200 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ คำ� ถามท่ ี ๔๖๒ ในโอกาสปใี หม ่ จะมกี ารนำ� เงนิ มารวมกนั ใหพ้ นกั งานขบั รถ แมบ่ า้ น ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับความสมัครใจ ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล และการใช้งาน ทั้งปกติและใช้เป็นพิเศษของคนๆ นั้น โดยข้าพเจ้าก็ร่วมให้เงินด้วย ประมาณ ๑๐๐-๓๐๐ บาท/คน และก็ให้เพ่ือนคนท่ีเป็นต้นความคิด (ไม่ได้ให้ในนามฝ่าย เน่ืองจากผู้บริจาคมาจากหลายฝ่ายปะปนกัน) ซง่ึ เปน็ ผทู้ สี่ นทิ หรอื ใชบ้ รกิ ารคนขบั รถ แมบ่ า้ นมากกวา่ ใคร นำ� ไปมอบให้ แม่บา้ น คนขับรถ (ใหเ้ ปน็ เงินสด) ทนี ม้ี าทราบภายหลังวา่ เพอื่ นคนนน้ั ไปเอาหน้าคนเดียว ไม่เขียนช่ือผู้ร่วมบริจาค หรือไม่บอกทางวาจาให้ แมบ่ า้ นหรอื คนขบั รถร ู้ ขา้ พเจา้ รสู้ กึ วา่ มนั ไมแ่ ฟร ์ เรามนี ำ�้ ใจกบั ใครเราก็ อยากใหเ้ ขารบั ร ู้ วา่ เราใชบ้ รกิ ารเขาเรากม็ นี ำ้� ใจนะ ไมไ่ ดใ้ ชเ้ ฉยๆ กเ็ ลย คิดว่าคราวต่อไปจะให้เป็นการส่วนตัว ไม่ร่วมกับใครแล้ว ในท่ีท�ำงาน ก็มีแต่คนแบบนี้ รู้สึกเซ็งและรับไม่ได้ขนาดเรื่องเท่าน้ียังท�ำได้ แสดง ให้เห็นถึงพ้ืนฐานของความไม่ซื่อสัตย์ในจิตใจ ทีน้ีหันกลับมาในเรื่อง ทางธรรมะ ความรู้สึกที่ข้าพเจ้าอยากให้คนขับรถรู้ว่าเรามีนำ�้ ใจกับเขา ถือเป็นโมหะ หลง หรือเรียกว่าอะไรคะ มีวิธีแก้ไขความคิดตัวเราเอง อย่างไรคะ ตอบ ท่ีคุณคิดน่ันดีแล้ว ถูกแล้ว เพื่อความยุติธรรม คนท่ีรับเงินไปควร จะแจ้งช่ือผู้บริจาคเงินทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรคุณก็ได้บุญไปแล้ว ท�ำใจ ใหส้ บายเถอะ ทหี ลังให้เปน็ สว่ นตัวเสยี กไ็ ด้
สนทนาธรรมกบั 201 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ คำ� ถามที่ ๔๖๓ โดยปกตขิ า้ พเจา้ จะไมว่ นุ่ วาย ไมส่ นใจเรอื่ งสว่ นตวั ของใคร ใครจะ น�ำประโยชน์จากหน้าที่การงานไปหาประโยชน์ในทางมิชอบ หรือได้ ผลประโยชน์จากการติดต่อร้านค้า ลูกค้า ใครเป็นก๊ิกกับใคร หรือใคร ซื้อบ้านใหม่ รถใหม่ เรื่องใดๆ ก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจฟังหรือร่วม วงนินทาด้วย แต่เม่ือบังเอิญต้องร่วมงานกับคนเหล่าน้ัน ข้าพเจ้าก็จะ ระวงั ตวั เนอ่ื งจากกลวั ความผดิ พลาดทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ เนอื่ งจากความไมร่ ู้ ในข้ันตอนของงาน กลัวเรื่องของการทุจริต ความไม่โปร่งใส ความไม่ ซ่ือสัตย์ ซึ่งเราต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ข้าพเจ้าไม่อยากท�ำผิด ไม่ อยากรว่ มงานกบั คนแบบน ้ี แตห่ ลกี เลย่ี งไมไ่ ด ้ เลยทำ� ใหเ้ ครยี ด ขา้ พเจา้ จะทำ� อยา่ งไรดคี ะ ขา้ พเจา้ รสู้ กึ วา่ ในจติ ใจ มแี ตเ่ รอ่ื งรสู้ กึ ไมพ่ อใจคนนน้ั ไมช่ อบคนน ้ี มแี ตต่ ำ� หนเิ พอ่ื น (เขาไมร่ บั ผดิ ชอบงานจรงิ ๆ) เปน็ อยา่ งน้ี ทกุ ๆ วนั เพราะตอ้ งทำ� งานกบั คนเหลา่ น ้ี เลยรสู้ กึ วา่ เราตดิ ดเี กนิ ไปหรอื เปลา่ เราไมค่ ดิ ทจี่ ะใหอ้ ภยั หรอื ยอมรบั และเขา้ ใจผอู้ น่ื (ซง่ึ ขา้ พเจา้ จะไม่ ยอมรับหรือเข้าใจแน่นอน รับไม่ได้) ปัญหาท่ีเรียนถามอาจารย์ก็จะวน ไปวนมาอยู่กับเร่ืองเหล่าน้ีทุกคร้ัง รู้สึกเกรงใจอาจารย์ค่ะ ถ้าอาจารย์ เห็นว่ามากไปหรือไม่เหมาะสมก็สามารถตัดออกได้นะคะ ขอขอบ พระคณุ อาจารยม์ ากคะ่ ทก่ี รณุ าสละเวลาตอบปญั หา เหมอื นใหป้ ญั ญา แกข่ า้ พเจา้ ทกุ วนั ศกุ รต์ อนคำ�่ เปน็ วนั ทข่ี า้ พเจา้ รอคอยทจี่ ะมาอา่ น ไมว่ า่ จะเปน็ คำ� ถามของทา่ นใด รสู้ กึ ไดร้ บั ความรไู้ ปดว้ ย และรสู้ กึ วา่ มอี าจารย์ เปน็ กำ� ลงั ใจ เปน็ คนทเี่ ราเคารพและไวใ้ จได ้ ทำ� ใหข้ า้ พเจา้ รสู้ กึ สบายใจ ข้ึน มีแรงท่ีจะไปท�ำงานวันต่อไป ขอให้กุศลผลบุญนี้ให้อาจารย์มี สุขภาพที่ด ี มรี า่ งกายทีแ่ ข็งแรงตลอดไปคะ่ ขอบพระคณุ ค่ะ
202 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ขอใหค้ ุณท่องกลอนบทน้ีเอาไวเ้ สมอๆ คือ จะหาใครถูกใจทไี่ หนเล่า ตวั เราเองยงั ไมถ่ กู ใจเราหนา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ลว่ งหนา้ ไวก้ ่อนไม่รอ้ นใจ (พระศาสนโศภณ-แจม่ จตั ตสัลโล) เม่ือความคิดใดๆ เกิดขึ้น ขอให้คุณคิดว่า “มันไม่เที่ยงๆ มันต้อง แปรปรวนไป ท้ังทางดีและทางไม่ดี” จะท�ำให้คุณสบายใจข้ึน อย่าเอา เรอ่ื งกบั สง่ิ เลก็ นอ้ ย ทอ่ งไวอ้ กี สกั ประโยคหนง่ึ วา่ “ชา่ งมนั เถอะ” เลา่ กนั วา่ พระราชาพระองค์หน่ึง ท่านให้คนเอาตาช่ังแขวนไว้ในท่ีๆ จะทอด พระเนตรไดส้ ะดวก แล้วใหเ้ อานำ้� มนั ใส่ไวเ้ ปน็ ประจ�ำ แปลวา่ “ชั่งมนั ” ค�ำถามท ่ี ๔๖๔ ผมได้มองตัวเองในเรอ่ื งจริต ก็ไมแ่ นใ่ จว่าเป็นคนจรติ แบบไหน ดู แล้วมันเป็นไปมากในราคะจริต โมหะจริต โทสะจริต ตามประสาคนที่ ยังมีกิเลสหนาเป็นพิเศษ ถ้าผมจะใช้กสิณสีขาวจะเหมาะสมไหม และ แผ่นกสิณสีขาวจะใชพ้ นื้ ดา้ นหลังเป็นสอี ะไรครบั ตอบ คนเราสว่ นมากหรอื แทบทง้ั หมดกจ็ ะมจี รติ ผสม คอื มหี ลายๆ อยา่ ง ในตวั คนเดยี ว บางอยา่ งมากบางอยา่ งนอ้ ย อยา่ งไหนมากเขากเ็ รยี กวา่ คนจริตนั้น เช่น โทสะมากออกหน้าก็เรียกว่าคนโทสะจริต คุณจะใช้ กสณิ ไหนก็ได้ ด้านหลังไมต่ ้องเก่ยี วข้อง
สนทนาธรรมกบั 203 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ค�ำถามท ่ี ๔๖๕ วโิ มกข์ ๓ คืออะไร และต่างกันอย่างไรคะ ตอบ วิโมกข์ แปลว่า ความหลดุ พน้ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. สญุ ญตวโิ มกข ์ แปลตามตวั วา่ หลดุ พน้ ดว้ ยความวา่ ง หมาย ความวา่ หลดุ พน้ เพราะเจรญิ อนตั ตานปุ สั สนา คอื พจิ ารณาความเปน็ อนัตตาของสงิ่ ทั้งหลาย ๒. อนมิ ติ ตวโิ มกข ์ แปลตามตวั วา่ หลดุ พน้ โดยไมม่ เี ครอื่ งหมาย หมายถึง หลุดพ้นเพราะเจริญอนิจจานุปัสสนา หรือพิจารณาความ ที่สิ่งท้ังปวงไม่เท่ียง ๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ แปลตามตัวว่า หลุดพ้นโดยท่ีตั้งอยู่ไม่ได้ หมายความวา่ หลดุ พน้ เพราะเจรญิ ทกุ ขานปุ สั สนา พจิ ารณาเหน็ ความ ท่ีสิ่งทงั้ ปวงเป็นทุกข์ วโิ มกข ์ ๘ ก็มี แต่วา่ ยากมาก ยากที่จะเข้าใจ ค�ำถามท่ี ๔๖๖ การเรียนปริยัติธรรมในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็นก่ีแบบคะ ท้ัง ของพระและฆราวาส หลักสูตรนักธรรม เปรียญธรรม พุทธศาสตร์ บณั ฑติ ตา่ งกนั อย่างไรบ้างคะ
204 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ในเบอื้ งแรกขอใหท้ ราบ การศกึ ษาปรยิ ตั ธิ รรม ๓ ระบบกอ่ น คอื ๑. ระบบนักธรรมมี ๓ ระดับ คือ ตรี-โท-เอก มีวิชาเรียนอยู่ ๔ วิชา คือ ๑) เรียงความอธิบายหัวข้อธรรมจากพุทธศาสนสุภาษิต เช่น “อตั ตา ห ิ อตั ตโน นาโถ” แปลวา่ ตนแลเปน็ ทพ่ี ง่ึ แหง่ ตน ใหผ้ สู้ อบเรยี ง ความอธบิ ายไปเทา่ ทีจ่ ะทำ� ได้ ๒) วิชาธรรมะ จากหนังสือ นวโกวาท มีหัวข้อธรรมเป็นหมวดๆ เชน่ หมวด ๒ หมวด ๓ เปน็ ตน้ ๓) วิชาวินยั ส�ำหรับพระสงฆ์ ๔) วชิ าพทุ ธประวตั ิ นักธรรมโทและเอกมีวิชาเรียนอยู่ ๔ วิชาเหมือนกัน แต่ละเอียด และสูงขน้ึ ไป สำ� หรบั ฆราวาสทส่ี มัครเรยี นระบบนกั ธรรมนี้เรียกว่า ธรรมศกึ ษา ๒. ระบบบาลี เรียนภาษาบาลีอย่างเดียว แต่เน้ือหาเป็นธรรมะ บ้าง วินัยบ้าง หลักสูตรเป็นหนังสือชั้นอรรถกถาบ้าง ปกรณ์พิเศษบ้าง เชน่ อรรถกถาธรรมบท ปกรณพ์ เิ ศษ เชน่ มงั คลตั ถทปี นี อธบิ ายมงคล ๓๘ วสิ ทุ ธมิ รรค อธบิ ายศลี สมาธ ิ ปญั ญา ละเอยี ดมาก สำ� หรบั เปรยี ญ ๙ เรียนคัมภีร์อภิธรรม เรียกว่า อภิธัมมัตถวิภาวิน ี เป็นหนังสือช้ันฎีกา (ขอให้ดูรายละเอียดในหนังสือ สิ่งที่เราควรท�ำความเข้าใจกันใหม่เพื่อ ความถูกตอ้ ง ตอนทวี่ า่ ดว้ ย พระสุตตันตปิฎกคืออะไร พระอภธิ รรมคอื อะไร) ๓. ระบบมหาวทิ ยาลยั เรยี นวชิ าทวั่ ไปเหมอื นมหาวทิ ยาลยั อน่ื ๆ แตเ่ พม่ิ วชิ าทางศาสนามากเป็นพิเศษ
สนทนาธรรมกับ 205 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ระบบบาลีเขาเรียก เปรียญธรรม พธ.บ.นั้นเป็นช่ือของปริญญา ของมหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั สว่ น ศน.บ.เปน็ ชอ่ื ปรญิ ญาของมหา มกุฏราชวิทยาลัย คำ� ถามที่ ๔๖๗ ถา้ อยากทราบวา่ พระพทุ ธองคท์ รงสอนอะไร และคนเราจะถงึ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ดอ้ ยา่ งไร จะหาคำ� ตอบไดจ้ ากพระสตู ร หรอื พระอภธิ รรมหรอื ด้วยวิธอี นื่ ใดคะ ตอบ ลองหาหนังสือชื่อ หลักค�ำสอนส�ำคัญในพระพุทธศาสนา (พุทธ ปรชั ญาเถรวาท) ของผมเอง มาอ่านดู กจ็ ะรู้ว่าพระพุทธเจา้ สอนอะไร ค�ำถามท ่ี ๔๖๘ อยากสอบถามอาจารย์น่ะค่ะว่า การที่เรามีจิตชอบอะไร หรือไม่ ชอบอะไร ท�ำไมถึงก่อภพก่อชาติได้ ในส่วนของจิตท่ีมีเวทนาดิฉันพอ จะเขา้ ใจไดว้ า่ เพราะเมอื่ เราชอบอะไร เรากอ็ ยากไดส้ ง่ิ นนั้ ๆ มาอกี (เกดิ ตณั หา) พอจติ เกดิ ตณั หา กจ็ ะเกดิ อปุ าทานคอื การยดึ วา่ สง่ิ นนั้ เปน็ ของ เรา แตใ่ นทางกลบั กนั ถา้ เราไมช่ อบสงิ่ ไหนกต็ าม ทำ� ไมถงึ ทำ� ใหเ้ ราเกดิ ภพเกิดชาติล่ะคะ ในเม่ือความรู้สึกไม่ชอบน่าจะเป็นความรู้สึกผลักไส ท�ำให้เราไม่เกิดได้อีก รบกวนอาจารย์ช่วยไขข้อข้องใจให้หน่อยนะคะ สว่ นอกี เรอ่ื งทอี่ ยากถามกค็ อื วา่ การทคี่ นรกั เกา่ ของเราเวยี นโทรศพั ทม์ า
206 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ หาเพื่อรื้อฟื้นความหลัง แต่เราไม่อยากกลับไปคุยหรือติดต่อกับเขาอีก เราจะบาปไหมคะ แม้เราจะคุยกับเขาบ้างบางคร้ังเพ่ือรักษาน�้ำใจ แต่ อีกใจหนึ่งเราก็อยากให้เขาออกจากชีวิตเราไปเลย เพราะมันไม่มีเร่ือง อะไรจะให้รื้อฟื้นอีกแล้วน่ะค่ะ ดิฉันจึงอยากถามอาจารย์ว่าควรปฏิบัติ ตวั อยา่ งไงกบั เขาดคี ะ เพอื่ ใหเ้ ขาสบายใจ และเรากไ็ มต่ อ่ เวรตอ่ กรรมกนั อีกน่ะค่ะ (ลืมบอกไปว่าตอนเลิกกัน ก็เลิกกันไม่ค่อยดีน่ะค่ะ แล้วก็ไม่ เคลียร์กันอย่างดีด้วย ดังนั้นความรู้สึกหลังเลิกกันจึงไม่สามารถกลับ ไปเป็นมิตรกันดังเดิม แต่เช่ือว่าเขาจะโทรมาบ่อยๆ เพื่อเคลียร์ปัญหา เดมิ ๆ และขอคนื ดนี ะ่ คะ่ ) ทงั้ นข้ี อขอบพระคณุ อาจารยม์ ากๆ เลยนะคะ ทสี่ ละเวลาสว่ นตวั มาตอบปญั หาใหพ้ วกเราในเวบ็ นน้ี ะคะ ขออนโุ มทนา บุญนี้ดว้ ยคะ่ ตอบ ที่ชอบเป็นกามตัณหา ภวตัณหา ท่ีไม่ชอบเป็นวิภวตัณหา มัน จึงก่อภพก่อชาติ คุณไม่ได้เบื่อแบบนิพพิทา (เบ่ือแล้วสงบ) ถ้า คุณเบ่ือแบบนิพพิทา ย่ิงเบื่อก็ยิ่งคลายความยึดติดในส่ิงต่างๆ แบบท่ี คณุ เบอื่ คนรกั เกา่ ของคณุ นน่ั แหละ ตอ่ ไปกจ็ ะหลดุ พน้ สงบและดบั เยน็ ไมก่ อ่ ภพกอ่ ชาติ ค�ำถามท ี่ ๔๖๙ อนุปุพพิกกถา คืออะไร ผู้แสดงต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นหรือ ไมค่ ะ
สนทนาธรรมกบั 207 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ “อนุปุพพกิ กถา” ม ี ๕ อย่างดังน ี้ คอื ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. สวรรค ์ ๔. กามาทีนวะ (โทษของกาม) ๕. เนกขัมมานิสงส์ แปลว่า อานสิ งสข์ องการออกจากกาม ทานและศลี เปน็ เหตใุ หไ้ ดส้ วรรค ์ คอื ความสขุ ทงั้ ในโลกนแี้ ละโลก หน้า แต่ยงั วนเวียนอยู่ในกามคุณ ยงั มีโทษแฝงเร้นอย ู่ พระพุทธเจ้าจึง ทรงแสดงกามาทนี วะ คอื โทษของกามคณุ และทรงแสดงเนกขมั มาน-ิ สงส์ คอื อานสิ งสข์ องการออกจากกามคณุ คอื ออกจากสงิ่ ยวั่ ยวนตา่ งๆ ทางตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมน้ีเป็นองค์แรก ต่อมาพระสาวกต่างๆ ก็แสดงดว้ ย หมายความว่าใครแสดงกไ็ ด ้ แมใ้ นบดั น้กี แ็ สดงกันอยู่ คำ� ถามที่ ๔๗๐ “อุปนิสัย ๔” กับ “นิสสยสัมปันโน” คืออะไร มีความสัมพันธ์กัน อยา่ งไรคะ ตอบ “อุปนิสัย ๔” เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “อปัสเสนธรรม ๔” แปลว่า ธรรมเปน็ ท่พี ึง่ เป็นทีพ่ กั พิง เป็นเหมือนพนัก ๔ อย่างนน้ั คือ ๑. พิจารณากอ่ นแลว้ เสพ คือ กระทำ� สิ่งทค่ี วรท�ำ ๒. พจิ ารณาแลว้ อดกลน้ั คอื อดทนนน่ั เอง ๓. พจิ ารณาแล้วเว้นสิง่ ทค่ี วรเวน้ ๔. พิจารณาแล้วบรรเทา เช่น บรรเทากามวติ ก เปน็ ต้น
208 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ สว่ นคำ� วา่ “นสิ สยสมั ปนั โน” นน้ั แปลวา่ ผมู้ ธี รรมเปน็ ทอ่ี าศยั คอื อาศัยอุปนิสัย ๔ ดังกล่าวแล้ว และด�ำรงอยู่ในธรรมอีก ๕ ประการคือ ศรทั ธา หริ ิ โอตตปั ปะ วริ ยิ ะ ปญั ญา เรยี กวา่ นสิ สยสมั ปนั โน แปลวา่ ผู้ สมบรู ณด์ ว้ ยนสิ ยั สว่ นนสิ สยสมั ปนั โนทมี่ าในอลนี จติ ตชาดก ทกุ นบิ าต ท่านแปลว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยกัลยาณมิตรเป็นที่พึ่งพาอาศัย เนื้อเร่ืองก็ บง่ ไปทางนั้น ขอบคุณทุกคนที่ถามปัญหาดีๆ มา และขอให้ทุกคนมีความสุข พ้นจากความทกุ ขท์ ัง้ ปวง ค�ำถามท ี่ ๔๗๑ ชอบเขา้ มาอา่ นทา่ นอาจารยต์ อบปญั หาคะ่ ขออนโุ มทนา และขอ ใหท้ า่ นอาจารยเ์ จรญิ ในธรรมยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป มสี ขุ ภาพกาย สขุ ภาพใจทด่ี คี ะ่ ตอบ ขอบคุณที่ชอบเข้ามาดูรายการน้ี ขอบคุณท่ีอวยพรให้มีสุขภาพดี เพราะวา่ ความมีสขุ ภาพดเี ปน็ ทปี่ รารถนาของคนทุกคนรวมท้ังผมด้วย คำ� ถามท่ี ๔๗๒ อยากทราบว่า มอี าการจิตไหลไปสัมผสั สิ่งท่ถี กู ร้ ู เช่น ใบหน้าคน ท่ีคยุ ด้วย จะภาวนาอยา่ งไรคะ
สนทนาธรรมกับ 209 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ถามแปลกด ี ทวี่ า่ จติ ไหลไปสมั ผสั ใบหนา้ ของคนทคี่ ยุ ดว้ ยนนั้ คน ที่คุยด้วยอยู่เฉพาะหน้าหรืออยู่ท่ีอื่น แต่จะอยู่ท่ีไหนก็ตามถ้าเราคุ้นกับ ใบหน้าเขาจิตก็ไหลไปที่ใบหน้าเขาเป็นธรรมดาๆ ไม่ต้องภาวนาอะไร หรอก ธรรมดาเป็นเชน่ นั้นเอง เหมอื นๆ กนั ทกุ คน ค�ำถามท ี่ ๔๗๓ บคุ คลเชน่ ใดควรไดช้ อื่ วา่ ปราชญ ์ บคุ คลเชน่ ใดควรไดช้ อ่ื วา่ บณั ฑติ บุคคลเช่นใดควรได้ช่ือว่ามุนีคะ และธรรมบทใดท่ีท่านเหล่านั้นยกย่อง ว่าเปน็ เลศิ คะ ตอบ “ปราชญ์” คือ บุคคลผู้รอบรู้ในวิชาการด้านใดด้านหน่ึง บัณฑิต คือ คนดมี คี ณุ ธรรม ดำ� เนนิ ชวี ติ ดว้ ยปญั ญา ปณั ฑา แปลวา่ ปญั ญา ผู้ ประกอบดว้ ยปณั ฑาชอ่ื วา่ เปน็ บณั ฑติ มนุ ี แปลวา่ ผรู้ ผู้ สู้ งบ ผมู้ คี ณุ ธรรม ค�ำเหล่าน้ีมีนัยหลายหลาก มีพระพุทธพจน์มากหลายท่ีตรัสถึงบัณฑิต นกั ปราชญแ์ ละมนุ ี ดใี จทค่ี ณุ สนใจคำ� เหลา่ น ี้ ขอแนะนำ� หนงั สอื เลม่ หนง่ึ ชอ่ื ทางดำ� เนนิ ของมุนี (โมไนยปฏิปทา) โดย วศิน อินทสระ ค�ำถามท ่ี ๔๗๔ วิธีการสั่งสอนเวไนยสัตว์ของพระพุทธองค์มีก่ีวิธี หรือกี่ลักษณะ อะไรบ้างคะ
210 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ วิธีท่ีทรงสอนมีหลายวิธี ทรงแสดงธรรมให้เหมาะสมแก่อุปนิสัย ของบุคคลน้ันๆ มีปริยายเป็นเอนก ขอแนะน�ำหนังสือเร่ือง พุทธวิธีใน การสอน โดย วศิน อินทสระ ในหนังสือเล่มน้ันจะมีวิธีการสอนของ พระพุทธเจ้ามากมายหลายประการ คำ� ถามท ่ี ๔๗๕ มิจฉาทิฐิมีกี่ประเภท อะไรบ้างคะ และจะละได้อย่างไร สักกาย- ทฐิ ิเป็นมจิ ฉาทิฐิประเภทหนง่ึ หรือไมค่ ะ ตอบ สักกายทิฐิไม่เป็นมิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิแปลว่าเห็นผิด เห็นผิด จากท�ำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าท�ำดีไม่ได้ดี ท�ำชั่วไม่ได้ช่ัว เป็นต้น ในพระสูตรบางแห่งพระพุทธเจ้าตรัสถึงมิจฉาทิฐิ ๑๐ อย่าง เช่น การ ให้ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลแห่งกรรมดีกรรมช่ัวไม่มี โอปปาติ กะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่มี ฯลฯ ส่วนสักกาย ทิฐิน้ันเป็นเพียงเห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเกี่ยวกับร่างกาย เชน่ ยดึ วา่ รา่ งกายเปน็ ของตน ความจรงิ เปน็ เพยี งธรรมชาตปิ ระกอบกนั คือ ดิน น�้ำ ไฟ ลม คำ� ถามที ่ ๔๗๖ ถา้ เคยผิดศีล ๕ สามารถปฏิบัติธรรมหรือวิปัสสนาไดห้ รอื ไมค่ ะ่
สนทนาธรรมกับ 211 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ เป็นแต่เพียงเคยผิด ถ้าปัจจุบันมีศีล ๕ ดีแล้วก็สามารถปฏิบัติ ธรรมและวิปัสสนาได้ คนส่วนมากก็เคยผิดกันทั้งน้ันไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง เหมือนรา่ งกายและเสื้อผา้ ที่เคยเปอ้ื น แต่เม่ือชำ� ระร่างกายให้ดีแลว้ ซัก เสอ้ื ผ้าแล้วกส็ ะอาดได้ คำ� ถามที ่ ๔๗๗ “พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ” กบั “พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ” คอื พระพทุ ธ- เจา้ แบบไหนคะ ต่างกันอย่างไร ขอบพระคณุ ค่ะ ตอบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือท่านผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วสั่งสอน ประชาชน ตั้งศาสนา มีคณะสงฆ์สืบต่อพระศาสนา ส่วนพระปัจเจก- พุทธเจ้านั้นคือท่านผู้ตรัสรู้เองแต่ไม่ส่ังสอนประชาชน ไม่ตั้งศาสนา ไม่มีคณะสงฆ์ มีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน เกิดขึ้นในพุทธันดรคือ ช่วงท่ีว่างจากศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเพ่ิมพุทธะให้อีก ๒ ประเภท คือ ๑. อนพุ ทุ ธะ ทา่ นผรู้ ตู้ ามพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดแ้ ก ่ พระอรยิ - สาวกทงั้ หลาย ท้ังทีเ่ ป็นบรรพชิตและคฤหสั ถ์ ๒. สุตพุทธะ ได้แก่ ท่านท่ีเป็นกัลยาณชนอยู่ แต่เป็นผู้รอบรู้ แตกฉานในพระธรรมวนิ ยั ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เรยี กวา่ เปน็ พหสู ตู
212 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ คำ� ถามที ่ ๔๗๘ มีค�ำถามท่ีสงสัย รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะเพ่ือแก้ข้อสงสัย ๑. คำ� พดู ทบ่ี อกวา่ นรก-สวรรค ์ มจี รงิ แลว้ เวลามคี นขดุ ลงไปใตด้ นิ ลกึ สดุ ทจี่ ะลกึ ไดท้ ำ� ไมไมเ่ จอนรก ๒. สว่ นทอ้ งฟา้ กม็ คี นทส่ี ามารถขน้ึ ไปถงึ ขนั้ นอกอวกาศ ทำ� ไมไมพ่ บสวรรค ์ ๓. นพิ พานคอื ดนิ แดนอะไรอย่ ู ณ จดุ ใด ๔. จกั รวาลนม้ี ขี อบเขตหรอื ไมอ่ ยา่ งไร ๕. จติ วญิ ญาณ สมอง ใจ หรอื หวั ใจ เปน็ อย่างเดียวกนั หรือไม่ ตอบ ๑. - ๒. นรกไมไ่ ดอ้ ยใู่ ตด้ นิ สวรรคไ์ มไ่ ดอ้ ยบู่ นฟา้ แตห่ มายถงึ สภาพ ชวี ติ ของสตั วโ์ ลกทท่ี กุ ขท์ รมานและสขุ สบายตา่ งกนั นรก สวรรคอ์ าจอยู่ ใกล้ๆ เราก็ได้ แต่เป็นอทิสสมานกาย แปลว่า กายที่ไม่ปรากฏให้เห็น ได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา (unseen world) แต่ท่านท่ีได้ทิพยจักษุญาณ สามารถเห็นนรก สวรรค์ได้ด้วยตาทิพย์ ที่เขาพูดว่ามีสวรรค์เป็นชั้นๆ และนรกมหี ลายขมุ นนั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ชนั้ สงู ขนึ้ ไปเหมอื นตกึ ๖ ชน้ั แตห่ มายถงึ สภาพชวี ติ ทแี่ ตกตา่ งกนั เทยี บดใู นโลกมนษุ ยก์ ไ็ ด ้ มนษุ ยเ์ ราเปน็ มนษุ ย์ เหมอื นกนั แตม่ สี ขุ ทกุ ขใ์ กลเ้ คยี งกนั กม็ ี สขุ ทกุ ขต์ า่ งกนั เหมอื นฟา้ กบั เหว ก็มี ขอแนะน�ำให้อ่านหนังสือเร่ือง สวรรค์ นรก บุญ บาป ของวศิน อินทสระ ส�ำนักพิมพธ์ รรมดา โทร. ๐-๒๘๘๘-๗๐๒๖ ๓. นพิ พาน คือ การดับกิเลสได ้ อยใู่ นจิตของเราน่เี อง เทยี บให้ดู ไดง้ า่ ยๆ ดงั น ้ี จติ มที กุ ขเ์ ปน็ นรก จติ มสี ขุ เปน็ สวรรค ์ จติ สงบเปน็ นพิ พาน ๔. เคยมผี มู้ าทลู ถามพระพทุ ธเจา้ ทำ� นองนเ้ี หมอื นกนั พระพทุ ธเจา้ ตรัสตอบว่าไม่มี (ดู นัยโรหิตัสสสูตร) เขาเล่าว่า เม่ือชาติก่อนเขาเป็น ฤๅษีมีฤทธิ์เหาะได้ เที่ยวเหาะส�ำรวจโลกอยู่เกือบตลอดชีวิต แต่ก็หาท่ี
สนทนาธรรมกบั 213 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ สุดโลกไม่ได้ จักรวาลมีเป็นอันมาก ส�ำรวจไม่ไหว นักวิทยาศาสตร์ใน ปจั จบุ นั กย็ งั สำ� รวจไดไ้ มห่ มด พระพทุ ธเจา้ ตรสั ชกั ชวนใหม้ าสนใจในโลก คอื ร่างกายและจติ ใจของเราน ี่ ใหส้ ำ� รวจดแู ลให้ดี มปี ระโยชน์กวา่ ทจี่ ะ ไปสำ� รวจจักรวาล ๕. จิต วิญญาณ ใจเหมือนกัน หัวใจเป็นก้อนเนื้อส�ำหรับสูบฉีด โลหิต สมองเป็นเครื่องมือส�ำหรับคิดคล้ายๆ เครื่องยนต์ จิตเปรียบ เหมือนคนขับ เหมือนกันและตา่ งกนั ดังกล่าวมาน ี้ สมองและหัวใจเปน็ รปู ธรรม สว่ นจติ วิญญาณ ใจ (มโน) เปน็ นามธรรม ค�ำถามท ่ี ๔๗๙ อธศิ ลี อธจิ ติ และอธปิ ญั ญา ตา่ งจากศลี สมาธ ิ ปญั ญา อยา่ งไร คะ ตอบ อธศิ ลี อธจิ ติ อธปิ ญั ญา หมายถงึ ศลี สมาธ ิ ปญั ญาในอรยิ มรรค ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ มีสัมมาทิฐิเป็นต้น นอกน้ันก็เป็นศีล สมาธิ ปญั ญาธรรมดา เรอื่ งนม้ี นี ยั หลายหลากตามอรรถกถานยั แตข่ อตอบใน ท่ีน้ีเพยี งนัยเดียวตามทก่ี ลา่ วแล้ว ค�ำถามท ี่ ๔๘๐ ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรกับคำ� กล่าวท่ีว่า “หากไม่คิด ไม่ ปรุงแตง่ กไ็ ม่ทกุ ข์” คะ
214 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ความทุกข์ท่ีเกิดจากความคิดปรุงแต่งก็มี ความทุกข์ท่ีเกิดจาก ปจั จยั อ่ืนๆ ก็ม ี เชน่ คนอดข้าวหลายวนั หวิ มาก เขาเป็นทกุ ข์จากความ หิว ไม่ต้องคิดปรุงแต่งมันก็ทุกข์ หรือคนถูกแทงบาดเจ็บสาหัสแม้ไม่ ปรงุ แต่งกท็ ุกข์ เป็นต้น คำ� ถามท่ ี ๔๘๑ วปิ สั สนปู กเิ ลสเปน็ อปุ กเิ ลสดว้ ยหรอื ไมค่ ะ หนา้ ทต่ี อ่ วปิ สั สนปู กเิ ลส คอื อะไรคะ ตอ้ งรู้ หรอื ต้องละ หรอื ท้งั สองอยา่ งคะ ตอบ เปน็ อปุ กเิ ลสของวปิ สั สนาตรงๆ ตามชอื่ นน้ั แตไ่ มใ่ ชอ่ ปุ กเิ ลส ๑๖ เมื่อเกิดข้ึนในขณะเจริญวิปัสสนา ท่านสอนให้ละเสีย เพราะถ้าไม่ละ ทำ� ใหว้ ปิ ัสสนาไมก่ า้ วหน้า คำ� ถามที่ ๔๘๒ การเห็น สักแต่ว่าเห็น การได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ จัดเป็น ปฏจิ จสมปุ บาทสว่ นใดคะ ตอบ การท�ำเช่นน้ีเพ่ือความไม่ยดึ มั่นถือมั่นในสิ่งทไ่ี ด้เหน็ ได้ฟัง ซึ่งเป็น เหตุให้เกิดกิเลส จัดเป็นปฏิจจสมุปบาทสายนิโรธวาร แปลว่า สายดับ คือดบั ตัณหาอปุ าทานและอวิชชา
สนทนาธรรมกับ 215 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ คำ� ถามท่ ี ๔๘๓ ได้ยินคนพูดอยู่เสมอว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได ้ แต่เคยพบบางแห่ง ในหนังสือบางเล่มวา่ คนเราเลือกเกิดได้ อาจารย์มีความเหน็ อยา่ งไร ตอบ เอาความเหน็ ของพระพทุ ธเจา้ ดกี วา่ ในสงั ขารปู ปตั ตสิ ตู ร มชั ฌมิ นิกาย อุปริปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยธรรม ๕ อย่าง คือ ศรัทธา ศีล สุตะ (การได้สดับ ตรบั ฟงั มาก) จาคะ และปญั ญา ยอ่ มสามารถเลอื กทเ่ี กดิ ได ้ คอื จะเลอื ก เกดิ เปน็ มนษุ ยห์ รอื เทวดากไ็ ด ้ จะเลอื กสนิ้ กเิ ลสกไ็ ด ้ หวั ขอ้ ธรรมนย้ี กเวน้ สตุ ะเสยี แลว้ กไ็ ปตรงกบั หวั ขอ้ ธรรม ๒ หมวด คอื สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ (ประโยชน์ในภายหนา้ ) และธรรมเป็นเหตุใหส้ มหมาย ๔ อยา่ ง ขอใหท้ กุ คนมคี วามสขุ พ้นจากทกุ ขเ์ ถดิ ค�ำถามท่ี ๔๘๔ เราเลือกเกดิ ได้ไหมคะอาจารย์ มีความคิดเห็นอยา่ งไรคะ ตอบ ดูค�ำตอบในข้อ ๔๘๓
216 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ค�ำถามที ่ ๔๘๕ รักแท้มีจริงหรือเปล่าคะ และรักอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์คะ ขอบ พระคณุ คะ่ ตอบ “รกั แท”้ ม ี ถา้ จะใหร้ กั แบบไมเ่ ปน็ ทกุ ขก์ ต็ อ้ งรกั แบบเมตตา ถงึ จะ มีทุกข์บ้างก็น้อย พอปลงใจอยู่ในอุเบกขาได้ แต่ถ้ารักแบบเสน่หา ปลงใจไม่ค่อยได้ พอผิดหวังก็เป็นทุกข์มาก สมหวังก็เพลิดเพลินหลง ใหลไปกับส่ิงท่ีรัก สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความโศก ความกลัว เกิดจากสิ่งท่ีรัก เม่ือพ้นจากสิ่งท่ีรักแล้ว ความโศก ความกลัวก็ไม่มี” บางคราวตรัสกับนางวิสาขาว่า “มีรักหนึ่งมีทุกข์หน่ึง มีรักร้อยมีทุกข์ ร้อย ไมม่ ที ุกข์ส�ำหรบั ผูไ้ ม่มรี กั ” ตอบแค่น้กี ่อน ขอใหร้ ะวงั ก็แลว้ กนั คำ� ถามท ี่ ๔๘๖ ดฉิ นั เห็นคนสอนธรรมะ แล้วไม่เหน็ ตัวเองจะปฏิบัติตามทีส่ อนได้ เลย รู้สึกไม่เล่ือมใส ไม่ศรัทธาในตัวบุคคลเช่นน ้ี แต่จะพูดก็ไม่ได้ แม้ คนอ่ืนจะพูดกันหนาหูถึงการปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับที่สอนผู้อ่ืน แต่ เราก็ต้องให้ค�ำแนะน�ำไปว่าไม่ให้ไปมองคนอื่น ให้กลับมาก�ำหนดรู้ท่ี ตัวเองดีกว่าในใจลึกๆ ก็รู้สึกว่า ผู้ท่ีมาสอนผู้อ่ืนให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยา่ งนอ้ ยๆ ตวั เองกน็ า่ ทจ่ี ะตอ้ งพฒั นาตนเองอยเู่ สมอ อายแทนแตไ่ มร่ ู้ จะทำ� อยา่ งไร ขอคำ� แนะนำ� ในการวางใจใหถ้ กู ตอ่ การทต่ี อ้ งทำ� งานรว่ ม กบั คนลักษณะนีค้ ่ะ
สนทนาธรรมกบั 217 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ ผู้สอนธรรมควรจะปฏิบัติธรรมไป ด้วย อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พึงตั้งตนไว้ในทางท่ีดีเสียก่อน สอน ผอู้ น่ื ภายหลงั จงึ จะไมเ่ ศรา้ หมอง แตว่ า่ คนทส่ี อนธรรมดว้ ยปฏบิ ตั ดิ ดี ว้ ย คอ่ นข้างจะหายาก ดังคำ� กลา่ วทว่ี า่ “พฤกษาปา่ ใหญ่ไพศาล หม่ไู ม้ตระการ กฤษณาจวงจนั ทน ์ ยากม ี (มนี ้อย) คนทร่ี ้ธู รรมท�ำดี ทวั่ ทัง้ บรุ ี จะมีจะหาไดส้ ักก่ีคน” แต่ถ้าค�ำสอนของเขาน้ันถูกต้อง คุณก็ถือเอาค�ำสอนอย่างเดียว ไมต่ อ้ งถอื เอาการกระทำ� ของเขา อยา่ งทโ่ี บราณเขาพดู เชงิ ลอ้ เลยี นไวว้ า่ “จงทำ� อยา่ งทฉ่ี นั พดู แตอ่ ยา่ ทำ� อยา่ งทฉ่ี นั ทำ� ” ขอใหค้ ณุ คดิ เสยี วา่ ตน้ ไม้ บางตน้ มผี ลอรอ่ ยแตโ่ คนตน้ ของมนั เตม็ ไปดว้ ยสง่ิ ปฏกิ ลู เชน่ ซากสนุ ขั เป็นต้น มีอีแร้งตัวหนึ่งคาบเพชรเม็ดใหญ่มาทิ้งไว้ท่ีประตูบ้านของเรา เราจะไมเ่ อาเพชรเพราะเหน็ วา่ อแี รง้ มนั นา่ รงั เกยี จคาบมา หรอื วา่ เราจะ เอาเพชรไว้ อแี รง้ จะไปไหนก็ช่างมนั คดิ อยา่ งนดี้ ีไหม คำ� ถามท ่ี ๔๘๗ ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๒ คณะกรรมการการศาสนาและ วฒั นธรรมของสภาผแู้ ทนราษฏร จะทำ� พธิ มี อบรางวลั กาญจนเกยี รตคิ ณุ ในฐานะเปน็ ผบู้ ำ� เพญ็ คณุ ประโยชนแ์ กพ่ ระพทุ ธศาสนาแดอ่ าจารย ์ วศนิ อนิ ทสระ หนขู อกราบแสดงความยนิ ดกี บั ทา่ นอาจารยด์ ว้ ยความเคารพ อยา่ งสงู คะ่
218 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ขอบใจมากๆ ท่แี สดงความยนิ ดมี า ค�ำถามท ี่ ๔๘๘ “อปัณณกปฏปิ ทา” และ “อรยิ วังสปฏปิ ทา” คืออะไรคะ ตอบ “อปณั ณกปฏปิ ทา” แปลว่า ขอ้ ปฏบิ ัติที่ไมผ่ ิด ม ี ๓ อย่าง คือ ๑. อนิ ทรยี สงั วร การสำ� รวมอนิ ทรยี ์ ๖ คอื ระวงั ตา ห ู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ไม่ให้ยินดีหรือยินร้าย ซ่ึงเป็นเหตุให้บาปอกุศลเกิดข้ึน แต่ถ้า ได้เห็นได้ฟังแล้วบุญกุศลเกิดขึ้น ท่านก็ให้ยินดีได ้ ถ้าได้เห็นได้ฟังแล้ว บาปอกศุ ลเกดิ ขนึ้ กไ็ มค่ วรยนิ ด ี แปลวา่ ไมใ่ หย้ นิ ดใี นบาปอกศุ ล นเี่ รยี ก ว่าสำ� รวมอนิ ทรีย์ ๒. โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร ข้อน้ี ไมต่ ้องอธบิ าย ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียร ไม่เห็นแก่หลับนอนมาก เกินไป ในพระบาลแี หง่ อปัณณกปฏิปทาน้ี ทา่ นให้นอนเพยี งยามเดียว คอื ในมชั ฌมิ ยาม (๔ ชว่ั โมง ตง้ั แตส่ ท่ี มุ่ ถงึ ตสี อง) สำ� หรบั ภกิ ษผุ ปู้ ฏบิ ตั ิ เพ่ือขัดเกลากิเลส กลางวันไม่นอนเลย อยู่ด้วยอิริยาบถ ยืน เดิน น่ัง เพอ่ื กำ� จัดนวิ รณ์และกิเลสตา่ งๆ สำ� หรับฆราวาสผ่อนปรนปฏบิ ตั ใิ ห้เหมาะสมแก่สขุ ภาพของตนๆ อรยิ วงั สปฏปิ ทา คอื การปฏบิ ตั ติ ามอรยิ วงศ ์ ม ี ๔ ประการ คอื ๑. สันโดษในเครอื่ งนงุ่ หม่ ตามมตี ามได้
สนทนาธรรมกับ 219 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ๒. สันโดษในอาหารตามมีตามได้ ๓. สันโดษในเสนาสนะตามมีตามได้ ทั้งสามข้อนี้ เมอื่ ไม่ไดก้ ไ็ ม่เดือดร้อน เมอ่ื ได้กไ็ ม่ติดพัน ๔. ยนิ ดใี นภาวนา คือ การอบรมจติ อยู่เสมอ ทั้งส่ีประการนี้ เมื่อตนท�ำได้ก็ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อ่ืน แปลว่า เดิน ตามรอยของพระอริยะ ขอบใจมากๆ ที่ถามปัญหาดีๆ มา ท�ำให้ผู้อ่าน ไดค้ วามเข้าใจในธรรมมากข้ึน คำ� ถามท่ ี ๔๘๙ เคยได้ยินท่านผู้รู้กล่าวว่า ในการเจริญสติ ไม่ควรติด “นิมิต อนุ พยัญชนะ” ค�ำวา่ “นิมติ อนพุ ยญั ชนะ” หมายถงึ อะไรคะ ตอบ คำ� วา่ “นมิ ติ ” ในทน่ี หี้ มายถงึ ถอื รวม เชน่ เหน็ คนๆ หนงึ่ มองโดย รวมว่าคนนี้สวย “อนุพยัญชนะ” หมายถึงถือแยกส่วน เช่น หน้าสวย แขนสวย ขาไม่สวย เปน็ ต้น
220 สนทนาธรรมกับ อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ คำ� ถามที่ ๔๙๐ ในหนังสือ ทางด�ำเนินของมุนี ท่านอาจารย์กล่าวคาถาศักด์ิสิทธิ์ บทหนึ่งว่า “ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล” เพ่ือให้มีจิตใจม่ันคงกับการได้ และไม่ได้อะไรๆ ในชีวติ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายความค�ำว่า “ไมไ่ ดก้ เ็ ปน็ กศุ ล” ดว้ ยเถดิ คะ่ วา่ ไมไ่ ดอ้ ะไร หรอื อยา่ งไร จงึ จะเปน็ กศุ ล กราบขอบพระคณุ ท่านอาจารยอ์ ย่างสงู คะ่ ตอบ เป็นค�ำของพระนาลกเถระผู้ถือโมไนยปฏิปทา แปลว่า ทาง ด�ำเนินของมุนี ท่านสอนให้ท�ำใจไว้อย่างน้ัน จะได้ไม่เดือดร้อนกับ เรอื่ ง “ไดห้ รอื ไมไ่ ด”้ บางอยา่ งเราไดม้ ากก็ อ่ ความทกุ ขใ์ ห้ ทเี่ ขาเรยี กวา่ ทกุ ขลาภ ไมไ่ ดเ้ สยี ยงั ดกี วา่ บางอยา่ งไดม้ าแลว้ ใหค้ วามสขุ ความพอใจ ในเบอื้ งตน้ แตใ่ หค้ วามทกุ ขค์ วามเดอื ดรอ้ นในบนั้ ปลาย บางทกี ารไมไ่ ด้ ทำ� ใหเ้ รามโี อกาสพฒั นาจติ ใจไดม้ ากกวา่ การได้ ทา่ นจงึ วา่ “ไมไ่ ดก้ เ็ ปน็ กุศล” มีนิทานอยู่เร่ืองหน่ึงท่านเล่าไว้ว่า พ่อกับลูกชายมีลาอยู่ตัวหน่ึง วันหนึ่งมันหายไป สองพ่อลูกเสียใจ หลายวันต่อมาลากลับมาพร้อม ด้วยม้าตัวหนึ่ง สองพ่อลูกก็ดีใจที่ได้ม้าแถมมา ลูกชายชอบขี่ม้าเล่น วันหน่ึงตกม้าลงขาหัก เสียใจว่าไม่น่าจะได้ม้ามาเลย ตรงน้ีแสดงได้ เหมือนกันว่าไม่ได้ก็เป็นกุศล ถ้าท�ำใจได้อย่างน้ี การได้หรือการไม่ได้ ไมท่ ำ� ใหใ้ จฟหู รอื แฟบลง เพราะกำ� หนดรตู้ ามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญา วา่ “ไดก้ ็ดไี ม่ไดก้ แ็ ล้วไป” บางทีรู้สกึ วา่ ไมไ่ ดก้ ็ดเี หมือนกัน
สนทนาธรรมกบั 221 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ค�ำถามท ่ี ๔๙๑ ทา่ นอาจารยค์ ะ หนหู าซอ้ื หนงั สอื พอ่ ผมเปน็ มหา ไมไ่ ด ้ ไดพ้ ยายาม หาอ่าน และพบในเว็บไซต์เรือนธรรม (ในหนังสือของเรือนธรรม) แต่ อ่านไปๆ รู้สึกว่าจะขาดตอนท่ี ๓๑ และตอนท่ี ๓๒ ค่ะ ไม่ทราบว่าท�ำ อย่างไรจงึ จะได้ฉบับสมบรู ณ์ของหนังสอื เล่มน้คี ะ ขอบพระคณุ ค่ะ ตอบ หนังสือเรื่องนี้ ส�ำนักพิมพ์บรรณาคารพิมพ์ ส�ำนักพิมพ์นี้อยู่ท่ี เวง้ิ นครเขษม ใกลว้ งั บรู พา โทร. ๐-๒๒๒๒-๗๗๙๖ คณุ ลองโทรไปถาม ดูเขาคงไม่ได้วางจำ� หนา่ ยทอี่ ่นื นอกจากท่สี ำ� นักพมิ พข์ องเขา ขอบคณุ มากที่สนใจหนงั สือเรอ่ื งน้ี ค�ำถามท ่ี ๔๙๒ เรยี นถามว่าภกิ ษ ุ ๑ รูป ได้รับสังฆทานมาแลว้ จะใช้ของนน้ั ไม่ได้ ต้องวานภิกษุอีก ๓ รูปมาแล้วท�ำการอปโลกน์จึงสามารถใช้ของนั้นได้ เปน็ การถกู ตอ้ งไหมครบั ตอบ ไมถ่ กู ตอ้ ง ทถ่ี กู ตอ้ งกค็ อื ไดร้ บั สงั ฆทานมาแลว้ กใ็ ชไ้ ดเ้ ลยไมต่ อ้ ง อปโลกน์กับผู้ใด (อปโลกน์ แปลว่า ประกาศให้ทราบเพื่อขอความ ยินยอม)
222 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ค�ำถามท่ ี ๔๙๓ เรียนถามว่าการท�ำกรรมกับพ่อแม่อย่างเบาและอย่างกลาง เมื่อ ขออโหสกิ รรมกับทา่ นกรรมน้นั จะหมดไปไหมครบั ตอบ ส�ำคัญอยู่ตรงท่ีว่า ท่านอโหสิหรือเปล่า ถ้าท่านอโหสิก็แล้วกันไป ถ้าจะมีผลกรรมบ้างก็ไม่มากเพราะเป็นกรรมอย่างเบาและอย่างกลาง ไม่ใชก่ รรมอยา่ งหนัก ค�ำถามท่ ี ๔๙๔ “อปุ าท”ิ และ “อปุ าทาน“ มคี วามหมายเหมอื นหรอื ตา่ งกนั อยา่ งไรคะ ตอบ อุปาทิเขียนได้ ๒ อย่างซ่ึงหมายถึง กิเลส เหมือนกัน คือ “อุปธิ” และ “อุปาทิ” ซ่ึงหมายถึง “ขันธ์” ก็มี เช่น ขันธูปธิ-อุปธิ คือ ขันธ์ กเิ ลสปู ธ-ิ อุปธิ คอื กเิ ลส อุปาทกิ ็เหมอื นกัน มีพระพุทธพจน์อยู่แห่งหนึ่งซึ่งแสดงถึง อานิสงส์ของการเจริญ สติปัฏฐาน ๔ ว่า “ผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์แล้ว อย่างมาก ๗ ปี อย่างน้อย ๗ วัน จะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้ามีกิเลสเหลืออยู่ก็จะได้เป็น พระอนาคามี” (อัญญา สต ิ วา อปุ าทเิ สเส อนาคามิตา) “อปุ าทาน” เปน็ กเิ ลสกลมุ่ หนงึ่ แปลตามตวั วา่ ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกามบ้าง ในทิฐิบ้าง ในสีลัพพตบ้าง ในตัวตนบ้าง เรียกช่ือตาม ล�ำดับดังน้ี
สนทนาธรรมกบั 223 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ๑. กามปุ าทาน ยึดม่ันในกาม ๒. ทฏิ ฐุปาทาน ยดึ มน่ั ในทฐิ ิ คือ ในความเหน็ ผดิ ๓. สลี พั พตั ตปุ าทาน ยดึ มน่ั ในศลี และพรต หรอื ในความงมงาย ๔. อตั ตวาทุปาทาน ยดึ มนั่ วา่ มีตัวตน ค�ำถามท ่ี ๔๙๕ ที่กล่าวว่า “พระอรหันต์เป็นผู้ละวางแล้วซ่ึงภาระ” ภาระ ในท่ีนี้ คอื อะไรคะ ตอบ ภาระทกี่ ลา่ วถงึ นค้ี อื ขนั ธ ์ ๕ มพี ระบาลพี ทุ ธพจนว์ า่ “ขนั ธ ์ ๕ เปน็ ภาระหนักแท้ แต่บุคคลก็ยังน�ำภาระไป การยึดภาระไว้ เป็นทุกข์ใน โลก การปลอ่ ยวางภาระเสยี ได ้ เปน็ สขุ ครนั้ วางภาระอนั หนกั ไดแ้ ลว้ ไม่ ยึดถือภาระอื่นไว ้ ถอนตัณหาพร้อมท้ังมูลรากได้แล้ว เป็นผู้หมดอยาก ปรนิ พิ พานแล” (ภารสตุ ตคาถา) คำ� ถามท่ ี ๔๙๖ ทุกข์ในขันธ์ ๕ ทุกข์ในอริยสัจ ๔ และทุกข์ในไตรลักษณ์ ต่างกัน อยา่ งไรคะ
224 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ทกุ ขใ์ นขนั ธ ์ ๕ หมายถงึ ทกุ ขเวทนา คอื ความรสู้ กึ เปน็ ทกุ ข ์ ทกุ ข์ ในอรยิ สจั หมายถงึ ทกุ ขเวทนาดว้ ย หมายถงึ ความสขุ ทมี่ ตี ณั หาเปน็ มลู ด้วยเพราะลงท้ายด้วยทุกข์ และตัณหาเป็นทุกขสมุทัยแหล่งเกิดแห่ง ทกุ ข ์ ทกุ ขใ์ นไตรลกั ษณ์ หมายถงึ รวมเอาความทกุ ขท์ ง้ั หมดของสงั ขาร ทั้งปวงท้ังที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ดังพระพุทธพจน์ว่า “สัพเพ สังขารา ทุกขา” คำ� ถามท่ ี ๔๙๗ มงคลสูตร ๓๘ ประการในข้อท้ายๆ คือ ข้อ ๓๔ เห็นอริยสัจ ข้อ ๓๕ ท�ำพระนิพพานให้แจ้ง ข้อ ๓๖ จิตไม่โศก ข้อ ๓๗ จิตปราศจาก ธลุ ี และ ขอ้ ๓๘ จติ เกษม เปน็ สภาวะจติ ทเ่ี หมอื นกนั ใชห่ รอื ไมค่ ะ หรอื วา่ จะตอ้ งเกดิ เรยี งกันไปตามล�ำดบั คะ กราบขอบพระคุณอยา่ งสงู คะ่ ตอบ การเห็นอริยสัจ ๔ บริบูรณ์ด้วยรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ถือว่าบรรลุ นพิ พานแลว้ ในระดบั ใดระดบั หนงึ่ การทำ� นพิ พานใหแ้ จง้ กค็ อื การบรรลุ นพิ พานนนั่ เอง จติ ทไ่ี มห่ วน่ั ไหวดว้ ยโลกธรรม ถา้ ทำ� ไดถ้ งึ ทสี่ ดุ กเ็ ปน็ พระ อรหนั ต ์ สว่ นจติ ไมโ่ ศก ปราศจากธลุ คี อื กเิ ลส และจติ เกษมคอื ปลอดภยั จากกเิ ลส จะเหน็ วา่ ตง้ั แตม่ งคลขอ้ “เหน็ อรยิ สจั ” เรอื่ ยมา จนถงึ ขอ้ ๓๘ ถ้าท�ำให้ถึงท่ีสุดแล้วก็มีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ท่ีท่านแยกเป็น หลายข้อเพ่ือให้ชัดเจนของแต่ละลักษณะของจิต เทียบให้เห็นเช่นค�ำ ในภาษาไทยทว่ี า่ “บดั นข้ี า้ ราชการ ทหาร ตำ� รวจ พอ่ คา้ และประชาชน
สนทนาธรรมกบั 225 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ พร้อมกันแล้ว” อันท่ีจริงใช้ค�ำว่าประชาชนค�ำเดียวก็เพียงพอ แต่เพื่อ จะเน้นให้เห็นหน้าท่ีของประชาชนแต่ละพวก จึงได้กล่าวแยกออกไป เช่นนั้น ขอแนะน�ำให้อ่านหนังสือ สาระส�ำคัญแห่งมงคล ๓๘ เล่ม ๒ ของวศนิ อนิ ทสระ ขอใหท้ ุกคนมคี วามสุขพ้นจากความทุกข์ คำ� ถามที่ ๔๙๘ พระพทุ ธองคท์ รงมอบหลกั ธรรมสำ� หรบั ใหบ้ คุ คลเปน็ ผทู้ พ่ี ง่ึ ตนเอง ได้อย่างไรบา้ งคะ ตอบ มพี ระพทุ ธภาษติ หลายแหง่ ทต่ี รสั วา่ “เธอทง้ั หลายจงมตี นเปน็ ทพี่ งึ่ เถดิ มธี รรมเปน็ ทพ่ี งึ่ เถดิ อยา่ ไดม้ สี งิ่ อน่ื เปน็ ทพ่ี ง่ึ เลย ตนนนั่ แลเปน็ ทพี่ งึ่ ของตน ตนทฝี่ กึ ดแี ลว้ จะไดท้ พี่ ง่ึ ซงึ่ ไดโ้ ดยยาก” เปน็ การบอกไปในตวั วา่ ทางทีจ่ ะพงึ่ ตนเองได้กค็ อื ฝกึ ตนใหด้ ี คำ� ถามที่ ๔๙๙ มีพระสูตร หรือหมวดธรรมข้อใดบ้าง ที่สอนเก่ียวกับการอดกลั้น ตอ่ ความพอใจและไมพ่ อใจคะ
226 สนทนาธรรมกบั อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ ตอบ ในโลกธรรมสูตรก็มี ทรงสอนว่า เมื่อได้ลาภ เส่ือมลาภ ได้ยศ เส่ือมยศ ได้รับสรรเสริญ ถูกนินทา ได้สุขได้ทุกข์ ก็อย่าให้ส่ิงเหล่านั้น ครอบง�ำจิตได้ คือไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ในมงคลสูตรก็มี เช่นว่า จิต ของผใู้ ดถกู ตอ้ งโลกธรรมแลว้ ไมห่ วน่ั ไหว ขอ้ นน้ั เปน็ มงคลอนั สงู สดุ ฯลฯ มพี ระสูตรมากมายที่เน้นเรื่องพวกนี้ คำ� ถามท่ี ๕๐๐ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงวางพระองค์เช่นไรในคราวที่ ชาวเมอื งเกดิ ขดั แยง้ ทะเลาะววิ าทกนั ทรงสอนผทู้ ว่ี วิ าทกนั ดว้ ยธรรมขอ้ ใด ทรงป้องกันความหายนะมิให้เกิดแก่หมู่ชนเหล่านั้นได้หรือไม ่ และ ทา่ นอาจารยเ์ หน็ วา่ สถาบนั สงฆใ์ นเมอื งไทยควรมบี ทบาทเชน่ ไรคะ ใน คราวทบ่ี ้านเมอื งแตกความสามัคคีเชน่ ทกุ วันนี้ ตอบ ในสมยั พทุ ธกาล เมอื่ มกี ารทะเลาะววิ าทกนั เสดจ็ ไปทรงหา้ มบา้ ง เชน่ ทเี่ สดจ็ ไปทรงหา้ มพระญาตทิ ง้ั สองฝา่ ยทก่ี �ำลงั จะตกี นั เพราะแยง่ นำ�้ ท�ำเกษตรกรรม พระญาติก็เชื่อฟังเลิกรากันไป บางคราวเม่ือพระราชา แคว้นหนึ่งยกทัพไปจะโจมตีอีกแคว้นหนึ่งก็เสด็จไปขวางไว ้ เช่น พระ เจ้าวิฑูฑภะยกทัพไปจะย่�ำยีแคว้นศากยะ เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะทอด พระเนตรเห็นพระองค์แล้วก็เข้าพระทัยว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเพื่อ ป้องกันพระญาติ จึงยกทัพกลับหลายครั้ง ในคร้ังสุดท้ายทรงพิจารณา เหน็ วา่ พระญาตเิ คยทรงท�ำเวรกรรมไว ้ คอื โปรยยาพษิ ลงในแมน่ ำ�้ ทำ� ให้
สนทนาธรรมกับ 227 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เ ล่ ม ๓ สัตว์น�้ำตายเป็นจ�ำนวนมาก จึงไม่ได้เสด็จไปป้องกันอีก เป็นเหตุให้ พระเจ้าวิฑูฑภะสงั หารเจา้ ศากยะเสียมากมาย ในปีสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ทรงทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรูจะ ยกทัพไปโจมตีแคว้นวัชชีก็เสด็จจากราชคฤห์ไปจ�ำพรรษาที่แคว้นวัชชี เป็นเหตุให้พระเจ้าอชาตศตั รไู ม่กลา้ ยกทพั ไปโจมตีแคว้นวชั ชี ทรงสอน ให้สามัคคีกัน อย่าทะเลาะวิวาทกัน เห็นความวิวาทเป็นภัย เห็นความ ไม่วิวาทกันเป็นความปลอดภัย ท่านทั้งหลายจงสามัคคีกันประนี ประนอมกนั นี้เปน็ อนุสาสนขี องพระพทุ ธเจ้าท้ังหลาย มีบางคราวที่พระสงฆ์แตกแยกกัน วิวาทกัน เช่น ภิกษุชาวเมือง โกสัมพี ทรงห้ามและทรงโอวาทหลายคร้ัง เมื่อเขาไม่เช่ือฟังก็ทรงปลีก พระองค์ไปอยู่แต่พระองค์เดียวในป่าแห่งหน่ึง ต่อมาชาวเมืองไม่ยอม อุปถัมภ์บำ� รงุ ภิกษเุ หลา่ นั้น ภิกษุเหลา่ นัน้ จึงไดส้ ามัคคีกนั ส�ำหรับเหตุการณ์ในเมืองไทยซ่ึงแตกแยกกันอยู่น้ัน ถ้าหากคณะ สงฆ์ หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งออกแถลงการณ์ตักเตือน ส่ัง สอนใหส้ ามคั คกี นั บา้ งกน็ า่ จะด ี เปน็ การทำ� บทบาทในสงั คมเมอื่ ถงึ คราว จ�ำเปน็
รายนามผรู้ ่วมศรทั ธา พมิ พ์หนงั สือ สนทนาธรรมกับ อ.วศนิ อินทสระ เลม่ ๓ ล�ำดบั ชอ่ื -สกลุ จำ� นวนเงิน ล�ำดบั ช่ือ-สกลุ จำ� นวนเงิน ๑ ร้านพระไตรปิฎก ๓๕,๑๐๐ ๒๒ คุณศรนิ ทร์ธา วงศส์ ุภลักษณ์ ๓,๐๐๐ ๒ คณุ ช่ืนจิตต์ กอ้ งสกลุ ๒๓,๐๐๐ ๒๓ คณุ กัลยา เมฆรุ่งเรืองกุล ๓,๐๐๐ ๓ คุณจุฑามาศ ๒๔ คุณเสรมิ ศกั ด์ิ เสมประยูร ๒,๙๔๕ ๒๐,๐๐๐ ๒๕ คณุ ปัทมาภรณ์ อังสกุลวงศ์ ๒,๘๒๐ บ.เบรฟ เอน็ จเิ นยี รงิ่ จำ� กดั ๑๐,๐๐๐ ๒๖ คณุ พิมพา สกุลลม้ิ เจริญ ๒,๕๐๐ ๔ คณุ รงุ่ ระวี วทิ ูรปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ๒๗ คณุ คึกฤทธ์ิ อารปี กรณ์ ๒,๒๘๐ ๕ คณุ ศิรพิ ร ปัญญเ์ อกวงศ์ ๗,๐๐๐ ๒๘ คุณพรี กิจ ศรสี อาด ๒,๐๐๐ ๖ คุณอุริษา บุณยรกั ษ์ ๖,๐๐๐ ๒๙ คุณสมชาย ฉัตรวิเชียรชัย ๒,๐๐๐ ๗ คุณกัลยา นะตะชูสงค์ ๕,๑๐๐ ๓๐ คุณบุญทอง ๒,๐๐๐ ๘ คุณอาภสั รา ภักดพี ัฒนสันติ ๕,๐๐๐ ๓๑ คุณวลยั ทพิ ย์ ปติ ิจอมวงศ์ ๒,๐๐๐ ๙ คุณอารีย์ บุญวรานนั ท์ ๕,๐๐๐ ๓๒ คุณชนดิ าภา อิษวาส ๒,๐๐๐ ๑๐ คุณเกษกาญจน์ ชุณหวริ ิยะกุล ๕,๐๐๐ ๓๓ คณุ ตรตู า ทรรพวสุ ๒,๐๐๐ ๑๑ คณุ ธรี ชยั พงษม์ ัน่ จิต ๔,๓๓๐ ๓๔ คณุ ประทานพร ม่ิงมาศ ๒,๐๐๐ ๑๒ คุณพรอ้ มพล สดุ เอ่ยี ม ๔,๐๕๐ ๓๕ คณุ สารวรรณ บญุ ศรี ๑,๖๔๐ ๑๓ คุณจฑุ ามาศ ๔,๐๐๐ ๓๖ คุณวีรวรรณ วฒั นโสภณวงศ์ ๑,๖๐๐ ๑๔ คณุ ปานจิตต์ วงศ์อ่อนดี ๔,๐๐๐ ๓๗ พระกฤษกร วรชินวงศ์ ๑,๖๐๐ ๑๕ คณุ มาณพ แกว้ มณี ๔,๐๐๐ ๓๘ คณุ นีระนชุ ชยั ชนะสมบัติ ๑,๕๖๕ ๑๖ คุณปฏญิ ญา ศรบี ญุ เรือง ๔,๐๐๐ ๓๙ คณุ กนกพร ๑,๕๐๐ ๑๗ คุณสริ พิ ร ชยั สวัสด์ิ ๓,๕๐๐ ๔๐ คุณพชั รี คงปลอด ๑,๒๐๐ ๑๘ คุณศรินทร์รา วงศ์ศภุ ลักษณ์ ๓,๓๐๐ ๔๑ คุณสดุ ศรี เวชโช ๑,๒๐๐ ๑๙ คุณนวรัตน์ จลุ สงั ข์ ๓,๐๒๐ ๔๒ คุณนงนชุ กติ กิ ลุ วรากร ๑,๐๘๐ ๒๐ คณุ บศุ รา อ่งั สกลุ ๔๓ รหัสสมาชกิ ๔๘๐๐๔๐๙ ๒๑ คณุ อโยธัย งดงาม ๓,๐๐๐ ๑,๐๐๐ และ ๔๘๐๒๖๖๘ และครอบครวั
ล�ำดบั ชอ่ื -สกลุ จ�ำนวนเงนิ ลำ� ดบั ชื่อ-สกุล จำ� นวนเงิน ๕๗๐ ๔๔ พ.ต.อ.บุญเสรมิ -คณุ ยุพดี ๑,๐๐๐ ๗๐ คุณประยุทธ ชัยจิรพนั ธ์ ๖๖๐ ศรีชมภู ๑,๐๐๐ ๗๑ คุณกลุ ชลี เทศทิม ๕๗๐ ๑,๐๐๐ ๗๒ คุณประยุทธ ชัยจริ พันธ์ ๕๕๐ ๔๕ พระชยั พร จนทฺ วโํ ส ๑,๐๐๐ ๗๓ คณุ วิไลลกั ษณ์ วงศ์วเิ ศษ ๕๐๐ ๔๖ คุณเรนชุ า นวกจิ ภาญกุล ๑,๐๐๐ ๗๔ นพ.ววิ ฒั น์ นิมมานรชั ต์ ๕๐๐ ๔๗ คณุ พรรณี แสงสรุ ีย์พรชัย ๑,๐๐๐ ๗๕ คุณสมจติ ต์ ทรงฤกษ์ ๕๐๐ ๔๘ คณุ วัชรี ศิรินรกลุ ๗๖ คณุ นฤมล ตันแสนทอง ๕๐๐ ๔๙ คุณเสน่ห์ ชอบสะอาด ๑,๐๐๐ ๗๗ คุณฟองสมทุ ร วชิ ามูล ๕๐๐ ๕๐ คุณถาวร-คุณนฤมล-ด.ญ.วรมน- ๑,๐๐๐ ๗๘ คณุ วิวัฒน์ ธรรมาสุรพันธ์ ๕๐๐ ๑,๐๐๐ ๗๙ คณุ บรรหาร เปลง่ ศรี ๕๐๐ ด.ช.วรกมล ตนั แสนทอง ๑,๐๐๐ ๘๐ คุณบรรหาร เปล่งศรี ๕๐๐ ๕๑ คณุ แฉลม้ ใจเสือ ๑,๐๐๐ ๘๑ คุณบรรหาร เปลง่ ศรี ๕๐๐ ๕๒ คณุ โชตมิ า ๑,๐๐๐ ๘๒ คุณนพพร ฉัตรไชยสิทธกิ ลุ ๕๐๐ ๕๓ คุณทัศพร โรจนอศิ รานนท์ ๑,๐๐๐ ๘๓ คุณไกรฤกษ์ เขอื่ นแก้ว ๕๐๐ ๕๔ คณุ มณีนชุ ทรงแสงธรรม ๑,๐๐๐ ๘๔ คุณสพุ ัตรา กติ ตเิ จรญิ เกยี รติ ๕๐๐ ๕๕ คณุ สมเกียรติ เมฆบรบิ รู ณ์ ๑,๐๐๐ ๘๕ คณุ ญาณภคั อาวรณ์ ๕๐๐ ๕๖ คณุ อุดมพร หลอ่ กติ ยิ ะกลุ ๘๖ คณุ สาธติ นนทณ์ ฐั ชญา ๕๐๐ ๕๗ คณุ วิภา จรรยาภรณพ์ งษ์ ๑,๐๐๐ ๘๗ คณุ เพลนิ พศิ นวาระสุจติ ร ๕๐๐ ๕๘ คณุ วชิ ัย โพธิน์ ทไี ท ๕๐๐ ๕๙ คุณอุดมพร สายเพช็ ร ๕๐๐ ๕๐๐ และครอบครัว ๕๐๐ ๕๐๐ ๖๐ คุณเกษิตา ปชาคุณนนท์ ๙๗๐ ๘๘ คุณธนิดา บลุ สุข ๕๐๐ ๕๐๐ ๖๑ มลู นิธพิ ระพทุ ธสันตธิ รรม ๙๕๐ ๘๙ คุณสพุ ตั รา วศิ รตุ พงษ์ ๕๐๐ ๔๗๐ ๖๒ คณุ ธรรม-คุณจินดารตั น ์ ๙๐ คุณพรรณี เขดิ รำ� ไพ ดรณุ รกั ถาวร ๘๒๐ ๙๑ คณุ ฐาปนยี ์ จา่ งตระกูล ๘๐๐ ๙๒ คณุ กญั พมิ ล เลิศจิระประเสิรฐ ๖๓ คุณสวา หมอรตั น์ ๘๐๐ ๙๓ คุณจริยา เหลืองรังสรรค์ ๖๔ คณุ เปรมชนะ สทิ ธเิ กธร ๘๐๐ ๙๔ คณุ สาวิตรี ชาติอุทิศ ๖๕ คุณนภดล เลก็ รุ่งเรอื งกจิ ๗๖๖ ๙๕ คณุ ปาริชาต โมกขมรรคกลุ ๖๖ คณุ มาโนช อยูบ่ รรยงค์ ๗๐๐ ๙๖ คุณยุวดี อึง้ ศรีวงษ์ ๖๗ คุณศภุ ธรี ัช ใจนนดี ๖๘๐ ๙๗ คุณปัญจรส ภทั รบรรเจิด ๖๘ คณุ รัชดา ผดงุ เวช ๖๐๐ ๖๙ คุณชวสิ ดุ า ไกรรวี
ล�ำดบั ชื่อ-สกลุ จ�ำนวนเงนิ ล�ำดบั ชื่อ-สกลุ จำ� นวนเงิน ๙๘ คุณเทพวิรุณ ๔๕๐ ๑๒๓ คณุ ชญาดา เนียมเปีย ๓๐๐ ๙๙ คุณสวรรณี สระตันดี ๔๓๐ ๑๒๔ คณุ วิไลวรรณ สาครวิมล ๓๐๐ ๑๐๐ คณุ สิรยา หาสีสขุ ๔๑๐ ๑๒๕ คุณสริ กิ ารย-์ คณุ ณฐั พิมล- ๑๐๑ คุณขวัญชัย โชตพิ ุทธิกุล ๔๐๐ ๓๐๐ ๑๐๒ คณุ สุวิชา พลู เกษ ๓๗๐ คณุ พสิษฐ์ โรจน์รตั นศิริ ๑๐๓ คุณกญั จน์ณฏั ฐ์ เทอญชูชยั ๓๕๐ ๑๒๖ คุณสุดาพรรณ พไิ ลพุฒเิ มธ ๓๐๐ ๑๐๔ คุณละเมียด รตั นอุไร ๓๔๐ และครอบครวั ๓๐๐ และครอบครวั ๓๔๐ ๑๒๗ คุณประวิทย-์ คณุ นาตยา ๓๐๐ ๑๐๕ คุณกนกนนั ท์ ชวนสนทิ ๓๒๐ ๒๕๐ ๑๐๖ คณุ ศภุ รดา ๓๒๐ นวาระสจุ ิตร ๒๕๐ ๑๐๗ หจก.อเู่ งนิ ๓๑๐ ๑๒๘ คุณสุนันทา พรรณเชษฐ์ ๒๔๐ ๑๐๘ คณุ วิจิตรา สารนิ ทร์ ๓๐๐ ๑๒๙ คณุ ศภุ เสริม กิจขจรไพบลู ย์ ๒๔๐ ๑๐๙ คุณเพ็ญประภา นนทลี ๓๐๐ ๑๓๐ คุณเอกชยั ดีร่งุ โรจน์ ๒๓๐ ๑๑๐ คุณสุขทวี กฤศศรีสุพรรณ ๓๐๐ ๑๓๑ คุณหทัยรตั น์ เตชะอากรณ์กลุ ๒๒๐ ๑๑๑ คุณนงนภัส จงึ ธนภรณ์ ๓๐๐ ๑๓๒ คณุ อมรรตั น์ โคตรลาดรำ� ๒๑๐ ๑๑๒ คุณนนทกร สกั กะพลางกูร ๓๐๐ ๑๓๓ คณุ สานนท์ ชัยเจริญ ๒๑๐ ๑๑๓ คุณวาสนิ ี สกั กะพลางกรู ๓๐๐ ๑๓๔ คณุ ชัยศกั ด์ิ ปอแก้ว ๒๐๐ ๑๑๔ ด.ญ.ปวณี ์กร สักกะพลางกรู ๑๓๕ คณุ ประยุทธ ชัยจริ พนั ธุ์ ๒๐๐ ๑๑๕ คณุ อุกฤษฎ์-คุณเขษมศักด์ิ ๓๐๐ ๑๓๖ คณุ สิริมาต หาญภู่วานนท์ ๒๐๐ ๓๐๐ ๑๓๗ คุณชัชชฎา อิ่มใจ ๒๐๐ อายตวงศ์ ๓๐๐ ๑๓๘ คุณธนพล หาญณรงค์ ๒๐๐ ๑๑๖ คุณภิญญส์ ินี พานทองรชั ต์ ๓๐๐ ๑๓๙ คณุ ชลิตา พาพันธ์ุ ๑๑๗ คณุ ปักเทง้ แซเ่ อ็ง ๓๐๐ ๑๔๐ คณุ หรรษา จรัสรตั ตกิ าล ๒๐๐ ๑๑๘ คุณณัสนันทน์ ลม้ิ พิพัฒน์ชยั ๓๐๐ ๑๔๑ คณุ จักรพงษ์ มานิตยกลุ ๒๐๐ ๑๑๙ คุณกิตติพงส์ ชมภูพงษเ์ กษม ๓๐๐ ๑๔๒ คุณศรวี รรณ สขุ แสนไกรศร ๒๐๐ ๑๒๐ คุณไพศาล ล้ิมมีถาวรภิรัตน์ ๓๐๐ ๒๐๐ ๑๒๑ คุณเปล่งศรี และครอบครวั ๒๐๐ ๑๒๒ คณุ วนดิ า ทิพย์โอสถ ๑๔๓ คณุ พินทิพย์ ประมูลวงศ์ ๑๔๔ คณุ สดุ ปรชี า-ด.ญ.ชินพร ผ่องใส ๑๔๕ คุณมานะ นาวนิ ๑๔๖ คุณวริษฐพร กลึงวจิ ติ ร
ลำ� ดับ ชอ่ื -สกุล จำ� นวนเงิน ลำ� ดับ ชือ่ -สกลุ จำ� นวนเงิน ๑๔๗ คุณเพลนิ พรรณ ตาลสอน ๒๐๐ ๑๔๘ คณุ รุง่ นภา เดชไพบลู ยย์ ศ ๒๐๐ ๑๗๒ คณุ สุวิทย์ แซ่จิว ๑๓๐ ๑๔๙ คณุ อนนั ต์ เจยี รวงศ์ ๒๐๐ ๑๕๐ คุณแสงจันทร์ สว่ นบุญ ๒๐๐ ๑๗๓ ผูไ้ มป่ ระสงค์ออกนาม ๑๓๐ ๑๕๑ คุณอมราวรรณ นลิ ก�ำแหง ๒๐๐ ๑๕๒ คุณธัญธร ง้าววิฑูรย์วงศ์ ๒๐๐ ๑๗๔ คุณเพลนิ พรรณ คงสกลุ ๑๓๐ ๑๕๓ คุณแก้วตา เปย่ี มศักดิ์ศิริกลุ ๒๐๐ ๑๕๔ คุณรัตนา งามพงศพ์ รรณ ๒๐๐ ๑๗๕ คณุ รัตน์รุง่ สุขเสมอ ๑๒๐ ๑๕๕ คณุ นชั ชา-คณุ คณากร- ๒๐๐ ๑๗๖ คณุ รตั นาวไิ ล ฐติ อิ มรพนั ธ์ ๑๒๐ คุณธนกร ดษิ ยาตติย ๒๐๐ ๑๕๖ คุณศวิ าภรณ์ สกุลเทยี่ งตรง ๒๐๐ ๑๗๗ คณุ พาณภิ ัค ขำ� สวุ รรณ์ ๑๑๐ ๑๕๗ คณุ สายร้งุ พินิตกาญจนพนั ธุ์ ๒๐๐ ๑๕๘ คุณธนา ศรีนิเวศน์ ๑๙๐ ๑๗๘ คุณนิพนธ์ เรอื นสุภา ๑๑๐ ๑๕๙ คุณสนุ ยี ์ เอกภาพสกุลวงศ์ ๑๘๐ ๑๖๐ คณุ ผอ่ งจิตต์ มานติ บาล ๑๘๐ ๑๗๙ คณุ พงิ พันธุ์ พลรวโี รจน์ ๑๐๐ ๑๖๑ คณุ รชั ตนิ นท์ เรอื งวานชิ นนั ท์ ๑๖๐ ๑๖๒ คณุ โอภาส เฮงภู่เจริญ ๑๖๐ ๑๘๐ คุณฉตั รชยั เกรกิ เบญจธรรม ๑๐๐ ๑๖๓ คุณเวโรจน์ อตุ ยะราช ๑๖๐ ๑๖๔ คณุ เกวลี ตันตกิ รพรรณ ๑๖๐ ๑๘๑ คณุ ไชยพงษ์ เปีย่ มพงษส์ านต์ ๑๐๐ ๑๖๕ คณุ ประเสริฐ วะโนปะ ๑๕๐ ๑๖๖ คณุ สพุ ตั รา กล่นิ ระคนธ์ ๑๕๐ ๑๘๒ คุณพยอม มณีพฤกษ์ ๑๐๐ ๑๖๗ คุณวริ ะไชย ศรสี มยั ๑๕๐ ๑๖๘ คณุ สภุ ัทรา ฐติ อิ มรพันธ์ุ ๑๕๐ ๑๘๓ ด.ช.อภิวิชญ์ กุลชฤทธิ์ ๑๐๐ ๑๖๙ คณุ ธัญญา สิริเมธาชัย ๑๗๐ ศรัทธากลั ยาณธรรม ๑๔๗ ๑๘๔ พ่จี ิว๋ รพ.สมทุ รปราการ ๑๐๐ ๑๔๐ จาก อ.แม่สะเรยี ง ๑๘๕ พ.ต.อ.บุญเสรมิ -คณุ ยุพดี ๑๐๐ ๑๗๑ คณุ วริพร หนงใจ ศรีชมภู ๑๘๖ คณุ บ�ำเพ็ญ-คุณสุวารี ไชยเพชร ๑๐๐ ๑๘๗ คุณนิรมล จิตตเิ รอื งเกียรติ ๑๐๐ ๑๘๘ คุณนภทั ร เนียมทบั ทมิ ๑๐๐ ๑๘๙ คณุ ชยั ภทั ร วรงค์พรกลุ ๑๐๐ ๑๙๐ คณุ แม่เสยี ม แซ่เตยี ว ๑๐๐ ๑๙๑ คณุ ฤทธริ งค์ สาล่ที อง ๑๐๐ ๑๙๒ คณุ เศรษฐวทิ ย์ นนั ทวิตวทิ ยากุล ๑๐๐ ๑๙๓ คุณอารีย์ หนองเทา ๑๐๐ ๑๙๔ คุณอำ� นาจ-คณุ ราตรี ปลอดโปรง่ ๑๐๐ ๑๙๕ คณุ พชรมน แสงเดอื น ๑๐๐ ๑๙๖ คุณร่มเยน็ สุขแดง ๑๐๐ ๑๙๗ คุณนงนชุ กติ ิกุลวรากร ๑๐๐
ล�ำดับ ชอื่ -สกลุ จ�ำนวนเงนิ ลำ� ดบั ช่อื -สกลุ จ�ำนวนเงนิ ๑๙๘ คุณมรกต จงไพศาล ๑๐๐ ๑๙๙ คณุ ค�ำนงึ บำ� รงุ เขต ๑๐๐ ๒๒๓ คณุ ชชั ชัย ตติยะพงศพ์ ันธ์ุ ๗๐ ๒๐๐ คุณโอภาส เฮงภเู่ จรญิ ๑๐๐ ๒๐๑ คณุ สิทธชิ ัย ปัญคิวจณาณ ๑๐๐ ๒๒๔ คณุ กนกพร อนิ ทร์ยอด ๖๐ ๒๐๒ คณุ แมส่ มพร ซามี ๑๐๐ ๒๐๓ คุณสนั่น ปลงั่ ประยูร ๑๐๐ ๒๒๕ คณุ สำ� ราญ นามสวา่ ง ๖๐ ๒๐๔ คณุ ธีระ-คุณฐาปนี ๑๐๐ ๒๒๖ คณุ สมจติ ร ตอเสนา ๖๐ ผดงุ วฒั นโรจน์ และครอบครัว ๑๐๐ ๒๐๕ คุณสุปกานต์ วมิ ตุ ตานนท์ ๒๒๗ คณุ ภัทรภรณ์ สุภาพญาติ ๕๐ ๒๐๖ ครอบครัวคุณวลั ยล์ ดา ๑๐๐ ๑๐๐ ๒๒๘ คุณบุปผา บญุ สม ๕๐ พนิ จิ พจิ ยา ๑๐๐ ๒๐๗ คณุ พลู ลาภ ประจัญบาน ๑๐๐ ๒๒๙ คณุ วรี ยทุ ธ สติ ๕๐ ๒๐๘ คณุ แม่อนุ สี แซ่ฮ้ิม ๑๐๐ ๒๐๙ คุณสอาด พนารงั สรรค์ ๑๐๐ ๒๓๐ คณุ ภทั รภรณ์ สภุ าพญาติ ๕๐ ๒๑๐ คณุ อมรรตั น์ พนารังสรรค์ ๒๑๑ คุณเกศรนิ พนารังสรรค์ ๑๐๐ ๒๓๑ คณุ เชาวณยี ์ แพรภ่ ทั ร ๕๐ ๒๑๒ คณุ สรายุทธ พนารงั สรรค์ ๑๐๐ ๑๐๐ ๒๓๒ คณุ เลอพงศ์ นวาระสุจติ ร ๕๐ และครอบครวั ๑๐๐ ๒๑๓ คณุ ซยุ่ ไล้ แซล่ ้มิ ๑๐๐ ๒๓๓ คณุ ทองใบ เกษศรี ๕๐ ๒๑๔ คณุ รักชนก นุสราสภุ านนั ท์ ๙๐ ๒๑๕ คุณจติ รา วิสทุ ธิ์พิศาล ๙๐ ๒๓๔ คณุ อญั ชลี นวาระสจุ ิตร ๕๐ ๒๑๖ คณุ ปญั ญา ตวิ งศา ๘๐ ๒๑๗ ด.ช.สีหราช โพธ์ิแกว้ สกุ ใส ๗๐ ๒๓๕ คุณเถลงิ กจิ เธียรวัฒนาธาดา ๔๐ ๒๑๘ คณุ สคราญ ชมพฒั น์ ๗๐ ๒๑๙ คณุ อทุ ิศ สิงหบ์ รุ ี ๗๐ ๒๓๖ คณุ สวุ พิชญ์ นันทศริ ิรัตน์ ๔๐ ๒๒๐ คุณมลทพิ ย์ สขุ วาด ๒๒๑ คณุ สคราญ ชมพฒั น์ ๒๓๗ คุณชานยี า ธรรมสงั วาลย์ ๔๐ ๒๒๒ คุณนาวี ไวยสุนีย์ ๒๓๘ คณุ เยาวนาฏ ยศยงเลิศ ๔๐ ๒๓๙ คุณเสรี วริ ยิ พิสุทธ์ิ ๓๐ ๒๔๐ คุณสปันนา วรงค์พรกุล ๒๐ ๒๔๑ คณุ ธัชชยั ตติยะพงษ์พันธ์ ๒๐ ๒๔๒ คุณภัสสร สวสั ด์ิ ๒๐ ๒๔๓ คณุ เพิม่ พงศ-์ ด.ช.เอกสหสั ๒๐ ธนพพิ ฒั น์สัจจา รวมศรทั ธาท้ังสนิ้ ๒๗๓,๗๔๒ บาท ชมรมกัลยาณธรรมขอกราบอนุโมทนา ในกศุ ลจติ ของทกุ ท่านมา ณ ท่ีนี้ ขอใหท้ กุ ทา่ นเจรญิ ในธรรม ยงิ่ ๆ ขนึ้ ไปเทอญ
ค�ำถามที ่ ๒๑๙ เรียนถามท่านอาจารย์ว่า การฟอกสบู่หอม การหนุนหมอนนุ่ม การนง่ั เก้าอฟี้ องน้�ำนมุ่ ถอื ว่าผดิ ศลี แปดไหมครบั ตอบ สบนู่ น้ั ควรเลอื กสบทู่ ไ่ี มห่ อมเพราะทา่ นหา้ มลบู ไลร้ า่ งกายดว้ ยของ หอม ส�ำหรับหมอนหนุนและหมอนหนุนเท้าไม่เป็นไร ใช้ได้ ไม่ควรม ี หมอนขา้ ง นัง่ เกา้ อ้ีไดท้ กุ ชนดิ ค�ำถามท่ี ๒๔๔ ผมมักจะโกรธแม่ของผมเป็นประจ�ำ ไม่รู้ว่าท�ำไม บางทีก็ว่าแม่ เจบ็ ๆ บางทกี น็ ึกโกรธแมท่ ั้งทแี่ ม่ไมไ่ ด้ทำ� อะไรไห ้ คือใจผมอคติไปก่อน แต่ที่จริงแล้วผมรักแม่มากขนาดให้ตายแทนก็ได้ แต่เรื่องโกรธแม่น่ ี ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรจริงๆ ในใจก็คิดว่าเราน่ีบาปหนา แค่คิดไม่ดี กับแม่ก็ผิดแล้ว อยากให้อาจารย์ช้ีทางธรรมว่าท�ำอย่างไรผมจึงจะเลิก เอาแต่โกรธแม่ ตอบ คุณต้องเจริญเมตตามากๆ ทุกวันทุกคืน โดยเฉพาะส่งกระแส เมตตาไปให้แม่ เม่ือเมตตามากข้ึนก็จะถอนปฏิฆานุสัย คือความหงุด- หงิดในใจให้นอ้ ยลง ความโกรธกจ็ ะนอ้ ยลง www.kanlayanatam.com
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234