พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 100 แต่ก่อนเราเผลอไปยินร้ายกับอารมณ์ท่ีไม่น่าพอใจ เผลอก็ ไม่เป็นไร รู้ตัวเม่ือไหร่ก็ท�ำใหม่ อย่าไปยินร้ายมันอีก ยินดี กับอารมณ์ท่ีน่าพอใจก็เหมือนกัน ทีแรกก็เผลอยินดี เผลอ ก็ไม่เปน็ ไรขอใหร้ ้ ู ต่อไปก็จะไว ไม่ยินดกี ับมนั นี่เรียกว่าระลึกรู้ในกายและใจ ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ โดยเฉพาะลมื ใจ จะลมื ไดง้ า่ ยมาก แตถ่ า้ ลมื ใจแลว้ มนั กล็ มื กายดว้ ย เชน่ เราถล�ำเขา้ ไปในอารมณ์ ถล�ำเขา้ ไปในความ คิด ก็ลืมไปแล้วว่าก�ำลังท�ำอะไรอยู่ กินข้าวก็ไม่รู้ว่ากินข้าว เพราะใจไปอยกู่ บั ความคดิ ปรงุ แตง่ เดนิ กไ็ มร่ วู้ า่ เดนิ เพราะ ว่าใจก�ำลังกงั วลถงึ งานการท่ีคง่ั คา้ งอยู่ ขอให้เราเข้าใจเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน ให้เป็น มีทั้งระดับทั้งท่ีหยาบ ไปจนถึงระดับท่ีละเอียด ท้ัง ระดบั ทงี่ า่ ย ไปจนถงึ ระดบั ทย่ี าก แตก่ ไ็ มเ่ กนิ ความสามารถ ของเราทุกคน
อ ยู่ กั บ ปั จ จุ บั น ใ ห้ เ ป็ น 101 การรู้ทันจติ ใจของตวั เอง นอกจากเราจะต้อง รู้ทันอารมณ์ทีเ่ กิดขน้ึ แล้ว เราต้องไวพอท่ีจะสาวลงไป จนเหน็ ตวั การที่อยู่เบ้อื งหลงั อารมณห์ รอื ความคิด ฉะนัน้ การเจรญิ สติ จงึ มีความส�ำคญั มาก
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 102
รู้ ทั น กิ เ ล ส 103 รู้ทัน กเิ ลส ใจน้ีเป็นใหญ่ แต่หากว่าเราเปิดช่องให้กิเลสครองใจ กิเลสก็กลายเป็นใหญ่แทน ถึงตอนนั้นแล้วใจก็ต้องคล้อย ตามกิเลส ธรรมชาติของใจ โดยเฉพาะใจที่ไม่มีการอบรม มักจะคล้อยตามกิเลส ย่ิงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้น ยั่วยุ ปลกุ เรา้ กจ็ ะทำ� ใหค้ นเราหลงตามกเิ ลสไปไมม่ ที สี่ น้ิ สดุ กเิ ลส มนั กฉ็ ลาดเสยี ดว้ ย สามารถปรงุ แตง่ เหตผุ ลจนแมแ้ ตค่ นทมี่ ี การศึกษา หรือคนที่มีความรู้ก็ยังคล้อยตามกิเลสได้ เช่น เหน็ คนกำ� ลงั เดอื ดรอ้ น กำ� ลงั ลำ� บากอยตู่ อ่ หนา้ ตอ่ ตา แทนท่ี จะเข้าไปช่วยเหลือเขา กิเลสก็อาจจะสรรหาเหตุผลมาอ้าง ว่าเป็นกรรมของสัตว์บ้าง หรือว่าช่วยเขาแล้วเราได้อะไร
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 104 เมื่อมีข้ออ้างอย่างน้ีแล้ว ก็สามารถเมินหน้าหนีได้อย่าง สะดวกใจ บางทีมันก็หาอุบายสนองความเห็นแก่ตัว เช่น กำ� ลงั นง่ั รถเมลห์ รอื รถไฟฟา้ เผอญิ มคี นแก ่ เดก็ หรอื คนทอ้ ง มายนื อยใู่ กลๆ้ กแ็ กลง้ ทำ� เปน็ ไมเ่ หน็ แกลง้ หลบั บา้ ง จะได้ ไม่ต้องลุกให้เขาน่ัง อย่างน้ีเรียกว่าตามใจกิเลส เด๋ียวนี้มี แบบนี้เยอะ การตามกิเลส หรือถูกกิเลสจูงไป ไม่ว่าจะเป็น ความโลภ ความโกรธ หรอื ความหลง ด้วยเหตุน้ีการปฏิบัติในพุทธศาสนาจึงเริ่มต้นด้วย การต้านกิเลส ไม่ใช่ตามกิเลส เริ่มต้ังแต่ทาน การให้ทาน เป็นการต้านกิเลสโดยตรงเลย ปกติคนเราย่อมมีความ หวงแหนเงินทอง อยากเก็บสะสมให้มาก ไม่อยากแบ่งปัน พระพุทธศาสนาจึงสอนเรื่องการให้ทาน เพื่อท�ำให้กิเลส สว่ นทเี่ ปน็ ความตระหนบ่ี รรเทาเบาบาง เปน็ การทวนกระแส กิเลส อยากย�้ำว่าเราไม่ได้ให้ทานเพียงเพราะว่าเรามีจิต เมตตาเท่านั้น แม้จะไม่มีจิตเมตตาเลย แต่รู้อยู่ว่ามีกิเลส มีความโลภ มีความเห็นแก่ตัวอยู่ ผู้ฉลาดย่อมพยายาม สละออกไป ด้วยการให้ทาน การให้ทานคือการต้านกิเลส ฝ่ายโลภะโดยตรง แต่ว่าระยะหลังเราให้ทานกันไม่ถูกต้อง คือให้ทานแล้วกลับเพ่ิมพูนกิเลส เช่น บริจาคหรือท�ำบุญ
รู้ ทั น กิ เ ล ส 105 ๑๐ บาท ก็ขอให้ถูกล็อตเตอร่ีเป็นล้าน ให้ทานแต่ละอย่าง ท�ำบุญแต่ละอย่างก็หวังรวย หวังมั่งมี อันนี้ไม่ใช่เป็นการ ต้านกิเลสแต่กลายเป็นตามกิเลส การท�ำบุญอย่างน้ีจะได้ ผลน้อย การให้ทานแบบนี้จะไม่ช่วยท�ำให้จิตใจโปร่งเบา เพราะว่าเป็นการพอกพูนกิเลส แต่ถ้าท�ำอย่างถูกต้องแล้ว คือให้เพ่ือช่วยเหลือเขาจริงๆ ไม่หวังประโยชน์เข้าตัว ก็จะ ช่วยบรรเทาอำ� นาจของกิเลสทลี ะนอ้ ยๆ นอกจากทานแล้ว ศีลก็เหมือนกัน โดยเฉพาะศีล ๕ ชดั เจนมาก เปน็ การตา้ นกเิ ลสสว่ นทเ่ี ปน็ โลภะ โทสะ โมหะ โทสะ คือความโกรธ อยากจะท�ำร้าย อยากจะเบียดเบียน อยากจะเอาชวี ติ เขา กม็ ศี ลี ขอ้ ท ี่ ๑ มาคอยกนั้ เอาไว ้ สว่ นศลี ข้อที่ ๒ ก็เป็นการต้านโลภะ คือ ความอยากขโมย อยาก ช่วงชิงทรัพย์สินของเขา ศีลข้อท่ี ๓ ก็เหมือนกัน เป็นการ ตา้ นราคะ คอื ความอยากจะแยง่ ชงิ คนรกั ของเขา หรอื ลกู สาว ของเขา ศลี ขอ้ ท ี่ ๔ ตา้ นโทสะทอี่ ยากทำ� รา้ ยเขา ดว้ ยการโกหก พดู เทจ็ ศลี ขอ้ ท่ี ๔ ตา้ นโมหะคอื ความหลง อนั เกดิ จากการ เสพสุรายาเมา ศีล ๘ หรือศีล ๑๐ ก็มีจุดหมาย ท�ำนอง เดียวกันคือเพื่อต้านกิเลส ได้แก่ความอยากเสพความสุข ความสุขทางกาม เช่น การกินอาหารปรนเปรอตน การ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 106 ประดับประดาด้วยเครื่องหอม เสพส่ิงบันเทิงเริงรมย์ การ ละเลน่ สนกุ สนาน หรอื การเพลนิ ในการนอน เปน็ ตน้ ทงั้ หมดน้ี เปน็ การตา้ นกเิ ลสท้ังนนั้ จากศลี แล้วก็มาถึงภาวนา ภาวนาม ี ๒ ส่วน เรยี กวา่ สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา หรือว่าสมถกรรมฐานกับ วิปัสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานยังเป็นการต้านกิเลสอยู่ แตเ่ ปน็ การตา้ นทแี่ ยบคายกวา่ เชน่ เมอ่ื มโี ทสะกเ็ อาเมตตา หรอื กรณุ ามาบรรเทาความโกรธ เวลาเราโกรธ จติ ใจจะรอ้ นรมุ่ แต่พอเราต้ังจิตปรารถนาดี หรือแผ่เมตตาให้เขา ใจก็จะ เยอื กเยน็ เหมอื นกบั วา่ เอาน้�ำมาดบั ไฟ หรอื เวลาเกดิ ตณั หา ราคะขน้ึ มา วธิ กี ารแบบสมถะกค็ อื พจิ ารณาอสภุ กรรมฐาน นกึ ถงึ ซากศพหรอื ความไมง่ ามของรา่ งกาย กจ็ ะท�ำใหร้ าคะ ฝ่อลง เพราะเจอธรรมะคู่ปรปักษ์ ราคะต้องเจอกับอสุภะ น้ีก็เป็นการต้านกิเลสแบบหน่ึง เป็นการทวนกิเลส จะ เรียกว่าเป็นการ “ย้อนศรกิเลส” ก็ได้ เวลาหลงใหลมัวเมา เพลดิ เพลนิ ในความสขุ กน็ กึ ถงึ ความตาย คอื พจิ ารณามรณสติ ทำ� ใหเ้ กดิ ความสงั เวช เกดิ ความตนื่ ตระหนก หรอื เกดิ ความ กลวั ขน้ึ มา ทำ� ใหค้ วามหลงใหลเพลดิ เพลนิ ในความสขุ ฝอ่ ลง ถ้าจิตฟุ้งซ่าน ก็ใช้วิธีบังคับหรือก�ำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งใด
รู้ ทั น กิ เ ล ส 107 สิ่งหน่ึง เช่น ลมหายใจบ้าง ท้องพองยุบบ้าง ความฟุ้งซ่าน ก็สงบลงไปได้ ทั้งหมดนี้เรียกรวมๆว่าเป็นการต้านกิเลส เหมอื นกนั แตว่ า่ เปน็ การตา้ นดว้ ยการบงั คบั ควบคมุ จติ ไมใ่ ช่ การบงั คับควบคมุ กายหรอื วาจา เหมอื นกบั ทานและศลี แตถ่ ามวา่ เทา่ นพ้ี อไหม แทนทจ่ี ะตามกเิ ลส กต็ า้ นกเิ ลส แค่นี้ยังไม่พอนะ ด้วยเหตุน้ีจึงต้องมีวิปัสสนากรรมฐาน วปิ สั สนากรรมฐานไมใ่ ชก่ ารตา้ นกเิ ลส แตเ่ ปลยี่ นมาเปน็ การ รทู้ นั กเิ ลส ตรงนค้ี นทถ่ี นดั กบั การตา้ นกเิ ลส อาจรสู้ กึ วา่ ทำ� ยาก เพราะว่าถูกฝึกมาให้ต้านกิเลสอย่างเดียว โดยเฉพาะคนที่ ใฝธ่ รรมะ เราถกู สอนมาวา่ ตอ้ งตา้ นกเิ ลสอยา่ งเดยี ว ทานกด็ ี ศีลก็ดี หรือการกดข่มอารมณ์ท่ีเป็นอกุศล ล้วนเป็นไปเพ่ือ ต้านกิเลสท้ังนั้น ดังน้ันพอมาท�ำวิปัสสนา หรือเจริญสติ- ปฏั ฐาน ซงึ่ เปน็ บาทฐานของวปิ สั สนา กย็ งั อดไมไ่ ดท้ จี่ ะตา้ น กิเลส เวลามีความโกรธ ความหงุดหงิดเกิดข้ึน หรือแค่ ความฟงุ้ ซา่ นเกดิ ขนึ้ กจ็ ะเขา้ ไปจดั การกบั มนั ดว้ ยการกดขม่ เวลามนี วิ รณเ์ กดิ ขนึ้ เชน่ ความงว่ งเหงาหาวนอน (ถนี มทิ ธะ) ความฟงุ้ ซา่ น (อธุ จั จกกุ กจุ จะ) ความลงั เลสงสยั (วจิ กิ จิ ฉา) ความปรุงแต่งทางกาม (กามฉันทะ) หรือความหงุดหงิด ขนุ่ เคอื งใจ (พยาบาท) นกั ปฏบิ ตั จิ ะมองวา่ นวิ รณเ์ หลา่ นเี้ ปน็
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 108 กเิ ลสทจี่ ะตอ้ งกด ตอ้ งขม่ ตอ้ งจดั การ แตใ่ ชว้ ธิ นี อ้ี ยา่ งเดยี ว ไม่พอแล้ว จะตามกิเลสก็ไม่ใช่ จะต้านกิเลสตะพึดตะพือ ก็ไม่ถูก โดยเฉพาะในขั้นของการบ�ำเพ็ญทางจิต ท่ีเรียกว่า วปิ สั สนาหรอื สตปิ ฏั ฐาน ถงึ ขน้ั นต้ี อ้ งยกระดบั มาสกู่ ารรกู้ เิ ลส หรือรู้ทนั กิเลสแทน อนั นีจ้ ะเรยี กว่าเปน็ ทางสายกลางก็ได้ พอปฏบิ ตั มิ าถงึ จดุ หนงึ่ ตามกเิ ลสกส็ ดุ โตง่ ตา้ นกเิ ลส กส็ ดุ โตง่ ถา้ มาถงึ ขน้ั เปน็ วปิ สั สนาแลว้ เราจะตอ้ งยกจติ มาสู่ ทางสายกลาง คอื รทู้ กุ อยา่ งทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั ใจ รคู้ วามเปลย่ี นแปลง ของใจ ที่จริงก็รวมไปถึงกายด้วย ไม่ว่าทุกขเวทนาหรือสุข เวทนาก็ตาม พอมาถึงข้ันที่เป็นการเจริญสติ หรือวิปัสสนา แล้วจะไม่มีการเลือกที่รักมักท่ีชัง ในขั้นสมถกรรมฐาน เรา ยังเอาเมตตามาข่มโทสะ เอาอสุภะมาข่มราคะ แต่พอถึง จุดท่ีเป็นการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อเป็นบาทฐานสู่วิปัสสนา เราตอ้ งเปลย่ี นวธิ กี าร คอื หนั มาเรยี นรทู้ จี่ ะดใู จของตนอยา่ ง เปน็ กลาง อะไรเกดิ ขนึ้ กส็ กั แตว่ า่ ร ู้ ไมต่ อ้ งไปทำ� อะไรกบั มนั รู้เฉยๆ โกรธก็รู้ ดีใจก็รู้ ชอบก็รู้ ชังก็รู้ ยินดีก็รู้ ยินร้ายก็รู้ ตรงนด้ี เู หมอื นงา่ ย เพราะวา่ ไมต่ อ้ งทำ� อะไรนอกจากร ู้ แตว่ า่ ความเคยชนิ เดมิ ๆ ทำ� ใหเ้ ราอดไมไ่ ดท้ จี่ ะเผลอใชว้ ธิ กี ารเดมิ ๆ กค็ อื ไปกด ไปข่ม ไปต้านกเิ ลส
รู้ ทั น กิ เ ล ส 109 เราตอ้ งลองปรบั ใจเสยี ใหม ่ เพราะวา่ การปฏบิ ตั ธิ รรมก็ มวี ธิ กี ารเฉพาะตวั ในแตล่ ะขนั้ แตล่ ะตอน ในทางพทุ ธศาสนา เราจะมีค�ำว่าธรรมานุธรรมปฏิบัติ คือปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม ทานและศีลเราทำ� มามากแล้ว ก็ควรท�ำต่อไป แต่ พอมาถงึ เรอ่ื งของการบำ� เพญ็ ทางจติ โดยเฉพาะการเจรญิ สติ และปัญญา เราต้องเรียนรู้วิธีท่ีจะรู้ทันกิเลสบ้าง ไม่จ�ำเป็น ตอ้ งไปกดขม่ หรอื ตา้ นกเิ ลส ทางสายท ี่ ๓ สำ� คญั มาก เพราะ ว่าการรู้ทันกิเลส เพียงแต่ดู หรือเห็นมันเฉยๆ เท่านี้ก็มี อานุภาพมาก การจะสู้กับกิเลส บางทีก็ไม่ได้ท�ำด้วยการ ตา้ นมนั หรอื เลน่ งานมนั เพยี งแตร่ ู้ เพยี งแตเ่ หน็ เฉยๆ มนั ก็
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 110 ลา่ ถอยไปได ้ โดยทเี่ ราไมต่ อ้ งไปท�ำอะไรกเิ ลสเลย เวลาโกรธ เราเห็นความโกรธเกิดข้ึน มันก็ดับไป ที่จริงจะว่าดับมันก็ ไมถ่ กู เพราะถงึ เราไมม่ สี ตดิ มู นั มนั กด็ บั เองอยแู่ ลว้ แตป่ ญั หา คือมันดับแล้วก็เกิดใหม่อีก เพราะว่าธรรมชาติของอารมณ์ ทง้ั หลาย ทง้ั รปู ธรรมและนามธรรม มนั เกดิ แลว้ ดบั พอเกดิ ปบุ๊ กด็ บั ปบ๊ั แตพ่ อมสี ตริ ปู้ บุ๊ มาขวางกลาง มนั กไ็ มเ่ กดิ ขน้ึ มนั ดบั อยู่แล้วนะ แต่พอมีสติรู้ มันก็ไม่เกิด ท�ำไมมันถึงไม่เกิด เพราะวา่ สตเิ ปน็ กศุ ล พอมกี ศุ ลเกดิ ขน้ึ อกศุ ลกเ็ กดิ ขนึ้ ไมไ่ ด้ แตว่ า่ เราไมถ่ นดั ไมค่ นุ้ กบั การทำ� อยา่ งน ้ี เราจงึ พยายามเขา้ ไป ตา้ นมนั พยายามผลกั ไสมนั แตเ่ ราลมื ไปวา่ ถา้ เราทำ� อยา่ งนนั้ ก็ง่ายท่ีจะถล�ำเข้าไปอยู่ในอ�ำนาจของมัน อารมณ์พวกนี้ เหมอื นกบั มกี าวตดิ อย ู่ พอเราเอามอื ผลกั มนั ปรากฏวา่ มอื เรา ตดิ มนั เลย เกดิ การยดึ ตดิ ขนึ้ แลว้ มนั กล็ ากเราไปตามอำ� นาจ ของมัน เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน สมมติว่ามีรถคันหนึ่งหรือ ซุงท่อนหนึ่งขวางหน้าบ้าน เราอยากจะเข็นหรือดันให้มัน ไปไกลๆ แต่ว่าย่ิงเข็นย่ิงดัน ตัวเราก็ยิ่งแนบชิดสนิทกับรถ หรือท่อนซุงใช่ไหม อยากผลักให้มันไปห่างๆ แต่เรากับมัน กลับย่ิงใกล้ชิดกัน ท�ำนองเดียวกัน พอเราพยายามผลักไส
รู้ ทั น กิ เ ล ส 111 ความคิดฟุ้งซ่าน สิ่งท่ีเกิดข้ึนก็คือ ยิ่งผลักไสมันก็ย่ิงโผล่ ย่ิงผุด ย่ิงห้ามก็เหมือนย่ิงยุ ท่ีเป็นเช่นน้ันก็เพราะใจที่อยาก ผลักออกไปน้ันเป็นใจที่เจือด้วยกิเลส คือความโลภ ความ อยาก มนั เป็นอกุศล อกุศลเมื่อเจอกับอกุศลกเ็ สรมิ กันพอดี ท�ำให้มันมีก�ำลังเพ่ิมข้ึน แต่ถ้าหากเรามีสติ คือเห็นมัน เฉยๆ ดว้ ยใจเปน็ กลาง ไมม่ คี วามรงั เกยี จ หรอื ความอยาก ผลกั ไสเจอื ปนอย ู่ กจ็ ะเปน็ กศุ ลลว้ นๆ เมอ่ื เปน็ กศุ ลลว้ นๆ ก็ ไม่เปิดโอกาสให้อกุศลเกิดข้ึนได้ แต่ถ้าเราอยากจะผลักมัน ออกไป อยากจะกดขม่ มนั ใหห้ ายไป ขณะจติ นนั้ เจอื ดว้ ยอกศุ ล จึงกลายเป็นเช้ือให้กับอารมณ์อกุศลที่เราอยากจะผลัก เทา่ กบั ไปเตมิ เชอ้ื ใหม้ นั เหมอื นกบั เราอยากจะดบั ไฟ แต่เรา เอาน้�ำท่ีผสมน�้ำมันเทลงไป แทนท่ีไฟจะดับมันก็ลุกโพลง เพิม่ ขึ้น ด้วยเหตนุ ี้ การจัดการหรอื เก่ียวข้องกับกเิ ลส เราตอ้ ง เรยี นรวู้ ธิ กี ารอกี ขน้ั หนงึ่ ดว้ ย กค็ อื การรทู้ นั กเิ ลส โดยรเู้ ฉยๆ วิธีน้ีมีอานุภาพ พระพุทธเจ้าหรือพระสาวก เวลาถูกมาร ไม่ว่ากิเลสมารหรือเทวปุตตมารมารังควาน วิธีหน่ึงที่ท่าน ใชบ้ อ่ ยกค็ อื การรทู้ นั หรอื การบอกใหม้ ารนน้ั รวู้ า่ ทา่ นรทู้ นั มาร มารมอี บุ ายหลายอยา่ ง ทจี่ ะทำ� ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั เิ ลกิ ทำ� ความ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 112 เพียร ในพระไตรปิฎกหมวดที่ช่ือมารสังยุตต์ พูดถึงอุบาย หลากหลายของมาร เช่น หลอกให้กลัว โดยปลอมมาเป็น พญาช้างบ้าง เป็นงูยักษ์บ้าง ท�ำให้เกิดแผ่นดินไหวบ้าง หรือไม่ก็มาล่อหลอกให้เขว คราวหน่ึงขณะท่ีพระพุทธเจ้า ยงั ทรงบำ� เพญ็ เพยี รอย ู่ หลงั จากทรงละการบำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า แลว้ มารกม็ าชวนใหพ้ ระองคก์ ลบั เขา้ หาทกุ รกริ ยิ า โดยบอกวา่ ทางนถี้ กู แน ่ แตพ่ ระองคก์ ป็ ฏเิ สธ เพราะรวู้ า่ นเี่ ปน็ อบุ ายของ มาร บางครง้ั พระองคก์ ำ� ลงั บำ� เพญ็ เพยี รอย ู่ มารบอกวา่ ทา่ น สะสมบุญมากแล้ว ท่านจะบ�ำเพ็ญเพียรอีกท�ำไม มารมา หลอกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าซึ่งตอนน้ันยังไม่ตรัสรู้ ก็บอกว่า เราไม่ได้มีความต้องการบุญแม้แต่น้อย ท่านควรไปบอกแก่ ผตู้ อ้ งการบญุ ดกี วา่ มาถงึ ตรงนพ้ี ระองคไ์ มต่ อ้ งการบญุ แลว้ พระองค์ปฏิบัติเพ่ือมุ่งพ้นทุกข์ คือเหนือบุญเหนือบาป แม้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว มารก็ยังมาชวนให้พระองค์กลับไป ครองราชย์ มารจะปรากฏตัวในรูปลักษณ์ต่างๆกัน เช่น เป็นพราหมณบ์ ้าง เป็นดาบสบา้ ง พระสาวกกโ็ ดนมารหลอกหรอื รงั ควานเชน่ กนั บางครง้ั มารก็มาชักชวนภิกษุณีว่าไปสวรรค์ดีกว่า อย่าไปนิพพาน เลย สวรรค์มีส่ิงงดงามมากมาย แต่ท่านก็ปฏิเสธไป บางที
รู้ ทั น กิ เ ล ส 113 มารก็ใช้ฤทธิ ์ เช่นมาเข้าท้องพระโมคคลั ลานะ ทา่ นบอกให้ ออกไป มารไมย่ อมออก ทา่ นจงึ พดู กบั มารวา่ “เรารจู้ กั ทา่ น ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน” แค่น้ีแหละ มารก็ออกจาก ร่างพระโมคคัลลานะ ด้วยความเสียใจที่ถูกรู้ทัน อีกคราว หนึ่งมารเข้าสิงพระพรหมเพ่ือให้กล่าวต�ำหนิพระพุทธองค์ พระองค์รู้ว่านี่เป็นฝีมือของมาร จึงตรัสว่า “มารผู้มีบาป เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่าเราไม่รู้จักท่าน” เพียงเท่านี้ มารกห็ ยดุ สง่ิ หนง่ึ ทมี่ ารกลวั กค็ อื กลวั วา่ คนอน่ื จะรทู้ นั อบุ าย ของมาร มีหลายคร้ังท่ีเม่ือพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก รู้ทัน มารก็ล่าถอยไปด้วยความเสียใจ พร้อมกับร�ำพึงว่า “พระพทุ ธเจา้ ทรงรจู้ กั เรา พระสคุ ตทรงรจู้ กั เรา” คราวหนง่ึ มาร มาแกลง้ พระสมทิ ธ ิ ดว้ ยการทำ� ใหเ้ กดิ แผน่ ดนิ ไหว พระสมทิ ธิ ตกใจจงึ เลกิ ทำ� ความเพยี ร รบี ไปกราบทลู พระพทุ ธเจา้ พระองค์ ทราบวา่ เปน็ อบุ ายของมาร จงึ ตรสั ใหพ้ ระสมทิ ธริ ู้ พระสมทิ ธิ กลบั ไปบ�ำเพญ็ เพยี รใหม ่ พอเกิดแผ่นดินไหวอกี พระสมิทธิ กบ็ อกใหม้ ารรวู้ า่ ทา่ นรแู้ ลว้ วา่ เปน็ อบุ ายของมาร มารพอไดย้ นิ เชน่ นนั้ กเ็ สยี ใจ หยดุ รงั ควาน พรอ้ มกบั รำ� พงึ วา่ “พระสมทิ ธิ ร้จู ักเรา”
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 114 การรูห้ รอื เหน็ กเิ ลสมารเฉยๆ ร้วู า่ มันเกดิ ขึ้นในใจ จงึ มีพลังมาก สามารถท�ำให้มารล่าถอยไปได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ อทิ ธฤิ ทธเิ์ ลย ถามวา่ รทู้ นั มารดว้ ยอะไร กร็ ดู้ ว้ ยสตหิ รอื ความ ระลึกได้ ท่ีแล้วมาเวลาเราเกิดอารมณ์อกุศลขึ้นมา เรามัก จะตา้ น จะตอ่ ส ู้ แลว้ กพ็ นั ตมู นั อนั นนั้ กด็ อี ย ู่ แตว่ า่ ยงั ไมพ่ อ เราต้องเรียนรู้อีกวิธีหน่ึงซึ่งใช้ในการบ�ำเพ็ญวิปัสสนา คือ รู้หรือดูมันเฉยๆ วิธีน้ีไม่ใช่ของยาก เพราะว่าเรามีความ สามารถที่จะดูหรือรู้ใจอยู่แล้ว เราทุกคนมีสติ สามารถรู้ ความเป็นไปภายในใจได้อยู่แลว้ อย่าว่าแต่พวกเราซึ่งเป็นนักปฏิบัติเลย แม้แต่เด็กๆก็ มีความสามารถเช่นนี้อยู่ มีแม่คนหน่ึงเล่าให้ฟัง ว่าวันหนึ่ง ลกู ซง่ึ อายแุ ค ่ ๔ ขวบ ไมพ่ อใจยา่ มาก ทเี่ อาดอกไมก้ ระดาษ ของตัวเองมาผสมกัน แทนท่ีจะแยกคนละสี แม่อาสาว่า จะช่วยแยกให้ แต่ลูกก็ไม่ยอม ยืนยันจะให้ย่าท�ำให้เหมือน เดิม ปกติคนเป็นแม่ ถ้ารู้ว่าลูกโกรธย่า แม่ก็จะบอกว่าอย่า โกรธยา่ นะลกู มนั ไมด่ ี แตแ่ มค่ นนไี้ มท่ ำ� อยา่ งนน้ั แมถ่ ามวา่ “ลกู โกรธยา่ มากใชไ่ หมทม่ี าท�ำของลกู เสยี ไหนลกู บอกแมซ่ ิ วา่ ลกู โกรธยา่ แคไ่ หน เทา่ นห้ี รอื ” แลว้ แมก่ ก็ างมอื ออกเลก็ นอ้ ย เด็กยังเงียบ แม่จึงกางมือใหญ่กว้างแบบเท่าฟ้า คราวน้ี
รู้ ทั น กิ เ ล ส 115 ลูกกางมือออกเท่าฟ้าเหมือนแม่ แสดงว่าลูกโกรธย่าเท่าฟ้า แถมยังบอกแม่ให้ไปบอกย่าด้วยว่าลูกโกรธย่าตั้งเท่าน้ี ถ้าเป็นแม่ท่ัวไปก็ต้องตกใจท่ีลูกโกรธย่าเท่าฟ้า แต่แม่ไม่ ตระหนก แม่บอกลูกว่าได้เลยลูก แม่จะไปบอกย่าให้ พูด แค่นี้ ลูกกเ็ ดินจากไปราวกบั ไมม่ อี ะไรเกดิ ขึน้ แมไ่ ม่ได้สอน ลูกให้ต้านกิเลส หรือให้กดข่มความโกรธ แต่แม่ท�ำหน้าที่ เป็นกระจกสะท้อนให้ลูกเห็น ว่าตัวเองมีความโกรธแค่ไหน พอเดก็ เห็นปุบ๊ สติเกิดข้นึ ความโกรธก็คอ่ ยๆหายไป แม่คนหนึ่งก็เล่าคล้ายๆกัน ลูกช่ือน้องเพลง อายุแค่ ๓ ขวบคร่ึง เสียใจเพราะกบตาย ร้องไห้ไม่หยุด ทีแรก แม่ก็ใช้วิธีปลอบใจ แต่พูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล แม่เลยเปล่ียน วิธีใหม่ โดยท�ำหน้าที่สะท้อนความรู้สึกของลูก แม่พูดกับ ลูกว่าน้องเพลงเสียใจท่ีกบตายใช่ไหม น้องเพลงก็พยักหน้า เสร็จแล้วแม่ก็นั่งอยู่ข้างๆกับลูกเงียบๆ ไม่ได้บอกลูกเลย ว่าอย่าเสียใจนะลูก มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าพูด อย่างนั้นเด็กไม่รู้เรื่องนะ แม่เพียงแต่ให้เด็กรับรู้ความรู้สึก ของเขาโดยทแี่ มเ่ ปน็ ตวั สะทอ้ น พอแมพ่ ดู อยา่ งน ้ี เดก็ กเ็ หน็ ความรู้สึกของตัวว่าก�ำลังเสียใจที่กบตาย ความรู้สึกตัวก็ เกิดขึ้น พอความรู้สึกตัวเกิดขึ้น ความเสียใจก็ค่อยๆหาย
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 116 ไป แม่ก�ำลังสอนลูกให้รู้ทันกิเลส ให้รู้ทันอารมณ์อกุศล นี่ ก็เป็นวิธีการแบบพุทธ ส่วนใหญ่เราจะใช้วิธีการสอนให้เด็ก ตา้ นกิเลส ซ่งึ กด็ อี ย ู่ แต่วา่ มนั ไมใ่ ชเ่ ปน็ วธิ ีเดยี วท่ีใชไ้ ด ้ ยังมี วิธีอื่นคือการท�ำให้เด็กรู้ตัว วิธีการนี้ใช้ได้ไม่ว่าเด็กเล็กหรือ เด็กโต เพ่ือนคนหน่ึงเล่าให้ฟัง ลูกสาวอายุ ๑๒ มาขอเงิน แมเ่ พอื่ ซอื้ ของเลน่ เปน็ ไมโครโฟน พอกดปมุ่ จะมเี สยี งเพลง ออกมา เหมอื นกบั วา่ เรารอ้ งเพลงได ้ แมถ่ ามวา่ เทา่ ไหร ่ เดก็ ตอบวา่ ๔๐๐ บาท แมต่ กใจ บอกวา่ แพงนะ ๔๐๐ บาท แต่ ลกู กร็ บเรา้ จะเอาใหไ้ ด ้ แมก่ ไ็ มค่ า้ นลกู นะ แตต่ อ่ รองกบั ลกู วา่ แม่จะให้เงินลูกนะ แต่มีเงื่อนไข ๒ ข้อ หนึ่งแม่จะหักเงิน ค่าขนมลูกวันละคร่ึงหนึ่งจนครบ ๔๐๐ บาท สอง ทุกเย็น
รู้ ทั น กิ เ ล ส 117 ก่อนกลับบ้านแม่อยากให้ลูกดูไมโครโฟนอันนั้น แล้วก็ดูใจ ของลูกท่ีอยากได้ไมโครโฟนด้วย ผ่านไปได้ ๔ วัน ลูกก็มา บอกแม่ว่าไม่เอาละ แม่ถามว่าท�ำไมล่ะ ลูกอยากได้ไม่ใช่ เหรอ เดก็ บอกวา่ เบอ่ื แลว้ เอาคา่ ขนมเอาไปทำ� อยา่ งอน่ื ดกี วา่ เสยี ดายเงนิ ลกู ดใู จตามทแ่ี มบ่ อก พอมาดคู วามอยาก กเ็ หน็ วา่ ความอยากค่อยๆคลายไป เพราะความอยากมันไม่เที่ยง วนั แรกกอ็ ยากไดม้ าก พอวนั ท ี่ ๒ ความอยากกล็ ดลง พอถึง วนั ท ่ี ๔ ความอยากกแ็ ทบจะเปน็ ศนู ย ์ แลว้ เดก็ กไ็ ดค้ ดิ วา่ เงนิ ๔๐๐ บาทแพงไป เอาเงนิ ไปทำ� อยา่ งอ่นื ดกี วา่ ปกตเิ วลาแมเ่ จอลกู รบเรา้ อยากไดข้ องเลน่ วธิ กี ารทแี่ ม่ ทั่วไปใช้ก็คือตัดรำ� คาญ ให้เงินลูกไปเลย อันน้ีเรียกว่าตาม กเิ ลส แมบ่ างคนกใ็ ชว้ ธิ ตี า้ นกเิ ลส หา้ มลกู วา่ อยา่ ซอ้ื เลย มนั แพง แตแ่ มค่ นนมี้ อี บุ ายดกี วา่ นน้ั ลกู จะซอ้ื กซ็ อ้ื ได ้ แตว่ า่ ให้ ลกู ไปดขู องแลว้ กด็ ใู จดว้ ย เปน็ ธรรมชาตขิ องจติ อยแู่ ลว้ พอ มีสติดูใจ ก็จะเห็นเลยว่าความอยากมันไม่เท่ียง ถึงแม้ไม่ดู ความอยากกไ็ มเ่ ทย่ี งอยแู่ ลว้ แตพ่ อดใู จ กจ็ ะใหเ้ หน็ ชดั ยง่ิ ขน้ึ วา่ ความอยากคอ่ ยๆหายไป อกี อยา่ ง พอมสี ตดิ ใู จ เหน็ ความ อยาก ความอยากก็คลายไป หรือปล่อยวางได้ นี้เป็นวิธีท่ี ใช้ได้ แม้กระทงั่ กบั เดก็ กส็ ามารถฝกึ ให้เด็กมีสติได้
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 118 มีวิธีการหลายอย่างท่ีพ่อแม่สามารถใช้กับลูกได้ เช่น ลกู โกรธ แมก่ ถ็ ามวา่ ลกู โกรธใชไ่ หม ลกู ตอบวา่ ใช ่ แมถ่ ามวา่ โกรธแค่ไหน เสร็จแล้วก็เอาสีมาระบาย โกรธแค่นี้ใช่ไหม เอาสรี ะบายลงไปในกระดาษ โกรธแคน่ ใี้ ชไ่ หม ลกู บอกไมใ่ ช่ มันโกรธมากกว่าน้ ี ลูกก็เอาสลี ะเลงเข้าไปใหญ ่ ในแง่หนึง่ ก็ เปน็ การระบายความโกรธ แตใ่ นแงห่ นง่ึ กท็ ำ� ใหเ้ ดก็ เหน็ ความ โกรธของตวั เองอยา่ งเปน็ รปู ธรรม พอทำ� เสรจ็ เดก็ กร็ ตู้ วั พอ รูต้ วั เดก็ ก็สงบลงได้ เราเป็นผู้ใหญ่ก็สามารถท�ำอย่างน้ีได้ และสามารถ ทำ� ไดด้ ดี ว้ ย แตป่ ญั หาของผใู้ หญค่ อื ผใู้ หญม่ คี วามคดิ ซบั ซอ้ น ชอบหาเหตุผลมาสนับสนุนอารมณ์ของตัว เช่นเรามักมี
รู้ ทั น กิ เ ล ส 119 เหตผุ ลมายนื ยนั วา่ ทเี่ ราโกรธนนั้ ถกู แลว้ สว่ นเดก็ มคี วามคดิ ที่ไม่ซับซ้อน พอรู้ทันความโกรธ ความโกรธก็เพลาลงเลย แตผ่ ใู้ หญจ่ ะไมย่ อมใหค้ วามโกรธทเุ ลา มกั สรรหาเหตผุ ลเปน็ ข้ออ้างว่าสมควรแล้วที่โกรธ ต้องโกรธให้มากๆ เพราะไอ้นี่ มันเลว มันช่ัว เราจะสรรหาเหตุผลมาเพ่ือสนับสนุนความ โกรธ หรอื หาเหตผุ ลมาสนบั สนนุ ความอยากของเรา แทนที่ มนั จะเพลาลงเมอ่ื มสี ตริ ทู้ นั กเิ ลส มนั กลบั พงุ่ โพลง่ ขน้ึ มาใหม่ เพราะเราไปปรงุ แตง่ ยงิ่ คนทมี่ กี ารศกึ ษา กจ็ ะยงิ่ มคี วามฉลาด ในการสรรหาเหตุผลมาปรุงแต่งหรือรองรับสนับสนุนกิเลส ของตวั เอง เพอื่ นคนหนง่ึ มคี อมพวิ เตอรโ์ นต้ บคุ๊ เพง่ิ ซอ้ื มาไดป้ เี ดยี ว พอเจอโน้ตบุ๊คตัวใหม่ อยากได้ขึ้นมาก็จะหาเหตุผลให้ ตวั เองวา่ โนต้ บคุ๊ รนุ่ นด้ี นี ะ มนั เบา ความเรว็ สงู แถมเกบ็ ไฟ ได้นาน เหมาะกับการเอาไปทำ� งานต่างจังหวัด คือท้ังๆท่ีรู้ วา่ ตวั เองอยาก แตพ่ อมเี หตผุ ลอยา่ งนเ้ี ขา้ มา สตกิ ก็ ระเจงิ เลย เพราะความอยากมีกำ� ลังมากข้ึน เพราะฉะน้ันเราต้องรู้ทัน เหตุผลที่ถกู ปรงุ แต่งมาเปน็ ขอ้ อ้างด้วย รู้ทนั ลงไปวา่ เหตผุ ล ทง้ั หมดนเี้ ปน็ ขอ้ อา้ งของกเิ ลสทง้ั นนั้ กเิ ลสมนั กม็ เี หตผุ ลของมนั เหมอื นกนั นะ อยา่ ไปคดิ วา่ เหตผุ ลนนั้ เกดิ จากปญั ญาบรสิ ทุ ธ์ิ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 120 อยา่ งเดยี ว ยง่ิ ฉลาด ยง่ิ จบปรญิ ญาสงู กย็ ง่ิ ฉลาดในการสรรหา เหตุผลมาสนับสนุน รองรับความต้องการของมัน ถ้าเรา ไม่รทู้ นั กิเลส เราก็จะถกู มันหลอกไปเร่ือยๆ ดงั นน้ั การรทู้ นั จติ ใจของตวั เอง นอกจากเราจะตอ้ งรทู้ นั อารมณ์ท่ีเกิดข้ึนแล้ว เราต้องไวพอที่จะสาวลงไปจนเห็น ตัวการท่ีอยู่เบื้องหลังอารมณ์หรือความคิด การเจริญสติมี ความสำ� คญั มาก ประการแรกคอื ชว่ ยปอ้ งกนั ไมใ่ หก้ เิ ลสเขา้ มา ครองจติ ครองใจ ไมใ่ ชเ่ พราะผลกั ไส ไมใ่ ชเ่ พราะรงั เกยี จ แต่ เพราะร ู้ รแู้ ลว้ ไมห่ ลงเชอื่ พอมนั หายไป ความสงบกม็ าแทนท่ี เราไม่จ�ำเป็นต้องกดข่ม เราเพียงแต่เห็น ใจก็จะสงบ เป็น ความสงบโดยไม่จำ� เป็นต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คน หรือหนีสิ่ง เยา้ ยวนยว่ั ยุ คนเราเวลาอยากจะสงบใจ กต็ อ้ งหนมี าอยู่วัด จะไดไ้ มต่ อ้ งดโู ทรทศั น ์ ไมต่ อ้ งฟงั วทิ ย ุ ไมต่ อ้ งดหู นงั สอื พมิ พ์ ไมม่ ขี า่ วสารทจี่ ะมากระตนุ้ โทสะ ไมม่ ลี ะครทจ่ี ะมากระตนุ้ โลภะ หรอื ราคะ ไมม่ ีโฆษณาท่ีจะมากระตนุ้ ความอยาก มาอย่ใู น บรรยากาศแบบนเ้ี รากส็ งบได้ แตส่ งบอยา่ งน ี้ เปน็ ความสงบ ทต่ี อ้ งพง่ึ พาสง่ิ แวดลอ้ ม อาศยั สง่ิ แวดลอ้ มเปน็ หลกั ดงั นนั้ ถงึ ไมป่ ฏบิ ตั ธิ รรมกส็ งบได ้ แตถ่ า้ เรามาอยทู่ า่ มกลางสง่ิ แวดลอ้ ม ทก่ี ระตนุ้ ยว่ั ย ุ สตจิ ะมคี วามสำ� คญั มาก แมว้ า่ มสี ง่ิ มากระทบ
รู้ ทั น กิ เ ล ส 121 ทางตา ทางห ู ทางจมกู แตม่ นั ไมก่ ระเทอื นถงึ ใจ เพราะพอ มีความอยากเกิดขึ้น มีความหงุดหงิดเกิดขึ้น ทันทีที่มีสติรู้ ก็วางมันลงได้ ท�ำให้เกิดความสงบใจ แม้จะอยู่ท่ามกลาง สง่ิ แวดลอ้ มทว่ี นุ่ วาย หรอื สงิ่ ทย่ี วั่ ยเุ ยา้ ยวน หรอื อยทู่ า่ มกลาง ผู้คน ซ่ึงมีนิสัยไม่ตรงกับเรา แต่ไม่ว่าอะไรมากระทบ หรือ รับรู้ทางตา จมูก หู ลิ้น กาย เราก็มีสติรู้ทัน ท�ำให้เกิด ความสงบได้ อย่างท่ีบอกไว้แล้ว วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ได้มีจุด มงุ่ หมายแคใ่ หเ้ กดิ ความสงบ แตย่ งั ชว่ ยใหเ้ ราเหน็ ความจรงิ ของใจจากการเห็นอารมณ์ต่างๆ เกิดข้ึน เม่ือเรามีสติ เรา ก็จะเห็นมันเกิดดับ การเห็นบ่อยๆ ไม่ว่าจะอารมณ์บวก หรอื อารมณล์ บ อฏิ ฐารมณห์ รอื อนฏิ ฐารมณ ์ กศุ ลหรอื อกศุ ล ชอบหรือชัง ยินดีหรือยินร้าย ทั้งหมดน้ีถือเป็นของดีท้ังน้ัน คอื เปน็ วตั ถดุ บิ เพอื่ ใหเ้ ราไดเ้ หน็ ธรรมชาตขิ องจติ เหน็ ธรรม- ชาตขิ องนามธรรม เหน็ ธรรมชาตขิ องทกุ สง่ิ รวมทงั้ รปู ธรรม ด้วย เห็นความเกิด ความดับของมัน เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไมจ่ รี งั ไมว่ า่ กศุ ลหรอื อกศุ ล ในแงน่ จ้ี งึ มคี ณุ คา่ เสมอกนั ตา่ ง กไ็ มเ่ ทยี่ งทงั้ ค่ ู แลว้ กเ็ ปน็ ทกุ ข์ เปน็ ทกุ ขใ์ นทน่ี หี้ มายความวา่ ไมส่ ามารถทนอยใู่ นภาวะใดภาวะหนงึ่ ไดน้ าน ลองสงั เกตดนู ะ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 122 เวลาเราดีใจ หรือว่าเวลาเรามีความสุข ความสุขมันก็อยู่ ไม่นาน ความสุขมันไม่สามารถจะทนอยู่ในสภาพเดิมของ มันได ้ มันตอ้ งแปรเปลีย่ นไป ความทกุ ข์ก็เหมอื นกนั ความ โกรธกเ็ หมอื นกนั ความเบอื่ กเ็ หมอื นกนั ไมส่ ามารถจะคงทน อยู่ได้นาน เรียกว่าเป็นทุกข์ ทุกขังก็คือทนอยู่ในภาวะใด ภาวะหนึง่ ไม่ได้นาน เป็นความไมเ่ ท่ยี งอีกแบบหน่งึ ย่ิงเห็นต่อไปว่า มันเป็นอนัตตา คือกายและใจ รวม ท้ังอารมณ์ต่างๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา การเจริญสติ ถ้า เราเป็นผู้ดูเฉยๆ ก็จะเห็นเลยว่า ท่ีเดินนี้เป็นกายที่เดิน ไม่ใช่เราเดิน ที่คิดนี้เป็นใจท่ีคิดไม่ใช่เราคิด ที่โกรธนี้ ใจโกรธไมใ่ ชเ่ ราโกรธ แตถ่ า้ ไมม่ สี ต ิ กจ็ ะสำ� คญั มน่ั หมายวา่ มเี ราเปน็ ผเู้ ดนิ เปน็ ผโู้ กรธ แตพ่ อมสี ตกิ จ็ ะเหน็ ชดั ขนึ้ เรอ่ื ยๆ จนความเปน็ เราไมม่ ที ต่ี ัง้ เพราะมนั เป็นการปรุงแต่งขึน้ มา ความจริงเหล่าน้ีเห็นได้จากการท่ีเราดูใจอยู่บ่อยๆ เรียกง่ายๆว่ามองตน มองตนทีแรกก็เห็นนิสัยของตัวเอง เหน็ ความถนดั ความชอบของตวั เอง แตม่ องไปลกึ ๆ กลาย เป็นว่าไม่เห็นตนแล้วนะ มองตนจนไม่เห็นตนเลย มันมีแต่ รปู และนาม มแี ตก่ ายและใจ ทเี่ คลอ่ื นขยบั กายเคลอ่ื นไหว
รู้ ทั น กิ เ ล ส 123 ใจคดิ นกึ มองตนดๆี มองไปลกึ ๆ ไมเ่ หน็ ตนแลว้ นะ แตว่ า่ ใหม่ๆก็ไม่เห็นตนแค่ชั่วขณะ พอเผลอ พอไม่มีสติ หรือ พอลืมตัว ความหลงก็มาแทนท่ี พอความหลงมาก็ปรุงตัวกู ของกูข้ึนมา แต่ถ้าเราเห็นบ่อยๆก็จะเห็นความจริงของรูป และนาม ของกายและใจ กจ็ ะเกดิ ปัญญา เพราะปัญญาใน พระพุทธศาสนา ไม่ได้เกิดจากการคิดเอา แต่เกิดจากการ เหน็ ของจรงิ เราจะเหน็ ของจรงิ ได ้ กต็ อ้ งเปดิ ใจยอมรบั เปดิ กว้างทุกอย่างด้วยใจเป็นกลาง ไม่เลือกที่รักมักท่ีชัง ไม่ว่า กุศลหรืออกุศล ไม่ว่าดีใจเสียใจ ไม่ว่าชังหรือชอบ เปิด รับเสมอกนั ไมร่ ังเกยี จ ไม่ผลักไส แตก่ อ่ นนี้เราผลกั ไส แต่ ตอนนีเ้ ราเรยี นรู้ทีจ่ ะไม่ผลกั ไส หดั มองด้วยใจเปน็ กลางๆ คนทต่ี ดิ ดมี กั จะไมช่ อบความโกรธ ไมช่ อบความเกลยี ด เพราะเป็นอารมณ์ท่ีไม่ดี ท่านติช นัท ฮันห์ จึงสอนว่า ให้ ลองโอบกอดความโกรธดูบ้าง โอบกอดด้วยสติ อันนี้เป็น สำ� นวนเพอื่ ใหเ้ ราไมผ่ ลกั ไส ตามความเคยชนิ ตามนสิ ยั ตดิ ดี ของเรา คนทตี่ ดิ ดมี กั เหน็ วา่ โกรธไมด่ ี เกลยี ดไมด่ ี นกั ปฏบิ ตั ิ โกรธไมไ่ ด้ เกลยี ดไมไ่ ด้ แตพ่ อเราเจรญิ วปิ สั สนาเรายอมรบั ตัวเองตามท่ีเป็นจริง ก็จะเห็นเลยว่าไม่ใช่เราโกรธ ไม่ใช่ เราเกลยี ด มันเป็นใจทถ่ี ูกปรุงแตง่ ขึ้นมา เวลาใครมาตำ� หนิ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 124 ถ้าไม่มีสติก็โกรธ แต่ถ้ามีสติก็รู้ว่าความโกรธเกิดขึ้น เวลา มีความรู้สึกเสียหน้าเกิดข้ึน ก็เห็นว่าไม่ใช่เราเสียหน้า แต่ ถ้ายังมองไปถึงตรงน้ีไม่ได้ อย่างน้อยก็มองให้เห็นว่ากิเลส มนั ทกุ ข์ ไม่ใช่เราทุกข์ เวลาท�ำอะไรเสยี หน้า กใ็ หร้ ูว้ า่ กิเลส มันเสียหน้า กเิ ลสมันทุกข์ ไมใ่ ชเ่ ราทกุ ข์ ถา้ เรามสี ต ิ เหน็ อยเู่ รอื่ ยๆดว้ ยใจเปน็ กลาง จนกระทงั่ เห็นว่า ไม่มีเรา ไม่มีของเรา มีแต่รูปและนาม เม่ือมีความ ทุกข์เกิดข้ึนก็ยกให้เป็นความทุกข์ของรูปและนามไป เช่น ตอนน้ีรู้สึกเม่ือยขึ้นมา ถ้าไม่มีสติก็รู้สึกว่าฉันเม่ือย กูเม่ือย แต่ถ้ามีสติเห็นความเม่ือย ก็จะคืนความเม่ือยหรือความ ทกุ ขใ์ ห้เป็นของรูปไป ไม่ใช่เราทกุ ข ์ ไม่ใชเ่ ราเม่ือย มันเป็น รปู ท่ีเมื่อยหรอื เป็นกายทีป่ วด ถ้าพูดจริงๆแล้ว กายก็ไม่ปวด กายมันไม่รู้สึกหรอก แต่เป็นเวทนา ทางพระพุทธศาสนาจึงแยกออกมาเป็นกาย เวทนา จติ และธรรม เพอื่ ใหเ้ หน็ วา่ เวทนานก้ี อ็ กี ตวั หนง่ึ มนั ไม่ใช่กายท่ีปวด แต่เป็นทุกขเวทนาท่ีเกิดข้ึนมา แต่ใหม่ๆ เรายงั ไมต่ อ้ งไปแยกแยะขนาดนนั้ เราพดู รวมๆไปกแ็ ลว้ กนั วา่ เหน็ กายมนั ทกุ ขน์ ะ ไมใ่ ชเ่ ราทกุ ข ์ เหน็ ใจมนั โกรธ ไมใ่ ชเ่ รา
รู้ ทั น กิ เ ล ส 125 โกรธ การเห็นอย่างน้ีจะเป็นบาทฐานไปสู่วิปัสสนา คือเห็น ความจริง ความจริงท่ีไม่มีเราต้ังแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้น จึงช่วยท�ำให้ความทุกข์ลดน้อยลง เพราะว่าต่อไปนี้ไม่มีเรา เปน็ ผทู้ กุ ข ์ ความทกุ ขท์ เี่ กดิ ขน้ึ เราคนื ใหร้ ปู และนาม คนื ให้ ธรรมชาติไป แต่ก่อนน้ีโง่ แต่ก่อนน้ีหลง ก็ไปเหมาเอาความทุกข์ ของรปู ของนามมาเปน็ ของเรา บางทกี ไ็ ปเหมาเอาความทกุ ข์ ของกิเลสมาเป็นของเราด้วย กิเลสมันโมโห กิเลสมันโกรธ กิเลสมันเสียหน้า ก็ไปเหมาเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็น ความทกุ ขข์ องเรา วา่ กโู มโห กโู กรธ กเู สยี หนา้ นบั วา่ เราโง่ แทๆ้ อยดู่ ๆี ไมว่ า่ ด ี ยงั ไปเหมาเอาความทกุ ขข์ องรปู และนาม หรือความทุกข์ของกิเลสมาเป็นของกู แต่พอเรามีสติรู้ เรา ไม่เหมาไม่แบกให้เหนื่อยเปล่าๆ เราวาง เราคืนให้เจ้าของ คืนความทุกข์ให้รูปและนามไป หรือคืนความทุกข์ให้ ธรรมชาติไป จะคนื ความทกุ ขใ์ หก้ ิเลสไปกไ็ ด้ การทเี่ รามสี ต ิ รทู้ นั กเิ ลส ทำ� ใหก้ เิ ลสเบาบางและดบั ไป บางคนอาจจะถามว่า ท�ำไมโกรธ รู้ว่าโกรธแล้วท�ำไมยัง ไม่หายโกรธ อันนี้เป็นเพราะสติยังไม่กล้าแข็งรวดเร็ว คือ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 126 สตเิ กดิ ขน้ึ มาแวบเดยี ว ไมใ่ ชส่ ตทิ ต่ี ง้ั มน่ั อกี เหตผุ ลหนงึ่ กค็ อื พอรู้ว่าความโกรธเกิดขึ้น ก็มีความรู้สึกเจือปนอยู่ลึกๆว่า ไม่พอใจ อยากจะใหค้ วามโกรธหายไป พดู อีกอย่างหนงึ่ คอื เกิดโทสะต่อความโกรธ สังเกตไหม มันเกิดโทสะต่อความ โกรธ เกิดโทสะต่อความหงุดหงิด เวลาหงุดหงิดเกิดขึ้น ก็ ไม่พอใจความหงุดหงิด เวลาความโกรธเกิดข้ึน ก็ไม่พอใจ ความโกรธ มันโกรธซ้อนโกรธ เม่ือเป็นอย่างนี้ ความโกรธ จะหายไปได้ยังไง ในเมื่อสติที่เรามี เป็นสติท่ีไม่บริสุทธิ์ ลว้ นๆ แตเ่ จอื ไปดว้ ยความโกรธ เพราะฉะนน้ั จงึ เกดิ ปญั หาวา่ รตู้ วั วา่ โกรธแลว้ แตท่ ำ� ไมยงั ไมห่ ายโกรธ นนั่ เพราะสตทิ มี่ ไี มใ่ ช่ สติที่บริสุทธิ์แต่เจือด้วยโทสะต่อความโกรธนั้นๆ ก็เท่ากับ ซ้�ำเติมหรือสาดน้�ำมันเข้ากองไฟ แล้วความโกรธจะหาย ไปได้อย่างไร แต่ถ้าเรามีสติท่ีบริสุทธิ์ล้วนๆ ท่ีเป็นกลาง ก็ จะท�ำให้จิตต้ังมั่น ไม่ถล�ำเข้าไปในความโกรธหรือปรุงให้ ความโกรธเพิ่มพูนข้ึน เพราะว่าเมื่อไม่มีโทสะเจือปนอยู่ กจ็ ะดบั ความโกรธไดง้ า่ ย พดู อกี อยา่ งคอื ดบั สนทิ ไมเ่ กดิ ขนึ้ มาอีก เหมือนกับดับไฟด้วยน้�ำบริสุทธิ์ ไม่มีน�้ำมันเจือปน ไฟนั้นย่อมดบั ไปในทส่ี ุด
รู้ ทั น กิ เ ล ส 127 เราไม่สามารถเลือกได้ ว่าจะต้องมสี งิ่ ดๆี เกิดขนึ้ กับชวี ติ ของเรา แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมให้มนั มอี ทิ ธิพลต่อชีวิตจติ ใจเราแค่ไหน
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 128
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 129 รู้ใจ ก็ไรท้ กุ ข์ เวลาเรามีเพ่ือน เราก็อยากได้เพ่ือนท่ีรู้ใจ เวลาเรา ท�ำงานก็อยากได้ลูกน้องท่ีรู้ใจ เวลาเรามีแฟน มีคู่ครอง ก็ อยากได้แฟน หรือคู่ครองที่รู้ใจ เวลาเรามีความทุกข์ เราก็ อยากใหค้ นเหน็ ใจเรา แตว่ า่ เราเคยถามตวั เราเองบา้ งหรอื เปลา่ วา่ ทเ่ี ราเรยี กรอ้ งใหใ้ ครมารใู้ จ ใหใ้ ครมาเหน็ ใจ แลว้ ตวั เราเองละ่ เคยคิดจะรู้ใจตัวเองบ้างไหม เคยคิดจะเห็นใจตัวเองบ้าง หรือเปลา่
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 130 เราเรยี กรอ้ งกนั มาก ใหใ้ ครตอ่ ใครมาเหน็ ใจ มารใู้ จเรา แต่ทำ� ไมเราไม่คิดท่ีจะรู้ใจหรือเห็นใจตัวเองบ้าง เม่ือไม่รู้ใจ ไม่เห็นใจตัวเอง แต่กลับไปเรียกร้องแสวงหา หรือว่าไป กะเกณฑ์ให้ใครต่อใครมารู้ใจ หรือเห็นใจเรา จะเป็นไปได้ อย่างไร อยากถามว่าระหว่างคนข้างนอกที่จะมารู้ใจเรา หรือตัวเราเองที่รู้ใจตัวเอง อะไรท่ียากกว่ากัน ถ้าเราไม่รู้ใจ ตวั เองแลว้ จะใหค้ นอน่ื มารใู้ จเราไดอ้ ยา่ งไร ถา้ เราไมเ่ หน็ ใจ ตวั เองแลว้ เราจะใหค้ นอนื่ มาเหน็ ใจเราไดอ้ ยา่ งไร สว่ นใหญ่ เวลาใครๆบอกวา่ อยากใหค้ นอน่ื มารใู้ จเรา กม็ กั จะหมายถงึ วา่ อยากใหเ้ ขารคู้ วามตอ้ งการของเรา รวู้ า่ จะปรนเปรอ หรอื ตอบสนองความต้องการของเราอย่างไร น้ีเรียกว่ารู้ใจเรา ถา้ ไดอ้ ย่างน้นั ก็ดีอยู ่ แตว่ า่ สิง่ ท่เี ราควรจะทำ� ให้ได้ ก็คอื ร้ใู จ ตัวเอง รูเ้ ทา่ ทนั ความรู้สกึ นกึ คดิ ของตัวเอง เวลาเราโกรธ เราเคยรู้ใจตัวเองไหม ว่าก�ำลังโกรธ เวลาเราเกลยี ด เรารทู้ นั ความเกลยี ดในใจเราไหม เวลาเราเบอ่ื เราเศรา้ เราเคยร้ทู ันความเบอื่ ความเศรา้ ทงั้ ๆทมี่ นั เกดิ ข้นึ อยู่กลางใจเราหรือเปล่า รู้ใจอย่างน้ีแหละที่ส�ำคัญกว่าการ ไปกะเกณฑ์ให้ใครต่อใครมารู้ใจเรา และมักจะเป็นอย่างนี้ คอื พอคนอนื่ ไมร่ ใู้ จเรา เชน่ เพอื่ นไมร่ ใู้ จเรา ลกู นอ้ งไมร่ ใู้ จเรา
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 131 คู่ครองคนรักไม่รู้ใจเรา เรามักจะโกรธ แต่เราไม่เคยคิดที่ จะรู้ใจตัวเอง เม่ือเกิดความโกรธเน่ืองจากคนอ่ืนไม่รู้ใจเรา ทงั้ ๆทม่ี นั เผาลนจติ ใจเราอย ู่ เราเหน็ บา้ งหรอื เปลา่ เราปลอ่ ย ใหค้ วามโกรธเผาลนใจเปน็ วนั เปน็ คนื เราเคยคดิ อยากจะรใู้ จ ตัวเองบ้างไหม เป็นเพราะเราไม่รู้ใจตนเองเวลาความโกรธ เกิดข้ึน เราจึงปล่อยให้ความโกรธเผาลนจิตใจจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรอื ถึงกบั ล้มป่วย บางครง้ั อยดู่ ไี มว่ า่ ด ี กำ� ลงั สบายๆ กำ� ลงั สงบๆ กไ็ ปเกบ็ เอาความโกรธมาใส่ตัว มาใส่ใจของเรา ด้วยการไปคิดถึง เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว อาทิตย์ท่ีแล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว หรือสิบปีท่ีแล้ว ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง แล้วยังรู้สึกว่า
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 132 สมควรทเี่ ราจะโกรธคนนน้ั คนน ้ี เพราะเขาไมด่ กี บั เรา คนนนั้ อาจจะเปน็ พ ่ี เปน็ นอ้ ง เปน็ เพือ่ น หรอื แม้แต่เปน็ พ่อเป็นแม่ เราคดิ วา่ เขามหี นา้ ทที่ จ่ี ะตอ้ งเอาใจเรา เขามหี นา้ ทท่ี จ่ี ะตอ้ ง รใู้ จเรา เมอื่ เขาไมท่ ำ� หนา้ ทน่ี ี้ เรากส็ มควรโกรธ เรามเี หตผุ ล ท่ีจะโกรธ กิเลสมันสรรหาเหตุผลมาเพื่อท่ีจะสนับสนุน ค�้ำจุน รองรับความโกรธ เราก็เลยเล้ียงความโกรธเอาไว้ เหมือนกับเลี้ยงไฟ ให้มันเผาลนจิตใจเรา ถามว่าเวลาโกรธ เราทุกข์ไหม ใครๆก็ย่อมรู้ว่าทุกข์ แล้วท�ำไมยังให้ความ โกรธเผาลนใจอยู ่ อยา่ งนี้จะเรียกวา่ เห็นใจตัวเองหรอื เปลา่ เราอยากให้คนอื่นเห็นใจเรา แต่เราไม่เห็นใจตัวเอง เราท�ำร้ายตัวเองบ่อยๆไป วันละหลายๆคร้ัง เราอยากให้ คนอนื่ ทะนถุ นอมเรา อยากใหค้ นอน่ื นมุ่ นวล ออ่ นโยนกบั เรา แต่เรากลับซ้�ำเติมตัวเองด้วยการเอาความโกรธ เอาความ เกลยี ด เอาความโศก ความเศรา้ มาเผา มาทม่ิ แทง บางที น้อยเนื้อต่�ำใจ ก็เอาความน้อยเน้ือต่�ำใจมาเผา มาทิ่มแทง มากรดี ใจของเรา อยา่ งนเี้ รียกวา่ เราเห็นใจตัวเองหรือเปล่า ท่ีจริงถ้าเรารักตัวเอง เห็นใจตัวเอง เราก็ต้องไม่ท�ำ อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ส่ิงแรกท่ีควรท�ำ คืออย่าเอา
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 133 ทุกข์มาทับถมตัว แต่เราท�ำอย่างนี้กับตัวเองทุกวันๆ เวลา เป็นทุกข์เรามักจะโทษคนน้ันคนนี้ ว่าท�ำไม่ดีกับเรา แต่ถ้า ใจเราไม่เปิดรับ หรือไม่ร่วมมือ จะทุกข์ได้อย่างไร เขาจะ พดู อะไร เขาทำ� อะไร นน้ั เปน็ เรอ่ื งของเขา ถา้ ใจเราไมส่ มยอม ไม่ร่วมมือ ก็ไม่มีทางท�ำให้เราทุกข์ได้ โดยเฉพาะทุกข์ใจ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าใจเราไม่เปิดรับ หรือร่วมมือ สมยอมให้ สงิ่ ภายนอกมาเลน่ งานใจเรา จะเปน็ คำ� พดู จะเปน็ การกระทำ� ของใครกต็ าม ยอ่ มจะทำ� อะไรจติ ใจเราไมไ่ ด ้ อยา่ งมากกท็ ำ� กบั ทรัพย์สมบัติของเรา หรือจะท�ำกับร่างกายของเรา แต่ว่า ไม่สามารถจะท�ำให้ใจเราทุกข์ได้ ของหาย ก็เป็นเร่ืองของ นอกตัว หรือแม้แต่จะมาท�ำให้เราเจ็บเราปวด ก็สักแต่ว่า รา่ งกายทป่ี วดแตไ่ มส่ ามารถจะทะลทุ ะลวงมาถงึ ใจได ้ หรอื ทำ� ใหใ้ จเราเจบ็ ปวดได ้ ถา้ ใจเราไมเ่ ปดิ รบั ไมอ่ า้ แขน ไมร่ ว่ มมอื ด้วยการเอาสงิ่ ท่ีเขาทำ� นน่ั แหละ มาทมิ่ แทงตวั เราเอง กายกส็ ว่ นหนง่ึ ใจกส็ ว่ นหนง่ึ อะไรเกดิ ขน้ึ กบั กาย ไมไ่ ด้ แปลว่าใจต้องทุกข์ด้วย เราได้ยินอะไร เราเห็นอะไร เราได้ กลิ่นอะไร ไม่ได้แปลว่า ใจเราก็จะต้องกระเพ่ือมตามสิ่งที่ เราไดเ้ หน็ ไดย้ นิ ไดฟ้ งั มนั มชี อ่ งวา่ ง และมรี ะยะหา่ งอย ู่ ลอง สังเกตดูเมื่อเกิดผัสสะข้ึนมา เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 134 จมูกได้กล่ิน แม้ว่าเราจะได้เห็นส่ิงท่ีไม่งาม จมูกได้กลิ่นที่ ไมห่ อม หไู ดย้ นิ เสยี งดงั หรอื กายไดร้ บั สมั ผสั ทแี่ สบรอ้ น ไมไ่ ด้ แปลวา่ พอเหน็ ไดย้ นิ ไดส้ มั ผสั ปบุ๊ ใจตอ้ งทกุ ขป์ บ๊ั ถงึ แมว้ า่ จะเกดิ ทุกขเวทนาข้ึนทกี่ าย ก็ยังไมส่ ามารถทำ� ให้ทุกข์ใจได้ ถ้าเราไม่ยินร้ายกับผัสสะท่ีเกิดขึ้น เม่ือเกิดผัสสะข้ึน ได้ยิน ได้เห็น ได้ฟัง เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดทุกขเวทนา เช่น หู ได้ยินเสียงดังต้องเกิดทุกขเวทนาขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกขเวทนา ทางใจ ถ้าจะเกิดความทุกข์ทางใจต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ข้ันท่ีหน่ึง คือเกิดความยินดียินร้ายก่อน เม่ือยินดียินร้าย แลว้ หากยังปล่อยให้ปรุงต่อไป กก็ ลายเปน็ การยดึ ตดิ การ ผลักไส ถ้ายินดีเราก็ไขว่คว้า ถ้ายินร้ายเราก็ผลักไส จิตท่ี ผลักไสหรือไขว่คว้า ก็จะท�ำให้เกิดอาการดิ้นขึ้นมา คือถ้า อยากได้ อยากไขว่คว้าก็ดิ้นเพื่อไปครอบครอง ทุกข์ต้ังแต่ ตอนท่ีใจด้ินอยากจะได้ อยากครอบครอง หรือพอผลักไส รงั เกยี จ ปฏเิ สธ จติ กด็ นิ้ เพอ่ื ผลกั ออกไป ทง้ั หมดนที้ ำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ข ์ เมอื่ ยนิ ดยี นิ รา้ ย แลว้ ไขวค่ วา้ ผลกั ไส สงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ตามมาคือทกุ ข์ใจ หรือเกดิ ความรู้สกึ ว่ากทู ุกข์นะ
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 135 จากชว่ งทเี่ กดิ ทกุ ขเวทนาทางกาย แดดรอ้ น รอ้ นกาย หรือว่าได้ยินเสียงกระทบ ก่อนท่ีจะมาเกิดเป็นความรู้สึกว่า กูทุกข์หรือทุกข์ใจ ต้องผ่านอีก ๓-๔ ข้ันตอน ตามหลัก ปฏจิ จสมปุ บาท พอเกดิ ผสั สะแลว้ กเ็ กดิ เวทนา เกดิ เวทนาแลว้ กม็ ตี ณั หา อปุ าทาน ภพ ชาต ิ ชรา มรณะ แลว้ ถงึ เกดิ ทกุ ขข์ น้ึ ขอให้สังเกตว่ามีก่ีขั้นตอน จากเวทนา แล้วก็ตัณหา ความ อยาก ทง้ั อยากไดแ้ ละอยากผลกั ออกไป เกดิ อปุ าทาน ความ ยึดติด ไมว่ า่ ยดึ ตดิ สง่ิ ทชี่ อบหรอื สงิ่ ทไี่ มช่ อบ กย็ ดึ ตดิ ทงั้ นน้ั แล้วเกิดความปรุงแต่งข้ึนมาเป็นชาติ คือเกิดความรู้สึกว่า มีตัวกูเกดิ ขน้ึ ตวั กผู อู้ ยาก ตวั กผู เู้ ครยี ด ตวั กผู โู้ กรธ กโู กรธ กูเครียด แล้วก็จะปรุงไปเป็นชรา มรณะและทุกขโทมนัส ตามล�ำดับ สรุปคอื มีหลายขนั้ ตอน สรุปง่ายๆ คือว่าพอเกิดผัสสะ เกิดทุกขเวทนาขึ้นมา กเ็ กดิ ความยนิ ด ี ยนิ รา้ ย แลว้ กเ็ กดิ การผลกั ไส ไขวค่ วา้ เกดิ การดนิ้ มนั ไมใ่ ชแ่ คผ่ ลกั ไสทใี่ จ แตย่ งั มพี ฤตกิ รรมแสดงออก มาดว้ ย เชน่ อยากได ้ อยากครอบครอง เปน็ การกระทำ� ออก มา หรอื วา่ ผลกั ไสออกไป ผลกั ไสดว้ ยคำ� พดู บา้ ง ถา้ ใชค้ ำ� พดู แล้วยังไม่ไป ก็ต่อยตี ทุบตีท�ำร้าย ท้ังหมดนี้ก็เป็นกระบวน การทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ขข์ นึ้ คอื กทู กุ ข ์ แตไ่ มไ่ ดแ้ ปลวา่ เมอ่ื
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 136 เกิดทุกขเวทนาทางกายแล้ว จะท�ำให้เกิดทุกข์ทางใจโดย อัตโนมัติ มันต้องผ่านหลายข้ันตอน เร่ืองนี้เป็นสิ่งส�ำคัญ ท่ีเราควรรู้จัก เพราะว่าถ้าเรามีสติรู้ทัน แม้จะมีความยินดี ยนิ รา้ ย แตพ่ อมสี ตริ คู้ วามยนิ ด ี รคู้ วามยนิ รา้ ย รทู้ นั ทเี่ รยี ก วา่ รใู้ จ คอื รคู้ วามยนิ ดยี นิ รา้ ย รชู้ อบ รชู้ งั กห็ ลดุ กว็ างได ้ ก็ จะไมป่ รงุ แตง่ จนเกดิ ความรสู้ กึ วา่ กทู กุ ข ์ หรอื เกดิ ความทกุ ข์ ใจขนึ้ ไมม่ กี ารสำ� คญั มน่ั หมายวา่ ความทกุ ขใ์ จทเี่ กดิ ขน้ึ เปน็ ของกู มีกเู ป็นผู้ทกุ ข์ เพราะฉะน้ันเม่ือเกิดเหตุการณ์ท่ีไม่ดีกับเรา แม้จะมี คนไม่รู้ใจเรา แม้จะมีคนพูดไม่ถูกหูเรา แม้จะมีคนต�ำหนิ เรา แม้จะมีคนมาท�ำร้ายเรา แม้จะเจ็บป่วย มันก็จะหยุด อยู่เพียงที่กาย จะไม่ลามต่อมาท่ีใจ ถ้ามีสติรู้ คือรู้ใจ จะ ไมเ่ กดิ กระบวนการปรงุ แตง่ เปน็ ยนิ ดยี นิ รา้ ย เกดิ การไขวค่ วา้ ผลักไส หรือยึดอยาก ถ้าไม่มีส่ิงเหล่าน้ีก็ไม่เกิดความทุกข์ ข้ึนมา ตรงนี้ส�ำคัญมาก หมายความว่าสิ่งแวดล้อม หรือ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่จ�ำเป็นจะต้องท�ำให้เรา ทกุ ขใ์ จ ตรงนแี้ หละคอื กญุ แจทจี่ ะนำ� ไปสอู่ สิ รภาพ คนเราถา้ ไม่มีตรงนี้ ก็กลายเป็นทาสของส่ิงแวดล้อม เขาด่ามา เรา ก็โกรธ เขาต�ำหนิเรา เราก็ทุกข์ หรือว่าเจอแดด เราก็ร้อน
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 137 ไม่ใช่ร้อนกายอย่างเดียว ร้อนใจด้วย เจ็บป่วย เราก็ทุกข์ เรากลายเป็นทาสของส่ิงแวดล้อม ทุกวันน้ีเรารู้ตัวไหม เรา สังเกตไหมว่าเราเป็นทาสส่ิงแวดล้อม คือเราจะสบายได้ ก็ ต่อเมื่ออยู่ในท่ีที่สงบ เย็นสบาย แต่หากรอบตัวเรามีเสียง อึกทึก ก็ไม่สงบแล้ว นักปฏิบัติธรรมหลายคน พอมีเสียง อึกทึกรอบตัว จิตใจก็ว้าวุ่นแล้ว น้ีไม่ใช่เป็นการปฏิบัติท่ี ถูกต้อง เพราะการปฏิบัติที่ถูกต้อง สิ่งรอบตัวเป็นอย่างไร ใจก็เป็นกลางได้ ใครจะร้อง ใครจะบ่น ใครจะส่งเสียงดัง อย่างไร ใจเรายังเป็นปกติ แต่ถ้าเราไม่มีสติ จะปฏิบัติไม่ถูก เราจะคอยพ่ึงพา สง่ิ แวดลอ้ ม เราจะคอยพง่ึ พาผคู้ นรอบตวั วา่ ตอ้ งพดู ดๆี กบั ฉันนะ ต้องไม่ส่งเสียงดังนะ ต้องเดินเบาๆนะ ไม่ปิดประตู เสยี งดงั นะ ตอ้ งไมน่ นิ ทาฉนั นะ ตอ้ งรใู้ จฉนั นะ ขอถามวา่ เรา จะเจอคนอยา่ งนต้ี ลอดเวลาไดท้ ไี่ หน แมแ้ ตเ่ รายงั ไมร่ ใู้ จตวั เอง แลว้ จะใหค้ นอนื่ รใู้ จ หรอื ปฏบิ ตั ดิ ๆี กบั เราไดอ้ ยา่ งไร แมแ้ ต่ เรายงั ไมร่ จู้ กั ถนอมจติ ใจของเราเลย แลว้ จะใหค้ นอนื่ ถนอม จติ ใจเราไดอ้ ยา่ งไร และในเมอ่ื เราตอ้ งเจอคนไมน่ า่ รกั อยเู่ สมอ เราไม่พลอยต้องทุกข์ใจไปทกุ เรื่องเพราะคนเหลา่ น้ีหรอื
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 138 ทกุ วนั นเ้ี ราตกอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจของสง่ิ แวดลอ้ ม ไมว่ า่ จะเปน็ ผคู้ น ไมว่ า่ จะเปน็ ดนิ ฟา้ อากาศ หรอื เหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื ง รวมทง้ั ขา่ วสาร บางทกี ไ็ มต่ า่ งจากหมาหลายตวั ทว่ี ดั ปา่ มหาวนั หรือภูหลง เวลาตีระฆัง ท�ำวัตรเช้า ท�ำวัตรเย็น พอตีปุ๊บ มันหอนปั๊บเลยนะ ตีปุ๊บหอนปั๊บ ตีถี่หอนถี่ ตียาวหอนยาว มนั หา้ มตวั เองไมไ่ ด ้ กลายเปน็ ทาสของระฆงั เราเปน็ อยา่ งน้ี บ้างหรือเปล่า พอคนพูดจาไม่ดีกับเรา เราโกรธทันที พอ คนต�ำหนิเราปุ๊บ เราฉุนทันที เป็นอัตโนมัติเลย คนท่ีมา วัดป่ามหาวัน เห็นหมาหอนอย่างน้ีก็หัวเราะ ว่าหมามัน กลายเปน็ ทาสของระฆงั ไป แตห่ ากมาดใู จตวั เองบา้ ง จะพบ วา่ บอ่ ยครง้ั เรากเ็ ปน็ อยา่ งนน้ั เหมอื นกนั เพยี งแตว่ า่ เราไมไ่ ด้
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 139 มีปฏิกิริยากับเสียงระฆัง เรามีปฏิกิริยาทันทีกับเสียงพูด เสยี งตำ� หนิ หรอื การกระทำ� ของคนอื่นทีเ่ ห็นทางตา ถา้ เราไมป่ ฏบิ ตั ิ ไมร่ จู้ กั ดใู จตวั เองกจ็ ะเปน็ อยา่ งน ี้ เรา จะกลายเป็นทาสของส่ิงแวดล้อม แต่ถ้าเรารู้จักดูจิต ดูใจ จะไมเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั จะมกี ารแบง่ เลยวา่ โลกภายนอก เขาทำ� กับเราก็อย่างหนึ่ง แต่ว่าจิตใจของเรานั้นก็จะมีปฏิกิริยาอีก แบบหนง่ึ เมอื่ ถงึ ตอนนนั้ เรากจ็ ะไมท่ กุ ขก์ บั เสยี งพดู ของผคู้ น เรากลับมองว่า มันดีด้วยซ�้ำ เพราะเรามีสติ มีปัญญาพอท่ี จะเข้าใจ หลวงพ่อท่านหนึ่งพูดว่า คนฉลาด คนดี ใครปา ขห้ี มาให้ กก็ ลายเปน็ ดอกไม้ ทา่ นพดู สน้ั ๆกระชบั ดี ใครปา ขห้ี มาใหก้ ก็ ลายเปน็ ดอกไม้ หมายความวา่ ใครจะพดู ใคร จะด่าอย่างไร กลับกลายเป็นดี ซึ่งเราท�ำได้นะ แม้แต่คนที่ ไกลวัด เขากย็ ังท�ำได ้ ถา้ มกี ารรู้เท่าทันจิตใจตนเอง เจ้าของเมืองโบราณ เสียชีวิตไปนานแล้ว เขาพูดว่า “วนั ไหนไมถ่ กู ตำ� หน ิ วนั นน้ั เปน็ อปั มงคล” คำ� ตำ� หนทิ ำ� อะไร เขาไม่ได้เลย กลับกลายเป็นของดี ไม่ใช่แค่เป็นกลางนะ กลับกลายเป็นของดี อันน้ีก็เปรียบเหมือนขี้หมากลายเป็น ดอกไม ้ อกี คนทพ่ี ดู นา่ สนใจ บางคนอาจจะรจู้ กั ชอื่ ตอ๋ ง ศษิ ย-์
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 140 ฉ่อย เมื่อย่ีสิบปีก่อนโด่งดังมาก เป็นนักเล่นสนุ้กเกอร์ แล้ว ก็ดังไวมาก อายุ ๑๒ ปีสามารถชนะแชมป์โลกได้ แต่ไม่ได้ แข่งแบบทางการ อายุไม่ถึง ๒๕ เขาติดอันดับ ๑ ใน ๓ ของโลก เกง่ กวา่ ภราดร ศรชี าพนั ธอ์ุ กี ภราดรแค ่ ๑ ใน ๑๐ ของโลก ตอ๋ ง ศษิ ยฉ์ อ่ ยพงุ่ เรว็ มาก แลว้ ตอนหลงั เขากต็ กเรว็ เด๋ียวนี้หลายๆคนก็ไม่รู้จักเขาแล้ว แต่เมื่อเร็วๆน้ีเขาก็เป็น ขา่ วอกี เพราะเขากลบั มาสวู่ งการใหม่ มคี นไปถามเขาหลาย เรอ่ื ง ถามถงึ ชวี ติ ของเขาในชว่ ง ๒๐ ปที ผ่ี า่ นมาหลงั จากทต่ี กตำ่� คนเราเวลาตกต่�ำ มันตกต่�ำจริงๆนะ นอกจากฝีมือจะตก แลว้ นะ ธรุ กจิ ทล่ี งทนุ ไปหลาย ๑๐ ลา้ น กถ็ กู เพอื่ นโกง แลว้ ยงั ถกู สอื่ มวลชนวจิ ารณ ์ แตก่ อ่ นสอ่ื มวลชนชน่ื ชมเขา ตอนหลงั กว็ จิ ารณเ์ ขาเสยี ๆหายๆ แตเ่ ขาพดู ไวน้ า่ สนใจวา่ สอื่ มวลชน วจิ ารณเ์ ขาถอื วา่ เปน็ เหมอื นอาจารย ์ เขาบอกวา่ ถา้ เราผา่ น คำ� วจิ ารณ์ไม่ได้ เราก็ไม่มีทางเจรญิ เพราะฉะน้ันค�ำวิจารณ์จากสื่อมวลชน หรือจากใคร ก็ตาม ขอให้ถือว่าเป็นเสมือนอาจารย์ อย่างนี้เรียกว่าเขา เปลยี่ นขห้ี มาใหก้ ลายเปน็ ดอกไม ้ ไมเ่ ปน็ ทาสของคำ� วพิ ากษ์ วจิ ารณห์ รอื ความเหน็ ของคนภายนอก อนั นเี้ ขาร ู้ เขาเขา้ ใจ ตรงนี้ได้ส่วนหน่ึง เพราะเขาปฏิบัติธรรม ได้ไปบวชก็เร่ิม
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 141 เข้าใจว่าชีวิตไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ท�ำให้เขาท�ำใจได้ จากการทเ่ี ขาพงุ่ ขนึ้ สงู สดุ แลว้ กต็ กลงมา เขาบอกวา่ มนั กเ็ ปน็ ธรรมชาติ ธรรมดา เขาใช้ค�ำน้ีบ่อยมาก มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา มนั ไมม่ อี ะไรทเี่ ทยี่ งแทย้ ง่ั ยนื ไมม่ อี ะไรทจี่ รี งั สมยั กอ่ นคนบอกวา่ เขาหลบั ตาแทงยงั ลงหลมุ เลย แตเ่ ดยี๋ วนแี้ ทง หลายครง้ั กไ็ มถ่ กู พวกรนุ่ พคี่ นอน่ื ๆทำ� ใจไดไ้ หม แตต่ อ๋ งพดู วา่ หากรุ่นน้องเขาเก่งกว่าเรา เราไม่ควรอิจฉาหรือไม่พอใจ ตอ้ งมองใหเ้ หน็ วา่ ด ี โลกจะเจรญิ กา้ วหนา้ ได้ กเ็ พราะวา่ คลนื่ ลูกใหม่ไลค่ ลืน่ ลูกเกา่ พวกเราทเี่ ปน็ นักปฏิบตั ิ บางทีรนุ่ นอ้ งเขาปฏบิ ตั ิธรรม ไดด้ กี วา่ เรากเ็ รมิ่ เขมน่ แลว้ ไมว่ า่ จะเปน็ พระเปน็ ช ี บางทเี รา ท�ำใจไม่ได้ รุ่นน้องปฏิบัติธรรมได้ดีกว่า มีความฉะฉานใน เร่ืองธรรมะมากกว่า แต่ว่าคนอย่างต๋องเข้าใจ เขามองเป็น เร่ืองดีด้วยซ�้ำ แสดงว่าใจเขาเริ่มเป็นอิสระจากส่ิงแวดล้อม ภายนอก คอื ใครจะเกง่ กวา่ เขากไ็ มไ่ ดท้ กุ ขอ์ ะไร คนจำ� นวน มาก ถ้าคนอ่ืนเก่งกว่าเรา เราทุกข ์ เพราะเราไม่มีมุทติ าจิต เพราะเราไม่มีสติรู้ทันความอิจฉาหรือความโกรธ แล้วก็จะ เป็นทุกข์เรื่อยไป คนเราเก่งแค่ไหน ก็ต้องมีคนท่ีเก่งกว่า เรยี กวา่ เหนอื ฟา้ ยงั มฟี า้ เพราะฉะนน้ั ถงึ แมจ้ ะเกง่ คดิ วา่ กเู กง่
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 142 แต่ว่าลึกๆก็ยังรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะมีคนที่เก่งกว่า แล้วเรา จะมคี วามสุขไดอ้ ยา่ งไร หากคิดแบบนี้ แต่ถ้าเรามีสติ อะไรเกิดข้ึนกับเรา อะไรเกิดข้ึนกับ ทรัพย์สมบัติของเรา กับช่ือเสียงเกียรติยศของเรา เราก็ ไมท่ กุ ข ์ เพราะรวู้ า่ เปน็ อนจิ จงั ไมท่ กุ ข ์ เพราะวางความยดึ ตดิ ถอื มนั่ วา่ มนั เปน็ ของเราได้ หรอื ไมท่ กุ ขเ์ พราะรเู้ ทา่ ทนั ความ ยินร้าย หรือความไม่พอใจที่เกิดข้ึน ตรงนี้คือความหมาย ที่แท้ของค�ำว่าอินทรียสังวร เราสวดมนต์ มีตอนหน่ึงพูดถึง ส�ำรวมในอินทรีย์ ส�ำรวมในทวาร คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า สำ� รวมในตา ห ู จมกู ลน้ิ กาย ใจ คอื วา่ คมุ ตา คมุ ห ู คมุ จมกู คมุ ลน้ิ นนั่ ไมใ่ ชค่ วามหมายของอนิ ทรยี สงั วร หรอื ความสำ� รวม ในอินทรีย์ ความส�ำรวมในอินทรีย์หมายความว่า เมื่อตา เหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง จมกู ไดก้ ลนิ่ ลนิ้ ไดร้ ส ไมว่ า่ จะเปน็ บวก เปน็ ลบ ใจกไ็ มก่ ระเพอื่ มไหว คอื ไมย่ นิ ด ี ยนิ รา้ ย เมอ่ื ไดเ้ สพ ของอร่อย ได้เห็นของดี หรือได้รับค�ำชม ใจก็ไม่กระเพื่อม หรอื ฟ ู เมอ่ื ถกู ตำ� หน ิ หรอื เมอื่ เจอสง่ิ ทท่ี ำ� ใหใ้ หเ้ กดิ ทกุ ขเวทนา ใจก็ไม่แฟบ น่ีแหละคือความหมายของอินทรียสังวร ซ่ึงจะ ท�ำให้เราสามารถทรงใจให้เป็นปกติได้ แม้จะอยู่ท่ามกลาง สง่ิ แวดลอ้ มทเี่ ปน็ ตรงกนั ขา้ ม เราอยา่ ไปเรยี กรอ้ งสง่ิ แวดลอ้ ม
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 143 ทสี่ งบ ทดี่ ี ทส่ี ะดวกสบายเลย เพราะถา้ เรามวั แสวงหา โดย คดิ วา่ เมอื่ สง่ิ แวดลอ้ มดแี ลว้ ใจเราจะดไี ปดว้ ย อนั นน้ั เรากำ� ลงั พาตวั เขา้ ไปเปน็ ทาสของสง่ิ แวดลอ้ ม นกั ปฏบิ ตั ไิ มก่ ะเกณฑ์ สง่ิ แวดลอ้ ม ไมว่ า่ จะเปน็ ผคู้ น ดนิ ฟา้ อากาศ หรอื เหตกุ ารณ์ บา้ นเมอื งวา่ จะตอ้ งถกู ใจเรา หรอื จะตอ้ งมคี นรใู้ จเรา เพราะ เราเรยี นรทู้ ่ีจะรู้จักดูใจของตวั เอง ถ้าเปน็ อยา่ งน้ี ก็จะทำ� ให้ เราเปน็ อิสระตอ่ สิง่ แวดล้อมได้มากขึน้ ตามล�ำดับ เราไม่สามารถเลือกได้ ว่าจะต้องมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับ ชวี ติ ของเรา ไมว่ า่ จะรำ่� รวยมาจากไหน ไมว่ า่ จะยงิ่ ใหญแ่ คไ่ หน เราไมม่ สี ทิ ธก์ิ ะเกณฑ ์ หรอื ควบคมุ บงั คบั หรอื เลอื กไดว้ า่ จะ ต้องมีส่ิงดีๆเกิดข้ึนกับเราตลอดเวลา แม้จะเป็นผู้มีอ�ำนาจ แค่ไหนก็ยังมีคนนินทาเรา แม้จะดีแค่ไหน ก็ยังมีคนต�ำหนิ ติเตียน เช่นพระพุทธเจ้า ก็ยังมีคนต�ำหนิติเตียนพระองค์ ไม่มีทางท่ีเราจะเลือกให้เกิดเหตุการณ์ดีๆกับเราได ้ แต่เรา เลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจเราแค่ไหน เชน่ เขาดา่ มา ใจเราไมท่ กุ ข ์ เรากท็ ำ� ได ้ หรอื วา่ เขาแกลง้ เรา เขาโกงเรา ใจเราไม่หว่ันไหว เราท�ำได้นะ อันน้ีคือสิ่งที่เรา เลอื กได ้ กายเจบ็ กายปว่ ย แตใ่ จสงบได ้ อนั นเี้ ราเลอื กไดน้ ะ เราท�ำไดน้ ะ
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 144 เราเลอื กไดว้ า่ จะยอมใหส้ ง่ิ ภายนอกมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ใจเรา แคไ่ หน และเราเลอื กไดว้ า่ จะมปี ฏกิ ริ ยิ ากบั มนั อยา่ งไร สอง ข้อน้ีส�ำคัญมาก เราอย่าไปเผลอ อย่าไปผิดทาง คือคิดจะ ไปควบคมุ บงั คบั เรยี กรอ้ ง กะเกณฑใ์ หต้ อ้ งมสี ง่ิ ดๆี เกดิ ขน้ึ กบั เราตลอดเวลา เวลาเราทำ� บญุ อธษิ ฐาน เรามกั จะเรยี กรอ้ ง สิ่งนี ้ ขอใหร้ วย ขอใหป้ ระสบความสำ� เร็จ ขอใหม้ ีคนรักที่ดี ขอใหม้ กี ารงาน เจา้ นายทดี่ ี เราเรยี กรอ้ งใหเ้ กดิ สงิ่ ดๆี เกดิ ขนึ้ กับชีวิตของเราท้ังนั้นเลย แต่เราไม่เคยถาม ไม่เคยเรียนรู้ หรอื ใสใ่ จกบั การฝกึ ฝนใหต้ วั เองมคี วามสามารถทจ่ี ะเลอื กวา่ จะให้ส่ิงภายนอกมามีอิทธิพลต่อเราแค่ไหน หมายความว่า ถึงแม้จะจน ถึงแม้จะท�ำงานไม่ส�ำเร็จ ถึงแม้จะเจ็บจะป่วย เรากเ็ ลอื กไดว้ า่ จะทกุ ขห์ รอื สขุ กบั มนั เราเลอื กไดน้ ะ และเรา ยงั เลอื กไดว้ า่ จะมปี ฏกิ ริ ยิ ากบั มนั อยา่ งไร แตเ่ ราไมค่ อ่ ยยอม เลือก ๒ อย่างหลังเท่าไหร่ เราคิดแต่จะไปเลือกอย่างแรก คือขอให้มีส่ิงดีๆเกิดขึ้นกับเรา ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ความส�ำเรจ็ เปน็ ตน้
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 145 นนั่ คอื ความหลงอยา่ งหนงึ่ เพราะวา่ ในโลกน ้ี ไมม่ อี ะไร ที่จะเป็นไปตามใจเรา ถูกใจเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะ ยง่ิ ใหญแ่ คไ่ หน ถา้ เรายอมรบั วา่ ทกุ อยา่ งไมแ่ นน่ อน อะไรๆ กม็ ดี แี ละมรี า้ ยควบคกู่ นั แตไ่ มว่ า่ เกดิ อะไรขน้ึ เรากจ็ ะกลบั มา ดูใจตัวเอง แม้เจอเร่ืองร้ายๆ เราจะท�ำใจอย่างไรก็ต้อง มีสติ แม้จะเกิดทุกขเวทนาขึ้นกับกายก็ไม่ปรุงแต่ง จนเกิด ความรสู้ กึ วา่ กทู กุ ข์ หรอื เกดิ ความทกุ ขใ์ จ ตรงนเ้ี ราเลอื กได้ ต้องอาศัยการรู้ทัน อย่างท่ียกตัวอย่าง เด็กผู้หญิงท่ีขนของ ข้ึนรถไฟ เพ่ือนๆ ทิ้งให้เธอขนของขึ้นรถไฟคนเดียว พิธีกร ก็ไปถามว่าหนูไม่นึกโกรธ ไม่คิดจะด่าว่าเพ่ือนท่ีท้ิงให้เรา ทำ� คนเดยี วหรอื เดก็ ๑๒ ขวบ เขาตอบดวี า่ “หนขู นของขนึ้ รถไฟ หนูก็เหนื่อยอย่างเดียว ถ้าหนูโกรธหรือ ไปด่าว่าเขา หนูก็เหน่ือย ๒ อย่าง” เด็กพูดอย่างนี้ได้ เพราะว่าเธอรู้ว่า ถ้าโกรธแล้ว มันทุกข์ใจ ไม่ใช่แค่ทุกข์กายอย่างเดียว ทุกข์ กายเพราะวา่ ขนของขน้ึ รถไฟ แตท่ กุ ขใ์ จเพราะโกรธ เพราะ คิดจะไปด่าว่าเพ่ือน หรือเพราะคิดว่า ไม่ยุติธรรม ไม่แฟร์ ถกู กนิ แรง เดก็ รเู้ ลยวา่ ถา้ คดิ แบบน ี้ ใจจะทกุ ข ์ อนั นแ้ี สดงวา่ เดก็ เขารใู้ จตนเอง เมอื่ รใู้ จแลว้ กเ็ ลอื กเลยวา่ ฉนั ขอเหนอื่ ย อย่างเดยี วดกี ว่า คอื เหนือ่ ยแค่กาย
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 146 คนเราเลอื กไดน้ ะวา่ จะเหนอื่ ยอยา่ งเดยี ว หรอื จะเหนอื่ ย ๒ อย่าง เวลาป่วย เราเลือกได้ว่าจะทุกข์อย่างเดียว หรือ ทุกข์ ๒ อย่าง ทุกข์อย่างเดียวคือทุกข์กาย ทุกข์ ๒ อย่าง คอื ทกุ ขท์ ง้ั กาย ทกุ ขท์ งั้ ใจ เราเลอื กไดว้ า่ เราจะเอาทกุ ขอ์ ยา่ ง เดียว หรือจะเอาทุกข์สองอย่าง เวลาของหาย เราเลือกได้ ว่าเราจะเสียอย่างเดียวคือเสียของ ส่วนใจไม่เสีย แต่ถ้า ไม่มีสติ ไม่รู้ใจเลย ก็จะไปคว้าเอาทุกข์ ๒ อย่าง เอาปวด ๒ อย่าง แล้วเราก็ก่นด่าชะตากรรม หรือโทษเพื่อนว่า เอาเปรียบเรา หรือโทษคนนี้ว่าพูดจาไม่ดีกับเรา แต่เป็นเรา ต่างหาก ที่เลือกคว้า ๒ อย่างเอง การเจริญสติส�ำคัญมาก ถา้ เราไมม่ สี ตริ ทู้ นั เรากจ็ ะทำ� รา้ ยตวั เราเอง สงิ่ ทเี่ ราไมช่ อบ นนั่ แหละ ใจเรากจ็ ะไปควา้ มาทม่ิ แทงตวั เรา เราไมไ่ ดไ้ ขวค่ วา้ มาเฉพาะสง่ิ ทเี่ ราชอบ แตแ่ มก้ ระทง่ั สงิ่ ทเ่ี ราไมช่ อบ เรากย็ ดึ เอาไวไ้ ม่ยอมปลอ่ ย ญาตขิ องอาตมาคนหนงึ่ บา้ นของเขากค็ งเหมอื นกบั บา้ น หลายๆบ้านในกรุงเทพ คือว่าคนหนึ่งเชียร์สีเหลือง แตอ่ กี คนหนงึ่ เชยี รส์ แี ดง คนพสี่ าวเชยี รเ์ สอื้ เหลอื ง ชว่ งนนั้ คอื เดอื น เมษา เสอ้ื แดงมกี ารชมุ นมุ กนั ทสี่ นามหลวงและทห่ี นา้ ทำ� เนยี บ นอ้ งสาวเชยี รเ์ สอื้ แดง กน็ งั่ จอ้ งดโู ทรทศั น ์ ทร่ี ายงานขา่ วการ
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 147 ชมุ นมุ ของเสอื้ แดง พสี่ าวมาเหน็ นอ้ งจอ้ งดโู ทรทศั น์ กต็ อ่ วา่ นอ้ งสาววา่ ไปดมู นั ทำ� ไมไอพ้ วกน ้ี นอ้ งสาวรำ� คาญ ไมอ่ ยาก ตอ่ ลอ้ ตอ่ เถยี ง ก็เลยเดินออกจากทนี่ ัน่ ไป หนึ่งชว่ั โมงต่อมา นอ้ งสาวกลบั มาตรงหอ้ งทดี่ โู ทรทศั น์ ปรากฎวา่ พสี่ าวกลบั มา นง่ั ดแู ทน พสี่ าวเชยี รเ์ สอื้ เหลอื ง พสี่ าวไมช่ อบเสอ้ื แดง แตว่ า่ จดจอ้ งดโู ทรทศั น ์ รายงานขา่ วเรอื่ งเสอ้ื แดง ดไู ปกด็ า่ ไป แสดง วา่ ทกุ ข ์ แตเ่ มอื่ ทกุ ขแ์ ลว้ ไปดทู ำ� ไม เขาปลดเปลอ้ื งจติ ใจจาก จอโทรทศั นไ์ มไ่ ด ้ ทง้ั ๆทดี่ ไู ปกท็ กุ ขไ์ ป เหน็ พวกเสอื้ แดงกด็ า่ ว่า แต่ไม่ยอมละสายตาจากจอโทรทศั น์ ทั้งๆทไ่ี ปบอกนอ้ ง สาววา่ ดมู นั ทำ� ไม แตต่ วั เองกลบั จอ้ งดตู าไมก่ ระพรบิ แลว้ ก็ ดไู ปดา่ ไป เราเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่เป็นกรณี เสอ้ื เหลอื ง เสอ้ื แดง แตว่ า่ เวลาเราเกลยี ดใคร เรากจ็ ะนกึ ถงึ คนๆนนั้ เวลามงี านเลยี้ ง คนเปน็ รอ้ ย ถา้ เกดิ คนทเี่ ราเกลยี ด ขห้ี นา้ เดนิ เขา้ มาในหอ้ งนนั้ สายตาเราจะไปจดจอ้ งคนๆนน้ั เลย เขาเดินไปทางไหน เราก็จะจดจ้องดูเขา ก็ในเมื่อเรา ไม่ชอบเขา แล้วไปสนใจเขาท�ำไม ไปจ้องเขาท�ำไม น่ีเรียก วา่ เปน็ ความยดึ ตดิ อกี แบบหนง่ึ ทง้ั ๆทใ่ี จมนั อยากจะผลกั ไส เพราะความโกรธ เพราะโทสะ ทันทีที่เราอยากจะผลักไส
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 148 เราก็ยึดติด ความยึดอยาก และความผลักไสแม้จะเป็น ส่ิงตรงข้ามกัน แต่มันมาด้วยกัน เหมือนกับความอยากกับ ความไมอ่ ยากกจ็ ะมาดว้ ยกนั ถา้ อยากประสบความสำ� เรจ็ ก็ จะกลวั ความลม้ เหลวในเวลาเดยี วกนั ถา้ อยากรวยกจ็ ะรสู้ กึ กลัวความยากจน มันจะมาค่กู นั ตลอดเวลา การผลักไสกับ การไขว่คว้า การยึดติดกับการปฏิเสธ มันเป็นฝาแฝดที่มา ดว้ ยกนั นะ อยากรวยกก็ ลวั จน อยากดงั กก็ ลวั ไมด่ งั ความกลวั เหลา่ นแ้ี หละจะคอยรบกวนใจเรา ยงิ่ เราพยายามผลกั ไส มนั กย็ ง่ิ ผุดโผล่และรงั ควานเราไม่หยดุ ความเศร้าก็เหมือนกัน เพ่ือนคนหนึ่งเล่าให้ฟัง ว่าได้ จดหมายจากเพอ่ื นชายทเ่ี ธอแอบชอบอย ู่ แตว่ า่ จดหมายฉบบั นั้นไม่ได้ตอบสนองความรักของเธอ เธออ่านจดหมายเสร็จ ก็เศร้าซึม ระหว่างน้ันเอง มีเพ่ือนอีกคนหนึ่งมากดกริ่งท่ี หน้าบ้าน แล้วก็ตะโกนชวนเธอไปเท่ียว พอเธอได้ยินเพ่ือน เรยี ก เธอรสู้ กึ หงดุ หงดิ ไมพ่ อใจขนึ้ มาทนั ท ี นกึ ในใจวา่ เวลาสขุ ก็ไม่สมหวัง เวลาจะทุกข์ยังมีคนมารังควานอีก เธอรู้สึก อย่างนี้เพราะเธออยากจะจมอยู่ในความทุกข์ต่อไป นี้เป็น เพราะอะไร เพราะวา่ ความทกุ ขม์ นั มรี สชาติ มนั มแี รงดงึ ดดู ท้ังๆที่ไม่ชอบความเศร้า แต่ว่ามันมีแรงดึงดูด คนที่ไม่รู้ใจ
รู้ ใ จ ก็ ไ ร้ ทุ ก ข์ 149 กอ็ ยากจะจมอย่ใู นความทกุ ข์ เขาไมร่ ้วู า่ กำ� ลังทำ� ร้ายตวั เอง ความเศร้ามันดีนักหรือ ถึงคลอเคลีย ถึงไปลุ่มหลง ถึงไป จมปลักอยู่กับมัน ไม่ใช่นะ แต่ว่าเป็นเพราะความไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวเพราะไม่รู้ใจ เมื่อไม่รู้ใจ ก็เลยไม่เห็นใจตัวเอง จึง ทำ� รา้ ยตวั เอง ทมิ่ แทงตวั เอง ซำ�้ เตมิ ตวั เอง และเรากไ็ ปโทษ คนโนน้ คนน้ีว่าท�ำให้เราทุกข์ เพราะฉะนนั้ ถงึ เวลาแลว้ ทเี่ ราจะเลกิ เรยี กรอ้ งคนโนน้ คนนี้ให้เห็นใจเรา ให้รู้ใจเรา ตรงกันข้ามเราควรหันมารู้ใจ ตนเองดว้ ยการหมนั่ ดใู จตนเสมอ ถา้ เราไมด่ ใู จเรา ไมร่ ใู้ จเรา ก็จะกลายเป็นทาสของอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ สง่ิ แวดลอ้ มจะกลายเปน็ โทษแกเ่ รา ทำ� รา้ ยเรา ทง้ั ๆทจ่ี รงิ ๆ แล้ว เป็นเพราะใจเราเปิดหรือยอมให้ส่ิงนั้นมาท�ำร้ายเรา มากกวา่ อยา่ ลมื นะวา่ เราไมส่ ามารถจะเลอื กสง่ิ ดๆี ใหเ้ กดิ ขน้ึ กับเราได้ แต่เราเลือกได้ ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อเรา แคไ่ หน มีเด็กคนหน่ึงน่าประทับใจมาก เป็นเด็กไต้หวันช่ือ โจวตา้ กวน อายแุ ค ่ ๑๐ ขวบเอง เปน็ มะเรง็ ทขี่ า ตอ้ งรกั ษา ด้วยเคมีบำ� บัด ๗ ครั้ง ฉายแสงอีก ๓๐ ครั้ง สุดท้ายก็ต้อง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158