2 กศุ โลบาย พระธรรมเทศนา พระอาจารยเ์ จฟฟรีย์ (พระภาวนาวิธานปรีชา) ธรรมบรรณาการ วัดเมตตาวนาราม
3 ไม่ตอ้ งอยู่ ไมต่ ้องไป ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖ ท่เี รามาทำจิตใจของเราให้สงบก็เพื่อจะให้เกิดความรู้ จะให้รอู้ ะไร จะไดร้ ู้ ความเคลอื่ นไหวของจิต แล้วจะแยกออกวา่ เคลอื่ นแบบไหนทจ่ี ะสรา้ งทุกข์ เคลอื่ นแบบไหนทจ่ี ะสรา้ งความสุขขนึ้ มา และความสุขทสี่ รา้ งขึน้ มานน้ั ยังมีความ ทกุ ข์แฝงอยหู่ รือเปลา่ อนั น้ีตอ้ งดูใหล้ ะเอยี ด การท่ีจะดูออก ใจของเรากต็ อ้ งตัง้ มนั่ เราอยกู่ บั ลมกใ็ ห้ตงั้ อยกู่ บั ลม เราอยกู่ บั ผรู้ ูก้ ใ็ หต้ ้ังกับผูร้ ู้ แล้วแต่วา่ จติ ใจของ เราจะสงบท่ีสดุ กับอารมณ์อะไรบ้าง เร่มิ แรกก็ตอ้ งใชล้ มก่อน เพราะเป็นสง่ิ ทเ่ี หน็ ได้ชัดกว่า แต่เวลาดลู ม ไมใ่ ช่ดลู ม อย่างเดยี ว ก็ดูใจไปในตัวด้วย ท่านบอกวา่ ลมนเ่ี หมอื นกระจกสอ่ งหนา้ ถ้าลม ราบเรียบดี ใจของเราเคล่อื นไหวแบบไหน เราจะไดเ้ หน็ ชัด ถา้ ลมไม่ปกติ จะมอง ไมค่ อ่ ยเห็น เพราะฉะนนั้ ตอ้ งพยายามทำลมใหป้ กติ ใหธ้ าตุลมเดินทั่วตัว ตรงไหน ทแ่ี ล่นไมด่ ี เรากค็ อ่ ยๆ เปิดชอ่ งทางให้ทะลไุ ปเลย จนออกทุกขุมขน รอบตัวเรา หมดเลย พอเราพิจารณาลมแบบน้ีได้ กจ็ ะมปี ัญญาอย่ใู นตวั ดว้ ย บางคร้ังทล่ี มเดินไมด่ ี ก็เป็นเพราะความไม่สมดลุ ของธาตุ บางครง้ั ก็จะเปน็ เพราะสญั ญาในจติ ใจของเรา ท่วี าดภาพในตวั เองว่า ลมเดนิ ตรงไหน เดนิ ได้ เดิน ไมไ่ ด้ ตอ้ งถามวา่ ทวี่ า่ วาดภาพนนั้ ดที สี่ ดุ ไหม เราวาดภาพอ่ืนไดไ้ หม ทีจ่ ะให้ลม ของเราเดินดีกว่านั้น กต็ อ้ งดูทั้งสองดา้ น ดา้ นของธาตอุ ยา่ งหนงึ่ ตรงไหนทธ่ี าตผุ ดิ ปกติ ไม่สมดลุ เราจะทำอยา่ งไรที่จะ ใหเ้ กดิ สมดุลข้ึนมา อีกดา้ นหนงึ่ คอื ด้านของสญั ญา ลมเข้าตรงไหน ออกตรงไหน ใจจะวาดภาพบอก กส็ ังเกตดขู องท่านพอ่ ใหญ่นะ ทา่ นจะพูดถงึ การเดนิ ของลมใน ตวั เรา ทจ่ี ริงลมเดนิ ไดห้ ลายอยา่ ง บางคร้ังท่านจะพูดถึงว่าลมท่ีเดินจากทา้ ยทอย ลงกระดกู สนั หลงั ออกถงึ ฝ่าเทา้ บางครง้ั ทา่ นจะพดู ถงึ ลมทเ่ี ข้ามาทางฝา่ เทา้ ข้ึนมา ทางกระดูกสนั หลงั กแ็ ล้วแตร่ า่ งกายจะขาดอะไร จะตอ้ งการอะไร ทำอยา่ งไรจึง จะสมบูรณข์ ้นึ มา สมดลุ ข้นึ มา นี่เกยี่ วกบั ธาตดุ ้วย เกีย่ วกับสญั ญาของเราดว้ ย ถา้ ไดส้ ญั ญาทีด่ ี ธาตุกส็ มดุล ลมก็จะค่อย ๆ ละเอยี ดลงไปๆ จนกระท่ังนิ่ง พอ ลมนงิ่ ความรสู้ กึ ในรูปก็จะคอ่ ยๆ กลายเป็นเหมอื นละออง เป็นจดุ เลก็ ๆ เหมือนมี
4 เมฆน่งั อยตู่ รงน้ี ไมใ่ ชร่ ปู กาย แลว้ ดูความวา่ งทอ่ี ยูใ่ นระหวา่ งจดุ เล็กๆ นน้ั ใจของ เรากจ็ ะถงึ อากาศธาตุ ไล่ลงไปถงึ ตวั รู้ ตัวร้กู ม็ หี ลายชั้น เราคอ่ ยๆ พจิ ารณาของเราไป ท่ีมนั รู้ๆๆ อยนู่ ัน่ แหละ ท่าน พ่อเฟอื่ งเคยบอกไว้ว่า ถา้ รู้จริงๆ จนเปน็ หนงึ่ จริงๆ ท่านบอกวา่ ใหว้ างอาการของ ความเป็นหนงึ่ แลว้ ดวู า่ จะเปน็ อย่างไร ก็ไล่ลงไปจนถึงท่สี ดุ ของความสงบ เราก็ รักษาไว้ แลว้ คอยตัง้ ข้อสงั เกตวา่ ทสี่ งบทส่ี ดุ นั้นยังมอี ะไรเคลอ่ื นไหวไหม ความสุข ของเรายังข้ึนๆ ลงๆ ไหม ความทุกข์ขนึ้ ลงไหม แต่ในการขึ้นการลงตอ้ งถามวา่ อะไรเคลอ่ื นไหวในจติ ใจของเราพรอ้ มกับทมี่ ันขน้ึ พร้อมกบั ที่มันลง ใหพ้ ยายาม จบั ตรงน้นั นะ ตรงนั้นแหละที่เราจะตอ้ งละ ทีน้ี ละ กม็ ีหลายอย่าง ละแบบสู่ความสงบของสมาธอิ กี ขัน้ หนงึ่ กม็ ี คอื ใจของ เราจะเลอื กวา่ จะอยูต่ รงนี้ หรือจะไปตรงโนน้ ตรงโนน้ กอ็ กี ระดับหนึ่งของสมาธิท่ี สงบกวา่ เรากไ็ ปตรงโนน้ อีกแบบหนงึ่ มันไม่ไปและกไ็ มอ่ ยู่ ตรงนอี้ ธบิ ายยาก แต่เมอ่ื เราเห็นวา่ จะไปกม็ ี ทุกข์ จะอยูก่ ม็ ที ุกข์ แลว้ จะทำอยา่ งไร คือต้องออกจากอาการที่จะตอ้ งไปและ อาการทตี่ อ้ งอยูน่ น่ั แหละ พยายามดูจดุ น้ีใหม้ ากทีส่ ุด ความพเิ ศษทั้งหลายก็อยู่ ตรงนแี้ หละ แต่ทส่ี ำคัญความสงบของเราจะตอ้ งต้งั มั่นจริงๆ จงึ จะเห็นสิง่ ละเอยี ด เหลา่ น้ไี ด้ เพราะฉะนน้ั เวลาอยกู่ ับครบู าอาจารย์ ทงั้ ทา่ นพ่อเฟ่ืองดว้ ย ท้ังหลวงปสู่ ุวจั น์ ด้วย ทา่ นจะเนน้ เรอื่ งสมาธิใหม้ ากที่สดุ สว่ นเรอื่ งปญั ญานน้ั คนเราก็พดู กันได้ อ่านหนงั สอื แล้วกต็ คี วามได้ แต่จะใหม้ อี ำนาจพเิ ศษขนึ้ อยใู่ นตัวของเรา ใจของเรา ต้องต้ังม่นั เพราะสิ่งเหลา่ น้ีเวลาปรากฏขึ้นมาจรงิ ๆ เปน็ ของละเอยี ดมาก ฉะนน้ั พยายามรักษาอารมณข์ องเราไว้ ยืน เดิน นัง่ นอน พูดคยุ กนั อะไรกัน กพ็ ยายาม รักษาอารมณข์ องเราไว้ และนึกถงึ คำสอนของทา่ นพ่อ คำทท่ี ่านใชม้ ากทสี่ ดุ ๒ คำ คอื หน่งึ ใช้ความสงั เกต สอง ใช้ปฏภิ าณ พลิกแพลงแกไ้ ข กลบั หน้ากลบั หลัง ปัญญาของเราจะเกดิ อยู่ตรงน้ี จากนใี้ หภ้ าวนาต่อ
5 เมตตญั จะ สัพพโลกสั มงิ ๒๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๖ การเจริญเมตตาเปน็ สว่ นสำคญั ของมรรคของเรา อยใู่ นองค์ สมั มาสังกปั โป ความดำรชิ อบ ว่าจะไมพ่ ยาบาทใคร จะหวงั ดีกบั สรรพสตั วท์ ั้งหลาย แตค่ วามหวงั ดีนี้ ความเป็นมิตรนี้ ท่านบอกวา่ ต้องรกั ษาเหมอื นแม่รักษาลกู ทีเดียว ต้องดแู ล ตลอดเวลา ไมว่ ่าใครจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร เราก็ต้องเมตตาเขา ครูบาอาจารย์ทา่ นกแ็ นะนำ อย่างหลวงปูม่ น่ั ทำเป็นตวั อย่าง เช้าขึ้นมา ต่ืนแต่ เช้ามืดเลย ทา่ นก็แผเ่ มตตาใหส้ รรพสัตวท์ ้งั หลาย ต่ืนจากพักกลางวนั ท่านก็แผ่ เมตตาอกี คร้ังหนึง่ ก่อนทีจ่ ะเข้าจำวัดกลางคืนทา่ นก็แผ่เมตตาอีกครั้งหนงึ่ เปน็ อนั ว่า วนั ละสามครงั้ เพอ่ื ระลึกถึงวา่ ทีเ่ ราภาวนาน้ี ทเ่ี ราปฏิบัตนิ เี้ พอื่ อะไร ก็ เพอ่ื ความสุข ความสขุ ทไ่ี มเ่ บยี ดเบียนใครท้งั นน้ั ทจ่ี ะใหก้ ารปฏบิ ัติอยใู่ นร่องรอย เราก็ต้องรักษาเมตตาน้ตี ลอดเวลา เหมอื น แม่รักษาลกู จะทิ้งลูกไวใ้ หอ้ ยู่คนเดยี วกไ็ ม่ได้ เดยี๋ วลกู กไ็ ปตกบา้ นบา้ ง อะไรบ้าง เกดิ เปน็ อนั ตรายอะไรขน้ึ มา ตอ้ งคอยดแู ลตลอดเวลา ไมม่ ียกเว้นเลย คือจติ ใจ ของเราถา้ รกั ษาเมตตาไม่ไดต้ ลอด กไ็ วใ้ จตวั เองไม่ได้ คนนน้ั ก็พูดอยา่ งน้ี คนนนั้ ก็ ทำอยา่ งนั้น แลว้ ใจเราฟดึ ฟดั ข้นึ มา ทำอะไร พดู อะไร ท่เี ป็นกรรมไม่ดขี ้นึ มา ก็ เปน็ การทำลายตัวเอง เมตตานี้เป็นเหตุใหเ้ กดิ สมาธิกไ็ ด้ หรอื ใช้สมาธชิ ่วยเมตตาด้วยอกี ทหี นง่ึ ก็ได้ อย่างหลวงปสู่ วุ จั น์ทา่ นบอกไว้ ก่อนท่ีจะภาวนาตอ้ งแผ่เมตตา อยา่ งทเ่ี ราสวดเมอื่ กี้ เพ่ืออะไร เพอื่ ใคร กเ็ พ่ือเรานแ่ี หละ เพอ่ื รักษาจิตใจของเรา เหมอื นลา้ งหน้า ลา้ งตากอ่ นท่จี ะภาวนา ใครพูดอะไร ทำอะไรในวนั ท่ผี า่ นมา เราก็ไม่ถอื โทษอะไร เลย เราเตรยี มใจเอาไว้เพอ่ื ใหใ้ จของเราสงบลงได้ ถ้าหากว่าเรานงั่ ภาวนานี่ คนนนั้ กโ็ ผลข่ ้ึนมา คนนก้ี โ็ ผล่ข้ึนมาในจิตใจของเรา อนั ดบั แรกก็ต้องแผ่เมตตาทันทีเลย เรยี กว่าเพอ่ื รักษาสภาพจิตใจของเราในขณะที่ จะนงั่ ภาวนา เม่อื นง่ั เสรจ็ แลว้ ท่านกบ็ อกวา่ ใหแ้ ผเ่ มตตาอกี คร้งั หนึ่ง อันนเี้ พอื่ เขา อย่างที่ ทา่ นพอ่ ลีเคยบอกไว้ ถา้ เราไมม่ ีความสุข กเ็ หมอื นถงั นำ้ ทีไ่ มม่ นี ำ้ เปดิ ก๊อกก็มีแต่ ลมออกมา ความเยน็ ของลมก็มอี ยูบ่ ้าง แตไ่ มเ่ หมือนความเยน็ ของนำ้ แต่ถ้าหาก วา่ เรามคี วามสขุ แลว้ เปดิ ก๊อกก็จะไดน้ ้ำเยน็ ทนั ที
6 จติ ใจของเรากเ็ ชน่ เดียวกนั ทีเ่ รานัง่ ภาวนาน้ีก็ปรับปรงุ ความสขุ ของเรา ให้ จิตใจของเราอม่ิ หนำสำราญเหมอื นกินขา้ ว นอนพกั ผอ่ น จติ ใจของเราเม่อื มี ความสุขแลว้ จะคดิ เมตตาใคร ก็มกี ำลังทจ่ี ะคดิ เพราะฉะน้ันเมอื่ เราออกจาก ภาวนาเรากแ็ ผเ่ มตตาใหเ้ ขา เพ่อื เขา ขอให้เขามคี วามสุขจรงิ ๆ คนไหนมี เครื่องรับดี เขากจ็ ะได้รบั กระแสแห่งจิตใจทเี่ ยอื กเยน็ ของเราที่แผ่ออกไป และไมใ่ ช่เฉพาะเวลานงั่ ภาวนา เราก็พยายามรกั ษาสตินี้ไวต้ ลอดวัน ท่านกเ็ รียกเมตตาวา่ เปน็ สตชิ นิดหนง่ึ นะ เราต้องระลึกอยู่เสมอว่า ต้องมี เมตตากับคนทกุ คน สตั ว์ทุกตวั ไมว่ ่าใครๆ เขาจะพดู อะไร ทำอะไร เรากร็ ะลึกอยู่ เสมอ และตอ้ งมสี ัมปชัญญะด้วย เราตั้งใจไว้ในเร่ืองอะไร ทา่ นบอกวา่ ตอ้ ง พยายามระลกึ ถงึ และรคู้ วามต้ังใจของเรา อย่าให้ลมื อยา่ ใหเ้ ผลอ และก็ดูการ กระทำของเราวา่ จะเป็นไปตามทีเ่ ราตั้งใจหรือไม่ นนั่ เปน็ หน้าท่ขี องสมั ปชัญญะ รวมแลว้ ก็มีคณุ ธรรมท้ัง ๓ ขอ้ คอื สติ สมั ปชัญญะ อาตัปปะ ความเพยี รเพง่ คือพยายามสรา้ งความดีให้ดยี ่งิ ๆ ขึ้นไป ไมว่ ่าอารมณ์อะไรที่จะเกิดขน้ึ มา เรา ไมใ่ หอ้ ารมณ์เปน็ ใหญ่ เราเอาเมตตานี้เป็นใหญ่ เพ่อื เราจะไดไ้ ว้ใจตวั เอง กาย วาจา ใจของเราจะไมท่ ำอะไรทเ่ี ป็นโทษ เรยี กวา่ ทำเพื่อเราและเพ่ือเขาด้วย ถ้าเรารักษาสติแบบนไ้ี ว้ มีสัมปชญั ญะรอู้ ย่ตู ลอดเวลา วา่ น่ีเป็นความต้งั ใจของ เราจริงๆ การภาวนาของเราจะไดม้ เี คร่ืองรองรบั ที่ม่ันคง และเป็นอาหารเลย้ี ง จิตใจของเราให้มกี ำลงั ทจ่ี ะทำความดีใหด้ ีย่งิ ๆ ขึ้นไปดว้ ย ไม่ใช่ดธี รรมดานะ เมตตาท่ไี มม่ ีประมาณนเี้ ปน็ พรหมวิหาร คอื เปน็ เคร่ืองอยู่ของพรหม เรายกระดับ จิตใจของเราอยรู่ ะดบั ไหน ระดับพรหมนน่ั นะ ใหอ้ ยเู่ หนอื โลกมนษุ ยท์ ่เี ราอยูท่ กุ วนั น้ี การภาวนาของเราจงึ จะเปน็ ทีไ่ ว้วางใจของตัวเองได้ ทอ่ี นุ่ ใจของตัวเองได้
7 ส่งิ แวดล้อมของใจ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๖ เรามาภาวนาท่ีวัด เปน็ ที่สัปปายะ บางทีไม่ตอ้ งทำอะไรมากๆ นั่งกำหนดลม แลว้ ใจกอ็ ย่เู ลย ทีนี้ปญั หาอยทู่ วี่ า่ เราจะอยู่วัดตลอดเวลาไมไ่ ด้ แลว้ จะทำอยา่ งไร เราจะเอาวัดตดิ ตัวไปไมไ่ ด้ แตว่ า่ น่ีพูดถงึ วดั ภายนอก แตว่ ัตรภายใน วชิ าท่ีเราฝึก อยนู่ ี่ เอาติดตัวไปได้ เคยมคี นมาถามวา่ ภาวนาทไี่ หนดีทสี่ ุด ที่ดีท่สี ดุ ก็ตรงที่เราอย่ใู นขณะนนั้ จะ รอให้ภาวนาทน่ี ่นู ภาวนาทน่ี ี่ถงึ จะดี ก็ไมท่ นั กนิ บางทตี ายก่อนก็มี ฉะนน้ั ตอ้ งพยายามรูจ้ กั วิธีรกั ษาสงิ่ แวดลอ้ มภายในจติ ใจของเรา สิ่งแวดลอ้ ม ภายนอกน้นั เป็นเรอ่ื งของโลกเขา แตเ่ รอื่ งทเ่ี ราจะสนใจ ไมส่ นใจ ที่จะรบั รู้ ไมร่ ับรู้ เรือ่ งท่จี ะยึด ทจ่ี ะปล่อยวาง นั่นละเรียกวา่ สรา้ งสิ่งแวดลอ้ มภายในจติ ใจใหต้ วั เอง เพราะฉะนั้นตอ้ งฝึกวิชาให้ดใี นขณะทอี่ ยทู่ ่ีน่ี และรูจ้ กั รกั ษาปอ้ งกันวชิ าของเราไว้ เวลาออกจากนีไ้ ป ทา่ นบอกวา่ มีหลกั ใหญๆ่ ๕ ข้อ ข้อหน่งึ คือ ศลี ของเราต้องบริสทุ ธิ์ เพราะศีลน้ี ถ้าเรารักษาให้ดี จะเปน็ วิธีที่ จะสร้างสตขิ องเราใหม้ น่ั คงขึ้นมา สติตอ้ งระลกึ อยเู่ สมอว่า เรากำลงั รักษาศีลขอ้ น้นั ข้อนอ้ี ยู่ แลว้ เราตอ้ งใช้ สัมปชญั ญะ ความรตู้ ัววา่ ในขณะนเี้ รากำลงั ทำผิดศลี ของเราหรอื เปลา่ ทา่ นพอ่ เฟอื่ งเคยมลี ูกศษิ ยค์ นหนง่ึ ไปวดั ครงั้ แรก กต็ ั้งใจถือศลี ๘ แต่ตอน บ่ายๆ เดินตามทางทอี่ อกจากครัว กเ็ ห็นมีต้นฝรงั่ เหน็ ลกู ฝรั่งดหู นา้ กิน กเ็ ลย ปั๊บ ...เขา้ ปากเลย น่ขี นาดบา่ ยโมงแล้ว พอดที ่านพอ่ เหน็ กท็ กั ทันที “ไหน อะไรอยูใ่ น ปาก” ศิษยค์ นนัน้ นกึ ขนึ้ ไดว้ า่ จะรกั ษาศีล ๘ กเ็ ลยสะดุ้ง “ตายละ ศลี ของเรา ขาด” เพราะอะไร เพราะสติขาด สมั ปชัญญะไมม่ กี บั เนือ้ กบั ตัว ท่านพ่อจงึ ปลอบใจ บอกวา่ ให้รักษาศีลขอ้ เดยี วก็แล้วกัน คอื รักษาจติ ใจของเรา ก็ หมายความวา่ ให้รกั ษาสติของเรานี่แหละ สติ สมั ปชญั ญะทเ่ี ราฝึกอยูใ่ นการรักษา ศีลนนั้ จะเอามาใช้ในการภาวนาดว้ ย แลว้ ชวี ติ ของเราก็จะราบร่ืนขึน้ มา เรื่อง ทั้งหลายแหลท่ ่จี ะมารบกวนจติ ใจของเราก็นอ้ ยลง สิง่ แวดลอ้ มขอ้ ทีส่ อง การสำรวมอนิ ทรยี ์ เราอยใู่ นโลก เขาจะมเี ครอื่ งลอ่ ใจ ของเราอย่ตู ลอดเวลา เราก็ตอ้ งมวี ชิ าตัด เพราะเขากจ็ ะลอ่ จติ ใจของเราออกไป
8 ทางโน้น ทางน้ี เรากต็ ดั ๆๆ อย่างท่ีเราพิจารณาอาการ ๓๒ จะช่วยไดเ้ ยอะ เห็น เขาสวย เห็นเขางาม เขาแตง่ หน้าแตง่ ตา แตง่ อะไร ก็นึกขึ้นมา นี่ธรรมชาติไม่ใช่ อย่างนน้ั ขา้ งนอกอาจจะสวยอยู่ แตข่ ้างในเปน็ อะไร กเ็ หมือนกับห้องสว้ มน่ันละ ขา้ งนอกเราแต่งให้สวยทสี่ ุด มเี ครื่องสุขภณั ฑ์ โอโ้ ฮ สวยงาม แตข่ ้างในบอ่ ส้วมมี อะไร กม็ แี ตข่ ้ี ถ้าเรามสี ติ ก็จะรักษาตรงทจี่ ติ ใจของเรา คือตาอยา่ งเดียวมองไม่ เหน็ ตวั จิตเปน็ ตวั การตา่ งหาก จึงต้องแกท้ จี่ ิต เราตอ้ งใชส้ ตขิ องเราด้วย ใชป้ ัญญา ของเราด้วย รักษาสง่ิ แวดลอ้ มภายในจิตใจของเรา ขอ้ ทส่ี าม ทา่ นให้เปน็ คนพดู นอ้ ย อยา่ งเวลาอยกู่ บั ท่านพ่อ ทา่ นบอกวา่ ให้ต้ัง กติกากบั ตวั เองวา่ คำไหนทีเ่ ราจะพูดก็ถามตัวเองก่อนว่า ทพี่ ดู น่จี ำเปน็ ไหม ถ้าไม่ จำเป็นอย่าไปพดู มนั ถา้ หากวา่ เรารกั ษาปากของเจ้าของไมไ่ ด้ จะรักษาจิตใจของ เราได้อย่างไร และอีกอย่างหนึง่ ถา้ พูดโดยไมม่ จี ุดหมายปลายทาง นกึ อยากพูดก็ พูดออกไป เดี๋ยวก็สรา้ งปญั หาให้ตัวเองแนน่ อน ฉะนั้น ก่อนทจ่ี ะพดู เราก็ต้องรู้วา่ เรามจี ดุ ประสงคอ์ ยา่ งไรในการพูด กฎของพระพุทธเจา้ ในการสำรวมคำพูดน้นั มอี ยู่ ๓ ขอ้ ดว้ ยกัน คอื (๑) ตอ้ งเปน็ เรอื่ งจรงิ (๒) ต้องเป็นเรอื่ งท่เี ป็นประโยชน์ (๓) ตอ้ งถกู กาลเทศะ กวา่ จะกลนั่ กวา่ จะกรองแตล่ ะคำๆ บางคนกก็ ลวั ชา้ ไม่ทันเขา แตก่ ารไมพ่ ูด นนั่ แหละ ดีกวา่ พดู ออกไปแลว้ เสยี ดายในภายหลงั และถ้าหากวา่ เราเหน็ เรือ่ งที่ จะพดู น่ี มันนอ้ ยลงๆ จติ ใจของเรากเ็ บาข้ึนมา วจสี งั ขารทร่ี กอยใู่ นจติ ใจของเราก็ จะคอ่ ยๆ ถกู ถางไปๆ โลง่ ขึน้ มา ขอ้ ท่ีส่ี เรากพ็ ยายามหาวิเวกตามสมควรของเรา ถ้าวเิ วกทางกายไมไ่ ด้ อย่าง น้อยก็ให้วิเวกทางจิตใจของเรากแ็ ล้วกัน วเิ วกทางจติ ใจเป็นอย่างไร ตณั หาเกิด ขึ้นมา อยากน่นู อยากน่ี เราอย่าไปคุยกับมันนะ อย่าไปถอื วา่ เปน็ มติ ร อย่างหลวง ปสู่ ุวจั น์เคยพดู อย่เู สมอวา่ คนเราเข้าใจผิด เหน็ ว่าทุกขเ์ ปน็ ศัตรู เห็นตณั หาเปน็ มติ ร ท่จี รงิ มันกลบั กัน ทุกขน์ ่ันแหละเปน็ มติ รของเรา เขาทำใหเ้ ราเกิดปัญญา ข้นึ มาได้ ส่วนตณั หา สิ่งทเ่ี ราชอบน่นู ชอบนี่ เหน็ วา่ น่ารกั นา่ เอน็ ดู นน่ั ละจะทำให้ เราตาย ฉะนนั้ เวลาอยูก่ ันหลายๆคน ถา้ หากวา่ เราตดั คนคนนี้ภายใน คนทีค่ อย กระซบิ กระซาบอย่ใู นจิตใจของเรา ว่าน่ันน่าเอา วา่ น่นี า่ เอานะ อย่าไปเลน่ กบั มนั
9 นัน่ แหละใจเราจะวิเวกขึน้ มา นงั่ อยู่บนเคร่ืองบนิ ยังวิเวกอยู่ อย่ใู นสนามบนิ อย่ทู ่ี สถานรี ถเมล์ คนไปคนมา แตใ่ จของเรายังวเิ วกอยู่นั่นละ ข้อทีห่ า้ ทำความเหน็ ให้ตรง ใหถ้ ูกต้อง ใหเ้ ห็นว่าเรอื่ งท่ีสำคญั ท่ีสุดในชวี ิต ของเรา คอื ทกุ ขท์ ใี่ จเรากำลังสร้างขนึ้ มา กค็ ดิ ดซู ิวา่ ทกุ สงิ่ ทุกอย่างทีเ่ ราทำ ทเ่ี รา พดู ที่เราคดิ นั้น กเ็ พอ่ื ความสขุ ทั้งน้นั แต่ทำไมเราจงึ สรา้ งความทุกข์ขน้ึ มาจนได้ ก็ เพราะเราไมร่ ู้ แต่เรากลบั ไปโทษคนน้ัน โทษเรอ่ื งภายนอกน่ันละ คนน้ันไมด่ ี คนน้ี ไมด่ ี เขาควรจะแก้ไขเขา นัน่ ละ เห็นผดิ ทางทถี่ ูก คือให้กลบั มาแก้ไขเจ้าของกอ่ น ตรงไหนทท่ี ุกข์ข้นึ มาก็จเ้ี ข้าไป เหตแุ หง่ ทุกขก์ ็อย่ตู รงน้ันละ นีส่ ำคญั ทส่ี ุด อยา่ งทา่ นพ่อเคยบอกวา่ เวลาทำงานอะไรอยู่ ถ้าสังเกตเห็นวา่ จติ ใจของเราไมด่ ี ก็ให้หยุดทนั ทเี ลย ดูจติ ของเจา้ ของใหป้ กตขิ ้นึ มา แลว้ จึงค่อย ทำงานตอ่ ไป งานของจติ ใจของเราให้ถือว่าเปน็ งานอันดบั แรก น่ี เรยี กวา่ สร้างสิ่งแวดลอ้ มใหจ้ ติ ใจของเรา ไมว่ า่ จะอยู่วัด จะอย่บู ้าน อย่ทู ี่ ไหนๆ คอื ส่ิงแวดลอ้ มจากภายนอกท้ังหลายแหล่ มันเป็นเพียงแต่วา่ วัตถดุ ิบของ เรา ไอท้ ่ีเราสร้างสิง่ แวดลอ้ มในจติ ใจของเรานแ่ี หละเป็นกิจกรรมของเรา ฉะนน้ั ให้ร้จู กั สรา้ งให้มันดี ใหม้ ีหลกั อยเู่ สมอ ท่านบอกว่าจิตใจของเรา เหมือนสตั ว์ ๖ ตวั มลี งิ ตัวหน่งึ มีนกตวั หนง่ึ มหี มา ตัวหนึง่ มหี มาไนตัวหนงึ่ มีงูตวั หนง่ึ มจี ระเขต้ ัวหนึง่ แต่ละตวั เขากล็ า่ มไว้กับโซ่ เอาผูกกนั ไว้ ถา้ หากว่าไมไ่ ดผ้ กู ไวก้ ับหลกั ท่ปี ักลงไปในดนิ ตวั ไหนทแี่ ขง็ แรงกว่า เพ่อื นกจ็ ะลากตวั อนื่ ๆ ไปในทางของเขา เชน่ นกก็อยากจะขนึ้ ไปอยบู่ นฟ้า หมา อยากจะเขา้ ไปในหมู่บ้าน จระเขอ้ ยากจะลงไปในแมน่ ำ้ ลงิ ก็อยากไปเทย่ี วเรร่ อ่ น ไปตามตน้ ไม้ ทนี ีต้ วั ไหนแขง็ แรงกว่าเพอื่ นกล็ ากกนั ไปหมดเลย หมายความวา่ เรา เหน็ อะไร หรือไดย้ ินอะไร ได้รับรสอะไร ใจก็ไปตามน้ันละ ถา้ ไมม่ หี ลกั นะ หลักคืออะไร หลักกค็ ือลมหายใจเรานลี่ ะ เอาโซท่ ี่ล่ามสัตวเ์ หลา่ นนั้ ใหผ้ ูกไวก้ ับ หลัก มนั จะดงึ แค่ไหน ถา้ หลกั ของเราแน่น ผลสดุ ท้าย สตั วท์ ง้ั ๖ ตวั กต็ ้องมอบ อยู่ที่หลกั ไปไหนไม่ได้ ไม่ได้สรา้ งความเดอื ดรอ้ นใหใ้ ครๆ หลกั ใจคืออะไร กค็ อื เรอื่ งลม ถา้ รจู้ กั แตง่ ใจเรากเ็ พลินอยู่กบั ลมในปจั จบุ ัน น่ัง อยบู่ นเครอ่ื งบินเราก็แต่งลมอยูต่ ามแขนตามขา ทำอะไรต่างๆ นง่ั อยู่ทไ่ี หน ไปที่ ไหน ลมของเราไปดว้ ย เราก็ใช้รักษา ตรงไหนทม่ี ที ุกขเวทนากแ็ ผล่ มลงไปทะลทุ ี่ น่ัน เราก็เพลินดว้ ย แลว้ ก็มีหลกั ม่ันคงขนึ้ มาด้วย เรียกวา่ ไมไ่ ด้ท้ิงหลกั วิชาของเรา ไม่ว่าเวลาไหน
10 เคยมอี ยคู่ รั้งหนึง่ ทา่ นพอ่ เทศน์ ตอนน้ันไปอยู่วดั อโศฯ ทา่ นบอกว่า คนเรา ส่วนมากมกี าลมเี วลา มเี วลาพดู เวลาคิด เวลากนิ ขา้ ว เวลานอน ชวี ติ ของเราก็ถกู ห่นั ไปเปน็ กาลเวลาชน้ิ เล็กช้นิ นอ้ ย มเี วลาเหลอื ทีจ่ ะภาวนาไม่เท่าไหร่ แต่ถา้ หาก วา่ เราถอื วา่ ทุกเวลา ไมว่ า่ จะทำอะไรก็เปน็ เวลาภาวนาท้ังนั้น น่ังกนิ ขา้ วอยู่ ทำ ความสะอาดอยู่ ขับรถไป ไปทไ่ี หนๆ กเ็ ป็นเวลาภาวนาทั้งนนั้ แหละ ตราบใดที่ใจ ของเรายงั มคี วามรู้อยู่ ลมยงั มีเขา้ มีออกอยู่ ก็เปน็ เวลาทเี่ ราภาวนาได้ ถ้าคดิ อยา่ ง นี้ได้ ทกุ เวลาก็เปน็ เวลาภาวนา ทกุ สถานทเ่ี ป็นสถานที่ภาวนา การปฏบิ ัติของเรา จะไดเ้ ป็น อกาลิโก บา้ ง คือไมจ่ ำกัดกาลเวลา นนั่ แหละการภาวนาของเราจงึ จะมโี อกาสเจรญิ กา้ วหน้า ถงึ จะออกจากวัดไป แตเ่ รามีวตั รภายใน ไปอยู่ทไ่ี หนๆ เราอยูใ่ นวตั รภายในของเรา ไมไ่ ด้ออกนอกวตั ร เลย คดิ อยา่ งนี้ใจของเรากจ็ ะเจรญิ โตวนั โตคืน เพราะเวลาของเรา สถานที่ของ เรา ไมม่ จี ำกดั มที ่ัวไปหมด จากนภ้ี าวนาตอ่
11 ปฏบิ ตั กิ บั อรยิ สจั ๔ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เมอ่ื สกั คร่เู ราสวดเร่อื งอริยสัจ ๔ ซ่งึ เราถอื วา่ เปน็ ธรรมะชน้ั สูง แต่พระพุทธเจ้า ไมไ่ ดส้ อนให้เราเอาไว้ทสี่ งู ๆ แลว้ กก็ ราบไหวเ้ ฉยๆ ทา่ นสอนเพอ่ื ให้เราเอามาใช้ ใช้ อย่างไร ใช้ท่จี ะดูจิตใจของเรา ดูตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจของเรา วา่ ทำไมใจของเรา ทุกข์ และทำอยา่ งไรจึงจะแกท้ ุกข์นน้ั ได้ ส่วนมากเรามองโลกกบั ตวั เองในทางทท่ี ่านเรยี กว่า ภพ คอื ตัวเราทต่ี อ้ งอยูใ่ น โลก โลกมีหลายโลก โลกในวดั ก็มี โลกในบา้ นก็มี โลกในจิตใจของเราแตล่ ะวนั ๆ สารพดั ท่จี ิตใจของเราปรงุ อยู่กม็ ี และโลกแต่ละโลกน้ันมตี วั เราอยู่ในนน้ั เชน่ ใน ทีท่ ำงานเราก็เปน็ ผ้ทู ำงาน พออย่บู า้ นเราจะเปน็ พอ่ หรอื แม่หรอื ลูก อยใู่ นวัดเรา จะเป็นพระหรือเปน็ ฆราวาส กม็ หี นา้ ทต่ี ามฐานะของเราทอ่ี ยใู่ นโลกนั้นๆ ท้งั โลก ใน ทัง้ โลกนอก แต่เพอ่ื จะให้จติ ใจของเราพน้ จากทกุ ข์ เราต้องรู้จักวางโลกทัง้ หลายเหล่าน้ี มองตวั เราให้แยกออก ทั้งตวั เราด้วย ทงั้ อะไรๆ ที่ผ่านเขา้ มาในตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจของเราด้วย แยกออกเป็น ๔ อยา่ ง กม็ ีเหตุกบั ผล มดี ีกบั ช่วั เอามาคณู ก็ เป็น ๔ คอื เหตุด-ี ผลดี เหตุชั่ว-ผลชว่ั ทกุ ขก์ ผ็ ล ช่ัวท่ีทา่ นว่าเรายึดในขนั ธ์ ๕ คอื ยึดเป็นเราบา้ ง เปน็ ของเราบ้าง อยู่ ในตวั เราบ้าง ตวั เราอย่ใู นขันธน์ ั้นบา้ ง จะยดึ เพราะเราเหน็ วา่ เปน็ ของที่เราชอบ หรอื ของทเ่ี ราเกลยี ด หรือของทเ่ี ราใช้เปน็ ประโยชน์ได้ ก็ยดึ อยูน่ ่ันแหละ ชอบ หรือไมช่ อบกย็ ึดไว้ บางทียึดวา่ เป็นตัวตนของเรา พอยึดแล้วกท็ ุกข์ ทนี ้ที ำไมจงึ ยึด เพราะเรามีตัณหา ความกระหาย อยากจะไดค้ วามสขุ อยา่ งนัน้ อย่างนี้ อยากจะไดก้ ามสุข หรอื อยากจะสรา้ งภพขน้ึ มา หรอื ภพทเี่ รามอี ยู่แล้วเรา ไม่ชอบ เราก็พยายามทำลายมัน ความอยากทั้ง ๓ อยา่ งนที้ ำให้เราทุกข์ ทีท่ ่านให้แยกอริยสจั ออกเปน็ ๔ อย่างนี้ กเ็ พอื่ จะใหร้ ูจ้ ักหนา้ ท่ี อยา่ งท่ีเราสวด ในธรรมจักรเมอ่ื สกั คร่นู ้ี ทา่ นไมไ่ ด้เพยี งแตป่ ระกาศอรยิ สัจ ๔ ทา่ นประกาศกจิ ท่ีจะต้องทำด้วย แตล่ ะ ข้อ ๆ และทา่ นประกาศว่าทา่ นตรสั รู้เพราะทา่ นทำกจิ นั้นสำเรจ็ แล้ว รวมแลว้ อรยิ สัจ แตล่ ะขอ้ ๆ มีญาณ ๓ คอื ๑. รู้ว่าตัวน้ีเปน็ อริยสจั
12 ๒. อรยิ สจั นม้ี กี ิจอะไร ๓. กิจน้นั เราทำสำเรจ็ แล้ว น่ี อริยสัจมี ๔ ขอ้ และ ญาณท่ีจะต้องร้มู ี ๓ ถ้าเอา ๔ คณู ๓ ก็เทา่ กับ ๑๒ ธรรมจักรจึงมี ๑๒ ซี่ อริยสัจสำคญั ตรงท่กี จิ ทค่ี วรจะทำ เพราะเราแยกวา่ นตี่ วั ทุกข์ นั่นตัวสมุทยั ไม่ใชว่ า่ แยกออกเพยี งแต่ตามตัวหนงั สอื เราก็ต้องดจู ิตใจของ เรา ตรงไหนใจของเราทกุ ข์ ทา่ นบอกว่าตอ้ งกำหนดรู้ รู้แจม่ แจ้งข้ึนมาวา่ มนั เกิด เปน็ ทกุ ขอ์ ย่างไร ดบั อยา่ งไร แล้วทำไมเราจงึ พอใจทจ่ี ะสรา้ งทุกขน์ น้ั ขน้ึ มา มี เสนห่ อ์ ะไรบา้ ง มโี ทษอะไรบ้าง ถา้ รู้สิ่งเหลา่ นีจ้ นเราเกิด นิพพิทา ความเบ่ือหน่าย ขึ้นมา นนั่ เรยี กวา่ กำหนดรู้ เม่ือกำหนดรู้แลว้ เราจะรถู้ งึ เหตุด้วย วา่ ทำไมใจของเราจึงทกุ ข์ เพราะใจของ เราไปยึดตรงนน้ั อยูต่ รงนน้ั อยตู่ รงนี้ ความอย่นู นั้ ก็พยายาม ละ ทีน้จี ะละอยา่ งไร เมื่อใจหยุดแลว้ ก็จะละความอยู่ไดอ้ ยา่ งไร เราก็ตอ้ งสรา้ งอาหารใจที่ดกี ว่านนั้ เรา จึงมี มรรค นน่ั เรยี กว่า เหตุดี ตั้งแต่ สมั มาทิฏฐิ ความเหน็ ชอบ ไปถงึ สัมมาสมาธิ ใจตั้งมัน่ ชอบ ชอบน่กี ไ็ ม่ใช่วา่ ชอบใจ หมายความว่าถกู ต้อง ถกู อย่างไร เพราะเมอื่ ทำถูกแลว้ กต็ อ้ งไดผ้ ล มรรคเหลา่ นีท้ า่ นบอกวา่ ตอ้ งเจรญิ อยา่ งบาง แห่งเราจะเหน็ เขาสอนกันวา่ สมาธเิ กดิ ขึ้น ดูใหม้ นั เกดิ ขึ้นแล้ว ดับไปเฉยๆ จะได้รู้ ถงึ ไตรลกั ษณ์ แตพ่ ระพทุ ธเจ้าไมไ่ ดส้ อนอย่างนนั้ ท่านบอกว่าถ้าสมาธิเกดิ ข้ึนมาก็ ตอ้ งประคองไว้ ดแู ลไว้ ใหเ้ จริญถงึ ที่สดุ จึงคอ่ ยปล่อยวาง นี่ ของเรายังไมถ่ ึงทสี่ ดุ กต็ อ้ งทำๆๆ ของเรา สร้างขน้ึ มา เพอ่ื ใจของเราจะได้มี ความเขม้ แขง็ ข้นึ มา พอท่จี ะดูทกุ ข์ได้ ปกติคนเราทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ ในจติ ใจของเรา เรา ไม่ไดก้ ำหนดรูอ้ ะไรเลย กลับว่งิ หนี ถ้าไม่ได้วิ่งหนกี ็ผลกั ดนั ออกไป ไมย่ อมรับ ก็มนั ลกู ของเรา ลกู ของเราทำไมด่ ี เราไลอ่ อกจากบา้ นกไ็ มไ่ ดแ้ กป้ ญั หา ปญั หาก็ยงิ่ ลาม ออกไปอกี ทกุ ขเ์ กิดขนึ้ มาเราก็ตอ้ งจอ้ งดวู ่าเปน็ อย่างไร ทนี ท้ี ำอยา่ งไรใจของเราถา้ ไมม่ กี ำลังท่จี ะจอ้ งดู ก็แพม้ นั เพราะฉะนน้ั กต็ อ้ ง พยายามสรา้ งความเขม้ แข็งในจติ ใจ ใหใ้ จของเราต้งั ม่นั จรงิ ๆ ให้ต้งั ม่นั อยู่กับ อารมณท์ ่เี ป็นทส่ี บายของเรา ถา้ ใจของเราอยู่กบั อารมณ์ทส่ี บาย มันกอ็ ยู่ได้ มอง ทุกข์ในจติ ใจของเรา กแ็ ยกตัวเราออก ทกุ ข์ก็อยา่ งหนึ่ง เราทตี่ ้ังม่นั อยกู่ อ็ ยา่ งหนึ่ง เราจงึ จะกำหนดรู้เขาได้
13 สักวันหนึง่ เราจะไดท้ ำครบหน้าทขี่ องเรา คอื จะไดร้ แู้ จ้งในเรอ่ื งนิโรธ คือความ ดับทกุ ข์ ทีนีถ้ า้ หากว่าเราเห็นว่าไมค่ ิดจะเอาถงึ ขนาดน้นั แตอ่ ย่างไรๆ ทจี่ ะใหใ้ จ พ้นจากทกุ ข์ก็ต้องทำตามน้ี จะเอาแคพ่ อประทังไว้ ก็ตอ้ งทำตามนี้ มองทกุ ส่งิ ทกุ อย่างทเ่ี กิดขึ้น มองในแง่น้ีว่าสว่ นไหนเปน็ ทกุ ข์ สว่ นไหนเปน็ เหตแุ หง่ ทกุ ข์ และ สว่ นไหนเปน็ สงิ่ ทเ่ี ราควรจะปฏบิ ัติเพื่อจะให้พน้ จากทกุ ข์น้ันๆ ถงึ แมว้ า่ จะไมไ่ ดพ้ ้น จากทกุ ข์ท้ังหมด แตข่ อให้ทำตามนี้ คำวา่ “ตวั เรา” อยา่ ใหเ้ ข้ามาในน้นั เพยี งแตร่ ู้ วา่ นที่ กุ ข์ น่ีสมทุ ัย นี่มรรค ๓ ตัวนถ้ี า้ รแู้ ละทำถกู ตอ้ งตามหนา้ ท่ี กจ็ ะรถู้ ึงความ ดบั ทุกข์ดว้ ย ฉะนนั้ เราพยายามสรา้ งสมาธขิ น้ึ มาใหใ้ จของเราต้งั มั่นอยู่กบั ลม หายใจเขา้ หายใจออกให้สบาย คอื ที่จรงิ เวลาเรากำหนดลม กเ็ ป็นการเรม่ิ ฝึกทจี่ ะมอง รา่ งกายของเราในแงข่ องอรยิ สัจอยแู่ ลว้ เชน่ หายใจแบบนไ้ี มส่ บาย อา้ ว นนั่ ตวั ทกุ ข์ เป็นเพราะอะไร เพราะเรายึดวา่ ลมตอ้ งเป็นอย่างนนั้ ตอ้ งเปน็ อยา่ งนี้ ฝนื ธรรมชาติเขา บางทเี รามีสญั ญาในใจวา่ ลมกต็ อ้ งเขา้ ทางจมกู จะเข้าทางอ่ืนไมไ่ ด้ เอาแล้ว ก็บีบเขา บางคนกเ็ ข้าใจวา่ สมาธิดตี อ้ งหายใจลกึ ๆ ยาวๆ ทีนร้ี า่ งกายของ เราไมส่ บาย ถา้ หายใจแบบนนั้ ไม่สบาย ใจจะไมอ่ ยู่ แต่ละคนๆ กไ็ มเ่ หมอื นกนั สภาพของรา่ งกาย เรากต็ อ้ งดูของเราโดยตรง คอยสงั เกต ทดลอง จนเป็นทส่ี บาย นี่เรยี กว่าดทู กุ ข์ จนละเหตุแห่งทุกขไ์ ด้ ละอย่างไร กเ็ จริญมรรค มีสติ มี สัมปชญั ญะ มีความเพียรชอบ อย่างไหนที่ไมด่ ี เราก็พยายามเปลย่ี นไป อย่างไหน ท่ีดีเราก็พยายามรกั ษาไว้ นีเ่ รยี กวา่ เราฝึกในแงข่ องอรยิ สจั อยู่แล้ว ที่จะใหจ้ ิตใจ ชองเราลงเป็นสมาธิ พอเปน็ สมาธิแล้วก็ใหร้ ู้ยิง่ ละเอยี ดเขา้ ไปอีก แตก่ อ่ นจะรูเ้ รอื่ งรายละเอยี ดของ จิตใจ กต็ อ้ งรู้รายละเอยี ดของลมไวก้ ่อน เพราะลมเปน็ สงิ่ ท่หี ยาบกว่า ขนาดบาง คนเขาวา่ ลมนลี่ ะเอียดมาก จติ ใจของเรากล็ ะเอยี ดกวา่ เรว็ กวา่ ต้งั หลายเทา่ ถา้ รู้ เรือ่ งของลมไมไ่ ด้ เราจะร้เู รอ่ื งของใจไดอ้ ยา่ งไร เราตอ้ งฝึกกับสิ่งที่หยาบๆ ไว้ก่อน จนความรสู้ ึกของเรา ความสงั เกตของเราละเอยี ดเขา้ ไปๆ จนเราพรอ้ มที่จะรู้เรอ่ื ง จิตใจของเราโดยตรง เหมอื นท่ที า่ นสอนเรอ่ื งอริยสัจ ไมไ่ ดส้ อนอะไรท่ีหา่ งไกลจากเรา สอนเร่อื งของ เราโดยตรงน่ีแหละ เพยี งแต่วา่ เราไม่รจู้ กั วธิ ีใช้ ก็เลยเอาต้งั ไวอ้ ยบู่ นหง้ิ พระ กราบ ไหว้บูชา ครูบาอาจารย์เคยอปุ มาว่า เหมอื นกบั วา่ เราหงุ ขา้ วแลว้ แทนทจี่ ะทาน ขา้ ว เรากต็ ั้งไวบ้ นหิ้งพระแลว้ กราบไหว้ ๓ ครง้ั ทีน่ ้ีข้าวกเ็ ปน็ สิง่ ท่ดี ี การกราบการ
14 ไหวก้ เ็ ป็นสงิ่ ท่ีดี แตจ่ ะเอามาบวกกนั กไ็ ม่ได้ประโยชน์ ผลสดุ ทา้ ยข้าวกต็ ั้งอยู่น่นั แหละ ตง้ั ไวท้ ่สี ูงนะ แตไ่ มไ่ ดป้ ระโยชน์ เพราะเราไม่ยอมเอาลงมาทาน น่พี อนึกถึงอรยิ สจั อยา่ ไปคดิ ว่าเปน็ ของไกล ท่ีจริงก็อยูต่ รงนแ้ี หละ ใจของเรา ทุกข์ตรงไหน นัน่ อรยิ สจั ข้อหนึ่งแล้ว ตัณหาเคล่ือนไหวในทางไหน น่ันอรยิ สัจอกี ข้อหนง่ึ เรากพ็ ยายามตง้ั จติ ของเรา ใหม้ ีสติ ใหม้ สี ัมปชญั ญะ ให้มีสมาธขิ ้ึนมา ก็ อรยิ สัจอกี ข้อหนงึ่ ก็อยตู่ รงนีแ้ หละ พยายามมองจติ ใจของเราในแง่นี้ ทกุ ข์ของเราทเี่ ปน็ อยจู่ ะคอ่ ยคล่ีคลายออกไป เพราะเราร้จู ักทำถกู ตอ้ งตามหน้าท่ี บางคนอยากจะละทกุ ข์ แต่มนั ละไมไ่ ด้ ตอ้ ง ละทส่ี มทุ ยั เราจะรสู้ มทุ ยั อยตู่ รงไหนก็ตอ้ งทนดทู กุ ข์ แตไ่ มใ่ ชท่ นเฉยๆ ตอ้ งมี อุบายท่จี ะทนได้ เราจะมีการทำสมาธิให้ใจของเราสบาย ตัง้ มน่ั อยู่ในปจั จุบัน ไม่ สะทกสะทา้ นกบั อะไร ทกุ ข์เกดิ ข้นึ เรากไ็ ม่สะทา้ น ใจก็ยงั ปกตไิ ด้ นต่ี รงน้ีแหละที่ เราจะทำถูกต้องตามหนา้ ที่ ทา่ นพอ่ เฟอ่ื งเคยบอกไว้ มีอยชู่ ว่ งหน่งึ ทท่ี ่านเปน็ โรคปวดหัวเรอ้ื รัง ทุกวนั ๆ ทา่ นบอกวา่ นง่ั ก็ไมไ่ ด้ พอจะนอนเอาหวั ลงไปถึงหมอนกแ็ ปล๊บขนึ้ มา ปวด เดนิ จงกรมก็ปวดอย่นู ั่นแหละ ทุกส่งิ ทุกอย่างก็ปวดหวั อย่อู ยา่ งเดยี ว ยาแผนปัจจบุ นั ก็ แลว้ ยาจนี กแ็ ล้ว ยาไทยก็แล้ว ยังปวดอยนู่ ั่นแหละ หนกั ถงึ ขนาดว่าตอ้ งมีพระ ๒- ๓ องค์เฝา้ อย่เู วลากลางคนื มคี นื วันหนึ่ง ท่านต่นื ขน้ึ มากลางคนื กป็ วดอยู่นน่ั แหละ ทา่ นลกุ ขึน้ มานง่ั มอง พระ ๒-๓ องค์ท่มี านอนเฝ้าอยู่ กน็ อนจริงๆ นอนหลับไปเลย ทา่ นนึกอย่ใู นใจ เอ ใครเฝา้ ใครแน่ อ้าว น่งั อยูก่ ็ภาวนาไป พอดไี ด้สตขิ น้ึ มาวา่ พระพุทธเจา้ ทา่ นไมไ่ ด้ สอนใหห้ นีจากทุกข์หรอื แก้ทกุ ข์ ไมไ่ ด้สอนให้ดบั ทกุ ข์ ทา่ นสอนใหก้ ำหนดรทู้ กุ ข์ ท่านกเ็ ลยรมู้ นั ไป ดไู ป จนเห็นว่ามนั เกดิ ตรงนแ้ี หละ กเ็ ลยดับ ละทเ่ี หตุ จากนน้ั ท่านบอกว่าการปฏิบัตจิ งึ เขา้ รอ่ งเขา้ รอย เพราะทำถกู ตอ้ งตามหนา้ ที่ เพราะฉะน้นั ใจของเราทุกขอ์ ยูท่ ไี่ หน อย่าไปหนีมัน พยายามตัง้ จิตไว้ให้ เขม้ แขง็ ข้นึ มาอยูใ่ นปัจจบุ ัน ทกุ ขอ์ ยู่ทีไ่ หนก็รๆู้ ๆ แต่เราไมไ่ ด้เขา้ ไปในนน้ั ใหใ้ จ ของเราต้งั อยอู่ ีกแห่งหน่งึ ตั้งอยใู่ นท่สี บาย ไปรเู้ ขาอกี ทหี น่งึ จากนัน้ เราจะไดร้ ู้ ออ้ มันเกิดตรงนีแ้ หละ พอจบั สาเหตุไดเ้ รากล็ ะไดถ้ กู ต้อง ฉะนน้ั อรยิ สจั ท้งั ๔ และธรรมะคำส่ังสอนของพระพทุ ธเจา้ ทกุ ขอ้ ก็เปน็ อุบาย เป็นเครอ่ื งมอื ของเรา ทา่ นสอนไว้เพอื่ ให้เราใช้ เม่อื เราใชแ้ ลว้ จึงจะรวู้ า่ มนั ดขี นาด ไหน เหมือนยารักษาโรค หมอเขาวา่ ยาดี ถ้าเชอื่ ตามท่ีหมอว่า จะดขี นาดไหนเราก็
15 ไม่รู้ นอกจากว่าเราเห็นว่าตัวเราเปน็ โรคนั้นๆ กนิ ยาแลว้ หายไหม ถ้าหายแล้วนน้ั จะซาบซ้ึงจริงๆ วา่ ยาขนานนี้ดจี รงิ ๆ พระพุทธเจา้ เป็นนายแพทยผ์ ปู้ ระเสริฐ ไม่ได้สอนเฉพาะวธิ รี กั ษาโรคทาง รา่ งกาย สอนถงึ เรอ่ื งโรคจิตใจของเรา ใหเ้ ราพน้ จากทกุ ขไ์ ด้ เพราะฉะนั้นยาของ ท่านอยา่ ไปเกบ็ ไว้ในตู้หรอื ต้งั อยบู่ นหิง้ พระ ตอ้ งเอามาใช้ เมอ่ื ใชเ้ สร็จแลว้ ถา้ อยากจะกราบก็กราบได้อย่างสนทิ ใจ ไมไ่ ดก้ ราบเพราะประเพณี กราบเพราะเรา ซาบซ้งึ จริงๆ ว่า ยาของทา่ นดีจรงิ ๆ ทา่ นเมตตาจรงิ ๆ อุตสา่ หพ์ รำ่ สอนมาต้ัง ๔๕ พรรษาดว้ ยความยากลำบาก เพ่ือจะใหม้ นุษยร์ จู้ กั ยา รู้จักใช้ ใหพ้ น้ จากทกุ ขต์ าม อย่างของพระองค์บ้าง
16 จรงิ จังกบั ความสขุ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ “จติ ทีอ่ บรมดีแลว้ นำความสุขมาให้” มนั สุขอยา่ งไร ก็อยา่ งทส่ี วดเมอ่ื สกั ครู่ ความดคี วามชวั่ ความสขุ ความทุกข์ ท่ีได้มาในโลกนี้ ตอ้ งมาจากจติ ใจของเรา การ กระทำของใจ คือกริ ยิ าท้งั กาย ทัง้ วาจา และความคิด ก็ออกจากจิตใจของเรา ท้ังนน้ั ถ้าใจอบรมดแี ลว้ เราจะไม่ทำอะไรทจ่ี ะสรา้ งความทุกข์ และถา้ เราไมไ่ ด้ สรา้ งความทุกข์ ทุกขจ์ ะถงึ ตัวเราได้ทไ่ี หน ทุกขใ์ นร่างกายน้นั ถือวา่ ธรรมดา แตท่ กุ ขใ์ นจติ ใจนีส่ ำคญั มาก เพราะมนั แทง เข้ามาในหวั ใจ และไมม่ ยี าในโลกท่ีจะรักษาได้ นอกจากว่าเรามาปฏบิ ตั ิ ท่ีท่าน เรียกว่า ธรรมโอสถ คอื ท่ีเรามาปฏบิ ัตธิ รรม เอาธรรมะเป็นกฎเกณฑ์ วา่ เราควร จะทำอยา่ งไร ควรจะพดู อยา่ งไร ควรจะคดิ อยา่ งไร เรานกึ ถึงพระพทุ ธเจ้า นกึ ถงึ พระธรรม นึกถึงพระสงฆ์เปน็ ตวั อยา่ ง วา่ ทา่ นสอนอยา่ งไร เรากพ็ ยายามปฏิบัติ ตามน้ัน พระองค์เองเป็นตัวอยา่ งอยา่ งไร เรากพ็ ยายามทำตามทพี่ ระองคท์ ำ อย่างเชน่ ทา่ นเปน็ ผู้มสี ติ เรากพ็ ยายามฝึกสตไิ ว้ อย่างท่เี รากำหนดลมหายใจ เข้าออกอยนู่ ี่ เป็นวิธที ฝี่ กึ จิตใจของเรา อบรมจติ ใจของเราที่ดีทสี่ ุด เพราะเวลาท่ี ใจอยู่กับลมหรืออยู่ในปจั จุบนั กรรมท่ีจะสรา้ งขนึ้ มาในปัจจุบนั น้ีจะเป็นกรรมดีหรื อกรรมชวั่ เราจะไดม้ องเห็น เพราะเราอยู่ในปจั จุบันดว้ ย ธรรมดาเราไมค่ ่อยจะอยู่ นะ ใจชอบคดิ ไปถงึ นนู่ คดิ ถึงอดีตบ้าง อนาคตบา้ ง คนน้นั คนน้บี า้ ง แล้วหาว่า ความสุขความทกุ ข์มาจากคนนน้ั คนนี้ สิ่งน้ันส่งิ น้ี จริงอยู่ เขาก็มสี ว่ นในความสขุ กับความทุกขท์ ีเ่ ราได้รบั แตว่ า่ ทีท่ กุ ขจ์ ะเขา้ มาแทงในหวั ใจของเรานั้น เปน็ เรอื่ ง ของเราตา่ งหาก เราคงจะเคยสังเกตบางคน ทีเ่ ขาร่ำรวยถึงขนาด มีวาสนาบารมี มอี ำนาจ แต่ จติ ใจเรา่ รอ้ น ไมม่ ีความสุข คอื คำวา่ “พอ” ไมม่ ี แตบ่ างคนอยู่ธรรมดาๆ แต่เขามี ความสขุ เป็นเพราะอะไร เพราะการกระทำของเขา เพราะจติ ใจของเขาตา่ งหาก ความสขุ ความทกุ ข์ ท่ีถงึ หัวใจของเรา ไมไ่ ด้เกิดจากส่ิงภายนอก แตต่ ้องเกิดจาก ส่งิ ภายในเรานี่แหละ บางครั้งเราจะเข้าใจว่า ทีเ่ ขามคี วามสุขได้ ก็เพราะวา่ นสิ ัยของเขาเป็นอย่าง นัน้ แต่ที่จรงิ นสิ ยั มาจากไหน ก็มาจากการอบรมน่ีแหละ เพราะฉะน้ันเรากม็ ีสิทธิ์ ทกุ คนๆ ทีจ่ ะอบรมจติ ใจของเรา ให้เป็นใจที่สรา้ งความสขุ ไมไ่ ด้สร้างความทุกข์
17 ใหต้ วั เอง อย่างทีเ่ ราน่ังภาวนานแ่ี หละ จิตใจของเราจะไดร้ ู้สึกตวั และจะได้สรา้ ง คุณธรรมขึน้ มา ทจี่ ะปอ้ งกนั ตัวเองได้ อยา่ งเชน่ เรามี สติ เราระลึกอยู่เสมอ วา่ เราจะต้องอย่ตู รงนี้ ถ้าความชัว่ บางอยา่ งเกิดในจิตใจในขณะทีเ่ ราเผลอไป เราต้อง ฝกึ สติให้กลับมาอยกู่ ับลมทุกครง้ั ทีห่ ายใจเข้า ทหี่ ายใจออก ถ้าเผลอไปกต็ ง้ั สติใหม่ เผลอไปอีกกต็ ัง้ ใหม่ จนกลายเป็นความเคยชนิ จนเป็นนิสัย นน่ั ขอ้ หนึ่ง อีกข้อหนงึ่ สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั เราทำอะไรอยู่ พูดอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ เรากร็ ู้ เจตนาอะไรเกิดขน้ึ ในจิตใจ เราก็ทราบ เพราะเราอยู่ในปัจจุบัน ตราบใดท่ี อยู่กบั ลมหายใจเขา้ ออกก็ต้องอย่ใู นปจั จบุ ัน ลมอดตี ไมม่ ที ี่จะให้เรากำหนด ลม อนาคตก็ไมม่ ีทจ่ี ะให้เรากำหนด มีแต่ลมปจั จบุ นั นแี่ หละ ถา้ เราอยู่ในปัจจุบัน จติ ใจของเราเคล่อื นไหวทีไ่ หน เราจะไดร้ ู้ น่ี สมั ปชัญญะ อกี ขอ้ หนง่ึ ทา่ นเรียกวา่ อาตปั ปะ คอื ความเพยี รเพง่ โดยต้ังใจวา่ เราจะทำให้การ ปฏบิ ัตขิ องเราดี และพิจารณาดูวา่ สิ่งทเี่ กดิ ข้นึ ในปจั จบุ ันนั้นดีไหม ถ้าไม่ดีเราจะแก้ไข ใหม้ ันดีอย่างไร ถา้ มันดแี ลว้ ทำอยา่ งไรจงึ จะรักษาความดนี ั้นใหเ้ จรญิ ยงิ่ ๆ ข้ึนไป น่ี คณุ ธรรมทงั้ ๓ ขอ้ นี้ จะเปน็ คุณธรรมทจ่ี ะอบรมจติ ใจของเรา ให้เป็นใจท่ไี ม่ สร้างความทกุ ขใ์ หต้ วั เอง เพราะเรารู้เหตุรผู้ ล ระลึกอยูเ่ สมอ จำไว้ ไมล่ มื พอจะ พดู อะไร จะคดิ อะไร จะทำอะไรอยู่ เรากถ็ ามเจ้าของ วา่ ผลทเี่ ราคาดไวจ้ ะเปน็ อยา่ งไรเมอื่ เราทำอยา่ งนั้น ถ้าเห็นว่าจะเป็นไปเพอื่ ความทกุ ข์ เพือ่ ความ เบียดเบียน อยา่ ไปทำมนั เลย ถ้าเหน็ ว่าจะไม่สรา้ งความทุกข์ความเดอื ดร้อนอะไร ใหใ้ ครๆ เราก็ทำได้ ทีนี้เม่อื เราลงมอื ทำแล้ว เรากต็ อ้ งดูผลทีอ่ อกมาจรงิ ๆ ว่าเปน็ อยา่ งไร ถา้ เกดิ เป็นการเสียหายละก็ หยุด เลิกเลย ถา้ ไม่เหน็ ความเสยี หายอะไร เรากท็ ำไป จนกระท่งั เสรจ็ พอเสรจ็ แลว้ เรากพ็ ยายามมองดูผลในระยะยาว ถา้ เหน็ วา่ เราได้ สร้างความทกุ ข์ เราไปปรึกษากับทา่ นผู้รู้ วา่ ทำอย่างไรที่จะไมส่ รา้ งความทุกข์ แบบน้นั อกี ตอ่ ไป แตถ่ ้าเหน็ ว่าไมไ่ ด้สรา้ งความทกุ ข์ ไมไ่ ดส้ ร้างความเดอื ดรอ้ นใหใ้ ครๆ ทา่ นบอก ว่า ใหใ้ จของเรายินดี ปลืม้ อกปลื้มใจวา่ เออ เราสร้างความดีในโลกนี้ ใจของเรา กำลังดีข้ึน น่ี วิธกี ารอบรมจติ ใจกเ็ ป็นหลกั ง่ายๆ แตว่ ่าเราตอ้ งพจิ ารณาการกระทำของ เจา้ ของเป็นเนอื งนติ ย์ ดูแลว้ ดอู ีกๆ บางคนก็วา่ “โอ้ ฉนั ไมม่ เี วลา” อา้ ว จะมีเวลา ทำอะไร ถา้ ไมไ่ ดร้ บั ผิดชอบการกระทำของเจ้าของ เราจะรบั ผดิ ชอบอะไร
18 เราตอ้ งเอาจรงิ เอาจังกบั ความสุขของเรา คอื ทจี่ รงิ คนส่วนมากในโลกนา่ จะเอา จริงเอาจงั กบั ความสุข แต่ถา้ ดูการดำรงชีวิตของเขาแล้ว กไ็ ม่เป็นอยา่ งน้นั ทำ เหมอื นกับหลบั ตาทำ คดิ ขึน้ วา่ เออ รำ่ รวยคงจะดีนะ อา้ ว พยายามสรา้ งความ รำ่ รวยข้นึ มา แตผ่ ลสุดทา้ ย เปล่า ได้สมบัติมาก็มปี ญั หารอ้ ยแปดพนั อยา่ งตามที หลัง บางคนกจ็ ะเอาดใี นทางอำนาจ บางคนจะเอาทางแตง่ ตัวสวยๆ งามๆ อ้าว มนั กเ็ ปลา่ ท้ังนั้นแหละ ทำเหมอื นเด็กเลน่ ถ้าเราเอาจริงเอาจังกับความสขุ ของเรา ก็ตอ้ งหนั กลบั มาดจู ิตใจของเรา ว่าทำ อย่างไรเราจึงจะสร้างจติ ใจให้เปน็ ประเภทท่วี า่ อยทู่ ไี่ หนก็มคี วามสขุ ได้ เหตุการณ์ ภายนอกจะเป็นอยา่ งไร กย็ ังมีความสุขได้ ถา้ ความสุขของเรายงั ขึ้นลงอย่กู บั เหตุการณภ์ ายนอก ว่าต้องเปน็ อยา่ งนน้ั ตอ้ งเปน็ อย่างน้ถี ึงจะสขุ เราก็แย่ กต็ ก เปน็ ทาสของเขา ต้องว่ิงเต้นไปตามเขา แตถ่ ้าหากว่า ความสุขของเราขึน้ อยู่กับภายใน เราก็เป็นตวั ของตวั เองได้ ไมม่ ี ใครมีอำนาจเหนือกวา่ เรา เรยี กว่า สรา้ งความอิสระข้ึนมาในตวั เพราะเราพ่งึ ตัวเองได้ ไว้ใจตัวเองได้ เมอ่ื เราเอาจริงเอาจงั กบั ความสขุ ก็ตอ้ งเอาจริงเอาจงั กับ การอบรมจติ ใจของเรา เพราะใจของเราเป็นบอ่ เกิดแห่งความสุขความทุกข์ ทง้ั หลาย ฉะนัน้ ใหพ้ ยายามต้ังอกตัง้ ใจอบรมใจของเราให้อยใู่ นปจั จบุ นั ให้อยู่กับลมเขา้ ลมออกให้สบาย ถา้ ลมสบาย ใจกย็ นิ ดที ี่จะอยู่ ถ้าลมไม่สบายมันกฝ็ นื ถ้าฝนื ไป มันอยไู่ มน่ านหรอก เด๋ยี วกห็ นี แต่ถ้าเรารจู้ กั แตง่ ลม เข้ากใ็ หส้ บาย ออกกใ็ หส้ บาย พอมันสบายแล้ว ความสบายนั้นแผท่ ั่วตวั เรากจ็ ะอยู่ในปจั จบุ นั โดยมคี วามสขุ นขี่ นาดยงั ไม่ถงึ ที่สุดของการอบรม กย็ ังดีทใ่ี จของเรามที ีต่ ั้ง เมอ่ื มีทต่ี ัง้ แลว้ เรา กม็ ีทางเลอื ก ว่าจะเอากบั กิเลส หรอื จะเอาความสงบของเรา เมอื่ มสี ทิ ธเ์ิ ลอื ก จะ ไปเลอื กกเิ ลสทำไม และข้อสำคัญตอ้ งถือวา่ ความสขุ ทเี่ ราต้องการน้นั คอื ความสขุ ท่ีไว้ใจได้ ถา้ เราพอใจกบั ความสุขหลอกๆ เลน่ ๆ เทา่ ท่พี อจะได้ เราจะปากแห้งอยู่ นนั่ แหละ ใจก็เหย่ี วแหง้ ไปด้วย แตถ่ ้าเราเอาจรงิ กบั ความสุข เรากต็ ้องหาความสขุ ท่ีเราไว้ใจได้ มนั จึงจะสมกนั เพราะฉะนัน้ พยายามเอาจริงกบั การอบรมจิตใจของเรา ถา้ เอาจรงิ กบั เรอ่ื งน้ี ทุก ส่งิ ทุกอยา่ งกต็ อ้ งจริงไปหมด เมอื่ เหตุคอื การกระทำของเราจรงิ ผลก็ต้องจรงิ เท่า นนั้ เอง
19 ดธู รรมในธรรม - อายตนะ ๖ ๑๙ กนั ยายน ๒๕๕๖ เรามาฝกึ สตปิ ัฏฐาน ทา่ นบอกวา่ ดูกายในกาย ดเู วทนาในเวทนา ดูจติ ในจติ ดู ธรรมในธรรม สงิ่ เหล่านอี้ ยู่ทไ่ี หน ก็อย่ใู นปัจจบุ ันน้ีแหละ เรากำลังดลู มหายใจ เขา้ -ออกอยู่ กายก็อย่ตู รงน้ี อยทู่ ล่ี ม เวทนา ความสขุ ความทกุ ขก์ ็เกดิ จากลม เหมอื นกนั ลมหายใจเขา้ -ออกสบายหรอื ไมส่ บาย จิตก็จิตที่อยกู่ ับลมหรอื ไมอ่ ยู่กบั ลม ส่วนธรรมนน้ั เปน็ วธิ ที ที่ า่ นแนะนำใหเ้ รามาดปู จั จุบนั ธรรมวา่ เปน็ อยา่ งไร เพือ่ จะไดร้ ู้ว่าควรจะทำอยา่ งไรต่อไปบ้าง ธรรมในธรรมทา่ นแยกออกเปน็ ตั้ง ๕ อยา่ ง แต่ ๕ อย่างนอี้ ยทู่ ไ่ี หน ก็อยตู่ รงน้ี แหละเหมอื นกัน เพราะฉะนัน้ เวลาดธู รรมในธรรม อย่าไปหนจี ากลมนะ ถ้าหาก หนีจากลมก็แสดงวา่ หนจี ากปัจจุบัน จึงไมม่ ีทางที่จะรู้จริงๆ ที่รไู้ ด้กแ็ ค่สญั ญาเทา่ นัน้ เอง ไมไ่ ดเ้ ป็นปญั ญา เพราะฉะนนั้ เราดลู มเขา้ ลมออกใหเ้ ปน็ หลักของเรา ทนี ี้ ที่เป็นหลกั ไดน้ น้ั ต้องอาศยั วา่ เรารูจ้ ักแตง่ ลมใหเ้ ป็นท่สี บายของเรา ถ้าลม ไม่สบาย ใจจะไมอ่ ยู่ คิดแต่จะหนีอยเู่ ร่ือย เพราะฉะน้นั พยายามแตง่ ลมเข้า-ลม ออกใหพ้ อดี ทดลองดวู า่ ยาวสบายไหม ถ้ายาวสบายก็เอาไปเรอื่ ยๆ ถ้ายาวไม่ สบายก็เปลีย่ นใหส้ ั้น ลกึ สบายไหม ถ้าไมส่ บายกเ็ ปลยี่ นใหต้ ้ืน เร็ว-ชา้ หนัก-เบา อย่างไร กอ็ ยู่ที่เราชอบแบบไหน เมื่อกำหนดแล้วรู้สึกมผี ลดีกับรา่ งกายและผลดี กับจิตใจด้วย เราก็พยายามรักษาไว้ เราอยกู่ ับลมก็พยายามรกั ษาไมใ่ ชเ่ ฉพาะเวลานั่งหลับตานะ ความรสู้ ึกใน ร่างกายก็มอี ยู่ตลอดเวลา เพยี งแตว่ ่าเราจะสนใจหรอื ไมส่ นใจเท่านน้ั เอง ถ้าไม่ สนใจมนั จะไม่ช่วยเท่าไหร่ เพยี งแต่กันตายเท่านั้น แตถ่ ้าเราสนใจนนั้ ลมนี้เปน็ หลักช่วยได้หลายอยา่ ง เช่น เวลาเราหนจี ากทีน่ ง่ั หลับตาอยนู่ ้ี เราก็พยายามรักษา ของเราไว้ ท่านบอกว่าเหมอื นตหี ลักลงไปในดิน ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจของเรา ก็ เหมือนสัตว์ ๖ อยา่ ง ทา่ นมีขอ้ เปรยี บเทยี บ มจี ระเข้ มลี ิง มีนก มหี มา มีหมาไน มี งู ล่ามไว้แลว้ กผ็ กู เชอื กท่ลี า่ มไว้ใหต้ ิดกนั ถา้ ไมม่ หี ลักนะ มนั จะลากกันไปลากกัน มา ตัวไหนแข็งแรงกวา่ เพือ่ นกจ็ ะลากพวกนน้ั ไป เชน่ จระเข้แข็งแรงกวา่ มันจะ ลากอกี ๕ ตัวลงไปในน้ำ ตายพอดี ถา้ เกิดลิงแข็งแรงกว่า มันจะดงึ พวกขน้ึ ต้นไม้ นีธ่ รรมดา ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจของเราเป็นอยา่ งนัน้ ถ้าปลอ่ ยตามเรอื่ งตามราว
20 ชอบแบบไหนกว็ ่งิ ไปตามน้นั ลากไปตามนน้ั อยากจะดูรปู ก็ลากไปทางรปู อยากจะฟังเสยี งกล็ ากไปทางเสียง เพราะฉะน้ันเวลาทา่ นแนะนำใหด้ ธู รรมในธรรม ครอบถึงเรอ่ื งการดอู ายตนะ ท้ัง ๖ คือ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ของเรา แตไ่ ม่ใชด่ เู ฉยๆ ทา่ นบอกวา่ ต้องมี สติ ด้วย มี สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ด้วย และมี อาตาปี หรอื อาตัปปะ ดว้ ย คือความ เพียรเพ่ง นน่ั แหละคือตวั ปญั ญา ทค่ี วบคมุ ว่าเราควรจะทำอยา่ งไร เชน่ เม่ือตาไป เห็นรปู แล้ว ต้องดู ๒ อย่าง คอื หนึง่ ใครเป็นคนดู ความโลภเปน็ ผูด้ ูไหม ความ โกรธเป็นผู้ดไู หม หรอื มสี ตสิ มั ปชญั ญะเป็นผคู้ วบคุมการดู เรยี กวา่ ดเู พอื่ อะไร มี จดุ ประสงคอ์ ะไรในการดู คอื จิตใจของเราไมใ่ ช่ว่าจะอยู่เฉยๆ โดยไมม่ ีเรอ่ื งอะไร เลย แลว้ รูปทส่ี วยๆ มาพอดี กเ็ กิดราคะขน้ึ มาทนั ที ส่วนใหญร่ าคะมันเกิดกอ่ น แล้วเรากพ็ ยายามแสวงหารูปให้สมกับความตอ้ งการ เมอ่ื เกิดโกรธอะไรข้ึนมา อยากจะใหม้ อี ะไรสกั อยา่ งที่จะใหส้ ะใจกบั ความโกรธน้ัน ใจก็จะหาเรอื่ งใหโ้ กรธ จนได้ ถา้ มองเห็นอะไรท่ไี ม่ทำให้โกรธกพ็ ยายามฟงั เสยี งคนนัน้ คนน้ี คนไหนทีไ่ ม่ เข้าหนู ่นั แหละ เราไดช้ อ่ งท่ีจะก่อเรือ่ งก่อราวขนึ้ มา เรยี กวา่ ตอ้ งควบคมุ ดูวา่ ใคร เปน็ คนพาดู พาฟงั พาดม พาลม้ิ รส ต้องระวงั ตวั น้ี แตท่ นี ้ีทเ่ี ราจะดไู ดโ้ ดยไม่หลงไปตามเขา ต้องเอาลมนี้เป็นหลกั คอื รา่ งกายใน ปจั จบุ นั น้ตี อ้ งเป็นหลัก เหมือนเอาสัตว์ ๖ ตัวนน้ั มาผูกไว้กบั หลกั หลกั กต็ อ้ งแน่น มัน่ คงอยใู่ นดนิ ทนี ีพ้ อสตั วจ์ ะลากไป มันกล็ ากไมไ่ ด้ ก็ตอ้ งนอนนงิ่ อยู่ตรงท่เี สา หมอบอยู่ตรงนน้ั นีก่ ารควบคุมอายตนะก็ต้องเปน็ อยา่ งนน้ั ตอ้ งรู้จักแต่งลมใหเ้ ปน็ ทสี่ บายของเรา ใหเ้ ป็นหลักของเรา ถา้ ลมไมส่ บาย ใจจะไปหากินภายนอก หากิน กบั รปู หากินกับเสยี ง กบั กลน่ิ กบั รส กับสมั ผสั และความนึกคิดอะไรตา่ งๆ แต่ถ้า หากว่าลมสบายแลว้ เรอื่ งอะไรจะไปหาเรอ่ื งกบั เขา นี่เรยี กว่า ดูธรรมในธรรม อกี อยา่ งกต็ อ้ งดูวา่ เมอ่ื ดแู ล้วมันมผี ลกระทบต่อจิตใจของเราอยา่ งไรบ้าง ถา้ มนั ทำให้รอ้ นขนึ้ มากต็ ้องรจู้ กั หาวิธีอ่ืนท่ีจะแก้ไข เชน่ เราเห็นรูปท่ชี อบ พอมนั มา ปะทะจิตใจของเรา กต็ อ้ งกลบั มาดูอกี ถงึ สง่ิ ที่ไมน่ า่ ชอบในรปู น้ัน ดา้ นหนง่ึ สวย อกี ดา้ นหนึ่งตอ้ งไม่สวย ก็ตอ้ งดทู ้ังสองด้าน หรอื เสยี งทีเ่ ขาพูดไมด่ นี ัน้ ก็พยายามฟังให้มันดจี นได้ อยา่ งท่านพ่อลเี คยบอกไว้ เขาเรียกเราเปน็ หมา ปกตติ ้องเกิดโกรธขึน้ มา แตท่ ่านบอกว่ามันดี เพราะถ้าเปน็ หมาก็ไม่มีกฎหมาย ไมม่ ใี ครบงั คับขม่ ข่บู งั คับบัญชาได้ จะไปไหนตามใจชอบก็ได้ ก็หมายความวา่ เขาไม่เคารพเรา เราไม่ตอ้ งไปกลัวเขา ไม่ตอ้ งไปสนใจเขา ไม่ต้อง
21 ไปเกรงใจเขา ก็ดไี ปอยา่ ง นี่เรียกว่าใชป้ ญั ญาแก้ไข ไม่ให้ใจชองเราเขา้ ขา้ งกิเลส น่ี เรียกวา่ เรารจู้ กั ใชธ้ รรมะขอ้ น้ี ดูธรรมในธรรมในอายตนะทงั้ ๖ หมายความวา่ อะไรทจ่ี ะผกู ตากบั รูป ผูกหู กับเสียง ตากบั รูปมนั ไมม่ ีอะไรผกู กัน นอกจากวา่ มีราคะ มโี กรธอะไรสักอย่าง มา เป็นเครื่องผกู เม่อื เราเจอเครอ่ื งผูกให้รูจ้ ักตัดออกไปๆ เม่อื ตดั ได้แล้ว พอถึงเวลาท่ี จะนัง่ ภาวนา ใจจะอยตู่ รงไหน กอ็ ยูต่ รงน้ี อยู่ในปัจจบุ นั ทเี่ ราภาวนาไม่เปน็ ก็เพราะอนั น้ีแหละ ปลอ่ ยไปเทยี่ วท้งั วันทงั้ คืน พอถึงเวลาท่ี จะภาวนาก็ต้องเที่ยวตามหา ถา้ คำนวณดแู ล้วภาวนาชั่วโมงเดียว แตอ่ ีก ๒๓ ช่ัวโมงกป็ ลอ่ ยตามกิเลส แล้วฝา่ ยไหนจะแข็งแรงกวา่ กนั กิเลสก็ต้องแขง็ แรงกว่า ตอ้ งเป็นเจ้านายในจติ ใจของเราตลอด ๒๓ ช่ัวโมง พอถึงช่วั โมงนเ้ี ขาจะยอมงา่ ยๆ หรอื เขาเคยเปน็ ใหญ่ เขากจ็ ะพยายามเป็นใหญ่อย่ตู ลอด เพราะฉะนน้ั ต้อง พยายามตัดๆๆ ไปเรอ่ื ย อยา่ งท่านพอ่ ลีบอกไวว้ า่ ปกติตาของเราไมพ่ อดกี บั รูป บางทตี าโตกว่ารปู บาง ทีรูปโตกว่าตา ตาโตกวา่ รูปหมายความวา่ มนั เหน็ น่ันเหน็ นมี่ นั ยงั ไมพ่ อใจ อยากจะเห็นอยา่ งอืน่ อกี หลายๆ อยา่ ง ใหด้ ไู ปเรือ่ ยๆ ดไู มร่ ู้จกั อิ่ม สว่ นรปู โตกว่า ตา หมายความวา่ เราได้เห็นรปู สวยมากๆ ที่เราชอบหรอื รูปที่เราเกลยี ดมากๆ ก็ อยากจะดๆู ๆ รูปน้ันไปเรือ่ ยๆ นเี่ รยี กว่ามนั ไม่พอดกี ัน ตอ้ งเอาตาพอดีกบั รปู รปู พอดกี ับตา หมายความว่าเห็นแลว้ ได้ความพอทจี่ ะรวู้ า่ นคี่ อื อะไร มปี ระโยชน์ หรอื ไมม่ ปี ระโยชน์ แลว้ ปลอ่ ยวาง ก็เท่านน้ั เอง ถ้าไม่มีประโยชนก์ ว็ างซะ ถ้ามี ประโยชนก์ ็พยายามคน้ั เอาแต่ประโยชนอ์ ยา่ งเดยี ว สว่ นทเ่ี หลอื จากนั้นกเ็ อาไปทิ้ง เปน็ กาก กห็ มดเรื่องไป เพราะฉะนน้ั ทีเ่ รามาอบรมจติ ใจของเรา อยา่ ทำเฉพาะเวลานงั่ หลับตาหรือเดนิ จงกรมนะ ตอ้ งดูธรรมในธรรมเก่ียวกับอายตนะทง้ั ๖ ไปเรอ่ื ย เพราะทจี่ รงิ ปัญหา ไม่ไดอ้ ยทู่ ่ีตาท่ีหู มันอยทู่ จี่ ิตใจของเราน้ตี า่ งหาก ใจของเราเปน็ ผู้สัง่ และใจของเรา เป็นผูร้ ับผลกระทบ แลว้ ใจท่ีดูทฟ่ี งั ก็ใจอนั เดียวกันกับท่นี ัง่ ภาวนาอยนู่ แ้ี หละ ถ้า เราฝึกนสิ ยั ตลอด ๒๓ ชว่ั โมงแบบไหน กต็ ้องติดนิสยั แบบน้นั เวลามาน่งั หลบั ตา ด้วย ฉะน้ันพยายามใหส้ รา้ งนสิ ัยทจี่ ะควบคุมสง่ิ เหล่าน้ีได้ คอยระวงั ตา ระวงั ใจ ดู อะไรก็ระวังใจ ฟงั อะไรกร็ ะวังใจของเรา ดมกลน่ิ ลิม้ รสรบั สัมผสั อะไร คดิ อะไรก็ ต้องระวงั ใจ เพราะใจนเ้ี ปน็ ตวั สำคญั เป็นตัวการ ถ้าถกู ควบคุมแบบนี้ พอถึงเวลา นง่ั หลับตา มนั อยทู่ ไ่ี หน มนั กจ็ ะอยูก่ ับลมนแี้ หละ
22 มันผิดกนั ตรงทว่ี ่า ตอนนที้ ่เี รานั่งอยนู่ ี้ ภาระจากภายนอกไมม่ ีแลว้ มภี าระ อยา่ งเดยี วคอื ใหใ้ จของเราอยู่กับลม รู้จกั แตง่ ให้กลมกลืนกัน ให้พอดกี นั เรมิ่ แรกก็ จะกำหนดท่ีจุดใดจุดหนึ่งในรา่ งกาย พอจดุ นัน้ สบาย เราก็นึกขยายวงความสบาย นั้นให้ทว่ั ตวั แล้วขยายความรู้สกึ ของเราใหท้ ั่วตัวดว้ ย หายใจเขา้ -หายใจออกนกึ เสียวา่ ธาตุลมแล่นไปท่วั ร่างกาย แลว้ สตสิ มั ปชัญญะของเราก็จ้าไปทั่วรา่ งกาย เรียกวา่ พอดีกันอกี ให้รกั ษาความพอดนี ้ีไว้ นี่ก็เป็นธรรมในธรรมในปัจจบุ นั เปน็ สมาธธิ รรม เป็นสว่ นหนง่ึ ในมรรค อย่ใู น โพชฌงค์ ก็อยใู่ นธรรมะทั้งหลายท่ีเปน็ ฝา่ ยดีฝา่ ยกุศล จติ ใจของเราจะได้เจรญิ ขนึ้ มา เปน็ ไปเพอื่ ความพน้ ทุกข์ อยา่ งทีว่ า่ ก็ตอ้ งอาศยั ความไมป่ ระมาท เวลาอยู่ ธรรมดาๆ กร็ ะวงั ใจ เวลาอยทู่ นี่ ีก่ ็ต้องระวังใจเหมือนกัน และระวังใหอ้ ยใู่ นทส่ี บาย มนั จึงไมเ่ ครยี ดไม่ลำบาก ถึงแมว้ า่ เรายงั ไม่ได้พน้ ทกุ ข์ทเี ดียว แต่วา่ เราอยู่ใน หนทางทถี่ กู กใ็ ช้ได้
23 ที่พง่ึ ภายใน ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ การที่เรามาภาวนากำหนดลมหายใจเขา้ ออก ไมใ่ ชข่ องเล็กๆ นอ้ ยๆ เปน็ วธิ หี า ความสุขท่ไี ม่เบยี ดเบยี นใคร ไม่ไดส้ รา้ งความแตกแยกกนั พอคดิ ถงึ ความสุขทาง โลก สว่ นมากจะเปน็ ประเภททว่ี า่ เราได้ คนอน่ื ก็ตอ้ งเสีย หรอื คนอืน่ ได้ เรากต็ อ้ ง เสยี เป็นเพราะเหตุนีท้ มี่ นษุ ย์ทงั้ หลายอยดู่ ว้ ยกนั ยาก แตถ่ ้าหากวา่ เราหาความสุข ประเภททว่ี ่า เราได้ คนอืน่ เขากไ็ ด้ นน่ั เปน็ ความสุขทพ่ี เิ ศษ ทำให้เราอยดู่ ว้ ยกัน โดยท่ีทะเลาะกนั กไ็ ด้ เคยมคี นหนึง่ ถามหลวงปู่สวุ จั น์ว่า ทำไมในพระพทุ ธศาสนาไมม่ ีพระเจ้า ถา้ มี พระเจา้ กจ็ ะเป็นท่อี ุน่ ใจ หลวงป่กู ็ตอบว่า ถา้ หากวา่ มพี ระเจา้ องคใ์ ดท่ีบญั ญัติได้ว่า เรากินขา้ ว คนอื่นจะอ่มิ ดว้ ย ก็จะกราบไหว้พระเจ้าองค์นน้ั แตท่ นี ้ีโลกไม่เป็นอยา่ ง นัน้ เรากินเขา้ ไปกเ็ ฉพาะของเรา คนอน่ื กินเข้าไปกเ็ ฉพาะของเขา แตค่ วามดี ในทางธรรมไม่ได้ขีดเขตแบ่งแยกกัน เราทำทาน เราก็ได้ คนอ่ืนกไ็ ด้ เรารกั ษาศีล เราไดค้ วามดี คนอน่ื ก็ได้รบั ความปลอดภยั จากเรา ท่เี รามาภาวนาอย่นู ี้ เราสร้าง ความเขม้ แขง็ ขน้ึ มาในจติ ใจของเรา สรา้ งความสุข ที่ไมต่ อ้ งองิ อะไรและไมต่ ้อง ขนึ้ กบั ใครท้งั น้ัน ถ้าความสขุ นี้เรารูจ้ ักอบรม รูจ้ ักหลอมขึน้ มาใหเ้ ป็นก้อนอยู่ภายใน หมายความ วา่ มนั มั่นคงทนทาน เราลกุ จากท่ีก็ไมล่ ะลาย ไม่ไดท้ ิ้งอยูต่ รงนี้ เราพยายามรักษา ของเราไว้ให้ตดิ ตัวไปเรื่อย พยายามกำหนดดูวา่ เวลาหายใจสบายจริงๆ บริเวณ หวั ใจสบายไหม ทค่ี อสบายไหม ทศ่ี ีรษะสบายไหม พยายามหาจุดใดจดุ หนง่ึ ทร่ี ู้สกึ วา่ สบายกวา่ เพอื่ น แลว้ ถอื ว่า นีแ่ หละคือจดุ ของเรา เราพยายามรกั ษาของเราไว้ เหมือนเราถือขันทเ่ี ต็มเป่ยี มด้วยน้ำ ไม่อยากจะให้มันหยดออกไป เรากต็ ง้ั ใจ ประคองของเราไว้ ถา้ หากวา่ มคี วามสขุ ทป่ี ระคองไดแ้ บบน้ัน ใครจะพูดอะไร ใคร จะวา่ อะไร ก็เปน็ เรอื่ งของเขา เราจะไม่ปลอ่ ยให้เข้ามาถึงหัวใจของเรา เรารกั ษา ของเราไว้ กจ็ ะกลายเปน็ ทีไ่ ว้วางใจของตัวเองได้ คนเราส่วนมากทที่ ำอะไร พูดอะไร คิดอะไรที่ไมด่ ีน้นั กเ็ พราะตวั เองไม่มี ความสุข หรือมคี วามสขุ ที่ไม่มัน่ คง กลัวมันจะหายไป กเ็ ป็นห่วงเป็นใย อาศัย ความกลวั อนั น้แี หละ ทเี่ รียกว่ากลวั ผิดทาง แลว้ เราจงึ สรา้ งความเดอื ดร้อนขน้ึ มา เพราะเราคิดไม่ดี ทำไมด่ ี พดู ไม่ดี แต่ถ้าหากเรากลัวความไมด่ ีนนั่ แหละ เรยี กว่า
24 กลัวถกู ทาง เรากพ็ ยายามรักษาความสบายภายในของเรา เพราะเรารวู้ ่า ความ สบายของเรา คนอืน่ ทำลายไม่ได้ ไม่มคี วามกลวั แบบน้ัน เราก็เร่ิมไวใ้ จตวั เองได้ มากข้นึ เราจะไมพ่ ดู อะไรทเ่ี ปน็ อกศุ ล คดิ อะไรหรอื ทำอะไรทีเ่ ป็นอกศุ ล จะทำไป ทำไม จะทำลายความสขุ ของเรา คนทไ่ี มม่ ีความสุข ก็คิดร้อยแปดพนั อยา่ ง อะไรๆ ก็ทำได้ ดีกท็ ำได้ ชั่วกท็ ำได้ เพราะมนั วา้ ว่นุ ไมอ่ ุ่นใจ แตถ่ า้ ใจของเรามที ลี่ ง ที่สบายแล้ว เราก็พยายามประคอง ไปเรอ่ื ยๆ ทกุ ขเวทนาอะไรเกิดขน้ึ มาในรา่ งกาย เราก็มีที่หลบหลีกทสี่ บายของเรา ถา้ หากวา่ เราพิจารณาทกุ ขน์ ้ันให้แตกให้ละเอียดยงั ไมไ่ ด้ เราก็ยงั มที ่หี ลบภยั ได้ เพราะคนอื่นทำอะไร พดู อะไรทีไ่ ม่เขา้ หู ขวางจติ ใจของเรา เรากถ็ อื ว่า สว่ น ภายในของเรายังรักษาความสบายเอาไว้ เราก็ทนอยไู่ ด้ ไม่ใชก่ ดั ฟันทนนะ แต่ทน ด้วยความสบายภายใน ลกึ ซงึ้ ภายใน ความไวว้ างใจตัวเองกจ็ ะมีมากข้ึน ฉะนนั้ วิชานี้เรยี กวา่ เปน็ วิชาสร้างทีพ่ ง่ึ ภายใน ท่เี ราถอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์เปน็ ที่พงึ่ ภายนอกน้ันกอ็ ยู่ข้ันหนง่ึ เพราะ ท่านเป็นตวั อยา่ งท่ีดี เราอยใู่ นโลกน้ี ตัวอยา่ งทไี่ มด่ ีมมี ากต่อมาก แตพ่ ระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์นน้ั ไวใ้ จได้ ทา่ นแสดงวิธีวา่ คนที่จะหาความสขุ ทแ่ี ท้จริง ที่ รับผิดชอบนนั้ ต้องทำอย่างนี้นะ จึงเป็นทอ่ี ่นุ ใจในขน้ั หน่งึ แต่ท่ีจะทำใหอ้ ุ่นใจ จรงิ ๆ ต้องเอาคณุ ธรรมของทา่ นเขา้ มาอบรมใหม้ ขี ้นึ ในจติ ใจของเรา เช่น ทา่ นเป็นผมู้ สี ติ เปน็ ผมู้ ีปญั ญา เรากพ็ ยายามสรา้ งสติปัญญาของเราขนึ้ มา ท่านเป็นผู้มสี มาธติ ัง้ มัน่ เรากพ็ ยายามสรา้ งจิตใจของเรา อบรมจิตใจของเราให้ตั้ง มนั่ ขึ้นมาตามแบบของพระองค์ ตามแบบของพระอรยิ เจา้ ทง้ั หลาย นกี่ จ็ ะเปน็ ที่ พงึ่ อกี ขนั้ หนึ่ง ให้ความปลอดภยั ปลอดภยั จากอะไร ก็ปลอดภัยจากอกศุ ลธรรม ทง้ั หลายแหล่ ส่วนขนั้ สงู สุดก็ต้องสรา้ งความปลอดภัยจากกุศลกรรมดว้ ย ท่ีว่าจะไดค้ วาม ปลอดภยั ทีด่ ที ส่ี ดุ ตอ้ งปฏิบตั ิให้ถึงทีส่ ุด ทที่ ่านเรยี กว่า อมตธรรม ธรรมท่ีไมต่ าย ธรรมน้นั ทง้ั กศุ ลธรรมและอกศุ ลธรรมเขา้ ไมถ่ ึง คอื กศุ ลธรรมถงึ จะดี ดีกวา่ อกุศล ธรรม แตย่ งั มีขอ้ เสยี ตรงทวี่ า่ มันใหผ้ ลไม่ตลอด เราทำสิง่ ท่ีดีตอ้ งคอยรกั ษาไว้แล้ว ก็ทำดีไปเร่ือยๆ แตเ่ ม่ือวิบากนน้ั หมดไป เรากต็ อ้ งทำใหม่ สว่ น อมตธรรม นั้น อยา่ งท่ีทา่ นพอ่ ลีบอกไวว้ า่ ไมต่ ้องไปเก็บ ไม่ตอ้ งไปรักษา ไม่ตอ้ งไปดแู ล มนั เป็นเอง นัน่ เรยี กวา่ เป็นท่พี ง่ึ ของเราในขั้นสงู สดุ
25 ฉะนัน้ ทางท่เี ราปฏบิ ตั นิ เ้ี ปน็ ทางที่จะถึงความปลอดภัยทไี่ มม่ อี ะไรทำลายได้ แตค่ วามดีไม่ตอ้ งไปรอถงึ ปลายทาง ในระหวา่ งทางทีเ่ ราปฏิบตั อิ ยนู่ ี้ จิตใจของเรา จะคอ่ ยดขี นึ้ ม่ันคงข้นึ มา เปน็ ใจท่ไี ว้ใจตัวเองขน้ึ มา เพราะเรารู้จกั รกั ษาความดี ของเรา แลว้ กใ็ ช้ความดตี ่อสกู้ ับทุกขเวทนา ตอ่ ส้กู บั เหตุจากภายนอกทง้ั หลาย ต่อสู้กบั อกุศลธรรมทเ่ี กดิ ขึน้ ภายในจติ ใจของเราด้วย นีเ่ ปน็ กำลงั ทส่ี ำคญั มาก
26 แกน้ สิ ยั ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ การทเ่ี รามาปฏิบตั ิธรรมเรยี กว่าฝึกนิสยั บางคนกว็ า่ เขาภาวนายงั ไมไ่ ดเ้ พราะ ใจยังฟุ้งซา่ นอยู่ ก็นสิ ัยของเราในปจั จบุ นั อาจจะเปน็ อยา่ งน้ัน แตม่ ันไม่จำเปน็ ที่ จะต้องเปน็ อยา่ งนัน้ ตลอดไป ทบี่ อกว่าภาวนาไมไ่ ด้เพราะจิตฟ้งุ ซา่ น เหมือนกับ คนที่บอกวา่ ฉันเปน็ โรค ฉนั กินยาไมไ่ ด้ การฝึกภาวนานกี้ ็เพอ่ื แกน้ ิสยั ทฟี่ งุ้ ซ่าน นั้นเอง ไม่ใช่ว่าทกุ คนทมี่ าภาวนาต้องเปน็ คนทใ่ี จสงบเสงย่ี มอยแู่ ลว้ หรอื ใจที่เชื่อง อยแู่ ล้ว แตล่ ะคนๆ ก็ตอ้ งมาจากใจฟุ้งซา่ นไว้ก่อน ถงึ จะเปน็ จติ ใจท่ีสงบได้ แต่วา่ ต้องฝึกเปลย่ี นนสิ ยั เทา่ นั้นเอง ยง่ิ สังคมทุกวนั นี้ เขากส็ รา้ งความฟุง้ ซา่ นมากเขา้ ๆ มมี อื ถอื มอี ะไรทกุ สงิ่ ทกุ อย่าง บางทีน่งั คยุ กัน คนหนึ่งกส็ ง่ ขอ้ ความไปหาอีกคนหน่ึง ส่งไลน์ไปใหอ้ กี คน หนึ่งพรอ้ มกันเลย หรอื บางทที ำงานหลายๆ อยา่ งพรอ้ มๆ กนั กส็ ร้างความฟงุ้ ซา่ น ใหเ้ พ่มิ ข้ึนมา นสิ ยั แบบนกี้ ็ไม่ดสี ำหรบั เรา มนั อาจจะช่วยใหเ้ ราทำงานไดใ้ ห้ทนั เขา แตว่ ่าจิตใจของเรากเ็ สยี ไป นิสยั ของเราก็เสอื่ มไป เพราะคนเราท่จี ะรอู้ ะไรจรงิ ๆ ต้องร้อู ยา่ งเดียวใหม้ ันลกึ ซงึ้ เขา้ ไปเลย และทจ่ี ะรู้แบบนั้น โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ จิตใจ ของเรา เราต้องถอื วา่ ในขณะที่นงั่ ภาวนาอยูน่ ่ี เราจะไมส่ นใจอะไรทั้งสนิ้ นอกจาก จติ ใจในปจั จบุ ัน เร่อื งทเ่ี ราเทย่ี วมากว็ างเสยี ที่เราจะเทยี่ วต่อไปก็วางเสยี ให้อยู่ เฉพาะตรงน้ี ถา้ ใจไมอ่ ยู่กพ็ ยายามสอดส่องดูว่า เป็นเพราะอะไรทไี่ มอ่ ยู่ เปน็ เพราะลมไม่ดี หรอื เรากแ็ กไ้ ขลมได้ เพราะเปน็ กายสังขาร เป็นส่ิงท่ีปรงุ ได้ แตง่ ได้ ถา้ ลมยาว ไปไมด่ ี กใ็ ห้มันสั้นเข้า หรือถ้ามนั สน้ั ไปก็ใหม้ ันยาวออกไปอีก ลกึ -ต้ืน เรว็ -ช้า หยาบ-ละเอยี ดอยา่ งไร เรากป็ รงุ ได้ ทดลองได้ ทท่ี า่ นเรยี กกายสงั ขารเพราะลม หายใจเปน็ ผู้ปรุงความรสู้ กึ ในรา่ งกายของเรา ถา้ ลมไม่ดคี วามรสู้ กึ ทั่วกายก็จะไมด่ ี ไปตาม เพราะฉะนน้ั ถา้ เรารสู้ ึกหงุดหงิด หรือกระสับกระส่ายอยู่กถ็ ามตวั เองวา่ ลมหายใจของเราเปล่ยี นแบบไหนจึงจะดขี ึน้ หรอื เวลาเราเพลียไป หายใจแบบ ไหนทจี่ ะใหม้ ีกำลังขึ้นมาได้ กพ็ ยายามศึกษาตรงน้ี หรือถ้าเปน็ เรอื่ งของจติ ใจ หมายความวา่ มีอารมณ์คา้ งอยู่ อย่างมปี ัญหาเรอื่ ง นน้ั เรื่องนตี้ ดิ อยใู่ นใจ ให้พยายามแต่งความคดิ ของเราให้เหน็ วา่ ปญั หานั้นไม่ จำเป็นทเ่ี ราจะตอ้ งไปสนใจในขณะน้ี อยา่ งอาตมาเคยไปโรงพยาบาลทก่ี รุงเทพฯ
27 พอดีโยมคนหน่ึงเขานิมนต์พระไปเย่ยี มพอ่ เขา เพราะพอ่ เขาใกล้จะตายเนอ่ื งจาก เป็นมะเรง็ ในตับ ปรากฏว่าพอ่ เคยเปน็ นักกีฬา ร่างกายกฟ็ ิตและภมู ิใจมาก ว่าถงึ จะแก่ลงไป แต่ร่างกายยังอย่ใู นสภาพทีด่ ี ทีนพี้ อเกิดเปน็ โรคตบั ข้ึนมา พุงกใ็ หญ่ แกก็นอนบน่ อยู่ว่า นร่ี สู้ กึ อายเขา ร่างกายไมน่ า่ ดแู ล้ว กแ็ กเอาเร่อื งทไี่ มเ่ ป็นเร่อื ง มาหนักใจ ที่จริงแกควรสนใจสภาพจติ ใจของเจา้ ของดีกว่า ธรรมชาตขิ องร่างกาย ก็ต้องเส่ือมเป็นธรรมดา ก็เปน็ กันทุกคนๆ ไม่ใช่เรอื่ งที่จะต้องอาย เรอ่ื งที่สำคญั คอื สภาพจิตใจของเราเปน็ อยา่ งไร น่ตี ้องคอยระวังเพราะจิตใจของเราถา้ ไมอ่ บรมให้ดีแล้ว จะคิดอะไร จะตดิ อะไรทไี่ ม่เปน็ สาระแกน่ สาร มาสร้างอุปสรรคให้ตวั เอง เพราะฉะนั้นความคิดอะไร เกดิ ข้ึนมา เราตอ้ งรู้จกั หาวธิ ีวางเสยี ถา้ ความคิดน้ันไม่หายไป กไ็ มจ่ ำเปน็ ท่ีจะไป สนใจมนั เหมือนเป็นโทรทัศน์ทคี่ นอนื่ เขาเปดิ ทง้ิ ไวใ้ นบ้านเขา ไอท้ ีม่ นั เปิดทิง้ อยู่ น้ันไมไ่ ด้หมายความวา่ เราจะต้องไปดู เราไมต่ ้องไปสนใจ มนั เปน็ เร่อื งของคนอื่น เรากอ็ ยคู่ นละสว่ น ส่วนจิตใจของเราก็เชน่ เดยี วกนั บางครัง้ ความคดิ ของเราห้ามไมไ่ ด้ ถึงจะห้าม ไม่ได้เราก็ไม่ต้องไปสนใจเขา เขากว็ ่าของเขาไปเรอ่ื ย แตเ่ ราไมส่ นใจ เรากลบั มาดู ลม คอ่ ยแยกตัวออกจากสงิ่ เหล่าน้นั ทำไปๆ ความคดิ น้ันจะค่อยสงบลงไปๆ ทมี่ นั มกี ำลงั เพราะเราใหค้ วามสนใจ บางคร้ังแค่ให้ความสนใจวา่ อยากจะดบั มนั จะไล่ มันออกไป แค่น้นั แหละมนั ยง่ิ ฟงุ้ ใหญเ่ ลย ฉะนน้ั เราทำแบบไมร่ ้ไู มช่ ี้ดกี ว่า เขาจะ ว่าอยา่ งไรกเ็ ร่ืองของเขา แตเ่ รามาอย่กู บั ลม น่กี แ็ ก้ปญั หาได้ ใหถ้ อื ว่าเรามาฝกึ นสิ ยั ทจี่ ะเป็นนกั ตอ่ สู้ เวลาท่ีจะเข้าสงคราม คอื ความแก่ ความเจ็บ ความตายน้นั เราจะมาสนใจเรอื่ งน้ันเรอ่ื งนีท้ ไี่ มใ่ ช่เรอ่ื ง เดย๋ี วเรากแ็ พ้ แน่ๆ ให้ถือวา่ ในขณะนนั้ สงิ่ ที่สำคญั ก็คือทำอยา่ งไรจติ ใจของเราจะอยู่กบั อารมณ์ ทดี่ ี รกั ษาอารมณ์ดขี องตวั เองได้ ถา้ อารมณ์ดีของเราข้ึนอยู่กับว่าสิ่งแวดล้อมต้องดี เราตายแน่ๆ คนท่เี ปน็ นกั ตอ่ สู้นน้ั ถึงจะมีเหตุการณไ์ มด่ เี กดิ ข้ึนแตเ่ ขาไมห่ วน่ั ไหว อยา่ งนกั กีฬาท่ีดี เคยมีอย่คู รั้งหนงึ่ มีนักวา่ ยน้ำ ตอนนน้ั คนก็คาดกนั ว่าเขา จะตอ้ งชนะทงั้ หมดเวลามาแขง่ โอลมิ ปิค ที่นพ้ี อแข่งครง้ั แรก แกกแ็ พ้ พวกนกั วจิ ารณก์ บ็ อกว่าสงสยั จะไมช่ นะอะไรสกั อยา่ ง แพค้ ร้ังแรกเดยี๋ วกต็ อ้ งเสียใจ นอ้ ยใจ แลว้ คราวต่อไปก็ต้องแพ้ๆๆ ฝา่ ยโคช้ ของเขาบอกวา่ เขาไม่ใชค่ นแบบนั้น ลองดูซิ แลว้ ก็จริงด้วย การแขง่ ทเี่ หลอื จากนั่นแกก็ชนะหมด คอื ไมย่ อมใหท้ แี่ พ้ ครงั้ แรกนนั้ ทำใหเ้ สียใจ
28 เราเปน็ นักปฏิบตั ิ เรียกว่าเป็นนักตอ่ สู้ ไม่ใช่วา่ จะต้องชนะตลอดเวลา ก็ต้อง แพ้บา้ งเปน็ บางครัง้ แตว่ ่าไมย่ อมใหอ้ าการทแี่ พน้ ั้นทำให้ใจเสีย เราก็สูๆ้ ๆ อยเู่ ร่อื ย แต่ไม่ใชเ่ อาเฉพาะแรงโหมเขา้ ไป เราตอ้ งใชป้ ญั ญาเปน็ กำลงั ทส่ี ำคญั ท่สี ดุ ปญั ญา ก็จะค่อยคิดดูวา่ ทเ่ี ราทำน่ไี ม่ดีเพราะอะไร ตรงไหนท่ีมันไม่ดี อันไหนทพี่ อแกไ้ ขได้ เรากแ็ ก้ไป ถา้ ไมร่ ้จู ะแกอ้ ะไรดี เราก็พยายามทดลองใชอ้ นั น้ันใช้อันน้ี เปลย่ี นลม ของเรา เปลย่ี นความคดิ ของเราจนไดท้ ี่ น่ี ตอ้ งนิสัยแบบนจ้ี ึงจะเป็นนกั ปฏิบัตไิ ด้ เป็นทีไ่ ว้วางใจของตวั เองได้ ถา้ ไวใ้ จ ตวั เองไมไ่ ด้ จะไปไว้ใจใครทไ่ี หน แลว้ จะหวงั พึ่งใครท่ไี หน คนอ่นื บางสิ่งบางอยา่ ง เขาพอจะชว่ ยเราได้ แตท่ ่สี ำคัญๆ เชน่ เวลาเราแกแ่ ลว้ เจ็บแลว้ ตายแลว้ ทำ อยา่ งไรใจของเราจะไมเ่ สยี นนั่ เป็นเรอื่ งของเราโดยตรง ถา้ เราตงั้ ใจให้ดจี ะได้แก้ นิสยั กลายเปน็ นิสยั ทพ่ี ง่ึ ได้ ไวใ้ จตัวเองได้ นี่พระพทุ ธเจา้ ที่สอนธรรมะกส็ อนจุดน้ีแหละ แก้นสิ ยั ของมนษุ ย์ ทา่ นไม่ได้ สอนเฉพาะสำหรบั คนทเี่ ก่งแล้ว ดีแลว้ ทา่ นสอนทกุ คนๆ ท่ตี ง้ั ใจหวังทจ่ี ะพน้ ทกุ ข์ แต่ท่ียงั สรา้ งความทกุ ขใ์ หต้ ัวเอง อยากจะแกน้ ิสยั พระองคก์ ส็ อนวิธีให้ เพราะฉะน้ันการปฏบิ ัติของเราจะเรว็ หรอื ชา้ ก็ไมส่ ำคัญ แตส่ ำคญั อยู่ท่ีวา่ เรามี นสิ ัยต่อสู้ ถ้ามี สกั วันหน่งึ จะตอ้ งชนะจนได้
29 มมุ สงบ ๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๖ วัดของเรา หลวงปูส่ ุวจั น์ชอบเรยี กวา่ เป็นมุมสงบ ทเี่ รามาหลบหลกี จากความ วนุ่ วายของโลกท้ังหลาย เรามโี อกาสทจี่ ะดูจติ ใจของเจา้ ของ อบรมจติ ใจของ เจา้ ของ ให้พ่งึ ตัวเองได้ เรามาอยทู่ น่ี ี่เรยี กวา่ กายวิเวก สงดั ทางกาย ไมไ่ ด้วนุ่ วาย กับสังคมภายนอก ก็วนุ่ อยนู่ ดิ ๆ หนอ่ ยๆ แตไ่ มเ่ หมอื นภายนอก ภายนอกเขาเอา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปน็ เคร่อื งวัด ที่นเ่ี ราไมไ่ ด้วัดแบบนนั้ เราวดั จติ ใจของเราวา่ มคี ณุ ธรรมไหม ถ้าเปดิ โอกาสให้ ทุกคนได้มองดูภายในจติ ใจของตัวเองว่ามันเปน็ อย่างไร สว่ นไหนทด่ี ี ส่วนไหนที่ ไม่ดี สว่ นไหนทีฉ่ ลาด ทไี่ ม่ฉลาด แล้วก็ใชว้ ชิ าแก้ไขด้วย ถ้าไมม่ วี ชิ ามันจะบา้ เอา เรามาอยู่กบั ลม ลมเข้าเป็นอย่างไร ลมออกเป็นอย่างไร เราเอาลมนเ่ี ปน็ วิหาร ธรรม เป็นทอี่ ยขู่ องเรา แตง่ ใหด้ ี เหมือนเราตกแต่งบ้านใหเ้ ป็นท่ีสบายของเรา บ้านของเราไมม่ ที ่นี อน เรากจ็ ัดทน่ี อนให้ ไม่มที นี่ ่ัง เราก็จัดทน่ี ัง่ ให้ ลมหายใจของ เรากเ็ ชน่ เดยี วกนั เวลาใจรสู้ กึ เพลยี เราควรทำอยา่ งไร หายใจแบบไหนจึงจะใหม้ ี กำลงั ขน้ึ มา เวลามนั เครยี ด หายใจแบบไหนทจี่ ะให้คลายความเครยี ด กแ็ ต่งลมได้ ทัง้ นั้น ถา้ มอี าการเจบ็ มีอาการปว่ ยภายในรา่ งกายของเรา เราก็แตง่ ได้ เรามาอยทู่ น่ี ่ี เรามโี อกาสศกึ ษา มีเวลา แต่ปัญหาอยทู่ ่ีว่า ออกจากทนี่ ่ีไปจะทำ อยา่ งไร ก็ต้องเอามมุ สงบน้ีตดิ ตัวไปด้วย และกพ็ ยายามรกั ษาจุดของเรา อยา่ งเช่น ทท่ี ่านสอนเวลากำหนดลมหายใจจะตอ้ งมีจุดใดจดุ หน่ึงในร่างกายของ เราเปน็ ท่ีตัง้ บางคนกต็ งั้ ท่ีปลายจมูก บางคนก็ตัง้ ทีล่ ิ้นป่ี หรือกลางหนา้ อก หรือ กำหนดที่ทอ้ ง แลว้ แตเ่ ราถนัด แล้วก็ทำความรู้สกึ นัน้ ให้ติดต่อไปเรอ่ื ยๆ พอรสู้ ึก เครียดขึ้นมาที่จดุ นนั้ กค็ ลายๆ ไป ถา้ รักษาได้ เรากพ็ ยายามรกั ษาทกุ โอกาสทเี่ รา พอจะทำได้ มนั ก็ไม่หนกั หนาอะไร นงั่ คยุ กับเพอื่ นเรากร็ ักษาของเราได้ อยทู่ ่ี ไหนๆ ก็รักษาของเราได้ แตอ่ ยา่ ใหท้ างโลกเขา้ มาเบียดเบียนมมุ สงบของเราก็แล้ว กัน ปกตคิ นเราพอเจอเรอ่ื งอะไรท่ีวนุ่ ๆ วายๆ กจ็ ะสร้างความเครยี ดข้ึนมา จะมี อาการท้งั จิตใจด้วย ทง้ั ร่างกายดว้ ย ลมกเ็ กดิ ผดิ ปกตขิ นึ้ มา ถ้าเราปล่อยให้เรื่อง ภายนอกเขา้ มา แต่ถา้ เราไม่ไดป้ ลอ่ ยให้เข้ามา กก็ น้ั ไว้ เขาก็อยสู่ ่วนของเขา เราก็ อยู่สว่ นของเรา เรารกั ษาของเราไว้ นีเ่ ปน็ วิชาทต่ี ิดตวั ไปได้
30 เรามี จติ วเิ วก อยภู่ ายใน ความคิดอะไรที่เกิดขนึ้ มา ทจ่ี ริงเรื่องภายนอกจะเขา้ มาได้เพราะเราสรา้ งสะพานใหม้ ันเข้ามา หรอื สนใจเอาเร่อื งภายนอกเขา้ มาวุน่ วาย ภายในของเรา เราก็พยายามเปลยี่ นนสิ ัย มนั เรมิ่ อยทู่ ่ีน่ี พอเรามานง่ั อยใู่ นทีส่ งบ เราจงึ จะรสู้ กึ ตัวขึ้นมา ถึงจะมีกายวิเวกแต่จติ ไมว่ เิ วก มันมพี รรคมพี วกไม่ร้กู คี่ นอยู่ ในนนั้ เอาเรอ่ื งน้ันเข้ามาพดู เอาเรอื่ งน้เี ขา้ มาพดู ถ้าเราไปสนใจกบั เขา ไปวุน่ วาย กบั เขา นน่ั แหละเขาจะดงึ เราออกจากท่ี เราพยายามไมส่ นใจ เราอยู่กับลม แต่ คอยมองดูในแงท่ ่วี า่ ความคิดอันนที้ ่เี กดิ ข้นึ ในจิตใจของเรามาจากไหน มาจาก ความโลภ โกรธ หลง หรือมาจากสว่ นทด่ี ขี องเรา ถ้ามาจากทไี่ มด่ ี จะไปยุ่งกับมนั ทำไม อกี อยา่ งหนง่ึ ถา้ เราคิดเรอ่ื งนัน้ มันจะพาเราไปถงึ ไหน คอื ความคดิ ของเราไม่ใช่ ลอยไปลอยมาโดยไมม่ อี ทิ ธพิ ลอะไร มันตอ้ งแสดงออกทางกาย ทางวาจาด้วยซกั วันหน่งึ เพราะฉะน้ันความคดิ ทไี่ มด่ ีจะเอามายงุ่ เกยี่ วข้องทำไม เรากม็ สี ทิ ธิ์ทจ่ี ะ เลอื ก จุดนีส้ ำคัญมาก เราเลอื กได้ อารมณ์ของเรา อย่างพระพุทธเจา้ พระองค์ ไม่ใชค่ นประเภทที่วา่ ไปหาเรอื่ งเถยี งกับคนนนั้ เถยี งกบั คนนใ้ี ครตอ่ ใคร แต่ถา้ หาก วา่ มคี นสอนวา่ คนเราไมม่ ีทางท่ีจะเลอื ก อะไรทจี่ ะเกิดข้ึนก็มาจากเหตุปัจจยั ท่เี รา ควบคุมไมไ่ ด้ พระองค์จะไปเถียงกบั เขา ไมใ่ หส้ อนคนใหโ้ ง่ ไมใ่ หส้ อนคนใหท้ อด ธรุ ะ เพราะจติ ใจของเรา เราแต่งได้ อารมณ์ของเราก็แต่งได้ แตท่ ่สี ำคญั อยทู่ ี่ว่า เราจะเลอื กให้ดี ก็ตอ้ งดวู ่าความคดิ อนั น้ีมาจากไหน แลว้ จะพาเราไปทีไ่ หน ท่ีเรา ชอบหรอื ไม่ชอบ อย่าไปเกี่ยวขอ้ ง นอกจากว่า เราจะดวู ่า สง่ิ ทค่ี วามคดิ น้นั จะพา ไปหาเปน็ ทช่ี อบไหม ตอ้ งการจริงๆ ไหม เปน็ สงิ่ ทดี่ จี รงิ ๆ ไหม อยา่ งความคดิ อัน ใดท่ีเกดิ ขึ้นเพราะเรอ่ื งกามก็ดี เรอื่ งพยาบาทก็ดี เรือ่ งทจ่ี ะเบียดเบียนคนอื่นหรอื เบยี ดเบียนตัวเองกด็ ี จะคดิ ไปทำไม เพราะเรารอู้ ยู่วา่ สิง่ เหล่านี้จะพาเราไป ในทางที่ไม่ดี อย่างพระองคเ์ อง ตอนที่แสวงหาคณุ ธรรม ทา่ นบอกวา่ ที่ได้อยู่ในองคม์ รรค แล้ว เพราะร้จู กั แยกความคดิ ของพระองคเ์ องออกมาเป็น ๒ ฝา่ ย ฝ่ายที่น่าคิดกบั ฝา่ ยที่ไมน่ า่ คดิ แต่ท่เี ลือกว่าน่าคดิ หรอื ไมน่ ่าคิดน้นั เอากฎเกณฑท์ ว่ี ่า จะพาไปถงึ ไหน พาไปถึงความทุกข์หรอื พาไปถงึ ความสุข และความสขุ ทีจ่ ะพาไปนน้ั เป็น ความสุขทไ่ี วใ้ จไดไ้ หม ตอ้ งแยกใหล้ ะเอยี ด เพราะฉะน้ันความคิดอะไรทผี่ ดุ ขนึ้ มา ในจติ ใจของเรา ไมจ่ ำเปน็ ที่จะต้องไปเกี่ยวขอ้ งกบั มนั ต้องตรวจตราใหด้ ีก่อนว่า เขาจะพาไปถึงไหน
31 ท่ีนปี้ ัญหาอยูท่ ีว่ า่ ใจของเราถา้ มนั หวิ มนั จะควา้ เอาทุกสิ่งทุกอยา่ งใหเ้ ข้าปาก หมายความวา่ คิดอะไรขนึ้ มาก็จะเอา แตถ่ ้าหากวา่ เราร้จู ักแต่งลมของเราให้ดี อยู่ ที่ไหนก็มีความสุขอย่ภู ายใน ใจของเราไม่หวิ เราจะได้เลอื กให้ถูกตอ้ ง นเ่ี ปน็ วิชาท่เี อาตดิ ตัวไปได้ หลักมีอยวู่ ่า เราสร้างความดที ไ่ี หน ท่ีน่นั กเ็ ป็นบา้ น ของเรา เรามาเมอื งนอก เราสรา้ งความดี ท่ีนีเ่ มอื งนอกก็กลายเป็นบา้ นของเรา แต่อยา่ ไปสร้างเฉพาะภายนอก จะตอ้ งสรา้ งความดภี ายในดว้ ย เคยมโี ยมคนหนง่ึ เขา้ ไปหาท่านพอ่ เฟอ่ื งเปน็ ครั้งแรก ท่านก็ถามวา่ เคยทำบญุ ที่ไหน เขากบ็ อกว่า เคยไปทำทวี่ ดั โนน่ วัดน่ี ทา่ นกย็ อ้ นถามอีกวา่ อา้ วทำไมไมท่ ำ ท่ีใจล่ะ ถา้ เราทำบญุ ท่ใี จ หมายความวา่ อบรมจติ ใจของเราให้ดี นนั่ ล่ะเป็นบา้ น ของเรา เปน็ ทอี่ ยขู่ องเราได้ กค็ นเราทเี่ ปน็ ทุกขน์ น้ั เพราะอยู่กับตวั เองไมไ่ ด้ ตอ้ ง หาเรอ่ื งภายนอกใหห้ นอี อกจากปัจจบุ นั แต่ถงึ จะหนี ก็หนีไม่ได้นาน ตอ้ งกลบั มา อกี ไมช่ อบก็หนีอีก กต็ อ้ งกลบั มาอกี ทางท่ีดเี ราต้องแตง่ ภายในของเราในปจั จุบันให้ดี แต่งจติ ใจของเรา แต่งลม หายใจของเราให้ดี ทที่ า่ นเรียกว่า กายสงั ขาร วจีสงั ขาร จติ สังขาร ลมนี้เปน็ กายสงั ขาร เรากแ็ ต่งได้ สว่ นเรอื่ งทเ่ี ราพดู อยู่ภายในจติ ใจของเรา นนั่ เรยี กว่า วจี สังขาร คือวิตกวจิ ารเรอื่ งนัน้ เรือ่ งนี้ เราวิตกวิจารในเรือ่ งทเ่ี ปน็ ธรรม สว่ น จติ สงั ขาร คือสัญญากับเวทนา สญั ญาท่ีหมายรวู้ า่ อันนนั่ คืออันนั้น อันนค่ี อื อนั น้ี เวทนา - ความสุขความทุกข์ หรอื ไมส่ ุขไมท่ กุ ข์ สิ่งเหลา่ นเ้ี ราแต่งได้ อยา่ งเชน่ มี ทกุ ขเวทนาในรา่ งกายแต่เราแตง่ ลมของเราให้เกดิ สขุ เวทนาข้ึนมาในบางส่วนได้ เรยี กว่า ใจมีวชิ ารักษาตวั ได้ ถงึ จะอยู่ในที่ลำบากแตเ่ รายงั มวี ิชาภายในของเรา ใจ ของเรากไ็ ม่เดอื ดรอ้ นเพราะเรามมี ุมสงบอยู่ตรงน้ีแหละ เปน็ ทอี่ ย่ขู องเรา เปน็ บ้าน ของเรา น่กี ว็ ิชาทเี่ อาติดตัวไปได้ อยู่ทไ่ี หนเรากม็ มี ุมสงบภายในใจ ไมต่ อ้ งทกุ ข์ และ ไมใ่ ชเ่ ฉพาะใจของเรา ถา้ เรารูจ้ กั ดแู ลความสุขความทุกขภ์ ายในจิตใจของเราได้ ไม่ใหค้ วามทุกขเ์ ข้ามาเบยี ดเบียนของเรา ก็เป็นการใหค้ นอ่ืนด้วย แตถ่ า้ หากวา่ ความทุกขข์ องเรา เราควบคุมไมไ่ ด้ ดูแลไมไ่ ด้ มนั ตอ้ งเดือดรอ้ นไปถึงคนอืน่ ดว้ ย ยง่ิ เวลาป่วยและใกลจ้ ะตายนนั่ นะ่ คนที่อบรมจติ ดีแล้วไม่ต้องเป็นทห่ี นกั ใจของคน ที่อยรู่ อบขา้ ง เพราะรักษาตวั เองได้ คนอ่ืนก็พลอยรับความสงบจากเราไปด้วย เรียกว่า เรามมี มุ สงบของเรา ก็เหมือนกบั เป็นการให้ความดีกบั ตัวเองดว้ ย เป็น การใหค้ วามดีกับคนอืน่ เขาดว้ ย
32 ก็ทุกสิง่ ทกุ อย่างในการปฏบิ ัติเปน็ การใหท้ ้ังนนั้ บางคนเขา้ ใจว่าเรามาอบรม จติ ใจของเราน้เี ป็นการเหน็ แก่ตัว เอาแตต่ ัวรอด น่ันมนั ไมใ่ ช่ หรือถ้าจะเรียกวา่ เห็นแกต่ วั กเ็ หน็ แกต่ วั แบบถูกตอ้ ง คอื ดูแลความสขุ ของเจา้ ของเพ่ือจะไมใ่ ห้ เบยี ดเบยี นใคร เวลามาปฏิบตั ติ ้องมีทาน มศี ลี มีภาวนา เปน็ การใหท้ ง้ั นนั้ ท้งั เรา ด้วย ทง้ั คนอ่ืนดว้ ย เรียกว่า ความดไี มม่ โี ทษ อย่างหลวงปูม่ ั่นเคยพดู ไว้ “ดีไหนไม่ มโี ทษ นัน่ แหละดแี ท”้ นี่กข็ นึ้ อย่กู บั วิชาของเรา ถ้าเราอบรมดีแลว้ ก็ไมม่ ปี ัญหา อยทู่ ไี่ หนก็อย่ไู ด้ เพราะเรามมี มุ สงบของเราติดตวั ไปด้วยตลอด
33 อย่ากินของท่เี สียงา่ ยๆ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ จติ ของเรามนี สิ ัยอยา่ งหน่งึ ทีเ่ หมือนกบั รา่ งกาย คอื ต้องอาศัยอาหารจงึ จะอยู่ ได้ อาหารของรา่ งกายเปน็ อาหารท่ีเป็นคำๆ ทเ่ี รากนิ กัน สว่ นอาหารของจติ ท่าน บอกวา่ มี ๓ อย่าง - ผสั สาหาร ความสมั ผสั ตามอายตนะทงั้ ๖ - วิญญาณาหาร ความรบั รตู้ ามอายตนะท้งั ๖ - มโนสัญเจตนาหาร ความคิดนึกและความตง้ั ใจของเรา ส่ิงเหลา่ นเี้ รามาหากินดีบ้าง ไมด่ ีบ้าง สว่ นมากเราหากนิ กบั สง่ิ ท่มี ักจะเสยี ไป ง่าย อยา่ งโลกธรรม มลี าภ ก็มเี สอ่ื มลาภ มยี ศ ก็มเี สื่อมยศ มสี รรเสรญิ ก็มีนินทา มสี ุข ก็มที ุกข์ ถ้าเราหากนิ กบั สง่ิ เหล่านท้ี อ้ งกต็ อ้ งเสยี จิตกต็ ้องเสยี เพราะสงิ่ เหลา่ นเ้ี สยี งา่ ยๆ ลาภก็เส่ือมไดง้ ่าย ยศกเ็ สยี ไดแ้ พล็บเดียว เป็นของเขาทง้ั น้ัน ไม่ใชข่ องเรา ถา้ เรามาหากนิ กับส่ิงเหล่านี้เรากแ็ ย่ ทา่ นจงึ สอนวิชาทจ่ี ะไมต่ อ้ ง อาศยั กินสิ่งเหลา่ น้ี คอื เราเอามโนสัญเจตนาหารทดี่ ี หมายความว่าตงั้ ใจในทางท่ี ถูกทคี่ วร ตงั้ ใจอบรมจิตใจของเราใหเ้ ป็นสมาธิ อยูก่ ับลมหายใจเข้า/ออก รจู้ กั ปรับปรุงตกแตง่ ลมของเราให้เป็นท่สี บาย หายใจเข้า/หายใจออกใหย้ าวพอดี ไม่ ส้ันเกนิ ไป ไม่ยาวเกินไป เรมิ่ แรกกใ็ หย้ าวๆ สักหนอ่ ย เพอ่ื จะปลุกธาตุลมในตวั ของเราใหด้ ี เมอื่ ปลกุ แลว้ ก็ผอ่ นลงไป หาจุดพอดีของเรา ไมแ่ รงเกินไป ไมค่ อ่ ย เกินไป บางคร้ังความพอดีของเราจะเปลยี่ นไป เราก็พยายามติดตามดู แลว้ ก็ปรบั ปรงุ ให้พอเหมาะพอควรไปเรื่อยๆ เรยี กวา่ ปรงุ แตง่ อาหารใจของเรา ถ้าหากว่ามี ความสุขอยู่ในธาตุลม ก็นึกแผ่ให้มนั ทัว่ ตัว ตามกระดกู สันหลังออกขา ทีห่ น้าอก หนา้ ทอ้ ง ทัว่ ไปในหวั ตามแขนออกมือถงึ ปลายนว้ิ ใหน้ ึกวา่ ธาตุลมของเราแล่นได้ ทุกท่ี และใหช้ อ่ งลมของเราสมานกนั หมด ใหเ้ ชื่อมกันหมด ลมเขา้ ไปก็ไม่อึดอัด แล่นไปได้สบายตลอด น่ีเรยี กว่า แต่งอาหารใจของเรา พอแตง่ เสรจ็ แลว้ ตอ้ งรกั ษา แต่สว่ นมากเราก็ไมด่ ูแล กำหนดไดพ้ กั หน่งึ ให้พอดี ดี อ้าว เกิดเร่อื งนนั้ เรอื่ งนข้ี ึ้นมา ใจกว็ ิ่งออกไปขา้ งนอก ทิ้งอาหารภายใน กลับมา ก็เสยี แลว้ หรือหายไปแลว้ สุนัขคาบไปกินหมด เราต้องคอยหมน่ั ดแู ลรักษา จนกวา่ จะม่นั คงข้ึนมา คอื วิชาน้ีเร่มิ แรกก็จะเสอื่ มง่าย แต่ถ้าทำไปๆ กจ็ ะเกดิ
34 คลอ่ งแคลว่ ขึ้นมา เกิดชำนาญข้ึนมา อาหารของเรากจ็ ะไดอ้ าศยั ได้ อาหารภายใน ของเรา เมือ่ อาหารภายในของเราดี เรากด็ ูภายนอกแล้วก็แยกตัวเราออกไป ว่าสง่ิ ภายนอกไม่ใชข่ องเรา ถงึ แมว้ ่าเขาจะดา่ ชือ่ ของเรา มนั แค่ชอ่ื ชื่อเปน็ เรอื่ งของโลก ไมใ่ ชเ่ ราหรอื ของๆ เรา ชื่อเราไมไ่ ดเ้ กดิ มาพรอ้ มกบั เรา ชื่อเขาแต่งให้ทหี ลัง เขาต้ัง ทีหลงั ยศของเราก็เชน่ เดยี วกัน เราอยากจะใหค้ นอ่นื นบั ถือเรา แตเ่ ราจะบงั คับ เขาไมไ่ ด้ แลว้ จะเอาอะไรแนน่ อนกับความเห็นของคนอ่นื บางทีความเหน็ ของเรา จะผดิ ขนาดไหน แตเ่ ขาไมเ่ หน็ วา่ ผิด เราจะถูกขนาดไหน แต่เขาไมเ่ หน็ วา่ ถกู ทีเ่ รา จะแกเ้ รอ่ื งของโลก แกจ้ นตายมนั แกไ้ มห่ มดหรอก ใหแ้ กภ้ ายในจติ ใจของเราดกี ว่า ปล่อยเร่อื งของโลกให้เป็นของเขาไป อย่างเชน่ ทา่ นบอกว่ามคี นมาดา่ เรา ใหเ้ รานกึ อยูใ่ นใจวา่ เสียงไม่ดีมาเสยี ดทาง หูเท่าน้นั เอง แตส่ ่วนมากเราไมป่ ลอ่ ยใหห้ ยุดแคน่ ้ัน เรากค็ ดิ ถึงเขาถึงเราว่า ทำไม เขาดูถกู เรา ทำไมเขาไมเ่ ห็นใจเรา ทำไมไมเ่ ขา้ ใจเรา น่ีมีแตเ่ ขากบั เรา เขากบั เรา ทะเลาะกันอยตู่ ลอดเวลา กลายเป็นเรื่องเปน็ ราวขึน้ มา ถ้ามันแคเ่ สยี งทไี่ มด่ มี า เสยี ดแทงหู ปลอ่ ยแค่นนั้ นะ่ เราไมต่ อ้ งกินเข้าไป ถือวา่ เป็นธรรมดาของโลก เวลา เขามาดา่ เรา มาวา่ เรา ท่านบอกอีกวา่ ใหน้ กึ ถึงวา่ ลกั ษณะวาจาของมนษุ ย์มีก่ี อย่าง ท่ีจริงก็มี ที่ไมจ่ ริงก็มี ท่ีพูดด้วยเมตตากม็ ี ท่ีพดู ด้วยเจตนาไม่ดกี ม็ ี ท่ีพดู เหมาะสมกม็ ี ทพี่ ูดไมเ่ หมาะสมก็มี ทถ่ี กู กาลเทศะก็มี ไมถ่ กู กาลเทศะกม็ ี ธรรมดา วาจาของมนุษย์กเ็ ป็นอย่างนี้ แลว้ เราจะใหต้ วั เราเปน็ คนทไ่ี ดร้ ับเฉพาะส่ิงท่ดี ีๆ มนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ เพราะฉะนนั้ อยา่ ไปหากนิ กับคำพดู ของคน เรามาหากินกบั ลมภายในของเรา ดีกวา่ อันน้ีเราพอจะควบคมุ ได้ ดแู ลได้ รับผดิ ชอบได้ เปน็ ความสุขทไ่ี มม่ ีโทษ น่ี ถา้ เราไปกนิ ของที่เสยี ง่ายๆ นัน้ ทอ้ งก็ตอ้ งเสยี จิตใจของเราก็เช่นเดียวกนั ลาภก็ เสยี งา่ ย ยศกเ็ สยี ง่าย สรรเสริญ สขุ กเ็ สียงา่ ยๆ ถ้าเรากินเขา้ ไปโดยถอื ว่าเปน็ อาหารหลกั ของเรา ใจของเราตอ้ งเสยี ไปตามเขา แตถ่ า้ หากว่าเรามอี าหารของเรา เอง อยู่ที่ไหนเขาพดู อยา่ งไรก็เรอื่ งของเขา อย่างสมยั ทอี่ าตมาอยู่เมอื งไทย อตุ สา่ หเ์ รยี นภาษาไทยให้เขา้ ใจ ทนี ม้ี ีคนมาด่า เรา เรากต็ ้องคดิ ข้นึ มา เออ จะโทษใคร เราเองกอ็ ุตส่าห์เรยี นภาษาเขา รจู้ กั เวลา เขาด่าเรา เขาว่าอะไรเราบา้ ง ถา้ เราไมไ่ ดศ้ ึกษาเขาจะด่าขนาดไหนเรากไ็ ม่รู้
35 เพราะฉะนั้นจะโทษเขาฝ่ายเดยี วไม่ได้ ตอ้ งกลับมาโทษตวั เองด้วย แล้วกว็ าง ถ้า คิดอยา่ งนีไ้ ด้ เราอยทู่ ไ่ี หนกอ็ ยไู่ ด้ อยา่ งทเี่ ราไปดหู ุบเขามรณะ ถา้ คดิ วา่ จะเข้าไปอยู่อาศยั ทำมาหากนิ อยใู่ นนน้ั ก็ แยเ่ ลย ที่น้เี ราไปเทย่ี วดไู ด้ ประทบั ใจได้ เห็นวา่ โอ้ มนั เป็นประสบการณท์ ่ดี ีท่ีได้ ขา้ มน้ำข้ามทะเลมาทจ่ี ะดู เพราะเราไม่ได้คิดทจี่ ะไปอยู่ ไม่ไดค้ ดิ จะไปหากนิ ท่นี ัน่ เรามอี าหารตดิ ตวั ไปเราก็อยไู่ ด้ มนี ้ำตดิ ตัวไปก็อยไู่ ด้ นเี่ รยี กวา่ ของภายในของเรา ดีแล้ว ไม่ตอ้ งไปหากนิ กบั ส่ิงแวดลอ้ มภายนอก ดูเขาก็ผ่านไปๆ ไม่ไดท้ บั ถมหัวใจ ของเรา แตถ่ า้ หากวา่ อาหารเราไม่มี นำ้ ก็ไมม่ ี อะไรก็ไมม่ ี เราก็ตายอย่ใู นน้นั เพราะทมี่ ันไม่มอี ะไรดที จ่ี ะเราพอจะเอามาเลย้ี งตวั ได้ น่โี ลกเราก็เป็นอยา่ งน้ี แตโ่ ลกกม็ ีดีอย่หู นอ่ ยหนึง่ ที่เรามโี อกาสที่จะสรา้ งความ ดใี นโลกได้ ถา้ เราคิดวา่ จะหากนิ กบั เขา อยา่ ใหเ้ ปน็ อาหารหลกั ๆ ก็แลว้ กนั หมายความวา่ จิตใจของเราที่จะรักษาสภาพไว้ เราตอ้ งร้จู กั เลย้ี งดว้ ยอาหารทีด่ ี อยา่ งเช่น ทา่ นบอกวา่ ศรทั ธาของเราเปน็ อาหารที่ใหก้ ำลังอย่างหนึ่ง วริ ยิ ะ ความ เพยี รของเราก็เป็นอาหารทใ่ี ห้กำลงั สติ สมาธิ ปญั ญา สงิ่ เหลา่ นี้เป็นอาหารของ ใจที่ใหม้ ีกำลัง อยู่ทไ่ี หนก็อยไู่ ดเ้ พราะอาหารภายในของเราดี ฉะนน้ั พยายามสรา้ งคุณธรรมเหล่านโี้ ดยการดแู ลลมหายใจของเรา เพราะนี่ เปน็ อาหารของเราที่จะชว่ ยชีวติ ของเราได้ หมายความวา่ ชว่ ยความดีของเราไม่ให้ ตาย ถ้าความดขี องเราข้นึ อยู่กบั คนอนื่ เวลาเขาดี เรากด็ ีไป เวลาเขาไม่ดี ความดี เราเสยี ไป อยา่ งนีเ้ รากแ็ ย่ ขนาดตัวเองกไ็ ว้ใจตัวเองไมไ่ ด้ แล้วจะไปไว้ใจใครที่ไหน ได้ แตถ่ ้าหากว่าเราปรงุ อาหารดีภายในจติ ใจของเรา คอื คณุ ธรรมทเี่ ราสร้างข้ึนมา เราอยใู่ นโลกได้ เขาไมด่ ี เราก็ยงั ดีอยู่ เขาดี เราก็ยังดอี ยู่ ไม่ไดห้ ลง แบบน้ีอยทู่ ี่ ไหนก็อย่ไู ด้
36 หลกั รกั ษาอารมณ์ ๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๖ หลักสำคญั ในการเข้าใจเหตแุ หง่ ความทุกข์ คอื วา่ ทุกข์ไม่ได้มาจากรูป เสยี ง กลิน่ รส สมั ผสั หรือธรรมารมณท์ ีด่ หี รอื ไมด่ ี แตม่ าจากสังขารภายในจติ ใจของเรา ท่เี ราปรงุ แตง่ ดว้ ยอวชิ ชา คือความไมร่ ู้ ทุกขไ์ ม่ใช่ส่ิงท่ีเรารับเข้ามา ทุกข์เปน็ สงิ่ ท่ี เราผลิตออกไปดว้ ยความโงเ่ ขลา ดว้ ยความไมร่ ตู้ วั ของเราเอง ทเี่ รามาภาวนากเ็ พอ่ื ที่จะใหร้ ู้ตัวขึน้ มาและร้จู ักวธิ ีแก้ไข เรากเ็ รม่ิ จากส่งิ งา่ ยๆ คอื ลมหายใจของเรา ทท่ี ่านเรยี กว่า กายสังขาร เปน็ ส่ิงท่ีปรงุ กายของเรา ปรงุ ความรู้สึกในกายของเรา ถา้ ลมไม่มี เราก็ไมร่ ูส้ กึ อะไรเลย เรากต็ าย แต่ทเ่ี รารเู้ ร่ือง ของกาย ทำใหก้ ายเคลอื่ นไหวได้ รบั สมั ผสั ทางกายได้ ก็อาศัยธาตุลม ซึ่งเป็นสง่ิ ท่ี เราแต่งได้ ถ้าเราแต่งใหด้ รี ่างกายกจ็ ะแขง็ แรง เปน็ การปอ้ งกนั ตวั เองในตัวดว้ ย ทา่ นบอกว่า ถา้ มีสติเตม็ กายก็เหมอื นประตทู ส่ี รา้ งจากไมแ้ กน่ เราจะเอาก้อนดา้ ย โยนเขา้ ไป มนั ก็กระเด็นออกมา เพราะไมแ้ ก่นนนั้ แน่นหนา ไมไ่ ด้รบั อะไรเขา้ มา ง่ายๆ แตค่ นเราส่วนมากทา่ นกเ็ ปรยี บเหมอื นกบั กอ้ นดนิ เหนยี วที่เละๆ ใครโยน หินเขา้ มาในกอ้ นดินเหนยี ว หินกเ็ ขา้ ได้ เพราะดินเหนยี วไม่ไดแ้ น่นหนาอะไร น่ถี า้ หากวา่ ใจของเรามสี ติเต็มกาย มคี วามรูต้ วั เตม็ กาย ลมเดนิ ดีท่ัวตวั เราจะ ไม่รับอารมณ์ ไมไ่ ดร้ ับกระแสจากคนอนื่ ได้งา่ ยๆ ก็เป็นการป้องกันตวั เรา เหตุนนั้ เราก็พยายามอบรมของเรา ให้ธาตุลมแลน่ ทว่ั ไป เรมิ่ แรกเราอาจจะไมร่ ู้สกึ อะไร เลย แต่ถ้าเราทำไปๆ กจ็ ะเห็นว่าจริงตามท่ีทา่ นพดู แตว่ า่ ก่อนทจี่ ะเหน็ เราก็ตอ้ ง เปิดใจของเราใหก้ ว้าง ให้คิดว่ามนั เปน็ ได้ แล้วมนั ก็จะงา่ ยขึน้ มา ทีนป้ี ญั หามอี ยู่ท่ีวา่ เวลาเรารู้จักหน่อยหน่งึ เรากท็ ิ้ง ใจของเราแล่นไปในที่อนื่ ไปตามรูปบา้ ง เสยี งบา้ ง ทา่ นเปรยี บเหมอื นกบั วา่ เรามสี ัตว์ ๖ ตัว แตล่ ะตัวลา่ ม ดว้ ยเชือกแล้วผูกไว้ มีจระเข้ จระเข้ก็อยากจะลงไปในนำ้ มีนกทอ่ี ยากจะบนิ ไปบน อากาศ มีลิง ลงิ อยากจะข้ึนบนต้นไม้ มงี ูทอ่ี ยากจะเขา้ ไปในรู มีหมาไนที่อยากจะ เขา้ ไปในท่ีๆเขาท้งิ ศพ สว่ นหมาธรรมดากอ็ ยากจะเขา้ มาในบา้ น นี่ สตั วท์ งั้ ๖ ตวั จะดึงกันไปดงึ กันมา กแ็ ล้วแต่วา่ ตัวไหนจะแขง็ แรงกว่าเพอ่ื น ก็จะลากอกี ๕ ตวั ไป ตาม ปกติจะเป็นตัวจระเข้ จะลากตวั อ่ืนลงไปในนำ้ จมน้ำตายกนั หมด น่เี รียกว่า ไมม่ หี ลกั ภายใน กเ็ ลยเป็นไปตามเขาท้งั หมด
37 อีกอย่างหนึ่ง ถา้ เราทิ้งกาย กระแสจากคนอ่นื จะเขา้ มาในตวั ของเรางา่ ยๆ คอื เรารบั อารมณ์จากเขาได้ เราจะรหู้ รอื ไมร่ ู้วา่ มนั มาจากไหน แต่ถา้ เราทิ้งกายก็ เหมอื นกับเราทิ้งบา้ นของเรา สัตวอ์ ืน่ ก็จะเขา้ มาในบา้ นได้เพราะเราไมไ่ ด้อาศยั ไม่ไดด้ ูแล ฉะนั้นเวลาเราลกุ จากที่ เรากพ็ ยายามกำหนดลมของเราไปเร่อื ยๆ แลว้ จะไดผ้ ลดหี ลายอยา่ ง คอื หนึ่ง ใจของเรามหี ลัก ไม่ไดว้ งิ่ ไปตามรูป เสยี ง กลิน่ รส ท่านบอกวา่ เหมอื นกบั เอาสตั ว์ ๖ ตัวนนั่ แหละ พอลา่ มไว้ก็ผูกไว้กบั หลกั ตีหลักให้ แนน่ ลงไปในดิน ทนี่ ้ตี วั ไหนมนั จะดงึ ไปทางไหนมนั กไ็ ปไม่ได้ เป็นอนั วา่ ทั้ง ๖ ตวั ก็ ต้องหมอบอยูต่ รงที่ต้นเสานั้น ถา้ สติของเราเปน็ ไปในกาย จะอย่กู ับลมหายใจเข้า/ออก หรอื จะนกึ ถึงอาการ ๓๒ กไ็ ด้ มันจะได้ตา้ นทานกระแสทอ่ี ยากจะวง่ิ ออกไปหาเรอ่ื งภายนอกนนั้ ได้ ขอ้ ทส่ี อง ถ้าบา้ นของเรามคี นอาศยั พวกสตั วท์ งั้ หลายจะเข้ามาอาศัยอกี ไม่ได้ เพราะเราอยู่ดูแลได้ เชน่ ถา้ เราเห็นหนูเข้ามากไ็ ล่มนั ออกไป ถ้ามนี กบนิ ผา่ นเราก็ ปดิ ประตหู นา้ ต่างไม่ให้มนั บินเขา้ มา เราดูแลทข่ี องเรา แต่ไม่ใชเ่ ฉพาะเราท่ีจะเป็นผู้รับความดีจากทเ่ี รามสี ติน้ี ถา้ หากวา่ สตขิ องเราดี ความรู้ตัวดี ธาตลุ มดี กระแสทอ่ี อกจากตัวเรากจ็ ะเปน็ กระแสทีด่ ี คนอนื่ ท่ีอยู่ รอบตวั เรา เขาจะรหู้ รอื ไม่รนู้ นั่ เราก็บังคบั ไมไ่ ด้ แตว่ า่ เขาจะรบั กระแสทด่ี ี มนั มา จากทางไหนเขาก็ไมท่ ราบ แตว่ า่ ความรสู้ ึกของเขาจะดีข้นึ เวลาเราจะไปพูดกับ ใคร ถา้ หากว่าจติ ใจของเราดี กระแสของเราดี เขายนิ ดีฟงั เขายนิ ดอี ยกู่ บั เรา เพราะฉะนน้ั ท่ีเราดแู ลตวั เราก็จะชว่ ยคนอื่นได้ดว้ ย ปัญหาอยทู่ ่ีวา่ ความเห็นของเรามนั ไมต่ รง มนั จะคอยวิ่งออกไปหาเขา วา่ คน นน้ั คดิ อะไร คนนคี้ ิดอะไร เขาคิดดี คดิ ไมด่ ี ถ้าเขาคดิ ไมด่ ี เราจะทำอย่างไรหนอ นี่ แหละเราทิง้ บ้านของตัวเอง ออกไปจัดการกบั ชาวบา้ นเขาทง้ั ๆ ทเ่ี ราไมร่ ู้จริงว่า เขาคิดอะไร บางทเี ขาพดู อะไรออกมา บางทเี ขาว่าเรา แตเ่ หตผุ ลจริงๆ ไมไ่ ดม้ า จากเราสกั นดิ หน่ึง มันมาจากคนอื่น เขามีอารมณค์ า้ งอยู่กม็ าระบายกับเราพอดี อย่างนกี้ ม็ ี ฉะนั้น เรอื่ งอะไรจะตอ้ งวง่ิ ไปตามความคดิ ของคนอ่นื เขา อย่าไปทง้ิ หลกั ของเจ้าของ เราตอ้ งอยูต่ รงน้ี รักษาของเราไว้ตรงน้ี มที ั้ง กายสังขาร ท่ถี กู และกต็ อ้ งมี วจี สงั ขาร ทถี่ ูก จติ สงั ขาร ที่ถกู ดว้ ย วจสี ังขารก็คอื วิตกวิจาร คดิ ในเรอื่ งตา่ งๆ วิจาร ไว้วา่ มันดีหรอื ไม่ดี ถา้ หลักวิจารของเราดี ก็จะเป็นการสรา้ งเหตุแหง่ ความสุขได้ ถา้ หลักวจิ ารไม่ดี ปรุงดว้ ยอวชิ ชา มันกส็ ร้างแตค่ วามทุกข์ ถา้ เรากลวั อทิ ธพิ ลของ
38 คนอ่ืนเขา ว่าเขาจะวา่ อะไร เขาจะพดู อะไร เขาจะคิดอะไร วธิ ีดที ี่สุดท่จี ะป้องกัน ตวั เอง เรากอ็ ยตู่ รงน้แี หละ อย่าไปท้งิ หลกั เดมิ ของเรา แตค่ วามเหน็ ของเรามักจะ ไม่เปน็ อยา่ งนน้ั เรามักจะวิ่งไปตามเขา ท่านจงึ วา่ ต้องสอนจติ ใจให้มี สติ ระลึกอยู่ เสมอ ใหม้ ี สัมปชญั ญะ รู้ตัว และมี อาตาปี กฝ็ กึ ให้มนั ชำนาญขนึ้ มา วชิ าของพระพทุ ธเจ้าเปน็ วิชาทำ ไมใ่ ชว่ ิชาทอ่ ง ถา้ เปน็ วิชาทอ่ ง ไม่ก่ีชว่ั โมงก็ ท่องไดห้ มด แตน่ เี่ ป็นวิชาทำ ทีเ่ ราตอ้ งคอยทำใหช้ ำนาญขนึ้ คลอ่ งตัวขน้ึ จนมี ทกั ษะขึน้ มา ฉลาดข้ึนมาในการกระทำของเรา นีเ่ รียกว่าไมไ่ ดท้ ้ิงหลักเดิม เราเอง ไดป้ ระโยชน์ คนทอี่ ยรู่ อบตัวเรากไ็ ด้กระแสจากเราท่ดี ีด้วย เราไมไ่ ด้รบั กระแสท่ไี ม่ ดจี ากเขา ตอ้ งคิดอยเู่ สมอว่า ความทุกขท์ ีเ่ สยี บแทงหวั ใจของเราไมใ่ ช่ทกุ ขจ์ าก ภายนอก แตเ่ ปน็ ทกุ ขจ์ ากภายในตัวเรานแ่ี หละ ฉะนัน้ ต้องดแู ลตรงน้ีให้ดี อยา่ ไป ทง้ิ ถา้ รักษาตรงน้ีได้ เรอ่ื งภายนอกจะเปน็ อยา่ งไรก็ชา่ ง เราไมไ่ ดต้ กนรกเพราะเขา ไมไ่ ดข้ ึ้นสวรรค์เพราะเขา ใจของเราจะมีความสขุ ใจของเราจะมคี วามทกุ ข์กอ็ ยู่ท่ี เรานี่แหละ รูจ้ ักปรงุ แตง่ ทั้งกายสงั ขาร วจสี ังขาร จิตสงั ขาร ของเราใหด้ ี แล้วก็ พยายามรกั ษาสติของเราไว้ สตริ ะลกึ ถึงความเหน็ ทถี่ ูก กระแสของโลกมนั สารพัดกระแส ทงั้ ถูกท้งั ผิด คนส่วนใหญก่ ม็ ี มิจฉาทฏิ ฐิ ถงึ จะเป็นชาวพุทธก็ตาม มจิ ฉาทฐิ ิก็มีมากตอ่ มาก แตล่ ะคนๆ กเ็ หมือนสถานีกระจาย เสยี ง สถานีโทรทศั น์ สง่ กระแสออกไปรอบตวั เพราะฉะน้นั เราต้องมีเครือ่ ง ป้องกันกระแสทไี่ มด่ ีไม่ใหเ้ ข้ามา เราเอาลมน่ีแหละ เอาธาตลุ มในตัวของเราเป็น เกราะปอ้ งกันกระแส ความเห็นของเรา สติก็คอยระลึกอยูเ่ สมอ ระลกึ อยู่กบั สัมมาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ นนั่ เป็นการป้องกนั กระแสอีกช้ันหน่ึง ไมใ่ ห้เราทิง้ หลกั ของเรา ถา้ เราทำอยา่ งน้ไี ด้ เราจะอยทู่ ี่ไหนกอ็ ยูไ่ ด้ กระแสไมด่ จี ากภายนอกเราไม่รบั กลับสง่ กระแสทด่ี ีกลบั ไปให้เขา เรียกวา่ เราดแู ลตวั เอง และให้ความช่วยเหลือแก คนอ่ืนด้วย นวี่ ิชาของพระพทุ ธเจ้า พิเศษอย่ตู รงนี้
39 เมตตา มาจาก มติ ตะ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลาเราแผ่เมตตากต็ ้องนึกถึงว่า เมตตานมี้ าจาก มติ ตะ คือความเป็นเพือ่ น ที น้เี พอื่ นมหี ลายอย่าง เพอ่ื นแทก้ ็มี เพือ่ นเทยี มกม็ ี เพือ่ นท่นี ำไปในทางทดี่ ีกม็ ี เพอ่ื นทน่ี ำไปในทางทไ่ี มด่ ีกม็ ี ทเ่ี ราแผเ่ มตตาน้นั เราต้องการเปน็ เพ่ือนแทท้ ่จี ะชว่ ย โลกท้งั หลายในทางทด่ี ี และสรรพสตั วท์ ้ังหลายเรากต็ อ้ งเป็นเพอ่ื นกับเขา พระพทุ ธเจา้ เคยยกยอ่ งเพื่อนอยู่ 2 อยา่ ง หนง่ึ เพือ่ นท่จี ริงใจ สอง กลั ยาณมิตร เพอ่ื นท่ีจรงิ ใจนัน้ คือเพื่อนอย่างทเี่ ราสวดกัน มีอปุ การะ มคี วามสุขความทกุ ข์ ตามความสุขความทกุ ขข์ องเรา เวลาเราสุข เขาก็สขุ ดว้ ย เวลาทกุ ข์ เขาก็ทุกขด์ ว้ ย เป็นคนทช่ี ีป้ ระโยชนใ์ ห้ หมายความวา่ ในทางทด่ี ี เปน็ เพื่อนทเี่ อ็นดเู พอื่ น คนทอี่ ยู่ในลกั ษณะ ๔ อย่างน้ี ท่านวา่ เป็นเพอื่ นท่ีจริงใจ อย่างเช่นทา่ นผ้มู ี อปุ การะ เวลาเราประมาทเขาจะชว่ ยปอ้ งกันเรา เวลาเราประมาทเขาจะชว่ ย ป้องกนั ทรัพยส์ ินของเรา เกิดความจำเป็นขึน้ มาเราจะไปขอเขา เขาจะให้เรามา สองเทา่ ทเ่ี ราขอ เพอ่ื นที่รว่ มสขุ รว่ มทุกข์ เมอ่ื เกดิ ปญั หาข้นึ มาเขาไม่ทงิ้ เรา ถึงกับ ว่า ถา้ เกิดความจำเปน็ ขนึ้ มาก็ยอมเสยี สละชีวติ ใหเ้ ราด้วย เพือ่ นท่ชี ป้ี ระโยชนถ์ ้า เหน็ เราทำความชวั่ กจ็ ะหักหา้ ม จะพยายามสง่ เสริมใหเ้ ราสรา้ งความดี ไม่ได้ ตามใจเราเฉยๆ พอเห็นเราทำความชวั่ จริงๆ เขากจ็ ะหา้ มไว้ ธรรมะทเ่ี รายังไมร่ ู้ เขากจ็ ะช่วยบอกและจะช้ีทางสวรรค์ให้ ผทู้ มี่ คี วามเอ็นดนู ้ัน เวลาเราลำบากเขากเ็ สยี ใจด้วย เวลาเราได้ดเี ขากย็ นิ ดดี ว้ ย ถ้ามีคนอื่นมานินทาเรา เขาจะพยายามหกั หา้ ม ถ้ามีคนมาสรรเสริญ เขากจ็ ะ สง่ เสรมิ ด้วย นีเ่ รียกวา่ เพื่อนจริงใจ ขอ้ ที่น่าสังเกตคอื เพอื่ นทจ่ี ริงใจน้ันไม่ไดต้ ามใจเฉยๆ แต่ เอาหลักธรรมเปน็ ใหญ่ เขาเห็นใจเราจรงิ ๆ ไม่อยากจะใหเ้ ราสร้างเหตุแห่งความ ทกุ ข์ สว่ นกลั ยาณมติ รน้นั เป็นผทู้ ี่มคี ณุ ธรรม ๔ ขอ้ คือมศี รัทธา มศี ลี มีจาคะคือการ เสยี สละ และมปี ญั ญา การทเี่ ราจะเปน็ เพอ่ื นกบั คนประเภทน้ี หนึง่ เราตอ้ งไต่ถาม วา่ ท่ี เขาเกดิ ศรทั ธาอยา่ งไร เพอื่ เราจะไดเ้ กดิ ศรทั ธาด้วย เมือ่ ศรทั ธาของทา่ น มั่นคงดีแลว้ เราจะทำอย่างไรท่จี ะใหข้ องเราให้มัน่ คงข้นึ มาบา้ ง ทที่ ่านรักษาศีล
40 ทา่ นมอี บุ ายอยา่ งไรบา้ ง เช่น เวลามเี รอ่ื งที่ไมค่ วรจะพูด แต่คนอ่นื มาถามเรา เรา จะทำอยา่ งไรจึงจะไมโ่ กหก แต่ว่าไมต่ ้องบอกกไ็ ด้ น่ีเรยี กวา่ ใชป้ ญั ญาในการรกั ษา แลว้ ศลี ขอ้ ใดทเี่ รายังมีปญั หา ท่านก็จะพยายามแนะนำ ช่วยใหเ้ รารกั ษาให้ได้ จาคะ การเสยี สละ ปัญญา ในเรอื่ งแกค้ วามทุกขใ์ นใจ ท่านจะพยายาม แนะนำเราด้วย ถา้ เราเปน็ เพ่อื นกบั คนประเภทนี้ เรากต็ อ้ งทำตาม เอาทา่ นเป็น ตัวอย่าง รวมแลว้ ความที่เป็นเพือ่ นจรงิ ใจหรอื เปน็ กัลยาณมิตรก็ดี อยทู่ ีว่ า่ เราก็ตอ้ ง ประพฤติตัวให้ดี ถงึ จะเปน็ เพอ่ื นกับโลกได้ ถ้าเราว่าแตใ่ นใจวา่ ขอให้เขามี ความสุขๆ แตค่ วามประพฤตขิ องเราไมไ่ ด้เป็นตัวอยา่ งทีด่ ี ก็ไมไ่ ด้ช่วยใหโ้ ลกนีม้ ี ความสขุ ขน้ึ มา เพราะความสขุ นี้ตอ้ งเกดิ จากเหตุ เราจะหวังๆ อยา่ งเดยี วกไ็ ม่ สำเรจ็ ประโยชน์ เชน่ พระพุทธเจา้ เคยบอกไว้ว่า ถา้ ความสขุ เกดิ ข้ึนจากการอ้อนวอนอยา่ งเดยี ว ใครเลา่ ในโลกนี้จะมอี ายุส้นั ใครเลา่ จะมีรปู รา่ งนา่ เกลยี ด ใครเล่าจะยากจนไมม่ ี ฐานะ ใครเล่าจะมคี วามทกุ ข์ ถ้าเป็นเรือ่ งท่ีขอกนั ได้ ใครๆ ก็จะเป่ยี มไปด้วย ความสขุ กันทง้ั น้ันเพราะมันงา่ ยดี แต่มันไม่ใช่อยา่ งน้ัน ถ้าเราต้องการความสขุ เราก็ตอ้ งสร้างเหตแุ ห่งความสขุ ขน้ึ มา การทจ่ี ะสร้างน้ีกต็ อ้ งขึน้ อยูก่ ับความตั้งใจ ของเรา ความดำริของเราท่ีจะเอาจรงิ เอาจัง นี่ สมั มาสงั กปั โป คอื เราตั้งใจว่าเรา จะทำเฉพาะความดี ไมใ่ ชจ่ ะออ้ นวอนใคร เราตอ้ งต้ังใจและทำตามความตั้งใจนน้ั จนเราเปน็ ตัวอยา่ งที่ดี คนอื่นเขาเห็น เขากเ็ กดิ ศรัทธาขึ้นมา วา่ คนนดี้ ี โลกน้ียังมี คนดีอยู่ เคยมลี กู ศษิ ย์คนหนึ่งเลา่ ใหฟ้ งั วา่ สมัยกอ่ นนู้นพอไปต่างประเทศนง่ั รถไฟก็คิด ไปคิดมา มาอยตู่ า่ งประเทศคนเดยี วพอมเี วลาทจ่ี ะคดิ คดิ วา่ ดใู นโลกนคี้ นทร่ี กั ษา ศีลจะมีนอ้ ยเหลอื เกิน คนทซ่ี อื่ สตั ย์สุจรติ นี่มนี อ้ ยจรงิ ๆ เกดิ ทอ้ ใจขน้ึ มา ทีนพี้ อคดิ ได้วา่ เราจะรักษาหรอื ไม่รักษาน่ี มนั เรอื่ งของใคร มนั ก็เรอ่ื งของเรา เราคนเดียว ตั้งใจว่าเราจะเป็นคนดี กเ็ ปน็ ความภาคภูมใิ จของตัวเองได้ น่ีเรยี กวา่ คนดเี ป็นศรกี บั โลก เปน็ ตัวอย่างท่ีดีสำหรับโลก น้อยคนนักทเ่ี ห็นคน อนื่ ไม่ทำความดแี ล้วคดิ ข้ึนมาไดว้ ่า เขาจะดีหรอื ไมด่ ีน้นั เป็นเรอื่ งของเขา เราจะ สรา้ งความดีของเราก็แล้วกัน คนสว่ นใหญเ่ ห็นเขาไมด่ กี ็ทำความไมด่ ไี ปตามโลก เชน่ โลกนี้มแี ต่คนทุจริต กไ็ ปทำทุจริตตามเขา โลกเราถึงฉบิ หายกเ็ พราะแบบนี้ แหละ ถ้าเราเปน็ เพือ่ นกบั โลกจริงๆ เราเองก็ตอ้ งสรา้ งความดีขึ้นมาใหต้ วั เราดี ศลี
41 ทุกขอ้ อยา่ งนอ้ ยศลี ๕ กใ็ หบ้ รสิ ทุ ธิ์บริบูรณ์ อยา่ ให้มดี ่างพรอ้ ย เราจะเปน็ เพื่อน แทก้ ับโลก เพราะความดีของเรา เมตตาของเรามอี ยทู่ ก่ี ายของเราดว้ ย ที่วาจาของ เราดว้ ย ทจี่ ติ ใจของเราด้วย ท่ีเราปฏบิ ตั ธิ รรมให้มันครบ อยา่ งพระพทุ ธเจ้าเป็นเพอื่ นแทข้ องพวกเราทั้งหลาย เรยี กว่าเปน็ กัลยาณมติ ร ของเรา ถา้ ขาดพระองค์ เราจะไปปฏิบัติอะไร เราจะรเู้ รอ่ื งอะไร กง็ มกนั ไปงมกนั มาทง้ั นนั้ น่ะ นท่ี ีเ่ ราพอจะรูธ้ รรมบ้างกอ็ าศัยพระองค์ ทา่ นเป็นตัวอย่างท่ีดี ทา่ นไม่ เพียงแต่หวังดี แต่ทา่ นทำดดี ้วย แล้วดจี รงิ ๆ จึงเปน็ เพอื่ นจรงิ ของโลก เราน่าจะ เอาอยา่ งทา่ นบ้าง
42 สัญญา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ การทีเ่ ราจะถอนตวั ของเราออกจากราคะ โทสะ โมหะ นั้น ตอ้ งใช้กำลังสมาธิ เพราะปกตใิ จของเราอยกู่ ับสญั ญา แลว้ สญั ญาทเี่ ราใชก้ ันมักจะข้นึ อย่กู บั อนุสยั อนสุ ยั คอื อะไร คอื ใจที่หมกมนุ่ อยใู่ นอารมณ์ เชน่ เวลากามสุขเกิดขนึ้ ใจก็มอี นสุ ัย คอื ราคะ ถา้ ทุกขเ์ กิดขน้ึ ท่ีตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจก็เกดิ อนุสยั คือ ปฏฆิ ะ คอื ไม่ พอใจ อยา่ งเช่นท่ีเรานั่งอยู่นี้ ถา้ มีทุกขเวทนาปรากฏขน้ึ มา ใจก็ไมช่ อบ มุ่งคดิ แต่ ว่า ทำอย่างไรจงึ จะหนจี ากทกุ ข์นัน้ ได้ ก็เลยไมไ่ ดม้ องทุกขว์ ่าเป็นอยา่ งไรจริงๆ ก็ เลยว่นุ อยกู่ บั ปฏฆิ ะ ใจจึงรไู้ มแ่ จง้ ส่วนอารมณท์ ไ่ี ม่สุขไม่ทกุ ข์ กม็ อี นุสัยคอื อวิชชา คอื ไมร่ ู้ ไม่สงั เกต ไมส่ นใจ สนใจแต่สุขกบั ทกุ ข์ สญั ญาของเราก็เลยคล้อยไปตาม เราก็ตอ้ งรูจ้ กั วิธีแก้คอื หน่งึ ใหใ้ จของเรามีอารมณ์อยา่ งอน่ื ทีไ่ ม่ไดเ้ ป็นเรอื่ ง ของตา หู จะมูก ล้ิน หรอื กาย ใหเ้ ป็นอารมณ์ของใจโดยเฉพาะ ให้เอาความรสู้ กึ ภายในตัวของเรามาเปน็ อารมณ์ เชน่ ตอนท่ีเรานง่ั อยนู่ ้ี เรารู้ อย่างไรว่าเรามีกาย ก็มคี วามรู้สึกของลม มคี วามรสู้ กึ ของความรอ้ น ความเย็น ความหนกั ทที่ า่ นเรยี กวา่ ธาตุ นี่ก็ส่วนหน่ึง ถา้ เรามอี ารมณอ์ ยูก่ บั สิง่ เหล่าน้ี ท่าน ไม่ได้เรยี กว่า กาม นะ แต่เรียกว่า รูป พอเราอยกู่ บั รปู แลว้ มีความสขุ ท่ีเกิดขนึ้ ทา่ นบอกวา่ สขุ นไ้ี มม่ อี นสุ ัย เพราะตาเราสวา่ ง ไม่เหมอื นกบั กามสขุ กามสุข เกิดขน้ึ แล้ว ตากม็ ืด คือรู้อะไรไม่ชัดเจน แลว้ เมอื่ ความสขุ ของเราขน้ึ อยกู่ ับสงิ่ เสียๆ หายๆ บูดๆ เน่าๆ กไ็ ม่สนใจในเรือ่ งบาปบญุ คุณโทษ ไมแ่ คร์อะไรกับใคร ท้ังน้ัน ฉนั จะเอาทา่ เดียว ใจมนั คดิ อยา่ งนั้น นเ่ี รยี กวา่ ใจของเรามดื บอด ถา้ จะใหต้ าสว่างขึน้ มา กต็ อ้ งถอนจากสิง่ เหลา่ นน้ั มาปฏิบัตจิ ิตใจใหเ้ ปน็ สมาธิ เราเรยี นธรรมะ รภู้ าษาของธรรมะ รศู้ พั ทท์ ัง้ หลาย แตม่ นั จะไม่ซาบซ้งึ จนกวา่ เรา จะทำใจของเราใหเ้ ป็นสมาธิ เราจะไดร้ เู้ รอ่ื งทที่ า่ นใช้คำนนั้ ใช้คำนี้ เชน่ มีอนุสยั มี สัญญา มสี งั ขาร มันเป็นอยา่ งไร เรมิ่ แรกเรารูเ้ งาๆ น่ะ รไู้ มช่ ดั แตถ่ ้าใจเปน็ สมาธิ กม็ โี อกาสทจ่ี ะรูช้ ดั เมอื่ ใจสงบแลว้ เราจะไดพ้ จิ ารณา เหมอื นทีเ่ ราแยกตัวออก เรา จงึ จะพจิ ารณาเขาได้ วา่ เวทนาท่ีเป็นสขุ เป็นทุกข์เกดิ ขนึ้ แทนท่ีจะหวั่นไหวไป ตามสิง่ เหลา่ นั้น ก็ดูเฉยๆ เพราะใจของเรามอี ารมณอ์ ่ืนเปน็ ที่ต้งั เราจะไดพ้ ิจารณา ดูอาการของกายและของใจ และสญั ญาท่คี อยเขา้ ๆ ออกๆ คอื บางครงั้ สญั ญาของ
43 เราก็อยูก่ ับลมหายใจเขา้ ออก เด๋ยี วขยบั นิดหนง่ึ ก็ไปหาทุกขเวทนาอีกแลว้ คอื ใจ ปกติธรรมดา พอขยับไปนู่นมาน่ี มนั ไมไ่ ดส้ ังเกต เพราะมนั มงุ่ ดูแตอ่ ารมณ์ ไมไ่ ด้ มุ่งดูอาการของตวั เอง แตท่ นี ี้ถ้าใจของเราเปน็ สมาธิ เรากม็ องเห็น ถ้าเราตั้งใจ ถ้า เราสนใจ เราจะไดเ้ หน็ วา่ ใจของเราเคลอ่ื นไหวแบบนี้ มันทุกข์ขึ้นมา ถา้ เคล่อื น แบบนนั้ ทกุ ข์ก็หายไป นพี่ ดู ถึงทกุ ข์ทางใจนะ ทนี ้ีทกุ ขเวทนาทางกาย บางครงั้ รสู้ ึกหนักหน่วงจริงๆ บางคร้งั ถงึ จะมแี ตร่ ้สู กึ วา่ ไม่เป็นไร มันผดิ กันตรงไหน เวทนาอนั เดยี วกนั แตใ่ จ ของเราไมใ่ ชอ่ ันเดยี วกัน มันเปลี่ยนไปเป็นคนละเร่ือง เพราะอะไร นเ่ี ปน็ สิ่งที่เรา จะตอ้ งศกึ ษาในตวั ของเราเอง แต่ถา้ ใจไม่เป็นสมาธิ ศึกษาไม่ไดห้ รอก จะเบลอไป หมด คลุมไปหมด กลายเปน็ สญั ญาอวชิ ชา ถึงจะเป็นสัญญาของธรรมะ แตไ่ ม่ได้ มองเหน็ ชัดวา่ ท่านหมายถึงอะไร กย็ งั มืดอยนู่ ั่น ที่จะใหส้ ว่างนั้นต้องดกู าร เคลอ่ื นไหวในจติ ใจของเรา ดูไปๆ จนเราจำไดว้ ่า ออ๋ ทท่ี ่านพูดถงึ สญั ญา มันคือ ตวั นี้ สังขารคือตวั นั้น เวทนากค็ ือตัวนี้ สญั ญากค็ ือชอื่ ทีเ่ ราใหก้ บั ส่ิงนัน้ สิง่ นี้ เช่น เวทนาเกิดข้นึ มา ใจก็บอกว่า ทกุ ข์ แล้ว ถา้ เสยี งผา่ นมา อา้ ว..นน่ั เสยี ง ไม่ใชเ่ สียงอย่างเดยี วนะ เปน็ เสยี งทม่ี ารบกวน อา้ ว กลายเป็นเรอ่ื งขนึ้ มา เพราะเราใหค้ วามหมายข้ึนมา แลว้ จากความหมายนัน้ กก็ ลายเป็นเร่ืองดี เร่ืองไมด่ ี เปน็ เรอ่ื งที่น่าช่ืนใจ นา่ เสยี ใจ น่าโมโห สงั ขารคอื ความคดิ ปรงุ แต่งก็ว่าไปเลย ก็ออกจากสญั ญาตวั นี้แหละ ตอนอยูก่ บั ท่านพอ่ เฟ่ือง เวลาทา่ นพดู ถงึ อาการของใจ ทา่ นมกั จะเน้นวา่ เร่ือง สญั ญานีแ่ หละเปน็ เรอ่ื งสำคญั มาก เป็นตวั กอ่ กวน เพราะวา่ มันมคี วามหมาย แล้ว ความหมายอันนคี้ อื สมมุตินะ คอื จิตใจของเราคยุ เป็นภาษาของตัวเอง อนั นน้ั ดี อนั น้ันไม่ดี นเี่ ราต้องเรยี นภาษาใหม่ แตไ่ ม่ใช่เปลย่ี นเฉพาะศพั ท์ท่ใี ชน้ ะ ต้องให้ใจ ของเราตง้ั มั่นขนึ้ มา เราจงึ จะรวู้ า่ ความหมายของท่านเป็นอยา่ งไร วธิ แี ก้ แก้ อย่างไร แล้วสงิ่ เหล่านีเ้ ราจะตอ้ งมองดูในขณะท่ีมนั กำลงั เคลอื่ นไหว จะดใู น ชวี ิตประจำวัน กย็ ังไม่ชดั เจน จะตอ้ งใหใ้ จของเราตง้ั มั่นจริงๆ เป็นสมาธจิ รงิ ๆ เรา จงึ จะรู้ จงึ จะใช้ส่ิงเหล่าน้ใี หเ้ กดิ ประโยชน์ขึน้ มา เพ่ือจะให้จิตใจของเราปลดปลอ่ ย อารมณ์จากสิ่งท่ีเคยยึดม่ันถอื มัน่ อยู่ภายใน เพราะฉะนั้น ถา้ จะใหร้ ้เู รื่องของธรรมะ ใจของเราตอ้ งตง้ั แลว้ ต้งั นานๆ ดว้ ย ให้เกิดความเคยชินท่จี ะอยูต่ รงนี้ ถา้ ไมอ่ ย่างนัน้ ใจของเราเคลื่อนไหวนดิ หนง่ึ เอา แล้ว อะไรทเี่ คลื่อนไหวไปตามในขณะนั้น เราก็ไมร่ ู้ เพราะเรากำลงั อย่ใู นการ
44 เคลอ่ื นไหว มองไมอ่ อก เหมือนเราวง่ิ ไปวงิ่ มา เราจะมองคนอืน่ ทก่ี ำลังวงิ่ กเ็ บลอ ไปหมด หรืออย่างทท่ี ่านวา่ ถ้าเราอยใู่ นรถไฟมองออกไป ก็เหน็ อนั นั้นเคล่ือนไหว อนั นกี้ ็เคลอ่ื นไหว เชน่ ต้นไม้ก็ว่ิง รถก็วง่ิ คนกว็ ิง่ ภเู ขาก็วิง่ เพราะอะไร เพราะเรา อยู่ในรถที่กำลังวิง่ แตถ่ า้ เราลงจากรถไฟ หยุดยนื อยู่กับที่ เราจะได้มอง อ้อ ภูเขา ไม่ไดว้ ่งิ ตน้ ไมไ้ ม่ได้ว่ิง แต่คนว่ิง รถว่งิ จะไดแ้ ยกออกวา่ อะไรเป็นอะไร น่จี ติ ใจของเราก็เชน่ เดยี วกัน ถ้าเราจะใชส้ ญั ญาของทา่ นใหเ้ ป็นประโยชน์ เรา จะตอ้ งยกฐานะจิตใจของเราใหเ้ ตรียมพรอ้ มท่จี ะรู้เรอื่ งของทา่ น พอร้เู รอื่ งแบบนี้ อะไรควรจะปลอ่ ย อะไรควรจะยึด เราจะไดแ้ ยกออก สัญญาคอื อะไร รปู คืออะไร ก็แยกออกได้ เพราะใจของเราอยู่บนฐานทส่ี ูงและมน่ั คงดว้ ย
45 ใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ หลวงปสู่ ุวัจนจ์ ะพูดอยเู่ สมอวา่ เราเกิดมาในโลกนี้ เราไม่มอี ะไรทเ่ี ราเปน็ เจ้าของจรงิ ๆ นอกจากกรรมของเรา อยา่ งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณนน้ั เปน็ อนตั ตา แตก่ รรมนไ้ี ม่ใชอ่ นตั ตา เรามกี รรมเป็น ของๆ ตน เราตอ้ งระลกึ อยู่เสมอว่า ทว่ี ดั เราไดท้ ดี่ นิ แปลงใหม่ จะดตี รงทว่ี ่า เราใช้ เป็นโอกาสทจี่ ะไดป้ ฏบิ ตั ิ ชกั ชวนเพอื่ นฝูงมาปฏบิ ตั ิด้วย นนั่ แหละการกระทำของ เรา กรรมของเรา ทำกรรมทดี่ ี กรรมท่เี ป็นกศุ ล ถ้าเราคิดอยา่ งนี้ ทใี่ หมน่ ี้ถงึ จะไม่ เป็นของเราจรงิ ๆ ถึงจะมีชอื่ อย่ใู นโฉนด แตต่ ้องถือวา่ เราใชช้ ั่วคราว ยืมเขามา อาศยั เขาอยู่ แตส่ กั วนั หนง่ึ เรากต็ อ้ งละไป ในระหวา่ งท่เี ราอยกู่ ็พยายามใช้ใหไ้ ด้ ประโยชน์เต็มที่ ดแู ลใหด้ ี ใช้เปน็ โอกาสทจ่ี ะไดป้ ฏบิ ัติจิตใจในทางการให้ทาน รกั ษาศีล เจริญภาวนา อย่างหลวงป่ชู าเคยพดู ไว้ เราได้ถว้ ยมาใบหน่ึง เราก็รู้อยู่ในใจว่า สักวนั หน่ึง ถ้วยใบน้นั จะตอ้ งแตก แตเ่ ราไมไ่ ด้ใชแ้ บบทง้ิ ๆ ขวา้ งๆ เราก็พยายามใชใ้ ห้เป็น ประโยชน์ ถา้ เกดิ วันไหนมนั แตกโดยบงั เอญิ อา้ ว แล้วกแ็ ล้วไป ทเี่ ราไมเ่ สียดาย เพราะอะไร ก็เพราะเราใชใ้ ห้เป็นประโยชนแ์ ลว้ ถ้าหากว่าไมไ่ ดใ้ ชเ้ ลย เกบ็ ไวใ้ นตู้ หรอื เราใช้ในทางทผี่ ดิ เกดิ มันแตกขึ้นมา ก็เสยี ใจ เพราะไมไ่ ด้ประโยชนอ์ ะไรเลย ชวี ติ เลือดเนือ้ ของเรากเ็ ช่นกัน สักวันหน่งึ กต็ ้องจากกนั ไป เรากร็ ู้อยู่ แตว่ า่ ตอ้ ง ดูแลใหด้ ี ดูแลจากภายนอก ดแู ลจากภายใน โดยเฉพาะอย่างยิง่ ดูแลจากภายใน อยา่ งทีเ่ รากำหนดลมหายใจ จะช่วยท้ังรา่ งกายดว้ ย ช่วยท้ังจติ ใจดว้ ย ใจทม่ี ฐี านท่ี ดีแลว้ ในปัจจบุ ัน เปน็ ใจท่จี ะสรา้ งคณุ งามความดไี ด้เตม็ ที่ ใจทีอ่ อ่ นแอใจไมม่ ีทพี่ ่ึง ภายในจะสรา้ งความดกี ย็ ากแสนยาก เพราะไมม่ ีกำลงั บางทกี ไ็ มร่ ้เู ลยวา่ อะไรคอื ดีอะไรคือไมด่ ี แต่ถึงเราจะรอู้ ยู่ ศึกษาอยู่ ไดย้ ินไดฟ้ งั แต่ใจไมม่ กี ำลัง ก็ไมไ่ หว เหมอื นกัน ความดีนั้นไมไ่ ดป้ ระโยชน์เทา่ ท่ีควร ถา้ เราใชล้ มหายใจของเราแตง่ ลมใหด้ ี เขา้ ให้สบาย ออกใหส้ บาย รูจ้ ักบรหิ าร รา่ งกายและจิตใจดว้ ยธาตลุ มของเรา น่ันเรยี กวา่ ใช้สิง่ ท่ีมอี ย่แู ลว้ ใหเ้ กิดประโยชน์ เมอ่ื ใจมีฐานทมี่ นั่ คงดีแลว้ เราจะให้ทาน ใจกย็ นิ ดี จะรักษาศีล เราก็ยนิ ดี จะ ภาวนาตอ่ ไปอกี เราก็ยนิ ดี เพราะใจมกี ำลังอยใู่ นตัว นถ่ี ้วยใบนี้ เรากพ็ ยายามใช้ ใหด้ ี ดูแลให้ดี พอถึงเวลาทต่ี อ้ งจากกนั ไป กไ็ ม่เสียดาย
46 สถานทน่ี ก้ี เ็ ช่นเดียวกัน เราได้มาแลว้ ไดอ้ าศัยอยู่ ไดม้ โี อกาสท่ีจะใช้อยู่ เราจะ ถอื วา่ เราเป็นเจ้าของน้ันไมไ่ ด้ แต่ว่าเราก็พยายามใช้ให้ได้เกิดประโยชน์ การที่ทาง วัดเราได้สถานที่น้แี ล้วจะเปน็ เรอ่ื งดหี รอื เรอื่ งไมด่ ี ก็อยู่ท่ีเรา การปฏิบตั ขิ องเรา พยายามคน้ หาความสุขจากภายใน คน้ หาความสขุ จากกาย จากวาจา จากจิตใจ ของเรา ได้ความดแี ลว้ ไดค้ วามสขุ แล้ว ก็ไม่ได้เกบ็ เป็นของส่วนตัว เรากแ็ ผใ่ หค้ น อื่นดว้ ย ความสุขในทางธรรมก็ดอี ยูต่ รงนี้ ไมเ่ หมอื นความสุขในทางโลก ความสขุ ในทางโลกนั้น เชน่ จะเอาความสขุ จากลาภ จากยศ จากสรรเสริญ จากกามสุขนนั้ ถ้าเราได้ คนอื่นก็ตอ้ งเสยี ถ้าคนอน่ื ได้ เรากต็ ้องเสยี มนั จงึ สร้าง ความแตกแยกกนั ขึ้นมาได้ง่าย แต่ความสุขในทางธรรมไมใ่ ช่อยา่ งนั้น เราสรา้ ง ความดขี น้ึ มา คนอยรู่ อบตัวเราก็พลอยไดร้ บั ความดดี ว้ ย เราสรา้ งความสุขจาก การให้ทาน เราเองกม็ ีความสุขเพราะเราสร้างบารมขี น้ึ มาใหม้ ใี นตวั คนทร่ี บั ทาน จากเรากไ็ ด้ความสขุ ขนาดคนท่ีแค่เห็นก็ได้ทศั นคตทิ ี่ดี เขากไ็ ดร้ ับความสุข การรกั ษาศลี กเ็ ชน่ เดียวกัน เราเองกส็ ร้างบารมขี ึ้นมา คนทอ่ี ยรู่ อบตัวเราก็ พลอยไดร้ ับความปลอดภยั จากเรา คนทีเ่ ห็นกไ็ ดท้ ศั นคตทิ ดี่ ี การภาวนากเ็ ชน่ กนั เราเองก็ไดส้ รา้ งความสขุ ขน้ึ มา เพราะใจของเราถงึ จะมี ความโลภอย่บู ้าง แตก่ ็เบาลงไป ความโกรธ ความหลง กน็ อ้ ยลงไปๆ เมื่อสง่ิ เหลา่ น้ีน้อยลงไป ใจของเราก็เบาข้ึนมา คอื กิเลสเรานี่ก็เหมอื นของหนกั และเป็น ของรดั ตัวดว้ ย จะสรา้ งความดีนี่ ความโลภจะมาขวาง ความโกรธจะมาขวาง ความหลงจะมาขวาง แต่ถา้ หากวา่ ส่ิงเหลา่ นีน้ ้อยลงไป บางลงไป ใจของเราก็มี อิสระอยู่ในตวั ไม่ตอ้ งเป็นทาสของเขา เราเองก็รับความสุข คนทอี่ ยรู่ อบตัวเราเขา กร็ บั ความเบาจากเราไปด้วย จึงเรียกว่า ความสขุ ในทางธรรมนัน้ แทนทจ่ี ะสร้าง ความแตกแยก กลับมาสร้างความสามัคคีข้นึ มาได้ เพราะฉะนั้น ให้เราพยายามสร้างสิง่ เหลา่ นี้ใหด้ ที ี่สดุ เทา่ ท่ีจะดไี ด้ น่ีแหละคอื สมบตั ิของเรา แตไ่ ม่ใช่เฉพาะของเรา ก็เหมอื นเราให้คนอื่นเขาดว้ ย อยา่ งทเ่ี รา ระลึกถึงคนทถ่ี วายปจั จยั ที่ซือ้ ที่ดินนี้ เขากเ็ สยี สละไมใ่ ชน่ ้อย คนท้ังหลายที่มาชว่ ย ขวนขวายในการตดิ ต่อทจี่ ะหาข้อมลู หาอะไรตา่ งๆ เจรจากับเจา้ ของ เขาเจตนาดี ทงั้ น้ัน เราก็พยายามแผใ่ หเ้ ขาดว้ ย ความดอี นั ใดท่จี ะสรา้ งตรงน้ี เรากแ็ ผ่ใหเ้ ขา สัตวท์ ัง้ หลายทอี่ ยู่ในท่ีนก้ี แ็ ผ่ให้เขา เพราะเราไมไ่ ด้มายดึ เปน็ กรรมสิทธิ์ เราก็ เพยี งแต่ขอเขาอาศยั อยู่ ใชเ้ ปน็ ท่ีๆ จะสร้างความดี ให้ตัวเราเองดว้ ย ให้เขาดว้ ย
47 นีค่ วามดใี นทางธรรมก็ดอี ยูต่ รงน้ี เพราะฉะน้นั เวลาเราแผเ่ มตตา เราแผไ่ ด้โดย ไมเ่ กอ้ เขิน อยา่ งคนทีเ่ ขาเอารัดเอาเปรยี บคนนนั้ คนนี้ เวลาเขาจะแผเ่ มตตาเขาจึง นกึ ถึงสรรพสตั วท์ งั้ หลาย กต็ อ้ งมีอายอย่บู า้ ง ทนี่ ีเ้ ราสร้างแต่ความดี สรา้ งแต่ ความสามคั คี สรา้ งแต่สง่ิ ใหป้ ระโยชน์ทัว่ หนา้ กนั เวลาเราจะแผเ่ มตตาก็ไม่เก้อเขิน ไมอ่ าย แผไ่ ด้เตม็ ท่ี เพราะฉะนัน้ เราถอื ว่า เรามาอยทู่ ี่น่ี เรามาอาศยั เป็นโอกาสของเราที่จะสรา้ ง ความดเี พม่ิ เติม สรา้ งทั้งใหต้ วั เราดว้ ยและให้คนท้งั หลายด้วย ให้สัตวท์ ง้ั หลาย เทพเทวา วญิ ญาณท้ังหลาย ทอ่ี ยใู่ นท่นี ้ี ให้รับความดี เราจะอย่ดู ้วยกันด้วยความ ผาสกุ
48 ดวงตาเหน็ ธรรม ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คืนนเี้ ป็นวนั อาสาฬหบูชา อาสาฬหะ เปน็ ชื่อภาษาบาลี เป็นชือ่ ของเดอื นแปด บชู า แปลว่าการกราบการไหว้ การแสดงความเคารพ เราไม่ได้เคารพในเดอื นนะ เราเคารพในพระพุทธเจา้ เพราะมเี หตสุ ำคัญในชวี ิตของพระองคท์ ี่เกิดขนึ้ ในวัน เพญ็ เดอื นแปด หลังจากพระองคไ์ ดต้ รสั รู้แลว้ เสวยวมิ ุติสุข ๗ อาทิตย์จึงตัดสินพระทัยวา่ จะมา สอนพระธรรม กน็ กึ ถงึ ปญั จวัคคยี ์ทเ่ี คยเป็นลกู ศิษยส์ มัยก่อน แตห่ นจี ากท่านไป ตอนท่ีทา่ นเลิกการทรมานกาย ปญั จวัคคยี ต์ อนนัน้ เขา้ ใจวา่ ถ้าจะตรสั รนู้ ั้นตอ้ ง ทรมานให้ถึงทสี่ ุด พอเห็นพระองค์เลิกจากการทรมาน กลับมาฉันอาหารตาม ธรรมดา ปญั จวคั คยี ก์ ็เกดิ ผดิ หวงั จงึ หนอี อกไป เขา้ ใจวา่ พระองคก์ ลับมาอยู่แบบ ฟุ่มเฟอื ยมกั งา่ ย แตเ่ รอ่ื งจริงไมไ่ ดเ้ ป็นแบบน้นั พระองค์เหน็ วา่ การทรมานกาย ไมไ่ ดเ้ ปน็ หนทางทจี่ ะตรสั รู้ พระองคก์ ็ยอมละทฐิ ิ หาหนทางใหม่ จึงนกึ ถงึ วา่ มีอยสู่ มยั หนึ่งสมยั ท่ียงั เปน็ เดก็ ๆ เคยนัง่ อยใู่ ตต้ ้นไม้ ก็ได้เขา้ ฌานที่ หนง่ึ พอระลึกไดแ้ ลว้ ก็ถามพระองคเ์ องวา่ น่ีหรือจะเป็นหนทาง ใจกต็ อบว่า ใช่ แต่ว่าก็ตอ้ งกลับมาฉนั อาหารใหร้ ่างกายมีกำลังจงึ จะเข้าถงึ ฌานนัน้ ได้ พอทดลอง ปฏบิ ัติ ผลสุดท้ายก็ไดต้ รัสรจู้ ริงๆ อันดบั แรกทรงระลึกถึงคณาจารยเ์ ก่า คอื อาฬารดาบสและอทุ กดาบส แต่ ปรากฏว่าทา่ นทั้งสองนนั้ เสยี ไปแลว้ จากนั้นก็นกึ ถึงพวกปญั จวคั คยี ์ แต่ว่าก็อยู่ไกลแสนไกล พระองคเ์ สด็จด้วยพระ บาท พอไปถงึ ปัญจวัคคยี ต์ อนแรกพวกเขาเห็นวา่ สมณะนม้ี ักงา่ ย จะไมฟ่ งั ไมส่ นใจ แตพ่ อพระองค์เสด็จเข้าใกล้ กอ็ ดไมไ่ ดท้ ี่จะลุกขึ้นตอ้ นรับแตย่ งั มีทิฐิวา่ พระองคน์ ี่ มักง่ายมักมากแล้ว คงปฏบิ ัตไิ ม่ถึงไหน แตพ่ ระองค์กบ็ อกว่า เราตรัสรแู้ ล้ว เขาก็ ไมเ่ ชอ่ื พระองคก์ ็คา้ นวา่ นี่เราเคยพูดคำนมี้ ากอ่ นหรือ กไ็ มเ่ คย เพราะฉะนัน้ ตกลง จะฟงั พระองคก์ ็แสดงธรรมจักร พดู ถึงมรรคมอี งค์ ๘ เรม่ิ ดว้ ย สัมมาทฏิ ฐิ ความ เหน็ ชอบ คืออรยิ สัจ ๔ คณู ดว้ ยญาณทง้ั สามกบั อริยสจั แตล่ ะข้อ ขอ้ แรกก็คอื ทุกข์ ทา่ นเร่ิมพดู ถึงเรอ่ื งทุกขธ์ รรมดา ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เปน็
49 ทกุ ข์ การพลดั พรากจากส่งิ ทีเ่ รารักกเ็ ป็นทุกข์ การอยรู่ ว่ มกับส่ิงท่เี ราไมช่ อบกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ไม่ไดอ้ ะไรสมหวังในชีวติ กเ็ ป็นทุกข์ ซ่ึงเราๆ ก็ร้จู กั กันท้งั นั้น พอสรุปแล้วพระองคก์ ็พดู ถงึ อปุ าทานขนั ธ์ ซึง่ ไม่ใชธ่ รรมดาแล้ว คอื ทเ่ี ราทกุ ข์ อยูก่ ไ็ มไ่ ดเ้ กดิ จากส่ิงภายนอก เราทกุ ข์เพราะใจของเราไปยึดในส่ิงทไ่ี มค่ วรยึด ทุกข์อันนค้ี วรกำหนดรู้ วา่ ตรงไหนท่ีเรายึดในรปู ในเวทนา ในสญั ญา ในสังขาร ในวญิ ญาณ ใหร้ ใู้ ห้ชดั เลย จนเราเกิดเบอ่ื ขน้ึ มาในสง่ิ เหล่านัน้ คอื ปญั หาอยู่ทว่ี ่า เราแสวงหาความสุขตงั้ แตเ่ กิดแลว้ ยึดในสิ่งเขา้ ใจว่าจะให้ความสขุ แลว้ ยดึ ผิด ถือ ว่าขนั ธ์เหลา่ นเ้ี ป็นตวั เป็นตน หรอื เปน็ ของๆ ตน ถา้ ไม่ยอมละจะไมเ่ จอความสุขที่ แทจ้ ริง ทนี ้มี นั ละยากนะ เราจะตอ้ งละท่เี หตุ เพราะฉะนน้ั พระองค์กอ็ ธบิ ายวา่ เหตุ แหง่ ทกุ ขเ์ ป็นอย่างไร คอื ตณั หากบั อวิชชา สิง่ เหล่านต้ี ้องละ แตก่ ่อนทจี่ ะละ เรา ตอ้ งรมู้ นั เราจะรมู้ นั ไดอ้ ย่างไร ก็ตอ้ งเจรญิ มรรคตัง้ แต่สัมมาทิฏฐิจนถงึ สมั มาสมาธิ เราจึงจะรู้แจ้งในนิโรธ นี่ ทา่ นสอนถงึ อรยิ สจั และหน้าท่ีของอรยิ สจั แตล่ ะข้อๆ แต่ผลสดุ ท้ายกล็ งมาท่ี พระองคต์ รสั รู้กเ็ พราะปฏบิ ตั ิหนา้ ทแ่ี ต่ละขอ้ ๆ ให้ถึงทสี่ ุด ใหส้ มบรู ณ์ นน่ั แหละจงึ จะเรียกว่า ตรสั รู้ พระองคอ์ ธิบายแคน่ ี้ พระโกณฑญั ญะทเี่ ปน็ หัวหนา้ ปญั จวัคคยี ์ก็ได้ดวงตาเห็น ธรรม ทา่ นไดเ้ ห็นถึง อมตธรรม ส่ิงทไ่ี ม่เกดิ ไมเ่ จ็บ ไมต่ าย แตย่ อ้ นกลบั มาดู สิง่ ท่ี เกิดจากเหตุคอื สมุทยั กม็ คี วามดับทงั้ นน้ั ส่งิ ท่ีเกดิ จากเหตมุ ันกต็ อ้ งดับ อมตธรรม อนั น้ไี มเ่ กิดจากเหตุ อยนู่ อกเหตุเหนือผล ตรงนแ้ี หละแผ่นดินจงึ ไหว เพราะอะไร เปน็ เหตกุ ารณ์ทสี่ ำคญั มากในประวตั ศิ าสตร์มนษุ ย์ คนท่ีจารึกประวัตศิ าสตรส์ ่วนมากจะพดู ถงึ ว่าใครเป็นพระเจ้าแผน่ ดินใครไปทำ อะไรตามอำนาจของกเิ ลสทั้งนัน้ แต่นเ่ี ปน็ ประวตั ศิ าสตรท์ ี่ไมใ่ ช่ตามอำนาจกิเลส แตว่ ่าสำคัญกว่า พระองคไ์ ดป้ ฏบิ ัติให้พ้นทุกขแ์ ล้วบัญญตั พิ ระธรรมใหค้ นอื่นพน้ ทกุ ขด์ ้วย เปน็ เรอ่ื งพเิ ศษมาก นเ่ี รามาระลึกถงึ เหตุการณ์น้ีทกุ ปีๆ เพราะมคี วามสำคัญในชีวติ ของเราดว้ ย คอื คนเราถา้ หากวา่ อมตธรรมไมม่ ี กห็ าความสขุ ตามเร่อื งตามราว ตามลาภตามยศ ตามสรรเสริญ ตามกามสุข เอาแคน่ ั้นนะ่ เพราะดกี วา่ นัน้ ไมม่ ี แลว้ จะเปน็ ชวี ิตที่ มืดมนขนาดไหน ความสวา่ งในชีวติ ของเราเกิดจากว่า มหี นทางที่จะปฏิบัตใิ ห้พน้ ทกุ ข์ได้ ถึงสง่ิ ทไี่ มต่ ายได้
50 นี่พระพทุ ธเจา้ เปน็ บรมครู สอนทัง้ เทวดาและมนษุ ย์ เรากอ็ ยู่ในเครอื ขา่ ยของ พระองค์ หมายความว่า พระธรรมยงั มอี ยู่ เรายงั มโี อกาสทจ่ี ะปฏิบัติตามได้ เรา ควรจะเอาเตม็ ที่ พสิ จู นว์ า่ ที่ท่านเรยี กวา่ อมตธรรม นน้ั ดวงตาเห็นธรรมน้ัน มี จริงไหม ทำไมเราไมเ่ หน็ ทำไมเราไมร่ ู้ เราเอามรรคของพระองคม์ าวดั ตรงไหนท่ี เรายงั บกพรอ่ งอยู่ อยา่ ไปคดิ ว่า มรรคเปน็ ส่ิงทีเ่ หลือวิสยั หรอื ว่าต้องเปน็ พระเจา้ พระสงฆ์ทอี่ ยใู่ นวดั ในวาจงึ จะปฏบิ ตั ไิ ด้ เราเปน็ ฆราวาสเรากป็ ฏบิ ตั ิได้ มอี ะไรใน นนั้ ที่เหลอื วสิ ยั ก็ไมม่ ี ทำความเหน็ ให้ตรง พยายามทำความตัง้ ใจให้ถูกตอ้ ง ปฏบิ ัตติ ามศลี ทง้ั สมั มาวาจา สัมมากัมมันโต สมั มาอาชโี ว อาชพี ของเราให้เป็น อาชพี สจุ ริต เราก็ปฏบิ ัตไิ ด้ ตรงไหนในมรรคทีม่ นุษยท์ ำไมไ่ ด้ไม่มี เพยี งแต่วา่ กิเลสของเราจะขดั ขอ้ งอยู่ เสมอ อนั นั้นกไ็ มไ่ ด้ อันน้กี ็ยาก จรงิ อยู่ เราตอ้ งรจู้ ักเสยี สละบา้ งบางครงั้ เชน่ เรา มีโอกาสท่จี ะไดป้ ระโยชน์ในทางโลกดว้ ยการทำผดิ ศลี บางทเี ราจะอา้ งวา่ ทำเพื่อ ลูกหรอื ทำเพอ่ื พอ่ แม่ อนั นต้ี อ้ งเสยี สละ หาหนทางอ่นื ค้นหนทางทเ่ี ราจะไดท้ รพั ย์ สมบัติโดยไมผ่ ิดศีล ก็มมี ากตอ่ มาก การอยรู่ ่วมกัน เรากพ็ ยายามรักษาสัมมาวาจา อยา่ ไปพดู ในสิ่งที่ทำใหเ้ ขาแตกแยกกนั หรือพดู ในส่ิงจะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อย่าไป โกหกเขา การรักษาศลี เหลา่ นี้ไม่เหลือวสิ ัย ทีจ่ รงิ มนั กลบั งา่ ยขนึ้ มา แตล่ ะขอ้ ๆ ที่ ยากที่สุดก็คอื ทำใจใหเ้ ป็นสมาธิ อนั นีต้ อ้ งต้งั ใจ ทา่ นเทยี บเหมือนกบั วา่ เราจะสรา้ งสะพานข้ามแม่น้ำ มีเสา ๓ เสา เสาฝง่ั นีเ้ สา ฝงั่ โนน้ ทัง้ สองอยา่ งนี้ปกั ลงไปงา่ ย เพราะมนั อยู่ใกลฝ้ ่ัง เสาทอ่ี ยกู่ ลางแม่นำ้ น่ะ ปกั ลำบากหน่อย เพราะตอ้ งใชค้ วามเพยี รถงึ จะเอาลงใหไ้ ด้เสาฝ่ังนี้ก็คือศีล เสาฝั่ง โน้นกค็ อื ปัญญา ทย่ี ากท่สี ดุ ก็คอื เสากลาง คอื สมาธิ ทจ่ี ะใหเ้ ปน็ สมั มาสมาธิขนึ้ มา เราต้องฝึกตอ้ งอบรมทกุ วันๆๆ พยายามรักษาลมหายใจของเราเป็นอารมณ์ อยูท่ ี่ ไหนๆ กย็ งั อยู่กับลมได้ บางคนอา้ งวา่ ไมม่ เี วลา ต้องทำโนน่ ทำนย่ี งุ่ ไปหมด แตเ่ วลาย่งุ มีเวลาหายใจ ไหม ก็มี เรากพ็ ยายามระลึกถึงธาตุลมในตวั ของเรากแ็ ล้วกนั ถงึ จะรู้วา่ ลมหายใจ เขา้ หรอื ออกนั้นบางทอี าจจะขวางไปหนอ่ ย เพราะเราต้องคิดน่นั คิดนี่ในหนา้ ที่ การงานของเรา แตค่ วามรสู้ ึกในธาตุลมในตัวของเรากก็ ำหนดได้ตลอดเวลา นน่ั จะชว่ ยเราด้วย ใจของเราจะไดม้ หี ลกั อย่ใู นปัจจุบนั คนอ่นื จะมาดา่ มาวา่ เรา มาทำ อะไรท่ไี มด่ กี บั เรา เรากน็ ึกในใจอยู่เสมอวา่ ธาตลุ มของเราเขากท็ ำอะไรไม่ได้ เรา ยังอยู่ในทป่ี ลอดภยั ใจของเราก็จะม่ันคงขนึ้ มา เขาจะพูดอะไรด้วยตั้งใจว่าจะให้
Search