Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore PochChong

PochChong

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-05 07:15:22

Description: PochChong

Search

Read the Text Version

๙๙ มีเรื่องในอดีตเกี่ยวกับพระราชาองคหน่ึงในศรีลังกา วนั หน่ึงขณะทพ่ี ระองคก ำลังถอยทพั อยางรวดเรว็ เหลือ เสบียงอยูเพยี งเล็กนอ ย ระหวา งเสดจ็ ผา นไปในปาทรงพบ ภิกษอุ งคหนงึ่ กำลังบณิ ฑบาตอยู ภกิ ษนุ ัน้ เปน พระอรหนั ต และพระราชาไดถวายอาหารสวนของพระองคแกภิกษุน้ัน แมจะเหลืออาหารสำหรับพระองคและผูติดตามนอยเต็มที ตอมาเมื่อพระราชาทรงระลึกถึงทานบารมีที่พระองคไดทรง กระทำมาตลอดพระชนมช ีพ ทานครัง้ น้ันเปน ส่งิ ที่พระองค ภมู ิใจมากท่สี ดุ แมจะไมป ระณีตและมคี า เทา คร้งั อื่นๆ อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการใหทานเกิดขึ้นในสำนัก มหาสสี าสนยิตตา ในกรงุ รา งกงุ หลายปม าแลวเม่อื ศนู ย ปฏบิ ัติธรรมยังพัฒนาไปอยางชา ๆ ผูปฏิบตั บิ างคนไมมีเงนิ คา อาหารและทพี่ กั ผคู นยงั ยากจนอยู แตผูปฏบิ ตั เิ หลานี้ มีความกา วหนา ในการปฏบิ ตั ิ ซึ่งจะเปน ทน่ี า เสยี ดายหาก ปลอ ยใหกลบั ไปเพยี งเพราะขาดทนุ ทรัพย ดังนั้น คณะ วิปสสนาจารยจึงรวบรวมปจจัยเพ่ือสนับสนุนผูปฏิบัติท่ีมี ศักยภาพดี แลว ผูปฏบิ ตั ิเหลานน้ั กม็ ีความกาวหนามาก เมื่อ ผูป ฏิบตั ปิ ระสบความสำเร็จบรรลจุ ดุ มุงหมาย พระวิปสสนา จารยต างเปย มดว ยความปต แิ ละยินดี

๑๐๐ ๖. ระลกึ ถงึ คณุ ของเทวดา วธิ ีทห่ี กในการเจรญิ ปต ิกค็ ือ คดิ ถึงคณุ สมบตั ิของ เทวดาและพรหมซ่ึงอยใู นเทวโลก เมือ่ ทา นเหลานี้เกิดเปน มนุษย ทานเชอ่ื มน่ั ในกฎแหง กรรมอยางสูง ทานเชือ่ วาการ ทำดจี ะไดด ี และการทำชว่ั จะกอ ใหเกิดผลราย ดังนัน้ ทา น เหลาน้ันจึงพยายามทำดีและหลีกเล่ียงความประพฤติท่ีไม เหมาะสม บางทา นกเ็ จริญกรรมฐาน กศุ ลวิบากจงึ นำทา น เหลา นไี้ ปเกิดในภพภมู ทิ ส่ี ูงขน้ึ มชี ีวิตที่รื่นรมยม ากกวา ใน โลกมนษุ ย ทา นท่บี รรลุฌานจิตขั้นสงู ไปเกิดเปน พรหมซึ่งมี ชีวิตยาวนานเปน กัปกลั ป ดังนน้ั เมื่อเราคิดถงึ คณุ ธรรมของ เหลา เทวดา เรากส็ ามารถพจิ ารณาศรัทธา ทาน วริ ยิ ะ และ ความพากเพยี รทท่ี า นไดส ง่ั สมมาตัง้ แตเปน มนษุ ย เปนการ งา ยทจ่ี ะนำทา นมาเปรยี บเทยี บกบั ตัวเรา หากพบวาเรามี คณุ ธรรมใกลเคยี งกบั เทวดาและพรหมเหลาน้ี เราก็จะเปย ม ดวยความพึงพอใจและความยินดี

๑๐๑ ๗. ระลกึ ถงึ คุณพระนพิ พาน วธิ ที เ่ี จด็ ในการเจรญิ ปต กิ ค็ อื การใครค รวญถงึ ความ สงบระงบั จากกเิ ลส โดยนยั ปรมตั ถห มายถงึ การระลกึ ถงึ พระ นิพพาน หากผปู ฏิบัติบรรลถุ งึ ความสงบในระดับนี้แลว เมอื่ ระลึกถงึ ความสงบน้ันก็จะสามารถเจริญปตไิ ดม าก หากผูปฏิบัติยังไมประจักษพระนิพพานดวยตนเอง ก็สามารถระลึกถึงความเยือกเย็นของสมาธิที่หย่ังลึกหรือ ฌานจติ ความสขุ จากสมาธนิ เี้ หนอื กวา ความสุขใดๆ ในโลก มีบุคคลท่ีมีสมาธิเขมแข็งมากเสียจนกิเลสไมสามารถลวงล้ำ ไดแมในขณะที่มิไดเ ขา สมาธิ ดังนน้ั ช่ัวอายุ ๖๐-๗๐ ป ทา น เหลานน้ั ก็สามารถดำรงชีวติ ทส่ี งบสุขได และการคดิ ถงึ ความ สงบเยน็ และความแจม ใส กส็ ามารถทำใหเกดิ ปต อิ ยางวเิ ศษ หากผูปฏิบตั ิยงั มิไดฌาน ใหระลกึ ถงึ สภาวจิตที่ บรสิ ทุ ธ์แิ ละสะอาดในเวลาทปี่ ฏบิ ตั ิ ในเวลาทจี่ ติ ปราศจาก กิเลสไปชัว่ ขณะ จติ จะเกดิ ความสงบเยน็ โดยธรรมชาติ หาก เปรยี บเทียบกับความสุขทางโลกแลว ผูปฏิบตั ิจะพบวาความ สขุ ทางโลกนนั้ หยาบและแฝงดวยความรุม รอ น การเปรยี บ เทยี บเชนนกี้ ็อาจทำใหป ต เิ จรญิ ข้ึน

๑๐๒ ๘.-๙. เวน จากคนพาล คบบณั ฑิต วธิ ที แ่ี ปดและเกา ในการเจรญิ ปต มิ คี วามเชอ่ื มโยงกนั กลาวคือ ใหเวนจากคนพาลที่เต็มไปดวยโทสะและไรเมตตา และใหแสวงหาบณั ฑิตผมู ีเมตตา ในโลกนม้ี ีคนทถี่ ูกครอบงำ ดว ยโทสะมากเสยี จนไมอ าจแยกแยะกศุ ลออกจากอกศุ ลกรรม พวกเขาไมรูจักประโยชนหรือความสมควร การใหความ เคารพตอ ผทู คี่ วรเคารพ หรือในการศึกษาธรรมะหรอื เจริญ กรรมฐาน พวกเขามีอารมณดุราย ถูกครอบงำไดงายดวย ความโกรธและความเกลียดชัง ชีวิตของพวกเขาเต็มไปดวย กิจกรรมทหี่ ยาบคายและนารังเกยี จ การอยูรวมกับคนเหลา นยี้ อมไมชวยใหปตเิ กดิ ขึ้น คนอีกพวกหนึ่งมีความเห็นอกเห็นใจและเอื้ออาทร ตอผูอ่ืน ความอบอุนและความรักในจิตใจจะแสดงออกมา ทางกายและวาจา กลั ยาณชนเชน น้รี กั ษาความสมั พันธอ ยาง ชาญฉลาด ออนหวาน การคบหาบุคคลเชนนี้มีประโยชน การอยูทามกลางกล่ินไอของความรัก ความอบอุนยอม ทำใหปต เิ กดิ ขน้ึ

๑๐๓ ๑๐. พิจารณาพระสูตรท่ีทำใหเกิดความเลือ่ มใส วธิ ที ่สี บิ ในการเจริญปตกิ ค็ อื การพจิ ารณาพระสตู ร พระสูตรบางบทกลาวถึงพระพุทธคุณ หากผูปฏิบัติเปยม ดวยศรัทธา การคิดทบทวนพระสูตรบทใดบทหนึ่งจะทำให เกิดความเบิกบานใจและความสุข สติปฏฐานสูตรเปนพระ สูตรหน่ึงที่กลาวถึงประโยชนที่บุคคลพึงไดรับจากการปฏิบัติ ธรรม พระสตู รอน่ื ๆ กลาวถงึ เรอ่ื งราวของพระสงฆและเหลา อริยบุคคลที่ทำใหเกิดแรงบันดาลใจ การทบทวนพระสูตร เหลา นี้จะสรา งกำลังใจซง่ึ นำไปสูปติและความสุข ๑๑. การนอ มใจ ประการสุดทาย หากผูปฏิบัตินอมใจไปสูการเจริญ ปติอยางมั่นคงและสม่ำเสมอยอมประสบผลดังใจหวัง พึง เขาใจวาปติจะเกิดข้ึนเม่ือจิตสะอาดปราศจากกิเลส ดังน้ัน การจะเขา ถงึ ปต ิ ผปู ฏบิ ตั ติ อ งทมุ เทความเพยี รในการเจรญิ สติ อยา งตอ เนอ่ื ง เพอื่ ใหส มาธเิ กดิ ขนึ้ และปอ งกนั กเิ ลสใหอ ยหู า ง ผูปฏิบัติตองมีความมุงมั่นท่ีจะรักษาสติใหมั่นคงทุกวินาทีไม วาในอริ ยิ าบถนงั่ หรอื นอน เดิน ยืน หรืออิริยาบถอน่ื ๆ

ความสงบ ๕โพชฌงคอ งคทีห่ า จติ ใจของคนสว นใหญ มกั ตกอยใู นความฟงุ ซา นรำคาญใจอยูเสมอ จิตวงิ่ ไปโนน มานี่ สะบัดไหวเหมือนผืนธง ทา มกลางลมแรง กระจดั กระจาย เหมือนขเี้ ถาท่ีถูกกอ นหินขวา งใส ปราศจากความเยอื กเย็น สงบเงยี บ ความฟุง ซาน กระสบั กระสายนอี้ าจเรยี กไดวา เปน คลนื่ ของจิต ทีค่ ลายกบั ผิวนำ้ ยามถูกพดั จิตจะกระเพอ่ื มเปน คลืน่ อยางชัดเจนเมื่อเกดิ ความฟงุ ซา น

๑๐๕ ถึงแมว า จติ ท่ีฟุงซา นนีม้ สี มาธิ แตก เ็ ปน สมาธิทเี่ จอื ดว ย ความกระสบั กระสา ยเหมอื นกบั คนปว ยทพ่ี ลอยทำใหส มาชกิ ในครอบครัวตื่นเตนและกระวนกระวายใจ ดังนั้น ความ ฟงุ ซา นนม้ี ผี ลตอ สภาพจติ อน่ื ๆ ในเวลาเดยี วกนั ความสขุ ทแ่ี ท จรงิ จงึ ไมอาจเกดิ ขน้ึ ไดหากจิตมีความกระสบั กระสา ย เม่ือจิตใจฟุงซานก็ยากท่ีจะควบคุมความประพฤติ บุคคลเริ่มปฏิบัติตนตามอำเภอใจและความปรารถนาโดยไม คำนงึ วาพฤตกิ รรมน้นั เปน กศุ ลหรืออกศุ ล และดว ยความไม ยัง้ คิดน้ี บุคคลอาจแสดงกริ ิยาหรือกลาววาจาทไ่ี มเ หมาะสม อนั จะนำมาซง่ึ ความเสยี ใจ การตำหนติ นเอง หรอื แมแ ตค วาม ฟุงซา นรำคาญใจ “ฉนั ผดิ ไปแลว ฉนั ไมนาพดู อยางนน้ั เลย ถา เพยี งแตฉ นั คดิ กอ นจะทำ” เมอื่ จติ ใจถกู ครอบงำดว ยความ เสียใจและเศราสลด ความสุขก็ไมอาจเกิดขนึ้ ได ธรรมที่เปนองคแหงการตรัสรูคือความสงบน้ีจะเกิด ขนึ้ เมอ่ื ไมม คี วามกระวนกระวายและความเสยี ใจ ภาษาบาลี เรยี กวา ปส สัทธิ หมายถึงความสงบเย็นซง่ึ จะเกิดขน้ึ ไดเ ม่ือ ความปน ปวนหรือความเคลอ่ื นไหวของจิตสงบลง ในโลกปจจุบัน ผูคนมีความทุกขเปนอยางย่ิง คน เปนจำนวนมากหันไปพ่ึงยาเสพยติด ยาระงับประสาท ยา นอนหลับ เพื่อสงบจติ ใจและใหม ีความสขุ บอ ยคร้ังท่เี ดก็ วยั

๑๐๖ รนุ ลองเสพยาเพอื่ ชว ยใหผ า นบางชว งของชวี ติ เมอื่ จติ ใจสบั สน เปนเร่ืองนาเสียดายที่บางคร้ังเยาวชนเหลาน้ีโชคไมดีท่ีเสพ ยาจนตดิ ความสงบสันติท่ีเกิดจากการเจริญกรรมฐานเหนือ กวา ฤทธขิ์ องยาเสพยต ดิ หรอื สารอนื่ ใดทงั้ สน้ิ แนน อนวา จดุ มงุ หมายของกรรมฐานน้ันอยูเหนือความสงบ แตสันติสุขก็เปน ผลจากการดำเนนิ ตามทางสายตรงทถี่ ูกตองของพระธรรม สงบกายและจิต ลกั ษณะของปส สทั ธกิ ค็ อื ทำใหก ายและจติ สงบ ทำให ความฟงุ ซานสงบระงับ การสกดั ความรอ นออกจากจติ หนาท่ีของปสสัทธิคือการสกัดกั้นหรือระงับความ เรารอนในจิตซึ่งเกิดความกระวนกระวาย สับสนหรือเสียใจ เมื่อจิตถูกสภาวะเหลานี้รุกราน จิตจะเรารอนราวกับถูกเผา ปสสทั ธิจะทำหนา ทดี่ บั ไฟนแี้ ลวนำความเย็นสบายมาแทนท่ี

๑๐๗ ความสงบ อาการปรากฏของปส สทั ธคิ อื ความสงบของกายและ จติ เปน สภาวะทน่ี ำมาซง่ึ ความสงบ เยอื กเยน็ ทงั้ ทางรา งกาย และจิตใจ ผปู ฏบิ ตั ทิ กุ คนคงคนุ เคยกบั ความฟงุ ซา นเปน อยา งดี มแี รงผลกั ดนั ใหเ คลอ่ื นไหว ใหล กุ ขน้ึ เพอ่ื ทำอะไรบางอยา งอยู ตลอดเวลา รา งกายกระตกุ จิตแลนไปที่โนนท่นี ี่ เมอื่ อาการ เหลา นดี้ ับไป จติ จะอยูในภาวะทน่ี ง่ิ สงบ ไมก ระเพ่อื ม การ เคล่ือนไหวจะนุมนวลราบร่ืนและสงางาม ผูปฏิบัติสามารถ นั่งอยเู ฉยๆ โดยแทบไมเคลือ่ นไหวเลย โพชฌงค องค นี้ จะ เกิด โดย อัตโนมัติ ตอ จาก ปติ เนื่องจากปติท่ีลึกซึ้งมักสัมพันธกับความสงบท่ีลุมลึก เม่ือ ปติแผซานไปท่ัวรางกาย ผูปฏิบัติก็จะไมปรารถนาท่ีจะ เคลอ่ื นไหวหรือแมแ ตรบกวนความสงบน่ิงของจติ พระพทุ ธองคท รงใชเ วลา ๔๙ วนั หลงั การตรสั รเู สวย วมิ ุติสุข ทรงรกั ษาแตละอริ ยิ าบถไว ๗ วัน ในสถานท่ี ๗ แหง โดยการเขา และออกจากผลญาณ ธรรมปตทิ ี่แผซ า นทวั่ พระวรกายอยูตลอดเวลาทำใหพระพุทธองคประทับนิ่งอยูไม

๑๐๘ ขยบั เขยอ้ื นหรอื แมป ด เปลอื กตาใหส นทิ พระเนตรหรอ่ี ยเู พยี ง คร่ึงเดียวตลอดเวลา ผูปฏิบัติเองก็อาจเคยพยายามหลับตา แลว ดวงตากลบั เบกิ โพลงขนึ้ มาโดยไมไ ดต ง้ั ใจเมอื่ เกดิ ปต อิ ยา ง แรงกลา ในท่ีสุดก็อาจตัดสินใจปฏิบัติตอไปท้ังที่ดวงตาเปด อยู หากผูปฏิบัติประสบอาการเชนนี้ก็อาจพอมองเห็นไดวา ปติของพระพุทธองคและพระธรรมปตจิ ะย่ิงใหญเพยี งใด โยนโิ สมนสกิ าร พระพุทธองคตรัสวา ความสงบ เกดิ จากโยนโิ สมนสิการ กลาวคือ ความแยบคายในการกำหนดจิตท่ี ทำใหเกิดความคิดและสภาวจิตท่ี เปนกุศล และโดยเฉพาะอยางย่ิง สภาวจิตที่เปนสมาธิอันนำมาซ่ึง ความสงบและปต ิ

๑๐๙ วิธีพฒั นาความสงบ ๗ วิธี นอกจากนีพ้ ระอรรถกถาจารย ยงั ไดแ สดงวิธีอกี ๗ วิธี ในการสรา งความสงบ ๑. อาหารทเ่ี หมาะสม วิธีท่ีหนึ่งไดแก การรับประทานอาหารท่ีเหมาะสม และมีคุณคาทางโภชนาการท่ีจำเปนและมีความพอดี คุณคา ทางอาหารเปนสิ่งจำเปนตอรางกาย ไมจำเปนตองประณีต แตเพียงพอตอความตองการของรางกาย หากรางกายไดรับ อาหารไมพอเพียง สุขภาพก็จะออนแอเปนอุปสรรคตอการ ปฏบิ ตั ิ นอกจากน้ี อาหารตอ งมคี วามเหมาะสม คอื ไมย อ ยยาก หากผปู ฏบิ ตั ไิ มช อบอาหารกจ็ ะไมส ามารถปฏบิ ตั ไิ ด เพราะจะ ทำใหไ มส บาย และโหยหาอาหารทอี่ ยากจะรบั ประทาน เราอาจศกึ ษาบทเรยี นทด่ี ใี นสมยั พทุ ธกาล มพี อ คา ท่ี มง่ั คง่ั และอบุ าสกิ าทา นหนงึ่ คอยดแู ลอปุ ฏ ฐากคณะสงฆอ ยใู น บริเวณท่ีพระพุทธองคประทับสอนอยู ซ่ึงหากสองทานนี้ได ชว ยวางแผนและจดั การใหง านตา งๆ กม็ กั จะแกป ญ หาความ

๑๑๐ ขลุกขลกั ไดเ สมอ เคล็ดลบั ของทา นท้ังสองคือการอาศัยหลัก ความจำเปนและความเหมาะสม โดยการดูแลความตอ งการ ของภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี หรอื โยคที ไ่ี ดร บั นมิ นตม าฉนั ภตั ตาหารอยา ง ถ่ีถวนอยูเสมอ นอกจากน้ีทานท้ังสองยังพยายามสืบหาวา สิ่งใดเหมาะสมกวา บางทีผูปฏิบัติอาจพอจำไดวาเมื่อไดรับ ประทานอาหารทช่ี อบและเหมาะสมแลว จติ ใจสงบมสี มาธดิ ี ๒. อากาศท่เี หมาะสม วิธีที่สองในการทำใหเกิดความสงบ คือการเลือก ปฏบิ ตั ิกรรมฐานในสถานท่ีท่มี อี ากาศดี เพ่ือความสบายและ สะดวกตอการปฏิบัติธรรม บคุ คลมีความพอใจเฉพาะตน แต ไมวาผูปฏิบัติจะชอบอะไรก็สามารถปรับตัวกับอากาศท่ีแตก ตา งออกไปไดเ สมอโดยการใชพ ดั ลม เครอื่ งทำความรอ น หรอื สวมใสเ ส้อื ผาทหี่ นา บาง ตามสภาพอากาศ ๓. อริ ยิ าบถที่เหมาะสม วิธีที่สามในการสรางความสงบก็คือ การเลือก อิริยาบถที่เหมาะสม สวนใหญเราน่ังและเดินจงกรมในการ

๑๑๑ ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน อิริยาบถทั้งสองน้ีเปนอิริยาบถท่ี ดีที่สุดสำหรับผูเริ่มปฏิบัติ แตความสบายมิไดหมายความถึง ความหรหู รา การนอนหรือการน่งั พิงเกาอี้อาจพิจารณาไดวา เปน อริ ยิ าบถทสี่ บายเกนิ ไป นอกเสยี จากวา ผปู ฏบิ ตั ปิ ว ยจนตอ ง น่ังพิง ในการนง่ั โดยไมพ งิ หรือการเดินจงกรม ผปู ฏบิ ตั ิตอ งใช ความเพียรเพ่ือไมใหลมลง ในอิริยาบถท่ีสบายเกินไป ความ เพยี รนี้ขาดหายไปและทำใหโ งก งวง งายขนึ้ จิตมีการผอน คลายและสบาย และในไมชาผปู ฏิบัตกิ จ็ ะสงเสยี งกรนออกมา ๔. วางใจใหเปนกลาง วิธีที่ส่ีในการสรางความสงบก็คือ การรักษาความ เพียรใหเปนกลาง ผูปฏิบัติไมควรท่ีจะกระตือรือรนจนเกิน ไปหรือทำตวั เหลวไหล หากความเพียรมากเกนิ ไปผูปฏบิ ัตกิ ็ จะกำหนดอารมณพลาดและเหนื่อยลา แตหากเกียจครานก็ จะไมก า วหนา คนท่กี ระตือรือรนมากเกินไปเปรยี บไดกบั คน ท่ีอยากปนใหถึงยอดเขาโดยเร็ว เขารีบปนแตเนื่องจากภูเขา สูงชนั ทำใหต องหยุดบอยๆ ในทสี่ ดุ ทำใหล าชากวาจะถงึ ยอด เขา ในทางกลับกันคนท่ีเกียจครา นก็เปรียบเหมือนหอยทาก ทคี่ อยๆ คลานไปอยางชา ๆ

๑๑๒ ๕ – ๖. เวน จากคนพาล สมาคมกับบคุ คลผูมีเมตตา การเวน จากคนเจาโทสะ หยาบคาย หรือโหดรา ยก็ สามารถชวยสรางความสงบได เห็นไดชัดวาหากมิตรสหาย ของผปู ฏบิ ตั มิ อี ารมณรอ น มกั โกรธและดา ทออยูต ลอดเวลา ผปู ฏบิ ตั กิ ค็ งจะหาความสงบไดย าก และกม็ ตี วั อยา งมากมาย ที่ความสงบของจิตผูปฏิบัติจะดีขึ้นหากคบหากับบุคคลที่มี ความสงบ สงดั ทัง้ ทางรางกายและจิตใจ ๗. นอมใจไปสคู วามสงบ ประการสดุ ทาย หากผูป ฏิบตั นิ อมใจไปสูการปฏิบัติ เนอื งๆ ต้ังความปรารถนาเพอื่ บรรลถุ งึ ความสงบและสนั ติก็ ยอ มไดร บั ความสงบสมปรารถนา หากผปู ฏบิ ตั ริ ะมดั ระวงั ใน การเจรญิ สติ ปสสทั ธสิ ัมโพชฌงคกจ็ ะเกดิ ขนึ้ โดยธรรมชาติ

สมาธิ ๖โพชฌงคอ งคท่หี ก สมาธเิ ปนองคประกอบของจติ ท่เี พง ลงสูอ ารมณทีก่ ำหนดแลวหย่ังลง แทงตลอดและเคลา อยกู ับอารมณนั้น องคธ รรมนเ้ี รียกวา สมาธิ ในภาษาบาลี

๑๑๔ ความสงบ ลักษณะของสมาธิก็คือ ความไมฟุงซาน สงบนิ่ง มนั่ คง ในท่นี ีห้ มายความวาจิตจดจออยูกบั อารมณทีก่ ำหนด จมสอู ารมณน น้ั หยุดนิง่ และสงบอยูตรงนนั้ สมาธิที่หยดุ นิง่ และสมาธิทเ่ี คลอ่ื นไหว สมาธิมี ๒ ประเภท หน่งึ เปนสมาธทิ ี่ตอเนื่อง ซึ่ง เกิดจากการกำหนดจิตอยูกับอารมณๆ เดียว น้ีเปนสมาธิ ท่ีไดจากการเจริญสมถกรรมฐาน โดยใหจิตกำหนดน่ิงอยูที่ อารมณๆ เดยี ว โดยไมใสใจกบั อารมณอ่นื ใดท้งั ส้นิ ผูป ฏิบัติ ตามแนวทางนจ้ี ะสามารถประสบกบั สมาธทิ ต่ี อ เนอ่ื งไดเ มอื่ จติ หย่งั ลงสูฌ านจิต อยางไรก็ตาม การปฏิบตั วิ ปิ ส สนามงุ ไปท่กี ารเจรญิ ปญ ญาและกระทำญาณปญ ญาใหส มบรู ณ ญาณในทน่ี ห้ี มาย ถงึ การรเู หน็ โดยประสบการณต รง เชน ความแตกตา งระหวา ง

๑๑๕ รูปและนาม ความสมั พนั ธร ะหวา งรปู และนามโดยความเปน เหตแุ ละปจ จยั การประจกั ษค วามไมเ ทยี่ ง ความเปน ทกุ ข และ ความไมใ ชต วั ไมใ ชต นของสภาวธรรมทางกายและจติ เหลา นี้ เปน ญาณขั้นตน และยงั มขี ้ันอ่ืนๆ ทเ่ี ราจะตอ งผานไปกอ นที่ จะบรรลุถึงมรรคญาณและผลญาณซึ่งมีนิพพานหรือการดับ ทกุ ขท ้ังปวงเปน อารมณ ในการปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนากรรมฐาน การระลกึ รอู ารมณ เปน สิง่ สำคัญมาก อารมณว ปิ สสนากค็ อื สภาวธรรมทางกาย และจิต เปนส่ิงท่ีสามารถรับรูไดโดยไมตองใชกระบวนการ ความคิด หรืออีกนัยหน่ึงในการปฏิบัติวิปสสนา เรารับรู อารมณต า งๆ โดยมเี ปา หมายทจ่ี ะไดม ญี าณหยงั่ รลู กั ษณะของ สิ่งเหลา นี้ ขณิกสมาธิ สมาธปิ ระเภททส่ี อง เปนส่งิ ทีส่ ำคญั ทสี่ ดุ ในการเจรญิ วปิ ส สนา อารมณว ปิ ส สนานนั้ เกดิ ขน้ึ และดบั ไปตลอดเวลา และขณิกสมาธกิ ็เกดิ ขนึ้ ในแตละวินาทีพรอ มๆ กบั อารมณ แมวาจะมีอายสุ นั้ ๆ แตสมาธแิ บบน้ีสามารถเกดิ ดบั ตอเน่ืองกันไปโดยไมข าดสายได ในกรณีเชน น้ขี ณกิ สมาธิ จะมีคุณสมบัติเหมือนสมาธิแบบตอเนื่องและมีอำนาจในการ ทำใหจิตและกิเลสสงบน่ิงอยู

๑๑๖ สำรวมจติ สมมตุ วิ า ผปู ฏบิ ตั กิ ำลงั กำหนดอาการพองยบุ ของทอ ง ขณะท่ีพยายามรกั ษาสติอยกู ับอาการพองยุบนน้ั ผปู ฏบิ ัตอิ ยู กบั ปจ จบุ นั ขณะ การระลกึ รพู ฒั นาขน้ึ มาดว ยพลงั แหง สตแิ ละ ความเพยี รในแตล ะขณะซง่ึ มลี กั ษณะเหมอื นความเพยี รทหี่ ยง่ั ลกึ ผปู ฏบิ ตั จิ ะรสู กึ ราวกบั วา จติ จดจอ อยกู บั อารมณท ก่ี ำหนด ผูปฏิบัตจิ ะตกหรอื หลนลงสูอารมณ ไมเ พยี งแตจติ จะมคี วาม แหลมคมและแทงตลอดอารมณและสงบน่ิงอยูกับอารมณ ในขณะนั้นเทาน้ัน แตสมาธิเจตสิกยังมีพลังในการทำให เจตสกิ อนื่ ๆ เกิดขึ้นพรอ มกนั ในวินาทที ่ีจติ ระลึกรนู ั้น สมาธิ เปน เจตสิกที่ทำหนาทีร่ วมจติ เขาดว ยกนั สมาธจิ ะควบคุมให เจตสกิ รวมกลมุ กนั ไมก ระจดั กระจายออกไป ดงั นน้ั จติ จงึ จบั นง่ิ อยูกบั อารมณ สันติสุขและความสงบ สภาวะนอ้ี ปุ มาเหมอื นความสมั พนั ธร ะหวา งพอ แมก บั ลกู พอ แมท ด่ี ยี อ มอยากเหน็ ลกู เตบิ โตขน้ึ เปน คนทม่ี มี ารยาทดี

๑๑๗ และมคี ณุ ธรรม เพอื่ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคน ี้ พอ แมค วบคมุ ลกู ใน ระดับหนึ่ง ลกู ๆ ยังไมมีประสบการณ พวกเขาขาดปญญา และดลุ ยพนิ ิจ ดงั น้นั พอ แมจงึ ดูแลมิใหลกู ๆ ออกไปคบหา กบั เดก็ ๆ ท่ีซกุ ซน เจตสกิ เปรยี บเสมือนเด็กๆ ในกรณนี ้ี เชน เดยี วกบั เดก็ ทไ่ี มม พี อ แมค อยชนี้ ำ อาจทำอะไรใหต นเองและผู อืน่ เดอื ดรอน ในทำนองเดยี วกัน จติ ท่ปี ราศจากการควบคมุ กจ็ ะตอ งทกุ ขท รมานจากอทิ ธพิ ลทไ่ี มด ี กเิ ลสยอ มคอยจบั จอ ง รอดูอยูใกลๆ หากไมสำรวมระวังจิตก็อาจออกไปคลุกเคลา กบั ความเหลวไหล เชน ตณั หา ความไมพ อใจ ความโกรธหรอื ความหลง แลวจติ ก็จะกระสับกระสายและไมสำรวม ซง่ึ จะ แสดงออกทางกายและวาจา จติ กเ็ หมอื นกบั เดก็ ๆ อาจเกลยี ด ชงั วนิ ยั ในชว งแรก แตเ มอ่ื เวลาผา นไปจติ กจ็ ะเรมิ่ ออ นนอ มและ พัฒนาขึ้น มีความสงบและหางไกลจากการโจมตีของกิเลส จิตที่มีสมาธิจะมีความสงบเงียบมากข้ึน มีสันติสุขมากขึ้นๆ ความรูส ึกสงบสันตินเี้ ปน อาการปรากฏของสมาธิ เด็กๆ ก็เชนกัน อาจอบรมใหเชื่อฟงหากไดรับการ ดูแลท่ีเหมาะสม พวกเขาอาจด้ือดึงบางในตอนแรกแตใน ท่ีสดุ เม่ือเตบิ โตขึน้ พวกเขาก็จะเริ่มเขาใจวา เหตใุ ดจงึ ควรเวน จากคนพาลและอาจเร่ิมรูสึกขอบคุณการควบคุมดูแลของพอ แม บางทีพวกเขาอาจเห็นวาเพ่ือนๆ ท่ีขาดการดูแลอยาง

๑๑๘ ระมดั ระวงั จากพอ แมไ ดเ ตบิ โตขนึ้ เปน อาชญากร และเมอ่ื พวก เขามอี ายมุ ากพอทจี่ ะกา วสโู ลกภายนอก พวกเขากจ็ ะสามารถ แยกแยะวาควรคบใครเปนเพ่ือนและหลีกเลี่ยงใคร และเมื่อ อายมุ ากขน้ึ และเปน ผใู หญม ากขนึ้ การอบรมนจ้ี ะชว ยใหพ วก เขาพัฒนาและเจรญิ ขน้ึ สมาธิชวยใหปญญาเกดิ ขนึ้ สมาธิเปนสาเหตุหลักที่ทำใหปญญาเกิดขึ้น ขอเท็จ จรงิ นเี้ ปน สิ่งสำคญั มาก เมื่อจิตสงบน่ิงกม็ ีชองใหป ญญาเกิด ขึ้น สามารถเขาใจสภาวะทแ่ี ทจ ริงของรปู และนาม บางครงั้ อาจมีญาณหย่ังรูความแตกตางระหวางรูปและนาม ตลอด จนความสัมพันธโดยความเปนเหตุ-ผล ระหวางรูปและ นาม ปญ ญานจ้ี ะเจริญขนึ้ ตามลำดบั จนสามารถหยง่ั รูความ เปนจริงในระดับที่ลึกซ้ึงมากข้ึน ผูปฏิบัติจะสามารถเห็นได อยา งชดั เจนในลักษณะของอนิจจงั ทกุ ขงั และอนตั ตา และ ในท่ีสุดถึงญาณที่หย่ังรูการดับทุกข เม่ือการตรัสรูเกิดข้ึน บุคคลผูน้ันจะไมอาจกลับกลายเปนบุคคลท่ีเลวรายไดอีกไม วาสถานการณจะเปน อยางไร

๑๑๙ พอ แมกับลูกๆ พอ แมห รอื ผทู กี่ ำลงั จะเปน พอ แมพ งึ ตง้ั ใจฟง ใหด ี พอ แมจ ำเปน ตอ งมสี มาธใิ นการควบคมุ จติ ของตนกอ นแลว เจรญิ ญาณข้นั ตางๆ ใหสมบรู ณ พอ แมท ่มี ีคณุ สมบตั เิ ชน น้ี จงึ จะ สามารถอบรมเล้ียงดูลกู ไดดี เพราะพอ แมเหลานี้จะสามารถ แยกแยะกุศลและอกุศลกรรมออกจากกัน สามารถส่ังสอน ลกู ๆ ใหรตู ามโดยเฉพาะอยางยง่ิ การเปนตัวอยางท่ีดี พอ แมท่ีไมควบคุมจิตใจของตนเอง พายแพตอการกระทำที่ไม เหมาะสม ไมอ าจชว ยลกู ๆ ใหพ ัฒนาความดีและปญญาได ศิษยของอาตมาบางคนในพมาก็เปนพอคนแมคน เม่ือเริ่มมาปฏิบัติพวกเขาคิดถึงแตความสุขทางโลกของลูกๆ เชน เรื่องการศกึ ษาและการมีอาชพี ทีด่ ี แลว เมือ่ ผูปกครอง เหลาน้ีมาปฏบิ ัติธรรมทส่ี ำนักอาตมา พวกเขาก็ปฏิบตั ไิ ดด ี เม่อื พวกเขากลับไปหาลกู กม็ ีทัศนคติและโครงการใหมๆ พวกเขารสู กึ วาเปน สิ่งสำคญั กวาท่ลี ูกๆ จะตองเรยี นรูในการ ควบคุมจิตและพัฒนาจิตใหมีคุณธรรมมากกวาท่ีจะมุงแต ความสำเรจ็ ในทางโลก เมอ่ื ลกู ๆ โตพอ พอ แมก ็รบเรา ให

๑๒๐ พวกเขาเขา ปฏิบตั ธิ รรม ความจรงิ อาตมาเคยถามพอแมว า ลกู ๆ ที่เกดิ กอ นและหลังการปฏิบัตธิ รรมแตกตา งกนั หรือไม พวกเขาตอบวา “มแี นนอน ลูกๆ ท่ีเกดิ หลงั การปฏบิ ัติธรรม จะมีความเคารพเช่ือฟงและความเกรงอกเกรงใจมากกวา พวกเขามจี ิตใจดเี มอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ลกู คนอื่นๆ” การกำหนดอยา งสมำ่ เสมอ ทำใหเ กิดสมาธิ พระพทุ ธองคต รัสวา โยนโิ สมนสกิ าร การใสใจโดยอุบาย อนั แยบคายและการกระทำใหมาก ปฏบิ ตั ิใหมาก พหลุ กี าโร จะทำใหสมาธิเกดิ ขึ้น เมอ่ื สมาธิเกิดข้นึ แลว กจ็ ะทำใหส มาธเิ กิดข้นึ อยางตอ เน่อื ง

๑๒๑ วิธกี ารเจรญิ สมาธอิ ีก ๑๑ วธิ ี พระอรรถกถาจารย ไดแ จกแจงวิธเี จรญิ สมาธไิ วอกี ๑๑ วธิ ี ๑. ความสะอาด ประการแรกไดแ ก ความบรสิ ทุ ธภิ์ ายในและภายนอก ของรางกายและสภาพแวดลอม ปจจัยน้ีไดกลาวถึงแลวใน หัวขอ โพชฌงคทส่ี อง คอื ธมั มวจิ ยะ ๒. จิตทีเ่ ปนกลาง สาเหตทุ ี่สองของสมาธกิ ค็ อื การรกั ษาอนิ ทรยี ให สม่ำเสมอ กลาวคอื ปญญาและศรัทธาในดา นหนง่ึ กับความ เพยี รและสมาธใิ นอกี ดา นหนึง่ อาตมาไดอ ธิบายเรื่องนแ้ี ลว ในบททีส่ อง (รแู จง ปรมตั ถธรรมดว ยการเจริญพละหา )

๑๒๒ ๓. นิมิตท่ชี ดั เจน วิธีท่ีสามน้ีเก่ียวเน่ืองกับการเจริญฌานมากกวาการ เจริญวปิ สสนากรรมฐาน ดงั น้นั อาตมาจึงขอกลา วถึงเร่ือง นเ้ี พียงยอ ๆ เทานนั้ บคุ คลพึงทำใหเ กิดความชำนาญในการ กำหนดองคบ รกิ รรม กลา วคือการรกั ษานมิ ติ ใหช ดั เจนดงั เชนทป่ี ฏบิ ัติกันในการเจรญิ สมถกรรมฐาน ๔. ยกจติ ท่ีทอถอย ปจ จัยทส่ี ่ไี ดแ กการยกจติ เมื่อรูสึกหนกั ใจ หดหู หรือทอถอย ไมต องสงสัยเลยวา ผูปฏบิ ัตคิ งตองหัวหกกน ขวิดกับการปฏบิ ตั มิ าบางแลวทุกคน ในเวลาเชนนี้ผูปฏิบัติ ควรพยายามยกจติ ของตน เชนการใชวิธีเจรญิ ความเพยี ร ปต หิ รอื ญาณปญญา การยกจิตทที่ อถอยกเ็ ปน หนา ทหี่ นึ่ง ของวปิ ส สนาจารย เม่อื ผปู ฏบิ ัติมาสงอารมณดวยใบหนาที่ เหีย่ วแหง วิปส สนาจารยรวู า ควรจะใหกำลังใจอยา งไร

๑๒๓ ๕. ขมจติ ใหสงบ บางคร้ังก็อาจจำเปนในการขมจิตใจที่เรารอน นี่ เปนสาเหตุที่หาในการเจริญสมาธิ บางครั้งเมื่อผูปฏิบัติมี ประสบการณท่ีตรึงใจในการเจริญกรรมฐานแลวอาจรูสึก ต่นื เตน และกระตอื รอื รน มคี วามเพียรทวมทน เม่ือเปนเชนนี้ วิปสสนาจารยไมควรสงเสริมแตใหคำแนะนำใหปฏิบัติใหถูก ตอง วิปสสนาจารยอาจชวยกระตุนโพชฌงคท่ีหาคือความ สงบ โดยวธิ ที ไี่ ดก ลา วในหวั ขอ ทแ่ี ลว หรอื อาจแนะใหผ ปู ฏบิ ตั ิ ผอนคลายและเฝา ดูโดยไมใชความพยายามมากเกนิ ไป ๖. ใหก ำลังใจแกจติ ที่บอบช้ำเพราะความเจ็บปวด หากจิตใจถดถอยและเหี่ยวเฉาเพราะความเจ็บปวด ก็จำเปนตองใหกำลังใจ น่ีคือวิธีท่ีหกในการเจริญสมาธิ ผู ปฏิบัติอาจรูสึกหดหูจากสภาพแวดลอมหรือถูกรบกวนจาก ปญ หาสขุ ภาพเกา ๆ ในเวลาเชน นจ้ี ำเปน ตอ งยกจติ ขน้ึ และทำ จติ ใจใหส ะอาดสวา งและเฉยี บแหลมอกี ครง้ั โดยวธิ ตี า งๆ หรอื วปิ ส สนาจารยอ าจปลกุ เรา กำลงั ใจ มใิ ชโ ดยการเลา เรอื่ งตลก แตโดยการพดู บำรงุ น้ำใจ

๑๒๔ ๗. การกำหนดอยางสมดุลและตอ เน่อื ง วิธีท่ีเจ็ดในการเจรญิ สมาธิกค็ ือ การพยายามรกั ษา การกำหนดสติทสี่ มดลุ อยตู ลอดเวลา บางคร้ังเมื่อการปฏิบัติ กา วหนา ข้นึ ผูปฏิบตั อิ าจรสู ึกวา ไมตอ งใชความพยายามเลย แตก็ยังมีสติอยูกำหนดอยูกับอารมณขณะที่เกิดข้ึนและดับไป ในเวลาเชนน้ีผูปฏิบัติไมควรรบกวน แมจะรูสึกวากาวหนา ชาเกินไป อยากใหเร็วขึ้น อยากบรรลุธรรมเร็วๆ หากผู ปฏบิ ัติพยายามเรง ก็จะทำใหดลุ ยภาพของจติ สญู เสยี ไป และ การกำหนดสตกิ จ็ ะขาดความคมชัด ในทางตรงขาม หากทกุ อยา งดแี ละราบรน่ื เสยี จนผปู ฏบิ ตั ผิ อ นคลายลงมากเกนิ ไปกจ็ ะ ทำใหก ารปฏบิ ตั ิเสอ่ื มถอยลงไดเ ชน กัน เม่ือมคี วามเพยี รทไี่ ม ตอ งอาศยั ความพยายาม ผปู ฏบิ ตั คิ วรทจี่ ะปลอ ยใหด ำเนนิ ไป โดยพยายามรกั ษาระดับของสภาวะน้ันไว ๘-๙. เวน จากคนฟงุ ซาน สมาคมกบั คนท่ีมีสมาธิ ผปู ฏบิ ตั คิ วรเวน จากบคุ คลทมี่ จี ติ ไมต ง้ั มน่ั และคบหา สมาคมกับบุคคลที่มีสมาธิ ซ่ึงเปนวิธีท่ีแปดและเกาของการ

๑๒๕ เจรญิ สมาธิ บคุ คลที่ไมม ีความสงบหรอื สนั ตสิ ุข ไมเ คยเจรญิ สมาธมิ กั เรา รอ น เดก็ ๆ ทเี่ กดิ ในครอบครวั เชน นกี้ อ็ าจจะขาด ความสงบทางจิตไปดวย ใน ประเทศ พมา มี ขอคิด ท่ี คลายคลึง กับ แนวคิด ของตะวนั ตกเกย่ี วกับ “อิทธพิ ลทีด่ ี” มหี ลายกรณี เชนคน ท่ีไมเ คยปฏิบัติกรรมฐานมากอน แตเมอื่ เขา มาเยีย่ มศนู ย วปิ ส สนาก็เร่ิมรูส กึ สงบและมสี ันติสุข พวกเขาไดรับอิทธพิ ล จากผปู ฏิบัตทิ ก่ี ำลงั ทำความเพยี รอยา งหนกั ผมู าเยอื นบาง คนถงึ กบั ตดั สินใจเขามาปฏิบัติเลย น่เี ปน เรื่องธรรมดา ในสมยั พทุ ธกาล มพี ระราชาองคหน่ึงมีพระนาม วา พระเจาอชาตศตั รู ผปู ลงพระชนมพ ระบิดาเพือ่ ขึน้ ครอง ราชยบ ัลลังก พระองคท รงนอนไมห ลบั หลายตอหลายคนื หลังจากไดท รงกอ อนนั ตรยิ กรรมที่เลวรา ย ในทสี่ ุดพระองค จึงเสดจ็ ไปเฝาพระพทุ ธเจา ระหวา งทางท่ีเสดจ็ ผา นปามา ก็พบหมูสงฆกำลังฟงธรรมจากพระพุทธองคอยางสงบและ มสี มาธิ กลาวกนั วาความทกุ ขเรา รอ นใจของพระองคห าย ไปหมดส้ินและเปยมดวยความสงบเยือกเย็นอยางไมเคย ประสบมากอ น

๑๒๖ ๑๐. พิจารณาฌานและวิโมกข วธิ ีท่สี บิ กค็ อื การพจิ ารณาความสงบและความเยอื ก เยน็ ทเ่ี กดิ จากฌานสมาธิ วธิ นี ีเ้ หมาะสำหรับผูปฏิบตั ิที่เคย เจรญิ สมถกรรมฐานจนไดความสงบลึกมากอน การระลึก ถึงวิธีเขาฌานก็สามารถทำใหจิตเขาสูสมาธิไดเปนชวงส้ันๆ ในทันที สำหรบั ผไู มไดฌานอาจระลึกถึงเวลาทีข่ ณกิ สมาธิ เขมแขง็ มากจนจติ รสู กึ สงบและตั้งมัน่ การระลึกถึงสภาวะ ที่หลุดพนจากนิวรณและสันติสุขของจิตที่ไดมาจากการ เจริญขณกิ สมาธิอยางตอเน่ืองก็จะทำใหสมาธิเกิดขึน้ ไดอีก ๑๑. การนอ มจติ วิธีท่ีสิบเอ็ดและวิธีสุดทายในการสรางสมาธิก็คือ การนอมจติ ไปสกู ารเจริญสมาธิอยางตอเน่ือง ทกุ อยางขนึ้ อยูกับความพยายามที่ทมุ เทลงไปในทุกๆ วนิ าที หากผู ปฏิบตั ิพยายามที่จะมสี มาธิ สมาธกิ จ็ ะเกิดข้ึน

อเุ บกขา ๗โพชฌงคองคท เ่ี จด็ บางทสี ำนกั งานสหประชาชาตินาจะมีชอ่ื ใหม หากองคก ารนี้ชื่อวา องคก ารแหงอุเบกขา บรรดาผแู ทนทัง้ หลาย จะไดร ะลึกไววาควรจะทำอยา งไรเวลาเจรจาตอรอง โดยเฉพาะอยา งย่งิ เวลาเผชิญกบั ปญหาทร่ี อ นแรง ผบู ริหารทุกคนตอ งมคี วามสามารถ ในการรักษาไวซ ง่ึ ความเปน กลาง ในการเผชญิ กับปญหาทีย่ งุ ยากซบั ซอน

๑๒๘ ในภาษาบาลคี ำวา อเุ บกขา แปลวา วางเฉย ซง่ึ หมาย ถงึ ความสมดุลของพลงั งาน เปน สภาวจติ ท่ีต้งั อยตู รงกลาง ไมเบ่ยี งเบนไปขางใดขา งหน่ึง อเุ บกขานี้สามารถเจริญไดใ น ชวี ติ ปกตทิ วั่ ไปทจ่ี ะตอ งตดั สนิ ใจเปน ประจำทกุ วนั เชน เดยี วกบั ในการเจริญกรรมฐาน การประสานความขดั แยงภายใน ในระหวา งการเจรญิ กรรมฐาน สภาวจติ หลายอยา ง แขง ขนั กนั ศรทั ธาพยายามเอาชนะอนิ ทรยี อ น่ื ๆ เชน ความคดิ หรอื ปญญาหรือในทางกลบั กัน วริ ิยะกับสมาธกิ ็เชนเดียวกนั เปนท่ีรูกันในหมูนักปฏิบัติธรรมวาการรักษาอินทรียสองคูนี้ ใหส มดลุ เปน สงิ่ จำเปน สำหรบั ความกา วหนา และรกั ษาทศิ ทาง การปฏบิ ัติใหถ กู ตอง ในระยะแรกของการปฏิบัติ ผูปฏิบัติอาจรูสึก กระตือรือรนและมุง มนั่ ทันทที น่ี ั่งลง จติ ของผูปฏิบตั ิก็จะมุง กำหนดอาการพองยบุ หรอื อารมณอ น่ื ๆ ทอ่ี ยใู นขา ยของการ รบั รู แตด ว ยความเพียรทมี่ ากเกิน มแี นวโนม ทจี่ ิตจะพุงเลย

๑๒๙ อารมณก รรมฐาน หรอื ไมก ห็ ลดุ จากอารมณท ก่ี ำหนด ความ ผดิ พลาดนอ้ี าจทำใหผ ปู ฏบิ ตั หิ งดุ หงดิ เพราะไดพ ยายามอยา ง ดีทสี่ ุดแลว ยงั ไมไ ดผล บางทผี ปู ฏบิ ตั อิ าจพบความผดิ พลาดของตวั เอง แลว สามารถปรบั จงั หวะใหเ ขา กบั สงิ่ ทกี่ ำลงั เกดิ ขนึ้ อยไู ดเ มอื่ เฝา ดู อาการพองยบุ จติ ปรบั เขา กบั กระบวนการพองยบุ และกำหนด ตามไป ในไมช า การกำหนดกจ็ ะงา ยขน้ึ และผปู ฏบิ ตั เิ รมิ่ ผอ น คลายลงเล็กนอย ความเพียรแทบไมมีความหมาย แตหาก ไมร ะวดั ระวงั ความงวงเหงาหาวนอนจะคืบคลานเขา มาและ ครอบงำผูปฏิบัติในที่สดุ บางทผี ปู ฏบิ ตั อิ าจประสบความสำเรจ็ พอควรในการ แยกรปู แยกนามและมองเหน็ ความสัมพันธของรปู นามน้ัน ผู ปฏิบัติจะไดล้ิมรสพระธรรมและพบวาเปนส่ิงนาตื่นเตน เมื่อ ศรัทธาเต็มเปยมผูปฏิบัติอยากจะปาวประกาศสัจจธรรมอัน วเิ ศษทตี่ นไดป ระสบแกม ติ รสหายและพอ แม ดว ยศรทั ธาความ คิดและการวางแผนวิ่งพลาน เมื่อมีความคิดและความรูสึก การปฏิบตั กิ ห็ ยดุ น่งิ ไมก าวหนา ความตอเนอื่ งของเหตกุ ารณ นีเ้ ปนอาการที่เกดิ จากศรัทธามากเกนิ ไป ผูปฏิบัติอีกคนอาจประสบกับญาณสภาวะแบบ

๑๓๐ เดยี วกนั แตแ ทนทจ่ี ะปรารถนาในการเผยแผธ รรมะ ผปู ฏบิ ตั ิ เร่ิมตีความประสบการณของตน อาจกลาวไดวาผูปฏิบัติ ประเภทนี้ขี่ชางจับตั๊กแตน ประสบการณทุกอยางถูกนำมา เทียบเคียงกับหนังสือธรรมะทุกเลมท่ีไดอาน ความคิดเกิด ข้ึนทำใหการปฏิบัติไมกาวหนาอีกเชนกัน น่ีเปนอาการของ ปญ ญาท่มี ากเกนิ ไป ผูปฏิบัติหลายๆ คนมีแนวโนมที่จะใชเหตุผลตรวจ สอบทกุ อยา งทไี่ ดย นิ กอ นทจี่ ะยอมรบั พอเขา อบรมกรรมฐาน พวกเขาพยายามตรวจสอบโดยการคดิ หาเหตผุ ลเพอ่ื ดวู า สง่ิ ที่ ปฏบิ ตั อิ ยถู กู ตอ งหรอื ตอบสนองความเขา ใจของตวั เองหรอื ไม หากเขายงั ตดิ อยใู นแนวคดิ แบบน้ี ผปู ฏบิ ตั กิ จ็ ะถกู หลอกหลอน ดว ยความสงสัยตลอดเวลาเหมือนวนอยูบนมา หมุน พวกเขา ไมม วี ันท่ีจะกาวหนา หากไดย นิ ไดฟ ง เกย่ี วกบั วธิ ปี ฏบิ ตั หิ รอื เคยลองปฏบิ ตั ิ และพบวาไดผลดีพอควรแลว ผูปฏิบัติพึงตัดสินใจทุมเท ตนเองใหกับคำสอนท่ีไดรับนั้น นี่เปนวิธีเดียวที่ทำใหการ ปฏิบตั ิกา วหนาอยา งรวดเร็ว ผปู ฏิบัตเิ ปรยี บเหมือนทหารใน สนามรบแนวหนา ไมม เี วลาทจี่ ะมาโตแ ยง หรอื ตง้ั ขอ สงสยั คำ สั่ง ทุกคำส่ังจากเบ้ืองบนเปนสิ่งตองปฏิบัติตามโดยไมตอง

๑๓๑ สงสัยจึงจะเอาชนะในการรบได แนนอนอาตมามิไดสอนให ผปู ฏบิ ัตเิ ช่ืออะไรอยางงมงาย จนกวาผูปฏิบัติจะสามารถประจักษสภาวธรรมที่ เกิดขน้ึ ต้ังอยแู ละดบั ไปอยา งแจมแจงชดั เจน การปฏิบัตกิ จ็ ะ ยงั ไมม นั่ คงเนอ่ื งจากศรทั ธาและปญ ญา วริ ยิ ะและสมาธยิ งั ไม เสมอกนั แตหากอินทรียเ สมอกัน ผูปฏบิ ตั ิสามารถประจกั ษ สภาวธรรมที่เกิดข้ึนและดับไปอยางรวดเร็ว ความพอดีของ วิริยะและสมาธิ ศรทั ธาและปญ ญา ไดรับการแกไขแลว ณ จุดน้ีอาจกลาวไดวาผูปฏิบัติไดบรรลุถึงสภาวะอุเบกขา ซ่ึง เปนความสมดุลของอินทรียท้ังส่ี ในที่นี้อาจดูราวกับวาการ กำหนดสตเิ กิดขน้ึ โดยตัวของมนั เองโดยไมต องพยายามเลย จิตท่ีสมดุลเปรียบเหมือนกับรถมาท่ีถูกเทียมดวยมา ทม่ี ีพละกำลงั เทา กันสองตวั เมือ่ มาท้ังสองออกวง่ิ การขบั ขี่ รถมา นีก้ ลายเปนของงาย สารถเี พียงแตปลอ ยใหม า ทำงาน แตหากมา ตวั หน่ึงรวดเรว็ ในขณะทีม่ า อกี ตวั หน่ึงแก ทรุด โทรม สารถีตองทำงานหนกั เพอื่ ไมใหร ถตกถนนโดยการดงึ มา ท่เี รว็ ใหชาลงและกระตนุ ตวั ท่ชี า อยตู ลอดเวลา ในทำนอง เดียวกับการเจรญิ กรรมฐาน ตอนแรกจติ ยงั ไมมีความสมดลุ และผูปฏิบัติตองโซซัดโซเซจากความกระตือรือรนไปสูความ สงสัย จากความพยายามมากเกนิ ไปสคู วามเกยี จคราน แต

๑๓๒ เม่ือการปฏบิ ตั ิกา วหนา อุเบกขาสัมโพชฌงคกเ็ กิดขน้ึ และ ดเู หมอื นวาสตสิ ามารถเดนิ หนาไปไดดวยตนเอง เวลาเชน นผี้ ปู ฏิบตั ิจะรสู กึ สบายอยา งยง่ิ หากเทยี บกบั ชวี ติ สมัยใหม ก็เปรียบเสมือนการขับรถยนตหรูหราท่ีแลนไปดวยเครื่อง ควบคมุ ความเรว็ อัตโนมัตบิ นทางดวนทร่ี ถไมต ิด ศรทั ธาเสมอกับปญญา วิริยะเสมอกับสมาธิ ลักษณะของอเุ บกขาก็คือ สภาวจิต ท่ีเสมอกันไมม ีสภาวะใดครอบงำสภาวะอื่น อุเบกขาปรับความพอดใี หแกศ รทั ธาและปญ ญา วิรยิ ะและสมาธิ

๑๓๓ พอดี พอดี หนาทขี่ องอเุ บกขาสมั โพชฌงคก็คอื การเติมในสว น ทีข่ าดและลดในสว นที่เกิน อเุ บกขาทำหนาทปี่ ระคองจติ กอ น ทจี่ ะตกไปสสู ภาวะสดุ โตง ของการขาดหรือเกนิ เมอ่ื อเุ บกขา เขมแขง็ จิตจะเปนกลางไมสุดโตงเกินไป ผูปฏิบตั ิไมต องใช ความพยายามในการรกั ษาสติ สารถีท่ีดจี ะปลอ ยใหมาลากไป ดูเหมือนวาสติที่ทำหนาที่ดูแลทุกส่ิงทุกอยางเหมือน คนขับรถมาทเ่ี อนหลังแลวปลอ ยใหมา พาไป สภาวะทส่ี บาย และเปนกลางนเ้ี ปนอาการของอุเบกขา เมอ่ื อาตมายังเดก็ อาตมาเคยไดยินคนพูดถึงการ หาบตะกรา ๒ ใบดวยคานไมไผ นีเ่ ปน สง่ิ ปรกติในพมา ไม คานพาดไวบนบามีกระจาดท่ีเต็มไปดวยสัมภาระแขวนอยูท่ี ปลายทงั้ สองขา ง เวลาออกเดินครง้ั แรกคนแบกตอ งออกแรง มากและสมั ภาระนน้ั ก็หนัก แตห ลังจากเดนิ ไปได ๑๐ – ๑๕ กา ว ไมค านกเ็ รม่ิ ขยับขึ้นลงตามจังหวะการเดิน คนหาบ ไม

๑๓๔ คาน และกระจาดสามารถเคล่อื นไปไดอ ยางสบายๆ จนคน หาบเองแทบไมรูสกึ หนกั อาตมาเองแทบไมเ ช่ือเหมือนกัน แตพ อไดม าเจริญกรรมฐานกร็ ูว า มนั เปนไปได สตทิ ต่ี อ เนอ่ื งทำใหเกดิ อุเบกขา ตามพทุ ธดำรสั อุเบกขาเกดิ จากโยนโิ สมนสกิ าร การ กำหนดอยางฉลาด กลาวคือการเจรญิ สตอิ ยางตอเนอ่ื งจาก วินาทีหนึ่งไปสูอีกวินาทีหน่ึงไมขาดสายดวยความตั้งใจที่จะ เจรญิ อุเบกขา อเุ บกขาในวินาทีหนึ่งทำใหอเุ บกขาในวนิ าที ตอ ๆ มาเกิดขึน้ และเมอ่ื อเุ บกขาเกิดขึน้ แลว กจ็ ะพัฒนาไป อยางตอเนอื่ งและลกึ ซึง้ ทำใหก ารปฏิบตั กิ าวหนา เลยสภาว ญาณทห่ี ยัง่ รกู ารเกิดดบั ของสภาวธรรม อเุ บกขาไมไดเ กิดขนึ้ งายๆ ในใจของผปู ฏิบัติใหม แม จะขยันกำหนดสตทิ ุกๆ วนิ าที อเุ บกขาเกิดขน้ึ แลวกจ็ ากไป จติ จะเปนกลางในชว งส้ันๆ แลวก็หายไปอกี อเุ บกขาจะเจริญ เปนขนั้ ๆ ชว งเวลาทเ่ี กิดยาวนานขนึ้ เร่ือยๆ และบอยขึน้ ใน ท่ีสุดอเุ บกขากจ็ ะแข็งแกรงพอท่ีจะเปน โพชฌงคองคห นง่ึ ได

๑๓๕ วิธเี จรญิ อเุ บกขาอกี ๕ วธิ ี มีวิธี ๕ วธิ ีในการเจริญ อเุ บกขาดงั กลา วไวใ นอรรถกถา ๑. วางตนใหเปนกลางในสตั วท ั้งหลาย ประการแรกและที่สำคัญท่ีสุด คือ การวางใจให เปนกลางในสัตวท้ังหลาย ไดแก บุคคลผูเปนที่รักรวมถึง สตั วเ ล้ยี ง เราอาจผกู พนั รกั ใครผูคนทรี่ กั และสัตวเลี้ยงจนถึง ขั้น “หลงงมงาย” ประสบการณแ บบนีไ้ มชว ยใหเกดิ อเุ บกขา หรือความเปน กลาง การปรบั พน้ื ฐานใหเ กดิ อเุ บกขานน้ั บคุ คลพงึ ปลกู ฝง ทัศนคติที่ไมยึดติดในคนและสัตวอันเปนท่ีรัก สำหรับปุถุชน ความผกู พนั อาจเปนสงิ่ จำเปน แตหากยึดมัน่ มากเกินไปกจ็ ะ ทำลายตนเองไปจนถงึ คนทร่ี กั ดว ย เราเรมิ่ วติ กเกย่ี วกบั ความ สขุ ทุกข ของคนเหลานั้นมากเกนิ ไป โดยเฉพาะอยา งยิ่งใน

๑๓๖ ระหวา งการปฏบิ ตั กิ รรมฐาน ควรปลอ ยวางความหว งใยมติ ร สหายท่ีมากเกินขอบเขต วธิ กี ารพฒั นาการปลอ ยวางวธิ หี นงึ่ กค็ อื ใหค ดิ วา สตั ว ทั้งหลายมีกรรมเปนของตน บุคคลไดรับความสุขจากกุศล กรรมและไดรับความทกุ ขจากอกศุ ลกรรม พวกเขากอ กรรม ขนึ้ โดยเจตนาของตนแลว ไมม ใี ครสามารถปอ งกนั วบิ ากกรรม นั้นมใิ หเกิดขึน้ ได ในท่สี ดุ ไมม อี ะไรที่เราหรอื ใครจะไปชวยได หากพิจารณาเชน น้เี ราอาจจะวิตกถึงคนทีเ่ รารักนอ ยลง นอกจากนี้ผูปฏิบัติยังอาจเจริญอุเบกขาตอผูอื่นโดย การระลึกถึงปรมัตถสัจจะ เชน ผูปฏิบัติอาจบอกตนเองวา โดยนัยปรมัตถแลวก็มีเพียงรูปกับนาม แลวคนที่เรารักท่ีสุด อยทู ่ไี หน มีเพียงนามและรูป จิตและกายท่เี กิดขึ้นและดบั ไป ทกุ ขณะ แลวขณะไหนละ ท่เี ราหลงรกั โดยวธิ ีนผ้ี ปู ฏบิ ัติอาจ นอ มนำจิตใหเ หน็ ตามความจริงขนึ้ มาไดบา ง บางคนอาจวติ กวา ความคดิ แบบนอี้ าจทำใหเ กดิ ความ รสู กึ เฉยชา และทำใหค นละทง้ิ คคู รองหรอื คนรกั ไป ไมพ งึ ตอ ง วิตกไปเลย อุเบกขามิใชความไรสำนึก ความไมแยแสหรือ ความเฉยเมย แตเปนความเสมอภาค หากมีอุเบกขาบุคคล จะไมผลักไสอารมณที่ไมนาปรารถนาหรือไขวควาอารมณ

๑๓๗ ท่ีปรารถนา จิตจะนิ่งอยูในความพอดีและยอมรับสิ่งตางๆ ตามความเปนจริง เมอื่ อุเบกขาสัมโพชฌงคปรากฏ ผูปฏิบัติ จะละทงิ้ ความผกู พนั ตลอดจนความเกลยี ดชงั ในสตั วท ง้ั หลาย พระไตรปฎกกลาววา อุเบกขาเปน ปจจยั ใหเ กิดการชำระลา ง และยงั ความบรสิ ทุ ธใิ์ นบคุ คลทม่ี ากดว ยตณั หา หรอื ความใคร ซ่ึงตรงขา มกบั อเุ บกขา ๒. วางตนเปน กลางในวตั ถุส่งิ ของ วิธีท่ีสองในการเจรญิ อเุ บกขาสัมโพชฌงคกค็ ือ การ วางตนเปนกลางในวัตถุส่งิ ของ เชนทรพั ยส มบตั ิ เสื้อผา และ แฟชัน่ ลา สดุ ตามความนิยม ตวั อยางเชน เสอื้ ผาอาจขาดวนิ่ และเปรอะเปอ นไดสักวนั มนั จะเปอ ยและผุพังเพราะมนั ไม เที่ยงเชนเดียวกับวัตถอุ ืน่ ๆ นอกจากน้เี ราก็ไมไดเปนเจาของ มนั จริงๆ เน่ืองจากสงิ่ ทัง้ หลายไมมตี ัวตน ไมมใี ครเปน เจาของอะไรได ในการพฒั นาจิตใหเปนกลางและลดความ ยดึ ม่ันถือม่นั การพิจารณาวัตถุสิ่งของโดยความไมเ ท่ยี งอาจ ชวยได เราอาจบอกตนเองวา “ฉันจะใชป ระโยชนจ ากสิง่ น้ี ในชวงส้ันๆ เทา น้นั มนั จะไมค งอยตู ลอดไป”

๑๓๘ คนท่ตี ดิ แฟชน่ั คงคอยตามซื้อผลติ ภัณฑใหมๆ ทอ่ี ยู ในสมยั นยิ มตลอดเวลา และเมอื่ ซอ้ื มาแลว มขี องทที่ นั สมยั กวา ออกตามมา พวกเขากจ็ ะโยนของเกา ทงิ้ เพอ่ื ซอ้ื ของใหม การก ระทำเชนน้มี ิใชอเุ บกขา ๓. เวนจากบคุ คลผยู ดึ มน่ั ถอื ม่ัน วิธีที่สามที่จะเจริญอุเบกขาโดยความเปนโพชฌงคก็ คือ การเวนจากคนท่คี ล่ังไคลในบุคคลหรือวัตถุสิ่งของ คน เหลานี้มีความเปนเจาขาวเจาของ ยึดม่ันในสิ่งท่ีคิดวาเปน ของตนทง้ั ผคู นและสง่ิ ของ บางคนทนไมไ ดท ค่ี นอน่ื พอใจหรอื ใชสอยทรัพยส ินของตน มีพระเถระรูปหนึ่งที่ผูกพันกับสัตวเล้ียงมาก ใน วัดของทานมีสุนัขและแมวออกลูกมามากมาย วันหนึ่งพระ เถระมาที่ศูนยปฏิบัติธรรมในรางกุงเพ่ือปฏิบัติกรรมฐาน ทานเจริญกรรมฐานในสภาพแวดลอมเอื้ออำนวยทุกอยาง แตก ารปฏิบัติไมก า วหนา ในทส่ี ดุ อาตมาคิดอะไรได จึงถาม ทานวาท่ีวัดของทานมีสัตวเล้ียงไหม ใบหนาทานสดใสข้ึน และตอบวา “โอ มคี รบั ผมมีสุนัขและแมวหลายตัว ตงั้ แต

๑๓๙ มาทนี่ ผ่ี มมวั แตก งั วลวา พวกมนั จะมขี า วพอกนิ หรอื เปลา พวก มนั เปน อยา งไรกนั บา ง” อาตมาขอใหท า นลมื สตั วเ หลา นนั้ เสยี และตง้ั ใจเจริญสมาธิ ในไมช า ทานก็ปฏบิ ัติไดก าวหนา โปรดอยาปลอยใหความผูกพันตอคนรักหรือสัตว เลี้ยงมีมากเกินไปจนไมสามารถเขาอบรมกรรมฐาน อัน เปนหนทางพัฒนาจิตและเจริญอุเบกขาใหเปนอุเบกขาสัม โพชฌงค ๔. สมาคมกบั มิตรทสี่ งบเย็น วิธีที่ส่ีในการเจริญอุเบกขา ผูปฏิบัติควรเลือกมิตร ท่ีไมยึดม่ันในสัตวและวัตถุส่ิงของ วิธีนี้ตางจากวิธีขางตน กลาวคือ หากคบมิตรเชนพระเถระในหัวขอที่แลวก็จะกอให เกดิ ปญหาได ๕. นอ มใจใหเปนกลาง สาเหตุประการท่ีหาและประการสุดทายในการ เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงคไดแก การนอมใจสูการเจริญ

๑๔๐ อุเบกขา การนอมนำจติ ไปในแนวทางดงั กลาว จิตจะไมแ ลน ออกไปหาสัตวเล้ียงที่บานหรือคนรัก แตจะมีความพอดีและ เปน กลางมากขนึ้ อเุ บกขามคี วามสำคญั อยา งยงิ่ ในการปฏบิ ตั ธิ รรมและ ในชวี ติ ประจำวนั โดยทวั่ ไป เรามกั จะถกู พดั พาไปกบั อารมณ ท่ีนาพอใจ หรือไมก็ถูกเหว่ียงลงสูความกระสับกระสายเม่ือ เผชญิ กบั อารมณอ นั ไมน า ปรารถนา อารมณท ข่ี ดั แยง สบั สนน้ี พบไดใ นเกอื บทกุ คน เมอ่ื เราไมอ าจรกั ษาความพอดแี ละความ หนกั แนน เรากจ็ ะถกู พดั พาไปหาความสดุ โตง ของตณั หาหรอื โทสะไดอยา งงายดาย พระไตรปฎ กกลา ววา เมอื่ จติ หมกมุนอยใู นกามคณุ อารมณ จิตจะกระสับกระสา ย น่ีเปนภาวะปกติของโลกท่ี เห็นได ในการแสวงหาความสขุ คนสว น ใหญเขาใจผิดวาความตื่นเตนเปน ความสขุ ที่แทจ รงิ คนเหลานีจ้ ะ ไมมีโอกาสท่ีจะพบความสุขที่ เกิด จาก สันติสุข และ ความ สงบ

๑๔๑ โพชฌงค : อมตธรรม โพชฌงค ธรรมที่เปนองคแหงการตรัสรูทั้งหมดนำ มาซึ่งคุณอันวิเศษ เมื่อพัฒนาเต็มท่ีจะมีอำนาจในการทำ ที่สุดแหงทุกขในสังสารวัฎใหสิ้นไป น่ีคือคำกลาวท่ีมีในพระ ไตรปฎ ก ในทีน่ ีห้ มายความวา วัฏจกั รของการเกดิ และการ ตายในเหลาสัตวซ่ึงประกอบดวยสภาวธรรมของรูปและนาม ถึงความสิ้นสดุ โดยสิน้ เชิง นอกจากน้ี โพชฌงคยังมีพลานุภาพในการขับไล กองทพั ทงั้ สบิ ของพญามาร กลา วคอื พลงั ลบภายในทผ่ี กู มดั บุคคลใหติดอยูกับวงลอมของความทุกขและการเกิดดวยเหตุ น้ี พระพุทธองคและเหลาพระอรยิ บคุ คลท้ังหลายจึงไดเ จรญิ โพชฌงคจ นสามารถกาวลวงกามภพ รปู ภพ อรปู ภพ ผูปฏิบัติอาจสงสัยวาหากพนจากภพทั้งสามแลวจะ ไปอยูที่ไหน ไมอาจกลาวไดวามีการเกิดในรูปแบบอ่ืนใด เน่ืองจากนิพพานไมม กี ารเกิดและการตาย การเกิดนำมาซง่ึ ทกุ ข ลกั ษณะของทุกข กลา วคอื ความแก ความเจบ็ และใน

๑๔๒ ทีส่ ุดความตายอยา งหลีกเลยี่ งไมได บคุ คลจะพน ทุกขไดต อ ง พน จากการเกิด ความตายจงึ ไมอ าจเกิดขนึ้ ได นิพพานเปน สภาวะท่ีอิสระจากการเกดิ และการตาย เมื่อโพชฌงคเจริญเต็มท่ีแลว จะนำผูปฏิบัติเขา สูนิพพาน ในท่ีนี้โพชฌงคเปรียบไดกับยาที่เขมขนและมี ประสิทธิภาพ โพชฌงคมีอุปการะแกความเขมแข็งของจิตท่ี ตองเผชิญกับความเปล่ียนแปลงของชีวิต นอกจากนี้ยังชวย รักษาโรครา ยทางรางกายและจติ ใจไดดว ย ท้ังนี้มิไดรับประกันวาหากผูปฏิบัติเจริญกรรมฐาน แลวจะหายจากโรคทุกโรค แตก็เปนไปไดวาการเจริญ โพชฌงคส ามารถทำใหอ าการปว ยทเุ ลาลงแมแ ตโ รคทไี่ มอ าจ รกั ษาใหห ายได

๑๔๓ ขจัดความปวยทางจติ โรคทางจิตคือโรคที่เกิดจากความโลภ ความ โกรธ ความหลง ความริษยา ความตระหน่ี ความทอ ถอย เปน ตน เมอื่ อาการเหลา นป้ี รากฏขนึ้ กจ็ ะทำใหจ ติ ใจไมแ จม ใส คลุมเครือ ภาวะจิตเชนนี้เปนเหตุใหรางกายทรุดโทรม ผิว พรรณกลับหมองคล้ำเม่ือจิตใจถูกครอบงำดวยพลังทางลบ เรากลายเปนคนนาเบื่อ ไมมีความสขุ และสุขภาพทรดุ โทรม คลายกบั การหายใจเอาอากาศทมี่ สี ารพิษเขา ไป ในทางตรงขาม หากผูป ฏิบัตพิ ยายามอยางแขง็ ขันในการเจริญสติกำหนดรูอารมณใหคมชัดอยูทุกขณะ เปนธรรมชาติอยูเองท่ีจิตก็จะเกาะอยูกับอารมณน้ันโดยไม ฟุงซา นหรอื ซัดสา ย สมาธิหรือความระลึกรูจ ะปรากฏขึ้น จากนน้ั จิตจะสะอาดปราศจากนิวรณหรืออคตใิ ดๆ และแลว ปญญาก็จะเริ่มเบงบานเม่ือสภาวญาณเกิดข้ึนจิตจะบริสุทธ์ิ มากข้ึนราวกับไดหายใจเอาอากาศบริสุทธ์ิอีกครั้งหลังจากท่ี กลับมาจากเมอื งใหญท ่มี ีความพลุกพลาน สติ วิริยะ และธมั มวจิ ยะ กอ ใหเกดิ สมาธิและสภาว ญาณตามลำดบั สภาวญาณแตละขั้นเปรียบเสมอื นการสดู

๑๔๔ อากาศทบ่ี รสิ ุทธเขาสจู ิต สภาวญาณทปี่ ระจักษก ารเกิดดับ ของสภาวธรรมเปนการเร่ิมตนของการปฏิบัติที่ดีและลึกซึ้ง อุเบกขาสัมโพชฌงคทำใหจิตมีความมั่นคงและสติมีความ ลกึ ซ้งึ มากข้นึ การเกดิ ดบั ของอารมณมคี วามแจม ชัดและผู ปฏิบัติหมดความสงสัยในสภาวธรรมความเปนจริงของสิ่งที่ สามารถสมั ผัสไดโ ดยตรง ในลักษณะนี้ความเพียรท่ีเปยมลนอาจทำใหรูสึก วาการปฏิบัติไมตองใชความพยายามมาก ผูปฏิบัติอาจ เขาใจวาไมมีตัวตนหรือแมแตผูท่ีออกแรงพยายาม ปติและ ความอ่ิมใจเกิดเม่ือผูปฏิบัติประจักษความบริสุทธ์ิของจิต ดวยตนเองรวมท้ังความลี้ลับของสัจจธรรมที่เผยออกขณะ ตอขณะ ความสุขท่ีเปย มลนตามมาดว ยความสงบน่ิงและจติ ท่ีปราศจากความสงสัยและวิตกกังวล ในชวงของความสงบ น้ี จติ สามารถจะมองเห็นไดช ัดเจนยิ่งข้ึน สมาธิยิง่ ม่นั คงเมอื่ ปราศจากสง่ิ รบกวน ในการปฏิบัติที่ลึกซึ้งน้ี ผูปฏิบัติสามารถประจักษ สภาวจิตท่ีเปนกลางไมถูกพัดพาไปตามกระแสของกามคุณ อารมณ แมวาปติและความสขุ ทดี่ มื่ ดำ่ ยงั คงอยู อารมณทีไ่ ม นา พอใจกไ็ มร บกวนจติ ผปู ฏบิ ตั ไิ มร สู กึ รงั เกยี จความเจบ็ ปวด หรอื โหยหาความพอใจ

๑๔๕ ผลตอรา งกาย โพชฌงค ทั้ง เจ็ด มี ผล ตอ รางกาย เชน เดียว กับ จิตใจ เพราะกายกับจติ เชื่อมโยงกันอยา งใกลชิด เม่อื จิตมี ความบรสิ ุทธโิ์ ดยมโี พชฌงคป ระคบั ประคองอยู ระบบการ หมนุ เวียนโลหิตจะทำงานไดดขี นึ้ เมด็ เลอื ดที่สรา งขน้ึ ใหม จะมีความบรสิ ทุ ธแ์ิ ละจะแทรกซมึ ไปตามสวนตางๆ ของ รา งกาย ทำใหอวัยวะสะอาด รางกายมคี วามคลองแคลว ความสามารถในการรบั รสู งู ข้ึน ผวิ พรรณผอ งใส ผูป ฏิบัติ บางคนอาจรูสึกวามีแสงออกจากรางกายของตนจนทำให สวางไสวเวลากลางคืน จติ ก็เชน กนั จะแจม ใสมศี รทั ธา เขมแข็งเชนเดียวกับสัทธาสัมปทาท่ีเกิดจากประสบการณ โดยตรงของผปู ฏบิ ัติ จติ จะเบาและคลอ งแคลว เชน เดยี วกบั รางกายท่ีบางครงั้ รสู ึกเหมือนลองลอยอยใู นอากาศ บอ ย ครง้ั ท่ีรา งกายหายไป และผูปฏบิ ัตสิ ามารถนัง่ ไดน านๆ โดย ไมร สู ึกเจ็บปวด

๑๔๖ หายจากโรคอยา งอัศจรรย ความเจ็บปว ยเร้อื รัง โรคที่รกั ษาไมห ายไดร บั ผล จากพลงั ของโพชฌงค โดยเฉพาะในการปฏิบตั ิข้ันสูง ทศี่ ูนย ปฏิบตั ิธรรมในรา งกงุ การที่โรคเรอื้ รังหายไดอยางอศั จรรย น้เี กิดขึน้ จนเปนปกติธรรมดา เรื่องราวเหลานี้สามารถนำมา เขียนหนงั สือไดเ ปนเลมๆ ในท่นี ้อี าตมาจะเลา ใหฟง เพยี งสอง เร่ืองเทานน้ั วัณโรค คร้ังหน่ึงมีชายคนหน่ึงปวยเปนวัณโรคมาหลายป หลังจากที่ไดเสาะแสวงหาการรักษาจากแพทยรวมถึงการใช สมุนไพรโบราณของพมาตลอดจนเขารับการรักษาในแผนก วณั โรคของโรงพยาบาลรา งกุง แตก็ไมหาย เขาสิน้ หวงั และ

๑๔๗ หมดกำลังใจและคิดวาตองตายแนๆ ดวยความหวังสุดทาย เขาจึงสมัครเขาปฏิบัติกรรมฐาน แตไมยอมบอกถึงการปวย เน่ืองจากเกรงวาจะไมไ ดรับอนุญาตใหเ ขา ปฏบิ ตั ิ ภายในสองสัปดาห อาการปวยเรื้อรังของเขาก็ แสดงออกมาอยางรุนแรง ซึ่งเปนปกติในลำดับขั้นของการ ปฏบิ ตั ิ อาการเจบ็ ปวดของเขารนุ แรง ทรมาน และทำใหห มด แรงจนเขาไมสามารถนอนหลบั ไดแ ตต่นื และไออยูตลอดคืน คนื หนง่ึ อาตมาอยใู นกฏุ แิ ละไดย นิ เสยี งไออยา งรนุ แรง จากทพี่ ักของเขา อาตมาคิดวาเขาเปน หวัดจึงเอาสมุนไพรแก ไอของพมาไปให แตเ มื่อไปถงึ อาตมาพบเขาหมอบอยูกบั พืน้ หอ ง เหนื่อยจนไมสามารถพูดอะไรได กระโถนในหอ งเขามี เลือดท่ีเขาไอออกมาอยูเกือบเต็ม อาตมาถามวาเขาอยากได ยาไหม และเม่ือในท่ีสุดเขาพอพูดไดเขาก็สารภาพถึงอาการ ปว ย ความคิดแรกของอาตมาก็คือ อาตมาไดหายใจเอาเชือ้ โรคเขาไปบา งหรือเปลา ชายคนนนั้ ขอโทษทพี่ าเอาโรคตดิ ตอ เขา มาในศนู ย แต ก็ขอรองใหเขาปฏิบตั ติ อ ไป “หากผมออกไป มีหนทางเดียว

๑๔๘ เทา น้ันสำหรับผม ซ่งึ ก็คอื ความตาย” เขากลาว คำพูดเหลา นท้ี ำใหอ าตมาสงสาร อาตมาจงึ เรมิ่ ใหก ำลงั ใจและกระตนุ ให เขาปฏบิ ตั ติ อ ไป หลงั จากวางมาตรการปอ งกนั โรคติดตอ แลว อาตมาก็ยงั สอนเขาตอไป ภายในหนง่ึ เดอื น ชายคนนนั้ สามารถเอาชนะวณั โรค ไดดวยการปฏิบัติที่กาวหนา เม่ือออกจากศูนยเขาหายขาด จากโรค สามปต อ มาเขากก็ ลบั มาอกี ครงั้ เปน พระทม่ี สี ขุ ภาพ แขง็ แรง อาตมาถามเขาวา รสู กึ อยา งไร อาการวณั โรคกลบั มา บา งหรือเปลา “ไมเลยครับ” เขาตอบ “วณั โรคไมเ คยกลับ มาอกี เลย ผมไอบา งเปน บางครงั้ เวลาคันคอ แตถา ผมมีสติ กำหนดความรูสึกท่ีเกิดข้ึน ผมก็ไมไอ พระธรรมเปนสิ่งที่ วิเศษมหัศจรรย เมอื่ ไดดื่มรสของธรรมะแลว ผมก็หายขาด”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook