ชมรมกลั ยาณธรรม www.kanlayanatam.com หนงั สอื ดอี ันดับท่ี : ๒๑๐ พระกัมมัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภิวังสะ พิมพค ร้งั ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวนพิมพ ๔,๐๐๐ เลม จดั พิมพโ ดย ชมรมกลั ยาณธรรม ๑๐๐ ถ.ประโคนชัย ต.ปากน้ำ อ.เมอื ง ปกและรูปเลม จ.สมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ พสิ ูจนอักษร โทรศัพท ๐๒ ๗๐๒ ๗๓๕๓ และ ๐๒ ๗๐๒ ๙๖๒๔ พิมพที่ ปา แชม และ ลงุ ชม อ. จันทรา ทองเคยี น และคณะ สำนกั พมิ พกอ นเมฆ โทรศัพท ๐๘๙ ๗๘๕ ๓๖๕๐ สพั พทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทาน ยอ่ มชนะการใหท้ ้ังปวง www.kanlayanatam.com
โดย....พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ
๔ การ เจริญ วิปสสนา กลาว ได วา เปนการ พัฒนา องคป ระกอบของจติ (เจตสกิ )ฝา ยกศุ ล ใหเ ขม แขง็ จนกระทงั่ สามารถ คมุ ครองจติ ไดอ ยา งตอ เนอื่ ง องคธ รรมเหลา นม้ี ชี อ่ื เรยี กวา “พละ” ซึง่ มี ๕ ประการ ไดแ ก ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ และปญ ญา ในการเขาอบรมวิปสสนากรรมฐาน การปฏิบัติที่ ถูกตองจะชวยพัฒนาศรัทธาใหเขมแข็ง มั่นคง มีความพากเพียร อยางแรงกลา มีสมาธิหยั่งลึก มีสติรูรอบเปนผลใหปญญาสูงข้ึน ตามลำดับ ผลแหงการปฏิบัติ อันไดแก ญาณทัศนะ หรือปญญา จะเปนพลังจิตที่สามารถหย่ังรูความเปนจริงอันสูงสุด จนสามารถ กำจดั อวชิ ชาใหห มดสน้ิ ไป พรอ มๆ กบั ทกุ ข อปุ าทาน และโทมนสั ทงั้ ปวง พัฒนาการดังกลาวจะเกิดขึ้นได ก็ดวยการสรางเหตุที่ เหมาะสม ๙ ประการ ท่ีจะนำไปสคู วามเจริญของพละคอื ๑. การใสใจสังเกตดูความเปนอนิจจังของอารมณ ใน ขณะกระทบอายตนะทั้ง ๖ ๒. การปฏบิ ตั วิ ิปสสนากรรมฐานดวยความเคารพ เอา ใจใสและละเอยี ดออน
๕ พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑิตาภิวงั สะ ๓. การมีสตปิ ฏบิ ตั ิอยา งตอ เนอื่ งไมขาดสาย ๔. อยูในสภาพแวดลอมทีเ่ อ้ืออำนวยตอการปฏบิ ัติ ๕. พยายามจดจำสถานการณหรือพฤติกรรมที่มีสวน ชวยใหการปฏิบัติดำเนินไปดวยดีในอดีต เพื่อท่ีจะรักษา หรือ เสริมสรางปจจัยเหลานี้ใหเกิดขึ้น โดยเฉพาะอยางย่ิงเวลาท่ีเผชิญ กับความยากลำบาก ๖. ปลูกฝงโพชฌงคท้งั ๗ ๗. มีความตง้ั ใจท่ีจะปฏิบตั ิอยางเดด็ เด่ียว ๘. มคี วามอดทนและบากบน่ั เมอื่ เผชญิ กบั ความเจบ็ ปวด หรอื อปุ สรรคอน่ื ใด ๙. มีความมุงมั่นที่จะปฏิบัติ ไปจนกวาจะบรรลุถึงจุด มุงหมายของการปฏบิ ตั ิ อันไดแก ความพนทุกข การปฏิบัติของโยคีนั้น จะสามารถกาวหนาไปไดไกล แมเพียงการเจริญเหตุท่ีเหมาะสมขางตนเพียง ๓ ประการแรก กลาวคือ จิตใจของผูปฏบิ ัติจะเริม่ มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปญญา หากผูปฏิบัติเฝาดูส่ิงที่ปรากฏทางกายและทางจิต อยางพิถีพิถัน ดวยความเคารพ และอยางตอเน่ืองไมขาดสาย
๖ ในสภาวะเชนน้ี นวิ รณต าง ๆ จะถูกกำจัดไปอยางรวดเรว็ พละ ทัง้ ๕ จะทำใหจ ติ ใจเขาสูความสงบ ปราศจากส่ิงรบกวน โยคีที่ ปฏบิ ตั มิ าถงึ ขน้ั น้ี จะพบกบั ความสงบเยอื กเยน็ อยา งทไี่ มเ คยพบมา กอ น จนบางคนอาจรสู กึ อศั จรรยใ จวา “สง่ิ ทค่ี รบู าอาจารยก ลา วถงึ ท้ังความสันติสุขและสงบเยือกเย็นน้ัน เราสามารถประสบไดดวย ตัวเองจริงๆ” การปฏิบัติดังกลาวน้ีก็จะชวยสนับสนุนใหศรัทธา ซ่งึ เปนพละประการแรกเริ่มเกดิ ขึน้ ศรัทธาชนิดนี้เรียกวา “ศรัทธาเบื้องตนท่ีเกิดจากการ ประจักษแจงความจริงดวยตนเอง” กลาวคือ ประสบการณ ดังกลาวจะชวยใหผูปฏิบัติเกิดความรูสึกวา ผลการปฏิบัติขั้นสูง ไปท่ีพระอาจารยกลาวถึงน้ัน อาจปรากฏแกต นเองไดจ ริง เมอื่ มีศรัทธา กท็ ำใหเ กดิ แรงบันดาลใจ และทำใหจ ิตมี พลงั มากขนึ้ เม่ือมพี ลังใจ ก็มคี วามพากเพียร บากบน่ั ตามมา ผู ปฏบิ ตั จิ ะกลา วกับตวั เองวา “นเ่ี ปนเพียงการเรมิ่ ตน และหากเรา พยายามมากกวานี้ ก็จะไดผลดีย่ิงขึ้นไปอีก” ความพยายามที่ ไดรับการเสริมสรางขึ้นอีกเชนน้ี จะชวยทำใหจิตสามารถกำหนด อารมณอันเปนเปาหมายในการกำหนดไดทุกขณะ สติก็จะแนบ แนน ขนึ้ และหยัง่ ลึกลงยงิ่ ข้ึนตามลำดบั
๗ พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภวิ งั สะ สติเปน ปจจัยใหเกิดสมาธิ กลาวคอื จิตที่รวมเปน หน่ึงได เม่อื สตกิ ำหนดรอู ารมณใ นแตล ะขณะ จิตกจ็ ะมีความมนั่ คง ไม วอกแวก และมปี ติอยูในการกำหนดน้นั ๆ ในสภาพธรรมชาติเชน นี้ สมาธกิ ็จะรวมลงและตง้ั มั่นข้ึน ดังนนั้ ยง่ิ สติมีกำลงั มากขน้ึ เทาใด สมาธกิ ็มคี วามมน่ั คงมากข้ึนเทานน้ั เมอ่ื ศรทั ธา วิรยิ ะ สติ และสมาธิมอี ยพู รอ มกัน ปญญา ซง่ึ เปน พละประการท่ี ๕ ยอ มจะเกดิ ขนึ้ เอง ตราบเทา ทพ่ี ละทงั้ ๔ ประการแรกปรากฏอยู ปญ ญาหรือญาณกจ็ ะเกดิ ข้นึ เอง ผูปฏิบตั ิ จะเริ่มตระหนักแกใจตนเองอยางชัดแจงวา รูปกับนามเปนคนละ สิ่งกัน และเร่ิมเห็นวารูปกับนามเปนปจจัยในการเกิดข้ึนของกัน และกนั อยา งไร เมอ่ื ญาณปญ ญากา วหนา ขน้ึ ความศรทั ธาอนั เกดิ จากการเขาไปประจกั ษค วามจริงดวยตนเองกจ็ ะเขมแขง็ ขน้ึ ผู ปฏิบัติ ที่ หยั่ง รู การ เกิด ดับ ของ อารมณ ใน ทุก ขณะ จะพบปติอยางสูง “เปนประสบการณที่ประเสริฐย่ิงนัก ที่เห็น ปรากฏการณเ หลา นผี้ านไปเปน ขณะๆ โดยปราศจากตวั ตน ไมมี ใคร ไมมีอะไรเลย” การคนพบนี้จะกอใหเกิดความโลงอกและ สบายใจอยา งมาก ญาณทศั นะตอๆ มาทห่ี ยั่งรู อนิจจงั ทกุ ขงั และ อนัตตา จะยงิ่ เสริมสรางความศรัทธายิ่งข้ึน และจะทำใหผปู ฏบิ ตั ิมี ความเชอ่ื มั่นหนักแนน วา ธรรมะที่ไดยินไดฟ งมานนั้ เปนของจริงแท
๘ การปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน อาจ เปรียบ ได กับ การ ลับ มีด ดวย หินลับมีด ผู ลับ ตอง วาง มีด ใหอยูในมุมที่เหมาะสม ไม สูงเกินไป หรือ ไม ต่ำ เกิน ไป กดลงดวยน้ำหนักท่ีพอดี ผูลับ จะเคล่ือน ใบมีด ไป อยาง สม่ำเสมอ บนหนิ ลับมดี จนกระทง่ั มีดขา งหนงึ่ เรม่ิ เกดิ ขึ้น เสร็จแลวจึงกลับใบมีดไปอีกขางหนึ่ง กดลงดวยน้ำหนักเทาๆ กัน ในมุมเดียวกนั ตวั อยา งน้แี สดงอยูในพระไตรปฎ ก ความเท่ยี ง ตรงของมุมเปรียบไดกับความพิถีพิถันในการปฏิบัติ สวนแรงกด และการเคลื่อนไหว เปรียบเสมือนสติท่ีตอเน่ืองกัน หากความ พิถีพิถันและความตอเนื่องคงอยใู นการปฏิบตั ิ ผปู ฏิบัติก็มั่นใจได วา ในระยะเวลาไมน าน จติ จะมคี วามเฉยี บแหลม เพยี งพอทจ่ี ะหยง่ั ลงสูสัจธรรมของชีวติ ได
๙ ปจ จัยที่ ๑ การใสใ จสังเกต ความเปนอนิจจังของสงิ่ ทง้ั ปวง
๑๐ ปจ จัยสนบั สนุนประการแรกในการพฒั นาพละ ๕ คือ การเฝาสังเกตวา ทกุ ส่งิ ทกุ อยา งทเ่ี กิดขึ้น ลว นแตจะตองเสือ่ ม สลายและดับส้นิ ไป ในระหวางการปฏิบัติวิปส สนา ผูปฏบิ ัตจิ ะ เฝา ดอู ารมณท ีเ่ กิดขนึ้ ตามอายตนะทัง้ ๖ ในการนี้ ผปู ฏบิ ัตคิ วร จะตัง้ เจตนาในการกำหนดวา การกำหนดนี้เพื่อใหเหน็ วา ทกุ ส่ิง ที่เกิดขน้ึ ในที่สดุ กจ็ ะดับไปดงั ท่ีผูป ฏบิ ัติทราบดี ปรากฏการณนี้ จะเหน็ จรงิ ไดก ด็ วยประสบการณจ ากการปฏบิ ัติจริง ๆ เทานนั้ การวางทาทีจิตใจเชนน้ีสำคัญมากในการเตรียมตัวเพ่ือ การปฏบิ ตั ิ การยอมรบั ต้ังแตตนวาสง่ิ ตาง ๆ เปนอนิจจัง และจะ ตองเปลีย่ นแปรไป เปนการปองกนั ปฏกิ ิรยิ า (อันไมพ งึ ปรารถนา) ท่อี าจเกิดข้นึ เมือ่ ผูปฏบิ ตั เิ ผชญิ หนากับความจรงิ ดงั กลา วในภาย หลงั ซึง่ บางครง้ั เปน ความจริงทีเ่ จบ็ ปวด หากปราศจากการ ยอมรบั น้ี ผูปฏิบัตอิ าจจะตอ งเสียเวลาไปมาก จากความเขา ใจ ทต่ี รงขา มวา ส่ิงตา ง ๆ ในโลกน้เี ปน นจิ จัง ซึง่ จะเปนอุปสรรค ตอการพฒั นาของญาณ ทงั้ น้ี ในเบื้องตน ผูปฏบิ ตั อิ าจยอมรบั อนิจจงั ดว ยศรัทธาไปกอน แตเ ม่ือการปฏบิ ัติกาวหนา ไป ความ ศรทั ธานีจ้ ะไดรับการพสิ ูจนดว ยประสบการณของแตละบุคคลเอง
๑๑ ปจจยั ท่ี ๒ ความพิถพี ถิ ัน เอาใจใสด ว ยความเคารพ
๑๒ ปจจัยพื้นฐานประการท่ี ๒ ในการเสริมสรางพละ ไดแกการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานดวยทาทีจิตใจที่ระมัดระวัง มีความเคารพและความพิถีพิถันยิ่ง การจะสรางทัศนคติเชนนี้ ผูปฏิบัติอาจจะคิดถึงประโยชนท่ีตนจะไดรับจากการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไดถ กู ตองแลว การระลกึ รูกาย ความรสู ึก จติ และ อารมณ จะทำใหจิตมีความบริสุทธิ์ เอาชนะความทุกขและ ความโศกเศราพิไรรำพัน ทำลายความเจ็บปวดและความเครียด โดยสิ้นเชิง และเขาถึงพระนิพพานไดในท่ีสุด พระพุทธองค ทรงเรียกการปฏิบัติน้ีวาสติปฏฐาน ๔ หมายถึงการเจริญสติบน ฐานทัง้ ๔ ซ่งึ เปน ส่งิ หาคา มไิ ดโดยแทจรงิ การระลึกถึงส่ิงเหลานี้ จะทำใหผูปฏิบัติมีกำลังใจใน การกำหนดปรากฏการณตาง ๆ ท่ีเกิดขึ้นทอ่ี ายตนะทั้ง ๖ อยา ง ระมัดระวังและเอาใจใส ในระหวางการเขาปฏิบัติวิปสสนา กรรมฐาน โยคีควรจะเคลื่อนไหวใหชาท่ีสุดเทาที่จะทำได โดย ระลึกวา สติของตนยังออนมาก การทำสิ่งตาง ๆ ชาลง เปด โอกาสใหสติติดตามความเคล่ือนไหวของรางกายไดทัน สามารถ กำหนดการเคลื่อนไหวแตล ะครัง้ ไดอยางละเอยี ด พระไตรปฎกเปรียบเทียบความเอาใจใสระมัดระวังและ พถิ พี ถิ นั นกี้ บั ภาพของคน ๆ หนงึ่ กำลงั ขา มแมน ำ้ บนสะพานแคบๆ ไมมีราวจับ มีแมนำ้ ไหลเชีย่ วอยูเบื้องลา ง แนน อนวา บุคคลผนู ้นั
๑๓ พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภิวงั สะ จะไมส ามารถกระโดดเรว็ ๆ หรอื วงิ่ ขา มสะพานได เขาจะตอ งกา ว อยา งระมัดระวงั ไปทีละกา ว นักปฏิบัติยังอาจเปรียบไดกับบุคคลที่กำลังถือบาตรท่ีมี นำ้ มันอยูเตม็ เปย ม เราคงพอคาดเดาไดถ งึ ระดับความระมัดระวงั ทเ่ี ขาใชเ พอ่ื มใิ หน ำ้ มนั หก ระดบั ของสตเิ ชน นเ้ี องทค่ี วรมอี ยใู นการ ปฏิบัติธรรม ตัวอยางทั้งสองนี้มาจากพระโอษฐของพระพุทธองคเอง เน่ืองจากในสมัยหน่ึง มีพระสงฆกลุมหนึ่งดูทีวาจะปฏิบัติธรรมอยู ในปา แตพระสงฆเหลาน้ันปฏิบัติอยางไมสำรวม เชนหลังจาก การนงั่ สมาธิ จะผดุ ลกุ ขน้ึ อยา งขาดสติ เดนิ จากทหี่ นง่ึ ไปอกี ทห่ี นงึ่ โดยไมสำรวม มองนกบนตน ไมแ ละเมฆในทอ งฟาอยา งปราศจาก ความระมดั ระวังสำรวมใจ จงึ ไมต องสงสัยเลยวา การปฏิบัตขิ อง พวกทานจะไมค บื หนา เลย เม่ือพระพุทธองคทรงทราบ ก็ทรงสำรวจดู และ พบวาความบกพรองของพระสงฆเหลาน้ีก็คือ การขาดความ เคารพในความจริงของส่ิงทั้งปวง ในพระธรรมคำสั่งสอนและ การปฏิบัติธรรม พระพุทธองคจึงเสด็จไปหาพระสงฆเหลานั้น และตรัสเทศนถึงภาพของคนถือบาตรน้ำมันขางตน พระธรรม เทศนาดังกลา ว เปนแรงบันดาลใจใหพระสงฆเ หลานน้ั ต้ังปณิธาน วาจะพิถีพิถันและระมัดระวังในทุกอิริยาบถ จนสามารถบรรลุ ธรรมไดในเวลาไมน าน
๑๔ ผูปฏิบัติสามารถพิสูจนส่ิงนี้ไดดวยตนเอง ในการ เขา อบรมพระกรรมฐาน โดยการเคลอื่ นไหวใหช า ลง มคี วามเอาใจใส ระมัดระวังยิ่งและปฏิบัติดวยความเคารพย่ิง ผูปฏิบัติเคลื่อนไหว ชาลงเทา ไร ก็จะมีความกาวหนา ในการปฏิบัติเร็วขึน้ เทา น้ัน อยา งไรกต็ าม เมอ่ื อยใู นโลกน้ี บคุ คลยอ มตอ งปรบั ตวั ให เขา กบั สถานการณท เ่ี ปน อยู บางครงั้ เราตอ งทำอะไรเรว็ ๆ เชน คน ท่ีขับรถชา ๆ บนทางดวนก็อาจประสบอุบัติเหตุ หรือปฏิบัติผิด กฎจราจรได ในทางกลบั กนั การดแู ลผปู ว ยในโรงพยาบาล กต็ อ ง กระทำอยา งทะนถุ นอม ทำอยา งชา ๆ ถา หากแพทยห รอื พยาบาล เรง รบี จนเกนิ ไปเพยี งเพื่อทำงานใหเสรจ็ เรียบรอยแลว ผปู วยอาจ ตองทนทกุ ขทรมานหรอื เสยี ชีวติ ได ผูปฏิบัติตองเขาใจสถานการณของตนเองวาเปนอยางไร และพยายามปรับตัวใหเขากับสถานการณน้ัน ไมวาจะอยูใน ชวงอบรมพระกรรมฐานหรือในภาวะปรกติ การมีความเกรงใจ และการเคลอ่ื นไหวในระดบั ปรกติ ยอ มเปน สงิ่ สมควรหากมผี รู ออยู อยา งไรก็ตาม หากผปู ฏบิ ัติเขาใจวา เปา หมายหลักของการปฏิบตั ิ นนั้ กค็ อื การเจรญิ สติ ดงั นน้ั เมอื่ อยคู นเดยี วกค็ วรกลบั ไปทำอะไรๆ ชา ลง เชน การรับประทานอาหารชา ๆ ลางหนา แปรงฟน และ อาบน้ำดวยสติอยา งถถี่ ว น
๑๕ ปจ จัยที่ ๓ มีสติ อยางตอ เน่อื งไมขาดสาย
๑๖ ปจจัยประการท่ี ๓ ความตอเนื่องไมขาดสายของสติ ในการพัฒนาพละท้ัง ๕ ผูปฏิบัติตองพยายามที่จะอยูกับปจจุบัน ใหมากที่สดุ เทาที่จะทำได ทกุ ๆ ขณะ โดยไมข าดตอน ดวยวิธนี ้ี สติก็จะเร่ิมกอตัวและเจริญข้ึนได การเจริญสติเปนการปองกัน มใิ หก ิเลสทกี่ อ ใหเกิดความทุกข ความเศรา หมอง ไดแ ก ความ โลภ ความโกรธ ความหลง แทรกซมึ เขามาบอนทำลายและนำ เราไปสูความมืดบอดได ตราบใดที่สติยังเขมแข็งอยู กิเลสจะไม สามารถเกดิ ขนึ้ ได และเมอ่ื จติ ใจปราศจากกเิ ลส จติ กจ็ ะเปน อสิ ระ โปรง เบา และเปน สุข ฉะน้ัน จงพยายามทุกวิถีทางท่ีจะรักษาความตอเน่ือง ของสติ เมื่อจะเปล่ียนอิริยาบถ จงแยกความเคลื่อนไหวเปน สวนๆ และกำหนดการเคล่ือนไหวแตละสวนอยางระมัดระวังยิ่ง เชนเม่ือจะลุกจากทาน่ัง ใหกำหนดความตั้งใจท่ีจะลืมตา แลวกำหนดความรูสึกที่เกิดขึ้นเมื่อเปลือกตาเริ่มเคลื่อนไหว กำหนดการยกมือออกจากหนาตัก การขยับขา และอ่ืนๆ ตลอด ท้ังวัน จงมีสติระลึกแมในอิริยาบถยอยที่ละเอียดที่สุด นอกเหนือ จากการยืน เดิน น่ัง และนอน เชน การหลับตา การหันหนา การหมนุ ลูกบิดประตู ฯลฯ
๑๗ พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภิวงั สะ นอกจากในเวลาท่ีหลับไปแลว โยคีควรจะรักษาสติ ไวตลอดระยะเวลาการปฏิบัติ ความตอเน่ืองควรจะมีความถ่ี ถึงขนาดที่ผูปฏิบัติไมมีเวลาในการคิดทบทวนลังเล วิเคราะห หาเหตผุ ลเปรยี บเทยี บประสบการณก บั ตำราทเ่ี คยอา นใด ๆ ทง้ั สน้ิ จะมีเวลาพอสำหรับการมีสตติ ามรูปจ จบุ ันอารมณเทาน้นั พระไตรปฎกเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมเหมือนกับ การจุดไฟ ในสมัยกอนเมื่อยังไมมีไมขีดไฟหรือแวนขยายนั้น การจุดไฟตองอาศัยวิธีโบราณท่ีนำวัตถุมาเสียดสีกัน อุปกรณ ประกอบดวยคันธนู ท่ีเอาสายธนูไปพันกับไมอีกทอนหน่ึง โดยปลายไมนี้นำไปเสียบไวในหลุมเล็ก ๆ บนแผนกระดานท่ีมี เศษไมและใบไมกองอยู เม่ือคนไสคันธนูไปมา ทอนไมก็จะหมุน ขัดสีกับแผนกระดาน กอใหเกิดความรอน พอที่จะทำใหใบไม และก่ิงไมลุกไหมได อีกวิธีหน่ึงก็คือ ใชมือหมุนทอนไมโดยตรง ท้ังสองวิธีน้ีคนจะตองถูทอนไมน้ันกลับไปกลับมา จนกวาจะเกิด แรงเสียดทานท่ีเพียงพอจะทำใหไฟลุกขึ้นได คราวนี้ลองสมมุติดู วาจะเกิดอะไรข้ึน หากบุคคลผูน้ันเสียดสีไมเปนเวลา ๑๐ วินาที แลวพัก ๕ วินาที เพ่ือพิจารณาดู ไฟจะติดข้ึนไดอยางไร ใน ทำนองเดียวกัน ความพยายามที่ตอเนื่องเปนสิ่งจำเปนในการ จดุ ไฟแหง ปญ ญาใหเกดิ ข้นึ
๑๘ พฤติกรรมของกิ้งกาก็เปนตัวอยางที่ (ไม) ดีอีกอยาง หน่ึงของการปฏิบัติธรรม พระไตรปฎกใชกิ้งกาเปนอุทาหรณ สำหรับการปฏิบัติท่ีขาดความตอเน่ือง กลาวคือ เวลาก้ิงกามอง เห็นอาหารหรือกิ้งกาตัวเมีย มันจะว่ิงไปขางหนาอยางรวดเร็ว แตจะไมจูโจมเขาสูเปาหมายในทันที มันจะโผไปส้ัน ๆ แลวหยุด มองดูทองฟา เอียงคอไปมา เสร็จแลวก็ทะยานไปอีกหนอยหนึ่ง กอนจะหยุดลงอีกเพ่ือมองโนนมองนี่ตอไป มันจะไมเคยถึงเปา หมายในคราวเดียวเลย โยคที ปี่ ฏบิ ตั แิ บบลกั ปด ลกั เปด มสี ตชิ วั่ ครชู ว่ั ยามแลว หยดุ เพ่อื คดิ โนน คิดน่ี เปนโยคกี ้งิ กา ถึงแมว ากิง้ กา จะเอาชวี ติ รอดได ดว ยพฤติกรรมแบบนี้ แตก ารปฏบิ ัติของโยคีอาจไมร อด ผูปฏิบัติ บางคนรูสึกวาจำเปนตองหยุดคิดทุกครั้งท่ีมีประสบการณใหม ๆ เฝาสงสัยวา เขาถงึ ญาณข้นั ไหนแลว ในขณะท่บี างคนอาจไมนึกถึง สงิ่ ใหม แตคอยคิดกงั วลถงึ เรือ่ งเดมิ ๆ ทีค่ นุ เคย บางคนอาจบน วา “เหน่ือยเหลือเกินวนั น้ี สงสยั เมอ่ื คนื จะนอนไมพอ หรอื ทานมากไป นา จะงีบสักพักหนง่ึ ” หรอื “เทา เจบ็ เหลอื เกนิ ไมร เู ปน แผลหรอื เปลา ถา เปน เดย๋ี วการปฏบิ ตั จิ ะแย ขอลมื ตาดหู นอยดกี วา ” เหลา น้ีคอื ความลงั เลของก้ิงกา
๑๙ ปจ จัยที่ ๔ สภาพแวดลอ มทีเ่ หมาะสม
๒๐ ปจ จยั ประการที่ ๔ ในการพัฒนาพละ ๕ ไดแ กก ารมี องคป ระกอบทเ่ี กอ้ื กลู ตอ การเจริญสติและปญญา ๗ ประการ คอื ๔.๑. สถานที่ท่ีเหมาะสม บริเวณสถานที่ปฏิบัติ วิปสสนาควรจะมีเคร่ืองอำนวยความสะดวกพอสมควร และเอื้อ อำนวยตอ การปฏบิ ตั ิธรรม ๔.๒. อยูในถิ่นท่ีเหมาะสม หมายถึงการออก บิณฑบาตเปนประจำวันของพระสงฆ สถานที่ปฏิบัติธรรมควร อยูไกลพอควรจากหมบู านเพอื่ หลกี เล่ยี งการรบกวน แตตอ งใกล ชุมชนพอที่จะออกบิณฑบาตได สำหรับฆราวาสผูปฏิบัติธรรม ตองมีความสะดวกในเรื่องอาหารพอควรแตไมถึงกับเปนเครื่องลอ ใจหรอื รบกวนตอ การปฏบิ ตั ธิ รรม และผปู ฏบิ ตั พิ งึ หลกี เลย่ี งสถาน ที่ทท่ี ำลายสมาธิ เชน บรเิ วณทม่ี ีคนพลกุ พลา น โดยยอ ความ สงบระดับหนึ่งเปน สิ่งจำเปน แตก็ตองไมห นีจากความเจรญิ จน ไมสามารถแสวงหาปจจัยทีจ่ ำเปน ในการประทังชวี ิตได ๔.๓. วาจาที่เหมาะสม ในระหวางการปฏิบัติธรรม ความจำเปนในการพูดจามีนอยมาก อรรถกถากำหนดใหเพียง การฟงธรรมเทศนาเทานั้น แตเราอาจจะเพิ่มการสนทนาธรรม
๒๑ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภวิ งั สะ กับพระอาจารย (การสอบอารมณ) เขาไวดวยได บางครั้งการ สนทนาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเปนสิ่งจำเปน โดยเฉพาะเมื่อ ผปู ฏิบตั ิเกิดความสับสน หรอื ไมแนใจวาจะตองทำอยางไรตอ ไป แตโปรดจำไววา อะไรก็ตามท่ีมากเกินไปยอมเปนโทษ อาตมาเคยสอนในสถานท่ีแหงหน่ึง ซ่ึงมีกระถางตนไมท่ีกัปปยะ ของอาตมาเอาใจใสรดน้ำมากเกินไป ผลก็คือใบไมกลับรวงหลุด ไปหมด สิ่งเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นไดกับสมาธิของผูปฏิบัติ หาก ผูปฏิบัติสนทนาธรรมมากเกินไป หรือแมแตการบรรยาย ธรรมของพระอาจารยเอง โยคีตองประเมินดูอยางระมัดระวัง หลักการงาย ๆ ก็คอื ใหด ูวาสิ่งทีไ่ ดย ินไดฟ งมานัน้ ชว ยใหสมาธิ ดีขนึ้ หรือไม หรอื ทำใหเ กดิ สมาธหิ รอื ไม หาไมแลว ผปู ฏบิ ตั ิกค็ วร หลกี เลยี่ ง เชน ไมเ ขา ฟง ธรรม หรอื งดสอบอารมณ เปนตน โยคีท่ีเขาอบรมแบบเขมงวด ควรหลีกเล่ียงการพูดจา ทกุ ชนิดใหมากที่สดุ โดยเฉพาะการพดู เร่ืองทางโลก แมแตการ สนทนาธรรมอยา งลกึ ซง้ึ กอ็ าจไมเหมาะสม ในระหวางการปฏิบตั ิ ท่ีเขม งวด ผูป ฏิบัตคิ วรหลกี เลยี่ งการโตเ ถยี งประเด็นความเชอื่ กับ เพอ่ื นโยคใี นระหวางการปฏบิ ตั ิ นอกจากนน้ั ส่งิ ทไ่ี มส มควรที่สดุ ไดแกสนทนาเกย่ี วกับอาหาร สถานท่ตี า ง ๆ ธรุ กิจ เศรษฐกจิ การเมอื ง ฯลฯ เหลาน้ีเปน “คำพดู ทางโลก”
๒๒ เปาหมายของขอหามเหลาน้ี ก็เพ่ือปองกันส่ิงท่ีอาจ รบกวนจิตใจโยคี พระพทุ ธองคต รัสแกโยคีดว ยความเมตตายิ่งวา “นักปฏบิ ตั ทิ เ่ี อาจริง ไมค วรพดู เพราะการพูดบอย ๆ จะทำให โยคมี สี ิง่ รบกวนจิตใจมาก” อยา งไรกต็ าม การพูดจาอาจเปนส่ิงจำเปนในบางคร้งั ระหวางการปฏบิ ัตธิ รรม ในกรณีเชน นี้ ผูปฏบิ ตั ิตองระมดั ระวังท่ี จะไมพ ูดอะไรนอกเหนอื จากส่ิงทจี่ ำเปน จะตอ งสอ่ื สารจรงิ ๆ และ ควรมีสตติ ลอดกระบวนการของการพดู ในเบื้องตน จะเกดิ ความ ตองการพูดกอน แลว ตามดว ยความคิดวา จะพดู อะไรและอยา งไร ผูปฏิบัตคิ วรกำหนดความคดิ ดงั กลาวท้งั หมด ตั้งแตก ารเตรยี ม ความคิดที่จะพูด และอาการพดู จริง ๆ ความเคลือ่ นไหวตา ง ๆ ขณะพดู เชน ริมฝป าก ใบหนา ตลอดจนทาทางประกอบ ลว น ตอ งกำหนดท้ังสน้ิ หลายปม าแลวในประเทศพมา มขี าราชการระดับสงู ผหู นึง่ เพง่ิ เกษียณอายุ เขาเปนชาวพุทธทเ่ี ครง ครดั มาก ไดอ าน พระไตรปฎกและหนังสือเก่ียวกับพุทธศาสนาที่แปลเปนภาษา พมา ดี ๆ จำนวนมาก และไดผ า นการปฏิบตั ิกรรมฐานมาบา ง ถึง แมวา การปฏิบตั ิของเขายงั ไมลึกซง้ึ นัก แตเ ขากม็ ีความรูพืน้ ฐาน
๒๓ พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ งั สะ คอ นขา งมาก และประสงคทจ่ี ะสอนสง่ิ ทเ่ี ขารู เขาจงึ ไดห ันไปเปน อาจารย วันหน่ึงเขาเขามาปฏิบัติท่ีศูนยปฏิบัติกรรมฐานในเมือง ยางกงุ และเมื่ออาตมาสอนโยคี อาตมาก็จะอธบิ ายหลกั การ ปฏิบัติแลวถึงเปรียบเทียบคำสอนของอาตมากับพระไตรปฎก โดยพยายามประสานแนวคิดที่อาจดเู หมอื นไมตรงกัน ชายคนน้ี จะเรม่ิ ต้งั คำถามทนั ทีวา “คำกลา วนมี้ าจากไหน มีเอกสารอา งองิ หรอื เปลา ” อาตมาพยายามแนะนำเขาอยา งสุภาพใหเ ลกิ วติ กใน ประเด็นเหลา น้ัน แลวต้ังหนา ปฏิบัติตอ ไป แตเ ขาอดไมไ ด เปน เวลาติดตอกัน ๓ วันทีเ่ ขาทำอยา งนีใ้ นระหวา งการสอบอารมณ ในทสี่ ดุ อาตมาถามเขาวา “ทา นมาที่นี่ทำไม ทา นมา เพ่ือที่จะเรียน หรือมาสอนอาตมากันแน” ในสายตาของอาตมา เขามาเพ่ืออวดความรู มิใชมาปฏิบัติธรรม ชายคนนั้นตอบอยาง ราเริงวา “เออ ! ผมมาเปนนักเรียนสิครับ ทานสิเปนอาจารย” อาตมากลาววา “อาตมาไดพยายามบอกทานออ ม ๆ ตลอด ๓ วนั ทผ่ี า นมา แตถ งึ ตอนนี้ อาตมาจำตอ งบอกทา นตามตรง ทา นทำตวั เหมือนบาทหลวง ซ่ึงตามปรกติจะทำหนาที่ประกอบพิธีแตงงาน ใหช าวบา น จนกระทง่ั ถงึ คราวทบี่ าทหลวงจะแตง งาน แทนที่จะ
๒๔ ไปยนื ในตำแหนง เจาบาว กลับขนึ้ ไปบนแทนพิธี แลว ประกอบพิธี แตงงานเสียเอง ซ่ึงสรางความประหลาดใจใหแกผูมารวมงานเปน อนั มาก “ชายคนนน้ั เขา ใจประเดน็ ในทสี่ ดุ เขายอมรบั ขอ ผดิ พลาด แลว กลายเปน นกั เรยี นท่ีวา งายหลงั จากนน้ั โยคที ่ปี ระสงคจะเขา ใจธรรมจริง ๆ จะตองไมเ ลยี นแบบ ชายคนน้ี ความจริง พระอรรถกถากลาวไววา ไมวาผูปฏิบัติจะมี ความรูความสามารถมากเพยี งใด ในระหวา งการปฏิบตั ิกรรมฐาน ตอ งทำตวั ราวกบั คนไรค วามสามารถและเปน คนสงบเสงย่ี มวา งา ย อยางยงิ่ ในกรณีนี้ อาตมาจะขอเลา ทัศนคตอิ ยา งหนงึ่ ท่ีอาตมามี มาต้ังแตยังเปนเด็ก เมื่ออาตมายังไมมีความชำนาญ เช่ียวชาญ หรอื ประสบการณใ นเรอื่ งใดเรอื่ งหนงึ่ อาตมากจ็ ะไมเ ขา ไปกา วกา ย ในเร่ืองนั้น ๆ และถึงแมวาอาตมาจะมีความชำนาญเช่ียวชาญ และประสบการณในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งก็ตาม อาตมาก็จะไมเขาไป แสดงความเห็นหรือแทรกแซงในเรื่องใด หากไมไดรับการ ขอรองกอน ๔.๔ บุคคล ที่ เหมาะ สม โดยเฉพาะอยางยิ่ง วิปสสนาจารย หากคำสอนของทานชวยใหผูปฏิบัติกาวหนา มี สมาธิตั้งม่ันมากข้ึน หรือทำสมาธิที่ยังไมเกิดใหเกิดข้ึน ก็อาจ กลาวไดวา วปิ สสนาจารยทา นนัน้ เหมาะสม
๒๕ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภิวังสะ นอกจากนี้ บุคคลท่ีเหมาะสมยังมีอีก ๒ ลักษณะ คือ (๑) ชุมชนท่ีเอ้ือตอการปฏิบัติธรรม และ (๒) ความสัมพันธ ระหวางผูปฏิบัติกับผูคนในชุมชนนั้นๆ ในระหวางการอบรม เขม งวด โยคจี ำเปน ตอ งไดร บั การสนบั สนนุ เปน อยา งมากในหลายๆ ดาน ในการพัฒนาสติและสมาธิ ผูปฏิบัติตองละทิ้งกิจกรรม ทางโลก โยคีจึงตองพึ่งพาอุปฏฐาก ท่ีสามารถทำงานบางอยาง แทนโยคี เชน การจายตลาด และทำอาหาร ซอมแซมทีพ่ กั และ อื่นๆ สำหรับผูที่ปฏิบัติเปนกลุมก็คงตองคำนึงถึงผลกระทบของ โยคีตอสังคมดวย ความเกรงอกเกรงใจเพ่ือนโยคีเปนส่ิงสำคัญ การกระทำอะไรเร็ว ๆ หรือเสียงดัง ก็อาจกระทบกระเทือนตอ ผอู น่ื ไดม าก ดวยการพจิ ารณาเชน น้ี ผปู ฏบิ ตั กิ จ็ ะกลายเปน บคุ คล ทเ่ี หมาะสมสำหรับโยคีทา นอนื่ ๆ ๔.๕ อาหารที่เหมาะสมกับโยคี ก็มีสวนชวยใหการ ปฏิบัติกาวหนาได อยางไรก็ตาม ผูปฏิบัติตองระลึกอยูเสมอวา จะใหไดอยางใจทุกประการคงเปนไปไมได การปฏิบัติเปนกลุม อาจมคี นจำนวนมากและอาหารกต็ อ งทำทลี ะมาก ๆ สำหรบั ทกุ คน ในกรณีเชนน้ี ยอ มดที ี่สุดท่ีจะทำใจใหย อมรับอาหารใด ๆ กต็ ามที่ ผูจัดหามาให แตหากการปฏิบัติถูกกระทบเพราะเกิดความรูสึก อดอยาก หรอื รังเกียจอาหารแลว กค็ วรแกไขเทา ทจี่ ะทำได
๒๖ เร่ืองของนางมาติกมาตา คร้ังหนึ่งมีพระสงฆ ๖๐ รูป ปฏิบัติธรรมอยูในปา โดย มีนางมาติกมาตาเปนโยมอุปฏฐาก นางมีความศรัทธามาก พยายามเลือกสรรอาหารที่คิดวาพระสงฆจะชอบและปรุงอาหาร ใหมีปริมาณเพียงพอสำหรับพระทุกรูปทุก ๆ วัน วันหน่ึง นาง มาติกมาตาเขาไปกราบเรียนถามพระสงฆวา ฆราวาสจะปฏิบัติ ธรรมอยางพวกทานบางไดหรือไม “ไดสิ” พระสงฆตอบ แลว สอนวธิ กี ารใหน าง นางเพยี รพยายามปฏบิ ตั แิ มใ นขณะปรงุ อาหาร และทำงานบา นอน่ื ๆ จนในทสี่ ดุ นางกบ็ รรลเุ ปน พระอนาคามแี ละ ดวยบญุ ทส่ี ั่งสมมาในอดตี นางจึงมีอภญิ ญา เชน ตาทพิ ย หทู ิพย กลา วคอื สามารถมองเหน็ และไดย นิ ในทไ่ี กล ๆ และมเี จโตปรยิ ญาณ คือสามารถหยง่ั รใู จคนอ่ืน นางมีความยินดีเปนอยางย่ิงที่รูวาตนไดบรรลุธรรมวิเศษ และคดิ วา เนอ่ื งจากตนมงี านมาก ตอ งดแู ลครวั เรอื นและทำอาหาร ถวายพระสงฆทุกวัน เหลาพระสงฆจึงนาจะมีความกาวหนาใน การปฏิบัติกวานางมาก ดว ยญาณวิเศษ นางจงึ ตรวจดคู วามคืบ
๒๗ พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ ังสะ หนาของพระสงฆทั้ง ๖๐ รูป และตองตกใจเมื่อพบวายังไมมี พระสงฆรูปใดเลยท่ีไดบ รรลุ แมเพียงวิปสสนาญาณขั้นตน “เกิดอะไรข้ึน” นางสงสัย แลวตรวจดูสภาวะของ พระแตละรูปดวยอภิญญา เพ่ือหาสาเหตุของอุปสรรคในการ ปฏิบัติ สถานที่ก็ไมมีปญหา การอยูรวมกันก็มิใชปญหา อาหาร นี้แหละที่เปนอุปสรรค เน่ืองจากพระบางรูปชอบเปรี้ยว บางรูป ชอบเคม็ บางรูปชอบเผด็ บางรปู ชอบขนมหวาน และบางรปู ชอบ ผกั ดว ยความสำนึกในพระคุณทีพ่ ระสงฆส ง่ั สอนกรรมฐานให จน นางไดบรรลุธรรมอันย่ิงใหญ นางมาติกมาตาเริ่มทำอาหารแบบที่ พระแตละรปู ชอบ ในไมช า พระทกุ รูปก็สำเร็จเปนพระอรหันต การบรรลุธรรมอยางรวดเร็วและลึกซ้ึงของนางประกอบ กับความเฉลียวฉลาดและความเสียสละเพ่ือผูอ่ืน เปนตัวอยางที่ดี สำหรับพอแมและผูทด่ี แู ลผูอ ืน่ ซงึ่ แมจ ะชวยผูอ ่นื อยู ก็มใิ ชว าจะ สนิ้ ความหวงั ในการบรรลสุ ัจธรรมอันลกึ ซึ้ง ในโอกาสนี้ อาตมาขอกลา วถงึ ประเดน็ เกยี่ วกบั มงั สวริ ตั ไิ ว ดว ย บางคนคดิ วา การกนิ ผกั แตอ ยา งเดยี วเปน คณุ ธรรมอยา งหนง่ึ แตในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ไมปรากฏแนวคิดวา มังสวิรัติ ชวยใหส ามารถเขา ถึงธรรมไดเ ปนพเิ ศษแตอยา งใด
๒๘ พระพุทธองคเอง มิไดทรงหามการรับประทานเน้ือโดย สิ้นเชิง เพียงแตวางเง่ือนไขไวบางอยาง เชน สัตวน้ันตองมิได ถูกฆาเพื่อการบริโภคคร้ังนั้นโดยเฉพาะ พระเทวทัตไดทูลขอให พระพุทธองคบญั ญัติพระวินยั หา มการฉันเนอื้ โดยเดด็ ขาด แต หลังจากที่ไดทรงไตรตรองอยางถี่ถวน พระพุทธองคทรงปฏิเสธ ท่จี ะทำเชนน้นั ในสมัยนั้นก็เชนเดียวกันกับสมัยปจจุบัน คือผูคนสวน ใหญจะรับประทานเนื้อและผัก มีเพียงพวกพราหมณหรือชนช้ัน สูงท่ีเปน มังสวิรตั ิ เมื่อพระสงฆอ อกบิณฑบาต ทานตอ งรบั อาหาร ทกุ ชนิดที่คนถวาย ไมวาจะเปน ชนช้ันใด การแบง แยกระหวางผู ถวายที่เปน มงั สวิรตั ิ หรอื ท่ีรับประทานเนือ้ สตั ว ยอมขดั แยงตอ เจตนารมณข องการบณิ ฑบาต นอกจากนี้ ทงั้ พราหมณแ ละชนชน้ั อ่นื ๆ กอ็ าจมาบวชเปนพระภกิ ษุ ภิกษณุ ไี ด ซ่ึงพระพทุ ธองคไ ด ทรงพิจารณาเร่อื งนี้ตลอดจนประเด็นตา ง ๆ ท่ีตามมาทง้ั หมดแลว เชนกัน ดังนั้น เราจึงไมจำเปนตองรับประทานมังสวิรัติเพื่อท่ี จะปฏิบัติธรรม แนนอนวาการรับประทานมังสวิรัติที่สรางความ สมดุลใหแกรางกาย ยอมเปนประโยชนกับสุขภาพ และหากผู ปฏิบัติไมรับประทานเนื้อสัตวเพราะเมตตาสงสารสัตว ก็นับเปน
๒๙ พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บณั ฑติ าภวิ ังสะ กุศลเจตนาอยางแนนอน แตหากรางกายของผูปฏิบัติคุนเคยกับ การรับประทานเนื้อสัตว หรือมีปญหาสุขภาพอันใด ท่ีทำใหตอง รบั ประทานเนอ้ื สตั ว การปฏบิ ตั ดิ งั กลา วไมค วรถอื วา เปน บาป หรอื เปน อปุ สรรคในการปฏบิ ตั ธิ รรม การวางกฎระเบยี บทคี่ นสว นใหญ ไมสามารถปฏิบัติตามได กย็ อ มจะไรประสทิ ธผิ ล ๔.๖ ภูมิอากาศเหมาะสม มนุษยน้ันมีความสามารถ ในการปรับตัวในสภาพอากาศตาง ๆ ไดอยางยอดเยี่ยม ไมวา อากาศจะรอนหรือหนาวเพียงไร มนุษยจะหาทางปรับตัวให สามารถอยอู ยา งสขุ สบายได แตห ากวธิ กี ารเหลา นม้ี ขี อ จำกดั หรอื ไมมีหนทางที่จะปรับตัวได ก็อาจเปนผลเสียตอการปฏิบัติ ใน กรณดี งั กลาว หากกระทำได ก็ควรยายไปปฏบิ ัตธิ รรมในสถานท่ี ท่มี ีภมู ิอากาศเหมาะสม ๔. ๗ อิริยาบถท่ีเหมาะสม ซึ่งเปนขอสุดทาย อริ ยิ าบถในทีน่ ี้ หมายถึง การยืน เดนิ นั่ง และนอน การน่ัง เปนอิริยาบถที่เหมาะสำหรับสมถภาวนาที่เนนความสงบ ในการ ปฏบิ ตั ใิ นสายของพระอาจารยม หาสสี ยาดอนนั้ วปิ ส สนากรรมฐาน จะใชอ ริ ยิ าบถน่ังและเดนิ เปนพ้นื ฐาน แตไมว า การปฏิบตั แิ บบใด เม่ือสติมีความตอเนื่องตั้งมั่นดีแลว อิริยาบถใดก็นับวาเหมาะสม ท้งั สิ้น
๓๐ โยคีที่เพิ่งเร่ิมปฏิบัติ ควรหลกี เลี่ยงอิรยิ าบถนอนและยนื เพราะการยนื กอ ใหเ กดิ ความเจบ็ ปวดไดใ นระยะเวลาอนั สน้ั ความ ตึงและน้ำหนักท่ีกดลงสูขา อาจรบกวนการปฏิบัติได ทานอนมี ปญ หาเพราะทำใหเ กดิ ความงว ง เนอ่ื งจากความเพยี รตำ่ และเปน ทาทส่ี บายเกนิ ไป จงตรวจสอบสถานการณของตนเองเพ่ือดูวา องค ประกอบสนับสนุนทั้ง ๗ มีครบหรือไม หากไมครบ ก็ควรหา ทางทำใหองคประกอบดังกลาวเกิดข้ึน เพื่อชวยใหการปฏิบัติ ของตนเองมีความกาวหนาตอไป และหากการกระทำนั้นมุง สงเสริมความเจริญในธรรมปฏิบัติอยางแทจริงแลว ก็ยอมมิใช การกระทำท่เี หน็ แกตวั
๓๑ ปจ จยั ที่ ๕ จดจำสภาวะ ที่เอ้อื อำนวยในอดีต
๓๒ ปจจัยประการท่ี ๕ ในการเจริญพละ ๕ คือการ อาศัยส่ิงท่ีเปนปจจัยใหเกิดสมาธิในอดีต ซึ่งหมายถึง จดจำ สถานการณที่ชวยใหการปฏิบัติเปนไปดวยดีในอดีต ท้ังทางดาน สติและสมาธิ ดังที่ผูปฏิบัติทุกคนรูดี หากปฏิบัติมีข้ึนมีลง บาง คร้ังเรารูสึกเบิกบานสุขสงบในดินแดนแหงสมาธิ แตบางครั้งเรา อาจรูสึกหดหู ถูกกิเลสเลนงาน ไมสามารถกำหนดอะไรไดเลย การใช “สมาธิปญญา” ก็คือ เวลาท่ีผูปฏิบัติกำลังมีสมาธิแนบ แนน สติตั้งม่ัน ใหผูปฏิบัติสังเกตวา สถานการณแบบไหนท่ีมี สว นชว ยทำใหก ารปฏบิ ตั ขิ องตนเปน ไปเชน นน้ั เราจดั การกบั จติ ใจ ของตนเองอยางไร มีสภาวะอะไรเกิดอยูในขณะท่ีการปฏิบัติที่ดี นั้นกำลังดำเนินอยู เมื่อประสบกบั ปญ หาในการปฏิบตั ิ ผปู ฏิบัติ จะไดระลึกถึงปจจัยที่ดีเหลานั้น และสามารถสรางใหเกิดข้ึน อีกได
๓๓ ปจจัยท่ี ๖ ปลกู ฝงโพชฌงคเจ็ด
๓๔ ปจจัยประการที่ ๖ ในการพัฒนาพละใหคมกลา คือการปลูกฝงโพชฌงค ๗ หรือองคธรรมแหงการตรัสรูให เกดิ ข้ึน ไดแก สติ ธัมมวจิ ยะ วิริยะ ปต ิ ปสสัทธิ สมาธิ และ อุเบกขา คุณสมบัติของจิตเหลาน้ีคือเหตุท่ีมาของการตรัสรู ธรรม เม่ือมีโพชฌงคในใจก็เทากับผูปฏิบัติสรางเหตุแหงการ ตรัสรูธรรม และกำลังกาวเขาใกลพระนิพพานมากข้ึนทุกขณะ นอกจากน้ี โพชฌงค ๗ กย็ ังเปน สว นหน่ึงของการระลึกรมู รรคผล (มัคคญาณผลญาณ) ในทางพุทธศาสนา เมื่อกลาวถึงการระลึกรู ตา ง ๆ หมายถงึ ความระลกึ รทู เี่ จาะจงชวั่ ขณะ อนั เปน ปรากฏการณ ทางจิตท่ีมีลักษณะพิเศษท่ีสามารถระลึกรูได มัคคญาณผลญาณ คือสภาวะจิตที่เกิดข้ึนตอเน่ืองและประกอบกันเปนประสบการณ แหง การตรัสรูธรรม มคั คญาณผลญาณ คือสง่ิ ที่เกดิ ขึ้นเม่อื สภาวะ จิตเปล่ียนจากการระลึกรูอยูในสมมติบัญญัติ เขาสูพระนิพพาน ผลของการเปลย่ี นแปลงนจ้ี ะทำใหกิเลสถกู กำจดั ออกไป ทำใหจ ิต เปล่ียนแปลงไปอยา งสิน้ เชงิ ในระหวางการพัฒนาจติ เพอื่ ใหเกิดมรรคผลนี้ ผปู ฏิบัติ ท่ีเขา ใจโพชฌงค ๗ กอ็ าจใชอ งคธรรมเหลา น้ใี นการรักษาสมดุล ในการปฏิบตั ขิ องตนได วริ ยิ ะ ปต ิ และธัมมวิจยะสมั โพชฌงค ชว ยยกระดับจิตเมือ่ จติ หดหเู ศรา หมอง ในขณะที่ ปส สัทธิ สมาธิ
๓๕ พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภิวังสะ และอเุ บกขา ทำจิตใหสงบลง เมือ่ จิตโลดโผนโจนทะยานเกนิ ไป หลายครงั้ โยคอี าจรสู ึกหดหู ทอถอย ขาดสติ และคิดวาการ ปฏบิ ตั ขิ องตนแยล ง ไมก าวหนา สติไมสามารถกำหนดส่งิ ตาง ๆ ไดอ ยา งเคย ในเวลาเชน น้ี โยคีตอ งพยายามกระตนุ จติ ใจของตน ใหห ลุดพน จากภาวะดังกลา ว ทำใหจติ ใจสดใสข้นึ โยคีควรหา วธิ สี รา งกำลังใจ หรือแรงบันดาลใจ เชน การฟงธรรมเทศนาท่ี จับใจ ท่ีจะทำใหเกิดปต ิ บนั ดาลใจใหเ กิดความพากเพยี รย่ิงขึ้น หรอื ทำใหธัมมวจิ ยะสมั โพชฌงคเจรญิ ข้นึ โดยการใหความรูเกยี่ ว กับการปฏิบัติ องคธรรมท้ังสามน้ี กลาวคอื ปต ิ วริ ยิ ะ และ ธมั มวิจยะ มีประโยชนมากเมื่อเผชิญกบั ความหดหแู ละทอ ถอย เมอื่ ธรรมบรรยายกอใหเ กดิ ปต ิ วิรยิ ะ หรอื ธัมมวิจยะ แลว ผปู ฏบิ ตั คิ วรใชป ระโยชนจ ากสภาวะเชน น้ี ในการพยายาม ปรบั จิตของตนใหกำหนดสิง่ ตาง ๆ ใหไดแ มน ยำ และชัดเจนมาก ขึ้น จนกระท่ังสามารถระลกึ รูอารมณต า ง ๆ ไดอ ยางแจมแจง ในบางขณะ โยคีอาจมปี ระสบการณแปลก ๆ หรอื ดว ยเหตุผลบางอยา ง ผปู ฏบิ ัติอาจพบวา ตนเองกำลงั มจี ิตใจท่ี ชนื่ บาน มีปติ และความสขุ อยา งทวมทน พลงุ พลา น ในระหวาง การปฏบิ ตั ิ จะเห็นโยคีเหลา นมี้ ีใบหนา ท่ีเบกิ บาน มอี าการเดินตัว
๓๖ ลอย เนอื่ งจากจิตมพี ลังมากเกนิ ไป สตจิ งึ พลาดพล้งั ไมสามารถ อยกู ับปจ จบุ ันขณะได และแมผปู ฏบิ ัติเหลาน้ีจะกำหนดอารมณ กรรมฐานไดบ าง ก็จะเปนการกำหนดแบบเฉยี ด ๆ ผา นเลยไป ไมตรงปจจบุ ัน หากผูปฏบิ ัติพบวาตวั เองมจี ติ ใจฟฟู อ งเกนิ ไป กอ็ าจปรบั ใหสมดุลไดโดยโพชฌงค ปสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา โดย อาจเริ่มจากการยอมรับวา จิตตนเองมีพลังมากเกินไปจริง ๆ แลวระลึกวา “ไมจำเปนตองรีบรอน พระธรรมจะปรากฏใหเห็น เอง เราควรท่ีจะนั่งดูอยางสงบเยือกเย็น และรับรูอารมณตาง ๆ ดวยสติอันสุขุมออนโยน” ความคิดเชนน้ี จะชวยใหความสงบ เกิดข้ึน และเมื่อพลังจิตสวนเกินออนตัวลง ผูปฏิบัติจะสามารถ เร่ิมต้ังสมาธิไดอีก วิธีการนี้เปนการทำใหการปฏิบัติแคบเขามา แทนท่ีจะพยายามกำหนดหลายๆส่ิง ก็ใหลดสิ่งท่ีใชเปนอารมณ ใหนอยลง และตั้งใจกำหนดอยางเต็มท่ีมากขึ้น จิตจะเร่ิมชาลง และกลับสูสภาวะปรกติในไมชา ประการสุดทาย ผูปฏิบัติอาจ เลอื กใชอ เุ บกขาตะลอ มจติ ดว ยความคดิ ทวี่ า “โยคไี มค วรเลอื กทร่ี กั มักที่ชงั ไมจ ำเปน ตอ งรบี รอน สิง่ ทส่ี ำคัญทีส่ ดุ เพยี งประการเดียว กค็ ือ ตอ งเฝา ดทู กุ ส่ิงทุกอยา งท่เี กิดขน้ึ ไมวา ดหี รอื เลว”
๓๗ พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภิวังสะ หากผูปฏิบัติสามารถรักษาความสมดุลในจิตเอาไวได ลดความตื่นเตน และทำจิตที่หดหใู หผ องใส ก็แนใจไดว า ปญ ญา ญาณจะเกดิ ข้ึนในไมชา ความจริง ผทู ีจ่ ะทำหนา ที่ปรบั ความสมดลุ ในการปฏบิ ัติ ไดด ที ส่ี ดุ คือ วิปสสนาจารยท ีม่ ีความสามารถ หากวปิ ส สนาจารย ตดิ ตามการปฏบิ ัติของลูกศษิ ยอยางตอเน่อื ง โดยการสอบอารมณ วิปสสนาจารยจ ะสามารถเห็น และแกไขปญหาความไมส มดลุ ใน การปฏิบัตติ า ง ๆ เหลานใี้ หแกโ ยคีได อาตมาอยากเตอื น มใิ หโ ยคที อ ถอย เมอ่ื คดิ วา ตนประสบ กับปญหาในการปฏิบัติ โยคีเปรียบเหมือนเด็กทารก ซ่ึงตองผาน การพัฒนาหลายขั้นตอน ในระหวางข้ันตอนเหลาน้ี ทารกอาจ ตอ งเผชญิ กบั การเปลยี่ นแปลงทางจติ ใจและรา งกายอยา งมากมาย บางครงั้ อาจรสู กึ หงดุ หงิดงา ย ๆ เอาใจไมถ ูก ทารกอาจรองไหโ ยเย โดยไมเลือกเวลา มารดาท่ีขาดประสบการณ อาจวิตกมากในชว ง ดังกลาว ขอเท็จจริงก็คือ หากทารกไมเผชิญกับความทุกขเหลา น้ี ทารกก็ไมอาจเติบโตเปนผูใหญได ความคับของใจของทารก สวนใหญ จะเปนสัญญาณของการพัฒนา ดังน้ันหากผูปฏิบัติคิด วาการปฏิบัติของตนกำลังจะลมเหลวอยางสิ้นเชิง จงอยาวิตก ผูปฏบิ ตั ิอาจเปน เหมอื นเด็กทารก ซง่ึ กำลังพัฒนาเปน ขั้น ๆ ก็ได
๓๘ ปจ จัยท่ี ๗ พยายาม อยา งกลา หาญ
๓๙ พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภวิ งั สะ ปจ จัยประการท่ี ๗ ในการสรางเสรมิ พละทงั้ ๕ คือ การปฏิบัติธรรมดวยความกลาหาญ ถึงขนาดท่ีผูปฏิบัติพรอม ที่จะสละรางกายและชีวิต เพ่ือการปฏิบัติธรรมอยางตอเนื่องได หมายถึง การใหความสำคัญแกรางกายนอยลงกวาปรกติ แทนที่ จะเสยี เวลาในการตกแตง รา งกาย หรอื ดแู ลความสะดวกสบายของ ตนเอง ผปู ฏิบัติจะทุมเทพลงั ใหมากทสี่ ดุ ใหแ กก ารเจรญิ กรรมฐาน ถึงแมวารางกายเราอาจจะยังแข็งแรงในขณะนี้ แต รางกายจะเปนสิ่งไรประโยชนอยางสิ้นเชิงเม่ือเราตาย เราจะใช ประโยชนอะไรไดจากซากศพ รางกายเปรียบเหมือนภาชนะที่ บอบบาง มันจะยังใชงานไดตราบเทาท่ียังไมแตกสลาย ทันทีท่ี มนั หมดลมลม ลง มนั จะไมม ีประโยชนก บั เราอีกตอ ไป เม่ือเรายังมีชีวิต และมีสุขภาพดีพอควร นับวาเรายัง โชคดที ม่ี ีโอกาสที่จะปฏบิ ตั ิธรรมได เราควรท่ีจะเรง ดงึ เอาสาระอัน ประเสรฐิ ออกมาจากรา งกายของเรา กอนท่ีจะสายเกินไป กอน ท่ีรางกายเราจะกลายเปนซากศพ แนนอนวาเราจะไมจงใจทำให เราอายุสนั้ ลง แตจ ะปฏิบตั อิ ยางสมเหตสุ มผล โดยรกั ษาสุขภาพ เพยี งเพื่อใหมโี อกาสปฏบิ ตั ธิ รรมตอ ไปไดเ ทา นนั้
๔๐ อาจมีผูถามวา เราจะเอาสาระอะไรจากรางกายน้ี ครั้ง หน่ึงมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร เพ่ือประเมินราคาของธาตุที่ ประกอบกันเปนรางกายมนุษย เชน ธาตุเหลก็ แคลเซียม เปนตน อาตมาคิดวา รางกายของคนเรา คงมีราคาไมถึงหนึ่งดอลลาร สหรัฐฯ คาใชจายในการแยกสวนประกอบเหลาน้ีคงสูงกวาราคา ของรางกายท้ังหมดหลายเทา หากปราศจากวิธีแยกสารดังกลาว แลว ซากศพกเ็ ปนสิ่งไรค า นอกเสยี จากเอาไปทำปุย ยกเวนกรณี ที่เอาอวัยวะของผูตายไปผาตัดใหกับผูปวยอีกผูหนึ่ง ในกรณีน้ี กเ็ ปน เพียงการยืดระยะเวลากลายเปนซากศพเทานั้น รางกายอาจเปรียบไดก บั กองขยะ นา ขยะแขยงเต็มไป ดวยสงิ่ สกปรกโสโครก คนทั่ว ๆ ไป ไมเห็นประโยชนอะไรจาก กองขยะ แตค นท่ีฉลาดก็อาจนำเอาสง่ิ ของบางอยา งกลับมาใช ประโยชนได โดยเอาของสกปรกบางช้ิน นำมาลางแลว นำกลับ มาใชป ระโยชนไดอีก มีคนจำนวนมากรำ่ รวยจากการทำธุรกิจนำ ของเกามาใชใ หมเ ชนน้ี จากกองขยะท่ีเรยี กวารางกายของเรานี้ เราก็อาจสกัด เอาทองคำออกมาไดด วยการปฏบิ ตั ิธรรม ทองคำแทงหนง่ึ ก็คือ ศีล ความบริสทุ ธ์ทิ างความประพฤติ เปน ความสามารถในการ ฝกฝนและพัฒนาพฤติกรรมของมนุษยใหถึงความเปนอารยชน
๔๑ พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภวิ งั สะ เม่อื สกัดคุณลักษณะทีด่ ีงามตอไปอีก กจ็ ะได ศรทั ธา วิริยะ สติ สมาธิ และปญ ญา เหลาน้ีคืออญั มณที หี่ าคามิได ท่ีเราสามารถ สกดั จากรา งกายไดดว ยการเจริญกรรมฐาน เม่อื พละเจรญิ เต็มท่ี แลว จิตจะสามารถเอาชนะความโลภ ความโกรธและความหลง ได เมื่อจติ ปราศจากกเิ ลสเหลา นี้ ก็จะพบกับความสนั ติสขุ ที่มอิ าจ ซอ้ื หาได บุคคลผูนั้นจะมแี ตความสงบเยือกเย็นและออนหวาน จนทำใหผูพบเห็นมจี ิตใจสงู ขน้ึ ไปดวย ความเปนอิสระภายในนี้ ไมข น้ึ กับสถานการณหรอื เงือ่ นไขใด ๆ ท้งั ส้ิน และจะเกดิ ไดจาก การปฏิบัติธรรมอยางจรงิ จงั เทา นนั้ ใคร ๆ กร็ วู า ความทกุ ขใจไมอ าจถูกทำลายไดด ว ยความ ปรารถนาจะพนทุกขแตเพียงอยา งเดยี ว ใครบา งไมเคยตอสกู ับ ความตอ งการท่ีจะทำอะไรบางอยาง ซงึ่ ตนเองรวู า หากทำไปแลว จะสะเทือนใจผูอื่น มีใครบา งท่ไี มเคยหงดุ หงิดหวั เสยี ท้งั ทใี่ จจริง อยากจะรสู กึ พอใจและเปนสุขมากกวา ใครบางท่ีไมเ คยรจู กั วา ความสับสน เปนความทรมานเพยี งใด เราสามารถกำจดั ความ เจ็บปวดและความไมน าพอใจเหลาน้ไี ด แมจะไมงายนกั สำหรบั คนสว นใหญ การฝก จิตน้นั อาศยั ความทุม เทมาก พอ ๆ กับรางวลั ทีจ่ ะไดร ับ แตเรากไ็ มค วรทอถอย เปาหมายและผลของวปิ ส สนาก็ คอื ความหลดุ พนทกุ ประเภท ทุกรูปแบบ และทกุ ระดบั จากความ
๔๒ ทุกขท างกายและจติ ใจ หากปรารถนาความหลุดพน เชน น้ี โยคีก็ ควรจะยินดกี ับโอกาสท่ีจะไดป ฏิบัตธิ รรม เวลาทเ่ี หมาะสมทส่ี ดุ กค็ อื เดย๋ี วนี้ เมอื่ รา งกายยงั แขง็ แรง ก็นับเปนโชคที่เรายังมีพละกำลังในการปฏิบัติ เม่ืออายุมากขึ้น กำลังกายก็จะถดถอยลง อยางไรก็ตามบางครั้งอายุก็ชวยใหมี ปญญามากขึ้น เชนอาจชวยใหเขาใจความแปรปรวนของชีวิตได ดขี ้ึน ความจำเปนเรง ดว นทำใหต อ งปฏิบัติธรรม ในสมยั พทุ ธกาล มีพระภิกษหุ นมุ รูปหนึ่งมีชอื่ วา รฐั บาล มาจากครอบครวั ทรี่ ำ่ รวย เนอ่ื งจากยงั หนมุ แนน และแขง็ แรง จงึ ได ใชช วี ติ หาความสำราญมาเกอื บทกุ ประเภทกอ นบวช แมจ ะรำ่ รวย มเี พ่ือนฝูง ญาติพีน่ อ งมาก และสามารถใชทรัพยส มบตั แิ สวงหา ความสุขในรูปแบบตาง ๆ จนนับไมถ วน แตในทสี่ ดุ ทา นก็สละสิ่ง เหลา นีอ้ อกแสวงหาความหลุดพน
๔๓ พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภิวังสะ วันหนึ่ง เมื่อพระเจาโกรัพยะราชเสด็จประพาสปา ก็ มาพบพระภิกษุรูปน้ีเขาโดยบังเอิญ พระราชาจึงตรัสถามวา “ขาแตทานผูเ จริญ ทา นยงั หนมุ และแข็งแรงกำลังอยใู นวัยฉกรรจ ทานทิ้งครอบครัวที่ร่ำรวย และโอกาสแสวงหาความสุขตางๆ ละญาติพี่นอง มานุงหมผากาสาวพัสตร อยูอยางโดดเด่ียวเพื่อ อะไร ไมรูสกึ เหงาบา งหรอื ไมเ บือ่ บางหรือ” พระรัฐบาลจงึ ตอบวา “มหาบพิตร เมือ่ อาตมาไดส ดบั พระธรรมเทศนาของพระพุทธองค ก็ทำใหอาตมารูสึกถึงความ จำเปนเรงดวนย่ิงนักท่ีจะตองปฏิบัติธรรม อาตมาประสงคจะ แสวงหาประโยชนสูงสุดจากรางกายน้ีกอนท่ีจะตายไป ดังนั้น อาตมาจงึ ละทิง้ ชวี ิตทางโลก และเขา สรู มกาสาวพสั ตรน”ี้ หากผปู ฏบิ ตั ยิ งั ไมต ระหนกั ถงึ ความจำเปน ทจ่ี ะตอ งเรง รบี ปฏิบตั ิ โดยไมผ กู พนั กับรา งกายหรือชีวิต บางทีพระพทุ ธพจนต อ ไปน้อี าจชว ยได พระพุทธองคตรัสวา เราควรท่ีจะระลึกวา โลกนี้มิได ประกอบดวยอะไรเลย นอกจากรูปกับนาม ที่เกิดข้ึนแลวก็ดับ ไป รูปกับนามมิไดหยุดน่ิงอยูกับที่แมขณะเดียว แตแปรปรวน เปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลา เมื่อเรามาอาศัยรางกายและจิตใจน้ี เรากไ็ มอ าจหยุดยัง้ ความชราได
๔๔ เมอื่ เรายงั เดก็ เรากย็ นิ ดที ีจ่ ะเติบโต แตเ มือ่ เราแกตัวลง เรากพ็ บวา เราตกอยใู นวงั วนของความเสื่อมอยา งไมมวี ันกลับคนื เราพอใจท่ีจะมีสุขภาพดี แตก็ไมมีใครรับประกันไดวา เราจะสมปรารถนา เราถูกรบกวนดวยความเจ็บปวยไมสบายอยู เนือง ๆ ตลอดช่วั ชวี ิต ความเปน อมตะไมมี ทกุ คนตอ งตาย ไมมี ใครอยากตาย แตก ไ็ มมใี ครเลีย่ งได คำถามอยูท่ีชาหรอื เร็วเทา นั้น ไมมีใครเลยในโลก ท่ีจะรับประกันไดวาความปรารถนา ของเราท่ีจะเจริญเติบโต มีสุขภาพดี และไมตาย จะเปนจริงได แตค นกป็ ฏเิ สธทจี่ ะยอมรบั ความจรงิ ขอ น้ี คนแกก พ็ ยายามแตง ตวั ใหดูหนุมสาว นักวิทยาศาสตรคิดหาวิธีรักษา และวิธีการตาง ๆ ท่ีจะชะลอความชรา และพยายามแมแตจะใหคนตายฟนข้ึนมา เม่ือเราปวย เราก็ทานยาเพ่ือใหรูสึกดีขึ้น แตเราก็จะตองปวยอีก ที่สุดแลวเราไมสามารถเอาชนะธรรมชาติได เราไมอาจหลีกเลี่ยง ความแกและความตายได นี่คือจุดออนของชีวิต ชีวิตนี้ไรความมั่นคง ไมมีท่ี ปลอดภัยใหหลบซอนจากความแก ความเจ็บ และความตาย ไมวาสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทั้งสัตว มนุษย และที่สำคัญที่สุด คือ ตัวผปู ฏิบตั เิ อง
๔๕ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภิวังสะ หากโยคปี ฏิบัตอิ ยางลึกซ้งึ ขอเท็จจริงเหลาน้จี ะไมใชส ่ิง แปลกใหม หากผูปฏิบัตมิ ญี าณ เหน็ ปรากฏการณทางกายทาง จิต เกิดขน้ึ และดบั ไปทกุ ๆ ขณะ ผูป ฏบิ ัติจะสามารถรูไดเองวา ไมม ีท่หี ลบภัยใด ๆ ไมมสี ิ่งใดท่มี นั่ คง แตหากปญญาญาณยังไมถ ึง ขั้นนี้ การคิดคำนงึ ถึงความเปราะบางไรสาระของชวี ิต กอ็ าจชว ย กระตนุ ใหเรารูสกึ ถึงความจำเปน เรงดว น ทีจ่ ะตอ งปฏิบัติธรรม ขนึ้ มาได การเจริญวิปส สนากรรมฐานจะชว ยใหรอดพนจากสิ่งนา กลวั เหลา นีไ้ ด สงิ่ มีชวี ิตยงั มจี ุดออนอีกอยา งหน่งึ คอื การไรสมบตั ิทแี่ ท จรงิ การกลา วดังน้ีอาจฟงดูแปลก เม่อื เราเกดิ มา เราก็เร่มิ สะสม ความรใู นทนั ที เราไดร ับ ลาภ ยศ ตามควรแกฐานะ สวนใหญก็ ทำงานนำเงินเดือนท่ไี ดม าซื้อสิง่ ตา ง ๆ เราเรยี กสิง่ เหลานว้ี า ทรัพย สมบัติ และในทางหน่ึงมันก็เปน ทรัพยสมบัตจิ ริง ๆ แตหากทรพั ย สมบตั นิ ้ีเปนของเราจรงิ ๆ เราจะตองไมมวี นั พรากจากมนั แตเม่อื มันแตกหัก หรือสูญหาย หรอื ถูกขโมยไป จะกลา ววาเรายังเปน เจาของมันอยางแทจ ริงไดอ ยูหรือ เมอ่ื เราตาย ไมม ีอะไรเลยทเี่ รา เอาไปดวยได ทกุ อยา งไดมา สะสมแลว กท็ ้ิงไวเ บือ้ งหลงั จึงอาจ กลา วไดวา ชวี ิตไรสมบตั ิท่ีแทจริง
๔๖ สมบัติของเราทุกช้ิน ตองท้ิงไวเบื้องหลังทันทีท่ีเราตาย ทงั้ น้ี สมบตั อิ าจแบง ออกเปน ๓ ประเภท คอื (๑.) อสงั หารมิ ทรพั ย เชน อาคาร ที่ดิน ฯลฯ โดยปรกติสิ่งเหลานี้เปนของเรา แตก็ ตองทงิ้ ไวเ มอื่ เสยี ชวี ติ (๒.) สงั หาริมทรัพย เชน เกาอ้ี แปรงสฟี น เสอื้ ผา และอน่ื ๆ ทเ่ี รานำตดิ ตวั ไปเวลาเดนิ ทางไปในทตี่ า ง ๆ บนโลก ในช่ัวชวี ติ หนง่ึ (๓.) ความรู ศิลปะ และวทิ ยาการ ความชำนาญ ทเี่ ราใชเ ล้ยี งชีวิตของเราและคนอ่ืนๆ ตราบเทา ท่เี รายงั มีรางกายที่ ทำงานเปน ปรกติ วทิ ยสมบตั นิ เ้ี ปน สง่ิ สำคญั แตก ไ็ มม หี ลกั ประกนั วา เราจะไมสูญเสียสมบัติน้ีเชนเดียวกัน เราอาจลืม หรือถูกหามมิให ใชความรูน้ัน โดยรัฐบาลหรือโดยความโชครายอื่น ๆ เชน หาก ศัลยแพทยตองสูญเสียแขน หรือประสบกับส่ิงท่ีทำลายชีวิตอัน เปนปรกติสุข ศัลยแพทยผูน้ันอาจไดรับความสะเทือนใจ จนไม สามารถประกอบอาชีพได ไมมีสมบัติใดเลยที่จะสรางความม่ันคงใหแกชีวิตในโลก นี้ได อยา วา แตโลกหนา หากเราสามารถมองเหน็ ไดวา เราไมม ี อะไรเลย และชีวิตน้ีเปนสง่ิ ชวั่ คราวยิ่งนกั เรากจ็ ะมคี วามสงบมาก ข้นึ เมือ่ พบกับสงิ่ ท่ีหลีกเล่ยี งไมไ ดท ัง้ หลายขา งตน
๔๗ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ ังสะ เอกสมบัตทิ ี่แทจริงของมนษุ ย อยางไรก็ตาม มีสมบัติบางอยางที่ติดตามเราไปหลัง ความตายได ส่ิงนี้ก็คือ กรรม หรือผลของการกระทำของเราเอง กรรมดีและกรรมชั่วจะติดตามเราไป และเราก็จะไมอาจหลีกหนี มันไดดว ย ความเชื่อวากรรมเปนเอกสมบัติที่แทจริง กอใหเกิด ความปรารถนาอยางแรงกลาท่ีจะปฏิบัติธรรมอยางบากบ่ัน และถ่ีถวน ความเขาใจวา กรรมดี เปนการลงทุนใหเกิดความ สุขในอนาคต กรรมช่ัวจะตามกลับมาสนองผูกระทำนั้น จะ ทำใหเรากระทำส่ิงตางๆ ดวยการระลึกถึงความดี มีความ เผ่ือแผ ใจกวาง และเมตตา เราจะพยายามบริจาคเงินใหแก โรงพยาบาล และผูประสบภัยตาง ๆ เราจะชวยเหลือสมาชิก ในครอบครัว ผูสูงอายุ คนพิการ และผูดอยโอกาส เพ่ือนฝูง และคนอ่ืนๆ ที่ตองการความชวยเหลือ เราอาจจะปรารถนาที่จะ สรา งสงั คมใหด ขี นึ้ โดยการระวงั รกั ษา กริ ยิ า วาจา และการกระทำ ตางๆ ของตัวเราเอง เราจะชวยสรางสภาพแวดลอมที่สงบสุข เมื่อเราพยายามที่จะปฏิบัติธรรม และเอาชนะกิเลสที่เกิดขึ้น และหมักหมมอยูในจิตใจ การกระทำดังกลาวจะนำพาใหเรามี
๔๘ ปญญาญาณท่ีสูงข้ึน จนถึงเปาหมายสูงสุด ผลของกุศลกรรม จาก ทาน ศีล และภาวนา โดยการพัฒนาจิตหรอื เจริญกรรมฐาน จะติดตามเราไปในภพหนา ราวกับเงาตามตัว ฉะนั้น จงอยา ไดหยดุ ยง้ั ในการสรา งกุศลกรรมเหลานี้ เราทุกคนลวนเปนทาสของตัณหา แมจะเปนเรื่องนา ละอายแตก็เปนเรื่องจริง ตัณหาน้ันไมมีท่ีสิ้นสุด ทันทีที่เราไดรับ อะไรบางอยาง เราจะพบวามันไมดีอยางที่คาดหวังไว และเราก็ จะพยายามหาอยางอื่นตอไป น้ีคือธรรมชาติของชีวิต คลายกับ การพยายามตักน้ำดวยตะขายจับแมลง ชีวิตไมมีวันเต็ม ดวย การตามใจตนเองหรือไลตะครุบสิ่งตาง ๆ มาเปนของตน ตัณหา ไมอาจสนองตัณหาได หากเราเขาใจความจริงขอนี้ เราก็จะ หยดุ มงุ แสวงหาความพอใจในลกั ษณะเชน น้ี ดงั น้นั พระพุทธองค จงึ ตรัสไววา ความสันโดษเปนทรัพยท ่ยี ิง่ ใหญ มีเร่ืองเกี่ยวกับชายคนหนึ่ง มีอาชีพสานตะกราขาย เขาเปน คนงาย ๆ มีความสขุ อยกู ับการสานตะกรา เขาจะผวิ ปาก รอ งเพลง และใชเ วลาอยา งมคี วามสขุ ในเวลากลางคนื เขากจ็ ะ นอนในกระทอ มเลก็ ๆ และหลบั อยา งมคี วามสขุ วนั หนง่ึ มเี ศรษฐี ผานมา และเหน็ ชายสานตะกราท่ยี ากจนผูนี้ แลวเกดิ ความสงสาร จงึ ใหเ งนิ แกช ายคนนี้ ๑,๐๐๐ เหรยี ญ “โปรดรบั เงนิ ไว” เขากลา ว “และนำไปหาความสุข”
Search