๒๑ พระมหาโมคคลั ลานะ กบั โกสยิ เศรษฐี ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานะซ่ึงได้รับการยกย่องจากพระศาสดา และเป็นที่ยอมรับในหมู่พุทธบริษัทว่าเลิศทางมีฤทธ์ิ ไม่มีใคร เสมอเหมือนน้ัน ได้กล่าวถึงประวัติของท่านไว้คู่กับพระธรรม- เสนาบดีสารบี ุตรบ้างแลว้ ในเบอ้ื งตน้ ในท่นี ้จี ะนำเอาบางเรือ่ งทท่ี ่านพระมหาโมคคลั ลานะไดใ้ ชฤ้ ทธ์ิ ของท่านให้เป็นประโยชน์ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาสู่กันฟัง พอเป็นเคร่ืองบันเทิงจิต และเพ่ือสร้างแนวความคิดในทางที่ถูกว่า ฤทธ์ินั้นมจี รงิ เปน็ จรงิ เปน็ ผลพลอยไดข้ องการบำเพญ็ สมาธภิ าวนา เปน็ อานุภาพของจติ ซึง่ ไดร้ ับการฝกึ ฝนดีแลว้ ซ่งึ มีอยู่เหนือสามญั ชน เป็นอันมาก ฤทธ์ิน้ันมีประโยชนเ์ ปน็ อันมากในการฝกึ คนท่ฝี ึกยาก มีทฐิ จิ ดั หรือมีอาสาวะหนาแน่นให้คลายลงเสียก่อน เพ่ือสะดวกแก่การสอน ธรรมอนั ละเอยี ดลมุ่ ลกึ ตอ่ ไป เช่น เรือ่ งของโกสิยเศรษฐ ี
วศนิ อนิ ทสระ 253 ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์นัก มีนิคมหนึ่งชื่อสักกระ ในนิคมน้ี มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ แต่มีนิสัยตระหนี่มาก ไม่ปรารถนาสงเคราะห์ใคร แม้น้ำมันสักหยดหนึ่งก็ไม่ให้ใครเปล่าๆ นอกจากไม่สงเคราะห์คนอ่ืนแล้ว ยังไม่สงเคราะห์ตนเองอีกด้วย ไม่ใช้ทรัพย์เพื่อความสุขของตน ทรัพย์สมบัติของเขาจึงไม่เป็น ประโยชน์แก่ใครเลย เขามีความพอใจด้วยการมองดูทรัพย์ที่เพ่ิมพูน ข้ึนเหมือนมดแดงเฝ้าหวงแหนมะมว่ ง วันหน่ึงเศรษฐีโกสิยะไปเฝ้าพระราชา ตอนกลับจากท่ีเฝ้า เขาพบชาวบ้านท่ียากจนคนหน่ึงกำลังกินขนมเบ้ืองอย่างเอร็ดอร่อย เพราะความหิวบีบค้ันมานาน เศรษฐีอยากกินบ้าง แต่เสียดาย ทรัพย์ จะบอกภรรยาว่าอยากกินขนมเบ้ืองก็ไม่กล้าบอก เกรงว่า ได้ยินถึงหูคนอ่ืนแล้วจะพากันอยากกินบ้าง จะบอกให้ภรรยาทำให้ กิน ก็เกรงว่าคนอ่ืนจะกินด้วย ถ้าเป็นดังน้ีจะหมดเปลืองเป็นอันมาก ซงึ่ ขา้ วสาร งา เนยใส น้ำอ้อย เป็นตน้ เขาอดกลั้นความอยากน้ันไว้ อันความทุกข์เพราะความอยาก บีบคั้นแล้วเนืองๆ จนผ่ายผอมลง มีตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น เม่ือ ไมอ่ าจทนไดอ้ ีกตอ่ ไป จึงเขา้ ห้องนอนด้วยความระทมทุกข์ ดเู ถิด ! ดเู ศรษฐีผูม้ ที รพั ย์ถึง ๘๐ โกฏิ แตก่ ลายเปน็ คนยากจน แมข้ นมเบอื้ งกไ็ มอ่ าจกินได้ เพราะความตระหน่บี บี คนั้ ครอบงำหวั ใจ คนตระหน่ีแม้จะมีทรัพย์ก็เหมือนคนยากจน เหมือนน้ำทะเลแม้ มีมาก ก็อาศัยบริโภคไม่ได้ มันเค็ม ส่วนทรัพย์คนดีแม้มีน้อยก็ พลอยได้พงึ่ เหมือนน้ำบ่อพออาศยั อาบดืม่ ใหเ้ ปน็ สุข
254 พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ทรัพย์ของคนพาลของอสัตบุรุษ ไม่อำนวยประโยชน์สุขแก่ใครๆ รวมทง้ั ตวั เขาเองด้วย เหมือนสระโบกขรณี อนั ตง้ั อยู่ในที่ไม่มมี นษุ ย์ แม้จะใสสะอาด จืดสนทิ เยน็ ดี มีท่าลงสะดวก น่าร่ืนรมย์ มหาชน ก็หาได้อาบได้ด่ืมไม่ น้ำน้ันต้ังอยู่อย่างไร้ประโยชน์ ส่วนคนดีเม่ือ มีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงตน มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข บำรุงสมณพราหมณาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเหมือน สระโบกขรณีอันต้ังอยู่ไม่ไกลหมู่บ้าน มหาชนย่อมได้อาศัยอาบดื่ม และใชส้ อยตามตอ้ งการ โภคะของเขาหาสน้ิ ไปโดยไร้ประโยชนไ์ ม่ คนจนนน้ั มีอยู่ ๒ ประเภทคือ ประเภทหน่งึ มีเท่าไรไมร่ จู้ กั พอ อีกประเภทหนึ่งมีน้อยจนไม่เพียงพอกับความจำเป็นของชีวิต แต่ มีอยู่จำนวนไม่น้อยท่ีไม่ได้กำหนดขอบเขตแห่งสิ่งท่ีจำเป็นของตนไว้ จึงดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็จำเป็นไปหมด กลายเป็นคนกระหายอยู่ ตลอดเวลา ดังที่พระรัฐปาละผู้เลิศทางศรัทธาของพระศาสดาได้ กล่าวไว้ว่า สัตว์โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่อ่ิมไม่เบื่อ จึงตกเป็นทาส ของตณั หา (อูโน โลโก อตติ โฺ ต ตณหฺ าทาโส) ภรรยาของเศรษฐีเป็นคนมีอัธยาศัยดี ใจคอกว้างขวาง เห็น เศรษฐีนอนบนเตียงด้วยอาการทอดถอนเช่นนน้ั จึงกลา่ ววา่ “ทา่ นไมส่ บายเป็นอะไรไปหรือ?” “ไม่เป็นอะไร” เศรษฐีตอบพร้อมสั่นหน้า แล้วเหม่อมอง เพดาน
วศนิ อนิ ทสระ 255 ภรรยามองด้วยท่าทางสงสยั ก่อนจะถามว่า “พระราชากร้วิ ท่านหรือ?” “ไม่ ไมใ่ ช”่ “ถ้าอย่างน้ันพวกลูกๆ หญิงชาย หรือญาติ ทาส กรรมกร ทำอะไรไม่ถูกใจทา่ น ใหท้ า่ นรอ้ นใจหรือ?” “ไม่มี” เศรษฐีปฏิเสธ “ท่านต้องการอะไรแล้วไม่ได้ หรือว่าอยากรับประทานอะไร บ้างหรือ?” ตรงนี้ถูกจุด แต่เพราะความกลัวเสียทรัพย์ เศรษฐีจึงกลืน น้ำคำไวเ้ สยี ในอก เม่ือภรรยารบเรา้ ถามหนกั เข้า เขาจงึ พูดออ้ มแอม้ วา่ “ฉันอยากกนิ อะไรบางอยา่ ง” “อยากรบั ประทานอะไรคะ?” ภรรยาถามอย่างร้อนรน “ฉนั อยากกินขนมเบ้ือง” พดู หลุดปากออกมาอย่างยากเยน็ ภรรยาเศรษฐีเบือนหน้าไปย้ิมเสียทางหน่ึง ด้วยความรู้สึก ขบขัน เศรษฐีก็รู้เหมือนกันว่าถูกยิ้มเยาะ โทสะจนไม่อาจย้ังได้ จึง กล่าววา่ “ขบขันนักหรือ? เหน็ เป็นเรือ่ งเล็กน้อยอย่างนน้ั หรอื ?”
256 ภรรยาเศรษฐรี ูส้ กึ ตัวจึงกล่าววา่ “ท่านเศรษฐี ! ใครๆ เขากร็ ้กู ันว่า ทา่ นมที รัพย์สมบัตมิ ากมาย เพียงแค่อยากรับประทานขนมเบ้ืองเท่านี้ ท่านทนอดอยู่ทำไม? ทำไมท่านไม่บอกข้าพเจ้าสักคำหนึ่ง เอาล่ะท่าน ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ แลว้ จะทำขนมเบ้อื งให้พอคนกนิ ทั้งนคิ มนี”้ เศรษฐผี ลดุ ลกุ ข้ึนด้วยความตกใจ พรอ้ มกล่าวเสยี งดังว่า “จะมีประโยชน์อะไร แม่คุณ คนพวกน้ันทำงานให้เราหรือ? เขาทำงานของเขาก็กนิ ของเขาสิ” “ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะทอดขนมเบื้องให้เพียงพอแก่คน ในตรอกน้ี” ภรรยาเศรษฐีแสดงความใจกว้างต่อไป “โอ แม่คุณ ฉันรู้มานานแล้วว่าแม่น่ะรวยทรัพย์ ไม่ต้อง ทำอวดหรอก” เศรษฐปี ระชด “ถ้าอย่างน้ัน จะทอดขนมเบื้องให้พอแก่คนทั้งหมดท่ีอยู่บ้าน ใกลเ้ รือนเคยี ง” “ความท่ีเธอมีอัธยาศัยกว้างขวางน่ะ ใครๆ เขาก็รู้กันแล้ว ไมต่ ้องประกาศอกี หรอก” เศรษฐีว่า “ถ้าอย่างน้ัน ขอทอดใหเ้ พยี งพอแก่คนในเรอื นของเรา” “ไม่จำเป็น พวกนั้นเขาหากินเองได”้ “ถา้ อยา่ งน้นั ทอดให้พอแกเ่ ราสองคน... ทา่ นและขา้ พเจ้า”
วศิน อนิ ทสระ 257 “เธอกินด้วยหรอื ?” “ถา้ อยา่ งน้นั ทอดให้ท่านคนเดยี ว” เศรษฐีพยักหน้ารับและกล่าวว่า “ถ้าเธอทอดขนมท่ีน่ี คน จำนวนมากในบ้านนี้ย่อมหวังจะกินด้วย หมดเปลืองโดยใช่เหตุ ดังนัน้ ถ้าเธอจะทำใหฉ้ นั ก็จงเอาส่ิงของต่างๆ เชน่ ข้าวสาร น้ำนม เนยใส น้ำผ้ึง น้ำอ้อยอย่างละนิดอย่างละหน่อยข้ึนไปบนปราสาท ชัน้ เจด็ ทอดทีน่ ัน่ แล้วก็ เอ้อ ขา้ วสารน้ัน อย่าเอาขา้ วสารอย่างด ี ไป ให้เอาข้าวสารอย่างเลว ป่นๆ นั่นแหละไป ฉันคนเดียวเท่านั้น ท่จี ะนัง่ กินท่ีนน่ั ” ภราดา ! กิริยาอาการของเศรษฐีที่ไม่มีจิตน้อมไปเพ่ือบริโภค ใช้สอยของประณีต พอใจแต่จะบริโภคใช้สอยแต่ของเลวๆ นั้น ถา้ วนิ จิ ฉยั ตามหลกั พระพุทธศาสนา ทา่ นวา่ เป็นเพราะอกศุ ลวบิ ากท่ี เม่ือทำบุญให้ทานไปแล้ว รู้สึกเสียดายในภายหลัง อกุศลวิบากนั้น มาสร้างอุปนิสัยให้เบียดเบียนตนเอง ไม่น้อมจิตไปเพื่อความสุข อันตนจะพงึ ได้รับตามสมควรแกฐ่ านะของตน ภรรยาเศรษฐีใช้คนรับใช้หญิง ช่วยถือส่ิงของต่างๆ ข้ึนไป บนปราสาทชั้นที่ ๗ แล้วไล่คนรับใช้ลงมาเสีย เศรษฐีขึ้นไปแล้ว ปิดประตูใส่กลอนทุกประตู ต้ังแต่ประตูแรกเข้าไป ภรรยาเศรษฐ ี เรมิ่ ทอดขนมเบื้อง ปัจจุสกาล... ใกล้รุ่งวันเดียวกันนั่นเอง พระผู้มีพระภาค ผู้ อนุเคราะห์โลกออกจากมหาสมาบัติ ทรงแผ่ข่ายคือพระญาณออก
258 สำรวจดูหมู่สัตว์ในโลกธาตุ ผู้มีอุปนิสัยควรแก่การบรรลุมรรคผล ด้วยพระมหากรุณา ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเศรษฐี พรอ้ มทั้งภรรยา ณ กรุงราชคฤหแ์ ล้ว ตรัสเรยี กพระมหาโมคคลั ลานะ มาเฝ้า ทรงเล่าเรื่องของเศรษฐีชื่อโกสิยะให้พระสาวกผู้เลิศทางฤทธิ์ ทราบแตโ่ ดยย่อ แลว้ ตรสั ว่า “มหาโมคคัลลานะ ! แต่เศรษฐีนั้นพร้อมท้ังภรรยา เป็นผู้มี อปุ นิสัยแห่งโสดาปัตตผิ ล เราตอ้ งสงเคราะห์เขา ถ้าเราไม่ช่วยเหลอื เขาจะเส่ือมจากอริยคุณอันพึงได้ในชาติน้ี โมคคัลลานะ ! เธอจงไป ปราบเศรษฐีให้สิ้นพยศ แล้วให้นำขนม น้ำนม เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มายงั เชตวันวหิ ารดว้ ยกำลงั ฤทธิ์ของเธอ วันนี้เราพร้อมด้วย ภิกษุสงฆห์ า้ ร้อย จะน่งั คอยทำภัตตกจิ ด้วยขนมนั้นเท่านั้น” พระมหาเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วได้เดินทางไปสักกรนิคม ใกล้เมืองราชคฤห์ ซ่ึงถ้าเดินอย่างคนธรรมดาก็จะใช้เวลาแรมเดือน เพราะไกลมากถึง ๔๕ โยชน์๑ แต่พระเถระไปด้วยกำลังฤทธ์ิเพียง ครู่เดียว เหมอื นบุรุษผมู้ กี ำลังเหยยี ดแขนออก หรือคู้แขนเขา้ ยืนอยู่ ทชี่ อ่ งหน้าตา่ งแห่งปราสาทชน้ั ท่ี ๗ เม่ือได้มองไปเห็นพระเถระ ดวงใจของเศรษฐีสั่นสะท้านด้วย ความตกใจระคนด้วยความตระหนก เขาคิดว่า ‘เราอุตส่าห์มา ทอดขนมเบ้ืองบนปราสาทชั้นท่ีเจ็ด ก็เพราะกลัวคนท้ังหลายจะ ๑ ๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร ๔๕ โยชน์ = ๗๒๐ กโิ ลเมตร
วศนิ อนิ ทสระ 259 เห็นจะร่วมกิน รวมท้ังคนประเภทน้ีด้วย แต่สมณะนี้มายืนอยู่ที ่ ช่องหน้าต่าง แล้วเราจะทำอย่างไรดี’ เม่ือมองไม่เห็นส่ิงใดที่ตนจะ ใช้เป็นเครื่องมือไล่พระเถระได้ จึงทำเสียงพึมพำๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้ว กล่าวว่า “สมณะ ! ทา่ นยนื อยู่ในอากาศตรงชอ่ งหนา้ ตา่ งจะไดอ้ ะไร ถงึ ท่านจะเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมา) ในอากาศก็จะไม่ได้อะไร จากขา้ พเจ้า” พระเถระเดินจงกรมในอากาศ “สมณะ ! ท่านเดินจงกรมในอากาศจะได้อะไร แม้ท่านน่ังคู้ บลั ลงั ก์ (นงั่ ขัดสมาธิ) ในอากาศก็จะไมไ่ ด้อะไร” พระเถระนง่ั ค้บู ลั ลงั ก์ “สมณะ ! ท่านน่ังคู้บัลลังก์จะได้อะไร แม้ท่านจะมายืนอยู่ที่ กรอบหน้าตา่ งท่านก็จะไม่ไดอ้ ะไร” พระเถระมายนื ทีก่ รอบหนา้ ตา่ ง “สมณะ ! ท่านยืนที่กรอบหน้าต่างจะได้อะไร แม้ท่านจะ บงั หวนควันกจ็ ะไม่ได้อะไร” พระเถระบงั หวนควัน ขณะน้นั ควันทพี่ ระเถระบังหวนออกมา แผ่กระจายครอบคลุมปราสาทของเศรษฐีทั้งหมด เศรษฐีแสบตา เหมือนคนเอาเข็มมาแทง เศรษฐีไม่กล้าพูดว่า “ถึงท่านจะให้ไฟ ลกุ โพลงข้ึนกจ็ ะไมไ่ ดอ้ ะไร” เพราะกลวั ไฟไหมป้ ราสาท ขณะนั้นเขา
260 ก็คิดวา่ “สมณะน้ที นทานนัก ไม่ไดอ้ ะไรๆ แลว้ คงไมย่ อมไปเป็นแน่ เราควรถวายขนมใหท้ า่ นสกั หน่อยหน่ึง” ดงั นีแ้ ลว้ กลา่ วกบั ภรรยาว่า “ทอดขนมช้นิ เล็กๆ สักชิ้นหนึง่ ใหส้ มณะนี้ จักได้ไปเสยี ที” ภรรยาเศรษฐีหยอดแป้งลงไปนิดเดียว แต่ขนมกลายเป็น ช้ินใหญม่ ากข้ึนทุกทีจนเตม็ ถาด เศรษฐีเห็นดงั นั้นคดิ ว่า ชะรอยนาง จะใส่แป้งมากไป จึงตักแป้งหน่อยหน่ึงด้วยมุมทัพพี - ตักเองแล้ว หยอดลงไป ขนมไดก้ ลายเป็นชนิ้ ใหญ่กว่าชิ้นกอ่ นเสยี อีก แม้เศรษฐ ี จะทำอย่างเดียวกันอีกหลายครั้ง ก็มีผลออกมาเป็นอย่างเดิม จนเบื่อหนา่ ย จงึ กลา่ วกบั ภรรยาวา่ ขอให้ให้ขนมแก่สมณะสักช้ินหน่งึ นางจึงหยิบขนมที่ทอดเสร็จแล้วจากกระเช้า ขนมในกระเช้าเกิด ติดกันแน่นทั้งหมด แยกเท่าไรก็ไม่ออก เศรษฐีเองพยายามแยก เท่าไรก็ไม่ออก ทั้งสองช่วยกันดึงเท่าไรก็ไม่ออก (น่ีเป็นด้วยอำนาจ ฤทธิ์ของพระเถระ) เศรษฐีและภริยาพยายามดึงขนมจนเหงื่อโทรม กาย ความหิวก็หายไป เศรษฐีกล่าวกับภรรยาว่า “ฉันไม่ต้องการ ขนมแล้ว จงใหแ้ ก่สมณะนไี้ ปทง้ั หมดเถดิ ” ภรรยาเศรษฐีถือกระเช้า ขนมเขา้ ไปหาพระเถระเพื่อถวาย พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศด้วยฤทธิ์ได้แสดงธรรมให้ท่าน ทง้ั สองฟงั ถึงคุณของพระรตั นตรัยและผลของทานเปน็ ตน้ โดยนัย ดังนี้ “ณ เชิงหิมาลัยบรรพต มีแคว้นหน่ึงนามศากยะ พระราชา ผู้ครองคือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระอัครมเหสีแห่งพระราชาน้ัน
262 พระนาม สิริมหามายา พระนางประสูติพระราชโอรสพระนาม สิทธัตถะ พระสิทธัตถราชกุมารได้ทรงมีดวงตาคือ ปัญญามองเห็น ทุกข์ของโลก จึงทรงสละโลกียสุขท้ังมวล ออกแสวงหาธรรมเป็น เคร่ืองพ้นจากความทุกข์ เม่ือพระชนมายุเพียง ๒๙ พรรษา ทรง ทำความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ ทรงทำความเพียรอย่างยอดเย่ียมอยู่ ๖ ปี จนพระชนม์ ๓๕ จึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อ จากนั้นอาศัยพระมหากรุณาอันเปี่ยมอยู่ในพระหฤทัย จึงเท่ียว ส่ังสอนเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ละเว้นความเห็นแก่ตัว หรือแสวงหาความสุขเฉพาะตน แล้วเบียดเบียนผู้อ่ืน ทรงสอนให้ มนุษย์เอื้อเฟ้ือต่อกัน ช่วยเหลือกัน มีจิตปราศจากการจองเวร แต ่ ให้มเี มตตาปรานตี ่อกนั คำสงั่ สอนของพระองคเ์ รยี กวา่ ‘พระธรรม’ ผปู้ ฏิบัติตามพระธรรม ย่อมปลอดจากการเบยี ดเบยี นตนและผู้อน่ื ต่อมามีผู้เลื่อมใสในคำสอนของพระศาสดาพระองค์น้ัน สละ ทรพั ยส์ มบัตแิ ละโลกยี สขุ อน่ื ๆ ออกบวช ปฏบิ ัตดิ ี ปฏิบัตชิ อบจนได้ ล้ิมรสพระธรรม มีความสุข สงบเย็นอย่างยิ่ง เป็นพยานในคำสอน ของพระผู้มีพระภาคว่า ปฏิบัติตามได้จริง มีผลจริง แล้วส่ังสอน ผอู้ ื่นใหร้ ตู้ ามเหน็ ตาม ทา่ นเหล่านเี้ รียกวา่ ‘พระสงฆ์’ ทง้ั ๓ อยา่ ง เรยี กวา่ ‘พระรัตนตรยั ’ ดูก่อนโกสิยะ ! ชาวโลกมืดอยู่ด้วยโมหะ คือความหลงไม่รู้ สิง่ ตา่ งๆ ตามความเปน็ จริง เหมือนคนไรจ้ กั ษุ หรือเหมือนคนมีจักษุ แตเ่ ดินอยใู่ นความมืด ไม่เหน็ อันตราย แมต้ งั้ อยเู่ ฉพาะหนา้ ได้อาศัย พระรัตนตรัย จึงได้พบแสงสวา่ ง สามารถมองเห็นตามความเปน็ จรงิ
วศนิ อนิ ทสระ 263 ดูก่อนโกสิยะ ! ชาวโลกเร่าร้อนด้วยโทสะ ความเดือดดาล แค้นเคือง ประทุษร้ายกัน เพราะความร้อนอันเกิดขึ้นในจิตของตน จึงแผ่ความร้อนให้กระจายไปยังมนุษย์และสัตว์อื่น มนุษย์เป็น จุดศูนย์รวมของความเรา่ ร้อน หรือความสงบเย็นของโลก ในที่ใดใจ ของมนุษย์เร่าร้อนอยู่ด้วยโทสะ ในที่น้ันสัตว์โลกอ่ืนๆ ก็พลอยถูก เบียดเบียนไปด้วย ในที่ใดจิตมนุษย์สงบเยือกเย็นอยู่ด้วยเมตตา ในท่ีนั้นสัตว์ทั้งหลายอ่ืนก็พลอยได้รับความร่มเย็นไปด้วย สัตว์โลก ท้ังหลายได้อาศัยพระรัตนตรัยแล้วสามารถดับความเร่าร้อนกระวน- กระวายในดวงจิตเสียได ้ ดูก่อนโกสิยะ ! ชาวโลกมัวเมาอยู่ในรูป เสียง กล่ิน รส สิ่งสัมผัส มัวเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขอันเกิด จากรปู เสยี ง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส ลาภ ยศ และสรรเสรญิ นน้ั แต่ เนอ่ื งจากสิง่ เหลา่ น้นั เปน็ โลกยี ธรรม มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ลงท้ายด้วยทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มัวเมาอย่ ู ไม่รู้เรื่องนี้ตามความเป็นจริง จมอยู่ หมกมุ่นอยู่ เมื่อส่ิงเหล่านั้น แปรปรวนไปตามธรรมดาของสิ่งท่ีประกอบขึ้นด้วยเหตุปัจจัย สัตว์ ทั้งหลายเหล่านั้นก็เร่าร้อนเหมือนถูกลูกศรแทง ต้องเศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพัน คับแค้นใจ ดูก่อนโกสิยะ อาศัยพระรัตนตรัยแล้ว ชาวโลกได้คลายความเมาลง กลายเปน็ ผสู้ มบรู ณ์ด้วยสตสิ ัมปชัญญะ เข้าไปเกี่ยวข้องกับส่ิงต่างๆ ด้วยปัญญา - มีปัญญาในการถอนตน ออก ไมห่ มกมนุ่ ตดิ อยู่ จมอยู่
264 ดกู อ่ นโกสยิ ะ ! สตั วโ์ ลกได้รบั ความเดือดรอ้ นลำบากเป็นนักหนา ด้วย ราคะ โทสะ และโมหะอันใด เม่ือสามารถทำลายเสียได้ซึ่ง ราคะ โทสะ และโมหะอันน้ัน สัตว์โลกก็พ้นจากความลำบาก ยากเขญ็ ปลอดโปร่งเยือกเยน็ ไมม่ คี วามขดั แย้งภายใน ทัง้ นี้กด็ ว้ ย ไดอ้ าศยั คณุ พระรัตนตรัยเปน็ ประทปี สอ่ งทาง ดูก่อนโกสิยะ ! บุคคลบางพวกมีความเห็นว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การควบคุมตนเองไม่มีผล ดังน้ันจึงไม่มีประโยชน์ อะไรท่ีจะให้ทานแก่คนทั้งหลาย เรื่องทานเป็นเรื่องท่ีคนฉลาด บัญญัติขึ้นเพ่ือหลอกคนโง่ การบูชาเป็นความงมงายอย่างร้ายกาจ ไมม่ ผี ลอะไร ส่วนการควบคมุ ตนเองเลา่ ก็เปน็ การฝืนความปรารถนา ของตน โดยไมม่ ผี ลตอบแทนอันคุม้ กนั ผูม้ คี วามเชือ่ เช่นนไ้ี มใ่ หท้ าน ไม่ทำการบูชาสิ่งที่ควรบูชา หรือบุคคลอันตนควรบูชา ไม่มีการ ควบคุมตนเอง ตนมีความปรารถนาอย่างใดย่อมทำอย่างน้ัน ไม่ คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้ใด ถือเอาการสำเร็จความสมปรารถนา ของตนเป็นท่ีต้งั แต่พระศาสดาของข้าพเจ้า คือพระศากยมุนีตรัสว่า ‘ทาน มีผล การบูชามีผล การควบคุมตนเองเป็นหน้าท่ีสำคัญของมนุษย์ เพราะอนั น้แี หละทำใหม้ นุษยแ์ ตกตา่ งจากสัตว์ดิรจั ฉานทั่วไป’ ดูก่อนโกสยิ ะ! บคุ คลในโลกอยรู่ วมกันย่อมต้องพงึ่ พาอาศัยกนั เอ้ือเฟ้ือช่วยเหลือกัน คนยากจนช่วยเหลือคนม่ังมีด้วยกำลังกาย คนมั่งมีอนุเคราะห์เก้ือกูลคนยากจนด้วยกำลังทรัพย์ คนยากจนให้
วศนิ อินทสระ 265 กำลังใจแก่คนมั่งมีด้วยการทำการงานดี คนม่ังมีถนอมน้ำใจคน ยากจนด้วยปิยวาจา ท้ังสองฝ่ายต่างอาศัยกันและกัน ด้วยการ บำเพ็ญประโยชน์ให้แก่กัน ไม่เอาเปรียบกัน และวางตนเหมาะสม แกฐ่ านะของตน ดกู อ่ นโกสยิ ะ ! หลักธรรมทั้ง ๔ ประการดังกล่าวมา คือการ สงเคราะห์ชว่ ยเหลือกัน ๑ การพูดจาไพเราะยังใจของกนั และกนั ให้ เอบิ อาบ ๑ การบำเพ็ญประโยชนใ์ หก้ ัน ๑ และการวางตนเหมาะสม แกฐ่ านะของตน ๑ พระศาสดาของขา้ พเจา้ ทรงเรียกว่า สังคหวัตถุ เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวน้ำใจกัน เปรียบเสมือนเพลาหรือลิ่มสลัก ยึดเหนย่ี วรถใหท้ ำงานไปได้ แล่นไปได้สจู่ ุดหมาย” พระเถระยังเศรษฐีและภริยาให้สมาทาน อาจหาญร่าเริงใน กุศลธรรม ด้วยประการฉะน้ีแล้ว เศรษฐีและภริยาหมอบลงแทบเท้า ของพระมหาเถระผู้เลิศด้วยฤทธแิ์ ละกล่าววา่ “นานเหลือเกิน ท่านผู้เจริญ นานเหลือเกินกว่าท่านจะมา โปรด เกือบชา้ ไป วยั ของข้าพเจา้ ทั้งสองก็ล่วงไปมากแล้ว จนป่านนี้ ยังไม่เคยได้สดับธรรมของสัตบุรุษ ธรรมกถาของท่านแจ่มแจ้งชัดเจน เข้าอกเข้าใจ” เศรษฐีและภรรยากล่าวปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัย แล้ว น้อมกระเช้าขนมเข้าไปถวาย พร้อมกล่าวว่า “นิมนต์ฉันเสียเถิด พระคณุ เจ้า ขา้ พเจ้าถวายดว้ ยศรัทธา”
266 พระมหาเถระกล่าวว่า “ท่านเศรษฐี บัดนี้พระศาสดาพร้อม ด้วยภกิ ษุสงฆ์ ๕๐๐ รปู นงั่ รอคอยเพอ่ื ฉันขนมของทา่ นอยู่” “กพ็ ระศาสดาประทบั อย่ทู ี่ใดเลา่ ทา่ นผู้เจรญิ ?” “พระศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ไกลจากที่น่ี ๔๕ โยชน”์ “พระคุณเจ้า หนทางมันไกลอย่างน้ี จะไปให้ทันเสวยได้ อยา่ งไร?” “ท่านเศรษฐี เร่ืองน้ันเป็นหน้าท่ีของอาตมาเอง ท่านเตรียมตัว เถิด ท่านและภรรยาจะถงึ เชตวันวิหารอย่างรวดเรว็ ” ว่าแล้วพระเถระก็เข้าฌาน ซ่ึงมีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ย่น แผ่นดินให้ใกล้เข้ามา จึงสามารถถึงนครสาวัตถีได้เพียงครู่เดียว เร็วกวา่ เวลาทีล่ งจากปราสาทชั้นบนมายงั ชน้ั ลา่ ง เศรษฐีและภรรยาเข้าเฝ้าพระศาสดา น้อมขนมเข้าไปถวาย ภิกษุท้ังหลายท้ัง ๕๐๐ ฉันจนอ่ิมหนำ ขนมก็หาได้หมดไปไม่ ให ้ คนที่อาศัยวัดกินอีก ขนมก็ยังไม่หมด ยังเหลืออีกมาก พระศาสดา รบั สง่ั ให้เจ้าของขนมนำไปทง้ิ เสียทใ่ี กลป้ ระตเู ชตวันวหิ าร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาด้วยธัมมีกถา ให้เศรษฐี และภรรยาอาจหาญร่าเริงในธรรมสัมมาปฏิบัติ ท่านท้ังสองส่ง กระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนาได้บรรลุโสดาปัตติผล หมุนชีวิต เข้าสู่กระแสธรรมอันม่ันคงยั่งยืนไม่เปล่ียนแปลง เขาท้ังสองได้ มองเห็นชีวิตใหม่อันสะอาด สว่าง และสงบเยือกเย็นเกินเปรียบ
วศนิ อินทสระ 267 เม่ือหวนระลึกถึงความเป็นอยู่แต่เก่าก่อน อันตนเคยกระหยิ่มย่ิงนัก น้ัน ช่างมืดมนไร้สาระเสียนี่กระไร ! ความสุขอย่างเก่านั้นเล่าก็ เหมือนความสุขของขอทานที่เบิกบานร่าเริง เม่ือขอเงินจากผู้อื่นได้ จะเทียบกับความสุขเวลานี้ ซ่ึงเหมือนความสุขของเศรษฐีได้ อย่างไร? ดูก่อนภราดา ! เรื่องนี้พระบรมศาสดามีพระประสงค์จะทรง แสดงอทิ ธิปาฏิหารยิ ์ ซ่งึ พระองค์มีอยเู่ ป็นอันมาก แต่ทรงแสดงเพียง เล็กน้อย ทรงบันดาลฤทธิ์ให้ขนมเพียงเล็กน้อยท่ีเศรษฐีนำมาน้ัน ไม่รู้จักหมดส้ิน ยังความอัศจรรย์ใจแก่เศรษฐีและภรรยาเป็นล้นพ้น เร่ืองทำนองน้ีไม่ต้องกล่าวถึงพระบรมศาสดาดอก แม้พระสาวก ธรรมดาทีไ่ ดอ้ ภิญญา ๕ แมย้ งั ไมส่ ้นิ อาสวกิเลสก็ทำได ้ อีกประการหน่ึง ผู้มีทรัพย์ มียศ มีเกียรติ หลงอยู่ในทรัพย์ ยศ และเกียรติน้ัน สำคัญมั่นหมายว่าโลกียสุขนี่เท่าน้ันคือสุขแท้ เป็นสุขท่ีตนพึงแสวงหา เมื่อยังไม่ได้ก็ดิ้นรนแสวงหาอย่างเอาตัวตน ชีวิตจิตใจเข้าไปแลก เมื่อได้แล้วก็เพลิดเพลินอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ใจ ก็ร่านหาความสุขอย่างใหม่ต่อไป แต่ล้วนเป็นความสุขที่ต้องอาศัย ผู้อ่ืนสิ่งอ่ืน จึงเหมือนสุขของขอทาน มีการแสวงหามาก มีปัญหา มาก ส่วนความสุขของพระอริยเจ้าไม่ต้องมีการแสวงหามาก และ ไม่มีปัญหา จึงเป็นความสุขท่ีประณีตกว่า สงบเยือกเย็นและเป็นไท ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียก่อนแล้วจึงสุข เป็นความสุข ที่เกิดจากตนเอง เป็นอิสระ อยู่เหนือการครอบงำของกิเลส พ้น เง้ือมมือของมาร
268 ดูก่อนผู้แสวงสันติวรบท มนุษย์ในโลกควรศึกษาให้เข้าใจ ควรลองปฏิบัติแสวงหาความสุขอย่างไม่อิงอาศัยอามิสเป็นพ้ืนฐาน ของจิตใจไว้บ้าง เพื่อได้ถอนตนออกมาได้โดยง่าย เม่ือความสุข ชนิดที่ต้องอิงอาศัยอามิสกลายเป็นพิษขึ้นมา เพราะความประมาท พลาดพลั้งหรอื เพราะเสวยสขุ นนั้ มากเกินไป พระมหาโมคคัลลานะได้อาศัยฤทธ์ิของตนช่วยเหลือพระ- ศาสดาในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาดังพรรณนามาฉะน้ี ต้ังแต่บัดน้ันเป็นต้นมา เศรษฐีและภรรยาได้สละทรัพย์ของ ตนใหเ้ ป็นประโยชนแ์ กป่ ูชนยี บคุ คลและสาธารณชนทว่ั ไป วันหน่ึง ภิกษุท้ังหลายน่ังประชุมกันที่ธรรมสภา สนทนา สรรเสริญคุณของพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปฝึกเศรษฐีให้เป็นคนดี ไม่กระทบกระเทือนศรัทธา ไม่กระทบกระทั่งโภคะของเขา พระ- มหาเถระชา่ งมอี านุภาพมาก และมีคุณน่าอศั จรรย์จริงๆ พระศาสดาเสด็จมาธรรมสภา ทรงทราบเรื่องที่ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันแลว้ ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมดาภิกษุผู้ฝึกสกุล พึงเป็นผู้ไม่กระทบ กระทั่งศรัทธา ไม่กระทบกระท่ังโภคะ ไม่ทำให้สกุลชอกช้ำ ไม่ เบยี ดเบียนเขา เปน็ ดจุ แมลงภเู่ คล้าเอาเกสรดอกไม้ ภิกษุทั้งหลาย ! มุนีพึงเข้าสู่สกุลทำนองเดียวกับแมลงภู่ ไม่ทำดอก สี และกล่ินให้ ชอกช้ำ คือเอาแต่รสแลว้ บินไปฉะนั้น”
วศิน อินทสระ 269 ‘ไม่ทำให้สกุลชอกช้ำ’ ช่างเป็นพระวาจาท่ีแสดงความปรานี และหวังประโยชน์ต่อตระกูลเสียน่ีกระไร ! เพราะธรรมดาชาวบ้าน ชาวเมืองมีความชอกช้ำเป็นปกติอยู่แล้ว ต้องลำบากยากเข็ญใน การหาทรัพย์เป็นนักหนา เพ่ือนำมาหล่อเล้ียงชีพของตนและคน ใกล้เคียงเก่ียวข้อง - บุตร ภรรยา (หรือสามี) ญาติพ่ีน้องท้ังฝ่าย ตนเองและฝา่ ยภรรยา (หรอื สาม)ี เพอื่ นฝงู มิตรสหาย ผสู้ งู อายุ ซึ่ง เคยมีอุปการคุณ งานสังคมสงเคราะห์ และอ่ืนๆ อีก เช่น บำบัด อนั ตรายอนั เกิดจากเหตตุ า่ งๆ มโี รคภยั ไข้เจบ็ เป็นตน้ เสียภาษอี ากร บำรุงประเทศ ทำบุญในสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบ อุดหนุน ผ้เู สยี สละชวี ิตเพื่อป้องกันบ้านเมือง ฯลฯ ด้วยภารกิจอันมากมายดังกล่าวนี้ ฆราวาสจึงมีรายได้ไม่ค่อย พอรายจ่าย แต่ต้องอดทนอดออมเพ่ือสร้างฐานะอนาคต บางคราว ให้มิตรสหายหรือผู้เก่ียวข้องยืมไปก่อน เห็นว่าเขากำลังลำบาก ให้ไปด้วยจิตเมตตากรุณา ปรารถนาสงเคราะห์เขา แต่แล้วเขา ตอบแทนด้วยการโกง ไม่ยอมใช้หน้ีสิน เจ้าของทรัพย์ก็ได้แต่ ชอกช้ำใจ บางคราวต้องชอกช้ำด้วยการต้องพลัดพรากจากบุคคลอัน เป็นที่รัก บางคราวต้องเดือนร้อนกับการต้องอยู่กับศัตรู เหมือน มีงูพษิ อยู่ใกล้ ตอ้ งระวังระไวตลอดเวลา ฆราวาสมีเรื่องชอกช้ำมากดังพรรณนามาโดยย่อน้ีแล้ว ถ้า สมณะผู้เข้าสู่สกุลทำให้สกุลชอกช้ำเข้าอีก พวกเขาจะไปพ่ึงใคร จะได้ใครเปน็ หลกั แห่งชวี ิตเล่า
๒๒ ถงึ กบั ตอ งคราแขนกันออกไป อีกเรื่องหนึ่งซ่ึงแสดงถึงความเป็นผู้ช่วยที่ดี และความ กล้าหาญเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของพระมหาโมคคัลลานะ คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของวิสาขา มิคารมาตา ในบพุ พาราม นครสาวตั ถี วนั อุโบสถวนั หนง่ึ พระศาสดาประทบั นงั่ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ เพื่อทรงแสดงโอวาทปาติโมกข ์ แต่ทรง ประทบั นง่ั เฉยอยู่จนลว่ งปฐมยามไปแล้ว พระอานนทเ์ ถระไดล้ กุ จาก อาสนะ กระทำผ้าห่มเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีกราบทูลพระผู้มี- พระภาคเจ้าวา่ “พระองค์ผเู้ จรญิ ราตรีลว่ งไปแล้ว ปฐมยามล่วงไปแลว้ ภกิ ษุ สงฆ์น่ังรอนานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงพระปาติโมกข์ แกภ่ ิกษุทง้ั หลายเถดิ ” เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้ พระศาสดาก็ยังคงประทับ นั่งเฉยอยู่ จนล่วงมัชฌิมยาม พระอานนท์ก็กราบทูลดังน้ันอีก พระตถาคตเจ้าก็คงประทับเฉยจนล่วงปัจฉิมยาม จวนอรุณรุ่ง พระอานนท์ไดก้ ราบทลู อีกคร้ังหนึง่ พระบรมศาสดาจงึ ตรสั ว่า
วศิน อินทสระ 271 “อานนท์ ! ในที่ประชมุ สงฆ์นี้ มภี ิกษผุ ไู้ ม่บริสทุ ธ์ริ วมอยดู่ ว้ ย” เม่ือได้ฟังพระพุทธดำรัสเพียงเท่าน้ี พระมหาโมคคัลลานะได้ กำหนดจิตพิจารณาภิกษุสงฆ์ ซ่ึงร่วมประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้น ได้ เห็นภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ทุศีลมีธรรมทราม มีความประพฤติไม่สะอาด นา่ รงั เกยี จ มกี ารกระทำซ่งึ ปกปิดไว้ มใิ ช่สมณะ ปฏิญาณตนว่าเป็น สมณะ มใิ ชพ่ รหมจารี ปฏญิ าณตนว่าเปน็ พรหมจารี เปน็ คนเนา่ ใน มีกิเลสร้ายสางได้ยากเหมือนกองหยากเย่ือ น่ังอยู่ท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ พระมหาโมคคัลลานะเข้าไปพูดกับภิกษุน้ันว่า “ลุกข้ึนเถิด อาวุโส พระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นท่านแล้ว” แต่ภิกษุนั้นคงนั่งเฉย พระมหาโมคคลั ลานะพูดดังนนั้ ถึง ๓ ครง้ั ภิกษุผทู้ ุศีลกย็ ังคงน่งั เฉย ทำเปน็ ไมร่ ไู้ มเ่ ข้าใจ พระมหาโมคคัลลานะผู้เลิศทางฤทธ์ิ ตัดสินใจจับแขนภิกษุ รูปน้ัน ครา่ ออกไปท้ิงไว้ทภี่ ายนอกซ้มุ ประตู แลว้ ใส่กลอนโรงอุโบสถ แล้วกราบทูลพระศาสดาวา่ “ขา้ แต่พระสคุ ตเจา้ ! บุคคลผ้ไู มบ่ ริสทุ ธขิ์ า้ พระองค์คร่าออกไป แล้ว บดั นภี้ กิ ษุบรษิ ทั บรสิ ทุ ธ์ิแลว้ ขอพระองค์จงแสดงพระปาติโมกข์ แกภ่ กิ ษทุ ้ังหลายเถิด” พระศากยมุนีตรัสว่า “อัศจรรย์จริง โมคคัลลานะ หนักหนา จริง โมคคัลลานะ โมฆบุรุษ - ผู้ว่างเปล่าจากคุณธรรมน้ัน ถึงกับ ต้องคร่าแขนกันออกไป” ดงั น้แี ลว้ ตรสั กบั ภิกษทุ ั้งหลาย ณ ท่นี ั้นว่า
272 “ภิกษุทั้งหลาย ! ตั้งแต่บัดน้ีเป็นต้นไป เราจักไม่ทำอุโบสถ ไม่สวดปาติโมกข์ ต้ังแต่บัดน้ีเป็นต้นไป พวกเธอน่ันแหละจงทำ อุโบสถสวดปาติโมกข์กันเอง ภิกษุทั้งหลาย ! เป็นการไม่เหมาะสม ไม่สมควรท่ีตถาคตจะพึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ร่วมกับบริษัท ผูไ้ มบ่ รสิ ุทธ์”ิ พระศาสดาตรัสช้ีแจงถึงเร่ืองที่ไม่ทรงสวดปาติโมกข์ดังนี้แล้ว ตรัสถึงความอัศจรรย์แห่งธรรมวินัย ๘ ประการ เทียบด้วยความ อัศจรรย์แหง่ มหาสมทุ รดงั ต่อไปน้ี ๑. มหาสมุทรลาดลงตามลำดับ ลึกลงตามลำดับ ไม่โกรกชัน เหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัยน้ีก็ฉันนั้น มีการศึกษาและการ ปฏบิ ตั กิ ารบรรลุผลตามลำดบั ๒. น้ำในมหาสมุทรย่อมไม่ล้นฝั่ง (แม้จะมีสายน้ำจากแหล่ง ต่างๆ ไหลลงสูม่ หาสมุทรเป็นอันมาก) ฉันใด ในธรรมวนิ ยั น้ีกฉ็ ันนนั้ สาวกของเราย่อมไม่ล่วงสิกขาบทท่ีเราบัญญัติไว้แล้ว แม้จะต้อง สญู เสยี ชีวติ ก็ตาม ๓. มหาสมทุ รยอ่ มไม่อยกู่ ับซากศพ ย่อมซัดสาดซากศพข้นึ ฝง่ั โดยเร็วฉนั ใด ในธรรมวินยั นก้ี ็ฉันนนั้ บคุ คลใดทุศีล มธี รรมทราม... สงฆ์ย่อมไม่ยอมอยู่ร่วมกับบุคคลเช่นน้ัน ย่อมประชุมกันขับไล่เสีย จากหมู่ ภิกษุผู้ทุศีลเช่นนั้น แม้อยู่ท่ามกลางสงฆ์ก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกล แมส้ งฆ์ก็ชอ่ื ว่าห่างไกลจากบคุ คลเช่นน้นั
วศนิ อนิ ทสระ 273 ๔. มหานทีทงั้ หลาย เมอ่ื ไหลลงสู่มหาสมุทรแลว้ ยอ่ มละนาม ของตนถึงซึ่งการนับว่า ‘มหาสมุทร’ ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น วรรณะทง้ั หลาย อาทิ วรรณะกษตั รยิ ์ เมือ่ ออกบวชแลว้ ยอ่ มละนาม และโคตรเดิมของตน ถึงซ่ึงการนับว่า ‘เป็นสมณศากยบุตร’ เสมอ เหมอื นกันหมด ๕. สายน้ำจากแหล่งต่างๆ ไหลลงสู่มหาสมุทรอยู่เสมอ (ทั้ง จากฟากฟ้าและจากพื้นดิน) แต่ความพร่องหรือความเต็มย่อม ไม่ปรากฏฉันใด ในธรรมวินัยน้ีก็ฉันนั้น แม้จะมีภิกษุเป็นอันมาก ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุไปแล้ว แต่ความพร่องหรือ ความเต็ม หาปรากฏแก่นพิ พานธาตนุ ้ันไม ่ ๖. มหาสมุทร มีรสเดียวคือรสเค็มฉันใด ธรรมวินัยก็ฉันน้ัน มีรสเดียวคอื วิมตุ ติรส - ความหลดุ พน้ จากอาสวกิเลสทั้งปวง ๗. มหาสมุทร มีรัตนะเป็นอันมากฉันใด ธรรมวินัยก็ฉันน้ัน มีรัตนะคือ ธรรมเป็นอันมาก (อนั เป็นไปเพอ่ื ความสขุ ความเจรญิ ท้งั ปัจจุบนั และภายหนา้ ) ๘. มหาสมุทร เป็นทีอ่ ยู่อาศัยของภูต (คือสตั ว)์ ใหญๆ่ เป็น อันมากฉันใด ธรรมวินัยน้ีก็ฉันน้ัน เป็นที่อยู่อาศัยของภูต (คือ บุคคล) ใหญ่ๆ เปน็ อนั มาก เช่นพระโสดาบนั เปน็ ตน้ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ภตู (คือสัตว์) ทัง้ หลายไดเ้ หน็ ความมหศั จรรย์ แห่งมหาสมุทร ๘ ประการนี้แล้ว ย่อมอภิรมย์ต่อมหาสมุทรน้ัน ฉันใด ภูต (คือบุคคล) ท้ังหลาย มีพระโสดาบัน เป็นต้น ได้เห็น
274 ความอัศจรรย์แห่งธรรมวินัย ๘ ประการน้ีแล้ว ย่อมอภิรมย์พอใจ ต่อธรรมวนิ ยั น้ีฉนั น้ัน พระศาสดาทรงเปล่งพระอุทานในขณะนัน้ ว่า “กิเลสย่อมครอบงำกำซาบภิกษุผู้ปกปิดอาบัติไว้ แต่ไม่ ครอบงำกำซาบภิกษุผู้เปิดเผยอาบัติ เพราะฉะนั้นควรเปิดเผยอาบัติ ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี กิเลสจกั ครอบงำไม่ได”้ ดูก่อนผู้แสวงสันติวรบท ! ต้ังแต่บัดนั้นมา พระศาสดามิได้ ทรงทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ร่วมกับภิกษุท้ังหลายอีกเลย แต่ต้อง เข้าใจอยา่ งหน่งึ ว่า พระปาติโมกขท์ ่ีพระศาสดาทรงสวดนนั้ หมายถงึ พระโอวาทปาติโมกข์ ไม่ใช่ภิกขุปาติโมกข์ โอวาทปาติโมกข ์ คือพระธรรมอันเป็นหลักสำคัญ ส่วนภิกขุปาติโมกข์คือพระวินัย อันเป็นหลักให้ภิกษุอยู่ร่วมกันโดยไม่รังเกียจกันในเรื่องศีลเร่ืองวินัย อีกเร่ืองหนึ่งอันแสดงถึงความเป็นผู้มีประโยชน์เก้ือกูลต่อ พุทธบริษัทของพระมหาโมคคัลลานะ แม้ในงานนวกรรม (การ กอ่ สร้าง) ดังเร่ืองต่อไปน้ี วันหน่ึง หลังจากพระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยท่ีบ้านของ อนาถปิณฑิกเศรษฐีแล้ว เสด็จบ่ายพระพักตรไ์ ปยงั ประตูด้านทิศอุดร มีพระประสงค์จะเสด็จไปโปรดบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อภัททิยะ ใน ภัททิยนคร เพราะได้ทรงตรวจพิจารณาเห็นอุปนิสัยสมบัติของบุตร เศรษฐีน้นั ตามปกติธรรมดาของพระศาสดาเป็นดังน้ีคือ ถ้าเสวยท่ีบ้าน ของนางวสิ าขาก็จะเสดจ็ ออกทางประตดู า้ นทิศทกั ษณิ (ทิศใต)้ แล้ว
วศิน อินทสระ 275
276 เสด็จไปประทับ ณ เชตวนาราม ถ้าเสวยท่ีบ้านของอนาถปิณฑิก เศรษฐี เสด็จออกทางประตูทิศปราจีน (ตะวันออก) แล้วเสด็จ ประทับ ณ บุพพารามของนางวิสาขา คราใดท่ีพระพุทธองค์เสด็จ บ่ายหน้าทางทิศอุดร (เหนือ) ผู้คุ้นเคยก็จะทราบได้ทันทีว่า ม ี พระประสงค์จะเสดจ็ จารกิ ไปยงั ทอี่ ่นื ๆ ตามท่ีทรงประสงค์ วนั นั้น นางวสิ าขา มหาอบุ าสกิ า เห็นพระตถาคตเจ้าเสวยที่ บ้านของอนาถปิณฑิกเศรษฐี แล้วเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศ อุดร จงึ รีบไปเฝ้าถวายบงั คมแล้วกราบทลู ว่า “พระเจ้าขา้ หมอ่ มฉัน บริจาคทรัพย์จำนวนมากสร้างวิหารถวายพระองค์และภิกษุสงฆ์ ขอไดโ้ ปรดเสด็จกลับเถดิ พระเจ้าข้า” “วิสาขา !” พระศาสดาตรัสอย่างอ่อนโยน “ธรรมดาพระ- พุทธเจา้ ไม่ควรอยู่ท่เี ดยี วนานเกินไป การไปคราวนีน้ านหลายเดือน” นางวิสาขาคิดว่า ‘พระศาสดาตรัสดังน้ี คงได้ทรงพิจารณา เห็นใครสักคนหนึ่งผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยสมบัติ ที่พระองค์ควร จะโปรดเป็นแน่แท้’ ดังนั้นแล้วกราบทูลว่า “ถ้ากระนั้นขอพระองค์ โปรดรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งผู้เข้าใจในงานก่อสร้างอยู่ก่อนเถิด พระเจ้าข้า” “เธอพอใจให้ภิกษุรูปใดอยู่ก็จงรับบาตรของภิกษุรูปนั้นเถิด วสิ าขา” พระศาสดาตรสั ความจริงนางพอใจพระอานนท์ มีความสนิทสนมและความ เคารพรักเป็นอย่างย่ิง แต่เมื่อคำนึงถึงงานท่ีจะต้องทำให้สำเร็จไป โดยเร็วแล้ว นางคิดว่าพระโมคคัลลานะผู้เลิศด้วยฤทธิ์จะยังประโยชน์
วศิน อนิ ทสระ 277 มน้ใอี หงส้ดำพู เรระ็จศไดาด้สีกดวาเ่าปน็จึงเชรงิับวบ่าาตจระพทรระงมอหนาญุ โามตคกคาลั รลกาลนบั ะขอพงรทะ่ามนหหารเถือรไมะ่ พระผูม้ พี ระภาคจึงตรัสว่า “โมคคัลลานะ เธอและบรวิ ารจงกลับเถิด เพ่อื อนุเคราะห์วสิ าขา” ด้วยอานุภาพของพระมหาเถระ คนงานท่ีไปขนไม้และหินใน แดนไกล แม้ตง้ั ๕๐ - ๖๐ โยชน์ ก็ขนเอาไมแ้ ละหนิ มาทนั ในวนั น้นั คือ ไป - มาได้ในวันเดียว การยกไม้ยกหินใส่เกวียนก็ไม่ลำบาก เพลาเกวยี นกไ็ มห่ กั ไมน่ านเลยก็สรา้ งปราสาท ๒ ชน้ั เสรจ็ ปราสาท นัน้ มี ๑,๐๐๐ ห้อง ช้ันบน ๕๐๐ หอ้ ง ช้นั ล่าง ๕๐๐ หอ้ ง การ กอ่ สร้างเสรจ็ ใน ๙ เดือน พระศาสดาเสด็จจาริกไปในชนบทต่างๆ คราวน้ันรวมเวลา ๙ เดือน แล้วเสร็จกลับนครสาวัตถี วิสาขาทราบข่าวน้ันรีบไปเฝ้า อาราธนาให้เสด็จประทับ ณ วิหารท่ีตนสร้างใหม่ด้วยวาจาว่า “พระเจ้าข้า ขอพระองค์และภกิ ษุสงฆป์ ระทับในวหิ าร (ทีอ่ ย)ู่ ของ ข้าพระองค์ตลอดเวลา ๔ เดือนเถิด หม่อมฉันจะทำการฉลอง ปราสาท” พระศาสดาทรงรับอาราธนาของนางวิสาขา ดูเถิด - ดูผู้มีอัธยาศัยประณีต มีจิตใจน้อมไปในบุญกุศล ย่อมแสวงหาโอกาสทำบุญกุศลอยู่เสมอ เพราะอนุสรณ์ถึงพระ- พุทธพจน์ทวี่ ่า
278 “ช่างดอกไม้ พึงทำพวงดอกไม้ให้มากข้ึนจากกองดอกไม้ ฉันใด สัตว์ผู้เกิดแล้วและมีอันจะต้องตายเป็นธรรมดา พึงสั่งสม บุญกศุ ลฉนั น้ัน” ดูก่อนผู้แสวงบุญ ! อันบุญกุศลน้ัน องค์พระศาสดาทรง เปรียบเหมือนพวงดอกไม้ อันว่าพวงดอกไม้น้ัน น่าทัศนามีกล่ินหอม ชวนช่ืนใจฉันใด บุญกุศลก็ฉันน้ัน เป็นสภาพน่าช่ืนใจ มีผลอัน น่าช่ืนใจ คนมีบุญจึงเป็นผู้น่าทัศนาน่าชื่นใจสำหรับผู้เข้าใกล้ แม้ได้ยินกิตติศัพท์ก็ก่อให้เกิดปราโมช บุญย่อมกำจัดภัยต่างๆ บุญเอาชนะอุปสรรคต่างๆ การส่งั สมบญุ จึงเปน็ การสงั่ สมทป่ี ระเสริฐ ดงั ที่พระองค์ตรัสไว้ว่า “บุคคลฝังทรัพย์สินไว้เพื่อใช้ประโยชน์ เมื่อมีความจำเป็น แต่ทรัพย์ที่ฝังไว้น้ันไม่อาจให้สำเร็จประโยชน์ได้เสมอไป คือทรัพย์ นั้นอาจเคล่ือนจากที่เดิมเสียบ้าง ผู้ฝังลืมที่เสียบ้าง อมนุษย์นำไป เสียบ้าง ทายาทอนั ไม่เป็นที่รกั ลอบขดุ ไปเสียบ้าง ยิ่งกว่านัน้ เม่ือใด หมดบุญ เม่ือนั้นทรัพยท์ ั้งหลายกพ็ ินาศไป แต่ผ้ใู ด หญงิ หรือชายกต็ าม ฝงั ทรพั ยค์ อื คุณธรรม เชน่ ทาน ศีล ความสำรวมใจ และการฝึกกายวาจาไว้ในตน ผู้น้ันช่ือว่า ฝังทรัพย์ไว้ดีแล้ว อน่ึงทรัพย์ใดอันบุคคลฝังไว้แล้วในวัตถุที่ควรบูชา ในสงฆ์หรือในบุคคล ในการต้อนรับแขก ในมารดาบิดา หรือใน พน่ี ้อง ทรัพย์นัน้ ชื่อว่าฝงั ไวด้ ีแลว้ อันใครๆ จะเอาชนะไมไ่ ด้ ติดตาม ไปได้ทุกแห่ง เม่ือละโลกน้ีไปแล้ว บุคคลย่อมถือเอาบุญน่ันแหละ ตดิ ตัวไป
วศนิ อินทสระ 279 ขมุ ทรพั ย์คอื บุญนี้ ไม่ทัว่ ไปแกค่ นเหลา่ อน่ื คือเปน็ ของเฉพาะ ตน โจรกน็ ำไปไมไ่ ด้ นกั ปราชญจ์ งึ นิยมทำบุญ ซง่ึ มปี กติติดตวั ไปได้ ขุมทรัพย์คือบุญนี้ให้ส่ิงท่ีน่าปรารถนาทุกอย่างแก่เทวดาและมนุษย์ ความเป็นผู้มีผิวพรรณดี ความมีเสียงไพเราะ มีสัณฐานดี และ รูปสวย ความเปน็ ใหญแ่ ละมีบริวารมาก เหล่านล้ี ้วนไดด้ ้วยบุญ ความเป็นเจ้าปกครองประเทศ ความเป็นอิสระ ความสุข อย่างพระเจ้าจักรพรรดิ การเสวยทิพยสมบัติในโลกทิพย์ เหล่าน ้ี ล้วนสำเรจ็ ด้วยบญุ มนุษย์สมบตั กิ ็ดี สวรรคส์ มบตั ิก็ดี นิพพานสมบตั ิ กด็ ี ลว้ นสำเรจ็ ดว้ ยบุญท้งั สิ้น การได้มิตรดี ความชำนาญในวิชชาและวิมุตติ ปฏิสัมภิทา วิโมกข์ สาวกบารมี ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธภูมิ เหล่านี้ล้วนสำเรจ็ ดว้ ยบญุ ทั้งส้ิน บุญญสัมปทา คือความพรั่งพร้อมด้วยบุญ มีประโยชน์ อานิสงส์มากอย่างนี้ นักปราชญ์และบัณฑิตทั้งหลายจึงสรรเสริญ ความเป็นผู้มีบุญอันไดส้ ัง่ สมไวแ้ ล้ววา่ ประเสรฐิ ”
๒๓ อดตี กรรมของเปรตนัน� คราวหนึ่ง พระมหาโมคคัลานะกับพระลักขณะลงจากภูเขา คิชฌกูฏ ได้เห็นอชครเปรตน้ันมีอัตตภาพใหญ่ยาวมากด้วย จักษุทิพย์ เปลวไฟตั้งขึ้นจากศีรษะของเปรตนั้น แล้วลามไปจนถึง หาง เปลวไฟตั้งข้ึนแต่หางลามถึงศีรษะ ตั้งขึ้นจากหางและหัวแล้ว ลามไปถงึ กลางตวั พระมหาเถระผู้เลิศทางฤทธ์ิเห็นเปรตน้ันแล้วยิ้มแย้ม พระลักขณะจงึ ถามถงึ อาการที่ยิม้ พระมหาโมคคัลลานะจึงว่า “ผู้มีอายุ เวลานี้มิใช่กาลพยากรณ์ปัญหา ท่านค่อยถาม ขา้ พเจ้าในสำนกั พระศาสดาเถิด” พระเถระทั้งสองเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้อาหาร พอแก่ความต้องการแล้วฉัน ณ ที่อันสะดวกด้วยน้ำแห่งหน่ึงแล้ว ได้เวลาสมควรจึงพากันไปเฝ้าพระศาสดา ณ ที่นั้น พระลักขณะได้ ถามพระมหาโมคคัลลานะขน้ึ อีก
วศนิ อินทสระ 281 พระเถระผเู้ ป็นอคั รสาวกฝา่ ยซ้ายได้กล่าวว่า “ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าเห็นเปรตตนหน่ึง อัตตภาพใหญ่ยาว เหลือเกิน มีไฟไหม้ท่ัวตัว ข้าพเจ้าย้ิมแย้มเพราะคิดว่า เปรตผู้มี อัตตภาพเหน็ ปานน้ี ข้าพเจ้าไม่เคยเหน็ เลย” พระศาสดาทรงสดบั คำนั้นแล้ว ทรงชน่ื ชมตรัสกบั ภกิ ษทุ ้งั หลาย ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย ! สาวกของเรามจี ักษแุ ล้ว ภกิ ษุทงั้ หลาย ! เปรต นั้นเราเคยเห็นแล้วที่โพธิมณฑล เมื่อเราตรัสรู้ใหม่ๆ ทเี ดียว แตเ่ รา ไม่พูด เพราะเกรงว่าเม่ือเราพูดออกไป ผู้ใดไม่เชื่อก็จะเป็นโทษ เปน็ ภยั แกผ่ ้นู นั้ ภกิ ษุทงั้ หลาย ! บัดนเ้ี ราไดม้ หาโมคคัลลานะ สาวก ของเราเปน็ พยานแลว้ ” ดูก่อนผู้แสวงสัจจะ ! คำของพระอริยะน้ันใครฟังแล้วไม่เชื่อ และติเตียน หรือมีความเห็นเป็นปฏิปักษ์ ย่อมเป็นบาปมากเพราะ ฉะนั้นพระศาสดาจึงตรัสว่า “ผู้ใดไม่เชื่อคำของเรา พึงเป็นโทษแก่ ผูน้ น้ั ” ดังน้ี การมคี วามเห็นเปน็ ปฏปิ กั ษต์ ่อความเห็นของพระอรยิ ะ น้นั เปน็ มจิ ฉาทฐิ ิ ก็โทษอันใดเล่าจะร้ายแรงเท่ามจิ ฉาทฐิ ิ เมอื่ พระศาสดาตรสั ดงั น้ันแลว้ ภิกษทุ ั้งหลายกราบทูลวา่ “พระองค์ผู้เจริญ ! เปรตนั้นได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมา เสวยผลกรรมอนั ทารณุ แสบเผด็ เห็นปานน?ี้ ” “ภิกษทุ ัง้ หลาย !” พระศาสดาตรัส “เธอทง้ั หลายจงตงั้ ใจฟงั เถิด เราจกั เลา่ ใหฟ้ ัง ณ บดั น้ี
282 ในอดีตกาล เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ในโลก เศรษฐีคนหน่ึงช่ือสุมงคล มีจิตเลื่อมใสสร้างวิหารถวาย ในเน้ือท่ีประมาณ ๒๐ อุสภะ๑ วิหารน้ันประณีตมาก พื้นปูด้วย ทองคำ๒ เศรษฐีบริจาคทรัพย์เป็นอันมาก เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้มี การฉลองเปน็ การใหญ่ วันหนึ่งท่านสุมงคลเศรษฐีไปเฝ้าพระศาสดาแต่เช้าตรู่ เห็น โจรคนหนึ่งนอนเอาผ้ากาสายะคลุมศีรษะ เท้าน้ันเป้ือนโคลนอยู่ ณ ศาลาหลังหนึ่งใกล้ประตูเมือง จึงกล่าวข้ึนว่า “เจ้าคนนี้เท้าเป้ือน โคลน คงเป็นคนเทยี่ วเตรก่ ลางคนื แล้วมานอนเป็นแนแ่ ท”้ โจรเปิดหน้าเห็นเศรษฐีแล้วคิดในใจว่า ‘เอาเถอะ เราจะ จัดการกบั เศรษฐคี นน้ีใหห้ ายแคน้ ’ ดูเถิด คนเลว คนช่ัว เขาพูดเพียงเท่าน้ีก็ผูกอาฆาต ทำ ทารุณกรรมตา่ งๆ มากมาย ต่อมาโจรคนนั้นได้ลอบเผานาของเศรษฐีเสีย ๗ ครั้ง ลอบ ตัดเทา้ โคในคอก ๗ ครงั้ เผาเรือน ๗ คร้งั แม้กระน้ันก็ไม่อาจให้ ความแค้นเคืองดับได้ เขาเข้าไปตีสนิทกับคนรับใช้ของเศรษฐี แล้ว ถามว่าอะไรเป็นสุดที่รักของเศรษฐี ได้ทราบว่าอะไรๆ จะเป็นท่ีรัก ย่งิ กวา่ วิหารที่สรา้ งถวายพระกัสสปทศพลเป็นไมม่ ี ๑ อสุ ภะ มีความยาว ๒๕ วา ๒ แม้ในปจั จบุ ันวหิ ารบางแหง่ ในอินเดยี ยังหมุ้ ดว้ ยทองคำ เชน่ สุวรรณวหิ าร ของซิกซ ์
วศนิ อินทสระ 283 เช้าวันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาเสด็จออกบิณฑบาต โจรน้ัน ลอบเข้าไปทุบหม้อนำ้ ด่มื นำ้ ใช้เสียส้นิ แล้วจุดไฟเผาพระคนั ธกุฎ ี เศรษฐไี ดท้ ราบขา่ วนัน้ รีบออกไปดู เห็นพระคนั ธกฎุ ถี ูกไฟไหม้ หมดแล้ว มิได้เสียใจเลยแม้นิดเดียว กลับแสดงอาการยินดีปรบมือ เป็นการใหญ ่ ประชาชนผู้ยืนดูอยู่เห็นอาการของเศรษฐีเช่นนั้น สงสัยยิ่งนัก จึงถามว่า “ท่านเศรษฐี ! ทา่ นสละทรพั ย์เปน็ อนั มากสร้างพระคนั ธ- กุฎี เมื่อพระคันธกุฎีถูกไฟไหม้ เหตุไฉนท่านจึงแสดงความปราโมช ย่งิ นกั เล่า?” เศรษฐีตอบว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ฝังทรัพย์ไว้ใน พระศาสนาจำนวนมาก เป็นทรัพย์ท่ีย่ังยืนมั่นคง ไม่สาธารณะแก ่ คนทั้งหลาย อันไฟเป็นต้น ทำอันตรายไม่ได้ เม่ือพระคันธกุฎีถูก ไฟไหม้แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าจะได้สละทรัพย์ทำใหม่อีก คงจะ ได้บุญกศุ ลเพม่ิ ขน้ึ ทา่ นท้ังหลาย ข้าพเจ้าคิดดงั นจี้ งึ ยนิ ดียงิ่ นกั ” ดเู ถิด - ดคู นดี มจี ติ ฝักใฝใ่ นบญุ กุศล ถูกทำลายอย่างนีแ้ ลว้ ก็หาคิดท้อถอยไม่ คิดเห็นเป็นโอกาสได้สร้างบุญใหม่ เป็นคนมีใจ หนักแน่นเป็นอย่างดี ส่วนคนใจไม่มั่นคงท้อถอยง่าย แม้ยังไม่มีใคร ทำลาย เพียงแตม่ อี ุปสรรคในการงานเลก็ น้อยก็ท้อถอยเสยี แลว้ เศรษฐีได้สละทรัพย์จำนวนมากสร้างพระคันธกุฎีใหม่ สวยงาม และประณตี อย่างเดิม โจรเหน็ ดังนน้ั คิดว่า ‘ถา้ เราไมฆ่ ่าเศรษฐีน้เี สยี ก็ไม่อาจยังความแค้นของเราให้ดับได้ เอาเถอะเราจะฆ่ามันเสีย’
284 ดังนี้แล้วพกกฤชซ่อนไว้ เดินเตร่อย่ใู นบริเวณวิหารตง้ั ๗ วนั กไ็ ม่ได้ โอกาสฆา่ เศรษฐ ี ฝ่ายท่านเศรษฐีถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็น ประมขุ ตลอด ๗ วัน ในวนั ท่ี ๗ นัน่ เอง เขาถวายบังคมพระบรม- ศาสดาแล้วกราบทูลว่า “พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษผู้หน่ึงเผานาของ ข้าพระองค์ ๗ ครั้ง ตัดเท้าโคในคอก ๗ คร้ัง เผาเรือน ๗ ครั้ง แม้พระคันธกุฎีที่ถูกเผาไปแล้วก็คงเป็นเจ้าคนน้ันเหมือนกัน ข้าพระองค์มิได้มีจิตแค้นเคืองในตัวเขา ข้าพระองค์ขอให้ส่วนบุญ ในทานนแ้ี ก่เขากอ่ น พระเจ้าข้า” โจรได้ยินคำน้ันแล้วเกิดความทุกข์ข้ึนในใจว่า ‘โอ เราทำ กรรมหนักเสียแล้วหนอ เศรษฐีนี้มิได้มีความแค้นเคืองในเราเลย กลับให้ส่วนบุญแก่เราก่อนคนอ่ืนเสียอีก เราคิดประทุษร้ายในท่าน ผู้ไม่ประทุษร้ายเสียแล้ว กรรมของเราหนัก ไม่สมควรแล้ว ถ้าเรา ไม่ขอขมาต่อบุคคลผู้เช่นนี้ เทวทัณฑ์ (การลงโทษของเทวดา) พึง ตกลงบนกระหม่อมของเราเป็นแน่แท้’ ดังนี้แล้ว หมอบลงแทบเท้า ของเศรษฐีพลางกล่าววา่ “ท่าน ขอทา่ นได้โปรดอภยั แกข่ ้าพเจ้าดว้ ยเถดิ ” “อะไรกันน?ี่ ” เศรษฐีถาม มีอาการพศิ วงเป็นอนั มาก โจรได้เล่าความท้ังปวงให้เศรษฐีฟัง เศรษฐีระลึกได้ถึงเร่ืองที่ ตนเคยพดู เช้าวนั หน่งึ จงึ ขอรอ้ งให้โจรอภยั โทษให้แกต่ นด้วย “ลุกขึ้นเถิดท่าน เราอดโทษคือให้อภัยท่านแล้ว โทษอันใด ของเรามอี ยู่ ขอทา่ นจงอดโทษนั้นแกเ่ ราดว้ ย”
วศิน อินทสระ 285
286 “ข้าแตน่ าย” โจรกลา่ ว “ถ้าท่านอดโทษแก่ข้าพเจ้าจริงดงั วา่ แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรและภรรยาเป็นทาสรับใช้ในเรือน ของท่านด้วยเถดิ ” เศรษฐีน่ิงอยู่ครู่หน่ึงแล้วกล่าวว่า “เรากล่าวคำเพียงเท่าน้ัน เจ้ายังทำกับเราได้ถึงเพียงน้ี ถ้าเจ้าไปอยู่ในเรือนของเรา เราจะ พึงว่ากล่าวอะไรแก่เจ้าได้ ไปเถิด เราอดโทษให้เจ้าแล้ว เราไม่มี การงานอะไรทีจ่ ะใชเ้ จา้ ในเรอื นของเรา” โจรน้ันทำกรรมหนักถึงปานนั้นแล้ว เม่ือส้ินชีวิตไปบังเกิดใน อเวจมี หานรก หมกไหมอ้ ยูใ่ นอเวจีสิ้นกาลนาน ในกาลบดั นี้เกดิ เป็น อชครเปรต (เปรตซ่ึงมีร่างเป็นงู) ถูกไฟไหม้อยู่ที่เขาคิชฌกูฏด้วย เศษวบิ ากกรรมของมันเอง พระบรมศาสดาตรสั ตอ่ ไปวา่ “คนพาล๓ทำกรรมช่ัวอยู่ ย่อมไม่รู้สึก (ว่าตนกำลังทำกรรมช่ัว เข้าใจว่าเป็นกรรมดี) คนเขลานั้นย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมชั่วของ ตน ดุจถูกไฟไหม้” ดูก่อนผู้แสวงบุญ ! คนชั่วเม่ือขณะทำช่ัวอยู่ และกรรมช่ัวยัง ไม่ให้ผล เขากระหย่ิมยินดีว่า เขาเก่งกล้าสามารถ ทำอย่างน้ันได ้ ทำอย่างน้ีได้ ไม่มีใครว่าอะไร ไม่มีใครกล้าทักท้วง เขายิ่งเหิมเกริม ทำช่ัวต่อไปอย่างเมามัน แม้ผู้หวังดีจะตักเตือนท้วงติง ก็ดูหมิ่น ผู้ตักเตือนนั้นว่าเป็นผู้เยาว์กว่าบ้าง มีศักด์ิน้อยกว่าตนบ้าง เขา ๓ ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๒๐
วศิน อนิ ทสระ 287 หลงตนหลงอำนาจวาสนาอันเป็นของชั่วคราว แต่เม่ือใดกรรมช่ัว อันเขาส่ังสมวันละน้อยเพ่ิมพูนมากขึ้น และวิบากแห่งกรรมดีท่ีทำไว้ ก่อนก็ร่อยหรอลงวันละน้อยจนหมดสิ้น ไม่มีแรงต้านทานอีกแล้ว เมื่อนั้นเขาต้องเสวยผลกรรมอันทารุณแสบเผ็ด และไม่มีส่ิงใด ทัดทานได้ เมือ่ นน้ั แหละเขาย่อมรูส้ ึกตัว แตแ่ กไ้ ขอะไรไมไ่ ด้เสียแลว้ อีกคราวหน่ึง พระมหาโมคคัลลานะและพระลักขณะลงจาก ภูเขาคิชฌกูฏ๔ เช่นกัน พระมหาโมคคัลลานะแสดงอาการย้ิมแย้ม ทำนองเดยี วกบั ทก่ี ล่าวแลว้ ในเรื่องอชครเปรต ณ สำนักพระศาสดา พระลักขณะถามขึ้น พระมหาโมคคัล- ลานะจึงตอบวา่ ข้าพเจ้าเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง มีอัตตภาพใหญ่ยาวเป็นอันมาก ศีรษะของมันเหมือนศีรษะมนุษย์ แต่อัตตภาพอ่ืนๆ ของมันเหมือน ถูกไฟไหม้อยู่ทั่วตน พระศาสดาตรัสว่า แม้เปรตนี้พระองค์ก็เคย ทรงเห็นแล้ว ในวันที่ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แต่ไม่ตรัส บอกใคร เพราะทรงเอน็ ดูต่อหม่สู ตั วว์ า่ “ผูใ้ ดไม่เช่ือคำของเราความ ไม่เชื่อของเขานั้นจะเปน็ โทษแกเ่ ขา” ภิกษุท้ังหลายทูลถามถึงบุพกรรมของเปรตนั้น พระพุทธองค์ ตรัสเลา่ ใหฟ้ ังดังน้ี ในอดีตกาล ในเมืองพาราณสี ประชาชนชาวเมืองช่วยกัน สร้างบรรณศาลาหลังหนึ่งถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าใกล้ฝั่งแม่น้ำ ๔ เรอื่ งทำนองน้มี มี ากในลกั ขณสงั ยุตต์ สงั ยุตตนิกาย พระไตรปิฎกเล่ม ๑๖
288 พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์ แม้พวก ชาวเมืองก็ถือของหอมดอกไม้เคร่ืองสักการะไปสู่ท่ีบำรุงพระปัจเจก- พุทธเจ้าท้ังเช้าและเย็น ชายชาวเมืองพาราณสีคนหน่ึง มีนาอยู่ในหนทางท่ีชาวเมือง เดินไป – มา สู่ท่ีบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ชาวเมืองได้เหยียบย่ำนา ของเขา แม้เขาห้ามอยู่บ่อยว่า “ขอพวกท่านอย่าเหยียบนาของ ขา้ พเจ้า” ก็หาสำเรจ็ ประโยชน์ประการใดไม่ ชาวนาผู้น้ันคิดว่า ‘ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่พึงมใี นทีน่ ีไ่ ซร้ ชนทั้งหลายกจ็ ะไม่เหยียบยำ่ นาของเรา’ เขาตกลงใจจะทำกรรมอันน่าหวาดเสียว คือการเผาบรรณ ศาลา เม่อื พระปัจเจกพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาตในเวลาเช้า เขาไปท่ี บรรณศาลาทุบหม้อน้ำและภาชนะเครื่องใช้แล้วจุดไฟเผาบรรณ- ศาลา เม่ือกลับจากบิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นไฟไหม ้ บรรณศาลาอยู่ ท่านมิได้มีความเดือดร้อนหลีกไปแล้วตามอัธยาศัย ฝ่ายมหาชนมาสู่ที่บำรุงเห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าว กันว่า “พระผู้เป็นเจ้าของเราไป ณ ท่ีไหนหนอ” แลชาวนาอยู่ ทา่ มกลางมหาชนนัน่ เอง กลา่ วข้นึ วา่ “ข้าพเจ้าเป็นผู้เผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพทุ ธเจา้ น้นั ” เมื่อได้ยินดังนี้ ประชาชนก็ชวนกันลงประชาทัณฑ์ โดยการ โบยด้วยหวายบ้าง ปาด้วยท่อนไม้และก้อนดินบ้าง จนบุรุษน้ัน สิ้นชวี ิต เขาไปบงั เกิดในอเวจมี หานรก ไหม้อยใู่ นนรกนั้นส้นิ กาลนาน
วศิน อนิ ทสระ 289 บัดน้ีมาเกิดเป็นอหิเปรต ถูกไฟไหม้อยู่ทั่วตัวด้วยเศษแห่งกรรม ทเ่ี หลือ พระศาสดาตรัสต่อไปวา่ “ภิกษุ๕ ทั้งหลาย ! กรรมชั่วที่บุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล เหมือนน้ำนมท่ีรีดใหม่ในขณะน้ันยังไม่ทันแปรไป ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมย่อมตามแผดเผาคนพาลเหมือนไฟทเ่ี ถ้ากลบไว้” ดูก่อนท่านผู้เป็นเผ่าพันธ์ุแห่งกรรม ! บุคคลบางคนเมื่อ ทำกรรมชั่วลงไปแล้ว กรรมน้ันยังไม่ให้ผลก็สำคัญผิด ว่าผลแห่ง กรรมดีกรรมช่ัวไม่มี จึงชะล่าใจทำอีกและทำไปเรื่อยๆ เหมือน เด็กน้อยเหยียบถ่านไฟที่เถ้ากลบไว้ เข้าใจว่าไฟไม่ร้อน แต่พอเถ้า ที่กลบไว้นั้นออกไปสิ้น ไฟย่อมไหม้เขาให้เร่าร้อนฉันใด บุคคลผู้ ทำกรรมช่ัวก็ฉันเดียวกัน เมื่อกรรมช่ัวยังไม่ให้ผล เพราะผลแห่ง กรรมดีบางอย่างคุ้มครองอยู่ เขาย่อมประมาท เพลิดเพลินในการ ทำชั่วนั้น สมจรงิ ดงั ที่พระศาสดาตรสั ว่า “คนชั่ว๖ ทำบาป เมื่อบาปยังไม่ให้ผลก็สำคัญผิด คิดว่าบาป นั้นเป็นของดี แต่พอบาปให้ผล เขาก็เห็นว่าบาปน้ันเป็นของชั่ว ฝ่ายคนดีทำความดี เม่ือความดียังไม่ให้ผลก็สำคัญผิด คิดว่าความดี เป็นความช่ัว แต่เม่ือความดีให้ผล เขาก็เห็นว่ากรรมดีเป็นความดี” ๕ ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๑๕ ๖ ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ๒๕/๑๙
๒๔ ความรูของคนพาล อีกคราวหนึ่ง เม่ือพระมหาโมคคัลลานะและพระลักขณะลง จากภูเขาคิชฌกูฏ พระมหาโมคคัลลานะได้เห็นเปรตซึ่งมีค้อนเหล็ก จำนวนมากกระหน่ำลงบนศีรษะ ค้อนนั้นมีเปลวเพลิงโชติช่วง ศีรษะของเปรตน้ันเม่ือถูกค้อนเหล็กทำลายแล้วกลับปรากฏขึ้นใหม่ เพราะแรงแห่งกรรมอันตนเคยทำไว้ พระมหาโมคคัลลานะเล่าเร่ืองน้ีเฉพาะพระพักตร์พระศาสดา พระบรมครูทรงรับรองทา่ มกลางภิกษุสงฆ์วา่ เปรตน้ันมีจรงิ พระองค์ เคยทรงเห็นแล้วเหมือนกันที่โพธิมณฑล เม่ือภิกษุทั้งหลายทูลถาม เร่อื งบพุ กรรมของเปรตน้ัน ทรงเล่าวา่ ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี มีบุรุษเปล้ีย (พิการ) คนหน่ึง มีความรู้ชำนาญมากในการดีดกรวดใหป้ รากฏเป็นรปู ต่างๆ บนใบไม้ หรอื ดีดกรวดให้เข้าเปา้ ได้อย่างแม่นยำ เขานั่งประจำอยู่ท่ีโคนไทรย้อยต้นหน่ึงใกล้ประตูเมืองพาราณสี เด็กชาวบ้านชอบมาล้อมดูเขา และขอร้องให้เขาดีดกรวดให้เป็น รปู ตา่ งๆ บนใบไม้ เช่น รปู ช้างบ้าง มา้ บา้ ง เขาทำได้ตามประสงค์
วศิน อนิ ทสระ 291 ของเด็ก พวกเด็กชอบใจให้ของเค้ียวของกินแก่เขา พอยังอัตตภาพ ให้เปน็ ไปวนั หนงึ่ ๆ วันหน่ึง พระราชาแห่งกรุงพาราณสีเสด็จประพาสพระราช- อุทยาน เสด็จผ่านมาทางน้ัน พวกเด็กๆ รู้เข้าพาบุรุษเปล้ียซ่อนไว้ ระหว่างย่านไทร แล้วพวกเขารีบหนีไป พระราชาเสด็จถึงตรงนั้น เวลาเท่ียงพอดี ทรงพักผ่อนใต้ต้นไทรย้อย ขณะน้ันแสงแดดซ่ึง ส่องผ่านรูโปร่งของใบไทรลงมาเป็นรูปช้างบ้าง ม้าบ้าง ทรงฉงนว่า นี่อะไรกัน เงยพระพักตร์ข้ึนทอดพระเนตรใบไทร ทรงเห็นรูปต่างๆ มรี ูปชา้ ง เปน็ ตน้ ทรงสนพระทยั ตรสั ถามวา่ “น่เี ป็นฝีมอื ของใคร?” เมอื่ ทรงทราบว่าเป็นฝีมือของบรุ ุษเปลยี้ - ชายพิการ จึงใหห้ า ชายพิการน้ันมาเฝ้า ทรงชมเชยฝีมือการดีดกรวดของเขา และตรัส ว่า “เรามีปุโรหิตคนหนึ่งพูดมากปากกล้า เราพูดคำหนึ่งเขาพูดเสีย ยืดยาว เราไม่อาจให้เขาหยุดพูดได้ เอ็งสามารถหรือไม่ที่จะดีด มูลแพะเขา้ ปากปโุ รหติ คนน้ันขณะเขาพูดอยกู่ บั เรา?” “สามารถพระเจา้ ข้า” บุรุษเปลี้ยกราบทลู “ดีแล้ว” พระราชาตรสั “เราจะไดเ้ รมิ่ ในวันพรงุ่ น้”ี “พะยะ่ ค่ะ” ชายพิการทลู รับ “เออ แลว้ เอ็งจะให้ทำอยา่ งไร? คอื ตอ้ งเตรยี มอะไรบา้ ง?” “ไมม่ ีอะไรมากพะยะ่ ค่ะ ขอเพียงมลู แพะหนึ่งทะนาน แล้วให้ กน้ั ม่านไว้ เจาะรมู า่ นใหต้ รงหนา้ ปุโรหติ พอมลู แพะผ่านได”้
292 ทุกอย่างเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นได้เวลาเข้าเฝ้า ปุโรหิตมาเฝ้า พระราชาอย่างเคย พอพระราชาตรัสถามคำหนึ่งเท่านั้น เขาก็เริ่ม พูดไมห่ ยุด แต่คราวนีท้ ุกๆ คร้งั ทเ่ี ขาอ้าปากพูด ชายพิการผชู้ ำนาญ ในการดีดกรวดก็ดีดมูลแพะเข้าปาก ปุโรหิตกลืนมูลแพะลงไปแล้ว พูดต่อ เหตุการณ์ดำเนินไปทำนองนี้จนมูลแพะหมด ๑ ทะนาน ชายพิการจึงเขย่าม่าน ด้วยสัญญาณน้ีพระราชาก็ทรงทราบว่า มลู แพะหมดแล้ว จงึ รบั สัง่ กับปุโรหิตวา่ “ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรไปบ้าง เราจำไม่ได้เลย เราร ู้ แต่ว่าเวลานี้ท่านกลืนมูลแพะเข้าไปหน่ึงทะนานแล้วยังไม่หยุดพูด ทา่ นพดู มากเกินไป” ต้ังแต่วันน้ันเป็นต้นมา พราหมณ์ปุโรหิตก็กระดากเก้อเขิน กลายเป็นผู้สำรวมพูดน้อย ทูลตอบเฉพาะท่ีพระราชาตรัสถาม เทา่ น้ัน พระราชาได้ความสบายพระทัย ทรงปลอดโปร่งหายความ อึดอัด รำคาญใจ เพราะความพูดมากของปุโรหิต ทรงอนุสรณ์ถึง คุณของบุรุษเปลี้ย รับสั่งให้เข้าเฝ้า ตรัสว่า “เราได้รับความสุข เพราะได้อาศัยความรู้ของท่าน” ดังน้ีแล้วพระราชทานปัจจัยแห่ง ชีวิตเป็นอันมาก และพระราชทานบ้านส่วยถึงสี่ตำบล อันต้ังอยู ่ ส่ีทิศแห่งเมอื งพาราณสี เพอ่ื เก็บส่วยหรอื ภาษเี ลีย้ งตน มหาอำมาตย์ผ้อู นุศาสน์อรรถธรรมแด่พระราชา ไดท้ ราบเรอ่ื ง บรุ ษุ เปล้ยี โดยตลอดแลว้ กล่าวคำนิยมขึ้นวา่
วศนิ อนิ ทสระ 293 “ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลฝึกฝนให้ชำนาญแล้ว ย่อม ให้สำเร็จประโยชน์ได้ (เป็นที่พ่ึงแก่ผู้มีได้) ท่านทั้งหลายจงดูเถิด ดูชายพิการมีศิลปะในการดีดกรวด เขาได้บ้านส่วยอันต้ังอยู่ส่ีทิศ เพราะอาศยั ศิลปะน่ันเอง” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย” พระศาสดาตรัส “ท่านทั้งหลาย อาจสงสัยว่าธรรมมหาอำมาตย์ผู้น้ันคือใครกัน? อย่าสงสัยเลยภิกษุ ท้งั หลาย เขาผนู้ ้ันในบดั น้ีคอื เราตถาคตนีเ่ อง” ดูก่อนภราดา ! โอกาสเปิดอยู่เสมอสำหรับบุคคลผู้รู้จริงและ มีความสามารถจริง เขาจะไม่ตกต่ำ ดังนั้นเมื่อเรียนรู้สิ่งใดส่ิงหนึ่ง แล้วควรใหร้ ู้จรงิ และฝึกปรือให้มคี วามสามารถสูงในวิชาของตนใหม้ ี ศิลปะในการทำให้ดีข้ึน วิชาและศิลปะน้ันแหละแม้เล็กน้อยเพียงใด ก็จะช่วยผู้มีวิชาและศิลปะนั้นให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างดี ขอให้รู้จริงและ มีความสามารถดีจริงเถิด แต่ต้องมีจรณสมบัติท่ีดีด้วย มิฉะนั้น จะเอาตวั ไมร่ อด ครั้งน้ันมีชายคนหนึ่งในเมืองพาราณสีน่ันเอง ได้เห็นสมบัติ และเกียรติอันบุรุษเปลี้ยได้แล้วคิดว่า ‘ชายผู้นี้พิการอย่างนี้ อาศัย ศิลปะแห่งการดีดกรวด จึงประสบความสำเร็จแห่งชีวิต ได้สมบัติ ใหญโ่ ตอย่างน้ี เราควรเรยี นศิลปะน้ีไวบ้ า้ ง’ เขาเขา้ ไปหาชายพิการ อ่อนน้อมทำความเคารพ พร้อมกลา่ ว ว่า “ขอท่านอาจารย์ได้โปรดบอกศิลปะในการดีดกรวดให้แก่ข้าพเจ้า ดว้ ยเถดิ ” บรุ ุษเปลีย้ กลา่ ววา่ “ขา้ พเจา้ ให้ศิลปะน้ีแก่ทา่ นไมไ่ ด้”
294 เขาอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่อาจให้บุรุษเปล้ียนั้นยินยอมมอบ วชิ าให้ได้ แตเ่ ขาหาได้ละทง้ิ ความพยายามไม่ เลกิ จากการออ้ นวอน ด้วยวาจา แต่มาอ้อนวอนดว้ ยการกระทำ ซงึ่ ดูเหมือนจะได้ผลดีกว่า เขาเข้าหาชายพิการเนืองๆ นำของมาให้ และบีบนวดอย่าง เอาใจอยู่เป็นเวลานาน จนบุรุษเปลี้ยเห็นใจว่ามีความต้ังใจจริง กลายเป็นผู้มคี ุณความดตี ่อตนเอง จึงยินยอมบอกศิลปะให้ ต่อกาลไม่นานเลย ชายผู้น้ันก็สามารถเรียนศิลปะแห่งการ ดดี กรวดสำเรจ็ “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าประสงค์จะทดลองศิลปะ” เขาพูดใน วันหนึง่ “ทดลองอย่างไร?” ชายพกิ ารถาม “จะลองดดี แมโ่ คหรอื มนษุ ย์ให้ตาย” “ไม่ได้สิคุณ” บุรุษเปล้ียบอก “ท่านฆ่าแม่โคหน่ึงตัว จะ ถูกปรับถึงหนึ่งร้อย ถ้าเป็นมนุษย์ท่านจะถูกปรับถึงหน่ึงพัน ท่าน พร้อมท้ังบุตรและภรรยาจะไม่สามารถเปลื้องหนี้สินจำนวนมากน้ีได้ ทา่ นตอ้ งทดลองกับสง่ิ ที่ไมม่ เี จา้ ของ ไมต่ อ้ งถูกปรับ” ชายผู้น้ันเอากรวดใส่ชายพกเท่ียวไป เห็นแม่โคก็ไม่กล้าดีด เพราะเกรงถูกปรับ ๑๐๐ เห็นมนุษย์ก็ไม่กล้าดีด เพราะเกรงถูก ปรบั ๑,๐๐๐
วศิน อินทสระ 295
296 วันน้ัน พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หน่ึงนามสุเนตตะ ออกจาก บรรณศาลาเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร กำลังยืนอยู่ท่ีประตูเมือง บุรุษนั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วคิดว่า ‘คนผู้นี้ไม่มีเจ้าของ ไม่มีมารดา - บิดา เราควรทดลองศิลปะกับคนผู้นี้’ ดังนี้แล้วจึงดีด ก้อนกรวดไปหมายเอาช่องหูเบ้ืองขวาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ก้อนกรวดทะลุออกช่องหูเบ้ืองซ้าย ทุกขเวทนาแสนสาหัสได้เกิดแก่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านไม่อาจเท่ียวแสวงหาภิกษาได้ จึงกลับสู่ บรรณศาลาทางอากาศปรินิพพานแล้ว พวกมนุษย์ผู้เคยถวายภิกษาแก่ท่านเป็นประจำ เมื่อไม่เห็น ท่านมาจึงคิดว่า ‘ความไม่ผาสุกไรๆ คงมีแก่ท่านเป็นแน่นอน’ จึง ชวนกันไปยังบรรณศาลา เห็นท่านนอนนิพพานอยู่ ไม่อาจกล้ัน ความโศกไดพ้ ากันครำ่ ครวญ ฝ่ายบุรุษใจชั่วผู้น้ันเห็นมหาชนไปยังบรรณศาลาไม่ขาดสาย จงึ ตดิ ตามไป เหน็ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ แลว้ จำได้ เล่าให้มหาชนฟังว่า เขาเป็นผู้ดีดก้อนกรวดเข้าช่องหูของท่านผู้นี้เพื่อทดลองวิชาของตน มหาชนได้ทราบดังนั้นจึงลงประชาทัณฑ์จนบุรุษน้ันสิ้นชีวิต ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก หมกไหม้อยู่ในอเวจีน้ันเป็นเวลานาน สมแก่กรรมของตน ด้วยผลแห่งกรรมท่ียังเหลืออยู่ (เศษวิบาก) ทำให้เขาบังเกิดเป็นสัฏฐิกูฏเปรต ถูกค้อนเหล็กมีเพลิงติดทั่ว แล้ว กระหนำ่ ลงบนศีรษะอยา่ งท่ปี รากฏในปัจจบุ นั
วศนิ อินทสระ 297 พระศากยมุนีทรงเล่าเร่ืองบุพพกรรมของสัฏฐิกูฏเปรตจบแล้ว ตรัสสรปุ พระธรรมเทศนาวา่ “ภิกษุ๑ ท้ังหลาย ความรู้เกิดขึ้นแก่คนพาล เพียงเพื่อความ พินาศของคนพาลนั้น หาเกิดขึน้ เพอื่ ประโยชน์ไม่ เกิดขึ้นเพ่อื ทำลาย ส่วนทเ่ี ปน็ กุศลของเขา และทำใหป้ ัญญาของเขาตกไป” ดกู อ่ นทา่ นผู้แสวงหาคุณ ! อนั ความรู้ความสามารถและความ เป็นใหญ่ เม่อื อยู่ทค่ี นดีกม็ ีคณุ นานาประการ แตเ่ มอ่ื อย่กู ับคนพาลก็ ให้โทษเป็นอเนกอนันต์ เพราะฉะนั้น การให้ความรู้แก่คนจึงจำเป็น ต้องให้ความดีหรือคุณธรรมควบคู่ไปด้วย เพื่อเขาจักได้ใช้ความรู้ให้ เป็นประโยชน์ การให้ความรแู้ กค่ นเปรยี บเหมอื นการหยิบยื่นศสั ตรา ใหเ้ ขา ต้องบอกวิธีใช้เฉพาะส่วนท่ีจะใหเ้ กิดคุณประโยชน์ ทัง้ แกต่ น และแก่ผู้อ่ืนเท่านั้น ถ้านำไปใช้ผิดจะทำลายตัวเองอย่างมาก มี ตวั อย่างให้เห็นอยู่แลว้ มากมาย ๑ ชทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ๒๕/๑๕
๒๕ ไดรบั สาธกุ ารจากพระศาสดา ดูก่อนผู้แสวงสันติวรบท ! ผู้ท่ีจะทำงานใหญ่น้ัน จะต้องมี ผู้ช่วยเหลือที่ดี และผู้ช่วยท่ีดีจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติหลาย ประการ เช่น เป็นผู้รู้ใจนายของตน สนองงานได้สมความต้องการ ทันต่อเวลาต่อเหตุการณ์ ให้กำลังใจแก่นายของตนในกาลท่ีควรให้ โดยเฉพาะในเวลาที่การงานสำเร็จลงด้วยดี ปลอบประโลมใจเม่ือ พลัง้ พลาด หรือยามทุกข์ยามผิดหวงั รว่ มมืออย่างใกล้ชดิ ในการงาน ที่ชอบธรรม เพื่อความเจริญก้าวหน้าร่วมกัน และรับช่วงงานได้เมื่อ นายวางมอื พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณลักษณะของผู้ช่วย ที่ดีเลิศของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า ดังเรื่องตอ่ ไปน้ี สมยั หน่ึง พระผมู้ ีพระภาคประทบั อยู่ ณ อามลกีวนั ใกลบ้ ้าน จาตุมา สมัยน้ัน ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรและ พระโมคคัลลานะเป็นหัวหน้า ไปถึงจาตุมคามเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระ- ภาค ภิกษุอาคันตุกะเหล่าน้ันปราศรัยกับภิกษุเจ้าถิ่น จัดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรมีเสียงดัง พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระอานนท์
วศิน อนิ ทสระ 299 มาถามว่า ดกู อ่ นอานนท์ ผู้ท่เี สียงดังน้นั เป็นใคร ราวกบั ชาวประมง แย่งปลากันฯ พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ นั้น มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นหัวหน้า มาถึง จาตุมคามเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ภิกษุเหล่านั้นปราศรัยกับภิกษุ เจา้ ถ่ิน จัดเสนาสนะมเี สยี งดัง ฯ ดูก่อนอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปเรียกพวกภิกษุมาตาม คำของเรา พระอานนท์ทูลรับคำ แล้วจึงเข้าไปหาภิกษุเหล่าน้ันถึง ทีพ่ ัก ได้กลา่ วกับภิกษเุ หลา่ นน้ั ว่า พระศาสดาตรัสเรยี กทา่ นท้ังหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ทีป่ ระทับ ถวายบงั คมพระผ้มู ีพระภาคแล้วน่ัง ณ ทคี่ วร พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เหตไุ รพวกเธอจงึ พูดเสยี งดงั เหมอื นชาวประมงแยง่ ปลากัน? พวกภกิ ษเุ หล่านน้ั ทลู ว่า ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ ภกิ ษปุ ระมาณ ๕๐๐ มาถึงจาตุมคามเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ปราศรัยกับภิกษุ เจ้าถิน่ จัดเสนาสนะ เก็บบาตรและจวี ร จึงมีเสียงดงั พระเจา้ ข้าฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงพากันไป เราประณามพวก เธอ พวกเธอไมค่ วรอยใู่ นสำนกั เรา ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ทลู รับพระผมู้ ีพระ- ภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผูม้ พี ระภาค ทำประทกั ษณิ เก็บอาสนะ ถือบาตรและจีวรออกไปฯ
300 สมัยนั้น พวกเจา้ ศากยะชาวเมอื งจาตุมา ประชมุ กนั อยู่ทเี่ รือน รับรอง ด้วยกรณียะบางอย่าง เห็นภิกษุเหล่านั้นมาแต่ไกลจึงเข้าไป หาภกิ ษุ แลว้ กลา่ ววา่ ท่านทัง้ หลายจะพากันไปไหนเลา่ ฯ ดูกอ่ นผมู้ อี ายทุ ัง้ หลาย ภิกษสุ งฆ์ถกู พระผู้มพี ระภาคประณาม แล้วฯ ข้าแต่ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าเช่นน้ัน ขอท่านทั้งหลายจงน่ัง ครู่หนึง่ ขา้ พเจ้าทั้งหลายอาจให้พระผมู้ ีพระภาคทรงอดโทษได้ ภกิ ษุ เหล่าน้ันรับคำพวกเจ้าศากยะชาวเมืองจาตุมา แล้วพวกเจ้าศากยะ ชาวเมืองจาตุมาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคม แล้วนงั่ ณ ท่คี วร กราบทลู วา่ ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ ขอพระผูม้ ีพระ- ภาคจงชื่นชมกับภิกษุสงฆ์เถิด ขอจงรับส่ังกับภิกษุสงฆ์เถิด ข้าแต่ พระองค์ผ้เู จริญ ในบัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงอนเุ คราะห์ภกิ ษุ สงฆ์ เหมือนท่ีพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ในกาลก่อนเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์หมู่นี้เป็นภิกษุผู้บวชใหม่ เพิ่งมาสู่ พระธรรมวินัย เมื่อภิกษุเหล่าน้ันไม่ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค จะมี ความน้อยใจ มีความแปรปรวนไป เปรียบเหมือนพืชท่ียังอ่อน ไม่ได้น้ำ จะพึงเป็นอย่างอ่ืน จะพึงแปรไป หรือเปรียบเหมือนเมื่อ ลูกโคอ่อนไม่เห็นแม่ จะพึงเป็นอย่างอื่น จะพึงแปรไปฉันใด ภิกษุ เหล่านั้นเม่ือไม่ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคก็ฉันน้ัน จะพึงมีความน้อยใจ มีความแปรปรวนไป ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ ขอพระองคจ์ งทรงชน่ื ชม กับภิกษุสงฆ์เถิด ขอจงรับส่ังกับภิกษุสงฆ์ ขอพระผู้มีพระภาคทรง อนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์ เหมือนท่ีพระองค์ทรงอนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์ใน กาลก่อนเถิดฯ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408