Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Sa-ngobJit_Sawangjai

Sa-ngobJit_Sawangjai

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-16 07:26:44

Description: Sa-ngobJit_Sawangjai

Search

Read the Text Version

สงบจิต  สว่างใจ พระไพศาล  วสิ าโล



www.visalo.org www.kanlayanatam.com ชมรมกลั ยาณธรรม หนังสือดีลำ� ดับที ่ ๓๐๘ พิมพ์ครัง้ ท ี่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗  จ�ำนวนพิมพ ์ ๕,๐๐๐ เล่ม จัดพมิ พโ์ ดย  ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชยั  ตำ� บลปากน�ำ้  อำ� เภอเมอื ง  จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ภาพประกอบ หอยทากตวั นน้ั ปก / รปู เลม่  คนขา้ งหลงั  ตดั คำ�  อะตอ้ ม พสิ จู นอ์ กั ษร ทมี งานกลั ยาณธรรม อนเุ คราะหก์ ารพมิ พโ์ ดย บรษิ ทั อมรินทรพ์ ร้นิ ติง้ แอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกดั  (มหาชน)  ๖๕/๑๖ ถนนชยั พฤกษ์ (บรมราชชนนี) เขตตลิ่งชนั  กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐  โทร. ๐-๒๔๒๒-๙๐๐๐ สัพพทานงั  ธัมมทานงั  ชินาติ การใหธ้ รรมะเป็นทาน ย่อมชนะการใหท้ ัง้ ปวง

คํ า ป ร า ร ภ คุณหมออัจฉรา กล่ินสุวรรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม แจ้ง  ความประสงคข์ อตพี มิ พห์ นงั สอื เรอื่ ง สงบจติ  สวา่ งใจ เพอื่ เผยแพรเ่ ปน็   ธรรมทาน อาตมายินดีอนญุ าตและขออนุโมทนาในกุศลจริยาดงั กลา่ ว หนงั สอื เลม่ นม้ี ที ม่ี าจากการบรรยายธรรมหลงั ท�ำวตั รเชา้ และเยน็   แก่คณะเจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาลเลย ที่เข้าร่วมการอบรมเพ่ือพัฒนาจิต  ทวี่ ดั ปา่ สคุ ะโต จงั หวดั ชยั ภมู  ิ เมอ่ื ป ี ๒๕๕๐  ตอ่ มาไดม้ กี ารนำ� คำ� บรรยาย  ธรรมดงั กลา่ วมตี พี มิ พเ์ พอ่ื เผยแพรแ่ กผ่ ูส้ นใจในปถี ัดมา การบรรยายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการอบรมซึ่งมีกิจกรรมท ี่ หลากหลาย เช่น การเจริญสติ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ และ  กระบวนการกลุ่ม ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการรู้จักตนเองในมิติท ี่ ลกึ ซงึ้ ขน้ึ จนเขา้ ใจทมี่ าแหง่ ความทกุ ข์ และสามารถแกท้ กุ ขใ์ หแ้ กต่ นเอง  ได้ รวมทั้งสามารถท�ำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข  กิจกรรม  เหล่าน้ีบางส่วนข้าพเจ้าได้เอ่ยถึงอย่างส้ันๆ ในค�ำบรรยาย ซ่ึงผู้ที่ไม่ได ้

รว่ มอบรมอาจจะไมเ่ ขา้ ใจวา่ หมายถงึ อะไร แตก่ ไ็ มไ่ ดเ้ ปน็ อปุ สรรคสำ� หรบั   การท�ำความเขา้ ใจกบั ค�ำบรรยายดังกลา่ ว สงบจติ  สวา่ งใจ นนั้  เปน็ จดุ หมายของการฝกึ ฝนตนในพทุ ธศาสนา  อันน�ำไปสู่ความสุขที่แท้  หากจิตไม่สงบ ใจไม่สว่าง ก็ยากท่ีจะพบกับ  ความสุขท่ีแท้ได ้  แม้มีเงินทองมากมาย มีอ�ำนาจมหาศาล ก็พบได้แต่  ความสขุ ชว่ั คราว ซง่ึ เจอื ไปดว้ ยโทษ สามารถทำ� รา้ ยตนเองและคนรอบ  ข้างได้  ผู้ที่ปรารถนาความสุขท่ีแท ้ จึงควรฝึกฝนตนให้เกิดความสงบ  และสวา่ งในจติ ใจ  สงิ่ ทเี่ กดิ ขน้ึ ตามมากค็ อื  จติ ทเี่ ปย่ี มดว้ ยเมตตา พรอ้ ม  จะชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู ผอู้ น่ื   ความสขุ ชนดิ นจี้ งึ กอ่ เกดิ ทงั้ ประโยชนต์ นและ  ประโยชน์ทา่ น ในการตพี มิ พค์ รงั้ น ี้ คณุ  “หอยทากตวั นนั้ ” กรณุ าทำ� ภาพประกอบ  ชว่ ยใหห้ นงั สอื นา่ อา่ นมากขน้ึ  สว่ นการจดั พมิ พ ์ ไดร้ บั ความอนเุ คราะห ์ จากบรษิ ทั อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ  จำ� กดั  (มหาชน) ขา้ พเจา้ ขอ  ขอบคณุ มา ณ ทน่ี ี้ หวังว่าหนังสือเล่มน้ีจะช่วยให้ผู้อ่านเกิดก�ำลังใจและแนวทางใน  การฝกึ ฝนตนจนสัมผสั ได้ถงึ ภาวะสงบจิต สว่างใจ วนั มหาปวารณา ๘ ตลุ าคม ๒๕๕๗ 4 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

คํ า นํ า ข อ ง ช ม ร ม กั ล ย า ณ ธ ร ร ม ความสงบ เปน็ กำ� ลงั เบอื้ งตน้  ทจ่ี ะชว่ ยฟน้ื ฟสู มรรถภาพของจติ ใจ โดย  การกลับมาอยู่กับใจเราเองให้ได้ก่อน เพื่อประจุพลังใจ ให้สามารถ  ด�ำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดความสงบแล้ว จึงจะ  ท�ำให้เกิดความสว่าง คือ ปัญญา ท่ีจะส่องน�ำทางชีวิตให้เห็นถูกตาม  ธรรม สงบเย็นแล้วเป็นประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ ริง ยากที่เราจะพบความสงบ หากเราไม่รู้จักหยุด รู้จักวาง  ยิ่งใน  สภาวะสังคมปัจจุบันน้ีท่ีมีความเจริญพัฒนาของเทคโนโลยี กลับย่ิง  ท�ำให้คนท่ีไม่ฝึกจิตใจ ย่ิงอ่อนแอลง เพราะเผลอเพลินใช้เทคโนโลย ี อย่างหลงๆ  แทนท่ีจะเป็นนายของเทคโนโลยี ทุกวันนี้เราใช้มันเพื่อ 

สนองกิเลสและตัณหา หรือใช้มันเพื่อเป็นเคร่ืองช่วยเก้ือกูลการพัฒนา  สติปัญญา ...นี่เป็นเรื่องท่ีต้องกลับมาทบทวนกันดู เพราะย่ิงนับวันที ่ เทคโนโลยกี า้ วไกล หวั ใจคนเรากลบั ยง่ิ หา่ งไกลจากความสงบ โดยไมต่ อ้ ง  พูดถึงความสวา่ ง ท่สี ่วนใหญแ่ ลว้ นบั วันจะริบหร่ีออ่ นแรงลงตามๆ กัน พระอาจารยไ์ พศาล วสิ าโล พระมหาเถระผไู้ มท่ อดทงิ้ สงั คม  ทา่ น  คอื ภมู ปิ ญั ญาของสงั คมมาโดยตลอด  ในทกุ ๆ งานทที่ า่ นใสใ่ จใหค้ วาม  ส�ำคัญ ล้วนเป็นงานที่เสียสละตนเพื่อความสงบสันติสุขของสังคมโดย  ธรรม  โดยสอดแทรกภาวนากิจของสมณะ เอ้ืออาทรต่อมิติแห่งจิต  วญิ ญาณของสงั คมอยา่ งไมเ่ หน็ แกค่ วามเหนด็ เหนอ่ื ย  ดง่ั เชน่ งานเขยี น  ชิ้นน้ีก็เป็นหนึ่งในหลักฐานจ�ำนวนมากท่ีแสดงถึงภารกิจของพุทธบุตร  ทมี่ น่ั คงตรงธรรมตลอดมา ธรรมะทที่ า่ นนำ� เสนอนน้ั  เปน็ ธรรมะรว่ มสมยั   ทอ่ี า่ นสนกุ  เขา้ ใจงา่ ย ไมม่ ศี พั ทแ์ สงภาษาบาลมี ากมาย แตเ่ นน้ ใหธ้ รรม สัมผัสใจของผู้ศึกษา ผู้อ่าน ผู้ฟัง มีตัวอย่างร่วมสมัยประกอบหลาก  หลาย จึงมีสาธุชนสนใจติดตามผลงานของท่านเป็นจ�ำนวนมาก  แม ้ เรอ่ื งนจี้ ะเปน็ งานหนง่ึ ทเ่ี คยตพี มิ พซ์ ำ้� แลว้ ซำ้� อกี  แตธ่ รรมอนั เปน็ อกาลโิ ก  กท็ นั สมยั เสมอ คณะผจู้ ดั ทำ� ชอบชอื่ เรอื่ งนมี้ าก สอ่ื ความหมายไดด้  ี “สงบจติ ” แลว้   ย่อมต้องมีภารกิจตามมาด้วยการท�ำใจให้สว่าง คือ “สว่างใจ”  หาก  เรารกั ความสงบอยา่ งเดยี ว เรามกั จะรงั เกยี จความไมส่ งบ และพาใจให้  ปฏิเสธสังคม  บางคนพอได้สมาธิสงบดี ก็ติดความสงบ พาลรังเกียจ  6 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

ผู้คนรอบตัวว่าวุ่นวาย ไม่มีสาระ ไม่มีธรรมะ ไม่น่าคบ  น่ันเป็นความ  เข้าใจผิด พระอาจารย์ท่านเป็นตัวอย่างของค�ำอธิบายธรรมน้ีได้ดีมาก  ท่านใช้ชีวิตวิเวกท่ามกลางป่าเขา ท่านเลือกท่ีจะอยู่ล�ำบากเพ่ืออนุรักษ ์ ธรรมชาติไวใ้ ห้นานทสี่ ุด  แต่พระอาจารยส์ ามารถส่งกระแสธรรมเป็น  ภมู ปิ ญั ญาของชาวไทยจากราวปา่ สใู่ จกลางเมอื ง สนู่ านาชาติ ตอ่ เนอ่ื ง  มามากกว่าสามทศวรรษ น่ีคือแบบอย่างของวิถีพุทธะท่ีแท้จริง  สิ่งที่เราพึงตระหนักคือ  พระพทุ ธเจา้ ทรงสำ� เรจ็ พทุ ธภาวะดว้ ย “ปญั ญา” และทรงสมั ฤทธพ์ิ ทุ ธกจิ   ด้วย “กรุณา”  ปัญญากับกรุณาต้องมาคู่กันเหมือนปีกท้ังสองของนก  อินทรีย์  แท้จริงพระองค์ไม่ได้สอนแค่ให้เรารักแค่ความสงบแล้วหยุด  แค่นั้น แต่ต้องการให้เรารู้จักหยุด รู้จักวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพ่ือให้จิต  เกดิ ความสงบงา่ ยขน้ึ  อนั จะเปน็ บาทฐานของความสวา่ ง คอื การเจรญิ   ปญั ญาตอ่ ไปตามลำ� ดบั  และเมอ่ื ผใู้ ดมปี ญั ญาเขา้ ถงึ ธรรมแลว้  ยอ่ มเปย่ี ม  ดว้ ยความเมตตา ไมท่ อดทง้ิ สงั คม รกั และเขา้ ใจในทกุ ข ์ เขา้ ใจในความ  ไมส่ มบรู ณแ์ บบของผู้อ่ืนได้มากขึ้น เสียสละประโยชน์สุขของตนได้มาก  ขนึ้  คดิ ถึงตวั เองน้อยลง และท�ำประโยชนต์ ่อผอู้ ื่นได้มากข้นึ ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาให้เห็นโทษของความยึดมั่นถือม่ัน ว่า  สิ่งใดท่ีเราเข้าไปยึดถือแล้วจะไม่ก่อให้เกิดโทษน้ัน ไม่มีในโลก (นตฺเถตํ  โลกสมฺ ยึ ํ อปุ าทยิ มานํ อนวชชฺ ํ อสสฺ ) เรยี กวา่ ทกุ ขเ์ พราะยดึ  ถา้ ไมย่ ดึ ก ็ ไมท่ กุ ข ์  พระพทุ ธองคต์ รสั วา่  ขนั ธ ์ ๕ เปน็ ภาระอนั หนกั  การปลอ่ ยวาง  7 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ภาระอนั นน้ั เสยี ได ้ เปน็ ความสขุ   ความยนิ ดพี อใจในขนั ธ ์ ๕ ชอื่ วา่ ยนิ ด ี ในทุกข์ เมื่อวางได้ก็คลายทุกข์ เป็นสุขง่าย เกิดความสงบได้ และม ี ปัญญาท�ำประโยชน์ตนประโยชน์ทา่ นไปตามล�ำดับ ชมรมกัลยาณธรรมขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ไพศาล  วสิ าโล ทเี่ มตตาใหจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื อนั ทรงคณุ คา่ นเ้ี พอ่ื แจกเปน็ ธรรมทาน  ขอขอบคุณทีมงานอาสาสมัคร ที่เสียสละทุกท่านที่มีส่วนสร้างสรรค์  งาน  ขอขอบคุณส�ำนักพิมพ์อมรินทร์พริ้นท์ติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด  (มหาชน) ทใี่ หค้ วามอนเุ คราะหจ์ ดั พมิ พเ์ ปน็ ธรรมทาน  ชมรมกลั ยาณ-  ธรรมหวงั วา่  สาธชุ นผใู้ ฝธ่ รรมจะไดร้ บั ประโยชนจ์ ากหนงั สอื นส้ี มความ  เมตตาของพระอาจารย์ และตามก�ำลงั สตปิ ญั ญาของทา่ น กราบขอบพระคณุ และอนุโมทนาบญุ ทุกท่าน ทพญ.อัจฉรา กล่นิ สุวรรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม 8 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

ส า ร บั ญ ความสขุ สองแบบ ๑๑ ประโยชน์สูงสุดของชวี ติ ๒๗ สุขทกุ ขอ์ ยทู่ ใ่ี จ ๔๕ ปลอ่ ยวางอดีต ยอมรับปัจจบุ ัน ๖๓ ตักน�้ำด้วยกระชอน ๘๕ เขา้ ถึงความงาม ความด ี และความจริง ๙๙ จากสตสิ ู่ปญั ญา ๑๑๙ ประวัตพิ ระไพศาล วสิ าโล ๑๓๔ 9 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล



ค ว า ม สุ ข ส อ ง แ บ บ ค่ำ� วนั ที ่ ๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๐ หลายทา่ นคงมคี �ำถามขน้ึ มาในใจวา่  “สคุ ะโต” นน้ั หมายถงึ อะไร เพราะฟังดเู ผนิ ๆ กเ็ หมอื นกับว่าความสุขทม่ี ันโต  แต่เมือ่ ได้มาสวด  มนต์ท�ำวัตร ถ้าได้พิจารณาตามก็คงจะทราบความหมาย  สุคะโต  หรอื  สคุ โต แปลวา่  ไปแลว้ ดว้ ยด ี เปน็ คณุ สมบตั อิ ยา่ งหนงึ่ ของพระ  พุทธเจ้า  บางคร้ังจึงมีผู้เรียกพระพุทธเจ้าว่า พระสุคต คือผู้ท่ีไป  แล้วด้วยดี

ทีนี้ก็จะมีค�ำถามว่าไปจากอะไร แล้วก็ไปสู่อะไร  ถ้าพูดอย่าง  สน้ั ๆ คอื ไปจากกเิ ลส หรอื วา่ ไปจากความทกุ ข ์ เพราะกเิ ลสกบั ความ  ทุกข์มันเป็นเรื่องเดียวกัน  และไปสู่อะไร ก็ไปสู่ความพ้นทุกข์ ไปสู ่ อสิ รภาพ  อสิ รภาพหรอื เสรภี าพ ไมใ่ ชเ่ ปน็ สง่ิ ทเี่ ราคน้ พบเมอ่ื เรว็ ๆ น ้ี คนมักจะคิดว่าเม่ือรู้จักกับฝรั่ง เราจึงค่อยมารู้จักค�ำว่า เสรีภาพ  อิสรภาพ  อันน้ันมันเป็นเสรีภาพหรืออิสรภาพในทางการเมือง  หรอื ทางภายนอก  แตว่ า่ ชาวพทุ ธเรารจู้ กั อสิ รภาพอยา่ งนอ้ ยกเ็ ขา้ ใจ  ความหมายของอสิ รภาพ โดยเฉพาะอสิ รภาพภายในมา ๒ พนั กวา่ ป ี มาแลว้ พระพทุ ธเจา้ ทรงเปน็ ผคู้ น้ พบหนทางสอู่ สิ รภาพนนั้   หนทางน ้ี เปดิ เผยตอ่ โลก ตอ่ มนษุ ยชาตมิ าเกอื บ ๒,๖๐๐ ปแี ลว้   อกี  ๕ ปขี า้ งหนา้   คอื ป ี พ.ศ. ๒๕๕๕ กจ็ ะครบ ๒,๖๐๐ ป ี  เพราะพระพทุ ธเจา้ ไดแ้ สดง  ธรรมมา ๔๕ ปี ก่อนปรินิพพาน บวก ๒๕๕๐ เท่ากับว่าถึงตอนน ้ี พทุ ธศาสนามอี าย ุ ๒๕๙๕ ปแี ลว้   อกี  ๕ ป ี กค็ รบรอบ ๒๖ ศตวรรษ  ทีพ่ บเสน้ ทางแหง่ อสิ รภาพท่ีปรากฏต่อมนุษยชาติ  นบั วา่ เปน็ เวลา  ที่นานพอสมควร พูดอย่างภาษาชาวบ้าน สุคะโต คือ มุ่งไปสู่สุขอันประเสริฐ  ไปสู่สภาวะอันพ้นทุกข์  แต่เดี๋ยวนี้พอพูดถึงค�ำว่าพ้นทุกข์ คนก็จะ  12 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

ไมส่ นใจเทา่ ไหร ่ แตส่ นใจความสขุ มากกวา่   พดู ถงึ หา่ งไกลจากทกุ ข์  มันมีเสน่ห์น้อยกว่าพูดถึงการได้พบความสุข  ยุคนี้เป็นยุคท่ีผู้คน  แสวงหาความสุขกันมาก  เราไม่ได้คิดเพียงแต่ว่า ทำ� อย่างไรจึงจะ  มีทุกขน์ อ้ ยลง แตจ่ ะทำ� ใหม้ คี วามสขุ มากๆ ถ้าหวังเพียงแค่มีความทุกข์น้อยลง เราก็จะพบว่าเพียงแค่มี  ปัจจัยสี่ เพียงแค่มีสุขภาพดี เพียงแค่ได้กินอิ่ม นอนอุ่น ก็พอแล้ว  กับการเข้าถึงภาวะเช่นน้ัน ภาวะท่ีมีทุกข์น้อยลง  แต่ว่าสมัยนี้ เรา ตอ้ งการมากกวา่ นน้ั   เราตอ้ งการความสขุ   ตอ้ งการความสขุ มากๆ  ด้วย  ไม่ใช่ทุกข์น้อยลงอย่างเดียว  ก็เลยท�ำให้เจอกับความทุกข ์ มากข้นึ   เพราะยงิ่ แสวงหาความสุขมากเทา่ ไหร ่ ความสขุ มนั ยิง่ จะ  ห่างเหินไปเรื่อยๆ อย่างที่เราสังเกตได้  อะไรก็ตามที่เราอยากได ้ มากๆ อยากได้ไวๆ มันก็จะห่างไกลจากเง้ือมมือของเราไปทุกทีๆ  พูดงา่ ยๆ คอื ยิ่งอยากไดย้ ่งิ ไม่ได้  แตพ่ อไมอ่ ยากไดก้ ็กลบั ได้ขนึ้ มา คนทอี่ ยากไดค้ วามรกั จากพอ่ จากแมห่ รอื จากครู่ กั  หลายคนก็  พบวา่  ยง่ิ อยากไดย้ งิ่ ไมไ่ ด ้  เพราะพออยากไดก้ ไ็ ปพยายามเรยี กรอ้ ง  ความรกั จากเขา  หนกั เขา้ กก็ ลายเปน็ การคาดคนั้   พอไปเรยี กรอ้ ง  ความรักจากเขาได้มาแล้วไม่พอใจ ก็เรียกร้องมากข้ึน จนกระท่ัง  ฝา่ ยหนง่ึ รสู้ กึ อดึ อดั  รสู้ กึ วา่ ถกู คกุ คาม หรอื ถกู เรยี กรอ้ งมากไป เขา  13 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ก็เลยถอยห่าง  เราคงเห็นได้จากชีวิตของคนจ�ำนวนมาก เราเองก็ คงเคยประสบ  ยงิ่ เรยี กรอ้ งมากเทา่ ไหรก่ ย็ ง่ิ ไมไ่ ด ้  เพราะการเรยี ก ร้องของเรามนั ไปคกุ คาม หรอื สร้างความอึดอัดใหก้ ับอกี ฝา่ ยหน่ึง แตว่ า่ พอเราไมเ่ รยี กรอ้ งเพราะพอใจในสงิ่ ทม่ี  ี ยง่ิ กลบั ได ้  พระ  พุทธเจ้าเป็นตัวอย่างชัดเจน  ท่านสละโลก สละทรัพย์ ช่ือเสียง  อ�ำนาจ บริษัท บริวาร เป็นผู้สละโลก  พูดง่ายๆ ไม่เรียกร้องไม่  ต้องการ  แต่ปรากฏว่า โลกทั้งโลกก็กลับมาสยบอยู่แทบพระบาท  ของพระองค์  ย่ิงไม่ได้กลับได้  ย่ิงสละโลกแต่กลายเป็นผู้ชนะโลก  เรียกวา่ ย่ิงกว่าจักรพรรดิ จกั รพรรดเิ ขาพยายามแผอ่ ำ� นาจ เขา้ ไปครอบครองขยายอาณา  เขตให้กว้างไกลท่ีสุด แต่ว่าในท่ีสุด ก็สูญเสียไป ไม่เคยได้อย่างที ่ ต้องการ  เราทราบดีแล้วว่า พระพุทธเจ้าได้กำ� เนิดมาเป็นเจ้าชาย  สิทธัตถะ  ปุโรหิตทั้งหลายก็บอกว่า มีอนาคตอยู่ ๒ ทาง คือเป็น  จกั รพรรด ิ หรอื วา่ เปน็ พระพทุ ธเจา้  หรอื จกั รพรรดใิ นทางธรรม  ใน  ท่ีสุดพระองค์ก็เป็นอย่างหลัง  การท่ีได้เป็นอย่างหลังทำ� ให้โลกอยู ่ ในอำ� นาจของพระองค์ก็ว่าได ้ โดยที่พระองคไ์ มไ่ ด้แสวงหา 14 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

ยอ้ นกลบั มาเรอื่ งทพ่ี วกเราหรอื คนจำ� นวนมากตอ้ งการความสขุ   ไมไ่ ดส้ นใจวา่ อยากใหค้ วามทกุ ขน์ อ้ ยลง  แตอ่ ยากไดค้ วามสขุ มากๆ  แต่ว่าความสุขที่ต้องการเรารู้จักดีพอหรือยัง  อาตมาม่ันใจว่า  สว่ นใหญย่ งั ไมเ่ ขา้ ใจความสขุ ดพี อ ทง้ั ๆ ทมี่ นั คอื ยอดปรารถนาของ  เรา  ความสุขที่เรารู้จัก ที่เราแสวงหา มันเป็นความสุขชนิดหนึ่ง  เทา่ นน้ั เอง  คนเรามกั คดิ วา่ ความสขุ มอี ยา่ งเดยี วในโลกน ี้ แตท่ จี่ รงิ   ความสุขในโลกน้อี ย่างน้อยกแ็ บง่ ออกเป็น ๒ อย่าง ความสุขอย่างแรกเป็นความสุขท่ีคนท่ัวไปรู้จัก แล้วก็คิดว่า  มีอยู่เท่านั้น  ถ้าพูดอย่างสรุปก็คือความสุขจากการกระตุ้นเร้า  ผัสสะ กระตุ้นเร้าทางตา กระตุ้นทางหู ทางกายส่งไปถึงใจ  ลอง  สังเกตดูเถอะ ส่ิงที่คนปรารถนา เป็นความสุข หรือเป็นท่ีมาของ  ความสุข เช่น อาหารที่อร่อย เพลงท่ีเพราะ ภาพยนตร์หรือหนัง  ที่สนุก หรือว่ากล่ินที่หอม  รสสัมผัสท่ีให้ความสุข ทั้งหมดน้ีมี  สง่ิ หนง่ึ ทเี่ หมอื นกนั  คอื มนั ทำ� หนา้ ทกี่ ระตนุ้ ลนิ้  กระตนุ้ ตา กระตนุ้ หู  กระตุ้นจมูก กระตุ้นสัมผัสทางกาย อาหารท่ีอร่อย คืออาหารท่ีมีรสชาติ  ถ้าจืดก็ต้องเติมพริก  เติมน�้ำปลา หรือเติมมะนาวเข้าไป  ทั้งหมดนี้ท�ำหน้าที่กระตุ้นลิ้น  น้�ำตาลก็เช่นเดียวกัน  เพลงก็เพราะ เพราะมันไปกระตุ้นหูของเรา  15 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ถ้าเพลงจังหวะเรื่อยๆ เอื่อยๆ มันไม่เพราะ  มันต้องมีจังหวะ  กระแทกกระทน้ั   บางคนยงิ่ กระแทกกระทนั้ มากเทา่ ไหรย่ ง่ิ ด ี  โดย  เฉพาะวัยรุ่น ถ้าฟังเพลงเรื่อยๆ เอื่อยๆ มีโน้ตเดียว จังหวะเดียว  ก็ถอื วา่ ไมเ่ พราะ ไมใ่ ห้ความสุข หนังที่ให้ความสุขกับเราคือหนังท่ีตื่นเต้น  ย่ิงวัยรุ่น เด็กๆ  ตอ้ งการมกี ารต่อส ู้ ชงิ รัก หักสวาท ประเภทบู๊ลา้ งผลาญ  หนงั ผีท่ี  คนชอบดกู เ็ พราะสยองขวญั  ตน่ื เตน้  เรา้ ใจ  อะไรทไ่ี มต่ น่ื เตน้ เรา้ ใจ  ไมถ่ อื วา่ ความสขุ   สงั เกตดเู ถอะวา่ ความสขุ ทค่ี นสว่ นใหญป่ รารถนา  ลว้ นเกดิ จากการกระตนุ้ ผสั สะ โดยเฉพาะความสขุ ทางเพศกม็ าจาก  การกระตนุ้ ผัสสะทางกายนัน่ เอง  ไมม่ ีอะไรมากไปกวา่ นี้ สตทิ ำ� ใหร้ ู้อาการของใจ แต่ปัญญาท�ำให้เราร้สู จั ธรรมความจรงิ ของชวี ิต  รวมทั้งของจิตของใจดว้ ย เมอื่ ร้เู ช่นนี้เราก็จะเขา้ ถึงความสงบ เปน็ ความสงบภายในท่ีไม่อาศัยสง่ิ แวดล้อมภายนอก น่แี หละคอื ที่พระพทุ ธเจ้าทรงค้นพบ 16 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

คนจ�ำนวนหนง่ึ กช็ อบไปเทย่ี วหา้ ง เพอื่ อะไร  บางคนไมม่ เี งนิ   แตไ่ ปเพอื่ จะไดเ้ หน็ อะไรทตี่ นื่ ตาตน่ื ใจ  ของทว่ี างขายอยไู่ มม่ เี งนิ ซอื้   ก็จริงแต่ตื่นตาต่ืนใจ  มีการกระตุ้นเร้าสายตาของเรา และมีเสียง  เพลงกระตุ้นเข้าไปอีก  อันน้ีก็รวมไปถึงว่าท�ำไมคนอยากได้เงิน  อยากมเี งนิ เยอะๆ  มเี ทา่ ไหรก่ ไ็ มร่ จู้ กั พอ เพราะวา่ เงนิ มนั ทำ� ใหเ้ กดิ   ความรู้สึกต่ืนเต้นโดยเฉพาะเวลาได้มา  ถ้าเงินกองอยู่เฉยๆ มัน  ไม่ค่อยต่ืนเต้นนะ  แต่พอได้มาใหม่ๆ รู้สึกว่ามีอ�ำนาจมากข้ึน  มัน  กระตนุ้ เรา้ ผสั สะ  กระตนุ้ เรา้ ทใี่ จเพราะวา่ เกดิ อยากมอี �ำนาจขนึ้ มา  หรือเกดิ ความรสู้ กึ ตน่ื เตน้ คนมเี งนิ ทำ� ไมชอบซอ้ื หวย เลน่ เบอร ์ แมจ้ ะแทงไมม่ าก  คำ� ตอบ  คือต้องการความต่ืนเต้น  ถึงจะเงินเยอะแต่ไม่มีความสุขเท่ากับ ตอนวันท่ี ๑ กับวันที่ ๑๖ เพราะลุ้นว่าจะถูกล็อตเตอรี่ไหม  การได้ ลุน้ กท็ �ำใหม้ คี วามสขุ อยา่ งหน่งึ การดบู อลกเ็ ปน็ การกระตนุ้ เรา้ ผสั สะในตวั อยแู่ ลว้  เพราะมนั ม ี ความตน่ื เตน้   แตค่ นจำ� นวนไมน่ อ้ ยกต็ อ้ งการความตนื่ เตน้ มากกวา่   นนั้  จงึ พนนั บอล  สบิ บาทยสี่ บิ บาทกเ็ อา  เพราะวา่ การพนนั มหี นา้   ที่กระตุ้นเร้า ไม่ใช่ตา หู จมูก ล้ิน กาย เท่าน้ัน จิตใจก็ต่ืนเต้นด้วย  นเ่ี ปน็ เหตผุ ลวา่ ทำ� ไมวยั รนุ่ จงึ ชอบไปรว่ มแกง๊ รถซง่ิ   ในสายตาของ  17 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

เราไม่น่าจะใช่ความสุขเลย ฟังเพลง กินข้าว อาหารอร่อยๆ ยังมี  ความสขุ มากกวา่   แตว่ ยั รนุ่ เหลา่ นเี้ ขา้ ไปหาเพราะมนั ตน่ื เตน้ เรา้ ใจ  มนั เส่ยี งอันตรายดี จะสงั เกตวา่ ความสขุ ทอี่ าตมาพดู มาทง้ั หมดน ี้ ถงึ แมม้ วี ธิ หี ลาก  หลายแตกตา่ งกนั ออกไป แตม่ หี นา้ ทอ่ี ยา่ งเดยี วคอื  เรา้ จติ  กระตนุ้ ใจ  กระตุ้นผัสสะมากบ้าง น้อยบ้าง  ปัญหาคือว่า ความสุขแบบนี้ได้  เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ  มันได้เท่าไรก็อยากได้มากอีก  เพราะอะไร  เพราะกระตุ้นมากๆ ใจก็ชินชาหรือด้าน  ของอะไรท่ีถูกกระตุ้น  มากๆ กจ็ ะดา้ น  เหมอื นผวิ หนงั ของเราถา้ ถกู อะไรมากๆ มนั กจ็ ะดา้ น  เมื่อมันด้านมันก็ไม่มีความรู้สึก  ต้องเพ่ิมน�้ำหนักเข้าไปอีกให้มัน  มคี วามรู้สกึ ชวี ติ ของเราถา้ ไดร้ บั การกระตนุ้ มากๆ ดว้ ยรปู  รส กลนิ่  เสยี ง  ในท่ีสุดก็จะด้าน ชิน  เมื่อชินแล้วต้องเพิ่มปริมาณมากข้ึนเหมือน  คนกนิ เหลา้  สบู บหุ ร ี่ ตดิ กาแฟ  ใหมๆ่  กก็ นิ นอ้ ย บหุ ร ่ี เหลา้  กาแฟ  ไปท�ำหน้าที่กระตุ้นเหมือนกัน คือกระตุ้นประสาท แต่หากกระตุ้น  มากๆ เข้า มันก็เริม่ ชิน เร่ิมด้าน 18 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

มกี ารศกึ ษาทางประสาทวทิ ยาพบวา่  กลไกทางประสาทของเรา  ท�ำหน้าท่ีลดผลกระทบของสารเคมี  พูดง่ายๆ คือ ท�ำให้ประสาท  รบั รขู้ องเรามนั ดา้ นขน้ึ  ทำ� ใหต้ อ้ งกนิ มากขน้ึ  เสพมากขน้ึ  เพมิ่ ปรมิ าณ  มากข้ึน  แต่ก่อนสูบบุหรี่แค่มวนเดียวก็มึนแล้ว แต่พอเสพนานๆ  กต็ อ้ งสบู มากขน้ึ   ฟงั เพลงดหู นงั  หรอื ความสขุ ทางเพศกเ็ หมอื นกนั   พอเสพมากๆ เขา้ กเ็ รมิ่ ชนิ  ตอ้ งเสพมากขนึ้  หรอื เพมิ่ ความถข่ี น้ึ  หรอื   ท�ำใหม้ นั แปลกพสิ ดารมากขึน้ เพราะฉะนนั้ คนทฟี่ งั เพลงมากๆ กจ็ ะเพมิ่ รสชาตใิ หม้ นั พสิ ดาร  ความสุขทางเพศพอเสพมากๆ เข้า ก็เร่ิมชินเร่ิมชาวิธีการเดิมๆ  ท่วงท่าเดิมๆ เลยต้องไปคิดค้นแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ จนกลายเป็น  วิตถารไป  อันนี้คือผลของความสุขอันเกิดจากท่ีเราแสวงหาเสพ  สงิ่ กระตนุ้   แลว้ มนั ตดิ นะ เพราะเสพเขา้ ไปมากๆ แรกๆ กม็ คี วามสขุ   ตอนหลังต้องเพิ่มความถ่ี เพิ่มปริมาณมากขึ้น เรียกอาการเหล่าน ี้ ว่าเสพติด  ไม่ได้เสพติดเฉพาะเหล้า บุหรี่ ฝิ่น เฮโรอีนเท่าน้ัน แต ่ เราเสพติดความสุขท่ีเกิดจากการกระตุ้นเร้า  พุทธศาสนาเรียกว่า  กามสุข คือสุขที่เกิดจากสิ่งเร้า ตา หู จมูก ล้ิน กาย  เสพมากๆ  มันก็ติด  บางคนก็ติดเพลง บางคนก็ติดหนัง  อาตมาก็เคยติด  เหมือนกัน ทีแรกดูอาทิตย์ละหน่ึงเร่ืองก็พอ  ทีหลัง ๓ วันครั้ง  ตอนหลังอยากดูทุกวันเลย  มันก็เข้าลักษณะเสพติด เสพเท่าไหร ่ 19 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ก็ไม่พอ  แทนท่ีจะได้รับความสุข กลับกลายเป็นความสุขห่างเหิน  หดหายออกไปเรอื่ ยๆ ซงึ่ ทำ� ใหต้ อ้ งดน้ิ รน เพมิ่ ปรมิ าณ แสวงหามา  ให้มากข้นึ ความสขุ จากความสงบทางใจ ใหมๆ่  ก็ต้องอาศัยสิ่งแวดลอ้ ม  มาชว่ ย  สงิ่ แวดลอ้ มทส่ี งบสงดั  เชน่  ปา่ ทมี่ คี วามสงบสงดั   ความสขุ   เหลา่ นที้ แี รกตอ้ งองิ อาศยั ธรรมชาต ิ  แตถ่ า้ เรารจู้ กั ทำ� ความสงบใจ  ก็สามารถเกิดข้ึนได้ท่ามกลางเสียงอึกทึก วุ่นวาย  ท่ามกลางผู้คน  มากมาย เราสามารถสัมผัสกับความสงบในใจในชีวิตประจ�ำวัน  โดยไม่ต้องออกไปทอ่ งปา่ อย่รู สี อรต์ ความสงบใจเกดิ ขน้ึ จากทเ่ี ราฝกึ   แรกๆ ฝกึ จากใจทเี่ ราไมร่ บั ร ู้ อะไร หรือหูเราไม่รับรู้สิ่งท่ีมากระทบ  เช่นเมื่อเรามาอยู่ในห้องท ่ี ไม่มีโทรทัศน์ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่รับโทรศัพท์ เราก็เร่ิมรู้สึกว่า  มนั สงบลงมาก  และยงิ่ รวู้ ธิ ที ำ� สมาธ ิ ปดิ ตา ตามลมหายใจ ก�ำหนด  จิตมาอยู่ท่ีลมหายใจพร้อมกับวางความคิดไว้ช่ัวคราว ความสงบ  ก็จะเกิดข้ึนจากใจของเราได้ 20 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

ทีค่ นเราทกุ ขเ์ พราะโลกมนั ไม่เป็นไปตามใจเรา ทกุ ขเ์ พราะวา่ ผดิ หวังทเ่ี สียทรพั ย์สิน เสยี สุขภาพ รวมถงึ มปี ัญหาหนา้ ทีก่ ารงาน  แตม่ องให้ดที ่ีเราทกุ ข ์ ไม่ใชเ่ พราะโลกไมเ่ ป็นไปตามใจเรา ปญั หาคือใจเราต่างหาก ทีต่ ้องการบังคับกะเกณฑใ์ หโ้ ลก เป็นอยา่ งที่เราต้องการ วธิ ที ำ� ความสงบทพี่ ดู เมอื่ กเี้ ปน็ วธิ ที ส่ี งบจากการทไี่ มร่ บั รอู้ ะไร  แตม่ คี วามสงบอกี แบบคอื  ความสงบทเ่ี กดิ ขนึ้ แมจ้ ะรบั รอู้ ะไรกต็ าม  ท�ำได้อย่างไร อันน้ีเป็นหน้าท่ีของสติ  เวลาจิตเรากระเพ่ือมเพราะ  มีอะไรมากระทบหรือรับรู้ รู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ หรือคิด  นึกถึงเรื่องต่างๆ ข้ึนมา แล้วจิตกระเพ่ือม จิตหวั่นไหว ถ้าเรามีสติ  รู้การกระเพื่อมของใจ การระลึกรู้นั่นแหละ ท�ำให้จิตของเราคืนสู่  ภาวะปกติได้  เพราะเม่ือจิตกระเพื่อม แล้วไม่ใช่กระเพ่ือมเฉยๆ แต่  ยังไปฟงุ้ ไปตามสง่ิ ทม่ี ากระทบจนเตลดิ เปิดเปิงไป เรยี กวา่ ปรงุ แตง่   เมอื่ ใดกต็ ามทเี่ รามสี ต ิ การปรงุ แตง่ ทางใจกห็ ายไป เรยี กวา่ จติ หลดุ   ออกไปจากอารมณน์ ้นั 21 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

เมอื่ จติ กระเพอื่ มกม็ สี ตริ กู้ ารกระเพอื่ มนน้ั  เชน่  มคี วามเครยี ด  มีความโกรธก็รู้ว่าโกรธอยู่ เพียงแค่น้ันก็ช่วยให้ใจเราสงบไปได ้ ในทส่ี ดุ ไมต่ อ้ งไปปดิ หปู ดิ ตารบั รอู้ ะไร  อนั นเ้ี ปน็ วธิ กี ารท�ำใจใหส้ งบ  ท่ีดีกว่าวิธีปิดหูปิดตา รวมทั้งควบคุมจิตไม่ให้รับรู้อะไร  เคยม ี พราหมณ์คนหน่ึงโต้เถียงกับพระพุทธเจ้า วิธีการของเขาคือการ  ไมร่ บั การรอู้ ะไร ทเ่ี ปน็ วธิ กี ารฝกึ จติ ของพราหมณผ์ นู้  ี้ คอื ไมไ่ ปรบั ร้ ู อะไรไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย  พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิธีการน ้ี ไม่ตา่ งจากการท�ำตนให้เป็นคนหูหนวกตาบอด คนเรามีตา หู จมูก ลิ้น ไว้เพ่ือรับรู้โลกภายนอก ซึ่งมันก็มี  ประโยชน์ท�ำให้เราพ้นจากอันตราย  แต่ถ้าจิตของเราไม่ได้ฝึกไว ้ มนั กจ็ ะเอาไปปรงุ แตง่ ตอ่ ไป แลว้ นำ� ทกุ ขม์ าใสต่ วั   ใจของเราจำ� เปน็   ตอ้ งมสี ตชิ ว่ ยกำ� กบั   ความจรงิ สตมิ ใี นใจเราอยแู่ ลว้  ไมใ่ ชไ่ มม่  ี เพยี ง  แต่เราต้องฝึกให้มันมีความคล่องแคล่วชำ� นาญมากข้ึน จนกระท่ัง  รู้ทันอาการกระตุ้นของใจ  มันเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นตรงไหนก็รู ้ ทำ� ใหก้ ารปรงุ แตง่ หมดไป  สงบเพราะร ู้ ไมใ่ ชส่ งบเพราะไมร่ บั รอู้ ะไร  22 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

เพราะรู้โดยสติ  ไม่ใช่รู้ด้วยความคิด  น่ีแหละเป็นความสงบท่ี  ประเสรฐิ กวา่  เพราะเปน็ ความสงบทเี่ กดิ ขนึ้ โดยเราไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งหนี โลก หรือไปหลบอยู่ในห้องพระ  ไม่จ�ำเป็นต้องปิดตา  อยู่คนเดียว  แตส่ ามารถสมั พนั ธก์ บั ผคู้ น  ทำ� การงานตา่ งๆ ในชวี ติ ประจำ� วนั ได ้ โดยไม่ต้องทิ้งงาน สตสิ ามารถทำ� ใจใหส้ งบได ้  อยา่ งไรกต็ ามความสงบทป่ี ระเสรฐิ   กว่าน้ันคือความสงบท่ีเกิดจากปัญญา  อันนี้ก็สงบด้วยความรู้  เหมือนกัน  ไม่ใช่รู้ในอาการที่เกิดข้ึนกับใจ ไม่ใช่รู้ว่าเครียด ไม่ใช่รู้  วา่ โกรธ รวู้ า่ กำ� ลงั กลมุ้  แตร่ วู้ า่ สง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวง ไมน่ า่ ยดึ มน่ั ถอื มน่ั   สิ่งท้ังหลายทั้งปวงมันแปรผันไป  มีลาภไม่นานก็เส่ือมลาภ  มียศ  ไม่นานก็เส่ือมยศ  มีสรรเสริญก็รู้ว่าไม่นานก็มีนินทา  ไม่มีอะไรท่ ี จะยึดให้เปน็ ไปตามใจเราได้ ทคี่ นเราทกุ ขเ์ พราะโลกมนั ไมเ่ ปน็ ไปตามใจเรา ทกุ ขเ์ พราะวา่   ผิดหวังท่ีเสียทรัพย์สิน เสียสุขภาพ รวมถึงมีปัญหาหน้าท่ีการงาน  แต่มองให้ดีที่เราทุกข์ ไม่ใช่เพราะโลกไม่เป็นไปตามใจเรา ปัญหา  คือใจเราต่างหากท่ีต้องการบังคับกะเกณฑ์ให้โลกเป็นอย่างที่เรา  ต้องการ  โลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มีฤดูหนาว ฤดูร้อน ฝนฟ้าแปร  เปลยี่ นเปน็ อาจณิ   ไมใ่ ชค่ วามผดิ ของโลกทไี่ มเ่ ปน็ ไปตามใจเรา แต่  23 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

เป็นความโง่ของเราต่างหากท่ีต้องการให้โลกเป็นอย่างท่ีใจหวัง  แตถ่ า้ เรามปี ญั ญาเมอื่ ไหรก่ จ็ ะรวู้ า่  นเี่ ปน็ ความโงอ่ ยา่ งหนง่ึ   เพราะ  โลกมนั แปรเปลย่ี นแปรผนั ไป  ชวี ติ มนั ไมเ่ ทย่ี ง  ทกุ อยา่ งเปน็ อนจิ จงั   เปน็ อนตั ตา ทไี่ มส่ ามารถควบคมุ บงั คบั เปน็ ไปอยา่ งใหใ้ จหวงั ได ้  มไี ด้  ก็มีเสยี   มพี บก็มีพราก เม่ือเป็นเช่นนี้ก็ควรละวางความยึดม่ันถือม่ัน  เม่ือเจออะไร  มากระทบหรอื ประสบกบั สง่ิ ใดกต็ าม กไ็ มท่ กุ ขไ์ ปกบั สง่ิ นนั้   เมอื่ ไมไ่ ด ้ ยึดมั่นถือม่ันว่าจะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างน้ี ความสงบก็เกิดขึ้น  กับใจเอง  สงบเพราะปราศจากความทุกข์  สงบเพราะปราศจาก  ความผิดหวัง  เป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวายของโลก  จะ  พลัดพรากสูญเสียอย่างไร หรือจะเดินเข้าสู่ความตาย ก็ไม่ว้าวุ่นใจ  สงบได้  เป็นความสงบเพราะรู้ ไมใ่ ช่เพราะไมร่ ู้ อยากใหเ้ ราสงบเพราะรบู้ า้ ง รดู้ ว้ ยสต ิ รดู้ ว้ ยปญั ญา  สตทิ �ำให ้ รู้อาการของใจ แต่ปัญญาท�ำให้เรารู้สัจธรรมความจริงของชีวิต  รวมทงั้ ของจติ ของใจดว้ ย  เมอื่ รเู้ ชน่ นเ้ี รากจ็ ะเขา้ ถงึ ความสงบ  เปน็   ความสงบภายในทีไ่ มอ่ าศัยสิง่ แวดลอ้ มภายนอก  นแ่ี หละคอื ทพ่ี ระ  พทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบ ทที่ ำ� ใหพ้ ระองคเ์ ปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยด ี  ไปจากทกุ ข ์ ไปสู่อิสรภาพ ไปสู่ทางฝั่งโน้น  ฝั่งนี้คือฝั่งแห่งทุกข์  ฝั่งโน้นคือฝั่ง  24 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

แหง่ ความไมม่ ที กุ ข ์  พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ไมม่ สี ขุ ใดเสมอเหมอื นความ  สงบ  น่ีเป็นความสุขท่ีอยากให้เราได้รู้จักเล่ือมใสและน้อมไปใน  ทางนบี้ ้าง แต่ก่อนอื่นต้องรู้จักความสุขสองอย่าง  คนส่วนใหญ่รู้จัก  ความสขุ จากการกระตนุ้ เรา้  ความสขุ จากการเสพ จงึ ดนิ้ รนหาสงิ่ เสพ  แต่ยิ่งดิ้นรนแสวงหา ชีวิตก็ยิ่งว้าวุ่น ท�ำให้หยุดไม่เป็น หยุดไม่ได ้ การหยดุ กค็ อื ความพา่ ยแพ ้  นค่ี อื ความคดิ ของคนสมยั น ้ี เพราะคนอน่ื   เขาพยายามวิ่งแซง จึงต้องว่ิงเร่ือยไปจนกระท่ังตายก็ยังหยุดไม่ได ้ เพราะอะไร ก็เพราะมีความเชื่อว่าความสุขเกิดจากการเร้าจิต  กระตนุ้ ใจ แตถ่ า้ เรารวู้ า่ มคี วามสขุ อกี ประเภทหนงึ่  คอื ความสขุ จากความ  สงบ ไมใ่ ช่แค่รเู้ ท่าน้ัน แตจ่ ติ ใจยังน้อมตามและปฏิบัตติ วั ใหถ้ กู ตอ้ ง  ด้วย โดยอาศัยสติและปัญญาเป็นเคร่ืองรักษาใจ เราก็จะเข้าถึง  สุคะโตได้เหมือนกนั  คอื ไปแล้วดว้ ยดี 25 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล



ป ร ะ โ ย ช น์ สู ง สุ ด ข อ ง ชี วิ ต เชา้ วนั ท่ ี ๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลาปลกู ตน้ ไมเ้ รากห็ วงั กนิ ผลของมนั   เวลาทำ� สวนเรากห็ วงั กนิ   ผกั ทปี่ ลกู   ถา้ ท�ำนากห็ วงั กนิ ขา้ วจากนาทไี่ ดล้ งทนุ ลงแรงไป  แตว่ า่   คิดเพียงเท่านจ้ี ะพอหรือเปล่า  คนสมยั กอ่ นเขาไมไ่ ด้คดิ เพยี งเท่าน้ ี ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสเคยเลา่ ใหฟ้ งั เมอื่ ครง้ั ยงั เปน็ พระหนมุ่ พรรษา  เดยี ว ตอนทีเ่ ดนิ บณิ ฑบาตทา่ นถามชาวบ้านวา่  เขาท�ำนาเพือ่ อะไร  ชาวบา้ นทน่ี น่ั สว่ นใหญท่ ำ� นากนิ   ชาวบา้ นกต็ อบวา่ ทำ� นากเ็ พอื่ จะได้  มขี า้ วไวใ้ สบ่ าตรพระและเพอ่ื เลย้ี งตวั  เลย้ี งครอบครวั   ทา่ นอาจารย ์ พทุ ธทาสเลา่ วา่ ทา่ นสะดดุ ใจทเี่ ขาพดู ถงึ การใสบ่ าตรพระเปน็ ขอ้ แรก  สว่ นการมขี า้ วไวเ้ ลีย้ งครอบครวั ตามมาทีหลงั

มคี นเลา่ ใหฟ้ งั วา่ คนเพชรบรุ แี ตก่ อ่ น เวลาจะปลกู ตน้ ไม ้ ไมว่ า่   ไมย้ นื ตน้ หรอื ไมผ้ ล เขาจะทอ่ งคาถาขณะกลบดนิ วา่  “พทุ ธงั  ผลาผล  นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน  ธัมมัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คน  กินเป็นทาน  สังฆัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน” อันน้ี  ก็คลา้ ยๆ กบั ทโ่ี ยมแมข่ องท่านอาจารย์พทุ ธทาสแนะน�ำตอนทที่ ่าน  ยงั เปน็ เดก็   เวลาไปเฝา้ นา โยมแมก่ จ็ ะใหค้ าถากนั ขโมย เปน็ ขอ้ ความ  สน้ั ๆ วา่  “นกกนิ เปน็ บญุ  คนกนิ เปน็ ทาน”  เทา่ นน้ั แหละกไ็ มม่ ขี โมย  มารบกวน  ทไี่ มม่ ขี โมยกเ็ พราะวา่ ใครมากนิ กถ็ อื วา่ มาชว่ ยใหเ้ ราได้  บุญ  นกมากินกถ็ อื ว่าเป็นโอกาสใหเ้ ราไดท้ ำ� ทานไปด้วย ขอให้สังเกตว่าจากตัวอย่างที่เล่ามานี้ ชาวบ้านแต่ก่อนเวลา  ท�ำนาก็ดี หรือปลูกต้นไม้ก็ดี เขาไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเอง แต่เขาจะ  คิดถึงคนอื่นด้วย และในบางกรณีก็คิดถึงคนอ่ืนเป็นอย่างแรกเลย  ส่วนคดิ ถงึ ตัวเองเอาไวท้ หี ลงั   การคิดถึงคนอืน่ ถอื วา่ เป็นบุญอยา่ ง  หนง่ึ   ถา้ นกมากนิ กเ็ ปน็ บญุ   ถา้ คนมากนิ กเ็ ปน็ ทาน  เวลาชาวบา้ น  ทำ� นาหรอื ปลกู ตน้ ไม ้ จงึ ไมไ่ ดม้ องวา่ เปน็ การท�ำมาหากนิ อยา่ งเดยี ว  แตเ่ ปน็ การทำ� บุญไปดว้ ย 28 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

เขาไม่ได้ท�ำเพ่ือผลท่ีเป็นรูปธรรม เช่นเพื่อจะได้มีข้าวหรือ  ผลไม้กินอิ่มท้อง แต่ยังนึกไปถึงผลท่ีเป็นนามธรรม คือบุญท่ีจะ  เกิดขึ้นจากการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อ่ืนรวมถึงสัตว์ด้วย  ตรงนี้เป็น  ประเดน็ ทนี่ า่ สนใจกเ็ พราะวา่ เวลานกึ ถงึ บญุ  เรามกั นกึ ถงึ การถวาย  ของใหพ้ ระ ทำ� อาหารเลยี้ งพระ ทำ� อะไรกต็ ามทเี่ กย่ี วกบั วดั  เกยี่ วกบั   พระกถ็ อื วา่ เปน็ บญุ   แตช่ าวบา้ นสมยั กอ่ นมองบญุ กวา้ งกวา่ นน้ั   นก  กินข้าวในนาเขาก็เป็นบุญ  เกาะต้นไม้ที่เขาปลูกก็เป็นบุญ  ใครมา  กินข้าวในนาก็ถือว่ามารับทานจากเรา  เป็นการมองบุญในความ  หมายท่ีกว้าง และเป็นแง่คิดอีกอย่างว่าเวลาเขาทำ� อะไรก็ตาม เขา  กไ็ มไ่ ดห้ วงั ผลทเ่ี ปน็ รปู ธรรมจบั ตอ้ งได ้ ไมว่ า่ จะเปน็ ขา้ ว ผลไม ้ หรอื   แม้แตร่ ่มเงาจากต้นไมท้ ่ปี ลูก แตเ่ ขายังมองไกลไปถงึ บญุ ดว้ ย บญุ นถี่ อื วา่ เปน็ ประโยชนข์ องการทำ� ความด ี  คำ� วา่  “ประโยชน”์   ในพทุ ธศาสนามคี วามหมายหลายระดบั   มคี ำ� ๆ หนง่ึ ทมี่ คี วามหมาย  ใกลเ้ คยี งกบั คำ� วา่  “ประโยชน”์  นนั่ กค็ อื คำ� วา่  “ความสขุ ”  บางทเี รา  กเ็ รยี กรวมๆ วา่  “ประโยชนส์ ขุ ”  เวลาพดู ถงึ ประโยชนส์ ขุ  อยา่ งแรก  และอยา่ งเดยี วทคี่ นสว่ นใหญน่ กึ ถงึ  กค็ อื สงิ่ ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม เชน่  เงนิ   ทองทรัพย์สมบัติ รวมถึงอาหารหรือปัจจัยส่ี  เขยิบมาหน่อยก็คือ  สุขภาพ  เลยไปอีกหน่อยก็คือมิตรภาพ หรือครอบครัวที่เก้ือกูล  รวมท้งั ช่ือเสยี งเกยี รติยศ 29 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

อย่าไปพอใจแค่ชวี ติ ทด่ี ชี ีวิตท่ีรวย หรอื ชีวติ ท่ีมชี ่ือเสียง อย่างน้อยก็ขอใหบ้ รรลุชีวติ ทีด่ กี ว่า  เตบิ โตดว้ ยความสขุ สงบใจแลว้ ก็ไปใหย้ ่ิงกว่าน้นั กค็ ือพยายามเข้าถงึ ชีวติ ท่ดี ที ่ีสดุ นั่นแหละคอื การใช้ชวี ติ อย่างคมุ้ คา่ กบั การเกดิ   มาเปน็ มนุษย์ท่แี ท้จริง เปน็ การใชศ้ ักยภาพของเราใหเ้ ต็มประโยชนส์ งู สดุ เหลา่ นคี้ อื ประโยชนส์ ขุ ทค่ี นทว่ั ไปนกึ ถงึ เปน็ อนั ดบั แรก หรอื วา่   นึกถึงเป็นอย่างเดียว เงินทองทรัพย์สมบัติ งานการ ครอบครัว  มิตรภาพ ชื่อเสียง เกียรติยศ  แต่เด๋ียวน้ีอาจจะเหลืออย่างเดียว  ก็คือเงินทองเท่านั้นแหละ  เงินทองกลายเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด  ของคนสมัยน้ี ไม่ได้เน้นสิ่งอ่ืนเลย  เวลาใครไปหาหลวงพ่อคูณ ก็  อยากขอให้ท่านอวยพรว่า “ขอให้รวย” หรือ “บ้านนี้อยู่แล้วรวย”  ส่วนรวยแล้วไม่สนว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า ไม่สนใจว่าจะเป็น  เบาหวานหรอื เปลา่  ไมห่ ว่ งวา่ ลกู จะตดิ ยา หรอื ครอบครวั จะหยา่ รา้ ง  หรือเปล่า  สนใจอย่างเดียวว่า รวยเท่าน้ันเป็นพอ  นับว่าคิดสั้น  คิดแคบๆ มาก  ราวกับว่ารวยแล้วไม่ป่วย รวยแล้วลูกไม่ติดยา  ครอบครัวไมแ่ ตกแยก 30 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

เราตอ้ งมองให้กว้าง ไมใ่ ช่มองแคน่  ี้  สุขภาพก็มีค่า มติ รภาพ  และครอบครัวก็มีค่า และเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน  แน่นอนคนเราก็ต้องการช่ือเสียงเกียรติยศด้วย  ทั้งหมดนี้พุทธ  ศาสนาเรยี ก “ประโยชนช์ น้ั ตน้ ” หรอื  ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ พดู งา่ ยๆ คอื   ประโยชนส์ ขุ แบบชาวโลก  แตถ่ ามวา่ เทา่ นพ้ี อไหม ทางพทุ ธศาสนา  ถือว่าไม่พอ  ถ้าหวังเพียงกินอิ่ม นอนอุ่น หรือว่ามีคนรัก ไม่เจ็บ  ไมป่ ว่ ย แคน่ ก้ี ส็ ขุ แลว้ สำ� หรบั คนสมยั น ี้  แตพ่ ทุ ธศาสนาถอื วา่ ยงั ไมพ่ อ  คนเราไม่ควรทุ่มเทหรือเสียเวลาท้ังชีวิตเพ่ือสิ่งเหล่าน้ีเท่านั้น  ถ้า  ท�ำเพียงเท่าน้ีถือว่าไม่คุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเราม ี ศักยภาพ มีความสามารถมากกวา่ นนั้ อะไรคอื สงิ่ ทคี่ วรหวงั ตอ่ ไป หรอื ควรหวงั ควบคไู่ ปกบั ประโยชน์  ชน้ั ตน้ ดว้ ย คำ� ตอบกค็ อื สง่ิ ทพ่ี ทุ ธศาสนาเรยี กวา่  “ประโยชนข์ นั้ สงู ”  หรอื เรยี กประโยชนท์ างธรรมะกไ็ ด ้  ภาษาบาลคี อื  “สมั ปรายกิ ตั ถะ”  หรอื ประโยชนส์ ขุ ทอ่ี ยเู่ ลยออกจากทเ่ี หน็ เฉพาะหนา้   หมายความวา่   การมีทรัพย์สมบัติ มีสุขภาพดี ครอบครัวดี มีช่ือเสียง อันน้ีก็ดีอยู ่ เป็นประโยชน์ท่ีเห็นๆ กันอยู่ แต่ก็ไม่ควรติดอยู่เท่าน้ี  ควรมองให ้ ไกลกวา่ นน้ั  นนั่ คอื บญุ กศุ ล หรอื ความสขุ ใจนน่ั เอง  บญุ กบั ความสขุ ใจ  เป็นเร่ืองเดียวกัน  ท่ีเราพูดกันเมื่อวานเร่ืองความสงบใจ ก็คือบุญ  นั่นแหละ 31 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุญเป็นอีกช่ือหน่ึงของความสุข  เวลา  ท�ำความดีเราเรียกว่าเป็นบุญก็เพราะว่าท�ำแล้วใจเป็นสุข ใจสงบ  บุญได้แก่อะไรบ้าง  บุญท่ีพระพุทธองค์จัดว่าเป็นสัมปรายิกัตถะ  มี ๔ ประการคือ การมีความประพฤติท่ีดีงามถูกต้องชอบธรรม  ประการต่อมาคือ การมีศรัทธาในส่ิงท่ีดีงาม เช่นศรัทธาในพระ  รตั นตรยั   ประการทส่ี ามคอื  ความเออ้ื เฟอ้ื เผอ่ื แผ ่  และประการทสี่  ่ี คือ การมีปัญญาเป็นเคร่ืองก�ำกับชีวิต  สรุปส้ันๆ ว่า ศีล ศรัทธา  จาคะ และปัญญา คนสมยั กอ่ นแตไ่ หนแตไ่ รมา เวลาจะท�ำอะไรกต็ าม แมก้ ระทง่ั   ท�ำมาหากิน ท�ำนา ปลูกข้าว เขาไม่ได้หวังผลท่ีเป็นรูปธรรมหรือ  ท่ีเรียกว่าประโยชน์ชั้นต้นเท่านั้น หากยังถือว่าเป็นการท�ำบุญไป  ด้วยในตัว  คือมีจุดมุ่งหมายท่ีจะบำ� เพ็ญประโยชน์มากกว่านั้นด้วย  นอกจากฉนั จะอมิ่ ทอ้ งแลว้  คนอน่ื กไ็ ดร้ บั ประโยชนด์ ว้ ย นกมากนิ กด็ ี  คนมากินก็ด ี ฉนั ไมห่ วง ไมท่ ำ� รัว้ กนั้  เพราะถอื วา่ เปน็ การทำ� บญุ การท�ำบุญสามารถท�ำไปพร้อมๆ กับการดำ� เนินชีวิตทางโลก  หรือการท�ำมาหากิน ไม่ได้แยกขาดจากกัน เพราะเขามองว่า  เป้าหมายของชีวิตไม่ใช่เพ่ือความร่�ำรวยพร่ังพร้อมทางวัตถุ หรือ  เพื่อมีสุขภาพดี มีครอบครัวอบอุ่นเท่าน้ัน แต่ว่าต้องมีความสุขใจ  32 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

หรือมีความงอกงามทางจิตใจด้วย  น่ีเป็นเรื่องส�ำคัญท่ีคนสมัยนี้  มองข้ามไป โลกทกุ วนั นเ้ี ปน็ โลกบรโิ ภคนยิ ม  ผคู้ นคดิ ตอ้ งการแคค่ วามสขุ   จากวัตถุ ความสุขจากการบริโภค จากการมีส่ิงเร้าจิตกระตุ้นใจ  ตอ้ งมที รพั ยส์ นิ เงนิ ทองเยอะๆ มแี ลว้ ไมไ่ ดใ้ ชก้ ไ็ มเ่ ปน็ ไร แคม่ เี พม่ิ ขนึ้   เรอ่ื ยๆ กม็ คี วามสขุ แลว้   คนจำ� นวนไมน่ อ้ ยมขี า้ วของเตม็ บา้ น ไมไ่ ด ้ ใช้เพราะใช้ไม่ทันแต่ก็ยังอยากไปชอปปิ้ง เพราะได้ของมาแล้วมี  ความสขุ   มเี ทศกาลลดราคาทไี่ หนกต็ อ้ งไปทนี่ นั่ ใหไ้ ด ้ เพราะวา่ การ  มขี องใหมเ่ ขา้ บ้านเป็นความสขุ ความสุขของคนสมัยนี้เกิดจากการได้ ไม่ได้เกิดจากการม ี ไมไ่ ดเ้ กดิ จากการใช ้  มมี ากมายเทา่ ไหรก่ ไ็ มท่ �ำใหม้ คี วามสขุ เทา่ กบั   ได้มาใหม่  มีล้านหน่ึงก็ไม่มีความสุขเท่ากับได้มาเพ่ิมอีกหมื่นหนึ่ง  อกี แสนหนง่ึ  หรอื แคอ่ กี พนั หนง่ึ กม็ คี วามสขุ แลว้   ในทำ� นองเดยี วกนั   มขี า้ วของเตม็ บา้ นนบั พนั นบั หมนื่ ชน้ิ กไ็ มท่ ำ� ใหม้ คี วามสขุ เทา่ กบั เวลา  ได้ของใหม่มาอีกหนึ่งช้ิน  ของเก่าไม่มีค่าเท่ากับของใหม่  อันน ้ี กค็ ือประโยชน์ทางโลกที่เรารจู้ กั กนั 33 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

แต่มนุษย์ถ้าติดตันอยู่แค่น้ีก็จะไม่มีความสุขได้เลย เพราะได้  เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ  เราจึงควรก้าวไปให้ถึงประโยชน์สูงสุดล�ำดับ  ทส่ี อง กค็ อื ความสงบใจจากการทำ� ความด ี มศี ลี  ศรทั ธา จาคะ และ  ปญั ญา  ทงั้ หมดนจ้ี ะนำ� ความชมุ่ ชนื่ เบกิ บานใจมาให ้  พระพทุ ธเจา้   จงึ ทรงแนะน�ำใหค้ นรจู้ กั การใหท้ าน  การใหท้ านเปน็ บนั ไดขนั้ แรก  ไปสู่ความสุขใจ เพราะว่าผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข  ยิ่งให้  ก็ย่ิงได ้  อนั นีต้ รงขา้ มกับท่ใี ครๆ เข้าใจว่า ยง่ิ ให้ ฉนั ยิง่ หมด ยิ่งให้ยิ่งหมดน้ันใช้ได้กับวัตถุสิ่งของที่เป็นรูปธรรมหรือเป็น  เงินในกระเป๋า ให้เขามากเท่าไหร่ก็หมดมากเท่านั้น  อนาถบิณฑิก  เศรษฐีเป็นคนท่ีร�่ำรวยมหาศาลชอบให้ทาน  พอถึงบั้นปลายชีวิต  ทรัพย์สินเงินทองก็เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งเทวดาที่เฝ้าซุ้มประตู  ยังบ่นว่าเลิกท�ำบุญเลิกให้ทานเสียที  แต่ว่าสิ่งท่ีอนาถบิณฑิกได้มา  และมีคุณค่ามากกว่าทรัพย์ท่ีเสียไปก็คือ อริยทรัพย์  พูดง่ายๆ คือ  บญุ นน่ั แหละ  เราสวดมนตก์ นั อยบู่ อ่ ยๆ วา่ ศลี  ศรทั ธา ปสาทะหรอื   ความเลอ่ื มใส และความเหน็ ตรงหรอื สมั มาทฐิ เิ ปน็ อรยิ ทรพั ยท์ ไ่ี มม่ ี  ใครจะขโมยไปได้ และท�ำใหเ้ กิดความสุขอยา่ งแท้จริง ถ้าหากว่าทรัพย์สินเงินทอง ช่ือเสียง อาชีพการงาน สุขภาพ  มิตรภาพ และครอบครัว ท�ำให้เกิดชีวิตท่ีดี การมีชีวิตท่ีดีกว่าคือ  34 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

การมีใจที่เป็นบุญ หรือมีความสุขใจน่ันเอง  เดี๋ยวนี้เราพูดกันแต ่ ชีวิตท่ีดี แต่เราควรมองเลยไปถึงชีวิตท่ีดีกว่าด้วย คือถึงพร้อมด้วย  สัมปรายิกตั ถะ ถามว่าแค่น้ีพอแลว้ ยงั  ยงั ไมพ่ อ เพราะเหนือชีวิตทีด่ ีกว่ากค็ อื   ชีวิตท่ีดีที่สุด  ชีวิตที่ดีที่สุดคืออะไร คือชีวิตท่ีประกอบไปด้วยส่ิงท่ ี พระพุทธเจ้าเรียก “ปรมัตถะ”  ปรมัตถะคือประโยชน์สูงสุด ได้แก ่ ความเป็นอสิ ระจากกองกเิ ลส จากกองทุกข์ เรียกสน้ั ๆ ว่านิพพาน เด๋ียวน้ีพอพูดถึงนิพพานคนทั่วไปไม่สนใจแล้ว หรือไม่เช่ือว่า  มีจริงด้วยซ�้ำ  อย่าว่าแต่นิพพานเลย แม้แต่บุญกุศล หลายคนก็ยัง  ไม่เชื่อเลย  เช่ือแต่สิ่งท่ีเห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ คือ เงินทอง  ทั้งท่ีส่ิงเหล่าน้ีมันเป็นสมมติอย่างยิ่ง เหมือนมายา  เงินทองเป็น  มายามาก  ค่าเงินของมันขึ้นๆ ลงๆ จนกระท่ังคนทั่วโลกก�ำลังจะ  เปน็ โรคประสาท เพราะวา่ คา่ ของมนั ไมแ่ นน่ อน  เดย๋ี วมาก เดยี๋ วนอ้ ย  แสดงถงึ ความเปน็ สมมตขิ องมนั  เพราะขนึ้ อยกู่ บั การกำ� หนดของคน  วันดีคืนดี เงินก็อาจจะกลายเป็นแบงค์กงเต๊ก เพราะเขาเลิกใช้แล้ว  อยา่ งประเทศพมา่  เงนิ ทเ่ี คยใชเ้ มอื่  ๑๐ ปกี อ่ น ตอนนเ้ี ขาเลกิ ใชแ้ ลว้   เพราะวา่ คา่ ของมนั ถกู เกนิ ไป  ใครมกี ล่ี า้ นๆ กไ็ มม่ คี วามหมาย เพราะ  มันแทบจะกลายเป็นเศษกระดาษไปแล้ว  นี่คือสิ่งสมมติ แต่คน  35 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ส่วนใหญก่ ลับนกึ วา่ เป็นของจรงิ ตรงข้ามกับปรมัตถะ อันน้ีจริงแน่นอน จริงแท้ เพราะเป็น  สงิ่ ทไี่ มแ่ ปรเปลย่ี น ไมไ่ ดต้ กอยภู่ ายใตก้ ฎอนจิ จงั   นพิ พานเปน็ นจิ จงั   พดู แบบนก้ี อ็ าจจะยงั ไมเ่ ขา้ ใจวา่ มนั คอื อะไร  พดู ใหมว่ า่ คอื การเปน็   อสิ ระจากความผนั ผวนปรวนแปรของชวี ติ และโลก  หมายความวา่   จะได้จะเสียก็ไม่ทุกข์ยังรักษาใจให้เป็นปกติหรือสุขสงบอยู่ได้ จะมี  คนตอ่ วา่ นนิ ทาหรอื ใสร่ า้ ยกย็ งั มคี วามสขุ ได ้  แมว้ า่ จะสญู เสยี พอ่ แม่  หรอื พนี่ อ้ ง กไ็ มไ่ ดเ้ ศรา้ โศกครำ�่ ครวญ เพราะรวู้ า่ มนั เปน็ ธรรมดาโลก  นค่ี อื สภาวะทเี่ ปน็ อสิ ระ ความทกุ ขเ์ ขา้ มาแตะตอ้ งไมไ่ ด ้  เปน็ สภาวะ  ท่ีความเกดิ  ความแก่ ความเปน็ ความตายทำ� อะไรไมไ่ ด้ คนธรรมดา ไมว่ า่ รำ่� รวยแคไ่ หน หรอื วา่ ทำ� บญุ มามากแคไ่ หน  ก็ยังหวั่นไหวต่อความแก่ ความเจ็บ และความตาย  แต่ส�ำหรับผู้ท ่ี เขา้ ถงึ ปรมตั ถะ สง่ิ เหลา่ นที้ �ำอะไรไมไ่ ด ้  เมอ่ื ท�ำอะไรไมไ่ ดก้ เ็ หมอื น  กับอยู่เหนือความแก่ ความเจ็บ ความตาย  ท่านอาจารย์พุทธทาส  ได้จ�ำลองสภาวะนพิ พานเอาไว ้ โดยเปรยี บเทยี บกบั มะพร้าวนาฬิเก  อยบู่ นเกาะเลก็ ๆ กลางสระในสวนโมกข ์  เกาะนม้ี นี ้�ำลอ้ มรอบ  นำ้� นน้ั   เปรยี บเสมอื นทะเลแหง่ วฏั สงสาร ทะเลแหง่ ความทกุ ข ์  คนธรรมดา  เปรยี บเหมอื นคนทอี่ ยใู่ นทะเล ขนึ้ ลงๆ ตามคลน่ื  หมายความตกอย่ ู 36 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

ภายใต้อาการขึ้นลงของชีวิตและโลก  แต่ว่ามะพร้าวนาฬิเกหรือ  ผู้ที่อยู่บนเกาะ ไม่เปียก สบาย โปร่ง โล่ง  ณ ที่นั้นฝนตกไม่ต้อง  ฟ้าร้องไม่ถึง  น่ันคือสภาวะท่ีเรียกว่า นิพพานหรือการเข้าถึง  ปรมัตถะ คนสมัยก่อนมุ่งหวังปรมัตถะ ถือเอานิพพานเป็นเป้าหมาย  ชวี ติ  เวลาใสบ่ าตรพระ จติ กน็ อ้ มไปถงึ นพิ พาน อธษิ ฐานวา่  นพิ พาน  ปจั จโย โหต ุ  คอื ขอใหเ้ ปน็ ปจั จยั ไปสนู่ พิ พาน  ชาวบา้ นเขาไมอ่ ธษิ -  ฐานมาก  เดยี๋ วนสี้ งั เกตวา่ เวลาชาวบา้ นใสบ่ าตร จะอธษิ ฐานนานมาก  บางทีอธิษฐานนานเป็นนาที เพราะขอเยอะมาก เช่นขอให้ถูกหวย  ขอให้รวย ขอให้หายป่วย ขอให้มีช่ือเสียง ขอให้ลูกสอบเข้ามหา-  วทิ ยาลยั ได ้ ขอใหส้ ามเี ลกิ เหลา้  ฯลฯ  สง่ิ ทต่ี อ้ งการจากการใสบ่ าตร  พระนี่เยอะมาก  แต่ชาวบ้านสมัยก่อน เขาไม่ต้องการอะไรมาก  ขออยา่ งเดยี วอยา่ งนนั้ คอื นพิ พาน  สว่ นทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง เขาถอื วา่   ไม่ส�ำคัญ มีเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่อยากได้อีก  มีเพิ่มก็ได้ไม่เพิ่มก็ได้  เพราะว่ามันไม่เท่ียง  รวยแค่ไหนพอตายไป มันก็ตกไปเป็นของ  คนอ่ืน  มีช่ือเสียงแค่ไหน วันดี คืนดี มันก็แปรสภาพไป เพราะ  ส่ิงเหล่าน้ีมันไม่เท่ียง ชื่อเสียงไม่ใช่ของเรา แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นเขา  ใหม้ า 37 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

อะไรกต็ ามทค่ี นอน่ื เขาให ้ เขากร็ บิ คนื ได ้  เงนิ ทองกเ็ หมอื นกนั   เรารวยเพราะคนอน่ื เขาใหม้ า  อะไรกต็ ามทคี่ นอน่ื เขาใหม้ า เขารบิ   คนื ได ้  แตน่ พิ พานไมม่ ใี ครให ้  มนั เกดิ จากธรรมชาต ิ  เขา้ ถงึ ไดด้ ว้ ย  ใจทไี่ ดร้ บั การฝกึ ฝนมาดแี ลว้  จนกระทง่ั เขา้ ใจสจั ธรรม  บญุ กเ็ ชน่ กนั   ไม่มีใครริบคืนได้  เพราะฉะน้ันผู้ท่ีฉลาดย่อมไม่คิดจะแสวงหาแต ่ ประโยชน์สุขที่เป็นประโยชน์ช้ันต้นอย่างเดียว  แต่ยังนึกถึงส่ิงที่  ประเสริฐหรือสูงส่งกว่านั้น นึกถึงการท�ำความดี ท�ำประโยชน์ให ้ แก่ผู้อื่น ให้เกิดความสุขใจ แล้วยังปรารถนาเลยไปถึงพระนิพพาน  อนั นี้คือชีวิตทีด่ ีทสี่ ดุ พวกเราอยา่ ไปหลงกบั ชวี ติ ทดี่ หี รอื พอใจกบั ชวี ติ ทด่ี กี วา่ เทา่ นน้ั   แตก่ ข็ อใหน้ กึ ถงึ ชวี ติ ทด่ี ที ส่ี ดุ   อนั นแี้ หละคอื มาตรฐานชวี ติ ทค่ี นสมยั น้ี  มองขา้ มไป  การไปถงึ ชวี ติ ทด่ี ที ส่ี ดุ  ถามวา่ จะทำ� ไดอ้ ยา่ งไร ไมใ่ ชว่ า่   ต้องหลีกไปจากโลก  การท�ำอะไรก็ตามแม้ท�ำเพียงอย่างเดียว ก็  สามารถสำ� เรจ็ ประโยชนท์ งั้ สามอยา่ งได ้ ถา้ เรารจู้ กั มองใหเ้ ปน็  วางใจ  ใหเ้ ปน็   อยา่ งชาวบา้ นใสบ่ าตร อาหารทถ่ี วายนนั้  พระฉนั แลว้ กเ็ กดิ   กำ� ลังวงั ชา สุขภาพดี อนั นเี้ รียกว่าประโยชน์ชัน้ ต้น ไดเ้ กดิ ขึ้นแล้ว การใส่บาตร ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ก่อให้เกิดเป็นประโยชน ์ ชั้นต้นเป็นเบื้องแรก คือพระได้ฉันอาหาร ได้จีวรไว้ห่ม  นอกจาก  38 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

พระแล้ว บางทีชาวบ้านก็ได้ประโยชน์ด้วย เช่น ถ้วยชามหรือยาท่ ี ถวายพระ ชาวบา้ นกไ็ ดใ้ ช ้  เวลามงี านศพ งานแตง่ งาน กม็ ายมื จาก  วัดไป  ศาลาท่ีสร้างถวายวัด เวลาชาวบ้านมีธุระก็มาประชุมกันที่  ศาลา  นเ้ี รยี กวา่ ประโยชนช์ นั้ ตน้ ไดเ้ กดิ ขน้ึ  ทงั้ กบั พระและชาวบา้ น  เป็นประโยชน์ทเี่ กิดจากการท�ำบุญ ขณะเดียวกัน การใส่บาตรน้ันก็มีผลต่อจิตใจด้วย  เป็นผล  ทางนามธรรม คอื ทำ� แลว้ เกดิ ปตี ทิ ไี่ ดท้ ำ� ความด ี เกดิ ศรทั ธาปสาทะ  ผลสว่ นนเี้ รยี กวา่ ประโยชนช์ นั้ สงู หรอื สมั ปรายกิ ตั ถะ เปน็ ประโยชน์  ทางจติ ใจทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ้ มกบั ประโยชนท์ างวตั ถ ุ เรยี กงา่ ยๆ วา่ ทำ� แลว้   ก็ไดบ้ ญุ ไปดว้ ย ทีน้ีเม่ือใส่บาตรแล้วเกิดการลดละตัวตน ลดความเห็นแก่ตัว  ลดความยึดม่ันถือมั่น อันน้ีเท่ากับว่าเป็นการบ�ำเพ็ญทางจิตเพื่อ  เขา้ ถงึ ประโยชนข์ นั้ สงู สดุ   ปกตคิ นเราชอบยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในสงิ่ ตา่ งๆ  รวมทงั้ ทรพั ยส์ มบตั ดิ ว้ ย  แตเ่ มอ่ื เราสละออกไป มนั กช็ ว่ ยลดความ  เห็นแก่ตัว ช่วยลดความยึดม่ันถือม่ัน แต่ต้องเป็นการสละออกไป  จริงๆ  เพราะเดี๋ยวน้ีเวลาเราท�ำบุญถวายพระ เช่น ถวายอาหาร  เราถวายท่านไปแล้ว เรายังยึดอยู่นะ คอยดูว่า ท่านจะฉันของเรา  หรอื เปลา่   คำ� วา่ ของเรามนั ยงั มอี ย ู่  การยดึ วา่ นเี่ ปน็ อาหารของเรา  39 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ยงั มอี ย ู่ ยงั ไมห่ ายไป  ถวายเงนิ ให้พระแลว้ กย็ งั คอยดวู ่า ทา่ นจะใช ้ เงนิ ของเราอยา่ งไง  ความเปน็ ของเรายงั ตดิ อยกู่ บั เงนิ ทถ่ี วาย  อนั น ้ี แสดงว่าไม่ได้ลดความยึดมั่นถือม่ัน แต่ก็ได้บุญนะ เช่น เกิดความ  ปีติท่ีได้ถวาย แต่ความยึดมั่นถือม่ันยังไม่ได้ลดลง เพราะใจยังมี  เยอ่ื ใยผกู ตดิ ยดึ ถอื วา่ เงนิ นน้ั ยงั เปน็ ของเราอย ู่  ความคดิ แบบนเ้ี ปน็   อปุ สรรคต่อการเข้าถึงปรมตั ถะ แต่ถ้าเราถวายแบบสละออกไปจริงๆ ไม่มีเย่ือใยในของน้ัน  ถือว่าเป็นของท่านไปแล้ว ท่านจะใช้อย่างไร จะฉันหรือไม่ หรือใช้  เงินอย่างไรก็เป็นเร่ืองของท่าน  อันนี้เป็นการฝึกหัดขัดเกลาจิตใจ  ใหล้ ดละความยดึ มนั่ ถอื มน่ั   ทนี ถี้ า้ จะใหด้  ี นอกจากสลดั ออกไปแลว้   ยงั ไมค่ วรหวงั ไดอ้ ะไรจากการท�ำบญุ ดว้ ย  ไมใ่ ชว่ า่ ท�ำบญุ แลว้ อยาก  ได้โน่นได้น่ี  เด๋ียวนี้อยากได้มากเหลือเกิน  ท�ำบุญ ๑๐๐ อยากได้  โชคเปน็ ลา้ น อยากรวย อยากเลอื่ นขน้ั  อยากถกู หวย ไปจนถงึ อยาก  ไปสวรรค์ หรือแม้กระทงั่ อยากได้นพิ พาน ทำ� บญุ ดว้ ยความปรารถนาอยา่ งนนั้ ถอื วา่ เปน็ ตณั หาเหมอื นกนั   ถ้าเราท�ำแบบท่ีเรียกว่าใจน้อมไปสู่นิพพาน ก็ต้องพยายามลดละ  ความเห็นแก่ตัวจริงๆ ลดละแม้กระทั่งความหวังที่จะเกิดอะไรแก่  ตัวเอง ถา้ ทำ� ได้เชน่ นีก้ เ็ ขา้ ใกล้ปรมตั ถะมากขึ้น 40 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

จะเห็นไดว้ ่าเพยี งแคก่ ารใสบ่ าตรอยา่ งเดียว ก็สามารถสำ� เร็จ  ประโยชน์ได้ท้ัง ๓ อย่าง ประโยชน์ชั้นต้นก็ได้ ประโยชน์ช้ันสูงก็ได้  ประโยชนช์ นั้ ปรมตั ถ ์ กไ็ ด ้  ไมใ่ ชว่ า่ จะตอ้ งทำ� ออกมาเปน็ อยา่ งๆ แยก  ออกไป  อยา่ งชาวบา้ นแตก่ อ่ นเวลาทำ� นาปลกู ตน้ ไม ้ เขาบำ� เพญ็ ทงั้   ประโยชนช์ น้ั ตน้  สรา้ งประโยชนท์ เ่ี ปน็ รปู ธรรม  สว่ นใจกน็ อ้ มไปใน  ทางกศุ ล นกเกาะกเ็ ปน็ บญุ  คนกนิ กเ็ ปน็ ทาน  อนั นเี้ ปน็ การบำ� เพญ็   ประโยชน์ ชน้ั ทีส่ องไปด้วยพร้อมๆ กนั ถา้ เราเขา้ ใจอยา่ งน ้ี เรากจ็ ะรวู้ า่ ไมว่ า่ การทำ� บญุ หรอื การบำ� เพญ็   ประโยชนข์ น้ั ปรมัตถ์ เราสามารถทำ� ได้ในชวี ติ ประจ�ำวันท่ามกลาง  ผู้คน  แม้กระท่ังเวลาเรากินข้าว ถ้าเรากินให้เป็น เราก็ไม่ใช่แค ่ อ่ิมท้อง หรือแค่มีสุขภาพดีเท่าน้ัน แต่เรายังได้บุญไปด้วย หากกิน  อย่างมีสติ  สติท่ีเกิดข้ึนน่ันแหละ คือบุญ คือประโยชน์ชั้นสัมปรา-  ยิกัตถะ ถ้าเรากินด้วยใจท่ีไปถึงข้ันว่าไม่มีผู้กิน เป็นเร่ืองของการ  บริหารธาตุ เป็นการท�ำไปตามเหตุปัจจัยเพื่อให้ถูกต้องตามธรรม  ชาติ อนั นเ้ี รียกว่าได้เจริญปญั ญาเพอื่ เข้าถึงปรมัตถะ การกนิ อาหารกเ็ ปน็ การบำ� เพญ็ ชน้ั ปรมตั ถไ์ ด ้ ถา้ หากเราทำ� ใจ  ให้เป็น  ผู้ที่ฉลาดจะไม่สนใจแต่ประโยชน์ชั้นต้น  ท�ำอะไรก็ไม่หวัง  ว่าจะรวยหรือหวังให้เกิดประโยชน์ในทางรูปธรรมอย่างเดียว แต ่ 41 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

ยังมั่นใจว่าถ้าวางใจให้เป็นก็จะเกิดความเจริญงอกงามทางจิตใจ  เกิดความสุขใจ  และถ้าไม่ติดยึดในความสุขใจ มีสติเห็นความสุข  เกิดข้ึนโดยไม่มีแม้กระท่ังผู้สุข ไม่มีความส�ำคัญมั่นหมายว่าฉันสุข  มีแต่ความสุขเกิดข้ึน ก็เท่ากับว่าบำ� เพ็ญธรรมขั้นปรมัตถ์ หรือก้าว  เข้าสู่ธรรมข้นั ปรมตั ถ์ได้ จะเห็นได้ว่าส่ิงท่ีเรียกว่านิพพาน ไม่ใช่เร่ืองไกลตัว หรือว่าจะ  ตอ้ งรอบ�ำเพญ็ ในชาตหิ นา้  หรอื ชาตติ อ่ ไป แตส่ ามารถเกดิ ขน้ึ ไดใ้ น  ทุกขณะท่ีใช้ชีวิตอย่างเป็นประโยชน์ หรืออย่างเป็นปัจจุบัน อย่าง  มีสติ อย่างมีปัญญา  ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้แล้วก็ขอให้วางใจให้เป็น  และกำ� หนดจดุ มงุ่ หมายของชวี ติ ใหถ้ กู ตอ้ ง  อยา่ ไปพอใจแคช่ วี ติ ทดี่  ี ชวี ติ ทร่ี วย หรอื ชวี ติ ทมี่ ชี อื่ เสยี ง  อยา่ งนอ้ ยกข็ อใหบ้ รรลชุ วี ติ ทด่ี กี วา่   เตบิ โตดว้ ยความสขุ สงบใจแลว้ กไ็ ปใหย้ งิ่ กวา่ นน้ั  กค็ อื พยายามเขา้   ถึงชีวิตที่ดีที่สุด  น่ันแหละคือการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ากับการเกิด  มาเปน็ มนษุ ยท์ แ่ี ทจ้ รงิ  เปน็ การใชศ้ กั ยภาพของเราใหเ้ ตม็ ประโยชน์  สงู สดุ 42 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

การเจริญสติ โดยเฉพาะแบบหลวงพอ่ เทยี น ให้จิตเรียนรู้เองธรรมชาติ  ไม่ใช่ไปบังคับเขา แตว่ า่ อาศัยสติเปน็ ตัวเตอื นจติ อยบู่ อ่ ยๆ จติ กจ็ ะรหู้ นา้ ท่ี ปญั หาคอื  สตเิ รายงั ไมค่ อ่ ยทำ� งานเทา่ ไหร่ ยงั ออ่ นแออยู่ เราตอ้ งฝกึ ให้สตทิ ำ� งานแคล่วคล่องขึ้น  รวดเรว็ ขน้ึ  ฉบั ไวขนึ้ หนา้ ทขี่ องเราคอื ไมไ่ ดไ้ ปควบคมุ จติ แตพ่ ยายามฝกึ สตใิ หท้ �ำงานได้ไว เม่อื สติทำ� งานไดด้  ี จติ กจ็ ะเช่อื ง 43 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล



สุ ข ทุ ก ข์ อ ยู่ ท่ี ใ จ เชา้ วนั ท่ ี ๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๐ มพี ทุ ธภาษติ บทหนง่ึ ทเ่ี ราคงไดย้ นิ อยบู่ อ่ ยๆ คอื  “ธรรมทงั้ หลาย  มใี จเปน็ ใหญ ่  มใี จเปน็ หวั หนา้   ทกุ สง่ิ ส�ำเรจ็ ไดด้ ว้ ยใจ”  คำ� วา่ ธรรม  ท้ังหลายมีความหมายตามอักษรจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายบวก  ธรรมฝ่ายลบ  กุศลธรรมและอกุศลธรรมก็ขึ้นอยู่กับใจ  การท�ำ  ความดีหรือการท�ำความชั่วทั้งปวงก็ขึ้นกับใจเป็นสำ� คัญ  มีใจเป็น  ฝา่ ยเรม่ิ และกำ� หนดใหก้ ายและวาจาเปน็ ไปตามทใี่ จตอ้ งการ  ธรรม  ทงั้ หลายยงั รวมไปถงึ สงิ่ ทงั้ หลายทงั้ ปวงทเี่ รารบั ร ู้ ทเ่ี รยี กรวมๆ กนั   ว่า “โลก”  โลกหรือสิ่งต่างๆ ท่ีปรากฏแก่เรา  ไม่ใช่เป็นเพราะว่ามี  สงิ่ เหลา่ นอ้ี ยแู่ ลว้ เทา่ นนั้  แตย่ งั เปน็ เพราะวา่ มใี จของเราไปรบั ร ู้  ถา้   ใจของเราไมไ่ ปรบั รมู้ นั  กเ็ ทา่ กบั มนั ไมม่ อี ย ู่  มนั มไี ดก้ เ็ พราะเรารบั ร้ ู มัน  ถ้าเรารบั รู้หรอื เชอ่ื วา่ มี มนั กม็ ี

การท่ีเรารับรู้ส่ิงต่างๆ ได้ มันไม่ได้ข้ึนอยู่กับว่า ตา หู จมูก  ลิ้น หรือว่ากาย ไปรับรู้ส่ิงนั้นเท่าน้ัน แต่มันยังอยู่ที่ใจด้วย  ถ้าใจ  ของเราถูกปรุงแต่ง ส่ิงท่ีเห็นรับรู้มันก็ผิดเพ้ียนไปได้  เช่นมีเชือก  หรือกิ่งไม้อยู่บนพื้น ถ้าใจเรามีความกลัว เราจะไม่เห็นเป็นเชือก  หรอื กง่ิ ไม ้ แตอ่ าจจะเหน็ เปน็ ง ู  ในการรบั รขู้ องเราตอนนน้ั  ไมม่ เี ชอื ก  หรอื กง่ิ ไมอ้ ยบู่ นพน้ื  มแี ตง่  ู  มเี ชอื กหรอื มกี ง่ิ ไมก้ เ็ หมอื นกบั ไมม่  ี เพราะ  เราเห็นเป็นอย่างอื่นใช่ไหม  น่ีแสดงว่าเชือกหรือกิ่งไม้จะมีหรือไม่  ก็ขนึ้ อยู่กบั ใจของเราเป็นส�ำคัญ ในท�ำนองเดียวกัน มีหนูเดินรอบกุฏิ เผอิญเป็นช่วงหน้าแล้ง  เวลาหนเู ดนิ เหยยี บใบไมแ้ หง้ จะมเี สยี งดงั กวา่ ปกต ิ  ถา้ เรากลวั  เรา  ก็คิดว่ามีคนเดินอยู่รอบกุฏิ  ในความรู้สึกของเราตอนนั้น มันไม่มี  หนูอยู่รอบกุฏิ มีแต่คนซ่ึงเป็นใครไม่รู้เดินอยู่รอบๆ  ความเป็นจริง  จะเปน็ อย่างไรกต็ าม แตใ่ จของเราไปรบั รอู้ ีกอยา่ งหน่งึ ที่จริงแล้วแม้กระท่ังความคิดว่าโลกนี้มันเที่ยง มันเป็นนิจจัง  มันเป็นตัวเป็นตน ถ้าเรามีความคิดอย่างน้ันอยู่ในใจ สิ่งที่เราเห็น  อยู่รอบตัวเรามันก็กลายเป็นของเท่ียง เป็นตัวเป็นตนข้ึนมาทันท ี คือเป็นดุ้น เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นส่วนๆ ที่อยู่ได้ด้วยตัวมันเอง  ไม่เก่ียวข้องกับสิ่งอ่ืน  แต่หากเราเกิดปัญญาขึ้นมา จนกระทั่งแล  46 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

เห็นว่า ส่ิงทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ล้วนอิงอาศัย เป็นเหต ุ ปัจจัยซึ่งกันและกัน เราก็จะเห็นโลกที่อยู่รอบตัวว่ามันไม่ใช่เป็นดุ้น  เป็นก้อน แยกส่วนจากกัน  เราจะเห็นอีกแบบหนึ่งไปเลยคือเห็น  เป็นเหมือน “กระแส” ท่ีไม่สามารถแยกออกเป็นส่วนๆ และมีการ  เคล่ือนไหวเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา โลกในสายตาของปถุ ชุ นกบั สายตาของพระอรยิ เจา้ นน้ั ตา่ งกนั   พระอริยะเห็นโลกต่างจากปุถุชน ทั้งๆ ท่ีโลกมันก็มีอยู่อย่างน้ัน  แตเ่ มอ่ื ใจของคนตา่ งกนั  กม็ องเหน็ ตา่ งกนั ไปดว้ ย  ดว้ ยเหตนุ แี้ หละ  พระพุทธองค์จงึ บอกวา่  ธรรมทงั้ หลายมีใจเป็นใหญ่ จะสขุ และทกุ ขก์ ข็ น้ึ อยกู่ บั ใจ  ความสขุ ไมไ่ ดข้ น้ึ อยกู่ บั วา่ มอี ะไร  เกิดข้ึนกับเรา แต่ว่าอยู่ท่ีใจของเราด้วย  ได้เงินมาเป็นล้านหรือ  สิบล้านก็ยังท�ำให้เป็นทุกข์ได้ ถ้าหากคิดว่าเงินท่ีได้มามันน้อยเกิน  ไป หรอื เหน็ วา่ ทไี่ ดม้ านน้ั นอ้ ยกวา่ คนอนื่ เขา  ในทางตรงขา้ ม แมจ้ ะ  ได้น้อยก็อาจจะมีความสุข ถ้าใจคิดว่าที่ได้มานั้นเยอะเกินความ ต้องการ หรอื รสู้ กึ วา่ ไดม้ ากกว่าคนอ่นื เขา การไดม้ านั้นไม่ได้หมายความวา่ จะทำ� ให้เรามคี วามสขุ   บาง  ครงั้ การเสยี หรอื สละออกไปกอ็ าจทำ� ใหเ้ รามคี วามสขุ ได ้ โดยเฉพาะ  47 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล

เวลาเราสละเงินทองหรือสละแรงกายเพ่ือช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น  การเสียสละของแม่ของพ่อ หรือของปู่ย่าตายาย ไม่ได้ท�ำให้ท่าน  ทกุ ขใ์ จเลย แตก่ ลบั ทำ� ใหท้ า่ นดใี จเสยี อกี   การสละไปในรปู ของทาน  กเ็ ช่นกัน ยิง่ ใหก้ ย็ ่ิงมีความสขุ สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ แกเ่ รา มนั มที ง้ั บวกและลบ แตจ่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ สขุ หรอื   ทกุ ข ์ มนั ขนึ้ อยกู่ บั ใจของเรา  บางสงิ่ ทด่ี ไู มน่ า่ มพี ษิ ภยั กอ็ าจเปน็ ภยั   ขน้ึ มาได ้ หากใจปรงุ แตง่ ไปในทางรา้ ย  เคยมกี ารทดลองโดยทำ� กบั   นกั โทษในเรอื นจำ�  นกั วจิ ยั เขาบอกกบั นกั โทษและผคู้ มุ วา่  เขาตอ้ งการ  ศกึ ษาฤทธขิ์ องนำ้� กรดชนดิ หนงึ่ ทเี่ พง่ิ ประดษิ ฐข์ นึ้ มาใหมว่ า่  จะกอ่ ให้  เกิดความเจ็บปวดแค่ไหน และคนเราจะมีความสามารถในการทน  มากน้อยเพียงใด  การเอานำ�้ กรดมาทดลองกับมนุษย์น้ี หาที่ไหน  ไม่ได้ต้องท�ำในคุกนี่แหละ  เขามีแรงจูงใจให้นักโทษยอมเข้าร่วม  การทดลองน้ัน แรงจูงใจก็คือว่าใครท่ีเข้าร่วมการทดลองจะได้รับ  การลดหย่อนผ่อนโทษให้ เลยมีนักโทษหลายคนอาสามาเข้าร่วม  การทดลอง เขาใหอ้ าสาสมคั รคกุ เขา่ เอามอื ยนั พน้ื   แตล่ ะคนมมี า่ นกนั้ แลว้   ปลอ่ ยนำ้� กรดลงมาตามทอ่  หยดบนหลงั อาสาสมคั ร  เมอื่ ปลอ่ ยนำ�้   ลงไปตามทอ่  พอน�้ำสมั ผสั กบั รา่ งกายของอาสาสมัคร อาสาสมคั ร  48 ส ง บ จิ ต ส ว่ า ง ใ จ

กร็ อ้ งโอดโอยเปน็ แถว  บางคนกร็ อ้ งวา่ ปวดจนจะทนไมไ่ หวอยแู่ ลว้   ท�ำไปได้ ๕ นาทีเขาก็ต้องยุติการทดลอง  นักวิจัยได้เปิดเผยหลัง  จากการทำ� การทดลองก็คอื วา่  นำ้� ท่ีหยดลงไปไม่ใช่น้ำ� กรด แตเ่ ปน็   นำ้� ธรรมดา  คำ� ถามกค็ อื ทำ� ไมอาสาสมคั รทโ่ี ดนนำ้� ธรรมดา จงึ รอ้ ง  ทุรนทุราย ก็เพราะเขาเชื่อวา่ เป็นนำ�้ กรด ท่ีน่าสนใจคือ เมื่อไปดูตามร่างกายของอาสาสมัครเหล่านี้  ปรากฏวา่  ๘๕ เปอรเ์ ซน็ ตม์ ผี น่ื แผลตรงกลางหลงั  เหมอื นกบั ลมพษิ   ทงั้ ลมพษิ ใหญ ่ ลมพษิ นอ้ ย  ยงิ่ กวา่ นน้ั กค็ อื  มคี นหนง่ึ ทปี่ วดจนชอ็ ก  หัวใจหยุดเต้นไปเลย  น�้ำธรรมดาท�ำให้คนหัวใจวายไปได้อย่างไร  มันไม่ได้อยู่ท่ีน้�ำ แต่เป็นเพราะใจ  ใจคนเราสามารถที่จะท�ำให้น้�ำ  ธรรมดา กลายเปน็ นำ�้ กรดทมี่ พี ษิ รา้ ยแรงได ้ จนกระทง่ั แมแ้ ตร่ า่ งกาย  ก็เช่ือและเกิดแผลข้ึนมา โดยเฉพาะคนท่ีช็อกตายน้ัน  หลังของเขา  เป็นลมพิษอย่างหนักคล้ายผิวลูกมะกรูดเลย  เม่ือเอาชิ้นเนื้อของ  คนตายไปส่องกล้องจุลทรรศน์ ก็พบว่ามีอาการภูมิแพ้เหมือนกับ  โดนแมลงมีพษิ ตอ่ ย แสดงวา่ ร่างกายกเ็ ชอ่ื จริงๆ วา่ โดนนำ�้ กรด นำ�้ ธรรมดาทำ� ใหเ้ กดิ แผลและภมู แิ พร้ า้ ยแรงอยา่ งนน้ั ไมไ่ ด ้ แต่  เปน็ เพราะใจถกู ปรงุ แตง่ ดว้ ยความกลวั  น�้ำธรรมดากเ็ ลยกลายเปน็   พิษไป  ในทางกลับกันคนท่ีปวดหัวหรือปวดท้อง แต่พอได้กินยา  49 พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook