Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore KlangPah

KlangPah

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-13 08:12:16

Description: KlangPah

Search

Read the Text Version

100 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

เบ่ือก็เบ่ือไป เราแค่ดูมัน แต่ไม่เป็นผู้เบื่อ เมื่อความโกรธเกิดข้ึน  ใจก็เห็นมัน ไม่เป็นผู้โกรธ ไม่ยึดติดถือม่ันว่าความโกรธเป็นเรา  เป็นของเรา ความโกรธเกิดข้ึน แต่ใจไม่ร้อนตาม ความหงุดหงิด  เกิดข้ึน ใจไม่ทุกข์ตาม ความเครียดเกิดข้ึน แต่ใจไม่ทุกข์ไปด้วย  อันนีท้ �ำได้ด้วยการเจรญิ สต ิ คอื ดมู ันหรือร้เู ฉยๆ การเจรญิ สตเิ ปน็ วธิ กี ารทตี่ า่ งจากสมาธ ิ สมาธเิ ปน็ การเอาจติ   มาจดจ่ออยู่กับส่ิงใดสิ่งหนึ่ง เม่ือรู้สึกเบ่ือก็เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับ  เสียงเพลง เสียงนก ต้นไม้ หรือการวาดรูป ก็ทำ� ให้ลืมความเบื่อ  ไปได้ อันนี้เป็นงานของสมาธิ ใช้เมื่อต้องการเปล่ียนอารมณ์ไป  จดจ่อสิ่งอื่นแทน แต่สติเป็นอีกวิธีการหนึ่ง คือดูหรือเห็นเฉยๆ  ไมเ่ ขา้ ไปเปน็  เหน็ มนั เกดิ ขน้ึ  และเมอ่ื ไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ กบั มนั  ไมป่ รงุ   แต่งต่อเติมมัน มันก็ดับไป เหมือนไฟท่ีไม่มีเชื้อไม่มีฟืนก็ดับมอด  ไปเอง ทกุ ขม์ นั อยไู่ มน่ านอยแู่ ลว้  แตเ่ ปน็ เพราะใจไปยดึ มนั เอาไว้  เปน็ เพราะใจปรงุ แตง่ ตอ่ เตมิ มนั ถงึ อยตู่ อ่ เนอ่ื งเปน็ ชว่ั โมง เปน็ วนั   บางทกี เ็ ปน็ อาทติ ย ์ และทใ่ี จไปยดึ มนั กเ็ พราะไมร่ ตู้ วั  เหมอื นกบั คน  ที่แบกหิน ทั้งๆ ที่เหนื่อย เป็นทุกข์ ก็ยังแบกเอาไว้ นั่นเป็นเพราะ  ไมร่ ู้ตัว 101 พระไพศาล วิสาโล

ท�ำนองเดียวกับคนที่เจอไฟไหม้บ้าน เห็นอะไรใกล้ตัวก็ขน  ออกไปกอ่ น บางทกี แ็ บกตเู้ ซฟ แบกโอง่ น�้ำ ซง่ึ เปน็ ของทหี่ นกั มาก  แตก่ แ็ บกวงิ่ หนอี อกจากบา้ นอยา่ งสบาย ตอนนน้ั ไมร่ สู้ กึ หรอกวา่ หนกั   เพราะความกลวั มนั ครอบงำ� ใจจนกระทง่ั ลมื ตวั  แตย่ ง่ิ วงิ่ กย็ ง่ิ เหนอ่ื ย  คร้ันหนีมายังท่ีปลอดภัย หายกลัวแล้ว จึงรู้สึกว่าหนัก รู้ตัวว่า  แบกตู้เซฟหรือโอ่งน�้ำ พอรู้เท่านั้นก็วางมันลงทันที ความยึดมั่น  ถือม่ันเกิดข้ึนเพราะความไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ยึดแล้วทุกข์ ทั้งๆ ท่ีแบก  แล้วทกุ ขก์ ย็ ังยึดเอาไว้ แตพ่ อรตู้ ัวเมื่อไรก็วางเองไม่ต้องมใี ครสั่ง ถึงท่ีสดุ แล้วนอกจากความแก่ ความเจบ็ ปว่ ย และความพลัด  พรากแล้ว ความตายก็เป็นอีกส่ิงหน่ึงที่เราทุกคนต้องเจอ เม่ือหนี  ความตายไมพ่ น้ กต็ อ้ งพรอ้ มเผชญิ หนา้ กบั มนั  ยอมรบั ความตายวา่   เป็นธรรมดาของชีวิต แม้จะมีความกลัวเกิดขึ้นก็ให้รู้ว่ากลัว  มีสติเห็นความกลัวเกิดข้ึน ตั้งอยู่ ดับไป เม่ือถึงท่ีสุดของชีวิต  ก็ยิ่งจ�ำเป็นต้องเอาสติมาใช้ เพ่ือให้เราเผชิญหน้ากับความตาย  ได้ด้วยใจสงบ เพ่ือท�ำให้ใจน้ีเป็นกุศล ไม่หม่นหมอง ไม่ต่ืน  ตระหนก สติมีความส�ำคัญมากส�ำหรับการรับมือกับความกระสับ  กระส่าย รวมทั้งความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกาย อะไรเกิดขึ้นก็มีสต ิ ดมู นั  สตจิ ะชว่ ยรกั ษาใจใหเ้ ปน็ ปกต ิ สามารถปลอ่ ยวางสง่ิ ตา่ งๆ ได ้ หาไมก่ ไ็ ปสุคติไดย้ าก 102 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

วชิ าสดุ ทา้ ยทต่ี อ้ งใชเ้ มอื่ เราจะตายคอื การเจรญิ สต ิ ความกลวั   กด็  ี ความรสู้ กึ ผดิ กด็  ี หรอื นมิ ติ ทเี่ ปน็ อกศุ ลกด็  ี บางทมี นั กโ็ ผลข่ น้ึ มา  หากไมร่ ทู้ นั จติ กจ็ ะแสส่ า่ ย ถกู อารมณเ์ หลา่ นร้ี บกวน ส�ำหรบั คนที ่ ไม่มีพื้นฐานการเจริญสติก็อาจจะน้อมจิตอยู่กับสิ่งที่เป็นกุศล เป็น  ที่ตั้งแห่งศรัทธา เช่น พระรัตนตรัย บทสวดมนต์ หรือความดีท่ี  ไดท้ ำ�  ทงั้ น้เี พือ่ ใหจ้ ิตเป็นกุศล ถา้ ตายกจ็ ะไดไ้ ปสคุ ติ อีกวิธีหน่ึงก็คือการมีสติรับรู้ทุกอย่างที่เกิดข้ึน รู้แล้ววาง  แม้กระท่ังเวลาเกิดความว้าวุ่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล ก็มีสติ  รู้ทัน เห็นมันเฉยๆ เห็นแล้วก็จะวางได้เอง มีความกลัวเกิดข้ึนก็รู ้ แลว้ วาง ไมต่ อ้ งยดึ อะไรทง้ั สน้ิ  คนทเี่ ปน็ นกั ภาวนาจะไมป่ รารถนา  การไปเกิดในสุคติภพ แต่มุ่งที่การหลุดพ้นเลยทีเดียว ถ้ามุ่งที่  สุคติภพก็ให้น้อมจิตอยู่กับพระรัตนตรัยหรือความดีท่ีได้ท�ำ บุญ  กศุ ลทไี่ ดบ้ ำ� เพญ็  หากจติ สดุ ทา้ ยเปน็ กศุ ล กจ็ ะไปสคุ ต ิ อาจเกดิ เปน็   เทวดา แต่ถ้าหากปล่อยวางทุกอย่างไม่ยึดติดถือม่ันในสิ่งใด ท�ำ  อย่างท่ีท่านอาจารย์พุทธทาสพูดคือ “ตกกระได พลอยกระโจน”  หมายความว่า ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ข้างหลังก็ไม่ห่วงไม่เสียดาย  ข้างหน้าก็ไม่กลัว ไม่กังวล ปล่อยวางทุกอย่าง เมื่อพระพุทธเจ้า  เสดจ็ ไปเยย่ี มผใู้ กลต้ าย นอกจากพระองค์จะแนะนำ� ใหเ้ ขามีศรัทธา  ม่ันคงในพระรัตนตรัยและตั้งม่ันในศีลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พึงท�ำคือ  103 พระไพศาล วิสาโล

ปลอ่ ยวางทงั้ หมด ไมว่ า่ จะเปน็ พอ่ แม ่ บตุ ร สามภี รรยา กามคณุ  ๕  หรือทรัพย์สมบัติ รวมท้ังสวรรค์ช้ันใดก็ไม่ปรารถนา ปล่อยวาง  ทัง้ หมด จะปล่อยวางอย่างน้ีได้ต้องอาศัยสติควบคู่กับปัญญา ตอนท ี่ หลวงปดู่ ลู ยไ์ ปเยยี่ มพระลกู ศษิ ยร์ ปู หนง่ึ ซง่ึ ชรามากใกลจ้ ะมรณภาพ  ท่านก็แนะน�ำสั้นๆ ว่า “เมื่อถึงเวลาที่จะตาย ให้ท�ำจิตให้เป็นหนึ่ง  104 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

แล้วหยุดเพ่ง ปล่อยวางทั้งหมด” จะท�ำอย่างน้ีได้ต้องอาศัยสติ  อย่างมาก วิชาสุดท้ายท่ีเราจะต้องใช้ก็คือการเจริญสติ อาตมาจึง  ยำ�้ ตง้ั แตต่ น้ วา่ การเจรญิ สตเิ ปน็ เรอื่ งสำ� คญั มาก สำ� คญั ถงึ ขนั้ ความ  เปน็ ความตาย แมถ้ งึ เวลาทจี่ ะตอ้ งตาย สตกิ ย็ งั ส�ำคญั อยา่ งยง่ิ  เปน็   ตวั ชขี้ าดวา่ จะไปสคุ ตหิ รอื ทคุ ต ิ หรอื จะไปลงเอยทไี่ หน ถา้ สตเิ จรญิ   ได้อย่างเต็มท่ี จนเกิดปัญญาเต็มรอบ แจ่มแจ้งในไตรลักษณ์ จิต  ก็สามารถหลุดพ้นได้ขณะที่ก�ำลังจะสิ้นลม อย่างท่ีพระอรหันต์  หลายทา่ นบรรลธุ รรมตอนทกี่ �ำลงั จะสน้ิ ใจ เรยี กวา่  ชวี ติ สมสสี  ี คอื   ส้นิ อาสวะไปพรอ้ มกับสนิ้ ชีวิต ฉะนน้ั จงึ อยา่ ดแู คลนสต ิ ไมว่ า่ จะเปน็ การด�ำเนนิ ชวี ติ ใหอ้ ยรู่ อด  หรือการดำ� เนินชีวิตให้มีความสุข หรือการเผชิญกับความเจ็บป่วย  ความพลัดพรากหรือแม้แต่ความตาย ก็ต้องอาศัยสติเป็นพ้ืนฐาน  ทง้ั สน้ิ  สงิ่ ทเี่ ราท�ำอยนู่ ม้ี คี วามส�ำคญั มาก ตอ้ งอาศยั ความเพยี รใน  การสะสม กอ่ รา่ ง สรา้ งสตใิ หเ้ จรญิ งอกงาม แมจ้ ะนา่ เบอ่ื  แมจ้ ะมี  อุปสรรคมากมาย แต่อานิสงส์หรือผลพวงท่ีจะเกิดข้ึนตามมาจาก  สติทเ่ี ราสร้างนัน้ มหาศาลจนถึงวันสนิ้ ลมทีเดียว 105 พระไพศาล วิสาโล



ปฎบิ ตั ิ แบบไม่ท�ำ การปฏิบัติธรรมนั้น มีทั้งท�ำและก็ไม่ท�ำ ท�ำก็เช่นท�ำความดีให้  ถึงพร้อมอย่างท่ีเราเพ่ิงได้สาธยายกัน ไม่ท�ำก็คือไม่ท�ำความชั่ว  ไม่ใช่แค่ระดับศีลเท่าน้ัน แต่ยังมีความหมายรวมไปถึงการภาวนา  ด้วย การภาวนาบางอย่างก็คือการไม่ทำ�  อย่างเช่นการเจริญสติ  เป็นเพียงแค่การดูเฉยๆ ดูกายและใจตามความเป็นจริง อะไร  เกิดขึ้นกับกายก็แค่ดูหรือรู้เฉยๆ อะไรเกิดข้ึนกับใจ ก็แค่ดูหรือ  รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปท�ำอะไรท้ังสิ้น ไม่ต้องตัดความโกรธ ไม่ต้อง  กดขม่ ความคดิ  แค่เหน็ เท่าน้ันก็พอแลว้   107 พระไพศาล วิสาโล

การดหู รอื การรเู้ ฉยๆ ทจี่ รงิ มนั นา่ จะงา่ ยเพราะไมต่ อ้ งท�ำอะไร  เลย การดูกายหรือดูใจก็เปรียบเหมือนเราน่ังอยู่ริมน�้ำ แล้วก็ดู แม่น้�ำเลื่อนไหลผ่านไป อะไรต่อมิอะไรท่ีลอยมาตามนำ้�  ดีหรือชั่ว  สวยหรอื นา่ เกลยี ด กแ็ คด่ เู ฉยๆ อะไรทส่ี วยทดี่ กี ไ็ มต่ อ้ งไปยดึ อยาก  ให้มันอยู่นานๆ หรือเก่ียวเอามาเป็นของเรา อะไรที่น่าเกลียด  ไมน่ า่ ด ู เชน่  ขยะหรอื หมาเนา่ ลอยนำ้� มากไ็ มต่ อ้ งไปทำ� อะไรกบั มนั   ไม่ต้องไปผลักไสไล่ส่ง การท่ีไม่ต้องทำ� อะไรเลย ดูเหมือนเป็นวิธี  ท่ีง่ายมาก แค่ดูเฉยๆ เหมือนคนที่ยืนอยู่บนชายหาด มองดูคลื่น  ซัดสาดเข้าฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นคล่ืนเล็ก คล่ืนใหญ่ พอซัดเข้าฝั่งแล้ว  มันก็เลือนหายไป มันน่าจะง่าย แต่มันกลับกลายเป็นเร่ืองยาก  ส�ำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะนิสัยของคนเราอยู่เฉยไม่ได้ เห็นอะไร  ท่สี วยงามกอ็ ยากจะเข้าไปยึดครอง เปรียบเหมือนเราเห็นเรือเปล่าล�ำใหญ่สวยงามผ่านมา เรา  รสู้ กึ อยากได ้ ทนปลอ่ ยใหม้ นั ลอยผา่ นไปตอ่ หนา้ ตอ่ ตาไมไ่ ด ้ กต็ อ้ ง  วา่ ยนำ้� ไปหามนั เพอื่ ลากเขา้ ฝง่ั  แตเ่ รอื กล็ �ำใหญ ่ นำ้� กเ็ ชย่ี ว มแี ตจ่ ะ  ลอยไปตามกระแสน�้ำ แต่เป็นเพราะเราอยากได้มันมาก ก็ต้องทำ�   ทกุ วถิ ที างเพอื่ ลากมนั เขา้ ฝง่ั  เหนอื่ ยกเ็ หนอ่ื ย สดุ ทา้ ยกท็ �ำไมส่ ำ� เรจ็   เพราะสู้กระแสน้�ำไม่ไหว ก็ต้องปล่อยให้มันผ่านเลยไป ในท�ำนอง  เดียวกันเมื่อเห็นอะไรท่ีไม่สวยงามก็อยากจะผลักไส ถ้าผลักไส  108 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ไม่ไหวก็พยายามหนีห่าง การท�ำเช่นน้ันท�ำให้เหนื่อย แต่เราก็อด  ไม่ได้ท่ีจะท�ำอย่างน้ันคร้ังแล้วครั้งเล่า น้ีคือสิ่งท่ีเกิดขึ้นกับใจเรา  เม่อื มีความคิดหรืออารมณต์ ่างๆ เกิดขึ้น กระแสจติ ของเราไมต่ า่ งจากกระแสนำ้�  มนั ไหลเลอ่ื นไปเรอ่ื ยๆ  ในระหว่างนัน้ กม็ คี วามคดิ  อารมณ์ตา่ งๆ เกดิ ขน้ึ  สงิ่ เหล่านน้ั ลว้ น  แลว้ แตไ่ มเ่ ทยี่ ง มนั ลอ่ งลอยแปรเปลยี่ นไปเหมอื นลอยไปตามกระแส  น้�ำ ท่ีจริงเราไม่ต้องท�ำอะไร เราแค่ดูมันเฉยๆ ในที่สุดมันก็จะลับ  หายไป แต่เป็นเพราะว่าเราอยู่เฉยไม่ได้ จึงพยายามยึดครองมัน  เม่ือท�ำไม่ส�ำเร็จก็ผิดหวังเสียใจ ส่วนอารมณ์ที่เป็นอกุศลที่ไม่ชอบ  เรากอ็ ยากจะผลกั ไส ผลกั ไสเทา่ ไรกไ็ มย่ อมหายไปสกั ท ี ยง่ิ ผลกั ไสก็  ยงิ่ เหนอื่ ย แตส่ ดุ ทา้ ยมนั กล็ อยผา่ นไปของมนั เอง เพราะธรรมชาติ  ของมันเป็นอย่างนั้น ท่ีจริงเพียงแค่ดูเฉยๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องท�ำ  อะไรเลย แต่นิสัยของเรามันอดไม่ได้ท่ีจะต้องทำ�  ถ้าไม่ผลักไส ก ็ ไขวค่ วา้  สงิ่ ดกี อ็ ยากไขวค่ วา้ ยดึ ครอง สง่ิ ไมด่ กี อ็ ยากผลกั ไส บางท ี การอยูเ่ ฉยๆ เปน็ วิธีท่ชี าญฉลาดกวา่  แมก้ ระทง่ั ในเวลาทีม่ ีภัยมา หลวงพอ่ ล ี ธมั มธโรเลา่ วา่  ครงั้ หนง่ึ ทา่ นไปธดุ งคใ์ นปา่  เจอ  ผู้เฒ่าสองสามีภรรยา สองคนนั้นได้เล่าว่าวันหน่ึงก�ำลังหาของป่า  อยู่ จู่ๆ ก็มีหมีตัวใหญ่มาประชิด แม่เฒ่ารีบวิ่งหนีปีนขึ้นต้นไม้ทัน  109 พระไพศาล วิสาโล

ส่วนพ่อเฒ่าว่ิงหนีไม่ทันจึงถูกหมีท�ำร้าย แกพยายามสู้แต่สู้ไม่ไหว  เพราะหมตี วั ใหญก่ วา่ มาก ขณะทโี่ รมรนั พนั ตอู ยนู่ น้ั แมเ่ ฒา่ กต็ ะโกน  วา่  ให้นอนหงายเหมอื นคนตาย อย่ากระดกุ กระดิก พ่อเฒา่ ได้ยนิ   ก็ได้สติ ล้มตัวลงนอนแผ่ นิ่งไม่กระดุกกระดิกเหมือนคนตาย พอ  หมเี หน็ เชน่ นน้ั  กห็ ยดุ ตะปบ หมจี ะทำ� อยา่ งไรกบั แก แกกไ็ มต่ อบโต้  มนั ดงึ ขา ดงึ หวั ของแก เอาปากดนุ ตวั  แกกท็ ำ� ตวั ออ่ นไปมา ระหวา่ ง  นั้นก็บริกรรม “พุทโธ” เพื่อคุมสติไม่ให้ต่ืนตกใจ พอหมีเข้าใจว่า  แกตายแล้ว กเ็ ลยเดินจากไป จงึ รอดตาย 110 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

พ่อเฒ่ารอดตายเพราะอยู่นิ่งๆ ไม่ต่อสู้และไม่หนี แต่คนเรา  เวลาเจอภัยอันตรายก็อดไม่ได้ที่จะต้องท�ำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่หนี  กส็  ู้ ถา้ สไู้ มไ่ หว หรอื หนไี มไ่ ด ้ กผ็ ลกั ไสตอ่ ตา้ นอยใู่ นใจ ทง้ั ทบ่ี างครง้ั   การอยเู่ ฉยๆ นแี่ หละดที สี่ ดุ  แตก่ ารทจี่ ะอยเู่ ฉยๆ ไดต้ อ้ งมสี ต ิ เพราะ  ความกลวั จะกระตนุ้ ใหเ้ ราตอ้ งท�ำอะไรสกั อยา่ ง อยเู่ ฉยๆ ไมไ่ ด ้ ถา้   ไมส่ กู้ ห็ น ี อนั นเ้ี ปน็ ปฏกิ ริ ยิ าของมนษุ ยเ์ วลาเจอภยั  แตถ่ า้ มปี ญั ญาก็  จะร้วู า่ บางคร้ังสูก้ ไ็ ม่ได้ หนีก็ไม่พน้  ทางเดยี วท่ีตอ้ งทำ� คืออยู่เฉยๆ  การอยเู่ ฉยๆ นา่ จะเปน็ วธิ ที ง่ี า่ ยแตม่ นั กลายเปน็ วธิ ที ยี่ าก เพราะมนั   ตอ้ งทวนกระแสสญั ชาตญาณ รวมท้ังทวนกระแสกิเลสดว้ ย  พวกเราก็เหมือนกัน เวลาเจริญสติก็ให้ดูหรือรู้เฉยๆ เวลามี  อะไรเกิดข้ึนโดยเฉพาะความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ แต่ว่า  ใจเรามักอยู่เฉยไม่ได้ มักจะต้องทำ� อะไรสักอย่างกับความคิดหรือ  อารมณเ์ หลา่ นนั้  เชน่  ผลกั ไส หรอื ไมก่ พ็ ยายามควบคมุ จติ ไมใ่ หค้ ดิ   เรื่องนั้นเร่ืองนี้ หรือกดข่มกิเลสเอาไว้ จึงท�ำให้มีปัญหาตามมา  เพราะว่าจิตมันไม่ชอบถูกบังคับ ย่ิงห้ามก็ยิ่งขัดขืนต่อต้าน ขณะ  เดียวกันตัวความคิดและกิเลส มันอยากให้เราเข้าไปโรมรันพันตู  กับมัน มันจึงล่อหลอกให้เราเข้าไปกดข่มมัน หรือเข้าไปท�ำอะไร  สักอย่างกับมัน ถ้าเราเช่ือ เราก็จะตกอยู่ในกับดักของมัน คิด  เร่อื งน้ันเรอ่ื งนไี้ ม่เลิกรา  111 พระไพศาล วิสาโล

เมอื่ มคี วามคดิ เกดิ ขน้ึ ขณะทำ� สมาธ ิ เราไมช่ อบมนั  จงึ พยายาม  ผลักไสกดข่มมัน สุดท้ายก็กลายเป็นว่าใจเราติดหนึบพัวพันอยู่กับ  ความคิดนั้น เหมือนกับว่ามันมีกาวเหนียว มีแรงดึงดูด สุดท้าย  ก็เลยถูกมันลากถูลู่ถูกังไป ทีแรกต้ังใจว่าจะเล่นงานมันแต่สุดท้าย  กลับหลงกลมัน อยู่ในอำ� นาจของมัน อันท่ีจริงเราไม่ต้องทำ� อะไร  เลย แคด่ มู นั เฉยๆ เหน็ มนั เกดิ ขนึ้  ไมน่ านมนั กจ็ ะดบั ไป การดเู ฉยๆ  หรอื เพียงแคร่ ู้เฉยๆ นั้นมีอานภุ าพมาก  ในพระไตรปฎิ กมเี รอ่ื งเลา่ เกยี่ วกบั มารทมี่ ากอ่ กวนผปู้ ระพฤต ิ ธรรม ต้ังแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระอรหันต์ ภิกษุ ภิกษุณี มาร  มาก่อกวนหลายรูปแบบ บางทีก็ปลอมตัวมาพูดจาชักจูงให้คลาย  ความเพยี ร เชน่  มาพดู กบั ภกิ ษณุ ที ที่ �ำความเพยี รอยวู่ า่ ทา่ นยงั สาว  อยู่ ไปหาความสุขทางโลกก่อนเถอะ แก่แล้วก็ค่อยมาปฏิบัติธรรม  เป็นการได้ประโยชน์จากโลกทั้งสอง คือโลกของฆราวาสและโลก  ของบรรพชิต ตอนสาวก็หาความสุขจากโลกฆราวาสด้วยการเสพ  กาม พอแก่แล้วค่อยมาหาความสุขจากโลกแห่งบรรพชิต ฟังดูก็มี  เหตุผลดี น่าคล้อยตาม บางทีมารก็มาหลอกให้กลัว เช่น ท�ำให้  เกดิ แผน่ ดนิ ไหว หรอื ปลอมตวั เปน็ พญาชา้ งเปน็ งใู หญ ่ มาขใู่ หก้ ลวั   จะได้เลิกปฏิบตั ิ  112 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

แมก้ ระทง่ั พระพทุ ธเจา้  เมอ่ื ครงั้ บำ� เพญ็ ความเพยี ร กย็ งั มมี าร  มารงั ควาน เชน่  ชวนใหพ้ ระองคก์ ลบั ไปบำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า มคี ราว  หน่ึงมากล่าวกับพระองค์ว่า ท่านส่ังสมบุญกุศลมามากแล้ว จะท�ำ  ความเพียรไปท�ำไม พระองค์ก็ตอบกลับไปว่า พระองค์ไม่มีความ  ต้องการบุญแม้แต่น้อย แต่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น แต่ก็มีหลาย  กรณที เ่ี มอื่ มารมาหลอกพระองค ์ พระองคก์ บ็ อกใหม้ ารรวู้ า่ พระองค์  รทู้ นั แลว้  โดยกลา่ วทกั แคว่ า่  “มารผมู้ บี าป” เพยี งเทา่ นม้ี ารกต็ กใจ  อุทานว่า “พระพุทธเจ้าทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา” เมื่อรู้  ว่าหลอกไม่ส�ำเร็จ มารก็ยอมแพ้ หายตัวไป จะเห็นได้ว่าพระองค์  ไมไ่ ดใ้ ชฤ้ ทธเิ์ ดชอะไรกบั มาร เพยี งแคบ่ อกใหร้ วู้ า่ พระองคร์ ทู้ นั มาร  แลว้ เท่านน้ั  มารกย็ อมแพ้  คราวหนึ่งพระสมิทธิบ�ำเพ็ญเพียรอยู่ มารก็มาหลอกให้กลัว  ด้วยการท�ำให้แผ่นดินไหว พระสมิทธิตกใจจนเลิกปฏิบัติ กลับไป  ยังเชตวัน แล้วทูลเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ฟังก็รู้ว่าเป็น  อุบายของมาร จึงแนะน�ำพระสมิทธิว่าเม่ือเกิดเหตุการณ์แบบน ี้ ก็ให้พูดไปเลยว่า “มารผู้มีบาป เรารู้จักท่าน” พระสมิทธิก็เช่ือ  กลับไปบ�ำเพ็ญเพียรที่เดิม มารเห็นก็ท�ำให้เกิดแผ่นดินไหวอีก  คราวนี้พระสมิทธิก็บอกกับมารตามท่ีพระพุทธเจ้าแนะน�ำ พอมาร  รวู้ า่ พระสมทิ ธริ ทู้ นั แลว้ กเ็ สยี ใจ อทุ านวา่  “พระสมทิ ธริ จู้ กั เราแลว้ ”  จากน้ันกล็ า่ ถอยกลับไป  113 พระไพศาล วิสาโล

จะเห็นได้ว่าเพียงแค่การรู้ทันก็มีอานุภาพมากพอท่ีจะท�ำให้  มารล่าถอยกลับไปได้ ไม่ต้องใช้ฤทธ์ิเดช ไม่ต้องต่อสู้หรือโรมรัน  พนั ตกู บั มาร แคบ่ อกใหม้ ารรวู้ า่ เรารทู้ นั เทา่ นก้ี พ็ อแลว้  มารในทน่ี ี ้ กห็ มายถงึ กเิ ลสทปี่ รงุ ความคดิ และอารมณต์ า่ งๆ ทำ� ใหเ้ กดิ ความ  ทอ้  ความกลวั  คลายความเพยี ร หรอื อาจจะรวมถงึ อารมณอ์ กศุ ล  ต่างๆ ท่ีท�ำให้เป็นทุกข์ เคร่ืองมือส�ำคัญท่ีจะเอามารับมือกับสิ่ง  เหลา่ น้ีก็คือ สติ ได้แก่การรู้เฉยๆ แค่รู้ว่ามันเกิดข้ึนที่ใจก็พอแล้ว  ไมต่ อ้ งไปทำ� อะไรกบั มนั  ไมว่ า่ มนั จะมากอ่ กวนอยา่ งไรกต็ าม ขนาด  พระโมคคัลลานะ มารก็เคยมาก่อกวนท�ำให้ปั่นป่วนท่ีท้อง ทีแรก  ท่านไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ครั้นหย่ังจิตดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของมาร  ทา่ นกพ็ ดู กบั มารอยา่ งเดยี วกนั วา่  “มาร เรารจู้ กั ทา่ น ทา่ นอยา่ คดิ   ว่าเราไม่รู้จักท่าน” พอมารรู้ว่าพระโมคคัลลานะรู้ทันก็เสียใจ หน ี จากไป ความโกรธ ความโลภ ความหงดุ หงดิ  ความรสู้ กึ ผดิ ตา่ งๆ  กเ็ ชน่ กัน ทันทที เี่ รารู้ว่ามนั มา มนั ก็ล่าถอยไปไม่ต่างจากมาร เวลามีความคิดและอารมณ์อกุศลเกิดขึ้น แค่รู้ทันเฉยๆ ก็  พอแล้ว ไม่ต้องท�ำอะไร การดูก็ดี การเห็นก็ดี การรู้ทันก็ดี อันน้ี  เป็นงานของสติ คนส่วนใหญ่เวลาเกิดอารมณ์อกุศลขึ้นมามักจะ  อยเู่ ฉยไมไ่ ด ้ พยายามกดขม่ มนั  ยง่ิ กดขม่  มนั กย็ งิ่ ตา้ น ยงิ่ ส ู้ หรอื ไม่  กห็ ลบไประบายออกทางอนื่  ผชู้ ายคนหนง่ึ พบวา่ ตวั เองมพี ฤตกิ รรม  114 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

แปลกๆ คือเวลาเจอศาลพระภูมิทีไร มีความรู้สึกอยากไปท�ำลาย  เขาไมเ่ ขา้ ใจวา่ เปน็ เพราะอะไร ความโกรธเกลยี ดศาลพระภมู เิ กดิ ขนึ้   โดยไม่เข้าใจว่ามันเกิดข้ึนได้อย่างไร สุดท้ายก็ไปปรึกษาจิตแพทย ์ จติ แพทยก์ ็ใหเ้ ขาเล่าประวตั ิให้ฟงั   ตอนหน่ึงเขาเล่าว่าเขาเป็นคนที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรง  กับพ่อ ถูกพ่อดุด่าว่ากล่าวเป็นประจ�ำ มีคราวหนึ่งพ่อด่าเขาอย่าง  รุนแรง ดูเหมือนจะลงไม้ลงมือด้วย เขาโกรธมากอยากจะตอบโต ้ ด้วยการต่อยพ่อแต่ก็ห้ามใจเอาไว้ได้ เหตุการณ์คร้ังน้ันท�ำให้เขา  รสู้ กึ ผดิ มาก เพราะรวู้ า่ มนั เปน็ สงิ่ ทไ่ี มส่ มควรทำ�  คนดไี มค่ วรเกลยี ด  พ่อหรืออยากท�ำร้ายพ่อ เขาจึงพยายามกดข่มความโกรธเกลียด  พ่อเอาไว้ ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบนี้กับพ่อ ปรากฏว่า  ความโกรธเกลียดพ่อไม่ได้หายไปไหน มันถูกกดอยู่ในจิตไร้ส�ำนึก  แลว้ ไประบายออกทศ่ี าลพระภมู แิ ทน เพราะศาลพระภมู เิ ปน็ เหมอื น  115 พระไพศาล วิสาโล

ตวั แทนของพ่อ คอื เป็นทเี่ คารพและดูมอี �ำนาจ ในเมอ่ื โกรธเกลียด  พอ่ หรอื ทำ� ร้ายพอ่ ไมไ่ ด้ ก็ไปออกทศ่ี าลพระภมู แิ ทน  กรณีนี้แก้ได้ด้วยการที่เจ้าตัวยอมรับว่ามีความโกรธเกลียด  พ่อ ไม่ปฏิเสธ ไม่ผลักไส และไม่ต้องกดข่มความรู้สึกดังกล่าว แค่  ยอมรบั และดมู นั เฉยๆ แคเ่ หน็ มนั เฉยๆ เรยี กวา่ ไมต่ อ้ งสนใจมนั เลย  ก็ได้ มันเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป ไม่ต้องท�ำอะไรกับมัน ก็จะพบว่า  ในที่สุดมันก็จะดับไปเอง ในทางตรงข้ามย่ิงไปกดข่มมัน มันก็ยิ่ง  รังควานหรอื ผลกั ดนั ให้เรามอี าการประหลาดวปิ รติ พิสดาร  มคี นหนงึ่ มอี าการคลา้ ยจติ หลอน ทแี รกกไ็ มร่ วู้ า่ เปน็ จติ หลอน   คือเห็นคนๆ หน่ึงก็เข้าไปพูดคุยจนกระท่ังสนิทสนม แล้วคนนั้นก็  ชักชวนให้เขาท�ำอะไรแปลกๆ เขาก็ท�ำตามเพราะคุ้นเคยสนิทสนม  ตอนหลงั ถงึ มารวู้ า่ นนั่ ไมใ่ ชค่ นจรงิ ๆ แตเ่ ปน็ ภาพหลอนทจี่ ติ ปรงุ แตง่   ขน้ึ  ตอ่ มาเมอ่ื เหน็ ภาพหลอนนน้ั อกี เขากพ็ ยายามผลกั ไสไลส่ ง่  พอ  ผลกั ไสไมไ่ ป เขากเ็ ขา้ ไปปลกุ ปลำ�้ กบั มนั เลย คนอน่ื เหน็ กแ็ ปลกใจวา่   เขาท�ำอะไรอยู่ กลิ้งอยู่ในสนามหญ้าอยู่คนเดียว เหมือนก�ำลังสู้  กับใครอยู่ ที่จริงในความรู้สึกของเขา เขาก�ำลังสู้กับคนๆ นั้นอยู่  แต่พบว่าทำ� อย่างไรมนั กไ็ ม่ยอมไป 116 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ตอนหลงั เมอ่ื ไดป้ รกึ ษาปญั หานก้ี บั จติ แพทย ์ กร็ วู้ า่ สง่ิ ทค่ี วรท�ำ  คอื อยา่ ไปสนใจมนั  มนั จะมาใหเ้ หน็ กอ็ ยา่ ไปสนใจ ไมต่ อ้ งไปเออออ  ห่อหมกเหมือนตอนแรก และก็ไม่ต้องไปผลักไสไล่ส่งอย่างท่ีท�ำ  ตอนหลงั  กแ็ คเ่ ฉยๆ ไมส่ นใจไมน่ ำ� พา ภาพหลอนกพ็ ยายามชกั ชวน  ขอรอ้ งวงิ วอนใหเ้ ขาหนั มาพดู คยุ ดว้ ย ครน้ั เขาไมส่ นใจ มนั กพ็ ดู จา  ด่าทอเพื่อให้เขาโกรธจะได้ผลักไสไล่ส่ง ซ่ึงก็จะท�ำให้เขาตกอยู ่ ใต้อ�ำนาจของมัน แต่เขาก็หักห้ามใจ ไม่สนใจมัน ไม่เคล้ิมคล้อย  และไมผ่ ลกั ไส แคร่ วู้ า่ มนั มาแลว้ กพ็ อ สดุ ทา้ ยมนั กค็ อ่ ยๆ เลอื นหาย  ไปจากใจของเขา  อนั นเ้ี ปน็ วธิ กี ารเดยี วกบั สต ิ สตคิ อื แคร่ วู้ า่ มอี ะไรเกดิ ขน้ึ ในใจ  แตไ่ มท่ ำ� อะไรกบั มนั  ไมส่ นใจ แมม้ นั จะเปน็ ความคดิ ทว่ี เิ ศษ มเี สนห่  ์ เรากไ็ ม่สนใจ ไมเ่ ออออกบั มัน แคเ่ ห็นมนั กพ็ อ ในทำ� นองเดยี วกนั   มันจะเป็นความคิดที่น่ารังเกียจแค่ไหน ก็แค่รู้เฉยๆ หลายคนพอ  เจรญิ สตมิ ากๆ จะเจอความคดิ และอารมณท์ น่ี า่ เกลยี ด เชน่  ความ  โกรธ ความเหน็ แกต่ วั  ความพยาบาท พอมนั เกดิ ขนึ้ ในใจกร็ สู้ กึ ผดิ   รสู้ กึ แยว่ ่าท�ำไมฉันมคี วามคิดแบบนัน้  ยอมรับมนั ไมไ่ ด้ กพ็ ยายาม  กดขม่ อารมณเ์ หลา่ นนั้ ไว ้ ทจี่ รงิ มนั เปน็ เรอ่ื งธรรมดามากทอี่ ารมณ์  แบบนจ้ี ะเกดิ ขน้ึ กบั เรา เพราะเรายงั เปน็ ปถุ ชุ นอย ู่ มองอกี แงห่ นงึ่   มนั เปน็ อบุ ายของกเิ ลสทอ่ี ยากจะลอ่ หลอกใหเ้ ราเขา้ ไปพนั ตกู บั มนั   117 พระไพศาล วิสาโล

ขนื เราทำ� เชน่ นน้ั เรากห็ ลงกลมนั  เจอแบบนเ้ี รากแ็ คร่ เู้ ฉยๆ ไมต่ อ้ ง  ไปสนใจมันกพ็ อแล้ว มหี ลายคนมาปรกึ ษาอาตมาวา่ ทำ� ยงั ไงด ี เพราะมกั จะมคี ำ� พดู   จว้ งจาบพระรตั นตรยั ดงั ขนึ้ ในใจ บางทกี จ็ ว้ งจาบพอ่ แม ่ ดา่ ทา่ นอยา่ ง  รุนแรงในใจ บางคนสวดมนต์ไปได้สักพักก็มีเสียงต�ำหนิด่าทอ  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขารู้สึกแย่กับตัวเองมาก ว่าท�ำไม  ถึงมีความคิดท่ีชั่วร้ายแบบนี้ พยายามกดข่มเท่าไรก็ไม่ส�ำเร็จ  อาตมาจงึ แนะนำ� ไปวา่ ไมต่ อ้ งทำ� อะไรกบั ความคดิ หรอื เสยี งเหลา่ นนั้   แค่รู้ว่ามันมีอยู่ก็พอ ไม่ต้องไปสนใจมัน อย่าไปคิดกดข่ม อย่าไป  ทำ� อะไรกับมัน หากกดข่มมันมนั กย็ ิง่ ได้ใจ ย่งิ รงั ควานหนกั ขึ้น  คนท่ีมีปัญหาแบบนี้มักคิดว่ามีแต่ตัวเองเท่าน้ันที่คิดแบบนี้  จึงรู้สึกว่าตัวเองชั่วร้ายเหลือเกนิ  แต่ที่จริงมคี นคิดแบบนเ้ี ยอะมาก  เพยี งแตเ่ ขาไมก่ ลา้ เลา่ ใหใ้ ครฟงั  เพราะรสู้ กึ อบั อาย พออาตมาเอา  ค�ำถามแบบน้ีขึ้นเฟ๊ซบุ๊ค หลายคนก็เขียนมาเล่าว่า ฉันก็เป็น หน ู ก็เป็น ผมก็เป็น มีเยอะทีเดียว แสดงว่าเหตุการณ์แบบน้ีก็ไม่ได ้ เป็นเรือ่ งพิเศษพสิ ดารของใครคนใดคนหน่ึง แต่เปน็ เรื่องทเี่ กดิ ขึ้น  กับคนจ�ำนวนมากทีเดียว โดยเฉพาะคนที่ติดดี ย่ิงอยากเป็นคนด ี อยากท�ำตัวให้เรียบร้อย ความคิดแบบน้ีก็ยิ่งโผล่ออกมา จะว่ามัน  118 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

เป็นมารที่จะมาชวนให้หลงทางก็ได้ เป็นอุบายของมารท่ีไม่อยาก  ใหเ้ ราเจรญิ กา้ วหนา้ ในทางธรรม หรอื อาจจะเปน็ เพราะความตดิ ด ี ท�ำให้มีความรู้สึกลบต่อความคิดท่ีไม่ดี พอมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้น  ในใจก็พยายามกดข่มมัน ยอมรับไม่ได้ว่าฉันมีความคิดแบบน้ีอยู ่ ทั้งท่ีมันเป็นธรรมดา พอกดข่ม มันก็มีแรงต้าน อย่าลืมว่าแรงกด  เทา่ กบั แรงสะท้อน  สง่ิ ทต่ี อ้ งทำ� ในกรณอี ยา่ งนก้ี ค็ อื ไมท่ ำ� อะไรเลย ไมต่ อ้ งทำ� อะไร  กบั ความคดิ เหลา่ นนั้  ปลอ่ ยมนั ไป ไมโ่ มโหโกรธามนั  ไมเ่ กลยี ดมนั   และไม่รู้สึกผิดกับตัวเองด้วย แค่รู้เฉยๆ มันก็จะค่อยๆ เลือนหาย  ไป น่ีเป็นพลานุภาพของการรู้เฉยๆ รู้โดยท่ีไม่ต้องไปท�ำอะไร มัน  สามารถทีจ่ ะจัดการกับอารมณ์ หรือความคิดท่เี ปน็ อกุศลได้  อยา่ ไปดูแคลนการรูเ้ ฉยๆ หรือสกั แตว่ า่ ร ู้ รู้โดยไมต่ อ้ งท�ำ  อะไร รโู้ ดยไมน่ ำ� พาอะไร อยา่ งไรกต็ ามเอาเขา้ จรงิ ๆ มนั เปน็ เรอื่ ง  ยาก อยา่ งทพ่ี ดู ตง้ั แตแ่ รก เพราะคนเราทนอยเู่ ฉยๆ ไมไ่ ด ้ มนั อด  ไม่ได้ท่ีจะต้องท�ำอะไรสักอย่าง ย่ิงใฝ่ธรรมอยากจะขัดเกลาจิตใจ  ตนเอง กย็ งิ่ ทนไมไ่ ดก้ บั ความคดิ แยๆ่  แบบน ี้ รสู้ กึ วา่ มนั เปน็ ความคดิ   ทส่ี กปรก เปน็ ความคดิ ทช่ี วั่ รา้ ย ตอ้ งจดั การกบั มนั  พอมคี วามรสู้ กึ   ว่านี่เป็นความคิดที่ชั่วร้าย ใจก็เป็นลบกับมันทันที ท�ำให้อยาก  ผลักไสกำ� จดั มัน  119 พระไพศาล วิสาโล

ทันทีท่ีความคิดแบบน้ีเกิดข้ึนก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะใจให้ค่า  เปน็ ลบกบั สงิ่ นน้ั  แตถ่ า้ เราวางใจเปน็ กลางๆ ถอื หลกั วา่  คดิ ดกี ช็ า่ ง  คิดช่ัวก็ช่าง หลวงพ่อค�ำเขียนท่านพูดย�้ำไว้หลายคร้ัง คิดดีก็ช่าง  คดิ ชว่ั กช็ า่ ง อยา่ ไปทำ� อะไรมนั  แคเ่ หน็ เฉยๆ รเู้ ฉยๆ หรอื ถา้ รสู้ กึ วา่   ดทู ไี รเหน็ ทไี รกอ็ ดไมไ่ ดท้ จ่ี ะเข้าไปพนั ตกู บั มนั  กล็ องไมใ่ หค้ วาม  สนใจมนั  เวลามคี วามฟงุ้ ซา่ นเกดิ ขนึ้  กใ็ หก้ ลบั มารกู้ าย เอากาย  เปน็ ฐาน วธิ นี กี้ ช็ ว่ ยได ้ วธิ นี ไ้ี มไ่ ดม้ ปี ระโยชนแ์ ตเ่ ฉพาะในเรอื่ งการ  ภาวนาเท่านน้ั  ในชีวิตประจำ� วนั ก็ช่วยไดม้ าก  มีเพ่ือนคนหน่ึงเล่าว่า วันหนึ่งลูกชายเกิดอารมณ์ดี ไปเด็ด  ดอกไม้มาใส่แจกัน ดอกไม้มีสองสี สีเหลืองกับสีแดง เด็กคนนี้  แยกดอกไม้สองสีออกจากกัน ดอกสีเหลืองก็ใส่ไว้ในแจกันหน่ึง  ดอกสีแดงก็ใส่ไว้ในอีกแจกันหนึ่ง แล้วเอาไปให้ย่า ย่าก็ขอบอก  ขอบใจ แต่พอเด็กไม่อยู่ ย่าก็เปล่ียนเอาดอกสีเหลืองและสีแดงมา  ผสมในแจกันเดียวกัน พอหลานมาเห็นก็ไม่พอใจ โกรธ โวยวาย  บอกให้ย่าเปลี่ยนกลับให้เป็นเหมือนเดิม แต่ตอนน้ันย่าไม่อยู่แล้ว  อยแู่ ตแ่ ม ่ เดก็ โวยวายมาก อาละวาดเลย แมก่ บ็ อกวา่ เดย๋ี วแมท่ ำ� ให้  เด็กก็ไม่ยอม จะต้องให้ย่ามาท�ำ คือเปลี่ยนให้เป็นเหมือนเดิม แม ่ บอกวา่ ยา่ ไมอ่ ยแู่ มท่ ำ� เองกแ็ ลว้ กนั  เดก็ กไ็ มย่ อมจะใหย้ า่ ทำ�  แมบ่ อก  วา่ งนั้ เดย๋ี วยา่ กลบั มาจะบอกยา่ ให ้ เดก็ กไ็ มย่ อมจะเอาเดย๋ี วนนั้ ใหไ้ ด้  เจอแบบนีแ้ ม่ชกั มนี ำ้� โห  120 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ตอนแรกแมอ่ ยากจะดลุ กู วา่ ทำ� ไมทำ� ตวั แบบน ้ี ทำ� ไมพดู ไมฟ่ งั   เอาแตใ่ จตวั  แตก่ ต็ ง้ั สตไิ ด ้ รวู้ า่ ยง่ิ ตอ่ วา่ ลกู  กย็ ง่ิ เพมิ่ โทสะใหก้ บั ลกู   ดงั นน้ั แทนทจ่ี ะดดุ า่ วา่ กลา่ วลกู เธอกใ็ ชน้ ำ้� เยน็  พดู กบั ลกู ดๆี  วา่  ลกู   โกรธย่าใช่ไหม เด็กตอบว่าใช่ แม่ถามว่า ลูกโกรธย่าที่เอาดอกไม ้ ของลกู ไปสลบั กนั ใชม่ ยั้  เดก็ ตอบวา่  ใช ่ แมถ่ ามตอ่ วา่  ลกู โกรธมาก  เลยใชไ่ หม เดก็ ตอบวา่ โกรธมาก แมจ่ งึ ถามตอ่ วา่  ลกู โกรธเทา่ ไหร ่ โกรธเท่านี้ เท่านี้ หรือเท่านี้ ว่าแล้วก็เอามือผายออกเหมือนกับ  ว่าโกรธเท่าฟ้าเลย เด็กก็ตอบว่าโกรธเท่าฟ้าเลย แม่จึงบอกลูกว่า  เดีย๋ วยา่ กลบั มา แมจ่ ะบอกยา่ ใหว้ ่าลกู โกรธยา่ เท่าฟา้ เลย ปรากฏวา่ พดู เทา่ น ี้ ความโกรธของเดก็ กล็ ดวบู ลง แลว้ กห็ ยดุ   พยศเลย สกั พกั กว็ ง่ิ ออกไปเลน่ ขา้ งนอกเหมอื นกบั วา่ ไมม่ อี ะไรเกดิ ขน้ึ   ความโกรธของลกู หายไปทนั ท ี เปน็ เพราะอะไร อนั นเ้ี ปน็ เพราะวา่   แมท่ ำ� ใหล้ กู ไดเ้ หน็ ความโกรธของตวั  ไดร้ วู้ า่ ตวั เองกำ� ลงั โกรธ สง่ิ ท ี่ แมท่ ำ� เปน็ เหมอื นกบั กระจกสะทอ้ นใหเ้ ดก็ ไดเ้ หน็ ความโกรธของตวั   พอเดก็ เหน็ ความโกรธทเี่ กดิ ขน้ึ ในใจ ความโกรธกด็ บั วบู เลย คอื เดก็   121 พระไพศาล วิสาโล

เกิดสติขึ้นมา สติท�ำให้เห็นความโกรธ เมื่อความโกรธถูกเห็น มัน  กจ็ ะดบั ไป อนั นเี้ ปน็ ธรรมชาตขิ องอารมณท์ งั้ หลาย ความโกรธนนั้   เราไมต่ อ้ งกดขม่ มนั  เพยี งแคเ่ หน็  หรอื รทู้ นั มนั ดว้ ยสตมิ นั กห็ ายไป  เด็กโกรธเพราะมีความหลง พอมีสติ มีความรู้สึกตัว ความหลง  หายไป ความโกรธก็ตัง้ อย่ไู มไ่ ด้ มีเด็กชายคนหนึ่ง อายุประมาณสี่ขวบ เป็นคนกลัวโป๊ะมาก  เวลาพอ่ อมุ้ ลงโปะ๊ เพอื่ นง่ั เรอื ขา้ มแมน่ ำ้�  เดก็ จะกลวั มาก ดน้ิ สดุ ฤทธ ์ิ เพื่อให้พ่อพาออกจากโป๊ะ พ่อก็พยายามพูดกับลูก ใช้เหตุผลกับ  ลกู วา่  อย่ากลวั  ลูกอยูก่ ับพ่อแลว้  พอ่ อ้มุ ลกู ไวแ้ นน่  ลูกไม่ต้องกลัว  เด็กก็ยังกลัว โวยวาย ดิ้นไม่หยุด เป็นอย่างนี้ประจ�ำ พ่อก็ไม่รู้จะ  แกป้ ญั หานอ้ี ยา่ งไร พอไดฟ้ งั เรอื่ งราวของเพอื่ นทเ่ี พง่ิ เลา่ เมอื่ สกั คร่ ู เขาก็สนใจวา่ มันจะชว่ ยได้จรงิ หรือ  วนั หนงึ่ เขาอมุ้ ลกู ชายลงโปะ๊  ลกู กด็ นิ้ เหมอื นเคย รอ้ งโวยวาย  พอ่ กพ็ ดู กบั ลกู วา่  ตอนนล้ี กู กลวั ใชม่ ยั้  ลกู ตอบวา่  ใช ่ พอ่ ถามตอ่ วา่   กลวั มนั เปน็ ยงั ไง ตอนนหี้ วั ใจเปน็ ยงั ไง เดก็ ตอบวา่  หวั ใจมนั เตน้ เรว็   พ่อถามถึงร่างกายส่วนอื่น เด็กก็ตอบว่าตอนนี้ตัวเกร็ง ขนลุกเลย  ทนี พี้ อ่ ถามถงึ ความรสู้ กึ วา่  แลว้ ใจเปน็ ยงั ไง เดก็ ตอบวา่  ใจมนั กลวั   มันหนัก พูดคุยสักพักเด็กก็นิ่ง หยุดดิ้น เสร็จแล้วก็ปล่อยมือออก  122 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

จากตวั พอ่  แลว้ กล็ งมาวง่ิ เลน่ บนโปะ๊  กลายเปน็ วา่ เดก็ ไมก่ ลวั โปะ๊ แลว้   ความกลวั มันหายไปเลย สง่ิ ทพี่ อ่ ทำ� กค็ อื ทำ� ใหล้ กู ไดเ้ หน็ ความกลวั ของตวั  ไดด้ กู ายดใู จ  กายเปน็ อยา่ งไร ใจเปน็ อยา่ งไร แคร่ หู้ รอื เหน็ มนั  ความกลวั กห็ ายไป  เพราะฉะน้ันอาตมาจงึ พูดวา่  การดู การร ู้ การเห็นเฉยๆ นน้ั มนั   มพี ลงั สามารถปลดเปลอ้ื งอารมณต์ า่ งๆ ออกจากใจได ้ แตเ่ คลด็ ลบั   อันนี้ผู้คนไม่ค่อยตระหนักเท่าไร ส่วนใหญ่จะพยายามกดข่ม  ตอ่ ตา้ น เชน่  เวลาเดก็ กลวั กบ็ อกลกู วา่ อยา่ กลวั ๆ พอเดก็ โกรธกบ็ อก  ว่าอย่าโกรธๆ หรือแม้กระท่ังเวลาเกิดข้ึนกับตัวเองก็ท�ำอย่างนั้น  เหมอื นกนั  อันน้นั เป็นวิธหี น่ึงแต่ไมใ่ ชว่ ธิ ที ่ีดีทีส่ ดุ  วธิ ีที่ดกี วา่ นัน้ คอื   การมีสตดิ ูมนั  เห็นมัน รู้เฉยๆ โดยไม่ตอ้ งทำ� อะไร  การท่ีเรามาเจริญสติก็เพ่ือฝึกทักษะแบบนี้ ฝึกเพ่ือให้มีนิสัย  ทจี่ ะรู้เฉยๆ เหน็ อยา่ งท่ีมันเปน็  ไมต่ อ้ งท�ำอะไรกบั มัน ไมต่ อ้ งตีค่า  ว่าดีหรือช่ัว เพราะถ้าตีค่าว่าดีก็อยากจะยึดครอง ถ้าตีค่าว่าช่ัวก ็ อยากจะผลกั ไส ใหเ้ หน็ อยา่ งทมี่ นั เปน็  ไมใ่ ชเ่ หน็ ตามทเ่ี ราอยากจะ  ใหม้ นั เปน็  วางใจเปน็ กลาง ไมต่ คี า่  ไมต่ ดั สนิ  ฝรงั่ กใ็ ชว้ ธิ นี เ้ี รยี กวา่   แขวนการตดั สนิ  ฟงั อาจเขา้ ใจยากสกั หนอ่ ย ทจ่ี รงิ  กค็ อื การวางใจ  เป็นกลางน่ันเอง ไม่มองว่าดีหรือชั่ว ซึ่งก็เป็นวิธีท่ีจะช่วยให้เรา  123 พระไพศาล วิสาโล

เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง จนกระท่ังได้เห็นถึงสภาวะที่เป็น  ปรมัตถข์ องมัน การตัดสินอารมณ์ต่างๆ ว่าดีหรือช่ัว บวกหรือลบ อันนี้ยัง  เป็นสมมติอยู่ แต่ถ้าเราเห็นจนกระทั่งว่ามันเป็นแค่สภาวธรรมท ่ี เกดิ ขน้ึ  ความโกรธกบั ความเมตตาทจ่ี รงิ กเ็ ปน็ ธรรมเหมอื นกนั  และ  กต็ กอยภู่ ายใตก้ ฎไตรลกั ษณเ์ หมอื นกนั  ความเมตตาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในใจ  ก็สอนธรรมได้ ความโกรธที่เกิดข้ึนในใจก็สอนธรรมให้กับเราได ้ เช่นกัน เช่น สอนเร่ืองไตรลักษณ์ สอนให้เห็นว่ามันไม่จีรัง มัน  ไมเ่ ทยี่ ง มนั ไมใ่ ชต่ วั ตน การเจรญิ สตเิ มอื่ ถงึ จดุ หนงึ่ กต็ อ้ งยกระดบั   เป็นวิปัสสนา คือการเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง โดยไม่มีการ  ใหค้ ่า ไม่ตดั สินตามสมมติ แตป่ ระโยชนท์ จี่ ะเกดิ ขนึ้ กบั เรากอ่ นถงึ ตรงนน้ั  คอื ทำ� ใหเ้ ราอย ู่ เหนืออารมณ์ได้ ไม่ปล่อยให้มันมารังควานจิตใจ จนเกิดความ  รุ่มร้อน เกิดความรู้สึกบีบคั้น แค่เห็นมัน ดูมัน มันจะเกิดข้ึนก ็ ช่างมัน จะมองมันว่าเป็นเพ่ือนก็ได้ เป็นเพื่อนหรือแขกท่ีมาเยี่ยม  อยากจะเข้ามาก็เชญิ  เราไม่ผลกั ไส เราไม่ท�ำอะไรกับเธอทง้ั ส้ิน มนี กั ปฏบิ ตั คิ นหนง่ึ เปน็ ฝรง่ั  ชอื่ แจค๊  คอรน์ ฟลิ ด ์ เขยี นหนงั สอื   ไว้เยอะมาก เขาเคยมาบวชท่ีเมืองไทยแล้วก็ไปอยู่ที่สวนโมกข์กับ  ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสบา้ ง อยทู่ ว่ี ดั หนองปา่ พงกบั หลวงพอ่ ชาบา้ ง  124 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

มีคราวหน่ึง ตอนน้ันภาวนาใหม่ๆ เกิดความกลัวมาก พยายามท ี่ จะกดขม่ ความกลวั กไ็ มส่ ำ� เรจ็  พยายามใชเ้ หตผุ ลวา่ กลวั อะไร ทำ� ไม  ถึงกลัวก็ไม่ได้ผล จึงรู้สึกแย่มากที่มาปฏิบัติแล้วยังกลัวอยู่ และ  รู้สึกท้อกับการปฏิบัติว่าท�ำอย่างไรความกลัวก็ไม่หายไป แต่ถึง  จุดหนึ่งเขาได้สติแล้วก็พูดกับตัวเองว่า ถ้ามันจะกลัวอย่างน้ีไป  ตลอดชีวิตก็ช่างมันฉันไม่สนใจแล้ว พอวางใจแบบน้ี ความกลัวก ็ ลดวูบไปเลย เขารู้สึกแปลกใจมาก และได้เรียนรู้ว่าพอยอมรับมัน  และไม่ท�ำอะไรกับมัน เสมือนว่ามันเป็นอาคันตุกะท่ีจรเข้ามา มัน  ก็คลายพษิ สงลงไปทันที อารมณ์ท้ังหลายถ้าเราเห็นมันเป็นศัตรู มันก็จะเป็นศัตร ู กับเรา ถ้าเราผลักไสมัน มันก็จะต่อสู้ แต่ถา้ เราเห็นมันเป็นแค ่ อาคนั ตกุ ะทจี่ รเขา้ มาและไมผ่ ลกั ไสไลส่ ง่ มนั  ขณะเดยี วกนั กไ็ มท่ ำ�   ตามอำ� นาจของมนั  คอื เปน็ กลางๆ อยเู่ ฉยๆ มนั กจ็ ะคลายพษิ สง  ลง รังควานเราน้อยลง แทนท่ีจะเป็นศัตรูก็กลายเป็นเพื่อนบ้านท่ี  รู้เวลา อ้อ...ย่ิงสักพักก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว มันไปเองโดยที ่ เราไมต่ ้องขับไสไล่ส่งมันเลย การรเู้ ฉยๆ ไมต่ อ้ งทำ� อะไรจงึ เปน็ วธิ กี ารทเ่ี ราไมค่ วรมองขา้ ม  ไม่ว่าจะเปน็ นักภาวนาหรือไมก่ ต็ าม 125 พระไพศาล วิสาโล



เหนอื โลก พน้ สมมติ หน้าผาตรงน้ีเป็นจุดท่ีชาววัดและอาคันตุกะอย่างพวกเรามา  เยย่ี มเยยี นบอ่ ยๆ จะเรยี กวา่ เปน็  Amazing Unseen อยา่ งหนงึ่ ของ  เทือกเขาบริเวณน้ีก็ได้ ส่วนใหญ่ก็จะมากันตอนแดดร่มลมตก มา  ดูพระอาทิตย์ตกดิน จึงมีใครไม่รู้ต้ังช่ือว่าผาสนธยาวิไล ตอนหลัง  กก็ รอ่ นมาเหลอื แคผ่ าศรวี ไิ ล คนอน่ื เขาเจอมากอ่ นแลว้  แตอ่ าตมา  เพงิ่ มารจู้ กั แถวนเ้ี มอื่ ประมาณป ี ๒๕๓๓ ตอนนน้ั มาสำ� รวจปา่  เดนิ   ผ่านแถวกุฏิ ๑๑ แล้วก็เดินขึ้นเขาไปตรงบริเวณที่เรียกว่าซับเม็ก  ตรงนัน้ มลี �ำหว้ ยล�ำธารอย ู่ น้ำ� ท่ีเราใช้ท่ีกุฏ ิ ๑๑ กม็ าจากซบั เม็ก 127 พระไพศาล วิสาโล

แต่ก่อนพระท่ีวัดไปค้างแรมตรงนั้นบ่อยๆ เพื่อส�ำรวจ ตรวจ  ปา่  เพราะมคี นมาลกั ตดั ไม ้ ดกั สตั วบ์ อ่ ยมาก ชว่ งป ี ๒๕๓๓ มกี าร  ลักลอบตัดไม้ในป่าภูหลงมาก เขาตัดไม้แล้วก็ท้ิงไม้ท่ีแปรรูปแล้ว  ลงมาจากหน้าผาตรงใกล้ๆ ซับเม็ก ทุกวันนี้ก็ยังเห็นร่องรอยอยู่  เปน็ แนว เขาจะทงิ้ ไมล้ งไปกอ่ น แลว้ ตามไปเกบ็ ทขี่ า้ งลา่ ง อาตมา  กับพระสองรูปก็สำ� รวจมาจนถึงหน้าผานี้ อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรก ็ เดินลงไปจนกระท่ังถึงเกือบจะถึงบ้านคน แต่ก่อนมีบ้านเล็กๆ อยู่  เรยี กวา่ กดุ ทกิ  แลว้ กค็ อ่ ยๆ เดนิ ไตห่ นา้ ผาขน้ึ มา เหนอ่ื ยมากทเี ดยี ว  ตอนนัน้ ไต่ขึน้ มากไ็ ม่รเู้ ร่ืองอะไรทง้ั สิน้  แตพ่ อมาเจอหน้าผา ไมใ่ ช่  ตรงนแี้ ตใ่ กลๆ้  กนั  แถวนมี้ ชี ะงอ่ นผาสวยๆ หลายจดุ  พอขน้ึ มาถงึ   ข้างบนก็หายเหนื่อย เพราะบรรยากาศสวยและธรรมชาติก็สงบ  รูส้ กึ เยน็ สบาย ความรู้สึกมันเปล่ียนไปเลย ตอนทข่ี นึ้ มาเหนอ่ื ยมาก แตพ่ อขน้ึ มาถงึ หนา้ ผากห็ ายเหนอ่ื ย  จติ ใจรู้สกึ โปรง่ โลง่  ตอนหลังถงึ ไดร้ ู้ว่ามที างท่ีจะมาถึงจดุ นี้ได้ดว้ ย  วธิ ที งี่ า่ ยกวา่ นน้ั อยา่ งเชน่ ทางทเ่ี รามา มเี สน้ ทางทลี่ ดั ตรงเขา้ วดั เลย  กม็  ี เวลาพวกเราขน้ึ มาบนหนา้ ผาไดเ้ หน็ ทศั นยี ภาพเบอ้ื งหนา้ นแ้ี ลว้   รสู้ กึ วา่ จติ ใจโปรง่ เบา ความหนกั อกหนกั ใจทอี่ าจจะมกี ด็ เู หมอื นวา่   ร่วงหล่นหายไป เพราะบนท่ีสูงเราเห็นอะไรได้กว้างไกล บรรยา-  กาศของธรรมชาติช่วยน้อมใจเราให้สงบได้ อันน้ีเป็นลักษณะเด่น  ของสถานท่ีทเี่ ป็นยอดเขา 128 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ถ้าเราไปทะเลก็ได้ความรู้สึกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราขึ้นมาบน  ยอดเขาโดยเฉพาะตรงหน้าผา ก็จะได้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง คือ  ความรสู้ กึ ทเ่ี บาโลง่  เพราะเราไมเ่ พยี งแตเ่ หน็ พน้ื ดนิ ขา้ งลา่ งทกี่ วา้ ง  ไกล บางทเี รายงั เหน็ ทอ้ งฟา้ ไดถ้ นดั ถนดี่ ว้ ย อาจจะเปน็ เพราะเหตนุ ้ี  ก็ได้ สถานที่ศักดิ์สิทธ์ิทางศาสนาจึงมักอยู่บนที่สูง สถานที่ท่ีคน  นิยมจาริกไป มักหนีไม่พ้นการข้ึนไปบนเขา อย่างเช่น ดอยสุเทพ  ซ่ึงสมัยก่อนก็ต้องเดินกันเป็นวันๆ ท่ีพม่าก็มีพระธาตุอินทร์แขวน  129 พระไพศาล วิสาโล

ตอ้ งเดนิ ขนึ้ เขาเหมอื นกนั  ประเทศศรลี งั กากไ็ มม่ ที ไี่ หนจะเทยี บเทา่   ศรีปาทะหรือสิริปาทะ ซึ่งเป็นภูเขาท่ีมีลักษณะเด่นมาก คล้ายๆ  ปริ ามดิ  ทด่ี อยสเุ ทพเปน็ เทอื กเขา แตศ่ รปี าทะเปน็ ภเู ขาทยี่ อดสงู ชนั   เหมือนปิรามิด ตรงยอดมีพ้ืนท่ีแคบๆ อยู่กันได้สบายๆ คงไม่เกิน  สองร้อยคน อาตมานึกเปรียบเทียบก็คงจะใหญ่กว่าศาลาวัดของ  เราไมม่ าก เมื่อสองอาทิตย์ท่ีผ่านมาอาตมามีโอกาสเดินข้ึนไปถึงยอด  ศรีปาทะเป็นครั้งที่สอง ท่ีน่ันถือว่าเป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธ์ิของชาว  ลังกา เพราะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ขนาดประมาณ ๑๕๐ เซ็นติ-  เมตร คณู  ๗๕ เซน็ ตเิ มตร ไมท่ ราบวา่ มาไดอ้ ยา่ งไร แตช่ าวลงั กา  เชอื่ วา่ พระพทุ ธเจา้ เคยเสดจ็ มาประทบั พระบาททนี่  ่ี ตอนหลงั กก็ ลาย  เปน็ สถานทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธข์ิ องคนศาสนาอนื่ ดว้ ย เชน่  ชาวครสิ ตก์ เ็ ชอ่ื วา่   อดัมและอีฟ เม่อื ถกู ไล่ออกจากสวรรค์กม็ าเหยียบตรงน้ีกอ่ น ยอดเขาศรีปาทะน้ี ฝรั่งเรียกว่า อดัมสพีค (Adam’s Peak)  พคี  (Peak) แปลวา่ ยอดเขา ศาสนาอสิ ลามกเ็ ชอื่ วา่ พระโมฮมั หมดั   มีประวัติท่ีนี่ เพราะส�ำหรับชาวลังกาแล้ว ที่น่ีเป็นบริเวณที่อยู่ใกล ้ สวรรค์มากที่สุด ที่ภูฏานก็มีตักซังหรือว่าวัดถ้�ำเสือ อยู่สูงมาก  และแน่นอนต้องเดิน ต้องปีนป่ายขึ้นไป คนโบราณถือว่าสถานที ่ 130 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ศักดิ์สิทธ์ิอยู่บนยอดเขา เพราะเป็นจุดที่ใกล้กับสวรรค์มากท่ีสุด  หรืออาจจะเช่ือว่าเพราะมีชี่ มีพลังงาน ในแง่ของชาวพุทธ ส่ิงที่  สูงสุดย่อมหมายถึงอุดมคติสูงสุดของชาวพุทธได้แก่นิพพาน ของ  ชาวคริสต์ก็คือพระเจ้า เพราะฉะน้ันสถานที่ศักดิ์สิทธ์ทางศาสนา  จึงสถิตย์อยู่บนยอดเขา และเป็นประเพณีท่ีศาสนิกชนต้องจาริก  ขน้ึ ไปเยือน การจาริกต้องใช้ความเพียรพยายามมาก ยิ่งสมัยก่อนไม่มี  รถยนต์ ไม่มีการตัดถนนหนทาง จึงถือเป็นการบ�ำเพ็ญบารมีที ่ สำ� คญั อย่างหนึ่ง ชาวลังกานยิ มเดินขน้ึ ศรีปาทะประมาณเทย่ี งคนื   หรือว่าตีหน่ึง ตีสอง ถ้าคนแก่หน่อยก็ต้องเท่ียงคืนเพื่อจะได้ไปถึง  ยอดเขาตอนย�่ำรุ่ง พอดีกับพระอาทิตย์ก�ำลังขึ้น ซ่ึงสวยงามมาก  ชาวลังกาถือว่าเป็นสิริมงคล เพราะเหมือนกับเป็นการเร่ิมต้นชีวิต  ใหม ่ ละทง้ิ ชวี ติ ทเี่ ศรา้ หมอง ลำ� บากยากแคน้ ไวข้ า้ งหลงั  พระอาทติ ย์  ขึ้นตอนเช้าไม่ใช่เป็นแค่นิมิตหมายของวันใหม่ แต่มันยังเป็น  นมิ ติ หมายของชวี ติ ใหมด่ ว้ ย ยงิ่ ไดม้ าทำ� บญุ ถงึ ศรปี าทะดว้ ยแลว้  ก็  เรียกวา่ ได้บ�ำเพญ็ บุญทีจ่ ะอ�ำนวยให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า ชาวลังกาเดินขึ้นเขาแต่ละวันประมาณว่านับหม่ืนคน เพราะ  ขนาดกลางค่�ำกลางคืน อาตมาเร่ิมเดินตอนตีสอง เฉพาะคนท่ีขึ้น  131 พระไพศาล วิสาโล

กเ็ ปน็ พนั  คนทล่ี งกเ็ ปน็ พนั เหมอื นกนั  และกไ็ ปออกนั บนยอด ทยี่ นื   แทบจะไม่มีเพราะทุกคนต่างก็รอที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ข้ึน แต่ถึง  แมไ้ มไ่ ดข้ น้ึ ไปตอนยำ่� รงุ่  จะขนึ้ ไปตอนไหน ตราบใดทย่ี งั มแี สงกจ็ ะ  รู้สึกปีติ อ่ิมเอิบ จิตใจโปร่งโล่งเบาสบาย อย่างที่บอกไว้แล้วว่า  สิ่งที่อยู่บนยอดสูงสุดนั้นเป็นเครื่องหมายของอุดมคติ ส�ำหรับ  ชาวพุทธก็คือนิพพาน เพราะฉะนั้นธรรมเนียมประเพณีที่ไป  จาริกบุญให้ไปถึงยอดเขา อาจจะเป็นแบบฝึกหัดให้ผู้คนสร้าง  ความเพยี ร เพอื่ บรรลถุ งึ จดุ หมายสงู สดุ ของชวี ติ คอื นพิ พานกไ็ ด้ เราทกุ คนเมอื่ ขน้ึ ไปถงึ ยอดเขาจะรสู้ กึ ไดว้ า่ จติ ใจโปรง่ โลง่ เบา  สบายมากแลว้  แตห่ ากวา่ จติ ใจไดย้ กระดบั สงู ขนึ้ ตามไปดว้ ย กย็ อ่ ม  พบกบั ความสขุ ทว่ี เิ ศษกวา่ นนั้ หลายเทา่  ประเพณจี ารกิ ขนึ้ เขา ไมใ่ ช ่ เพียงแค่การพาตวั ขน้ึ ไปบนเขาเท่าน้ัน แต่ยังมีความหมายทีล่ กึ ข้นึ   ไปอีก คือเชิญชวนให้ยกจิตใจขึ้นสูง จนถึงสูงสุด ซ่ึงก็คือนิพพาน  น่ันเอง ธรรมเนียมหรือความคิดน้ีได้แปรรูปมาเป็นสถูปบ้าง เป็น  เจดยี บ์ า้ ง ซงึ่ ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ สง่ิ ทมี่ ยี อดสงู  และมสี งิ่ ทอ่ี ยเู่ หนอื ยอด  น้ัน ถ้าเป็นเจดีย์ไทยเขาเรียกว่านพศูล อันน้ันก็เป็นตัวแทนของ  นพิ พานเหมอื นกนั  คนโบราณมกั เอาความหมายของธรรมะในทาง  พทุ ธศาสนา ไปใสเ่ ปน็ สญั ลกั ษณไ์ วใ้ นเจดยี  ์ ซอ่ นอยใู่ นสถปู บา้ ง ใน  ศาสนสถานบา้ ง แมก้ ระทง่ั โบสถว์ หิ ารกซ็ อ่ นความหมายทางธรรม  132 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

เอาไว้ โดยเฉพาะอุดมคติทางศาสนา ถ้าหากว่าใครมีก�ำลังวังชาก็ควรหาโอกาสจาริกข้ึนไปถึง  ยอดเขาให้ได้ ถ้าเป็นภาคกลางก็คือพระพุทธบาทที่สระบุรี ซ่ึง  สมยั กอ่ นกถ็ อื วา่ เปน็ เรอ่ื งทไ่ี ปไมง่ า่ ยเลย แตไ่ ปแลว้ กส็ นกุ  เปน็ การ  สร้างความเพียร ไม่ใช่ความเพียรเพ่ือไปให้ถึงยอด ถึงสถานท่ี  ศักด์ิสิทธิ์เท่านั้น แต่เป็นการตระเตรียมสร้างความพร้อม สร้าง  ความเพียรเพ่ือไปให้ถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิตคือนิพพาน ซึ่งเป็น  ความสงบเย็นอย่างย่ิง การที่เราได้ข้ึนมาถึงยอดเขา และได้เห็น  ทัศนียภาพท่ีกว้างไกล ได้ประสบความโปร่งโล่ง เบาสบาย ภาวะ  ดังกล่าวจะว่าไปแล้วก็คือหนังตัวอย่างหรือประพิมพ์ประพายของ  พระนิพพาน เพราะเป็นภาวะที่เหนือทุกข์ ไร้ส่ิงเศร้าหมองใดๆ  อย่างไม่มอี ะไรเปรียบได้ เมอื่ ไรกต็ ามทเี่ รามาถงึ ยอดเขา หรอื มาถงึ หนา้ ผาแลว้  พงึ   ตระหนกั และทำ� ใจของเราใหน้ อ้ มไปในทางพระนพิ พานมากขนึ้   เกดิ ปณธิ านทจ่ี ะยกจติ ใหส้ งู ขน้ึ ไป จนกระทง่ั อยเู่ หนอื โลก จนจติ   เข้าถึงโลกุตรธรรม ซึ่งก็คือจิตท่ีอยู่เหนือโลกน่ันเอง เมื่อจิต  ยกระดบั ส่ิงที่จะเกิดขึ้นก็คือ ความสงบ ความเบาสบาย เบาสบาย  มากกว่าท่ีเรารู้สึกอยู่ในขณะนี้หลายเท่านัก ด้วยเหตุน้ีจึงเกิด  133 พระไพศาล วิสาโล

เปน็ ประเพณใี นหมชู่ าวพทุ ธทช่ี กั ชวนกนั ขนึ้ ไปเคารพบชู า สกั การะ  ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ที่อยู่บนยอดเขา แต่ในหมู่ชาวพุทธไทยธรรมเนียมนี้  หายไปแล้ว เราไม่มีประเพณีการจาริกข้ึนไปด้วยน�้ำพักน�้ำแรง  ของตวั เอง เพ่อื ท่ีจะข้นึ ไปสถานทศ่ี ักด์สิ ิทธิ์ทางศาสนา แม้แต่ดอย  สเุ ทพเดยี๋ วนกี้ ม็ รี ถราขน้ึ ไปอยา่ งสะดวกสบาย พระพทุ ธบาททสี่ ระบรุ  ี คนกไ็ มค่ อ่ ยสนใจกนั แลว้  เดยี๋ วนม้ี แี ตธ่ รรมเนยี มของการไปท�ำบญุ   เกา้ วดั  ซงึ่ กไ็ มไ่ ดใ้ ชค้ วามเพยี รพยายามมากนกั  เพราะนง่ั รถตดิ แอร์  ไปตลอดทาง เรยี กว่าไม่ได้สร้างบญุ บารมเี ทา่ ไรเลย 134 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

เมอ่ื ขนึ้ ไปบนทสี่ งู  นอกจากจะไดค้ วามรสู้ กึ โปรง่ โลง่ เบาสบาย  แล้ว ทัศนียภาพหรือมุมมองต่อโลกก็จะเปลี่ยนไปด้วย เวลาเรา  อยบู่ นทสี่ งู อยา่ งนเี้ ราจะเหน็ คนทอ่ี ยขู่ า้ งลา่ ง แตม่ องไมอ่ อกเลยวา่   ใครเปน็ คนรวย ใครเปน็ คนจน ใครจบปรญิ ญาเอก ใครจบประถม  ใครเป็นชาวพุทธ ใครเป็นชาวคริสต์ ใครเป็นคนไทย ใครเป็นคน  พมา่  เรยี กวา่ สมมตทิ ต่ี ดิ มากบั ผคู้ นละลายหายไปเลย รเู้ พยี งแตว่ า่   จดุ เลก็ ๆ ขา้ งลา่ งเป็นคนเทา่ น้ันเอง ความเป็นพุทธ เปน็ ไทย เปน็   ฝรั่งไม่มีความหมายอีกต่อไป และถ้าอยู่สูงข้ึนไปอีกก็แยกไม่ออก  แม้กระท่ังว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ด้วยซ้�ำ ยิ่งอยู่สูงข้ึนไป เส้น  แบ่งประเทศเราก็จะมองไม่เห็นว่าตรงไหนไทย ตรงไหนพม่า เรา  จะเห็นผืนแผ่นดินท่ัวโลกเป็นผืนเดียวกัน มองไม่เห็นแม้กระท่ัง  เสน้ แบง่ วา่ ตรงไหนเอเชยี  ตรงไหนยโุ รป เสน้ แบง่ พวกนไี้ มม่ คี วาม  หมายอีกต่อไป ถึงตรงนั้นเราจะเห็นชัดว่ามันเป็นแค่เส้นสมมต ิ ที่ไม่มีอยจู่ รงิ เมอื่ เราขน้ึ สงู ไปเรอื่ ยๆ สง่ิ ทเ่ี ราเหน็ กค็ อื ความจรงิ ทหี่ ลดุ จาก  สมมตทิ ลี ะชนั้ ๆ จนสมมตเิ หล่านไี้ รค้ วามหมายไป ยงิ่ ถา้ อยสู่ งู ขนึ้   ไปจนถึงชั้นบรรยากาศ อย่างนักบินอวกาศ ก็จะพบว่าแท้จริงน้ัน  โลกทง้ั โลกเปน็ หนงึ่ เดยี วกนั  ไมม่ เี สน้ แบง่  ไมม่ พี รมแดน สงิ่ สมมติ  ทแี่ บง่ แยกมนษุ ยอ์ อกจากกนั  แบง่ แยกประเทศออกจากกนั นน้ั เลอื น  หายไปหมด 135 พระไพศาล วิสาโล

ย่ิงไปกว่าน้ัน ถ้าหากว่าจิตของเราเข้าถึงภาวะท่ีเป็นโลกุตระ  เราก็จะไปพ้นสมมติท่ีเหนือกว่านั้นข้ึนไปอีก ทุกวันนี้คนเรา  ติดสมมติมาก ไม่ใช่ติดแค่ว่าเป็นพุทธ คริสต์ มุสลิม ไทย พม่า  หากยงั ตดิ สมมตเิ รอื่ งความเปน็ คนรวย คนจน คนมกี ารศกึ ษา คน  ไมม่ กี ารศกึ ษา เกดิ การแบง่ ชนั้ วรรณะ ดถู กู ดหู มน่ิ เหยยี ดหยามกนั   รวมทงั้ การใหค้ า่ กบั สงิ่ ของตา่ งๆ เชน่ ถา้ เปน็ เงนิ ทองกม็ คี า่  ถา้ เปน็   กอ้ นหนิ กไ็ มม่ คี า่  มนษุ ยเ์ ราหลงสมมตมิ าก จนกระทง่ั คดิ วา่ สมมติ  คือความจริง แต่ถ้าเรายกจิตข้ึนสูง จิตที่เป็นโลกุตระก็จะรู้ว่า  สมมตินั้นไม่ใช่ความจริงแท้ มันเป็นแค่สิ่งที่ก�ำหนดขึ้นมาเพื่อ  ประโยชน์ในบางแงบ่ างดา้ นเทา่ นน้ั การอยู่เหนือโลกยังหมายถึงการอยู่เหนือโลกธรรม สิ่งท ี่ เรียกว่าโลกธรรมก็คือ ความส�ำเร็จ ความล้มเหลว ความมียศ  ความเสื่อมยศ เหล่าน้ีเป็นสมมติของโลก คนที่ไม่รู้ก็ถูกสมมติเข้า  ครอบง�ำ สุขหรือทุกข์ไปตามอ�ำนาจของโลกธรรม มีลาภ มียศ  ก็ดีใจ พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศก็เสียใจ ผู้คนหนีความทุกข์ไม่พ้น  เพราะยังติดอยู่ในโลกธรรม ยังติดอยู่ในสมมติ เพราะไปให้ค่า  กบั มนั มาก แตถ่ า้ หากวา่ เราสามารถยกจติ ขน้ึ สงู  จนกระทงั่ เหน็ วา่   สมมตนิ นั้ เปน็ แคส่ งิ่ ทใ่ี ชเ้ รยี กขานกนั  เปน็ ชอื่ ทใ่ี ชเ้ รยี กหนว่ ยรวม  ของสงิ่ ตา่ งๆ เปน็ ตวั ตนสมมตทิ จี่ ติ ปรงุ แตง่ ซอ้ นทบั ความเปน็ จรงิ   เรากจ็ ะไม่หลงยดึ กบั สมมติน้ัน 136 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

สมมติที่มีอิทธิพลต่อคนเรามากท่ีสุดก็คือความเป็นตัวเรา  ของเรา เปน็ ตวั ตนทส่ี รา้ งขนึ้ มาและปลอ่ ยใหม้ นั ครอบงำ� จติ ใจเรา  คงจะไมม่ สี มมตอิ ะไรทจี่ ะมอี ทิ ธพิ ลผลกั ไสคนใหท้ กุ ข ์ หรอื หลงวน  อยใู่ นวฏั สงสารมากเทา่ กบั สมมตเิ รอื่ งตวั ตน เรอื่ งตวั เราของเรา แต่คนเราก็สามารถที่จะก้าวข้ามหรืออยู่เหนือสมมตินั้นได ้ การเจริญสติเป็นวิธีพ้ืนฐานในการท�ำให้เราเห็นความจริงชนิดท่ี  ทะลสุ มมต ิ หรอื วา่ อยเู่ หนอื สมมต ิ เวลาเราเดนิ อยา่ งมสี ต ิ กจ็ ะเหน็   ว่าที่เดินนั้นเป็นรูป เวลามีความคิดปรุงแต่งเกิดข้ึน สติก็จะท�ำให ้ เห็นว่าท่ีคิดน้ันเป็นนาม ไม่มีเราผู้คิด การเจริญสติเป็นวิธีการท ่ี ทำ� ใหเ้ ราเหน็ ความจรงิ ตามทม่ี นั เปน็  โดยไมม่ สี มมตเิ ขา้ มาขวางกนั้   เพยี งแคก่ ารเหน็ วา่ แทจ้ รงิ แลว้ ไมม่ ตี วั เราอย ู่ สงิ่ ทเี่ ปน็ ตวั เรา แท ้ จรงิ แลว้ มแี คร่ ปู กบั นาม กายกบั ใจ อนั นเ้ี ปน็ ความจรงิ ทส่ี ำ� คญั มาก  ซึ่งจะเกิดขึ้นไดจ้ ากการเจรญิ สติ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ประกอบดว้ ย กายานปุ สั สนา เวทนานปุ สั สนา  จติ ตานปุ สั สนา ธมั มานปุ สั สนา คอื การเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนา  ในเวทนา เหน็ จิตในจิต เห็นธรรมในธรรม มคี วามหมายได้หลาย  แง่ เช่นหมายถึงเห็นกายน้อยในกายใหญ่ เวลาเราดูลมหายใจ ก ็ เห็นลมหายใจว่าเป็นส่วนหน่ึงของร่างกายทั้งหมด เวลาเห็นสุข  137 พระไพศาล วิสาโล

เวทนาก็เห็นว่ามันเป็นส่วนหน่ึงของเวทนา ท่ีมีท้ังสุข ท้ังทุกข์ ท้ัง  อทกุ ขมสขุ  หรอื เหน็ สว่ นยอ่ ยในทา่ มกลางสว่ นใหญก่ ไ็ ด ้ แตท่ สี่ ำ� คญั   ก็คือการเห็นในแง่ที่ว่า เห็นกายว่าเป็นกาย ไม่ใช่เห็นกายว่า  เปน็ เรา เหน็ เวทนาวา่ เปน็ เวทนา ไมใ่ ชเ่ หน็ เวทนาวา่ เปน็ เรา เหน็   จติ วา่ เปน็ จติ  ไมใ่ ชเ่ หน็ จติ วา่ เปน็ เรา เหน็ ราคะวา่ เปน็ ราคะ ไมใ่ ช ่ เห็นราคะว่าเปน็ เราหรือของเรา  การเจรญิ สตชิ ว่ ยใหเ้ หน็ ความจรงิ อยา่ งทม่ี นั เปน็ นน้ั นา่ จะเปน็   เร่ืองง่ายๆ แต่ความหลงก็ท�ำให้จิตปรุงแต่งว่ามีตัวตนซ้อนขึ้นมา  ไปส�ำคัญมั่นหมายกายว่าเป็นเรา เห็นเวทนาว่าเป็นเรา เวลาเดิน  ถ้าไม่มีสติก็คิดว่าฉันเดิน ที่จริงไม่มีฉันเป็นผู้เดินเลย มันมีแต่กาย  เป็นผู้เดิน เวลาไม่มีสติ ถ้ามีความปวดเกิดขึ้น ก็ไม่เห็นความปวด  แต่จะมีการปรุงแต่งตัวกูขึ้นมาเป็นผู้ปวด เวลามีความคิดเกิดข้ึนก ็ ไม่ได้เห็นว่าความคิดเกิดข้ึนในใจ แต่มันไปยึดมั่นส�ำคัญหมายว่า  ฉันคิด ฉันเครียด ฉันโกรธ มีตัวกูเกิดข้ึนจากการปรุงแต่งของจิต  แลว้ เรากห็ ลงยดึ วา่ มตี วั ตนอยา่ งนจี้ รงิ ๆ ตวั ตนสมมตทิ สี่ ร้างขน้ึ นี้  แหละที่ผลกั ดันให้เราเปน็ ทกุ ข์ ไมม่ อี ะไรทจี่ ะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ จติ ใจของคนเรามากไปกวา่ ความ  รสู้ กึ เปน็ ตวั เราของเรา เวลาเพอ่ื นเงนิ หาย โทรศพั ทห์ าย เราไมร่ สู้ กึ   138 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

อะไร เราอาจจะแนะน�ำเขาด้วยซ้�ำว่ามันเป็นของนอกกาย แต่ถ้า  เป็นเงินหรือโทรศัพท์ของเรา มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที  คนอนื่ เขาจะเจบ็ ปว่ ยอยา่ งไร เราไมค่ อ่ ยรสู้ กึ วา่ เปน็ เรอื่ งสำ� คญั อะไร  เลย แต่เพียงแค่เราปวดฟันปวดหัวเท่าน้ันก็กลายเป็นเรื่องใหญ ่ ขึ้นมาเลย ไม่ใช่แค่ตัวเราเท่านั้น อาจจะเป็นลูกหลานของเรา  เพียงแค่ประทับตราว่าเป็นของเราเท่านั้น หากอะไรเกิดขึ้นกับ  เขา กส็ ะเทือนไปถึงจติ ใจของเราทนั ที มีพยาบาลคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เม่ือประมาณปี ๒๕๔๐ เกิด  อบุ ตั เิ หตคุ รงั้ ใหญท่ ร่ี าชบรุ  ี รถโดยสารชนกบั รถไฟกลางเมอื ง ตาย  ไปยี่สิบกว่าคน ตอนท่ีได้ข่าวนั้นประมาณส่ีโมงเย็น เธอนึกในใจ  ดว้ ยซำ้� วา่  ดเี หมอื นกนั  คนลน้ ประเทศแลว้  ตายไปบา้ งกด็  ี แตห่ นง่ึ   ชวั่ โมงถดั มา พอรวู้ า่ หนง่ึ ในยส่ี บิ คนทต่ี ายนน้ั คอื หลานชายของเธอ  เธอถึงกับเข่าทรุดเลย ทั้งเสียใจทั้งรู้สึกผิดท่ีไปคิดอกุศลอย่างน้ัน  ท�ำไมตอนท่ีได้ฟังคร้ังแรกเธอไม่รู้สึกอะไร ก็เพราะเธอคิดว่าคน  ทต่ี ายไมไ่ ดเ้ กยี่ วขอ้ งอะไรกบั เรา ไมใ่ ชล่ กู ของเรา ไมใ่ ชเ่ พอ่ื นของเรา  แต่พอพบว่าหนึ่งในนั้นเป็นลูกหลานของเรา มันก็ท�ำให้ทุกข์มาก  เห็นไหมว่า ความแตกต่างระหว่างความรู้สึกว่าเป็นเราเป็น  ของเรา กับไม่ใช่เราไมใ่ ช่ของเรานั้นมีมากทเี ดียว 139 พระไพศาล วิสาโล

คนทกุ วนั นเี้ ปน็ ทกุ ขเ์ พราะความสำ� คญั มนั่ หมายนมี้ าก นขี่ นาด  เกดิ ขนึ้ กบั คนอน่ื  ยงั ทกุ ขถ์ งึ เพยี งน ้ี ถา้ เกดิ ขน้ึ กบั ตวั เอง ความสำ� คญั   ม่ันหมายว่าเป็นเราเป็นของเราจะท�ำให้ทุกข์สักเพียงใด อย่างเช่น  เวลาเจบ็ ปว่ ย แทนทจี่ ะเหน็ วา่ แคก่ ายเทา่ นนั้ ทปี่ ว่ ย คนสว่ นใหญจ่ ะ  รู้สึกว่าฉันป่วย ผลก็คือไม่ใช่กายเท่าน้ันท่ีป่วย ใจก็ป่วยด้วย การ  ไม่เห็นความจริงท่ีว่ามันไม่มีตัวเรา มันมีแต่กายกับใจน้ัน ทำ� ให้  คนทุกข์มาก ทุกข์ในท่ีนี้หมายถึงทุกข์ใจ ไม่ได้ป่วยแค่กายแต่ป่วย  ไปถึงใจด้วย แต่เม่ือใดก็ตามที่เห็นว่ามีเพียงแค่กายเท่านั้นท่ีป่วย  ถ้าเหน็ อยา่ งน ้ี ใจก็ไมร่ ูส้ ึกทุกขร์ ้อนอะไร อาจารยก์ ำ� พล ทองบญุ นมุ่  เคยเลา่ ใหฟ้ งั วา่ ตอนทพ่ี กิ ารใหมๆ่   ทกุ ขม์ าก พกิ ารเมอื่ อาย ุ ๒๔ ป ี ตอนนนั้ เปน็ ครพู ละ สอนนกั เรยี น  ว่ายน�้ำ กระโดดน้�ำผิดท่าหัวไปกระแทกกับพ้ืนสระ ท�ำให้พิการ  ตั้งแต่คอลงมา ชีวิตหมดอนาคตไปเลย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย  ตอนนอ้ี าจารยก์ ำ� พลกำ� ลงั เขยี นหนงั สอื อตั ชวี ประวตั  ิ เพอื่ นอาตมา  ไปสัมภาษณ์แล้วมาเขียน คิดว่าคงจะออกในเร็วๆ น้ี เป็นหนังสือ  ท่ีน่าสนใจ อาตมาอ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกข์ทรมาน  ของอาจารย์ก�ำพลช่วงท่ีพิการใหม่ๆ แม้พยายามด้ินรนหาหมอ  ทกุ ประเภทกไ็ มด่ ขี น้ึ  ทกุ ขท์ งั้ กายและใจ จนกระทง่ั รแู้ นช่ ดั วา่ รกั ษา  ไม่หายกย็ ิ่งทกุ ข์ขนึ้ ไปใหญ่ ชวี ติ เหมอื นกับรอวนั ตาย เพราะพงึ่ พา  140 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ตวั เองไมค่ อ่ ยได ้ ตอ้ งอาศยั พอ่ แมป่ อ้ นขา้ ว พาเขา้ หอ้ งนำ�้  ทำ� อะไร  ให้ทุกอย่างสารพัด หลังจากผ่านไปนานนับสิบปีก็เริ่มหันมาสนใจธรรมะ อ่าน  หนงั สอื ธรรมะมากขนึ้  อา่ นแลว้ กส็ บายใจ แตพ่ อเลกิ อา่ นกท็ กุ ขอ์ กี   ก็เลยสนใจจะปฏิบัติธรรม พอทราบว่ามีแนวปฏิบัติแบบหลวงพ่อ  เทยี น กเ็ ขยี นจดหมายไปปรกึ ษาหลวงพอ่ ค�ำเขยี น เพราะรวู้ า่ ทา่ น  เป็นศิษย์หลวงพ่อเทียน ขอค�ำแนะน�ำว่าตนเองร่างกายพิการจะ  ปฏบิ ตั ธิ รรมไดอ้ ยา่ งไร หลวงพอ่ คำ� เขยี นกเ็ ขยี นจดหมายตอบกลบั   ไปวา่  ถา้ เดนิ จงกรม นง่ั สรา้ งจงั หวะไมไ่ ด ้ ใหพ้ ลกิ มอื ไปมากแ็ ลว้   กนั  พลกิ มอื กใ็ หร้ วู้ า่ พลกิ  ถา้ ใจมนั คดิ กใ็ หร้ ทู้ นั  ใหร้ วู้ า่ ทพี่ ลกิ นนั้   เปน็ รปู  ทค่ี ดิ นน้ั เปน็ นาม ปฏบิ ตั ใิ หเ้ หน็ รปู กบั นาม การเจรญิ สต ิ เป็นการถลุงให้เหลือแต่รูปกับนาม หลวงพ่อท่านใช้ค�ำว่า ถลุง  คือแยกย่อยจนเหลอื แต่รปู กบั นาม อาจารย์ก�ำพลก็ปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำของหลวงพ่อค�ำเขียน  อยู่บนเตียงก็พลิกมือไปมา จนกระทั่งถึงจุดหน่ึงก็เห็นชัดเลยว่า ท่ี  พลกิ ไปมาคอื รปู  ทคี่ ดิ นนั้ คอื นาม เหน็ ชดั เลยวา่ สง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มนั เปน็   แค่รูปกับนาม พอเห็นปุ๊ป จิตสว่างวาบเลย เห็นชัดเลยว่าท่ีพิการ  นั้นมีเพียงกาย แต่ใจไม่ได้พิการ หลงคิดอยู่ตั้งนานว่าฉันพิการ  141 พระไพศาล วิสาโล

พอคิดแบบน้ีก็ท้อ จิตใจก็แย่ รู้สึกทุกข์ แต่พอเห็นความจริงซึ่ง  แสนจะธรรมดาสามัญว่า จรงิ ๆ แล้วทพ่ี ิการคอื กายพิการ แต่ใจ  ไมไ่ ดพ้ กิ ารดว้ ย อาจารยก์ ำ� พลบอกวา่ จติ กล็ าออกจากความทกุ ข ์ คือลาออกจากความพิการเลย กายยังพิการอยู่ แต่ใจไม่พิการ  แล้วใจสบายและเป็นอิสระ เพราะเห็นความจริงว่า ที่จริงแล้ว  ไม่ใชต่ วั ฉันท่พี กิ าร เป็นเพยี งกายท่ีพกิ าร เป็นเพียงรปู ทพ่ี ิการ 142 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

การเห็นความจริงว่ามันไม่มีตัวเรา มีแต่รูปกับนาม มีแต่  กายกบั ใจนส้ี ำ� คญั มาก มนั เปน็ การทะลทุ ะลวงสมมตทิ ที่ ำ� ใหเ้ หน็   ความจรงิ  และทำ� ใหเ้ ปน็ อสิ ระจากความทกุ ขท์ เี่ กดิ กบั กาย หาก  สามารถอยู่เหนือสมมติเร่ืองตัวตนได้ ก็ถือว่าเป็นความเปลี่ยน  แปลงทยี่ ง่ิ ใหญม่ าก มอี านสิ งสม์ าก มนั สามารถทำ� ใหเ้ ราเจอทกุ ข์  โดยท่ีใจไมท่ กุ ข์ได้ มเี รอื่ งเลา่ วา่  หลวงปบู่ ดุ ดา ถาวโร สมยั ทยี่ งั มชี วี ติ อย ู่ (หลวงป ู่ บุดดาทา่ นมรณภาพไป ๒๐ ปแี ลว้  ตอนทีม่ รณภาพอายุ ๑๐๑ ปี)  ตอนนน้ั ทา่ นกค็ งประมาณ ๘๐-๙๐ ป ี ทา่ นและหมคู่ ณะไดร้ บั นมิ นต์  ไปฉันอาหาร ปรากฏว่าอาหารมีพิษ อาเจยี นกนั ทัง้ คณะ อาเจยี น  กนั อยา่ งรนุ แรงมาก พระหนมุ่ ทไี่ ปดว้ ยกอ็ าเจยี นจนหมดแรง นอน  หมดสภาพ แตห่ ลวงปบู่ ดุ ดายงั สามารถนง่ั คยุ กบั โยมได ้ คยุ สกั พกั ก็  อาเจยี นใสก่ ระโถน แลว้ กน็ ง่ั คยุ ตอ่  ทา่ นบอกวา่ อยากจะใหก้ ำ� ลงั ใจ  โยม เพราะโยมเสยี ก�ำลงั ใจมาก ตงั้ ใจจะท�ำบญุ  แตก่ ลบั จะไดบ้ าป  ก็พูดให้ก�ำลังใจโยม โยมก็แปลกใจว่าพระหนุ่มๆ อาเจียนจนนอน  หมดแรง แตห่ ลวงปบู่ ดุ ดายงั คยุ กบั โยมได ้ จงึ สงสยั วา่ หลวงปบู่ ดุ ดา  ไมเ่ ปน็ อะไรหรอื  ทา่ นกอ็ ธบิ ายใหฟ้ งั วา่  “รา่ งกายเรานม้ี นั สกั แตว่ า่   เทา่ นน้ั  ธาต ุ ๔ มนั ถกู ยาเมา ยาเบอื่  มนั กแ็ สดงอาการตา่ งๆ นานา  สว่ นจติ ใจมนั ไมไ่ ดถ้ กู  กเ็ ลยไมเ่ ปน็ อะไร เหตเุ พราะกายกบั ใจมนั   143 พระไพศาล วิสาโล

คนละเร่ือง รวมกันไม่ได้” ท่านแสดงให้เห็นชัดเลยว่าท่ีทุกข์น้ัน  กายทุกข์ แตใ่ จไม่ได้ทุกข์ด้วย อีกคราวหน่ึงท่านไปผ่าตัดน่ิว ผ่าเสร็จพักใหญ่ท่านก็บอกว่า  “ค่อยยังช่ัวแลว้  ไมเ่ ปน็ ไรแลว้ ” หมอและพยาบาลก็แปลกใจเพราะ  ท่านเพิ่งผ่าตัดเสร็จเมื่อสักครู่นี้เอง คนอื่นผ่าตัดน้อยกว่าท่าน ยัง  แสดงความเจ็บปวดมากกว่า หลวงปู่ทำ� อย่างไรถึงไม่เจ็บ หลวงปู ่ บดุ ดาตอบวา่  “รา่ งกายของหลวงปกู่ เ็ หมอื นกนั  ท�ำไมมนั จะไมเ่ จบ็   แตจ่ ติ ใจตา่ งหากทไี่ มไ่ ดเ้ จบ็ ปว่ ยไปกบั รา่ งกายดว้ ย” ทท่ี า่ นพดู อยา่ งน้ี  ได้เพราะท่านเห็นความจริงว่า มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ  ทา่ นไมไ่ ดไ้ ปสำ� คญั มนั่ หมายวา่ มตี วั เรา มขี องเรา คนธรรมดาซง่ึ ยงั   หลงอยใู่ นสมมต ิ กย็ ดึ มน่ั วา่ มตี วั กขู องก ู เวลาปวดจงึ รสู้ กึ วา่ ฉนั ปวดๆ  ไมส่ ามารถที่จะแยกออกไปไดว้ า่ ที่ปวดจรงิ ๆ คอื กายไม่ใชใ่ จ  หลวงปู่บุดดาเป็นตัวอย่างของคนที่เห็นความจริงข้ันปรมัตถ์ คือจิตของท่านอยู่เหนือสมมติแล้ว โดยเฉพาะสมมติเรื่องตัวตน ท่านรู้ความจริงระดับปรมัตถ์สภาวะว่า แท้จริงแล้วมีแต่รูปกับ นามเท่าน้ัน การที่เราเห็นความจริงอย่างนี้ ถึงแม้เป็นความจริง ข้ันพ้ืนฐาน แต่ก็ส�ำคัญมากที่จะท�ำให้อยู่เหนือทุกข์ได้ จิตใจก็จะ  โปรง่ โลง่ เบาสบาย มอี ะไรเกดิ ขนึ้ อนั เปน็ ธรรมดาของสงั ขาร ไมว่ า่   144 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

จะเปน็ ความแก ่ ความเจบ็  ความพลดั พราก แตใ่ จกไ็ มไ่ ดท้ กุ ขร์ อ้ น  ไปด้วย อันนี้เป็นคุณสมบัติของจิตที่พวกเราควรจะพากเพียรเพื่อ  ทีจ่ ะไปใหถ้ ึง แมว้ า่ การปนี เขาเพอ่ื ไปกราบสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ิ์ จะใชเ้ วลาและความ  เพียรน้อยกว่าการพัฒนาจิต หรือการยกจิตให้อยู่เหนือโลก เพื่อ  เขา้ ถงึ สภาวะทเี่ ปน็ โลกตุ รธรรม แตว่ า่ ความเพยี รทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ  ปนี เขาเพอ่ื เคารพสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธน์ิ น้ั  สามารถจะเปน็ เสบยี ง เปน็ พนื้ ฐาน  สำ� คญั ในการปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื บรรลถุ งึ โลกตุ รธรรมได ้ นเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ   ของการบำ� เพญ็ บารมที จ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั การพฒั นาจติ ใจ เพราะฉะนน้ั   เมอื่ เราขนึ้ มาบนหนา้ ผาอยา่ งนแ้ี ลว้  กข็ อใหเ้ รานอ้ มใจสโู่ ลกตุ รภาวะ  ภาวะที่อยู่เหนือโลก และบ�ำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงสภาวะดังกล่าว  ไมว่ ่าจะมอี ุปสรรคมากมายเพยี งใดกต็ าม 145 พระไพศาล วิสาโล



พ้นทกุ ข์ เมื่อเห็นธรรม เช้าน้ีเรามาท�ำวัตรใต้แผ่นฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับ รอบตัว ของเราเป็นป่า ข้างหน้าเป็นภูเขา อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะโผล ่ ขึ้นมาจากสันเขา เรียกว่าเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีธรรมชาติ  แวดล้อมเราโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ไม่มีอาคาร ไม่มีผนัง ไม่ม ี หลงั คา มสี ายลมพดั มากระทบผวิ กาย ไดส้ มั ผสั กบั ธรรมชาตอิ ยา่ ง  เตม็ ที่ 147 พระไพศาล วิสาโล

ทจี่ รงิ ไมใ่ ชแ่ คธ่ รรมชาตเิ ทา่ นนั้ ทแี่ วดลอ้ มเรา ธรรมะกอ็ ยรู่ อบ  ตวั เราเชน่ เดยี วกนั  ไมใ่ ชแ่ คอ่ ยรู่ อบเทา่ นน้ั  แตห่ ยง่ั ลกึ เขา้ ไปในทกุ อณู  ของกายและใจเรา บางครั้งอาจจะมีบางส่ิงบางอย่างขวางกั้นเรา  จากธรรมชาต ิ เชน่  อาคาร บา้ นเรอื น แตไ่ มม่ อี ะไรสามารถขวาง  ก้ันเราจากธรรมะได้ เพราะธรรมะน้ันแทรกซึมไปทุกอณูของกาย  และใจ ที่จริงกายใจของเราก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เป็นธรรมะใน  ความหมายของสภาวะ ธรรมะยังหมายถึงค�ำสอน หรือความจริง  ที่ปรากฏแสดงอยู่ในทุกส่งิ  ไม่ว่ารปู ธรรม หรอื นามธรรม พวกเราชาวพุทธคุ้นกับค�ำว่าธรรมะ ในแง่ที่หมายถึงค�ำสอน  ค�ำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมาย โบราณาจารย์รวบรวมไว้ถึง  ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ถ้าจะสรุปง่ายๆ ก็เหลือแค่สอง คือ  ค�ำสอนเก่ียวกับความดี และค�ำสอนเกี่ยวกับความจริง หรือจะพูด  ใหส้ นั้ กวา่ นนั้ กค็ อื ความด ี กบั ความจรงิ  ความด ี เรยี กวา่ จรยิ ธรรม  ความจรงิ เรยี กว่าสัจธรรม ธรรมในพุทธศาสนาแยกได้เป็นสองอย่างเท่าน้ัน คือจริย  ธรรมและสจั ธรรม จรยิ ธรรมคอื ความดเี ปน็ สงิ่ ทตี่ อ้ งท�ำ ถา้ อยาก  มคี วามสขุ กต็ อ้ งทำ�  ตอ้ งทำ� จงึ จะมชี วี ติ ทผ่ี าสกุ และเจรญิ งอกงามได ้ สว่ นสจั ธรรมคอื ความจรงิ  เปน็ สง่ิ ทต่ี อ้ งเหน็ หรอื เขา้ ถงึ  การปฏบิ ตั ิ  148 ธ ร ร ม ก ล า ง ป่ า สุ ข ก ลา ง ใ จ

ธรรมถา้ กลา่ วอยา่ งยอ่ ๆ กม็ แี คส่ องเทา่ นน้ั  คอื ทำ� ความด ี และเหน็   ความจรงิ  ทำ� ความด ี ไดแ้ ก ่ การใหท้ าน การรกั ษาศลี  รวมทง้ั การ  ภาวนาท่ีท�ำให้คุณภาพจิตเจริญงอกงาม เช่น มีเมตตา มีความ  เพียร มีขันติ มีความอดทน ซึ่งล้วนท�ำให้จิตใจอ่อนโยน นุ่มนวล  เออื้ เฟอ้ื ตอ่ การทำ� ความด ี แตเ่ ทา่ นนั้ ยงั ไมพ่ อ เราตอ้ งฝกึ จติ ใหเ้ หน็   ความจริงด้วย ความจรงิ นัน้ มีมากมาย อาจจะเรียกวา่ ไมน่ ้อยกวา่   ดวงดาวที่อยูบ่ นฟากฟา้  หรอื ทอ่ี ยูใ่ นจกั รวาลนี้ พระพุทธเจ้าเคยเปรียบความจริงทั้งหลายในโลกน้ี เหมือน  กับใบไม้ในป่า คราวหน่ึงพระพุทธองค์ได้ประทับท่ีป่าประดู่ลาย  149 พระไพศาล วิสาโล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook