พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บณั ฑติ าภิวังสะ กองทัพท้ังสบิ ของมาร
กองทพั ทั้งสบิ ของมาร
ชมรมกัลยาณธรรม www.kanlayanatam.com หนงั สือดลี าํ ดับที่ : ๒๓๒ กองทัพทัง้ สิบของมาร พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภิวังสะ พิมพค รง้ั ท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จํานวนพมิ พ ๔,๐๐๐ เลม จัดพมิ พโดย ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถ.ประโคนชยั ต.ปากนํา้ อ.เมอื ง ปก/ภาพประกอบ จ.สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ รปู เลม โทรศัพท ๐๒-๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐๒-๗๐๒-๙๖๒๔ ศักด์ิสทิ ธิ์ ภัทรประกฤต พสิ ูจนอกั ษร เกา พิมพท่ี ทีมงานกัลยาณธรรม สาํ นกั พมิ พกอ นเมฆ โทรศพั ท ๐๘๙-๗๘๕-๓๖๕๐ สพั พทานงั ธัมมทานงั ชินาติ การใหธ รรมะเปน ทาน ยอมชนะการใหทง้ั ปวง
คํานําของชมรมกัลยาณธรรม “กอ งทัพทั้ งสิบ ขอ งมาร” เปนคําเปรียบเทียบที่ พระพทุ ธเจา ไดต รสั ไวก บั มารวา กเิ ลสกาม ความไมย นิ ดี ความ หวิ กระหาย ความทะยานอยาก ความหดหแู ละเซอื่ งซมึ ความ กลัว ความลงั เลสงสัย ความหวั ดือ้ และลบหลคู ณุ ทา น ลาภ สรรเสรญิ สกั การะ และการยกตนขม ผอู น่ื เปน เสมอื นกองทพั ท้ังสบิ ของมาร ทา นพระกัมมัฎฐานาจริยะ อู ปณ ฑติ าภวิ งั สะ เจา อาวาสวัดปณฑิตาราม ประเทศเมียนมาร ไดประพันธเร่ืองน้ี ไวเปนสวนหนึ่งของหนังสือ “รูแจงในชาตินี้” เม่ือไดอานคํา ประพันธของทานท่ีไดอธิบายถึงกองทัพทั้งสิบของมารแลว สรุปไดวา นั่นคือ กิเลส และนิวรณท้ังหลาย ที่คอยขัดขวาง การเจรญิ วิปสสนาของเรา
๔ กองทพั ทัง้ ๑๐ ของมาร ในระหวา งการเจรญิ วปิ ส สนากรรมฐาน เราตอ งตอสู กับกิเลส ตั ณหา ราคะ และนิวรณตางๆ เหมือนกับการทํา สงคร ามตอสู ซ่ึงเราจะตองวางแผนใหดีและรูทันมาร จึงจะ เอาชนะกองทพั ของมารได กองทพั แตละกอง ไดเ รยี งลาํ ดับตามอุปสรรคทเ่ี รา ตอง เผชิญระ หวางการเจริญวิปสสนา ย่ิงเรามีความกาวหนา แตละข้นั ก็คือเราสามารถเอาชนะอปุ สรรคหรอื กองทพั แตล ะ กองได เมอื่ เรามคี วามกา วหนา มากขน้ึ กองทพั ทเ่ี ราตอ งเผชญิ กม็ คี วามเกงกาจมากขึ้นเชน กัน ทาน อู ปณฑติ าภวิ งั สะ ไดอธิบายไวอยางนา สนใจ โด ย ช้ีใหเห็ นถึงอุปสรรคท่ีเราตองเผชิญในการปฏิบัติ รวมท้ัง แนวทางหรือวิธีการแกไข ใหผานพนอุปสรรคเหลาน้ัน นัก ปฏบิ ตั ทิ งั้ หลายควรทจ่ี ะไดศ กึ ษาไว เพอ่ื เตอื นใจตนระหวา งการ ปฏิบัติ พระพทุ ธเจา ไดก ลา วแกม ารวา “ดกู อ น มาร เสนาของทานมปี กติ มธี รรมดาํ (อกุศล ธรรม)
คาํ นาํ ของชมรมกัลยาณธรรม ๕ คนขลาดเอาชนะเสนามารไมไ ด สวนคนกลาเทานน้ั ยอมเอาชนะกองทัพของมาร แลว ไดรบั ความสขุ ” เมอ่ื มารไดม าทา ทายและตอ สกู บั พระพทุ ธองค เราทงั้ หลายยอ มทราบอยแู ลว วา ใครเปน ผชู นะ แตก ารตอ สรู ะหวา ง เราทง้ั หลายกบั กองทพั ทัง้ สิบของมาร ใครจะเปน ผูชนะ และ ไดร บั ความสุขตามที่พระพทุ ธองคกลา วไว คนกลาเทาน้นั ยอมเอาชนะกองทพั ของมาร..... แลว ไดร ับความสขุ ..... ดว ยความปรารถนาดีจากชมรมกลั ยาณธรรม
ที่มาของ “กองทพั ท้ัง ๑๐ ของมาร” เปน เนอื้ หาในบทท่ี ๓ แหง หนงั สอื “รูแจงในชาตนิ ้ี” (In This Very Life) ซึ่งทาน สยาดอ อู บัณฑิตะ ไดรวบรวมและ ถา ยทอดเทศนาธรรมของพระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภวิ งั สะ เจา อาวาสวัดปณฑติ าราม จงั หวัดยางกุง ประเทศเมยี นมาร แสดง แกผูปฏิบัติธรรมชาวตะวันตก ระหวางการอบรมวิปสสนา กรรมฐาน ระยะเวลา ๓ เดอื น ณ วิปสสนาภาวนาสมาคม (Insight Meditation Society) เมือง Barre มลรัฐ Massachusetts ประเทศสหรฐั อเมริกา เมอ่ื ป พ.ศ.๒๕๒๗ “กองทัพทงั้ สบิ ของมาร” แปลเปนภาษาไทยโดย คณุ พชิ ิต และคณุ วิธญั ญา ภทั รวมิ ลพร โดยมีหลวงพอพระครูปลดั ประจาก สิรวิ ัณโณ วัดปรินายก และทานอาจารย พระสวา ง ติกขวีโร วัดมหาธาตุฯ ไดเมตตาตรวจทานแกไขและปรับปรุง ฉบบั แปล มีคุณผาณิต เจตนจิราวฒั น เปน บรรณาธิการตนฉบบั หมายเหตุ จากหนังสือ รูแจงในชาตินี้ ที่ชมรมกัลยาณธรรมนํามาจัดพิมพ แลวมี ๔ เรอื่ ง คือ ๑. รูแจงปรมตั ถธรรมดว ยการเจริญพละ ๕ (จากบท ท่ี ๒) ๒. โพชฌงค ๗ (จากบทที่ ๔) ๓. ราชรถสูพ ระนิพพาน (จากบทที่ ๖) และ ๔. กองทัพท้งั สิบของมาร (จากบทท่ี ๓)
สารบัญ กองทพั ที่ ๑. : กเิ ลสกาม ๑๓ กองทัพท่ี ๒ : ความไมย ินดีในพรหมจรรย ๑๕ กองทัพท่ี ๓ : ความหวิ กระหาย ๑๙ กองทัพท่ี ๔ : ความทะยานอยาก ๒๓ กองทัพที่ ๕ : ความหดหแู ละเซ่อื งซมึ ๒๕ กองทัพท่ี ๖ : ความกลัว ๓๓ กองทพั ที่ ๗ : ความลังเลสงสัย ๓๗ กองทัพที่ ๘ : ความหวั ดื้อและลบหลคู ุณทาน ๖๒ กองทัพที่ ๙ : ลาภ สรรเสรญิ สกั การะ และยศ ทไ่ี ดม าผดิ ๆ ๗๑ กองทพั ท่ี ๑๐ : การยกตนขมผูอ น่ื ๘๓
กเิ ลสกาม ความไมย นิ ดี ความหวิ กระหาย ความทะยานอยาก ความหดหูและเซอื่ งซมึ ความกลวั ความลงั เลสงสยั ความหัวดอ้ื และลบหลคู ุณทา น ลาภ สรรเสรญิ สักการะ การยกตนขม ผอู ่ืน
กองทัพทงั้ ๑๐ ของมาร การเจริญวิปสสนากรรมฐาน อาจเปรียบไดกับ ก ารทําสงครามระหวางสภาวจิตที่เปนกุศลและอกุศล ก องทัพฝายอกุศลไดแก กิเลส หรือท่ีรูจักกันในนามวา “ กองทัพท้ัง ๑๐ ของมาร” ในภาษาบาลี คําวา “มาร” หมายถงึ ผทู าํ ลายหรอื ผสู งั หาร ซงึ่ เปน บคุ ลาธษิ ฐานของพลงั ท่ีทาํ ลายลา งคุณธรรม ตลอดจนสรรพชวี ิต กองทัพของ มารพรอมที่จะโจมตีผปู ฏบิ ัติไดต ลอดเวลา ไมเวนแมแต พระพทุ ธองคใ นคนื ที่จะตรสั รู
๑๐ กองทัพทงั้ ๑๐ ของมาร คัมภีรส ตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต ปธาน สตู ร ไดแ สดงถงึ พระดาํ รสั ของพระผมู พี ระภาค ทต่ี รสั ไวก บั มาร ดังนี้ “ กเิ ลสกามท้งั หลาย เรากลา ววา เปน กองทพั ทห่ี นึง่ ของทา น ความไมย นิ ดเี ปน กองทพั ทีส่ อง ความหวิ กระหายเปน กองทพั ที่สาม ตัณหา (ความทะยานอยาก) เปน กองทัพทส่ี ี่ ถนี มิทธะ (ความหดหู เช่อื งซึม) เปนกองทพั ที่หา ความกลวั เปนกองทพั ที่หก วจิ ิกจิ ฉา (ความลังเลสงสัย) เปนกองทัพทเ่ี จด็ มักขะ (ความลบหลคู ณุ ทาน) และถัมภะ (ความหวั ด้อื ) เปนกองทพั ทแี่ ปด ลาภ สรรเสริญ สกั การะและยศท่ีไดมาผดิ ๆ เปน กองทัพทีเ่ กา
พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑิตาภวิ ังสะ ๑๑ การยกตนขม ผอู ่นื เปน กองทพั ทีส่ บิ ดกู อ น มาร เสนาของทานมปี กติ มีธรรมดํา (อกศุ ลธรรม) คนขลาดเอาชนะเสนามารไมได สวนคนกลาเทา น้ัน ยอมเอาชนะกองทัพของมาร แลวไดร ับความสุข ” พลงั มดื (ธรรมดาํ ) อนั เปน อกศุ ลในจติ ของเราน้ี จะถกู กําจัดไดดวยกําลังของกุศลจากการเจริญสติปฏฐานวิปสสนา ซึ่งมสี ติเปน ศาตราวุธพรอ มทง้ั ศรัทธา วริ ิยะ สมาธิและปญ ญา ทเี่ ปน กลยุทธในการจโู จมและปอ งกัน เมื่อมารมาทา ทายพระพุทธองค เราทราบดีวาฝา ยใด เปน ผูช นะ แตใ นการปฏบิ ตั ขิ องเรา ฝา ยไหนเลาจะเปนฝา ย ชนะ
กองทัพท่ี ๑ กเิ ลสกาม
กองทัพท่ี ๑ กิเลสกาม กเิ ลสกามเปน กองทพั แรกของมาร เนอื่ งจากกศุ ลกรรม ท่ีเราเคยทําไวในอดีต (ไมวาทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ) ทาํ ใหม าเกิดในโลกนีใ้ นมนสุ สภมู ิ ซ่ึงเปนภมู ิหนง่ึ ในกามสคุ ติ ภมู ทิ ง้ั หลาย แตล ะบคุ คลยอ มตอ งเผชญิ กบั สง่ิ ยวั่ ยวนตา งๆ รปู สวย เสยี งไพเราะ กลนิ่ หอม ความคดิ อนั บรรเจดิ และอารมณ ที่นายินดีพอใจเขามากระทบทวารท้ังหกอยูตลอดเวลา ตัณหา จงึ เปน ผลทเ่ี กดิ จากการกระทบกบั อารมณเ หลา นนั้ อฏิ ฐารมณ และตณั หาเปน รากฐานทีส่ าํ คัญสองประการของกเิ ลสกาม
๑๔ กองทพั ทั้ง ๑๐ ของมาร ความผูกพันยึดมั่นท่ีเรามีตอครอบครัวทรัพยสมบัติ การงาน และเพอ่ื นฝูง ลวนเปน สวนหนง่ึ ของกองทัพแรกนี้ ซง่ึ ยากนกั ทจี่ ะตอ กรดว ย บางคนตอ สดู ว ยการบวชเปน พระเปน ชี ทงิ้ ครอบครัว และส่งิ รอยรัดไวเ บือ้ งหลงั โยคที อ่ี ยูระหวา งการ ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ก็ตองละท้ิงครอบครัวและการงาน ของตนไวช ่วั คราว เพ่ือทจี่ ะตอสูก บั พลงั ของความยดึ ม่นั ถือมน่ั ท่ีรอยรัดเราไวกับอารมณท างทวารทง้ั หก ทกุ ครง้ั ทปี่ ฏบิ ตั วิ ปิ ส สนา โดยเฉพาะอยา งยงิ่ ในชว งเขา อบรมกรรมฐาน ผูปฏบิ ัติตอ งทง้ิ ส่ิงทีเ่ พลินใจหลายๆ อยา ง แต ถึงแมจ ะจํากัดสภาพแวดลอ มลงมาขนาดนี้ ผปู ฏบิ ัติก็ยังพบวา สภาพแวดลอมบางอยา งนาพอใจ และบางอยา งก็ไมนาพอใจ ในภาวะเชนน้ีอาจเปนประโยชนที่ผูปฏิบัติจะคิดวากําลังตอสู กบั มาร ซึง่ เปนศตั รูของความหลดุ พน
กองทัพท่ี ๒ ความไมยนิ ดี
กองทัพท่ี ๒ ความไมยินดี กองทพั ทส่ี องของมาร คอื ความไมย นิ ดใี นพรหมจรรย โดยเฉพาะตอการปฏิบัติวิปสสนา ในระหวางการปฏิบัติ ผู ปฏิบัติอาจรูสึกไมถูกใจกับเบาะอาสนะที่แข็งหรือสูงเกินไป หรือเบื่ออาหารท่ไี มถูกปาก หรือสิ่งตางๆ ในชวี ิตประจําวัน ในระหวา งการปฏิบัติ การท่เี ร่อื งโนนเรือ่ งน้โี ผลขึน้ มา ทาํ ให ผปู ฏบิ ตั ไิ มอ าจเขา ถงึ ความสขุ ของการปฏบิ ตั ไิ ด บางทผี ปู ฏบิ ตั ิ อาจคดิ วา เปน ความผิดของวธิ ีการปฏิบตั กิ เ็ ปน ไปได
๑๗พระกมั มฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ งั สะ เพ่ือเอาชนะความไมพอใจเหลาน้ี ผูปฏิบัติพึงกระทํา ตนเปน อภริ ติ บคุ คลผมู คี วามยนิ ดี และอทุ ศิ ตนใหแ กพ ระธรรม หลังจากที่พบและปฏิบัติตามวิธีการที่ถูกตองแลว ผูปฏิบัติจะ เรม่ิ เอาชนะอปุ สรรคเหลาน้ี ปต ิ ความสขุ และความสบายก็ จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของจิตท่ีเปนสมาธิ ณ เวลานี้ ผู ปฏบิ ัติจะรไู ดว า ความสุขจากพระธรรมนั้น เหนอื กวาความ สุขทางโลกย่งิ นกั น่คี ือทศั นคติของอภริ ติ อยางไรก็ตาม หาก ไมปฏิบัตดิ ว ยความระมัดระวงั แลว ผปู ฏิบัตกิ ไ็ มอาจพบกบั รส ของพระธรรมท่ีลํ้าลึกเปนเลิศน้ี และความลําบากจากการ ปฏบิ ตั จิ ะกอ ใหเกดิ ความไมพอใจ แลวมารจะเปน ผชู นะ การเอาชนะความยากลาํ บากในการปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนาน้ี เปรียบเสมือนการเขาสูสงคราม ผูปฏิบัติอาจใชกลยุทธแบบ จโู จม ตงั้ รบั หรอื แบบกองโจรกไ็ ด แลว แตค วามสามารถเฉพาะ ตน หากผูปฏิบัติเปนนักตอสูที่เขมแข็งก็จะกาวหนา หากผู ปฏบิ ัตไิ มเ ขมแข็งพอ กอ็ าจถอยทัพเปนการชว่ั คราว แตไมถงึ กับแตกทัพลมลุกคลุกคลาน และวิ่งหนีอยางไมเปนกระบวน ในทางตรงขา ม เปน การถอยทพั อยา งมกี ลยทุ ธ มกี ารวางแผน และการดําเนินการเพ่ือรวบรวมกําลังเอาไวตอสูใหไดชัยชนะ ในท่ีสดุ
๑๘ กองทพั ท้ัง ๑๐ ของมาร บางครงั้ ความไมพ อใจกบั สภาพแวดลอ มหรอื สงิ่ อาํ นวย ความสะดวกตางๆ ในการปฏิบัติมิไดเกิดจากมารเสมอไป กลาวคือ ความไมไดด่ังใจของจิตท่ีมีความโลภ อยางไรก็ตาม ความไมพ งึ พอใจท่ีเกิดขน้ึ บอ ยๆ จะกระทบกระเทอื นตอ ความ กาวหนาของการปฏิบัติ ดังนั้นควรมีสิ่งจําเปนท่ีเปนพ้ืนฐาน สาํ หรบั ความเปน อยทู เ่ี ออ้ื ตอ การปฏบิ ตั ิ ผปู ฏบิ ตั ติ อ งมที พ่ี กั พงิ อาหาร และสิ่งอํานวยความสะดวกอื่นๆ เมื่อมีสิ่งเหลานี้ครบ ถวน ผูปฏิบัติก็จะสามารถทุมเทชีวิตจิตใจใหแกการปฏิบัติ วิปส สนาได ความจาํ เปน ท่ีจะตองมีสภาพแวดลอ มท่เี หมาะสม เปน องคป ระกอบทส่ี ข่ี องการอบรมอนิ ทรยี ดงั ทไี่ ดก ลา วไวใ น บททแี่ ลว หากผูป ฏบิ ตั พิ บวา มสี งิ่ ทเี่ ปน อุปสรรคตอ การปฏบิ ตั ิ กอ็ าจพยายามแกไขอุปสรรคเหลา นัน้ ได แตแนน อนวา จะตอง มคี วามซื่อสตั ยตอ ตนเองและผอู ื่น โดยใหแ นใ จวา ผูป ฏบิ ัตมิ ิได ยอมจาํ นนตอกองทัพทส่ี องของมาร
กองทัพท่ี ๓ ความหวิ กระหาย
กองทพั ท่ี ๓ ความหิวกระหาย อาหารเปน ปญ หาหรอื ไม บางครงั้ ผปู ฏบิ ตั อิ าจสามารถ เอาชนะกิเลสกามและความไมพอใจได แตกลับพายแพตอ กองทัพที่สามของมารคือความหิวกระหาย ในอดีตหรือแมแต ในปจจุบัน พระภิกษุสงฆและแมชีตองอาศัยอาหารจากความ เออ้ื เฟอ ของชาวบา น ปกตแิ ลว พระสงฆต อ งออกบณิ ฑบาตตาม ชมุ ชนหรอื หมบู า นทอี่ ปุ ถมั ภอ ปุ ฏ ฐากทา น บางครง้ั พระสงฆอ าจ อยูในทท่ี ีห่ างไกล และอาศยั อาหารจากผศู รัทธาเพียงไมก ่ีบาน บางวันอาจไดรับอาหารเพียงพอ แตบ างวนั ก็ไมไ ดอ าหารท่ีพอ
พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ ๒๑ เพียง ในทํานองเดียวกันกับผูปฏิบัติที่อยูในวัดหรือสถานท่ี อบรมวปิ สสนากรรมฐาน อาหารอาจไมเ หมือนท่ีบาน ผูปฏิบตั ิ อาจไมไ ดข องหวานทตี่ นชอบ หรอื ไดล ้มิ รสเปรี้ยว เคม็ มนั อยา งทตี่ นคุนเคย เม่อื ไมไดอาหารอยางที่ตองการ ผูป ฏบิ ตั ิ อาจรูสึกหิวจนไมอาจรวบรวมสมาธเิ ขาถึงพระธรรมได เปน ธรรมดาทบี่ างครงั้ เราอาจจา ยคา อาหารราคาแพง ในภตั ตาคาร แตแลวกลบั ไมชอบอาหารจานนัน้ เลย ความจรงิ มีโอกาสนอยมากท่ีเราจะไดอะไรอยางใจไปทุกอยาง ไมเพียง อาหารเทาน้นั แตรวมไปถึงเคร่อื งนุงหม เครื่องบนั เทิง และ กจิ กรรมอน่ื ๆ ทใ่ี หค วามอนุ ใจ หรอื ความตน่ื เตน เรา ใจ ความหวิ กระหายน้ี ครอบคลมุ ถงึ สงิ่ ทน่ี า พงึ พอใจและสงิ่ จาํ เปน อนื่ ๆ อกี มากมาย หากผูปฏบิ ตั ิมีความสนั โดษ มีความพอใจกับทกุ สงิ่ ที่ ตนไดรับ กองทัพท่ีสามของมารก็ไมอาจรบกวนผูปฏิบัติได มากนัก ไมมีใครไดอ ะไรอยางใจตนเองทกุ อยา ง แตกอ็ าจ พยายามจํากัดความตองการใหอยูในกรอบท่ีเปนประโยชน และเหมาะสมได หากผูป ฏิบตั ริ วบรวมกําลังในการปฏบิ ตั ิให กา วหนา กจ็ ะสามารถลมิ้ รสทแี่ ทจ รงิ ของพระธรรม ซงึ่ ไมม รี ส
๒๒ กองทัพท้ัง ๑๐ ของมาร ใดเทยี มได หากเปน เชน นี้กองทัพที่สามของมารกจ็ ะดเู หมอื น ของเดก็ เลน สาํ หรับผูป ฏบิ ัติ มิฉะนั้น ก็เปนการยากท่ีจะตอสูกับความหิวกระหาย มนั เปน ความรสู กึ ทไี่ มส บาย ไมม ใี ครชอบเมอ่ื ความหวิ กระหาย ปรากฏข้ึน สติก็ไมอาจตั้งอยูได จิตใจจะเร่ิมวางแผนอยาง หลีกเลี่ยงไมได ผูปฏิบัติอาจแสวงหาขออางท่ีฟงดูแยบคาย มาสนับสนุนเพื่อใหไดมาในส่ิงท่ีตองการ เชนเพื่อประโยชน ของการปฏิบัติ เพื่อสุขภาพจิต เพ่ือชวยระบบยอยอาหาร แลวก็เร่ิมขวนขวายหาอาหารที่ตนตองการมา รางกายก็เกิด ความไมสงบ เพือ่ สนองตัณหาดังกลา ว
กองทัพท่ี ๔ ความทะยานอยาก
กองทัพท่ี ๔ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ตัณหาเปนกองทัพท่ีสี่ของมาร ยกตัวอยางพระภิกษุ รปู หนงึ่ หลงั จากบณิ ฑบาต บางครง้ั บาตรของทา นอาจจะยงั ไม เต็ม หรือยังไมมีใครใสอาหารที่เหมาะกับความตองการทาง โภชนาการมาให แทนท่ีจะเดินกลบั วัด ทา นอาจพยายามเดิน บิณฑบาตตอไปบนเสนทางใหมท่ียังไมเคยไป ซ่ึงบางทีก็อาจ ไดอ าหารสมประสงค เสนทางใหมๆ แบบน้ี อาจยาวขน้ึ เรื่อยๆ ไมวาผูปฏิบัติจะเปนพระภิกษุสงฆหรือไมก็ตาม ผู ปฏิบัติก็อาจคุนเคยกับพฤติกรรมแบบน้ี เร่ิมดวยอาการอยาก ตามดวยการวางแผน แลวก็ลงมือทําเพ่ือใหไดมาซึ่งสิ่งที่ ตอ งการ กระบวนการทั้งหมดอาจทาํ ใหท ัง้ รางกายและจติ ใจ เหน็ดเหน่อื ยเปนอยางมาก
กองทพั ที่ ๕ ความหดหู และเซ่อื งซมึ
กองทัพที่ ๕ ถีนมิทธะ (ความหดหู และ เซ่ืองซึม) จากน้ันกองทัพที่หา ของมารก็เร่ิมรุกเขา มา กองทพั น้ี ไดแ กความหดหู เซือ่ งซมึ และงวงเหงา ความยากลาํ บากใน การปฏบิ ัตทิ เ่ี กดิ จากความหดหู เซ่อื งซึมน้ี นับวาเปนเรือ่ งใหญ มากทีเดียว ควรที่จะขยายความตอไป ความหดหู แปลมา จากคําบาลีวา ถีนะ ซ่ึงความจริงหมายถึง จิตใจท่ีออนแอ ทอถอย เห่ียวเฉา เหนียวหนืด และอืดอาด ไมสามารถจับ อารมณก รรมฐานไดมัน่ คง
๒๗พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บณั ฑติ าภิวงั สะ เมื่อ ถีนะ ทําใหจิตใจออนแอ มันก็จะทําใหรางกาย ออนแอไปดวยโดยอัตโนมัติ จิตที่ซึมเซายอมไมอาจประคอง รา งกายใหน ง่ั ตวั ตรงและมน่ั คงอยไู ด การเดนิ จงกรมกลายเปน อริ ิยาบถท่ยี ากเยน็ เมื่อ ถีนะ ปรากฏอยู อาตาป ความ เพียรเพงอารมณก็หายไป จิตจะมีความแข็งกระดาง ขาด ความเฉยี บคมและวองไว แมผูปฏิบัติอาจมีความเพียรตอนเริ่มปฏิบัติ ความ เฉอ่ื ยชาอาจคบื คลานเขา มาครอบงาํ จนตอ งเรง ความเพยี รเพอ่ื แผดเผาความงวงใหหมดไป เม่ือความเซื่องซึมครอบงําจิต พลังทางบวกของจติ สว นหนึ่งยอมถกู ปดกัน้ ความออนแอจะ หอ หมุ องคธรรมท่เี ปนกุศล กลา วคอื วริ ยิ ะ สติ วิตกและวิจาร จนไมสามารถปฏิบัติหนาที่ของตนได สภาวะเชนนี้เรียกโดย รวมวา ถนี มทิ ธะ คอื จติ ทห่ี ดหเู ซอื่ งซมึ ถนี ะ หมายถงึ สภาพ ทีท่ าํ ใหจิตหดหู เซื่องซมึ ทอถอยจากอารมณ และ มทิ ธะ หมายถึงสภาพท่ีทําใหเจตสิก หดหู เซื่องซึม ทอถอยจาก อารมณ กลาวคือสภาวจติ ทถ่ี ูกความหดหู เซ่อื งซึม ครอบงาํ ในการปฏบิ ตั ไิ มม ปี ระโยชนอ ะไรทจี่ ะแยกแยะสภาวะ ของ “ถนี ะ” และ “มิทธะ” ออกจากกัน กลาวโดยรวมๆ ก็นบั
๒๘ กองทัพทง้ั ๑๐ ของมาร วาใชได เชนเดียวกับการถูกคุมขังอยูในท่ีแคบๆ ความหดหู เซอื่ งซมึ เปรียบเหมอื นภาวะทปี่ ดกนั้ กศุ ลธรรมใหข าดอิสระ ในการแสดงธรรมชาตแิ ทจรงิ ออกมา การกีดขวางกศุ ลธรรมน้ี แหละ เปนสาเหตุใหเกิดความหดหู เซื่องซึม ซ่ึงเปน นิวรณ หรือเคร่ืองปด กั้น (กศุ ลธรรม) อยา งหน่ึง ในท่สี ุดกองทัพท่ีหา ของมารก็สามารถทําใหการปฏิบัติหยุดชะงักลงได ตาของผู ปฏิบัติจะคอยๆ หรี่ลง และทันใดน้ันศีรษะก็คอมมาขางหนา ผูปฏิบัติจะเอาชนะภาวะที่ถดถอยเชนนี้ไดอยางไร ครั้งหน่ึง เม่ือพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซายกําลังเจริญ วิปสสนาอยูในปา และถูกถีนมิทธะเขาครอบงํา จิตของทาน หดหูและเซื่องซึมไรประโยชนเหมือนกับเนยที่แข็งตัวเม่ือ ถูกความเย็น ในขณะน้ันพระพุทธองคทรงเล็งเห็นสภาวจิต ของพระโมคคลั ลานะ จงึ เสดจ็ มาโปรดและตรสั วา “ดกู อ น โมคคัลลานะ เธอกาํ ลงั โงนเงน งว งนอน และสัปหงกอยูหรอื ” พระอัครสาวกตอบวา “ขอรับพระพุทธเจาขา ขา พระองคก าํ ลงั สปั หงกอย”ู ทา นตอบตรงไปตรงมาอยา งเปด เผย พระพทุ ธองคต รสั วา “ดกู อ นโมคคัลลานะ ตถาคตจะสอนวธิ ี ในการเอาชนะความหดหู เซื่องซึม ให ๘ ประการ”
๒๙พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภิวังสะ วิธเี อาชนะความงวง ๘ ประการ วิธีแรกไดแกการเปลี่ยนทัศนคติของตนเองเมื่อความ เซ่ืองซึมเขาครอบงํา ผูปฏิบัติอาจถูกลวงใหยอมแพดวยความ คิดวา “งว งเหลอื เกิน ไมม ีประโยชนอ ะไรทจ่ี ะมาน่งั อยอู ยา งน้ี ฉนั นา จะนอนลงสกั ประเดีย๋ ว เพ่อื รวบรวมกําลังดกี วา ” ตราบ ใดทีผ่ ูป ฏบิ ัติยงั มีความคิดเชน นี้ สภาวจติ ที่งวงเหงาซึมเซากจ็ ะ คงอยู แตใ นทางตรงกนั ขา ม หากผปู ฏบิ ตั ติ งั้ ใจอยา งเดด็ เดย่ี ว วา “ฉันจะนั่งกําหนดดูความเซื่องซึมงวงเหงานี้ และถามันยัง กลับมาอีก ฉันจะไมยอมแพ” นี่คือการเปล่ียนทัศนคติที่ พระพุทธองคทรงหมายถงึ ความเด็ดเดยี่ วเชนน้ี เปนจุดเร่มิ ตน ของการเอาชนะกองทพั ท่หี า ของมาร อกี โอกาสหนงึ่ ทจี่ ะตอ งมกี ารปรบั ทศั นคตกิ ค็ อื เมอ่ื การ ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนามคี วามสะดวกราบรนื่ พอถงึ จดุ ทผ่ี ปู ฏบิ ตั มิ คี วาม ชํานาญในการกําหนดอาการพองยุบของทองไดโดยไมตอง อาศัยความพยายามแลว ผปู ฏิบัติจะเริม่ ผอ นคลาย น่งั สบายๆ
๓๐ กองทพั ทงั้ ๑๐ ของมาร และเฝา กาํ หนดดคู วามเคลือ่ นไหวอยางสงบ ดวยอาการผอ น คลายน้ี ความงว งเหงาหาวนอนจะคบื คลานเขา มาไดง า ยๆ หาก มีอาการเชนน้ี ผูปฏิบัติพึงเรงสติ กําหนดรูอาการพองยุบดวย ความระมดั ระวงั หรอื มฉิ ะนน้ั กใ็ หเ พม่ิ จดุ ในการกาํ หนดอารมณ โดยใชค ําบรกิ รรมภาวนา การเพิม่ จุดในการกาํ หนดอารมณน ้ี ตอ งอาศัยเทคนคิ เฉพาะ เนื่องจากตองใชความพยายามสูงกวาการกําหนดพอง ยุบเฉยๆ วิธีการน้ี จะทําใหผูปฏิบัติตื่นตัวข้ึน ผูปฏิบัติอาจ บริกรรม “พองหนอ ยบุ หนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” เมื่อกาํ หนด “นง่ั หนอ” ใหร ะลกึ รคู วามรสู กึ ทร่ี า งกายอยใู นอาการทนี่ งั่ เมอื่ กําหนด “ถูกหนอ” ใหระลึกรูจุดกระทบสัมผัสจุดใดจุดหน่ึง หรือหลายจุดขนาดเทากับเหรียญสิบบาทในระหวางการ กําหนด “ถูกหนอ” น้ี ผูปฏิบัติพึงระลึกรูกลับมาท่ีเดิมเสมอ ถึงแมวาจะไมรูสึกวาถูกอะไรอยูทุกคร้ัง ย่ิงความงวงรุนแรง เทาไหร ก็ควรเพ่ิมจุดระลึกรูการกระทบสัมผัสมากข้ึนเทาน้ัน โดยอาจมากประมาณ ๖ จุด เม่อื กําหนด “ถกู หนอ” ครบแต ละรอบ ใหระลึกรูยอนกลับไปที่ทองแลวเร่ิมตนใหม วิธีการนี้ มกั จะไดผลพอสมควร แตก ม็ ใิ ชว า จะไมม โี อกาสผิดพลาด
พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ ๓๑ วิธีแกอาการงวงนอนวิธีที่สอง ใหนึกถึงขอธรรมที่ให แรงบันดาลใจท่ีจําไดหรือทองจําไวจนขึ้นใจ แลวพยายาม ทาํ ความเขาใจความหมายของขอธรรมน้ันใหล กึ ซง้ึ ทส่ี ดุ บางที ผปู ฏบิ ตั อิ าจเคยนอนลมื ตาโพลงอยทู ง้ั คนื เพราะเฝา คดิ ถงึ คาํ นงึ ถึงความหมายของเร่ืองราวบางอยาง หากเคยเปนเชนนี้ ผู ปฏิบัติยอมเขาใจถึงวิธีการแกงวงประการที่สองของพระพุทธ องค ตามหลักอภิธรรม อาการคิดมีองคธ รรมไดแก วติ ก หรือ การยกจติ ขน้ึ สอู ารมณ องคธ รรมน้ี สามารถชว ยใหจ ติ เบกิ บาน และมีความสดช่ืนข้ึนได นับเปนยารักษาความหดหูและเซื่อง ซมึ โดยตรง กลยุทธท่ีสามในการตอสูกับความงวงก็คือการทอง ขอธรรมตางๆ น้ันดังๆ ถาหากผูปฏิบัติอยูกันเปนกลุม ก็คง ไมตองบอกวาใหผูปฏิบัติบริกรรมขอธรรมน้ันๆ ดังเพียงใหตัว เองไดยินก็พอ ถา หากยงั ไมร สู กึ กระปรก้ี ระเปรา ขน้ึ ใหใ ชว ธิ ที แ่ี รงขน้ึ เชนดึงหรือไชหูตัวเอง เอามือสีกันเองหรือลูบแขน ขา และ ใบหนา ซงึ่ จะเปน การกระตนุ การไหลเวยี นของโลหติ และทาํ ให ตน่ื ตัวขนึ้ บา ง
๓๒ กองทพั ทงั้ ๑๐ ของมาร หากความงว งยังคงอยู ใหลกุ ขึน้ อยา งมีสตแิ ลวไปลา ง หนา ผปู ฏบิ ตั อิ าจใชน้าํ หยอดตาเพอ่ื ใหส ดช่ืนขึ้น ถา ยังไมหาย ใหมองไปยงั วตั ถุทีม่ แี สงสวา ง เชน พระจนั ทร แสงแดด หรือ หลอดไฟ ซ่ึงจะชว ยใหจ ิตสวางไสวขึ้น ความผองแผวของจติ ก็ เปนแสงชนิดหนึ่ง ดวยแสงนี้ ผูปฏิบัติจะสามารถต้ังความ พยายามที่จะเฝากาํ หนดดูพองยบุ อยา งชัดเจน ต้ังแตต นจนถึง ท่ีสุดอีกคร้ัง หากไมมีวิธีไหนใชไดเลย ก็ใหเดินจงกรมเร็วๆ แบบมสี ติ สุดทายหากไมห ายงวงกใ็ หน อนเสีย หากมีอาการงวงเหงาหาวนอนเร้ือรัง อาจเกิดจาก อาการทองผูกก็เปนได หากเปนเชนนั้น ผูปฏิบัติควรหาวิธี ระบายทอ งทีเ่ หมาะสม
กองทัพท่ี ๖ ความกลวั
กองทัพที่ ๖ ความกลวั กองทัพที่หกของมาร คือความกลัวหรือความขลาด ความกลัวสามารถกอกวนผูปฏิบัติท่ีอยูในทองถ่ินหางไกลได งายๆ โดยเฉพาะเมือ่ ความเพียรเรม่ิ ออ นกําลงั ลงภายหลงั จาก ที่หดหูและเซื่องซึมเขาครอบงํา ความพยายามอยางกลาหาญ เทาน้ันที่จะขับไลความกลัวใหหมดไปได เชนเดียวกับความ เขา ใจธรรมะอยา งถองแทซ ง่ึ เปน ผลอันเกิดจากความเพยี ร สติ และสมาธิ พระธรรมเปน เครอ่ื งปอ งกนั อนั ตรายทป่ี ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ทห่ี าไดใ นโลกน้ี ความศรทั ธาและการปฏบิ ตั ธิ รรมเปน ยาขนาน
๓๕พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภิวงั สะ เลศิ ทจ่ี ะขจดั ความกลวั การรกั ษาศลี มอี านสิ งสท ท่ี าํ ใหผ ปู ฏบิ ตั ิ ประสบกบั สงิ่ ทดี่ งี าม และมคี วามสขุ การเจรญิ สมาธทิ าํ ใหค ลาย ทกุ ขจ ากจติ ทถี่ กู กระทบดว ยอารมณแ ละความคดิ นอ ยลง และ การเจริญปญญานําผูปฏิบัติเขาสูพระนิพพาน ที่ซ่ึงความกลัว และภยนั ตรายทงั้ หลายปลาสนาการไป ดว ยการปฏบิ ตั ธิ รรม ผู ปฏบิ ตั นิ บั ไดว า เปน ผทู ดี่ แู ลปกปอ งและเปน กลั ยาณมติ รทด่ี ที สี่ ดุ ของตนเอง พนื้ ฐานของความกลวั มาจากโทสะซงึ่ เปน ธรรมชาตทิ ี่ ประทษุ รา ยในอารมณ เนอื่ งจากไมส ามารถเผชญิ หนา กบั ปญ หา บุคคลผูนั้นจึงไมแสดงอาการออกมาภายนอก แตรอโอกาสที่ จะวง่ิ หนี แตห ากผปู ฏบิ ตั สิ ามารถเผชญิ กบั ปญ หาไดต รงๆ ดว ย จติ ทเ่ี บกิ บานและผอ นคลาย ความกลวั กจ็ ะไมเ กดิ ขน้ึ ในระหวา ง การอบรมวิปสสนากรรมฐาน ผูปฏบิ ตั ิทีห่ างเหนิ จากธรรม จะ รสู กึ กลวั และขาดความเชอ่ื มั่น เมือ่ คิดถงึ ผปู ฏิบตั ิคนอืน่ ๆ และ วิปสสนาจารย ยกตัวอยางเชน เมื่อถูกความงวงเหงารบกวน อยางหนกั ผปู ฏบิ ัติอาจหลบั ตดิ ตอไดถ งึ ๕ ชัว่ โมง ในระหวา ง การนั่งสมาธิ และอาจมีสติแจมใสไดเพียงไมก่ีนาทีตอวัน ผปู ฏบิ ตั เิ หลา นม้ี กั จะรสู กึ ตา่ํ ตอ ย เขนิ อาย และกระอกั กระอว น
๓๖ กองทัพท้ัง ๑๐ ของมาร โดยเฉพาะอยา งยง่ิ เมอ่ื เรมิ่ คดิ เปรยี บเทยี บประสบการณข องตน กับผูปฏิบัติคนอ่ืนที่ดูเหมือนจะมีสมาธิอยูตลอดเวลา บางครั้ง ในประเทศสหภาพพมา ผปู ฏบิ ัตทิ ยี่ อหยอ นมากๆ อาจหายตวั ไป ๒-๓ วนั โดยไมมาสอบอารมณ บางคนกห็ นกี ลบั บา นไป เลยเหมือนกับเด็กนักเรียนท่ีไมไดทําการบาน ถาหากผูปฏิบัติ เหลาน้ีจะใชความพยายามอยางกลาหาญ สติก็จะสวางไสว ราวกับแสงอาทิตย สามารถเผาผลาญเมฆหมอกแหงความ งวงเหงาใหส้ินไป หากเปนเชนนี้ พวกเขาจะสามารถเผชิญ หนากับวิปสสนาจารยไดอยางเชื่อม่ัน และพรอมที่จะรายงาน ส่งิ ท่ีตนไดพบเหน็ ในแสงเหน็ พระธรรม ไมว า จะประสบกบั อะไรในระหวา งการปฏบิ ตั ธิ รรม ขอ ใหผูปฏิบัติพึงมีความกลาหาญและซื่อสัตยในการรายงานให วิปสสนาจารยทราบ บางคร้ังผูปฏิบัติอาจเขาใจผิดวา การ ปฏิบัติกําลังพังทลายลง ในขณะที่ความจริงกําลังกาวหนาอยู วิปสสนาจารยที่ดี จะชวยใหผูปฏิบัติสามารถเอาชนะความ รูสึกไมมั่นคงเหลานี้ และชวยใหการปฏิบัติกาวหนาตอไปได ตามหนทางของพระธรรม ดวยความเพียร ศรัทธา และ ความเชอ่ื มน่ั
กองทพั ท่ี ๗ ความลงั เลสงสยั
กองทพั ที่ ๗ ความลังเลสงสยั ความซึมเซาหดหู เปนเพียงสาเหตุหน่ึงท่ีจะทําใหผู ปฏบิ ตั เิ กดิ ความลงั เลสงสยั ขดี ความสามารถของตนเอง ความ สงสัยน้ี เปนกองทัพท่ีเจ็ดอันนาสะพรึงกลัวของมาร เมื่อเร่ิม ยอหยอนในการปฏิบัติ ผูปฏิบัติก็อาจเริ่มสูญเสียความเชื่อม่ัน ในตนเอง โดยปกติการครุนคิดคํานึงยอมไมสามารถชวยให สถานการณดีขึ้น ในทางตรงขาม ความสงสัยจะเกิดขึ้น แลว ขยายตัวออกไปชาๆ ตอนแรกอาจเปนความสงสัยตนเองแลว เปลี่ยนเปนความสงสัยในวิธีปฏิบัติ บางทีอาจเลยไปสงสัย
๓๙พระกัมมัฏฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ วปิ ส สนาจารย วา ทา นมคี วามรพู อทจ่ี ะเขา ใจสภาวะของตนหรอื ไม หรือวาตนเองเปน ผปู ฏบิ ัตริ ายพิเศษ ท่ตี องอาศยั คําสัง่ สอน พิเศษโดยเฉพาะ ประสบการณที่ผูปฏิบัติคนอ่ืนรายงานคงจะ คิดขึ้นเอง ทุกสิ่งทุกอยางที่เก่ียวกับการปฏิบัติกลายเปนขอ สงสัยไปหมด กองทัพที่เจ็ดของมารน้ี ภาษาบาลีเรียกวา วิจิกิจฉา ซึ่งวิจกิ ิจฉา หรอื ความลงั เลสงสยั มคี วามหมายลกึ ซ้ึงกวา ความ สงสยั ธรรมดา เปน อาการทจี่ ติ หมดพลงั จากการซดั สา ยของจติ เอง ยกตัวอยางเชน ผูปฏิบัติท่ีถูกความหดหูซึมเซาเลนงาน จะไมสามารถประคองการระลึกรูอันจะเปนปจจัยใหวิปสสนา ญาณเกิดข้ึนไดอยางตอเนื่อง แตหากมีสติอยูก็อาจกําหนดรู รูปและนามได จนประจักษถึงความสัมพันธระหวางปรมัตถ ธรรมทง้ั สองวา เปน เหตปุ จ จยั ซง่ึ กนั และกนั ได แตห ากผปู ฏบิ ตั ิ ไมสามารถเฝา กําหนดดโู ดยตรง ลักษณะทแ่ี ทจ รงิ ของรูปและ นามก็จะไมปรากฏชัด ไมมีใครสามารถทําความเขาใจกับส่ิงที่ ไมไดป ระจกั ษดว ยตนเองได ผูปฏบิ ตั ทิ ี่ขาดสติ กอ็ าจใชค วาม คิดพิจารณาหาเหตุผลเอาเอง “สงสัยนักวารูปกับนามน้ี ประกอบดวยอะไร และมีความสัมพันธกันอยางไร” อยางไร
๔๐ กองทพั ทั้ง ๑๐ ของมาร ก็ตาม ผูปฏิบัติคนนั้นจะทําไดเพียงแคการตีความจาก ประสบการณผสมผสานกับจินตนาการของตนเอง ซ่ึงเปน อนั ตรายมาก เนอื่ งจากจติ ไมส ามารถแทงทะลสุ ภาวธรรมตา งๆ ตามความเปน จรงิ จติ จะเกดิ ความกระสบั กระสา ย แลว เปลยี่ น เปนฉงนฉงาย ลงั เลสงสัย ซงึ่ เปนอีกลักษณะหนึง่ ของ วิจกิ จิ ฉา การใชความคิดหาเหตุผลมากเกินไป จงึ ทาํ ใหเหนอื่ ยลา เนอื่ งจากผปู ฏบิ ตั ยิ งั ไมเ หน็ สภาวธรรมไดถ อ งแทจ นจติ เกิดความเชื่อมั่นและตั้งมั่น ในทางตรงขาม จิตของผูปฏิบัติ จะเปนเหมือนถูกสาปใหซัดสายอยูกับทางเลือกตางๆ อาศัยที่ ไดจําวิธีเจริญกรรมฐานตางๆ ไวมาก ผูปฏิบัติอาจทดลองวิธี นั้นวิธีนี้ และในที่สุดอาจตกลงไปจมอยูใน “หมอจับฉาย” ของการปฏบิ ตั ธิ รรม วจิ กิ จิ ฉาอาจเปน อปุ สรรคอยา งใหญห ลวง ในการปฏิบัติ เหตุใกลของความซัดสายของจิตท่ีลังเลสงสัย ก็คือการขาดความใสใจในอารมณ อันเปนการปรับจิตใจท่ีไม ถูกตองในการแสวงหาสัจจธรรม การกําหนดจิตใหตรงกับ อารมณที่ปรากฏในปจจุบันขณะ จึงเปนวิธีรักษาความลังเล สงสยั ท่ดี ที ีส่ ุด หากเฝา กําหนดดูอยางถกู วิธี และในอารมณท ่ี ถูกตองแลว ก็จะประจักษในส่ิงที่แสวงหา กลาวคือ ลักษณะ
พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ ๔๑ ท่ีแทจริงของสิ่งท้ังปวง เม่ือใดเห็นสิ่งเหลานี้ตามที่เปนจริง ดวยตนเองแลว ผปู ฏิบัติกจ็ ะหมดความสงสยั ไปเอง การสรางเหตุปจจัยใหเกิดการระลึกรูอยางถูกตองน้ัน ผูปฏิบัติจําเปนตองมีวิปสสนาจารยที่สามารถแนะนําเพ่ือให สามารถดาํ เนนิ ตามหนทางแหง สจั จธรรมและปญ ญา พระพทุ ธ องคตรัสไววาผูตั้งใจแสวงหาสัจจธรรมพึงเขาหาวิปสสนาจารย ที่มีความสามารถและเปนท่ีพ่ึงได ถาหากผูปฏิบัติไมสามารถ แสวงหาวิปสสนาจารยเชนน้ี ก็อาจหันไปหาตํารับตํารา การเจริญวิปสสนาท่ีมีอยูมากมายในปจจุบัน แตพึงระวังโดย เฉพาะผูปฏิบัติที่ชอบอานหนังสือ หากมีความรูวิธีการตางๆ ในระดับพ้ืนๆ และพยายามนําความรูเหลาน้ันมาผนวกเขา ดว ยกนั ลงทายกอ็ าจผิดหวงั และเกดิ ความสงสัยมากยงิ่ ขึน้ กวา ตอนเร่มิ ตน วธิ ปี ฏบิ ตั บิ างอยา งอาจเปน วิธีทด่ี ี แตห ากไม ไดปฏิบัติตามวิธีน้ันอยางถ่ีถวน ก็อาจไมไดผลและเกิดความ สงสัยในวิธีการปฏิบัติเหลาน้ันซ่ึงก็เทากับวาผูปฏิบัติไดปดกั้น ตนเองจากโอกาสท่ีจะไดรับประโยชนที่แทจริงจากการปฏิบัติ วิปสสนากรรมฐาน หากไมเจริญกรรมฐานตามวิธีที่ถูกตอง ผูปฏิบัติยอมไมอาจเขาถึงสภาวธรรมที่แทจริงได นอกจากจะ
๔๒ กองทพั ท้งั ๑๐ ของมาร ทําใหเกิดความสงสัยมากขน้ึ แลว จิตจะแขง็ กระดา ง ไมค วรแก การงาน ผปู ฏบิ ตั จิ ะตกเปน ทาสของความโกรธ ความคบั ขอ งใจ หรือถึงกับตอ ตานการปฏบิ ตั ิเลยก็เปนได จิตใจท่ีเสยี ดแทง ความโกรธทําใหจิตแข็งกระดางเหมือนกับหนาม เม่ือความโกรธเขาครอบงํา ผูปฏิบัติจะรูสึกเหมือนถูกทิ่มแทง ราวกับคนเดินปาท่ีลุยผานพงหนาม ตองไดรับความเจ็บปวด ไปทุกๆ ยางกาว เนื่องจากความโกรธเปนอุปสรรคใหญของ ผูปฏิบัติจํานวนมาก อาตมาจะขอกลาวถึงความโกรธน้ีคอน ขางละเอียดสักหนอย ดวยหวังวาจะชวยใหผูปฏิบัติสามารถ เรยี นรทู จี่ ะเอาชนะมนั ได โดยทว่ั ๆ ไป ความโกรธเกดิ จากสภาว จิตสองอยาง คือหน่ึงความสงสัย และสองคือสิ่งท่ีเรียกวา “คนั ถะ” ซง่ึ หมายถงึ โซต รวนหรอื กเิ ลสอนั รอ ยรดั สตั วท งั้ หลาย ใหต ดิ อยูกับทกุ ข
๔๓พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑติ าภวิ งั สะ ความลังเลสงสัยมีอยู ๕ ประเภท ซ่ึงท่ิมแทงใหจิต เปนทุกข ผูปฏิบัติอาจลังเลสงสัยเก่ียวกับพระพุทธองค พระบรมศาสดาผูแสดงหนทางไปสูพระนิพพาน ผูปฏิบัติอาจ สงสัยในพระธรรมซ่ึงเปนหนทางท่ีนําไปสูความหลุดพน และ ในพระสงฆซ ง่ึ ไดแ กพ ระอรยิ บคุ คลผไู ดก าํ จดั กเิ ลสใหห มดไปได แลวบางสวน หรือโดยสิ้นเชิง ตอไปอาจสงสัยในศีลและวิธี ปฏบิ ตั ขิ องตนเอง ประการสดุ ทา ย อาจสงสยั ในเพอื่ นสหธรรมกิ รวมถึงวิปสสนาจารย เมื่อเกิดความสงสัยมากๆ ผูปฏิบัติอาจ รูสึกโกรธและตอตาน ทําใหจิตถูกทิ่มแทงอยางแทจริงจน รสู กึ ไมอ ยากปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนาตอ ไป เนอื่ งจากขาดความเชอื่ มนั่ ในวธิ แี ละผลการปฏิบัติน้ัน อยา งไรกต็ าม ยงั ไมสิ้นหนทางเสยี ทีเดยี ว ปญ ญาเปน ยารักษาวิจิกิจฉาระดับน้ี ปญญาจากการใครครวญเหตุผล เปนปญญาประเภทหน่ึง บอยคร้ังคําพูดที่นาเชื่อถือ เชน คาํ อธิบายของวปิ ส สนาจารยหรือเทศนาธรรมท่จี บั ใจ อาจฉุด จิตของผูปฏิบัติที่ตกอยูในความลังเลสงสัยใหพนจากพงหนาม ได เมอื่ จติ สามารถกลบั คนื สกู ารกาํ หนดระลกึ รอู ารมณไ ดอ ยา ง ถูกตอง ผูปฏิบัติจะรูสึกโลงอกและสํานึกถึงบุญคุณของครูบา
๔๔ กองทัพท้งั ๑๐ ของมาร อาจารย เมอ่ื เปน ดงั นี้ ผปู ฏบิ ตั มิ โี อกาสทจ่ี ะบรรลญุ าณทสั สนะ ไดเห็นความเปนจริงของสภาวธรรมตางๆ ดวยตัวเอง หากผู ปฏิบัติเขาถึงวิปสสนาญาณ ปญญาญาณน้ีจะเปนยารักษา ความรูสึกทีเ่ สียดแทงของจติ ได อยา งไรกต็ าม หากผปู ฏบิ ตั ไิ มส ามารถกลบั เขา สหู นทาง ของวิปสสนา ความสงสัยอาจจะพอกพูน จนเกินระดับท่ีจะ แกไขได โซต รวนทง้ั หาที่รอ ยรดั จติ ความสงสัยมิใชส่ิงท่ีเสียดแทงจิตเพียงอยางเดียว แต ยังมีปจจัยอ่ืนๆ อีก ๕ ประการท่ีเปนดังโซตรวนรอยรัดจิต เมื่อความรูสึกบีบรัดเชนน้ีปรากฏขึ้น จิตใจก็จะเปนทุกข เรา รอ น จากความรสู กึ อึดอัดขัดใจ ผลกั ไส และตอ ตาน แตผ ู ปฏิบัติสามารถหลุดพนจากเครื่องรอยรัดเหลาน้ีได ดวยการ เจริญวิปสสนาอันจะทําใหอุปสรรคเหลาน้ีหมดไปเอง หาก อุปสรรคเหลาน้ียังหลุดรอดเขามากระทบการปฏิบัติได การ
๔๕พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภิวังสะ กําหนดระลึกรูสภาวธรรมตามความเปนจริง เปนขอพึงปฏิบัติ ขอ แรก เพอื่ ใหจ ติ กลบั คนื สสู ภาวะทเ่ี บกิ บานและควรแกก ารงาน โซตรวนเสนท่ีหนึ่ง ไดแกความผูกพันกับอารมณทาง ทวารตา งๆ ทจ่ี ติ ทป่ี รารถนาแตอ ารมณอ นั นา พอใจ ยอ มจะพบ แตความไมพอใจกับส่ิงท่ีกําลังเกิดขึ้นในปจจุบันขณะ อารมณ หลักไดแกอาการพองยุบของทอง ฟงดูอาจไมเพียงพอและไม นาสนใจเม่ือเทียบกับจินตนาการของผูปฏิบัติเอง หากความ ไมพ อใจเชนนี้เกิดข้ึน การปฏิบตั ิกจ็ ะไมก าวหนา โซต รวนเสน ทสี่ อง ไดแ กค วามผกู พนั ยดึ มนั่ กบั รา งกาย ของตนเองมากเกินไป บางทีเรียกวามีความรักความเปนหวง ตัวเองมากเกินไป หรือบางทีอาจเปนความผูกพันยึดม่ันและ ความรสู กึ เปน เจา เขา เจา ของตอ บคุ คลอนื่ และรา งกายของเขา น่ีคือโซตรวนเสนท่ีสาม อาตมาคงไมตองอธิบายเพ่ิมเติม เพราะเปนสภาพที่เหน็ กันอยูโดยท่ัวไป การเปนหวงตนเองมากเกินไป สามารถเปนอุปสรรค ทใ่ี หญห ลวงของการปฏบิ ตั ไิ ด เวลานง่ั นานๆ ความรสู กึ ไมส บาย ยอมเกิดข้นึ อยา งหลกี เลีย่ งไมไ ด ความรูสกึ นั้นอาจรุนแรงจนผู ปฏิบัติเร่ิมรูสึกเปนหวงขาของตนเองวา นี่ตอไปจะเดินไดไหม
๔๖ กองทพั ท้ัง ๑๐ ของมาร ผูปฏิบัติอาจตัดสินใจลืมตาและยืดขาทําใหความตอเน่ืองของ การกําหนดขาดลง กําลงั ของการปฏิบัติท่สี ะสมมาก็จะหายไป ความพยายามในการทะนถุ นอมรา งกายของตนเองมากเกนิ ไป บางคร้ังก็อาจไปลดความกลาหาญ ที่จําเปนตองใชในการเฝา ตามกําหนดดูลกั ษณะท่แี ทจ รงิ ของความเจบ็ ปวด รปู ลกั ษณก อ็ าจเปน อกี สว นหนง่ึ ของโซต รวนเสน ทสี่ อง น้ี บุคคลบางคนอาจตองใสเสื้อผาสวยๆ และใชเคร่ืองสําอาง เพอ่ื ทาํ ใหต นเองมคี วามสขุ หากพวกเขาไมส ามารถอาศยั ปจ จยั ภายนอกเหลาน้ี เชนในการเขาอบรมวิปสสนากรรมฐานท่ีมี ขอหามการใชเคร่ืองสําอางและเคร่ืองแตงกายหรูหรา บุคคล เหลา นอ้ี าจรสู กึ วา มบี างอยา งขาดหายไป และความวติ กกงั วล ก็อาจทําใหการปฏิบัติไมกาวหนา โซตรวนเสนที่สี่ไดแก จิตท่ี หมกมนุ กบั อาหาร บางคนทานอาหารจุ บางคนเลอื กแตอ าหาร ท่ีถูกปาก คนที่เปนหวงปากทองมาก มักจะชอบนอนมากกวา การเจรญิ สติ ผูป ฏิบตั บิ างคนมปี ญหาตรงกันขา ม คือ กลัวอว น อยูตลอดเวลา พวกน้กี ถ็ กู โซตรวนของการกินผูกมัดอยเู ชนกนั โซตรวนเสน ทหี่ า ของจิตใจ ไดแกก ารปฏิบัติโดยมีเปา หมายเพื่อใหไดไปเกิดเปนเทวดา นอกจากจะทาํ ใหการปฏิบตั ิ
๔๗พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ ตงั้ อยูบนพ้ืนฐานของตัณหาคือความอยากไดอ ฏิ ฐารมณแ ลว การปฏบิ ัติแบบนยี้ งั เปนการตงั้ เปา ท่ีต่ําเกินไป สําหรับขอ เสยี ของการเกดิ เปน เทวดา ขอใหอานหนังสือเลม ท่ีชอื่ วา “ราชรถ สูพ ระนพิ พาน” ดว ยการปฏิ บัติอยางขยันหมั่นเพียร ผูปฏิบัติจึงจะ สามารถปลดโซต รวนท้งั หา ได และดวยความเพียรนี้ ผูปฏบิ ตั ิ จะสามารถเอาชนะความสงสยั และความไมพ อใจทตี่ ามมา เมอื่ หลุด พนจากค วามเสียดแทงทางจิตแลว จิตใจจะมีความ ผอ งแผว จติ ใจทใ่ี สสวา งจะมฉี นั ทะในการปลกู ความเพยี รเบอ้ื ง ตน ซงึ่ นาํ เขา สหู นทางแหง การปฏบิ ตั ิ ลาํ ดบั ตอ มาจะพฒั นาเปน ความเพยี รทแ่ี นว แนซ ง่ึ จะทาํ ใหก ารเจรญิ วปิ ส สนากา วหนา ขน้ึ และสดุ ทา ยจะเปน ความเพยี รทสี่ ะสมกาํ ลงั มาอยา งเตม็ ทจี่ นนาํ ไปสูความหลุ ดพนในการปฏิบัติขั้นสูงย่ิงๆ ขึ้นไป ความเพียร ทัง้ ๓ ระดบั ซ่งึ แทจริงคอื ความพยายามท่จี ะทาํ ใหจิตต่ืนตัว และเ ฝาตามกํา หนดดูอารมณอยูเสมอนั้น จะเปนปราการ ธรรมชาตทิ ดี่ ที ส่ี ดุ ในการปอ งกนั กองทพั ทเี่ จด็ ของมาร อนั ไดแ ก ความ ลังเลสงสั ย เมื่อใดที่มีความเพียรยอหยอน จิตจะหลุด จากก ารกําหนดรูอารมณ และก็จะเปดโอกาสใหความสับสน และความลังเลสงสัยครอบงําจติ ได
๔๘ กองทัพทั้ง ๑๐ ของมาร ศรัทธาทาํ ใหจิตแจม ใส ศรทั ธา หรือความเชื่อ มีคณุ สมบตั ิพิเศษท่เี ปน พลงั ใน การขจัดเมฆหมอกของความสงสัยและรําคาญใจใหหมดไป เปรยี บไดก บั ถงั ใสน ํา้ ขุนๆ จากแมน้ําท่เี ตม็ ไปดว ยตะกอน หาก ใสส ารเคมบี างชนดิ ลงไป เชน สารสม กจ็ ะทาํ ใหต ะกอนนอนกน ไดอยางรวดเร็ว ทําใหนํ้าใสขึ้น ศรัทธาก็เชนกัน ทําใหส่ิงไม บริสุทธต์ิ กตะกอน เหลือไวแตจ ติ ท่ผี องใส ผูป ฏิบัตทิ เ่ี ขาไมถึงคุณของ พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ จะเกิดความสงสยั ในคณุ ของพระรัตนตรัย ตลอดถึง ประโยชนข องการเจรญิ วปิ ส สนา และมกั จะพา ยแพแ กก องทพั ท่ีเจ็ดของมาร จิตใจของผูปฏิบัติเปรียบไดกับถังใสนํ้าขุนๆ จากแมนํ้า แตเมื่อไดตระหนักถึงคุณของพระรัตนตรัยจาก การอาน การสนทนาธรรม และจากการฟงธรรมเทศนาแลว ผูปฏิบัติก็จะสามารถกําจัดความสงสัยใหหมดไปไดอยางชาๆ และเกิดความศรทั ธาข้ึน
๔๙พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภิวงั สะ เมอ่ื มีศรัทธา กจ็ ะมคี วามปรารถนาในการปฏบิ ัตแิ ละ ยนิ ดที จ่ี ะทมุ เทพลงั ใหถ งึ จดุ หมาย ศรทั ธาทเี่ ขม แขง็ เปน รากฐาน ของความจริงใจและปฏิปทาท่ีม่ันคงในการปฏิบัติธรรม ซึ่งจะ ทาํ ใหค วามเพยี รสตแิ ละสมาธแิ กก ลา ขน้ึ ตามลาํ ดบั แลว ปญ ญา ก็จะปรากฏขึ้นในลักษณะของวิปสสนาญาณข้ันตา งๆ เมื่อมีเหตุปจจยั ในการปฏิบัติทเี่ หมาะสม ปญญาก็จะ เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ปญญาหรือญาณทัสสนะจะเกิดขึ้น เมื่อผูปฏิบัติกําหนดรูทันปจจุบันอารมณจนสามารถมองเห็น สภาวลักษณะและสามัญลักษณะของสภาวธรรมทางกายและ ทางจติ สภาวลกั ษณะหมายถึงลกั ษณะเฉพาะของกายและจติ ทผ่ี ปู ฏิบัติสามารถประสบไดโดยตรงดว ยตวั เอง ไดแก สี เสยี ง กลิ่น รส ความเย็น รอน ออ น แข็ง ความเคลือ่ นไหว เครงตงึ และสภาวจิตที่แตกตางกัน สามัญลักษณะเปนลักษณะที่เปน สามัญในสภาวธรรมทป่ี รากฏของรูปและนามท้งั ปวง สรรพสง่ิ ยอ มแตกตา งกนั ไปตามลกั ษณะเฉพาะของตน ทวา ทกุ ๆ สง่ิ กม็ ี อนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา เปนลักษณะพ้นื ฐานเหมอื นกนั ลกั ษณะท้งั สองน้ี กลา วคือ สภาวลักษณะและสามัญ ลักษณะ จะสามารถรบั รูไ ดอยา งชดั เจนและหมดขอสงสัยดวย
Search