Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore KrajokKummatarn

KrajokKummatarn

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-18 07:28:38

Description: KrajokKummatarn

Search

Read the Text Version

ชมรมกลั ยาณธรรม หนังสอื ดลี �ำดบั ท ่ี ๒๙๓ ดร.สนอง วรอไุ ร พมิ พค์ ร้ังที่ ๑  กุมภาพนั ธ ์ ๒๕๕๗  จ�ำนวนพิมพ์ ๔,๐๐๐ เล่ม จัดพมิ พ์โดย ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชยั  ต�ำบลปากน้�ำ  อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓  และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ออกแบบรปู เลม่ คนขา้ งหลงั   พสิ จู นอ์ กั ษร ทมี งานกลั ยาณธรรม   เพลท แคนนา กราฟฟกิ โทร. ๐๘-๖๓๑๔-๓๖๕๑ พมิ พ์ บรษิ ัทขุมทองอตุ สาหกรรมและการพิมพ์ จ�ำกัด  โทรศพั ท์ ๐-๒๘๘๕-๗๘๗๑-๓ สัพพทานัง ธัมมทานัง ชนิ าติ การให้ธรรมะเปน็ ทาน ย่อมชนะการใหท้ ง้ั ปวง www.kanlayanatam.com

ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรรี ํ คุหาสยํ เย จติ ฺตํ สญฺญเมสสฺ นฺติ โมกฺขนฺติ มารพนธฺ นา ฯ ๓๗ ฯ จติ ท่องเท่ียวไปไกล เทย่ี วไปดวงเดยี ว ไม่มีรูปร่าง อาศยั อย่ใู นร่างกายน้ี ใครควบคมุ จิตนไ้ี ด้ ยอ่ มพ้นจากบ่วงมาร พทุ ธพจน์

คํานํา ของชมรมกลั ยาณธรรม ค�ำบรรยายเรื่อง “กระจกส่องกรรมฐาน” ของทา่ นอาจารย ์ ดร. สนอง วรอไุ ร ซง่ึ แสดง แกผ่ เู้ ขา้ ฝกึ วปิ สั สนากรรมฐาน ณ คณะมนษุ ย ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ น ี้ เมอื่ ไดฟ้ งั คราวใด กน็ อ้ มนำ� ใจใหเ้ กดิ ศรัทธาและแรงบันดาลใจที่จะพาตนให้พ้นไป จากกองทกุ ขท์ ง้ั ปวง ความหลดุ พน้ นนั้  จะเกดิ ได้ด้วยการลงมือปฏิบัติตามอย่างมีสติ มี ปัญญา และพากเพียร สมดังพุทธพจน์ท่ีว่า อาตาป ี สมั ปชาโน สตมิ า 4 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ค�ำบรรยายอมตะเรื่องน้ี แม้อาจยัง ไมช่ ว่ ยใหใ้ ครถงึ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ข ์ แตเ่ ชอื่ วา่ จะเปน็ แนวทาง เปน็ พลงั ใจใหท้ กุ ทา่ นทม่ี ใี จใฝธ่ รรม ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั  ิ เจรญิ สต ิ เจรญิ ปญั ญากนั อยา่ ง จรงิ จงั  ไมม่ วั แตเ่ พยี งพรำ�่ เพอ้ ถงึ คณุ วเิ ศษแหง่ พระธรรมเทา่ นน้ั  เพราะพระพทุ ธองคต์ รสั ไวว้ า่ “ธรรมท้ังหลาย เธอต้องท�ำเอง ตถาคตเป็น เพยี งผ้ชู ้ีทางเทา่ นน้ั ” ชมรมกลั ยาณธรรมขอกราบขอบพระคณุ ท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เสียสละ เวลาตรวจทานตน้ ฉบบั ใหด้ ว้ ยความเมตตา หวงั อย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้รับสาระแห่งธรรม และเป็นพลังใจให้ทุกท่านก้าวพ้นจากภพชาติ และสิน้ อาสวกิเลสไดใ้ นท่สี ดุ ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร 5

คําอนุโมทนา เรื่อง “กระจกส่องกรรมฐาน” น้ี เป็นการ ชี้แนะจากกัลยาณมิตรผู้มีประสบการณ์ ให้ ผู้ปฏิบัติธรรมย้อนกลับมาดูส่ิงผิดพลาดของ ตัวเอง หากปรับแก้ไขให้เหมาะสม โอกาสท่ี จติ จะเขา้ สคู่ วามตงั้ มน่ั  เกดิ ปญั ญาเหน็ แจง้  ได้ ดวงตาเห็นธรรม ย่อมมไี ด้ เปน็ ได้ 6 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับผู้มีทักษะใน การอ่าน และรักที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของ ตวั เองดว้ ยการปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื นำ� ชวี ติ สคู่ วาม สงบ เปน็ อสิ ระ และพน้ ไปจากทุกข์ท้ังปวง ข้าพเจ้าขอขอบคุณและอนุโมทนากับ ทกุ ทา่ น ผมู้ สี ว่ นรว่ มในการจดั พมิ พห์ นงั สอื นี้ ขออานสิ งสแ์ หง่ การกระทำ� น ี้ จงเปน็ เหตปุ จั จยั สนบั สนนุ ใหท้ กุ ทา่ นไดด้ วงตาเหน็ ธรรม เขา้ สู่ ความหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ในอนาคต กาลอนั ใกลน้ ี้เทอญ ดร.สนอง วรอุไร ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร 7

สารบัญ เกบ็ ของดไี วก้ บั ตวั ๑๑ ครนู น้ั ส�ำคัญไฉน? ๑๗ รู้จกั กรรมฐาน ๒ แบบ ๒๓ สมาธิและอภญิ ญา ๒๙ กระจกสอ่ งใจตน ๓๕ อนั เนื่องด้วยพระนางปชาบดีโคตมี ๖๗ ตรวจสอบตนด้วยหลัก ๘ ๗๓ อานิสงส์ของการเจรญิ เมตตา ๘๒ ๑๑ ประการ ๘๕ ผลของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ๘๖ ประวตั ิของ ดร. สนอง วรอไุ ร 8 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

พุ ท ธ ว จ น ะ จติ เต สังกลิ ฏิ เฐ ทุคต ิ ปาฏิกงั ขา จิตเศรา้ หมอง ทคุ ติเปน็ ทหี่ มาย จติ เต อสังกลิ ฏิ เฐ สุคต ิ ปาฏิกงั ขา จิตไม่เศร้าหมอง สุคตเิ ป็นทห่ี มาย



เกบ็ ของดไี ว้กับตวั นมัสการพระคุณเจ้า สวัสดีครับ เพื่อนสห- ธรรมกิ ผรู้ ว่ มปฏบิ ตั ธิ รรม วนั นเี้ ขา้ สวู่ นั ท ่ี ๖ แลว้ ท่านคงผ่านช่วงที่จิตตกตำ�่  ซ่ึงมักเกิดในวันที่ ๓-๔ มาแลว้  ผา่ นมาไดน้ บั วา่ โชคด ี ผบู้ รรยาย ต้องการมาท�ำหน้าที่เป็นกระจกให้ท่านส่อง มองตัวเองว่า การปฏิบัติกรรมฐานของท่าน ถูกตอ้ งหรือไม่ 11ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

จริงๆ แล้วการปฏิบัติกรรมฐานไม่ใช่ เร่ืองยากหากเราด�ำเนินได้ถูกทาง ที่รู้สึกว่า ยากเปน็ เพราะดำ� เนนิ ไมถ่ กู ทาง ทกุ คนสามารถ ท�ำได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ท�ำได้ เพราะเรา ต่างมีร่างกายเป็นเคร่ืองมือให้จิตได้ใช้ ถ้า ด�ำเนินได้ถูกทางแล้ว มรรคผลจะเกิดขึ้นเร็ว มาก เพราะจติ มคี วามวอ่ งไว ตวั ผบู้ รรยายใน ฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อเร่ืองนี้มา กอ่ น จงึ ไปบวชแลว้ ฝกึ กรรมฐาน เรมิ่ ตน้ ดว้ ย ความไมเ่ ชอ่ื  แตด่ ว้ ยบญุ ทดี่ ำ� เนนิ ไดถ้ กู ตอ้ งตาม แนวทาง มรรคผลจงึ เกดิ ขนึ้ เรว็ จรงิ ๆ ผบู้ รรยาย ปฏบิ ตั  ิ ๑ เดอื นเตม็  เพยี งแคว่ นั ท ่ี ๓-๔ เปน็ ตน้ ไป เรมิ่ เกดิ สงิ่ แปลกๆ ซง่ึ ไมเ่ คยคดิ  ไมเ่ คยคาด หวังว่าจะเกิดขึ้นกับจิตของตัวเองได้ ภายใน ๙ วัน ทุกส่ิงทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอย สิ่งท่ี ไมเ่ คยเชอ่ื วา่ จะเปน็ ไปไดก้ เ็ ปน็ ไปได้ สงิ่ ทเ่ี คย ไม่ร้ไู ม่เขา้ ใจกไ็ ดร้ ู้และเข้าใจ 12 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ผบู้ รรยายบวชอย ู่ ๑ เดอื นกบั  ๑๓ วัน แตป่ ฏบิ ตั กิ รรมฐานเตม็ ที่ ๓๐ วนั  วนั สดุ ทา้ ย ท่ีไปลาสึกจากท่านเจ้าคุณโชดกฯ ท่านบอก ผู้บรรยายว่า สงิ่ ทีไ่ ดไ้ ปนนั้ เป็นของดี  ของวเิ ศษ ใหเ้ กบ็ ไว้กับตัวตลอดชวี ิต” ตอนน้ันผู้บรรยายไม่ค่อยซาบซึ้งเท่าไร นัก แต่มาปัจจุบันนี้ซาบซ้ึงมาก เก็บไว้กับตัว มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จนถึงปัจจุบันนี้ยัง มีอยู่ครบ อันที่จริง...มีเพ่ิมขึ้นมากกว่าเดิม เพราะไดป้ ฏบิ ตั มิ าตลอด ๒๐ กวา่ ป ี (บรรยาย เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๔) หลังจากออกจากวัดมา สง่ิ ไมด่ .ี ..ทง้ิ  เพราะทราบวา่ ทางนเ้ี ปน็ ทางทด่ี ี ที่สุด การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบข้อ 13ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ปฏบิ ตั ทิ สี่ ามารถนำ� พาชวี ติ ของเราไมใ่ หต้ กตำ�่ ได ้ นบั เปน็ สง่ิ ประเสรฐิ  ในวนั น ้ี ผบู้ รรยายจะ เป็นเพียงกระจกบานหน่ึง ให้ท่านได้ส่องดู ตวั เองวา่  การประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องทา่ นดำ� เนนิ ไปถกู แนวทางของการปฏบิ ตั กิ รรมฐานหรอื ไม่ ถา้ มขี อ้ ใดทที่ า่ นปฏบิ ตั ผิ ดิ  ใหแ้ กไ้ ขเสยี  ครบู า อาจารย์ก็มีอยู่พร้อม สถานที่ฝึกปฏิบัติต่างๆ กอ็ �ำนวยเกือ้ กูลต่อการปฏบิ ตั ิเปน็ อย่างมาก” 14 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น





ในเรอ่ื งของครบู าอาจารย ์ ผบู้ รรยายมน่ั ใจวา่ ทา่ นมาถกู ทางแลว้  ขอ้ นตี้ า่ งกบั สมยั พทุ ธกาล เมอื่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกบวชเพอ่ื แสวงหา หลักธรรมส�ำหรับก�ำกับคุ้มครองชีวิตมนุษย์ ในครั้งน้ัน ในชมพูทวีปมีอาจารย์ต่างๆ ซ่ึงมี คนฝากตวั เปน็ ศษิ ยก์ นั มากหลายส�ำนกั  เรยี ก กนั วา่  “ครทู ง้ั  ๖” ไดแ้ ก ่ ปรู ณกสั สป, มกั ขล-ิ โคสาล, อชติ เกสกมั พล, ปกทุ ธกจั จายนะ, สญั - ชยั เวลัฏฐบุตร และ นิครนถนาฏบุตร 17ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

เจ้าชายสิทธัตถะมิได้ฝากตัวเป็นศิษย์ กับครูท้ัง ๖ น้ัน แต่ท่านฝากตัวเป็นศิษย์กับ อาฬารดาบส กาลามโคตร ซง่ึ เปน็ ฤาษที ม่ี ชี อื่ เสยี งโดง่ ดงั  เนอื่ งจากพระองคไ์ ดส้ ง่ั สมอบรม บารมมี าเกอื บจะเตม็ เปย่ี มอยแู่ ลว้  พระองคจ์ งึ ไดว้ ชิ าจากครอู าฬารดาบส กาลามโคตรอยา่ ง ง่ายดาย เพียงไม่นานก็ส�ำเร็จฌานสมาบัติ ช้ันที่ ๗ การฝึกก็เหมือนที่เราฝึก คือ ฝึกจิต ให้มีสติ เมื่อมีสติต้ังมั่นแล้ว จิตนิ่งเป็นสมาธิ มากขนึ้ ๆ จนเขา้ ถงึ อปั ปนาสมาธ ิ ซงึ่ เปน็ สมาธิ สงู สดุ  หลงั จากนนั้ กเ็ กดิ ปรากฏการณข์ องจติ ทเี่ รยี กวา่  “ฌาน” มอี ารมณแ์ นว่ แน ่ ทรงบรรลุ ฌาน ๑, ฌาน ๒, ฌาน ๓, ฌาน ๔ และ อรปู ฌานอกี  ๓ ขนั้  แตพ่ ระองคท์ รงพจิ ารณา เห็นว่า น่ันไม่ใช่ทางแห่งการตรัสรู้ เพราะ เมอื่ ใดออกจากฌานสมาบตั  ิ ปญั หาตา่ งๆ กย็ งั คงมอี ย ู่ ยงั แกไ้ มไ่ ด ้ พระองคจ์ งึ รำ่� ลาอาจารย์ 18 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

อาฬารดาบส ออกเดินทางแสวงหาอาจารย์ ใหมต่ อ่ ไป ทรงไดพ้ บและฝากตวั เปน็ ศษิ ยข์ อง อทุ ทกดาบส รามบตุ ร เรยี นอกี ไมน่ านกส็ ำ� เรจ็ ฌานสมาบตั  ิ ๘ แตค่ รนั้ ออกจากฌานสมาบตั ิ ปญั หากย็ งั แกไ้ มไ่ ด ้ ยงั มอี ยดู่ งั เดมิ  พระองคจ์ งึ จากลาทา่ นอทุ ทกดาบสไปแสวงหาความหลดุ พน้ ด้วยพระองคเ์ อง ผบู้ รรยายยกเรอ่ื งนข้ี นึ้ เปน็ ตวั อยา่ งเพอ่ื จะบอกท่านว่า ครูบาอาจารย์ผู้ให้การอบรม ฝกึ สอนนนั้ สำ� คัญมาก ถา้ ครฝู ึกเป็นผู้มีมจิ ฉา ทิฏฐิเสียแล้ว แม้เราฝึกยาวนานอย่างไร เกิด ๑๐๐ ชาต ิ ๑,๐๐๐ ชาต ิ หรอื นานกวา่ นนั้ อกี เท่าไหร่ก็ตาม มรรคผลก็ไม่เกิด และเราไม่ สามารถหลุดพ้นเป็นอิสระจากสิ่งร้อยรัดได้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้ แต่ท่าน ทั้งหลายท่ีมาน่ังอยู่ในสถานที่แห่งน้ี ท่านมา 19ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ถูกที่ ได้ครูดี เป็นครูท่ีมีสัมมาทิฏฐิ มีความ เหน็ ถูกตอ้ ง ความเห็นถูกตรง ส�ำหรับการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานน ้ี เป็นไปในแนวทางของ สตปิ ฏั ฐาน ๔ หากทา่ นใดฝกึ แลว้ ไมไ่ ดด้ ำ� เนนิ ไปในแนวทางของสตปิ ฏั ฐาน ๔ โอกาสพลาด มีมาก อยา่ งเช่น อาฬารดาบส กาลามโคตร และอทุ ทกดาบส รามบตุ ร ทผี่ บู้ รรยายกลา่ ว เช่นนี้เป็นเพราะได้ประสบเข้ากับตัวเองสมัย ที่ไปฝึกกรรมฐานท่ีวัดมหาธาตุฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เรื่องหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้ใจคน เหล่าน้ี เป็นเรื่องธรรมดาท่ีเกิดได้ง่าย ถ้าจิตของเรา เขา้ ฌานได ้ พอถอนจติ ออกจากฌาน อภญิ ญา  จะเกดิ ขนึ้  แตเ่ นอื่ งจากผบู้ รรยายไดค้ รฝู กึ ทด่ี ี เช่นท่านเจ้าคุณโชดกฯ ซ่ึงเป็นอาจารย์ที่มี สัมมาทิฏฐิ ท่านจึงชี้ให้ผู้บรรยายเลิกสนใจ 20 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ให้ใช้ปัญญาพิจารณาส่ิงต่างๆ ท่ีปรากฏน้ัน ใหห้ ายไป ถา้ เราไปหลงเลน่ กบั อภญิ ญา กต็ ดิ โลกยี  ์ ยงั ตอ้ งเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏสงสาร นั่นไม่ใช่แนวทางของสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่ แนวทางของวิปสั สนากรรมฐาน” 21ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร



รู้จักกรรมฐาน ๒ แบบ การฝกึ กรรมฐานม ี ๒  อยา่ ง ๑. ฝกึ ใหจ้ ติ นงิ่ เปน็ สมาธ ิ เรยี กวา่  สมถ  กรรมฐาน ๒. ฝึกให้จิตเกิดปัญญารู้เท่าทัน หรือ ปัญญาเห็นแจ้ง เรียกว่า วิปัสสนา  กรรมฐาน ท่ีท่านมาน่ังฝึกกันอยู่น้ี เป็นการฝึกท้ัง ๒ อยา่ ง คอื  ฝกึ จติ ใหน้ ง่ิ เปน็ สมาธ ิ และฝกึ จติ ใหเ้ กดิ ปญั ญาเหน็ แจง้  ถา้ จะเอาปญั ญาเหน็ แจง้ อย่างเดียว ไม่ฝึกจิตให้น่ิง ไม่เอาสมถกรรม 23ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ฐานไดไ้ หม? ตอบวา่ ไมไ่ ด ้ เพราะพน้ื ฐานของ  การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง มาจากจิตน่ิงเป็น  สมาธไิ ดก้ อ่ น ดว้ ยเหตนุ  ี้ ผบู้ รรยายจงึ กลา่ ววา่ ครูฝึกจ�ำเป็นต้องเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ถ้าได้ครู ทม่ี มี จิ ฉาทฏิ ฐ ิ จะพาใหเ้ ราหลง เวยี นวา่ ยตาย เกิดในวัฏฏสงสาร ฝึกเท่าไรก็ไม่เกิดปัญญา เหน็ แจง้  อยา่ งมากไดเ้ พยี งโลกยี ญาณ ซงึ่ เปน็ ปัญญาหยั่งรู้ในโลก ยังต้องมีการเวียนว่าย ตายเกดิ ในวฏั ฏสงสาร ถา้ เราใชป้ ญั ญาระดบั โลกยี ะ ๒ ตวั  (สตุ มยปญั ญา และ จนิ ตามย-  ปัญญา) ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ต้ังแต่ นรกจนถงึ พรหม ไมส่ ามารถหลดุ พน้ ออกจาก วฏั ฏสงสารได้ ท่านท้ังหลายที่อยู่ในที่นี้จึงเป็นผู้โชคดี ไดค้ รทู ม่ี สี มั มาทฏิ ฐ ิ บอกแนวทางฝกึ จติ ใหน้ งิ่ และฝกึ จติ ใหเ้ กดิ ปญั ญาเหน็ แจง้  ซง่ึ ดำ� เนนิ ไป 24 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ตามแนวทางของสติปัฏฐาน ๔ เวลาท่านฝึก ใช ้ “พองหนอ-ยบุ หนอ” ทา่ นกำ� หนดรทู้ หี่ นา้ ทอ้ ง หายใจเขา้ ...ทอ้ งพอง หายใจออก...ทอ้ งยบุ ทา่ นรไู้ หมวา่  นนั่ คอื กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน เปน็  ๑ ในกรรมฐานทงั้  ๔ ในขณะทพี่ จิ ารณา กายพอง-ยุบ พอง-ยุบ ถ้าท่านมีอาการปวด เมื่อย ชา น่ันคือเวทนา ท่านต้องพิจารณา เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตที่เข้าไปรู้ อารมณ์ต่างๆ น่ันคือจิตตานุปัสสนาสต ิ ปัฏฐาน ส่วนธรรมะที่เกิดในระหว่างฝึก โดยเฉพาะที่ส�ำคัญมากคือ นิวรณธรรม เกิด ความยนิ ดใี นกาม (กามฉนั ทะ), เกดิ ความรสู้ กึ แคน้ เคอื งขน้ึ ในดวงจติ  (พยาบาท), เกดิ อาการ ฟุ้งซ่านร�ำคาญ (อุทธัจจกุกกุจจะ), เกิดความ ลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา), หรือรู้สึกง่วงเหงา หาวนอน หดหู่ซึมเซา (ถีนมิทธะ) เหล่านี้ เป็นนิวรณ์ทั้งส้ิน เกิดขึ้นในจิตขณะท่ีเรา 25ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ก�ำลังฝึกปฏิบัติ ก็คือ ธัมมานุปัสสนาสติ-  ปฏั ฐาน ดงั นน้ั  เมอื่ กาย เวทนา จติ  ธรรม  เกดิ ขน้ึ  ทา่ นตอ้ งพจิ ารณาวา่ เปน็ ไปตามกฎ  ธรรมชาต ิ คอื  เกดิ ขน้ึ ในเบอ้ื งตน้  แปรเปลยี่ น  ในทา่ มกลาง แลว้ ดบั สลายในทส่ี ดุ  เราเรยี ก  ว่า อนจิ จัง ทุกขงั  อนตั ตา ถ้าจิตมองตัวน้ีไม่ออก จะไม่เห็นการ ดบั ไป (คอื  อนตั ตา) ของกาย เวทนา จติ  และ ธรรม แต่ถ้าจิตนิ่ง ท่านจะทราบ เมื่อเกิด อาการพอง-ยุบที่ท้อง ท่านก็เอาจิตก�ำหนด ให้เกิดสติระลึกได้ทันว่า ขณะน้ีท้องพอง ขณะนที้ อ้ งยบุ  ถา้ ระลกึ รไู้ ดว้ า่ ทอ้ งพอง-ทอ้ งยบุ นน่ั คอื สต ิ เมอ่ื ใดทอ้ งมอี าการพอง-ยบุ อย ู่ แต่ ใจท่านไปคิดเร่ืองอ่ืน แสดงว่าขาดสติ หรือ มีเร่ืองอื่นเข้ามารบกวนขณะที่ท่านก�ำลัง บรกิ รรม ปรากฏเปน็ สมั ผสั ขนึ้ ในดวงจติ  นน่ั 26 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

เป็นเพราะจิตขาดสติ ท่านต้องดึงจิตเข้ามา ฝกึ สตใิ หม ่ ใหอ้ ยกู่ บั อารมณป์ จั จบุ นั  พองหนอ- ยบุ หนอ พองหนอ-ยบุ หนอ ยงิ่ มสี ตมิ ากเทา่ ไร ความตั้งม่ันของจิตก็มีมาก ที่เราเรียกว่า สมาธิ เม่ือจิตตั้งม่ันเป็นสมาธ ิ จะเกิดอาการ ปรากฏตา่ งๆ ครฝู กึ จะสอบถาม (สอบอารมณ)์ แลว้ แนะนำ� แกไ้ ข ทา่ นมหี นา้ ทอี่ ยา่ งเดยี ว คอื ท�ำตาม ไม่ต้องสงสัย เพราะความสงสัยเป็น นิวรณ ์ ท�ำใหก้ ารปฏบิ ตั เิ นิ่นชา้  เหมือนนำ�้ ชา ท่ีอยู่ในถ้วย ต้องเทท้ิงให้หมด รับสิ่งใหม่ จากครูบาอาจารย์ แล้วท�ำตามให้ได้ จะได้ ผลก้าวหน้าเร็วท่ีสุด ถ้าเทน้�ำชาออกไม่หมด ถ้วย ยังมีของเก่าเจือปน ของใหม่ท่ีใส่ลงไป ก็ไม่บริสุทธิ์ ท�ำให้เสียเวลาในการประพฤติ ปฏิบัติ ท่านจึงมีหน้าที่รับฟังอย่างเดียวแล้ว ท�ำตาม อย่าคิดสงสัย นั่นเป็นกิเลส ท�ำให้ มรรคผลลา่ ชา้ ” 27ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร



สมาธิและอภิญญา เมอื่ ใดสตมิ ากขน้ึ  จติ จะนงิ่ ไปจนถงึ ขน้ั อปุ จาร  สมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิระดับกลาง เหมาะที่จะ เอามาพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง เพราะจิตมี ความนง่ิ  มพี ลงั สมาธมิ ากพอทจี่ ะเหน็ อนตั ตา  หรือไตรลกั ษณ์ ของผสั สะทเี่ กิดขนึ้ ในดวงจิต ได ้ ในสมาธริ ะดบั กลางนจ้ี ะเกดิ ปตี  ิ เชน่  ขนลกุ ขนพอง ตวั โยกคลอน โยกไปโยกมา เปน็ ตน้ ขณะทเ่ี ราบรกิ รรม “พองหนอ ยบุ หนอ” เมอื่ เกิดผัสสะข้ึน เราต้องพิจารณาผัสสะโดยใช้ 29ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

จิตตามดูว่า ผัสสะเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เกิดข้ึนในเบ้ืองต้น แปรเปลี่ยนในท่ามกลาง และดบั สลายในทส่ี ดุ  ตามดรู อบแลว้ รอบเลา่ ... รอบแล้วรอบเล่า จนกระทั่งมนั ดบั ไป นนั่ คือ อนัตตา เม่ือนั้น...ความเห็นแจ้งหรือปัญญา เห็นแจ้งในผัสสะจะเกิดขึ้น ทุกผัสสะที่เกิดข้ึน ในสมาธริ ะดบั น ี้ เราตอ้ งพจิ ารณาวา่ เปน็ ไปตาม กฎไตรลักษณ์จริงหรือไม่ เอาจิตตามดูให้รู้ เทา่ ทนั  ทำ� ไปๆ ตอ่ ไปเมอ่ื เราชำ� นาญแลว้  ไม่ จ�ำเป็นต้องใช้สมาธิลึกเช่นน้ี เพียงแค่ขณิก  สมาธ ิ กส็ ามารถเหน็ การเกดิ และดบั ของผสั สะ ทเี่ ข้าไปปรากฏในดวงจติ ได้ ถา้ เราฝกึ สตมิ ากขนึ้ ๆ ในทสี่ ดุ เขา้ สสู่ มาธิ ลึกสุด ท่ีเรียกว่า อัปปนาสมาธ ิ ลักษณะของ อัปปนาสมาธิ คือ สติจะอยู่ท่ีจิต จิตตั้งมั่น เต็มที่ ไม่ตกภวังค์ ระลึกรู้อยู ่ แต่ไม่รับผัสสะ 30 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ภายนอก ความรสู้ กึ ปวดแขง้ ปวดขา รอ้ น ได้ ยนิ เสยี ง สง่ิ ตา่ งๆ จากภายนอกหายไป สญั ญา ดบั  เวทนาดบั  ไมร่ บั รอู้ ะไร จติ นงิ่ อยา่ งเดยี ว นี้เรียกว่า อัปปนาสมาธิ สมาธิข้ันนี้ไม่มี ประโยชน์ในการพิจารณาไตรลักษณ์ให้เกิด ปัญญาเห็นแจ้ง แต่มีประโยชน์ส�ำหรับหนี ปัญหาและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ช่ัวคราว เมื่อเข้าสมาธิลึกได้ ปัญหาทุกอย่างดับหมด เม่อื เราถอนจติ ออกจากอปั ปนาสมาธ ิ จะเกิด ปฐมฌาน คือฌานท่ี ๑ แล้วไล่ข้ึนไปสู่ฌาน ท่ี ๒, ที่ ๓, ท่ี ๔ และอรูปฌานที่ ๑, ที่ ๒, ท ี่ ๓, ท ่ี ๔ เกดิ ตามมาเปน็ ลำ� ดบั  เมอื่ เกดิ ฌาน ต่างๆ อารมณ์ของฌานจะปรากฏในดวงจิต เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่า ขณะนี้สภาวะ จติ ของเราเสวยอารมณอ์ ยใู่ นฌานไหน เพราะ มอี ารมณ์ของฌานก�ำกับ 31ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ในคนบางคนที่ฝึกจนถึงฌานแล้ว เมื่อ ถอนจิตออกจากฌาน ก็เกิดอภิญญา หมาย ถึง ความรู้สงู สุด ม ี ๒ ประเภท ประเภทท่ี ๑ คือ โลกียอภิญญา เป็น อภิญญาท่ีท�ำให้รู้ เข้าใจ หรือรู้เท่าทันสิ่ง ตา่ งๆ ในวฏั ฏสงสาร (การเวยี นว่ายตายเกิด) หมายถึง อภิญญาตัวที่ ๑-๕ ในอภิญญา ๖ ไดแ้ ก ่ แสดงฤทธไ์ิ ด ้ (ลอ่ งหน, ดำ� ดนิ  ฯลฯ), หู ทิพย์, รู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อ่ืน, ระลึกชาติ ได,้  และตาทพิ ย์ ประเภทท ี่ ๒ คอื  โลกตุ ตรอภญิ ญา เปน็ อภญิ ญาทท่ี ำ� ใหพ้ น้ ไปจากวฏั ฏสงสาร หมายถงึ อภิญญาตัวสุดท้าย (ตัวที่ ๖) คือ อาสวักขย  ญาณ ซงึ่ เปน็ ปญั ญาทเ่ี ปน็ เหตทุ ำ� ใหอ้ าสวกเิ ลส สิ้นไป 32 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ถามวา่  อภญิ ญาประเภทท ี่ ๑ มปี ระโยชน์ ไหม? ตอบวา่  ยงั ไมม่ ปี ระโยชนส์ งู สดุ  เพราะ ไมไ่ ดใ้ ชอ้ งคก์ รรมฐานทจ่ี ะปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ปญั ญา เห็นแจ้ง เม่ือจิตเข้าสมาธิลึกได้และด่ิงอยู่กับ สมาธิลึกเน่ินนาน จะเกิดความสุขขึ้น ผู้ฝึก บางคนไปติดตรงน้ัน นั่งทีไรก็เข้าสู่สมาธิลึก ทกุ ครงั้  เพราะตดิ ความสขุ  แตค่ รบู าอาจารย์ ผู้มีสัมมาทิฏฐิจะไม่ยอมให้จิตของศิษย์ผู้ฝึก จมด่ิงอยู่ตรงนั้น จะให้ถอนออกมาอยู่ข้ัน อปุ จารสมาธ ิ แลว้ ใหน้ ำ� ไปพจิ ารณาไตรลกั ษณ์ ทเ่ี กดิ ขนึ้  ถา้ อยา่ งนแ้ี ลว้  การพจิ ารณาสตปิ ฏั - ฐาน ๔ จะมผี ล จะเกดิ ปญั ญาเหน็ แจง้ เรว็ มาก ส�ำนักที่สอนแบบนี้มีอยู่ในเมืองไทย ครูบา อาจารย์จะไม่ยอมให้เราติดสมาธินาน เมื่อ เร่ิมเอาสมาธิมาพิจารณาไตรลักษณ์ได้ จะ ให้เอามาใช้ทันที มรรคผลจะเกิดข้ึนเร็ว ใช้ เวลาไมน่ านถา้ เราท�ำถกู ทาง” 33ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร



กระจกสอ่ งใจตน ในขณะทีท่ ่านฝึกกรรมฐาน ท่านฝกึ  ๒ เรอ่ื ง คือ สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน ท่านฝึกสมถกรรมฐานแล้ว จิตสงบตามที่ฝึก จริงไหม? บางคนฝึกเท่าไรจิตก็ไม่สงบ ท่าน ตอ้ งตรวจสอบตนเอง และหาวธิ ชี ว่ ยทำ� ใหจ้ ติ สงบได ้ สงิ่ ที่ท่านต้องตรวจสอบ ได้แก่ 35ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

๑ศีล ในไตรสิกขา มีเร่ืองศีล สมาธิ และ ปัญญา ท้ัง ๓ อยา่ งน้ีเกอื้ กูลกนั  ถ้าศลี ยังไม่ บริสุทธิ์ ศีลยังเข้าไม่ถึงใจ จิตย่อมไม่ต้ังม่ัน สมาธยิ อ่ มไมเ่ กดิ  ฉะนนั้  ศลี ทท่ี า่ นสมาทานไว้ ตอ้ งทำ� ใหบ้ รสิ ทุ ธเ์ิ สยี กอ่ น ศลี เปน็ เกราะกำ� บงั   ภยั  ถา้ ศลี ไมค่ รบ จติ ใจจะหวน่ั ไหว ไมว่ า่ จะ  พยายามเท่าไร จิตก็ยังไม่อยู่กับพองหนอ-  ยุบหนอ เพราะจิตจะไม่น่ิงถ้าศีลไม่บริสุทธ์ิ ฉะนน้ั  ทา่ นตอ้ งกลบั ไปแกไ้ ขดว้ ยการทำ� ศลี ให้ บริสุทธ์ิเสียก่อน เมื่อใดศีลบริสุทธ์ิแล้ว การ ฝึกสติก็เกิดได้ง่าย โอกาสที่จิตนิ่งเป็นสมาธิ ก็เกิดได้ง่าย ศีลท่ีสมาทานมา ไม่ใช่ว่าเม่ือ เลิกฝึกแล้วคืนหมด กลับบ้านแล้วไม่รักษาไว้ นน่ั ผดิ ทาง เพราะธรรมอนั ดงี ามทง้ั หลาย ถา้ เรามีแล้ว แต่ไม่รักษาให้คงอยู่ ธรรมนั้นก็ไม่ 36 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

คุ้มรกั ษาเรา ฉะนั้น เมอ่ื สมาทานศลี แลว้  ให้ รกั ษาไว้ตลอดชวี ติ  บางคนบอกวา่ ตอนฝึกใน คอร์สกรรมฐาน จิตสงบดี แต่พอกลับบ้าน ฝึกแล้วฝึกอีก จิตไม่สงบเลย น่ันเพราะศีล ไมค่ รบ ศีลไม่บรสิ ุทธิ์ เชน่ เดยี วกนั  ทา่ นฝกึ อยทู่ นี่  ่ี ๗ วนั  ลอง ถามตัวเองดูว่า ศีลมีครบไหม บริสุทธ์ิไหม? ศลี ไมใ่ ชอ่ ยแู่ คก่ ายและวาจา สำ� หรบั นกั ปฏบิ ตั  ิ แล้ว ศีลต้องคุมถึงใจ แม้ว่ากายและวาจา จะครบถ้วนตามศีล ๕ แต่ถ้าใจคิดพยาบาท อาฆาตแค้น ก็ถือว่ายังไม่มีศีล ศีลของนัก  ปฏิบัติต้องคุมถึงใจเพราะใจคุมทุกสิ่งทุก  อยา่ ง กายจะเปน็ อยา่ งไร วาจาจะเปน็ อยา่ งไร อยทู่ ใ่ี จเปน็ ตวั สง่ั  ใจเปน็ ตวั สงั่ สมอง โยงไปท่ี อวยั วะ แสดงออกเปน็ พฤตกิ รรม (การพดู และ การกระท�ำ) ถา้ ใจไมบ่ รสิ ทุ ธ ์ิ ใจกไ็ ม่มีศีล แม้ 37ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ปากจะพดู ตรงกนั ขา้ มกต็ าม ปากกบั ใจไมต่ รง กนั  การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมจะกา้ วหนา้ ยาก ฉะนนั้  ใจกบั กายตอ้ งเปน็ เสน้ ตรง การปฏบิ ตั ิ จึงจะนิ่ง ท่านท่ีปฏิบัติแล้วจิตไม่นิ่ง ขอให้ ๒พิจารณาศลี ของตัวเอง ความมกั น้อย นอกจากศีลแล้ว ลองดูว่าท่านเป็นคน มักน้อยหรือไม่ “มักน้อย” คือ กินน้อย พูด นอ้ ย ดนู อ้ ย อา่ นนอ้ ย ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ถา้ พดู มาก จติ จะฟงุ้ เพราะสตริ บั ไมท่ นั  ขาดสติ คนสว่ นใหญ ่ ทง้ั คนทม่ี าฝกึ กรรมฐาน และคน ท่ีใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก เป็นผู้ที่ขาดสติ ในสมัย ท่ีผู้บรรยายบวช ท่านเจ้าคุณโชดกฯ บอกว่า โดยทว่ั ไป คนสว่ นใหญด่ ำ� เนนิ ชวี ติ โดยขาด  สต ิ เมอ่ื ขาดสต ิ การคดิ -พดู -ทำ� จงึ ผดิ พลาด  38 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

กเิ ลสและบาปสงั่ สมในดวงจติ  ผบู้ รรยายเคย สงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไรท่ีว่าคนส่วนใหญ่ ขาดสติ ถ้าขาดสติแล้วจะส่ือความหมายกัน รู้เรื่องหรือ? เรียนกันรู้เร่ืองหรือ? จะเรียน ส�ำเร็จหรือ? ตอนนั้นไม่เช่ือ แต่จ�ำเป็นต้อง ยอมเช่ือไปก่อน ท�ำตามค�ำสอนของท่านไป จนกระท่ังตอนนี้แน่ใจแล้วว่า ที่ท่านพูดว่า คนสว่ นใหญข่ าดสตนิ นั้  เปน็ ความจรงิ  เพราะ ตามหลักจิตวิทยา คนเราด�ำเนินชีวิตและ ทำ� งานการตา่ งๆ หรอื มีปฏิสัมพนั ธ์กบั คนอื่น โดยมสี ตกิ ำ� กบั เพยี งแคป่ ระมาณ ๗ เปอรเ์ ซน็ ต์ อีก ๙๓ เปอร์เซ็นต์เป็นพฤติกรรมที่ท�ำโดย ขาดสตทิ งั้ สน้ิ  ดว้ ยเหตนุ บี้ าปจงึ เกดิ ขน้ึ  กเิ ลส จงึ สง่ั สมในดวงจติ มาก เรามาฝกึ จติ ใหน้ ง่ิ  คอื ฝึกให้มีสติมากกว่า ๗ เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีสติ การคิด-พูด-ท�ำก็เป็นบุญส่ังสมทั้งวัน เราไม่ เขา้ ใจแต่แรกว่า ทีเ่ ราคดิ -พดู -ท�ำ ผิดหรอื ถูก 39ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

กส็ ดุ แตใ่ ครจะมอง หรอื มองดว้ ยกฎอะไร ใน บางกรณีสังคมทั่วไปมอง อาจบอกว่าไม่ผิด เชน่  เปดิ รา้ นขายเหลา้  กฎหมายวา่ ไมผ่ ดิ  แต่ ในกฎแห่งศีลธรรม...มันผิด กรรมอะไรท่ีได ้ ทำ� ไวแ้ ลว้  จะถกู สง่ั สมอยใู่ นดวงจติ  และสกั วนั   จะส่งผลกลับมาหาผู้กระท�ำ ในทางโลก  อาจมองวา่ ไม่ผดิ  แตใ่ นทางธรรมเปน็ เรอื่ ง ละเอียดอ่อน เราจงึ ต้องฝึกสตกิ นั ให้มาก การมกั นอ้ ยเปน็ ประโยชนต์ อ่ การประพฤติ ปฏบิ ตั  ิ กนิ ใหน้ อ้ ยจะด ี การกนิ นอ้ ยทำ� ใหธ้ าต ุ ๔ ในรา่ งกายสมดลุ  จติ ซงึ่ อาศยั อยใู่ นรปู นก้ี ายน้ี กเ็ อามาฝกึ ไดง้ า่ ย แตถ่ า้ กนิ จนอมิ่  กวา่ ธาต ุ ๔ จะปรับสมดุลได้ก็ช้านาน จิตถูกกระทบ การ ปฏบิ ตั ใิ หจ้ ติ มสี ตกิ ท็ ำ� ไดย้ าก สมยั ทผ่ี บู้ รรยาย ไปบวชแล้วฝึกกรรมฐาน ไม่ต้องมีใครคอย บอกว่าควรกินเท่าไร ผู้บรรยายกินประมาณ 40 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

๑๐ ชอ้ นแลว้ เลกิ  กนิ พอใหส้ งั ขารนอี้ ยไู่ ดเ้ ทา่ นั้น ปรากฏว่าย่ิงกินน้อยเท่าไร การฝึกสติ ยงิ่ เรว็ ข้ึน จิตตัง้ ม่ันเป็นสมาธิเรว็ ข้ึน การพดู กเ็ ชน่ เดยี วกนั  ตอนทผ่ี บู้ รรยาย ไปปฏิบัติ แทบไม่ได้พูด ไม่จ�ำเป็นไม่พูด จะ พดู เฉพาะชว่ งสอบอารมณเ์ ทา่ นน้ั  พดู เพอ่ื ถาม ครบู าอาจารย ์ เวลานอกนน้ั ฝกึ อยา่ งเดยี ว ถา้ พูดมากจิตจะฟุ้ง พอจิตฟุ้ง การฝึกสติก็ยาก ตอ้ งถามตวั เองวา่  ทา่ นพดู นอ้ ยไหม? การอา่ น- ดู-ฟังก็เช่นเดียวกัน เหล่าน้ีควรท�ำให้น้อย ที่สุดแค่เท่าท่ีจ�ำเป็น ถ้าไม่จ�ำเป็นอย่าไปอ่าน อยา่ ไปด ู อยา่ ไปฟงั วทิ ย ุ ฯลฯ อะไรไมจ่ ำ� เปน็ ต้องงดให้หมด ส่ิงที่ต้องท�ำมีอย่างเดียว คือ ครูบอกให้ท�ำอะไรก็ท�ำตาม แค่นั้น ถ้าท�ำได้ อย่างน้ี จิตจะตั้งมั่นเร็ว สติจะมาเร็ว ฉะน้ัน จงมักน้อย พูดน้อย กินน้อย แต่ฝึกปฏิบัต ิ 41ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ให้มาก ถามตัวเองว่า ๒๔ ชั่วโมงของท่าน ท่านฝึกวันละกี่ช่ัวโมงและพักผ่อนวันละ กีช่ ่ัวโมง? ในสมัยที่ผู้บรรยายไปบวช ไม่มีใคร มาบอก ผู้บรรยายนอนประมาณ ๔ ชั่วโมง อกี ประมาณ ๒๐ ชว่ั โมงเปน็ งานของจติ  เปน็ เรอ่ื งของการฝกึ จติ ตลอดเวลา เรง่ ความเพยี ร ต่อเน่ือง ในที่สุดจิตมีสมาธิเร็ว เพียง ๗ วัน ก็เข้าอัปปนาสมาธิได้ ฌานต่างๆ ก็เกิดขึ้น วันท ่ี ๙ รูปกับนามแยกให้เห็นชัดเจนเป็นคน ละสว่ น เมอ่ื เราทำ� ถกู ทาง มรรคผลจะเกดิ ขน้ึ เร็ว ฝึกต่อไปอีกไม่นาน เกิดเจโตปริยญาณ คือ รู้ใจคนอื่น เขาไปท�ำอะไรมา เรารู้เรื่อง ของเขาโดยท่ีเขาไม่ได้บอก ฝึกไป...ฝึกไปอีก ไปรู้ภพภูมิหนหลังที่เราเกิดมา ความรู้พิเศษ เหล่านี้เรียกว่า อภิญญา แต่ไม่ใช่ว่าจะเกิด 42 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

กับทุกคน ถ้าใครฝึกแล้วจิตนิ่ง มีความเบา ความสว่าง โดยไม่เห็นอะไรเลย ผู้บรรยาย คิดว่าเป็นการดี ไม่ต้องเสียเวลาไปขจัดสิ่งท่ี ปรากฏขึ้นในดวงจิต เพราะสิ่งที่ปรากฏใน ดวงจิต ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่มีสัมมาทิฏฐิ คอยชแี้ นะ ดไี มด่ เี ราจะหลงได ้ ยกตวั อยา่ งเชน่ ผบู้ รรยายฝกึ ไปๆ แลว้ ไปเหน็ เทวดา ตอนแรก ไม่เชื่อว่าเป็นเทวดา แต่ท่านย้ิมให้ เม่ือสอบ อารมณ์คืนนั้นได้บอกให้ครูบาอาจารย์ทราบ ทา่ นกส็ อนวา่  “คณุ อยา่ ไปเลน่ กบั เทวดา กำ� หนด ให้หายไปซะ” ผูบ้ รรยายได้ทำ� ตามคำ� แนะนำ� โดยไมส่ งสยั  เพราะครบู าอาจารยท์ า่ นสงั่ สอน ให้เราท�ำถูกทาง ไม่อยากให้เสียเวลากับ สิ่งเหล่านั้น ผู้บรรยายจึงก�ำหนดตามท่ีท่าน แนะนำ�  บางครง้ั เกดิ ความคดิ บางอยา่ งปรากฏ ในดวงจิต ผู้บรรยายไม่เคยบอกท่าน แต่ ครูบาอาจารย์ท่านรู้หมดและแก้ได้หมด เรา 43ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

เพยี งท�ำตามอยา่ งเดยี ว สงิ่ ตา่ งๆ ทปี่ รากฏขนึ้ ในจติ ขณะปฏบิ ตั  ิ กรรมฐาน ไม่จ�ำเป็นว่าทุกคนต้องประสบ  เหมอื นกนั  สำ� หรบั คนทฝ่ี กึ จติ นง่ิ มายาวนาน หลายภพหลายชาติในอดีต ก็อาจปรากฏส่ิง เหลา่ นข้ี น้ึ ในดวงจติ ได ้ แตถ่ า้ ไมม่ คี รบู าอาจารย์ ที่ถูกตรง (เช่น ท่านเจ้าคุณโชดกฯ) ผู้ปฏิบัติ ก็อาจหลงได้ง่าย ท�ำให้เสียเวลานาน ครูบา อาจารย์ท่ีดีสามารถน�ำจิตของผู้ปฏิบัติเข้าสู่ วปิ สั สนากรรมฐานได้ ไม่เช่นนนั้ ผ้ปู ฏิบัติอาจ หลงเล่นสมถะ เล่นอภิญญา เสียเวลาไปไม่รู้ เท่าไร ดังนั้น คนท่ีฝึกแล้วไม่เห็นอะไร...นั่น ดีที่สุด แต่ถ้าเห็นอะไร ต้องเรียนถามครูบา อาจารย์ว่า จะก�ำหนดสิ่งที่เห็นให้หายไปได้ อย่างไร ให้เป็นอนัตตาได้อย่างไร เพราะถ้า หลงตดิ สงิ่ เหลา่ นอ้ี ย ู่ วปิ สั สนาญาณยอ่ มไมเ่ กดิ 44 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

๓ ความสปั ปายะ คำ� วา่  “สปั ปายะ” หมายถงึ  เกอ้ื กลู ตอ่   การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม สถานทนี่ คี้ อ่ นขา้ ง สปั ปายะ เหมาะสมแลว้  อากาศไมร่ อ้ น กำ� ลงั เยน็ สบาย ปญั หาเรอ่ื งนไี้ มเ่ ขา้ กระทบจติ  เรา กฝ็ กึ ไดง้ า่ ย อากาศสปั ปายะ สถานทสี่ ปั ปายะ นส้ี ำ� คัญ เป็นข้อท ่ี ๑ การพดู คยุ กต็ อ้ งสปั ปายะเหมอื นกนั  ถา้ ไมจ่ ำ� เปน็ อยา่ ไปเทยี่ วพดู คยุ  สำ� นกั กรรมฐาน บางแห่งมีกฎไม่ให้ผู้ปฏิบัติพูดกัน ๙ วัน กระท่ังวันสุดท้ายจึงอนุญาตให้พูดได้ ต้อง เขม้ งวดเพอ่ื ใหว้ าจาสัปปายะ จะไดเ้ กอ้ื กลู ต่อ การปฏบิ ตั ธิ รรม ขณะทอี่ ยใู่ นสำ� นกั กรรมฐาน ครูส่ังให้ท�ำอะไรแล้วต้องท�ำตาม เมื่อจากครู ไป ตา่ งคนตา่ งอยโู่ ดยไมพ่ ดู กนั  ใหฝ้ กึ ไวต้ ลอด 45ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

ถ้าพูดคุยกัน สติขาด จิตฟุ้ง มรรคผลไม่เกิด ฉะน้ัน เรื่องวาจาต้องสัปปายะด้วย น้ีส�ำคัญ เป็นขอ้ ท ่ี ๒ ข้อท่ี ๓ บุคคลต้องสัปปายะเช่นกัน หมายถงึ ผทู้ เ่ี ขา้ รว่ มฝกึ ดว้ ยกนั  เมอื่ จะทำ� อะไร ระวงั ไมใ่ หไ้ ปรบกวนสมาธขิ องคนอนื่  ในสมยั ท่ีผู้บรรยายฝึกตอนบวชเป็นพระ มีผู้ร่วมฝึก (ทั้งพระและฆราวาส) ประมาณ ๓๐ รูป/คน บางคนสบู บหุ ร ่ี กลน่ิ บหุ รเี่ ขา้ กระทบประสาท ของเรา ท�ำให้จิตไม่ตั้งมั่น สิ่งเหล่าน้ีต้อง เหมาะสม ต้องท�ำให้สัปปายะ ให้เก้ือกูลแก่ การปฏบิ ตั ิ ข้อที่ ๔ อิริยาบถทั้ง ๔ ของท่านสัป- ปายะไหม? เวลาเดิน...มีสติก�ำหนดการเดิน ไหม? หรือเดินไปเร่ือยๆ โดยไม่มีสติก�ำหนด 46 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

ถ้าเป็นอย่างนั้นจิตจะนิ่งยาก ไม่ว่าจะเดิน จะด ู จะพดู  จะทำ� อะไร อริ ยิ าบถของเราตอ้ ง สัปปายะด้วย ท่านเจ้าคุณโชดกฯ สอนผู้ บรรยายอย่างละเอียด แม้กระท่ังจะด่ืมน�้ำก็ ตอ้ งกำ� หนด “ยนื่ มอื หนอ...ยนื่ มอื หนอ...ยนื่ มอื หนอ” พอจะแตะแก้วก็ก�ำหนด “แตะหนอ... แตะหนอ...แตะหนอ, จบั หนอ...จบั หนอ, ยกขน้ึ หนอ...ยกขน้ึ หนอ, เอาเขา้ มาหนอ...เอาเขา้ มา หนอ, แตะ (ริมฝีปาก) หนอ, ดื่มหนอ...ด่ืม หนอฯ” ต้องก�ำหนดตลอด ฉะนั้น เราต้อง กำ� หนดอริ ยิ าบถตา่ งๆ อยา่ งทท่ี า่ นสอน จะยนื จะเดิน “ซ้าย-ยา่ ง-หนอ, ขวา-ยา่ ง-หนอ, หัน หนอ...หันหนอ” จิตต้องตามระลึกรู้ทัน น่ีคือ อิริยาบถสัปปายะ ท่านก�ำหนดสติหรือไม่? หรือว่าอยากจะหันก็หันเลย อยากจะลุกก็ลุก ขน้ึ เลย อยากจะพดู กพ็ ดู เลย? ไมก่ ำ� หนดใหม้ ี สตกิ ำ� กบั  ถา้ เปน็ อยา่ งนน้ั จติ จะนงิ่ ยาก เพราะ ฉะนนั้  ทกุ อิริยาบถต้องสปั ปายะด้วย 47 ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร

๔การเรง่ ความเพียร ทา่ นมเี วลา ๒๔ ชวั่ โมงเทา่ กบั ผบู้ รรยาย ในฐานะทท่ี า่ นก�ำลงั ฝกึ ปฏบิ ตั ิ ถามวา่ ในรอบ ๒๔ ชว่ั โมง ทา่ นใชเ้ วลาไปกบั การนอนเทา่ ไร? ใช้เวลาปฏิบัติเท่าไร? ร่างกายของฆราวาส ท่ัวไป นอนเพียง ๔ ชั่วโมงก็พอแล้ว เพราะ เมอ่ื จติ เปน็ สมาธ ิ พลงั งานจะถกู ชดเชยเขา้ มา เรว็  โดยปกตขิ องคนทว่ั ไปในแตล่ ะวนั  พลงั งาน จะพรอ่ งไปจากการปรงุ แตง่ อารมณ์ จากการ เคลอื่ นไหวของอวยั วะตา่ งๆ จากการไหลเวยี น ของเลือด ทุกกิจกรรมต้องมีการสูญเสียพลัง งานทั้งนั้น ตาเห็นรูปก็สูญเสียพลังงาน หู ได้ยินเสียงก็สูญเสียพลังงาน พูด คิด ท�ำ อะไรต่างๆ ตอ้ งเสียพลังงานทง้ั ส้ิน 48 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น

แตเ่ มอ่ื เรามาปฏบิ ตั .ิ ..กำ� หนด...ภาวนา  ส่ิงบางอย่างที่ไม่จ�ำเป็นก็ตัดออกไป ถ้า  ไมเ่ หน็ ไดย้ งิ่ ด ี ไมไ่ ดย้ นิ ไดย้ งิ่ ด ี ไมพ่ ดู ไดย้ งิ่ ดี  อารมณจ์ ะนอ้ ยลง พลงั งานจะถกู อนรุ กั ษไ์ ว ้ ในรา่ งกาย ทำ� ใหร้ า่ งกายมพี ลงั งานเหลอื อยู่ มาก สามารถนอนน้อยชั่วโมงได้ นอนเด๋ียว เดยี วพลงั งานกเ็ ตม็ แลว้  ถา้ เปน็ ฆราวาสนอนแค่ ๔ ชว่ั โมงกพ็ อ เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผบู้ รรยาย นอน ๔ ช่ัวโมง เดี๋ยวนี้ยังนอน ๔ ช่ัวโมง เหมือนเดิม ตื่นนอนเมื่อไรท�ำงานเม่ือน้ัน ตลอดทั้งวันเป็นเร่ืองของงาน ท�ำงานโดยมี สตกิ ำ� กบั  ต ี ๑ ต ี ๒ ตนื่ ขนึ้ ทำ� งานตลอด...ไม่ ไดน้ อน เอาไวเ้ ปน็ ยามเฝา้ บา้ นด ี คนอนื่ หลบั แต่ผู้บรรยายตนื่ ขึ้นมาท�ำโนน่ ทำ� นี่ เพราะจิต พกั ผอ่ นเพยี งพอ พลงั งานเตม็ แลว้  ไมง่ ว่ งเหงา หาวนอน ทำ� งานไดย้ าวนาน 49ด ร .  ส น อ ง  ว   ร อ ุ ไ ร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook