึ้ มาบนน้ี จิตมาสัมผสั กับความสงบ แล้วเป็น ยงั ไง สบาย โล่งไปที สบาย 36

ดบั วา่ ง สงบ เย็น ทีนี้มันไม่เท่านั้นสิ ความสงบน่ันมันนิพพานแล้ว อุปะสะมายะ เพอ่ื ความสงบ อะภญิ ญายะ เพอ่ื ความรยู้ งิ่ สมั โพธายะ เพอื่ ความรพู้ รอ้ ม นิพพานายะ สังวัตตะติ เป็นไปเพื่อนิพพาน ไปดูในธรรมจักรกัปวัตน- สูตร เป็นไปเพ่ือนิพพาน เพราะฉะน้ัน บ้านของเรานี้ก็จะต้องปรับปรุง ไปเร่ือย จากบา้ นทีว่ า่ ง ตอ่ ไปบา้ นสงบ หาบา้ นสงบให้ได้ บา้ นสงบกอ็ ยู่ ในหลงั เดยี วกันนัน่ แหละ แตม่ ันพฒั นาไปๆ จนถงึ ความสงบ น่ีคือเกี่ยวกับว่าง ยกระดับจากตัวว่าง พัฒนาข้ึนไปเป็นสงบ บา้ นน่ีถกู พัฒนาแลว้ ต้องพฒั นาไปถึงพระนพิ พานโนน่ แหละ สงบก็คือพระนิพพาน ว่างก็คือพระนิพพาน อนิจจังก็คือ พระนพิ พาน ทกุ ขงั กค็ อื พระนพิ พาน อนตั ตากค็ อื พระนพิ พาน สญุ ญตา ก็คือพระนิพพาน สงบก็คือพระนิพพาน เย็นก็คือพระนิพพาน พระ นพิ พานทงั้ นนั้ นก่ี ารเดนิ สายของพระนพิ พาน ตอ้ งเดนิ สายอยา่ งน้ี นคี่ อื บา้ นท่ีเราจะต้องสรา้ ง พระนพิ พานนี่ แปลวา่ ความสงบเย็น ความว่างนี่เป็นชีวิตจิตใจของผู้ปฏิบัติ แล้วก็ยังเขยิบขึ้นไปอีก เป็นความสงบ จากว่างแล้วเดินไปหาความสงบ เปรียบก็เหมือนกับว่า ลูกของญาติโยมบางคนท่ีเล็กๆ เขาก็ให้เล่นเกมท่ีในมือถือ นี่เขาเลี้ยง ลูกอยา่ งนี้ เอาใหเ้ กมเล้ียงลกู ลกู ตดิ เกม กนิ ข้าวก็ตอ้ งเลน่ เกม ท�ำอะไร ก็ต้องเล่นเกม เป็นเด็กเกมไป ทีน้ีเราก็ติดเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ติดเกม คือเราติดอยู่กับความว่าง แล้วเราก็ยกระดับข้ึนเป็นความสงบ เราได้ 37

หลวงพ่อเอ้ียน  วโิ นทโก สร้างบ้านอีกหลังหน่ึงแล้ว บ้านเดิมน่ันแหละ แต่ว่าปรับปรุงให้มันดี ข้นึ เปน็ บ้านท่ีสงบ หายใจเขา้ -สงบ หายใจออก-สงบ เดิน-สงบ น่งั -สงบ นอน-สงบ กิน-สงบ ดม่ื -สงบ ท�ำอะไรก็-สงบ สงบ สงบ สงบเหมือนเดก็ ตดิ เกมอย่างน้ัน อยู่กับความสงบ สงบแล้วมันไม่ฟุ้งซ่าน มันไม่มีอารมณ์ ไม่มี อารมณท์ างตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมือ่ มนั ไม่มีอารมณ์ มันก็อยูก่ ับ ความสงบ นค่ี อื บา้ น บา้ นของเราทกุ คน ทเ่ี ราจะตอ้ งสรา้ ง สรา้ งเพอ่ื ใหจ้ ติ อยู่ แตบ่ า้ นในปจั จบุ นั ของเรานส่ี รา้ งใหก้ ายอยู่ บา้ นทสี่ งบสรา้ งใหจ้ ติ อยู่ แลว้ จิตมันกจ็ ะไดอ้ ยกู่ บั ความสงบตัวน้นั พออยกู่ บั ความสงบ มนั ก็เยน็ มันก็ไม่ฟุง้ ซ่านอะไรเลย แลว้ มัน เผลอไมไ่ ด้ พอเผลอแลว้ กม็ าอยกู่ บั ความสงบ จะอยกู่ บั ความสงบ จะไม่ ไปไหน ไม่ยอมไปไหน อยกู่ ับความสงบ จะไปนง่ั ท่ีกลางชุมนุมชนอะไร กต็ าม ใจกอ็ ยกู่ บั ความสงบอยอู่ ยา่ งนน้ั นเี่ รยี กวา่ จติ ทสี่ งบ เพราะฉะนน้ั เราไมต่ ้องกลัวตาย เรามีบา้ นอยูแ่ ล้ว ตายกต็ ายสงบ อยูก่ อ็ ยู่สงบ ตาย กช็ า่ งมัน กไู ม่ได้ตาย ร่างกายมันตาย แต่ว่าจิตมันอยู่สบายแลว้ อยกู่ บั ตวั สงบ คือความว่างท่ีสงบ ฉะน้นั เราจะต้องพัฒนา พฒั นาความวา่ งนี้ จนไปถึงตวั ความสงบ หลวงพอ่ ปฏบิ ตั มิ นั กถ็ ลู ถู่ กู งั อยอู่ ยา่ งนนั้ กวา่ จะรจู้ รงิ หนงั สอื กไ็ ม่ อา่ น ถา้ ปฏบิ ตั ริ แู้ ลว้ จงึ อา่ น ถา้ ไมร่ ยู้ งั ไมอ่ า่ น ทนี อี้ า่ นมนั กเ็ พม่ิ ความรขู้ น้ึ 38


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook