๔๙ ลำดบั ข้นั ของความเพยี ร : การแยกตัวออกจากกองกิเลส พระพทุ ธองคตรสั วา องคทั้งสามของความเพียรคอื ความเพยี รในการปลดปลอย (จากฐาน) ความเพยี รในการปลดเปลอื้ ง (ใหเปน อิสระ) และความเพียรในการยืนหยัด (ใหตอเนอื่ ง)
๕๐ ความเพียรในการปลดปลอย มีความจำเปนในชวง แรกของการปฏบิ ตั ิ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในการอบรมวปิ ส สนา กรรมฐาน จติ จะถกู ครอบงำดว ยความรสู กึ ทบี่ บี คน้ั โดยสถาน การณใ หมๆ และอาจโหยหาถึงสง่ิ ท่ที ิ้งไวเบอ้ื งหลัง เพื่อที่จะ ใหการปฏบิ ตั ิกา วหนา ผปู ฏบิ ตั พิ งึ ใครค รวญถงึ ประโยชนท จ่ี ะไดร บั จากการ ปฏบิ ตั ิ แลวเร่ิมสรา งความเพยี รในการเจรญิ สติ เมือ่ ผปู ฏิบัติ เร่ิมการเจริญวิปสสนากรรมฐานในระยะแรก ขอแนะนำ วาใหกำหนดอารมณพ้ืนๆ กอน ใหผูปฏิบัติใสใจกำหนด อารมณห ลกั เปน เกณฑแ ลว จงึ หนั ไปกำหนดอารมณอ น่ื ๆ เมอื่ มีอารมณอ ่นื มาแทรก ความเพียรอยางพืน้ ฐานงายๆ น้ีเปน ความเพยี รประเภททหี่ นึง่ กลา วคอื การปลดปลอยซง่ึ เปรียบ เสมือนข้ันตอนแรกของการยิงจรวดขึ้นจากพืน้ ดิน ครั้นผูปฏิบัติสามารถรักษาสติใหอยูกับอารมณหลัก เปนเวลานานพอสมควรแลว ก็จะเร่ิมมีอุปสรรคที่ทำใหการ ปฏิบัตไิ มร าบร่นื นิวรณธรรมเร่ิมปรากฏ เชนความเจบ็ ปวด หรอื ความงวงเหงาหาวนอน ผปู ฏบิ ตั จิ ะพบวา ตนเองตกเปน เหยอ่ื ทไี่ มร อู โิ หนอ เิ หนข องความเจบ็ ปวด ความรำคาญ ความ หวิ ความงวงและความสงสยั
๕๑ บางคร้ังผูปฏิบัติอาจพอใจกับความสงบและความ สบายระดับหน่ึงเพราะวาสามารถกำหนดอารมณหลักไดดี และมนั่ คง แตท ันใดนนั้ อารมณท ่ียากตอการกำหนดกบ็ กุ รุก เขามา สถานการณเชนนี้เองท่ีจิตใจโนมไปสูความทอถอย และเกียจครา น ความพยายามแบบปลดปลอ ยไมเพียงพออกี ตอ ไป ผปู ฏบิ ตั ติ อ งเพมิ่ แรงกระตนุ ในการเผชญิ หนา กบั ความ เจ็บปวดและความงวง และเพ่ือกาวขามอุปสรรคกีดขวาง เหลา น้ี ความเพียรข้ันท่ีสองนี้ไดแก ความเพียรในการ ปลดเปล้ือง ซ่ึงเปรียบเสมือนการยิงจรวดข้ันที่สองที่ดันให จรวดแหวกผา นชนั้ บรรยากาศของโลกไป การใหก ำลงั ใจจาก วิปสสนาจารยอ าจชวยได ณ จุดนี้ หรอื ผูปฏบิ ตั อิ าจชวยตัว เองดว ยการใครค รวญถงึ เหตผุ ลดๆี ทจ่ี ะชว ยเรง ความเพยี รที่ ปลดเปลอ้ื งนเี้ มอ่ื ไดร บั กำลงั ใจทงั้ จากภายในและภายนอกแลว ผูปฏิบัติก็สามารถรวบรวมความเพียรในการกำหนดอาการ เจ็บปวดได หากผูปฏิบัติสามารถเอาชนะความยากลำบาก ไดกจ็ ะมคี วามรสู ึกเบกิ บานมาก ความเพียรกจ็ ะยิง่ สูงขนึ้ ผู ปฏบิ ตั พิ รอ มทจ่ี ะเผชญิ กบั อารมณต า งๆ ทเี่ ขา มากระทบ เชน อาจเอาชนะอาการปวดหลงั หรอื กำหนดอาการงว งนอนทเี่ ขา มาคุกคามจนเห็นความงวงน้ันอันตรธานไปเหมือนกลุมควัน
๕๒ เลก็ ๆ จติ ใจกจ็ ะรสู กึ สดชนื่ สวา ง และสดใส ผปู ฏบิ ตั อิ าจรสู กึ วา มคี วามเพยี รอยา งแรงกลา นคี้ อื ประสบการณโ ดยตรงของ ความเพยี รทีป่ ลดเปล้อื ง หลัง จาก น้ัน การ ปฏิบัติ อาจ คืบ หนา ไป ได อ ยาง ราบร่ืน และเกิดความพึงพอใจ แตโปรดอยาประหลาดใจ หากพระวปิ สสนาจารยใหการบานเพิม่ ในชวงเวลาน้ี เชนขอ ใหผูปฏิบัติเคลื่อนจิตไปกำหนดการสัมผัสที่จุดตางๆ ของ รางกาย การแนะนำเชนน้ีก็เพื่อสนับสนุนใหเกิดความเพียรที่ ยั่งยืนซึ่งเปนพลังแหงความเพียรประเภทที่สาม ความเพียร ที่ยั่งยืนเปนสิ่งท่ีจำเปนตอความกาวหนาของการปฏิบัติซ่ึง จะโนมนำผูปฏิบัติไปสูเปาหมาย เปรียบเสมือนการยิงจรวด ขั้นท่ีสามซ่ึงปลดปลอยพลังผลักดันใหจรวดหลุดพนจากแรง โนมถวงของโลกไปอยางส้ินเชิง เมื่อผูปฏบิ ัติสามารถพัฒนา ความเพยี รทีต่ อเนอ่ื ง ผปู ฏิบัติก็จะเร่ิมกาวสูป ญญาญาณขนั้ ตางๆ เปนเรื่องงายที่ผูปฏิบัติจะลืมวาความสุขช่ัวขณะที่ กำลังประสบอยใู นขณะปฏบิ ตั นิ ี้ จะหายไปเมือ่ กลบั ไปสโู ลก
๕๓ ปรกติ นอกเสียจากวา ผูปฏบิ ตั จิ ะเขา ถึงระดับของความสงบ ทล่ี ึกซ้ึงทสี่ งู ยิง่ ขน้ึ ไปอกี ผูป ฏิบัตอิ าจตอ งยำ้ เตือนตนเองวา เรามาปฏบิ ตั เิ พือ่ อะไร อาตมาคิดวาอยางนอยท่ีสุดก็ควรท่ีจะมุงการบรรลุ โสดาบัน หรือเพ่ือถึงความเปนผูเขาสูกระแสแหงการบรรลุ ธรรมขั้นท่ีหน่ึง ซ่ึงปองกันมิใหผูปฏิบัติไปเกิดในอบายภูมิท่ี ประกอบดวยอันตรายและความเจ็บปวดในอุณหภูมิที่ต่ำกวา แตไมวาเปาหมายของผูปฏิบัติคืออะไร ผูปฏิบัติก็ไมควร ประมาทจนกวาจะบรรลเุ ปาหมายน้นั ในการทจ่ี ะทำเชนนนั้ ได ผปู ฏบิ ัติจะตอ งพฒั นาความเพยี รที่ยงั่ ยนื ไมใ หลดลงหรอื ถดถอย แตเ ขม แข็งมากขึ้นๆ จนกระทงั่ สามารถนำผปู ฏบิ ตั สิ ู จดุ มงุ หมายได เม่อื ความเพียรมีความแกกลาถึงระดับ ภาษา บาลีเรยี กวา พหุลีกะตา ในที่สุด ความเพียรก็จะบรรลุถึงขั้นที่ส่ี ท่ีเรียกวา ความเพียรท่ีสมบูรณแบบ เปนความเพียรที่นำผูปฏิบัติให หลุดพนจากแรงโนมถวงของโลกียสุขเขาสูอิสรภาพของพระ นิพพานโดยสมบูรณ ผูปฏิบัติอาจจะสนใจวาสภาวะน้ีเปน อยา งไร ถา อยากทราบกข็ อใหเพยี รพยายามก็จะไดพ บ
๕๔ เหตุท่ีทำใหเ กิดวิรยิ สัมโพชฌงค ๑๑ วิธี พระอรรถกถาจารย แสดงวธิ กี ระตนุ ความเพียรไว ๑๑ วธิ ี คือ ๑. พิจารณาภยั ในอบายภมู ิ ๔ วิธี แรก ไดแก การ ใครครวญ ถึง ความ นา สะ พรึง กลัวของอบายภูมิ หรอื ความทุกขท ี่เราอาจตกลงไป หาก เกยี จครา น คำวา อป แปลวา “ปราศจาก” สวน อย หมาย ถงึ กศุ ลกรรมทีน่ ำมาซง่ึ ความสุข โดยเฉพาะอยา งยงิ่ ความ สุขท่สี ามารถประสบไดใ นโลกยี ภูมิ และโลกตุ ตรภมู ิ ดงั นั้น หากไมไ ดปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนากรรมฐานเรากอ็ าจ ตกลงสูสภาวะและภพท่ีอำนวยโอกาสใหส รางแตก รรมชว่ั มี ภูมิแบบนี้อยหู ลายช้นั ทีเ่ ห็นและยอมรับไดงายทส่ี ุดก็คือ ภพ ภูมิของสัตวเดรจั ฉาน ขอใหพิจารณาดสู ัตวต า งๆ ทอ่ี ยบู น ดิน อยูใ นทะเล และในอากาศ มสี ตั วประเภทใดบางที่มี โอกาสสรางความดี มีกายกรรมทบ่ี ริสทุ ธ์ิ
๕๕ สัตวเดรัจฉานมีชีวิตอยูในมานหมอกของความหลง ถูกครอบงำดว ยความมืดบอด ความเขลาที่หนาทบึ ตัวอยาง เชน แมลง มลี กั ษณะเหมอื นเครอ่ื งจกั รซง่ึ ถกู จดั ระเบยี บไวโ ดย สายใยแหงพันธุกรรมที่มีหนาท่ีเฉพาะอยางโดยไมมีโอกาส แมแ ตน อ ยในการเลอื ก เรยี นรู หรอื แยกแยะ กระบวนการทาง ความคดิ ของสตั วส ว นใหญจ ำกดั อยเู พยี งการสบื พนั ธแุ ละการ อยรู อดเทา นน้ั ในโลกของสตั ว บทบาทการดำเนนิ ชวี ติ กำหนด ไวง า ยอยา งไมน า เชอื่ ไมเ ปน ผลู า กเ็ ปน ผถู กู ลา หรอื ไมก ท็ งั้ สอง อยา ง มนั เปน ภพภมู ทิ โี่ หดรา ยซง่ึ ผเู ขม แขง็ เทา นน้ั จงึ จะอยรู อด ลองคดิ ถงึ ความกลวั และความหวาดระแวงในใจของสง่ิ มชี วี ติ ท่ี ตอ งตกอยใู นสภาพแวดลอ มทไ่ี รค วามปราณเี ชน น้ี ลองคดิ ดถู งึ ความกังวลและความทุกขทรมานที่สัตวพวกหน่ึงตองตายไป เพอ่ื เปน อาหารของสตั วอ กี พวกหนงึ่ และหากตอ งตายลงดว ย ความทุกขทรมานมากมายขนาดน้ีแลว สัตวเหลานี้จะหา โอกาสทไี่ หนไปเกดิ ในภพภูมิทดี่ กี วา เมื่อสภาพจิตขณะที่ตาย เปนตัวกำหนดภพภมู ใิ นชาตติ อๆ ไป แลว สัตวเหลานจ้ี ะหลดุ พนจากสภาวะความเปน อยทู ่ีนากลวั เหลา นไ้ี ดอ ยางไร สัตวมีความสามารถที่จะใหทานไดหรือไม พวกมนั มีคุณธรรมไดไหม จะรักษาศีลหาไดหรือเปลา ไมจำตอง กลาวถึงสิ่งที่สูงสงและยากลำบากอยางการปฏิบัติวิปสสนา
๕๖ กรรมฐาน แลวสัตวจะเรียนรูการควบคุมการพัฒนาจิตของ ตนเองใหมีคุณภาพไดอยางไร น่ีเปนส่ิงท่ีนาสะดุงหวาดกลัว ทจี่ ะคดิ ถงึ สภาวะทกี่ ารดำเนนิ ชวี ติ ไมม ที างเลอื กนอกจากการ ทำชัว่ การใครครวญเชนน้ีอาจชวยเปนกำลังใจใหผูปฏิบัติ มีความเพียร “ขณะนี้ฉันเปนโยคีผูปฏิบัติแลว นี่เปนโอกาส ของฉัน จะมานงั่ เสียเวลาเกยี จครานอยไู ดอยางไร หากชาติ หนาตองเกิดเปนสัตวเดรัจฉาน ฉันคงหมดโอกาสที่จะเจริญ ความเพียรเพ่ือการตรัสรูธรรม ฉะน้ันฉันจะตองไมเสียเวลา ตอ งรีบเรง ปฏบิ ัตใิ นตอนน”้ี ๒. พจิ ารณาเหน็ อานสิ งสของความเพยี ร วธิ ที ีส่ อง ในการกระตุนความเพียรกค็ ือ การระลึก ถึงประโยชนข องความเพียรซง่ึ ไดกลาวมาบา งแลว ขางตน ผู ปฏบิ ตั มิ โี อกาสอนั ลำ้ คา ทไ่ี ดม าสมั ผสั กบั พระธรรมคำสง่ั สอน ของพระพุทธองค และเมื่อไดกาวเขามาสูโลกของธรรมะท่ี ไมมีสิ่งใดเปรียบแลว จึงไมควรปลอยใหโอกาสในการท่ีจะ ดำเนนิ ตามทางทจ่ี ะนำไปสหู วั ใจแหง คำสอนของพระพทุ ธองค
๕๗ ใหหลุดลอยไป ผูปฏิบัติสามารถเอาชนะทุกขและบรรลุถึง โลกุตตรภาวะ กลาวคือ การตรัสรูธรรม ๔ ระดับของ มรรคผลและนพิ พานดวยการปฏบิ ัตขิ องตนเอง ถึงแมวาผูปฏิบัติจะมิไดมุงหวังการหลุดพนในชาติน้ี แตก็จะเปนท่ีนาเสียดายหากพลาดการบรรลุโสดาบัน หรือ ความเปนผูถึงกระแสซ่ึงปด อบายภูมิ การดำเนนิ ตามทางน้มี ิ ใชใครๆ ก็ทำได ผูปฏิบัตจิ ะตองมีความกลาหาญและมคี วาม เพยี รอยา งสงู ตอ งเปน บคุ คลทพี่ เิ ศษ เมอ่ื มคี วามเพยี รพยายาม อยางขยันขันแข็งแลว ผูปฏิบัติก็จะสามารถบรรลุเปาหมาย ที่ยิ่งใหญได ดังนั้นจึงไมควรพลาดโอกาสในการที่จะดำเนิน ตามทางท่ีจะนำไปสูแกนของพุทธธรรม หากเราพิจารณา ใครครวญดังนี้ บางทีความเพียรและแรงบันดาลใจก็จะเกิด ขน้ึ แลวผปู ฏิบตั กิ ็จะเรง ความเพยี รในการปฏบิ ตั มิ ากข้ึน ๓. พิจารณาถงึ ทางดำเนินของพระอรยิ บุคคล สาม ผูปฏิบัติอาจเตือนตนเองใหระลึกถึงพระ อริยบุคคลผูซ่ึงดำเนินตามทางน้ีมากอนแลว หนทางนี้มิใช ทางสายรอง พระพทุ ธเจา ในอดตี พระปจ เจกพทุ ธเจา พระ
๕๘ อริยสาวก พระอรหนั ต และพระอริยบคุ คลท้ังหลาย ลว นได ดำเนนิ ตามทางน้ี หากผปู ฏบิ ตั มิ คี วามประสงคจ ะเขา รว มเดนิ บนเสน ทางอนั ประเสรฐิ น้ี พงึ เพม่ิ ความแขง็ แกรง ใหก บั ตนเอง อยางมีศักดิ์ศรีดวยความขยันขันแข็ง ไมมีท่ีสำหรับบุคคลผู ขลาดหรือเกียจคราน หนทางนี้เปนหนทางของวีรบุรุษและ วรี สตรีเทาน้ัน บรรพชนผเู ดนิ บนหนทางนมี้ ไิ ดเ ปน ผปู ลกี แยก ละทง้ิ โลกเพอ่ื หนจี ากปญ หาหนสี้ นิ และความผดิ หวงั พระพทุ ธองค และเหลาพระอริยสาวกเปนผูท่ีมาจากครอบครัวท่ีร่ำรวย และมีความสุข หากทานเหลาน้ันยังคงใชชีวิตในทางโลกตอ ไป ไมตองสงสัยเลยวาทานจะอยูไดอยางสุขสบาย ในทาง ตรงขามทานเห็นความไรสาระของชีวิตทางโลกและมีสายตา ท่ียาวไกลพอท่ีจะมองเห็นความสุขและความสมปรารถนา ท่ีเหนือกวาความสุขทางโลก ยังมีบุคคลอีกจำนวนมากท่ีมี พ้นื เพธรรมดาๆ ทีไ่ ดร ับแรงกดดันทางสังคม หรือจากผูน ำ หรือจากการตอสูกับปญหาสุขภาพแลวเกิดทัศนคติที่แหวก แนว มีความมุงหวังที่จะขุดรากถอนโคนความทุกข แทน ความปรารถนาท่ีจะใหค วามทุกขน น้ั เพียงทเุ ลาเบาบางลงใน ระดับของทางโลก หรือพยายามแกแคนตอผูที่ไดกอใหเกิด ความยากลำบาก บุคคลเหลานีก้ ลบั เขารว มเดินบนหนทางสู
๕๙ ความหลดุ พน พระพทุ ธองคต รสั วา อริยสมบัติท่ีแทจริงอยทู ี่ ความบรสิ ทุ ธ์ิภายใน มใิ ชส ถานภาพทางสงั คม พระพุทธเจา ทกุ พระองคแ ละเหลา พระอรยิ สาวกลว นมจี ติ ใจทส่ี งู สง ในการ แสวงหาและปรารถนาความสุขท่ีเหนือกวาและย่ิงใหญกวา โดยการละความเปนผูครองเรือนเพื่อเดินบนหนทางนี้ท่ีจะ นำไปสูพระนิพพาน นเ่ี ปน หนทางของพระอรยิ ะไมใชห นทาง สำหรับผทู มี่ ีจติ ใจโลเลหรอื ยอมพายแพ ผูปฏิบตั ิอาจกลา วกบั ตัวเองวา “บคุ คลที่โดดเดนได เดินบนหนทางเสนน้ีมาแลว และฉันจะตอ งพยายามเพื่อท่จี ะ สามารถอยรู วมกับทานได ฉนั จะมิอาจปฏบิ ัติอยางฉาบฉวย ไดในที่นี้ ฉันจะตองเดนิ อยา งระมัดระวงั ใหม ากทส่ี ุดเทา ท่ีจะ ทำได โดยปราศจากความกลัวเกรง ฉันมโี อกาสจะไดเ ปน สมาชิกของอริยวงศซึ่งเปนครอบครัวของอริยบุคคลผูซ่ึงเดิน บนหนทางแหง อริยมรรคน้ี ฉนั ควรที่จะแสดงความยินดกี บั ตนเองทไ่ี ดม โี อกาสปฏบิ ตั ิวปิ ส สนากรรมฐาน ทา นเหลาน้นั ไดเคยเดินบนทางสายนแ้ี ละไดบรรลุธรรมขน้ั ตา งๆ มากมาย ดงั นน้ั ฉันกม็ โี อกาสทีจ่ ะเขา ถึงธรรมเชนเดียวกัน” ดวยการพจิ ารณาใครครวญเชนนี้ ความเพียรก็ สามารถเกิดข้ึนและนำผูปฏิบัติใหบรรลุถึงจุดมุงหมายคือ พระนิพพานได
๖๐ ๔. พิจารณาคุณของผูเก้อื หนนุ ปจจยั ท่ี ๔ ในการเจริญความเพยี รก็คอื ความ เคารพและรูสกึ ขอบคณุ ตออาหารบณิ ฑบาต ตลอดจนปจ จยั ตา งๆ ที่จำเปนในการดำรงชวี ติ สำหรบั พระสงฆและแมช นี ี่ หมายถึงการเคารพตอ ส่งิ ของบรจิ าคของอุบาสก อบุ าสิกา มใิ ชเ ฉพาะขณะที่รับสง่ิ ของทบี่ ริจาคเทา นัน้ แตด ว ยการ ระลึกอยูตลอดเวลาวาความศรัทธาของผูอ่ืนน้ีทำใหการ ปฏิบตั ิของเราสามารถดำเนินตอ ไปได ผูปฏิบัติเองก็ตองพึ่งพาอาศัยความเกื้อหนุนจาก ผอู นื่ ในดา นตางๆ จากบิดามารดาและมติ รสหาย ซึ่งอาจ ใหการชวยเหลือไมวาในทางการเงินหรือในการแบงเบา ภาระทางการงานเพ่ือใหผูปฏิบัติสามารถเขาอบรมวิปสสนา กรรมฐานได ถึงแมวาผปู ฏบิ ัติจะออกเงินเอง แตกย็ ังมอี ีก หลายสิง่ หลายอยา งที่ตองอาศยั การบรกิ ารจากผูอ่นื อาคาร ท่ีใชเ ปนท่พี กั พิงกส็ รา งไวพ รอมแลว นำ้ และไฟฟากม็ ีผูจดั หา ให อาหารมีอาสาสมคั รหงุ หาให และความตอ งการอื่นๆ ของผูปฏิบัติก็ไดรับการอำนวยความสะดวกและดูแลเปน อยางดี ผปู ฏบิ ตั ิพึงมคี วามเคารพและขอบคุณอยางลึกซง้ึ ตอ
๖๑ บริการที่ไดรับจากบุคคลผูท่ีไมไดมีความเก่ียวของอะไรกับผู ปฏิบัตเิ ลย แตเปนผูทม่ี ีจติ ใจดแี ละใจบุญสุนทาน ผูป ฏิบัติอาจกลาวกับตวั เองวา “ฉนั ควรจะปฏบิ ัติให หนกั ทส่ี ดุ เทา ทจี่ ะทำได เพอื่ ใหส มกบั คณุ ความดขี องผบู รกิ าร เหลา นี้ นคี่ อื วธิ ที จ่ี ะตอบแทนและตอบสนองตอ คณุ ความดขี อง ผูที่มีศรัทธาเก้ือหนุน อยาใหความพยายามของทานเหลานี้ สญู เปลา เลย ฉนั จะใชส งิ่ ของทกุ อยา งทไี่ ดร บั มาอยา งมสี ตเิ พอ่ื ลดิ รอนและทำลายกเิ ลสอยา งชา ๆ เพอื่ ใหก ศุ ลกรรมของทา น เหลานเี้ กิดอานิสงสส มความมุงหมาย” พระพุทธองคทรงกำหนดพระวินัยไวเพ่ือรักษา ระเบียบของภิกษุ และภกิ ษุณี หนึง่ ในพระวินัยน้ันกค็ อื ทรงมี พทุ ธานุญาตใหร บั ของบริจาคจากผูมจี ิตศรัทธา แตมิใชเพือ่ ใหพระสงฆและแมชีมีชีวิตอยูอยางหรูหราฟุมเฟอย ปจจัยนี้ สามารถรับไดและนำไปใชในการดูแลความเปนอยูของพระ สงฆและแมชีอยางเหมาะสม เพื่อใหทานมีสภาวะพ้ืนฐานที่ เอ้อื อำนวยตอการทำลายลางกิเลส เม่อื ไมตอ งวติ กเร่ืองการ กินอยู ผูปฏิบัติก็สามารถทุมเวลาใหกับการปฏิบัติทั้งสาม อยา ง คือ ศลี สมาธิ และปญญา เพื่อใหพ นทุกขไดใ นที่สดุ
๖๒ ๕. พิจารณาถงึ มรดกอันยงิ่ ใหญ ทพ่ี ระพุทธเจา ทรงประทานไว วธิ ีท่หี า ในการเจริญวริ ิยะไดแ ก การพจิ ารณาวา เปน ผไู ดร บั มรดกอนั ยง่ิ ใหญ กลา วคอื อรยิ สมบตั ซิ งึ่ ประกอบดว ย คณุ สมบัติ ๗ ประการ คือ ศรัทธา ศลี หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปญญา เนื่องจากอริยทรัพยเหลานี้มิใชรูปธรรม จึงม่ันคง ถาวร ในทางตรงกันขาม มรดกที่ผูปฏิบัติไดรับจากบิดา มารดา เปนวตั ถุจึงอาจสูญหาย เนา เปอ ย และแตกสลายได นอกจากนมี้ รดกทางโลกอาจเปน เหตแุ หง ทกุ ขน านปั การ เชน บางคนก็ถลุงสมบตั ใิ หห มดไปอยางรวดเร็ว ขณะท่บี างคนไม พอใจกบั สง่ิ ทีไ่ ด แตอริยสมบัตินี้มีแตคุณ เพราะชว ยคมุ ครอง และยกระดบั จิตใหส ูงขน้ึ อริยสมบตั จิ ะตดิ ตามเจาของไปทกุ ภพทุกชาติตลอดการเวียนวา ยในวฏั ฏสงสาร ในทางโลก หากลกู หลานเกเร พอ แมอ าจตดั ออกจาก กองมรดก เชน เดยี วกบั ในทางธรรม หากผปู ฏบิ ตั เิ ปน คนเหลว ไหลและเกียจคราน กจ็ ะไมไดร ับอรยิ สมบัติทัง้ เจ็ดเชนกนั ผู ปฏบิ ตั ทิ อี่ ดทนและมคี วามเพยี รพยายามอยา งตอ เนอื่ งเทา นนั้ ที่จะคูค วรกบั การไดรับอรยิ สมบัติ
๖๓ ความเพียรจะพัฒนาเต็มท่ีก็ตอเม่ือผูปฏิบัติเกิด ญาณปญญาท่ีสูงขึ้นตามลำดับจนถึงมรรคญาณและผล ญาณ ความเพยี รที่สมบรู ณเชนน้ีเองท่ีทำใหผูปฏิบัติคคู วร กับอรยิ สมบัตอิ ยา งแทจ ริง หากผูปฏิบัติพยายามขวนขวายพัฒนาความเพียร อยางตอ เนอ่ื ง คณุ สมบัตเิ หลา นีก้ ็จะเกิดข้นึ คงอยอู ยา งถาวร หากพิจารณาดังนี้ผูปฏิบัติก็จะมีกำลังใจเขมแข็งมากข้ึนใน การปฏบิ ัติ ๖. พจิ ารณาถึงความยง่ิ ใหญ ของพระศาสดาผปู ระเสริฐ การพิจารณาขอท่ีหกในการพัฒนาความเพียร คือ การระลึกถึงความย่ิงใหญและพระปญญาคุณของพระพุทธ องคผูทรงคนพบและสั่งสอนสัจจธรรมนี้ ความยิ่งใหญนี้ สามารถเห็นไดจากการที่แผนดินสั่นสะเทือนถึงเจ็ดคร้ังใน พุทธสมัย คร้ังแรกเมื่อพระโพธิสัตวปฏิสนธิเปนพระชาติ สุดทายในพระครรภของพุทธมารดา ครั้งท่ีสองเมื่อเจาชาย สิทธัตถะเสด็จหนีออกจากวังเพื่อออกบวช และอีกคร้ังเมื่อ
๖๔ ตรัสรู ครั้งที่ส่ีเมื่อทรงแสดงปฐมเทศนา คร้ังท่ีหาเมื่อทรง เอาชนะมารได ครั้งที่หกเม่อื เสดจ็ ลงจากดาวดึงส หลงั จาก ทรงแสดงพระอภิธรรมแกพ ทุ ธมารดาแลว และครง้ั ที่เจ็ดเมือ่ พระพทุ ธเจา ทรงดับขันธปรินิพพาน ผูปฏิบัติพึงพิจารณาถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระ ปญ ญาคณุ ของพระพทุ ธองค มเี รอื่ งราวมากมายเกย่ี วกบั การ สรา งบารมขี องพระองค ระยะเวลาและความทมุ เททพ่ี ระองค ทรงอุทิศใหเพ่ือบรรลุจุดหมาย บารมีท่ีพระองคทรงสราง และพระเมตตาที่มีตอมวลมนุษย พึงระลึกวาหากผูปฏิบัติ พากเพียรตอไปก็อาจบรรลุคุณสมบัติที่ย่ิงใหญเหลานี้ไดเชน เดยี วกัน กอนที่พระพุทธองคจะตรัสรู สิ่งมีชีวิตท้ังหลายตาง ตกอยูในเมฆหมอกแหง โมหะและอวิชชา ทางแหงความหลดุ พน ยงั ไมม ใี ครคน พบ ทกุ ชวี ติ ลว นตะเกยี กตะกายอยใู นความ มืด หากชนเหลานั้นปรารถนาความพนทุกขก็ตองแสวงหา หนทางเอาเอง หรือปฏิบัติตามวิธีที่มีผูประกาศเอาไว แตก็ ยงั ไมใชห นทาง มวี ิธีตางๆ มากมาย นบั ตัง้ แตการบำเพญ็ ตบะทรมานตนเองไปจนถึงการหมกมุนอยูในกามคุณอยาง ไมมีขดี จำกัด
๖๕ ความตงั้ ใจเพอื่ โปรดสัตว ครง้ั หนง่ึ พระพทุ ธองคเ กดิ เปน ฤๅษชี อื่ สเุ มธดาบส ใน สมัยของพระทปี งกรสมั มาสัมพทุ ธเจา ทา นสุเมธดาบส เหน็ วา ชนทงั้ หลายตอ งทนทกุ ขอ ยใู นความมดื ไมม ที างปลดเปลอื้ ง ตนเองไดหากไมมีผูตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาเสด็จ มาโปรด ทา นจงึ ตดั สนิ ใจทจ่ี ะไมต รสั รู (เปน พระอรหนั ตสาวก) ในชาตนิ ้ัน ซึ่งหากมพี ระประสงคก็สามารถจะทำได แตทาน กลบั อธษิ ฐานในการสรา งบารมเี พอ่ื เปน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไมวาจะใชเวลาอีกกี่อสงไขยกัปปก็ตาม ดวยปรารถนาท่ีจะ ชว ยสตั วใ หพนจากทกุ ข มิใชเฉพาะพระองคเอง เมื่อบารมีเปยมลนพระพุทธองคทรงมีความโดดเดน เปน เลศิ ในเวลาตรสั รพู ระพทุ ธองคท รงประกอบดว ยองคส าม คอื พระบารมที างเหตุ ผล และความเปนอปุ การะเกอื้ กลู พระพุทธคุณประการแรกไดแกการสั่งสมบารมี มาหลายภพหลายชาติ ทัง้ จาคะ เมตตา และคณุ ธรรม พระพุทธองคทรงสละพระองคเองเพื่อผูอื่นจนตรัสรูท่ีใตตน พระศรมี หาโพธแ์ิ ละถึงพรอมดวยพระสพั พญั ตุ ญาณ ญาณ ซงึ่ เปน ความสำเร็จ เรียกวา พทุ ธบารมีท่ีใหผล อนั เน่ืองมา จากการสรางบารมีในทางเหตุ กลาวคือการสรางวสิ ุทธิคณุ
๖๖ ในทางจติ สวนพระพทุ ธคุณประการทีส่ ามของพระพุทธองค คือพระมหากรุณาธิคุณในการสั่งสอนเวไนยสัตวเปนเวลา นานหลายป มใิ ชเพราะความภาคภูมใิ นพระโพธิญาณ แต ดวยพระเมตตาและพระกรุณาท่ีมีตอหมูสัตวท่ีสามารถฝกได จึงทรงสั่งสอนนับแตตรัสรูโดยไมเห็นแกความเหน็ดเหน่ือย ทรงแบงปนพระธรรมแกผูท่ีพรอมจนกระท่ังเสด็จดับขันธ ปรินิพพาน การพิจารณาใครครวญถึงพุทธบารมีท่ีย่ิงใหญนี้จะ ชวยใหผูป ฏบิ ตั ิมกี ำลงั ใจในการปฏบิ ัตติ อ ไป ความเมตตานำสกู ารปฏิบัติ ความเมตตาเปนแรงบันดาลใจเพียงประการเดียว ของพระโพธิสัตวสุเมธดาบสในการเสียสละการตรัสรูธรรม ของทา นเอง เพ่ือสรา งบารมเี ปนพระพุทธเจา ดว ยพระเนตร ทีเ่ ปยมดว ยพระมหากรุณา เมื่อทรงเห็นวาหมูส ัตวตองตกอยู ในความทกุ ขเ พราะดำเนินทางผดิ จงึ ทรงอธิษฐานทจ่ี ะสราง ปญญาบารมีในการชว ยเหลอื มวลมนุษย
๖๗ แตความเมตตาจะตองนำสูการปฏิบัติดวย และ การปฏิบัติตองประกอบดวยปญญาจึงจะสัมฤทธิ์ผลเพราะ ปญ ญาสามารถแยกแยะหนทางทถ่ี กู และผดิ ออกจากกนั หาก ประกอบดวยเมตตาแตขาดปญญา อาจกอใหเกิดผลราย มากกวาผลดี และในทางกลับกันหากถึงพรอมดวยปญญา จนบรรลุโลกตุ ตรธรรมแลว แตป ราศจากความเมตตา บาง ทานก็อาจไมทำอะไรเลยในการท่จี ะชว ยเหลอื ผอู นื่ ดังนน้ั ทัง้ พระปญ ญาคุณและพระกรณุ าคณุ ทมี่ ีพร่งั พรอม ทำใหพ ระพทุ ธองคทรงยอมเวียนวา ยอยูในสงั สารวัฏ อยางอดทนแมจะถูกดูหมิ่น ถูกทำรายก็ทรงอดทนและอด กลน้ั กลา วกนั วา หากจะรวมความเมตตาของมารดาทงั้ หลาย ในโลกทม่ี ตี อ บตุ ร ยงั ไมอ าจเปรยี บไดก บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระพุทธองค แมวามารดาจะสามารถใหอภัย แตการ เลยี้ งดบู ตุ รจนเติบใหญม ใิ ชเรอ่ื งงา ยเลย เด็กบางคนกา วราว และสามารถทำรา ยมารดาของตนได และไมว า ความผดิ นนั้ จะ รา ยแรงเพยี งใด หวั ใจของแมพ รอ มเสมอทจ่ี ะใหอ ภยั แกล กู แต นำ้ พระทยั ของพระพทุ ธองคใ นการใหอ ภยั เหนอื ชน้ั กวา เพราะ เปนการใหอภยั อยา งไรข อบเขต อภยั ทานน้ีเปน การแสดงถงึ พระมหากรณุ าธคิ ุณทีย่ ง่ิ ใหญประการหน่ึง
๖๘ ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตวเสวยพระชาติเปนพญาวานร ขณะกำลังหอยโหนอยูในปาก็ไดพบพราหมณคนหน่ึงตกอยู ในหลมุ ชวยตัวเองไมได จึงเกดิ ความสงสารเนอื่ งจากพระ โพธสิ ตั วไ ดเจริญเมตตาบารมีมาหลายชาติ พระโพธิสัตวเตรียมท่ีจะกระโดดลงไปในหลุมเพื่อ ชวยพราหมณ แตยังไมแนใจวาพระองคจะมีแรงพอที่จะอุม พราหมณข้ึนมาหรือไม แลวพระองคก็เกิดปญญาวาควรจะ ทดสอบกำลังโดยการยกกอนหินที่วางอยูขางๆ กัน เมื่อได ลองดูทานก็แนใจวามกี ำลังพอท่ีจะชวยเหลอื พราหมณไ ด พระโพธิสัตวปนลงไปในหลุมอยางกลาหาญแลวอุม พราหมณนั้นข้ึนมาสูท่ีๆ ปลอดภัย เสร็จแลวก็หมดแรงลม ลง พราหมณน น้ั แทนทจี่ ะระลกึ ถงึ บญุ คณุ กลบั ยกกอ นหนิ ขน้ึ แลว ทบุ หวั พญาวานรเพอ่ื เอาเนอื้ กลบั ไปเปน อาหาร พอตนื่ ขนึ้ พญาวานรก็พบวากำลังอยใู กลความตาย จงึ รูไดว า เกดิ อะไร ขน้ึ แตก ม็ ไิ ดถ อื โกรธเนอ่ื งจากไดส รา งบารมใี นการใหอ ภยั มา ดแี ลว จงึ กลา วกบั พราหมณว า “สมควรแลว หรอื ทที่ า นจะฆา เรา เม่อื เราเพิ่งชว ยชวี ิตทา น” พระโพธิสัตวระลึกไดวาพราหมณนั้นหลงปามาและ คงไมอ าจกลบั บา นเองไดโ ดยปราศจากผนู ำทาง ความเมตตา ของทานไมส้ินสุด พญาลิงกัดฟนพยายามพาพราหมณออก
๖๙ จากปา แมจ ะมเี ลอื ดออกมามากมาย พญาวานรบอกทางให พราหมณห าทางออกจากปา จนสำเร็จ แคเพยี งเสวยพระชาติเปนพญาวานร พระพุทธองค ยงั ทรงมพี ระเมตตาและพระปญญาถงึ ปานน้ี ลองพจิ ารณา ดูเถิดวาเมื่อพระพุทธองคไดทรงสรางสมบารมีจนบริบูรณ และไดตรสั รูแลว จะทรงมพี ระเมตตาคุณและพระปญ ญาคุณ ทีย่ ิง่ ใหญสักปานใด พระสพั พัญุตญาณ หลังจากเสวยพระชาติเปนพระโพธิสัตวจนนับไม ถว น ในพระชาตสิ ดุ ทายทรงเกดิ เปน มนุษย เมือ่ บารมีเปยม ลน พระองคก ็ทรงเริม่ แสวงหาทางสูค วามหลดุ พน หลงั จากไดท ดลองวธิ ีตา งๆ มามากมาย ในท่สี ดุ ก็ทรงคนพบ อรยิ มรรคทีท่ ำใหพ ระองคแทงตลอดในความไมเทย่ี ง ความ เปนทกุ ข และความไมใชตัวไมใ ชต นของสภาวธรรมท้ังปวง เมอื่ การปฏิบัตกิ าวหนาข้ึน พระพทุ ธองคท รงบรรลุญาณ ขั้นตางๆ และบรรลเุ ปนพระอรหันตใ นท่สี ดุ ทรงพน จาก ความโลภ ความโกรธ และความหลงโดยส้นิ เชงิ จากนั้น
๗๐ พระสัมมาสัมโพธิญาณก็ปรากฏขึ้นพรอมดวยปฏิสัมภิทา ญาณแหงพุทธวสิ ัย พระสัมมาสมั โพธิญาณหมายถงึ หาก พระพุทธองคมีพระประสงคจะรูเรื่องหนึ่งเรื่องใดเพียงแตนึก คำถาม คำตอบก็จะปรากฏขนึ้ เองโดยปกติ เพราะเหตแุ หงการตรสั รู พระพทุ ธองคจ ึงทรงถึง พรอมดวย “พระสัพพัญตุ ญาณ” สมดงั พระนามเต็มอนั เปนท่รี ูจักกนั ดวยเหตแุ ละบารมีที่ไดทรงสรา งไวในอดตี ชาติ เม่ือตรัสรูแลวพระพทุ ธองคท รงรำลึกถงึ คำอธิษฐาน ท่ีไดตั้งปฏิญญาไวเมื่อครั้งเสวยพระชาติเปนสุเมธดาบสใน อนั ท่ีจะชวยรอื้ ขนสตั วขามมหาสมทุ รแหง วัฏฏทุกข เพราะ เหตแุ หงการตรสั รู พระมหากรุณาและพระปญ ญาจึงเปย ม ดวยพลงั และประสิทธิภาพอนั ประมาณมไิ ด พระพุทธองคจึง ทรงเริม่ สั่งสอนธรรมอยางตอเนือ่ งเปนเวลา ๔๕ พรรษา จน กระท่งั เสด็จดับขนั ธปรินิพพาน พระพุทธองคท รงพักผอ น เพียงวันละ ๒ ชวั่ โมง ทรงทมุ เทเวลาท่มี ีอยใู หก บั การเผยแผ ธรรม เพ่ือชว ยใหเ วไนยสตั วไดร บั ผลและประสบแตค วาม ผาสุกดวยวธิ ีตางๆ แมใ นเวลาทอ่ี าพาธหนักใกลปรนิ พิ พาน พระพุทธองคย งั ไดตรัสสอนสภุ ทั ทะ นักบวชจากศาสนาอื่น จนบรรลุธรรมซง่ึ นบั เปน พระสาวกองคส ุดทา ย
๗๑ พระนามท่ีสามของพระพุทธบารมี คือ “พระพุทธ คุณในการดแู ลใหสตั วโ ลกอยเู ยน็ เปน สขุ ” ซงึ่ เปน ผลจากสอง ขอ แรก มคี ำถามวา เมื่อพระพทุ ธองคต รสั รแู ละประหารกเิ ลส ไดโ ดยสนิ้ เชงิ แลว เหตใุ ดจงึ ยงั ดำรงพระชนมอ ยใู นโลก เหตใุ ด จงึ ทรงสมาคมกบั หมคู น ผปู ฏบิ ตั พิ งึ ระลกึ วา พระพทุ ธองคน น้ั ปรารถนาที่จะนำสตั วโ ลกใหพนจากวฏั ฏทุกขแ ละดำเนินชีวิต ในทางทถี่ ูกตองดวยพระมหากรณุ าธคิ ณุ และพระปญ ญาคุณ ดวยพระปญญาคุณพระพุทธองคสามารถจำแนก ประโยชนออกจากโทษได หากบุคคลไมสามารถแยกแยะได อยางชัดเจนแลว จะเกื้อกูลผูอ่ืนไดอยางไร แนนอนวาผูมี ปญ ญายอ มรูห นทางแหงความสขุ และความทุกข แมก ระนนั้ ก็ตามหากบุคคลปราศจากความกรุณา ก็ยอมจะไมรูสึก รูสมกับชะตากรรมของสัตวท้ังหลาย ดวยพระมหากรุณา พระพุทธองคทรงแนะนำใหพุทธบริษัทหลีกจากอกุศลกรรม อันจะนำมาซึ่งทุกขโทษ และดวยพระปญญาคุณพระพุทธ องคท รงสามารถเลอื กสรรพระธรรมในการสง่ั สอนพทุ ธบรษิ ทั อยา งชัดเจนและสัมฤทธิ์ผล พระเมตตาและพระปญญาคุณนี้ ทำใหพระพุทธองคเ ปนพระบรมครทู เ่ี หนอื กวาครทู ัง้ ปวง
๗๒ พระพทุ ธองคมไิ ดกระทำเพือ่ ลาภ ยศ สรรเสรญิ หรอื เพอ่ื การมบี ริวารมากมาย หรอื เพือ่ ประโยชนท างสังคม พระพุทธองคทรงกระทำแตเพียงเพื่อชี้หนทางท่ีถูกตองให สัตวท้งั หลายสามารถรธู รรมไดตามกำลงั ของตน นค่ี ือพระ มหากรุณาธคิ ณุ เม่อื เสร็จพทุ ธกิจ พระพทุ ธองคก ็จะเสด็จ เขาไปอยใู นปาทีส่ งบวิเวก มไิ ดอยูท ามกลางฝูงชน สรวลเส เฮฮาอยูกบั หมูช น พระพุทธองคทานมไิ ดท รงแนะนำลูกศิษย ใหรูจ กั กนั (เหมอื นศูนยบ ริการตดิ ตอ ) การมชี วี ติ ที่สงบวเิ วก มิใชเรอ่ื งงาย ปุถชุ นคนธรรมดาคงไมอาจมคี วามสุขอยกู ับ ความวิเวกโดยลำพังได แตพระพทุ ธองคกม็ ิใชบคุ คลธรรมดา คำแนะนำสำหรับวปิ ส สนาจารย สำหรับผูที่ประสงคจะเปนธรรมกถึกหรือวิปสสนา จารย พงึ ระมัดระวงั ในความสัมพนั ธกบั ศิษย ความสมั พนั ธ ใดๆ ควรอยูบนพ้ืนฐานของความเมตตาตามเบ้ืองพระ ยุคลบาทของพระผูมีพระภาคเจาเทานั้น ทั้งนี้เพราะความ สมั พนั ธก บั ศษิ ยท ใี่ กลช ดิ เกนิ ไปอาจกอ ใหเ กดิ ผลเสยี เนอ่ื งจาก อาจทำใหข าดความเคารพและความนบั ถือได
๗๓ วิปสสนาจารยควรดำเนินรอยตามอยางพระพุทธ องคในการใหกำลังใจที่เหมาะสมและในการแสดงธรรม มไิ ดมุงเพอื่ ความมชี ่อื เสยี ง แตมงุ ใหประโยชนอยา งแทจริง พระพุทธองคท รงใหห ลักการในการทำใหกาย วาจา ใจ สงบเพื่อกอใหเกิดสนั ติสขุ วปิ ส สนาจารยพ งึ หมั่นตรวจสอบ แรงจูงใจของตนอยเู สมอๆ มีผูถามวาจะสอนกรรมฐานอยางไรจึงไดผลดีที่สุด อาตมาตอบวา “ประการแรกสุด ผสู อนจะตองปฏบิ ัตจิ นเกิด ความชำนาญกอน จากนัน้ จงึ แสวงหาความรูทางทฤษฎจี าก พระไตรปฎ ก สดุ ทา ยจงึ นำความรทู งั้ สองนน้ั มาผนวกกนั โดย มพี น้ื ฐานอยบู นความเมตตาและกรณุ าอยา งแทจ รงิ หลกั การ สามประการนี้จะทำใหก ารสอนไดผลดี” ในโลกนบ้ี คุ คลจำนวนมากพอใจกบั ชอื่ เสยี ง เกยี รตยิ ศ และความสำเร็จจากโชควาสนา บุคคลเหลานั้นอาจยังมิได ประพฤตปิ ฏบิ ตั โิ ดยการสรา งเหตใุ หส ำเรจ็ ดงั ทพ่ี ระพทุ ธองค ไดทรงปฏิบัติมาแลว บุคคลเหลานั้นอาจยังมิไดทำงานหนัก แตประสบความสำเร็จหรือความร่ำรวยดวยความบังเอิญ พวกเขามักถูกวิพากษวิจารณวา “ไมนาเช่ือวาคนพวกนั้น ประสบความสำเร็จไดอ ยางไร เหลวไหลและเกียจครา น ไม สมควรท่ีจะไดรบั สิ่งเหลา นี้เลย”
๗๔ หลายๆ คนอาจทำงานหนัก แตอ าจเปนเพราะขาด ปญญา หรอื พรสวรรค จึงทำใหประสบความสำเรจ็ ชา หรอื ไมส ำเร็จเลย บคุ คลเหลา น้ีจึงไมอ าจกระทำผลใหสำเรจ็ แต ก็ไมพน การครหาเชนกัน “นายคนนัน้ นา สงสารจัง ทำงาน หนกั เหลอื เกนิ แตไ มค อ ยมีสมอง” นอกจากน้ียังมีกลุมบุคคลที่ทำงานหนักแลวประสบ ความสำเรจ็ เมื่อบรรลุจุดมุงหมายแลว สามารถนอนหลบั พัก ผอ นอยบู น “บลั ลังก” แหงความสำเรจ็ ได ตา งจากพระพทุ ธ องคท่ีพระองคทรงนำความสำเร็จอันยิ่งใหญน้ีชวยเหลือ เกอื้ กลู แกม วลมนษุ ย บคุ คลทก่ี ลา วมาไมย อมชว ยเหลอื สงั คม หรอื ผอู น่ื เขาเหลา นน้ั กจ็ ะตอ งไดร บั คำครหา “ดซู วิ า พวกนน้ั เหน็ แกต ัวแคไ หน มีทรพั ยสมบัติ เงินทอง และความสามารถ พิเศษมากมาย แตไ มมเี มตตาหรือนำ้ ใจเลย” เปนการยากที่จะหลีกหนีคำครหาหรือคำวิพากษ วิจารณในโลกน้ี คนสวนใหญมักซุบซิบนินทา คำวิจารณ เปนแคค ำครหานนิ ทา แตบางอยางกเ็ ปนเร่ืองจรงิ ทช่ี ใ้ี หเ หน็ ขอ บกพรอ งในตวั บคุ คลนน้ั พระพทุ ธองคจ งึ ทรงเปน พระมหา บรุ ษุ ทวี่ เิ ศษ สามารถกระทำความสำเรจ็ ใหบ งั เกดิ ขน้ึ ดว ยการ สรา งเหตทุ ใี่ หผ ล และนำมาใชป ระโยชนอยางแทจรงิ
๗๕ เราอาจเขียนหนงั สอื ไดเปนเลม ๆ ในการพรรณนา พระพุทธคุณของพระบรมศาสดาผูทรงเปนท้ังผูคนพบและ บรมครแู หง ทางหลุดพน ในทีน่ อ้ี าตมาปรารถนาเพยี งเปด ประตูใหผูปฏิบัติไดระลึกถึงพระพุทธคุณอันยิ่งใหญของ พระพุทธเจา เพอื่ จะไดมีกำลงั ใจในการปฏบิ ตั ิ เมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ ผูปฏิบัติอาจเปยมไปดวย ความยำเกรง ความช่ืนชม และเกิดความรูสึกซาบซ้ึงถึง โอกาสอนั ยง่ิ ใหญใ นการทจ่ี ะไดเ ดนิ บนหนทางทพี่ ระมหาบรุ ษุ ไดทรงคนพบและนำมาส่ังสอน บางทีผูปฏิบัติอาจรูแกใจได วาการเดินบนหนทางสายน้ี ผูปฏิบัติไมอาจทำตัวเหลวไหล เฉ่ือยชา หรือเกยี จครา นได อาตมาหวงั วา ผปู ฏบิ ตั จิ ะไดร บั แรงบนั ดาลใจ มคี วาม กลาหาญ เขม แข็งและอดทน และสามารถเดินตามหนทางน้ี ไปจนถงึ ที่สุด ๗. พจิ ารณาถึงชาติอนั ประเสรฐิ การพิจารณาประการที่เจ็ดในการเจริญความเพียร คือ การพิจารณาถงึ ชาติอนั ประเสรฐิ ขณะนเ้ี รากำลงั ปฏิบตั ิ
๗๖ วิปสสนากรรมฐานตามหลักของสติปฏฐานสูตร ซึ่งเปนคำ สอนของพระพุทธองคเกี่ยวกับฐานท้ังส่ีของสติ ดังน้ันอาจ กลา วไดว า เราเปน เชอ้ื สายของพระพทุ ธองค ผปู ฏบิ ตั คิ วรภาค ภมู ิใจทจ่ี ะเรียกตนเองวา ธรรมทายาท เมือ่ เราเจรญิ วปิ สสนากรรมฐาน เราไดร บั สายเลือด ของพระธรรม ไมส ำคญั วาเราจะหางไกลจากสถานทีป่ ระสตู ิ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา เพยี งใด หรอื มเี ชอื้ ชาติ ศาสนา หรอื ประเพณตี า งกนั อยา งไร ความแตกตา งนไ้ี มม คี วามสำคญั เลย ตราบใดที่เรายงั ยึดม่นั ตอ ไตรสิกขา อันไดแก ศลี สมาธิ และ ปญ ญา เราทง้ั หลายตา งกเ็ ปน สมาชกิ ครอบครวั ของพระธรรม เหมือนๆ กัน พระธรรมเปนสายเลอื ดของเรา เชน เดยี วกับ สายเลอื ดทแี่ ลน อยใู นกายของพระอรยิ บคุ คลในสมยั พทุ ธกาล ผซู ง่ึ ผา นการฝก ฝนเชน เดยี วกนั นี้ พงึ ปฏบิ ตั อิ ยา งเขม แขง็ ดว ย ความเคารพและเชอ่ื ฟง เรากส็ ามารถมชี วี ติ ทค่ี คู วรกบั ชาตอิ นั ประเสริฐน้ี พ่ีนองนักปฏิบัติธรรมในสมัยพุทธกาลลวนมีวิริยะ อุตสาหะและความกลาหาญที่ย่งิ ใหญ ไมย อมพา ยแพ มงุ มน่ั ปฏิบัตจิ นกระท่งั บรรลุถงึ ความพน ทกุ ข ในเม่อื เราเปน ธรรม ทายาท เราจะตอ งไมคิดที่จะยอมพายแพเชนกัน
๗๗ ๘. พจิ ารณาถงึ เพื่อนพรหมจรรย ผูมคี วามขยันหม่นั เพยี ร ขอควรพิจารณาประการท่ีแปดในการเจริญความ เพยี ร คอื การระลกึ ถึงอรยิ ชนผูล ว งมากอนแลว ในภาษาบาลี เรียกวา พรหมจริยา หมายถงึ ผูท ด่ี ำเนินชีวติ อันประเสรฐิ ในสมยั กอ นมีภิกษุ ภกิ ษณุ ี สิกขมานาหรือสตรีผู เตรียมบวชเปน ภิกษุณี และสามเณร สามเณรี เม่อื เวลาลวง ไป ภกิ ษณุ ีในลัทธิเถรวาทกห็ มดลง หากจะพดู ใหถกู แลว ปจจุบนั คณะสงฆป ระกอบดว ยภิกษุ และสามเณร ผูป ฏบิ ัติ ตามพระวนิ ัยของพระศาสดา นอกจากน้ียงั มอี นาครกิ ชาย หญิง และศีลจารณิ ี หรอื แมชี ผูท ่ถี งึ แมวาจะรกั ษาศลี นอ ย กวา แตก ย็ ังนบั วา เปน ผทู ี่ใชชีวติ อนั ประเสรฐิ อยางไรกต็ าม ผปู ฏบิ ตั ิธรรมทกุ คนไมว า จะบวช อยางเปน ทางการหรอื ไม ยอ มมีคณุ สมบัติแหงความบริสุทธิ์ ศลี สมาธิ และปญญาเหมอื นกัน ในฐานะผปู ฏิบตั ธิ รรม ทกุ ทา นมีคุณสมบัตเิ หลา นี้เชนเดียวกับพระสารบี ุตร และพระ โมคคลั ลานะ พระอคั รสาวกฝา ยขวา ฝายซาย และพระ มหากัสสปะ ฝายภกิ ษุณสี งฆก ม็ ีพระนางมหาปชาบดีโคตมี
๗๘ เถรกี ับบรวิ าร ตลอดจนเหลาพระภิกษุณผี ยู ่ิงใหญแ ละกลา หาญในการปฏิบัตธิ รรมทั้งหลาย บรุ ุษสตรีท่ีมีชอ่ื เสยี งเหลา นีล้ วนเปนสหธรรมมิกของเรา เราสามารถศึกษาประวัติ และรำลกึ ถึงความยิง่ ใหญ ความกลา หาญและความมงุ ม่ัน ของทาน ในการคิดใครค รวญน้นั เราพึงถามตนเองวา เราได ประพฤตติ นจนถึงมาตรฐานอนั สงู สง นแี้ ลวหรือยงั เราอาจ มีกำลังใจเมื่อคิดวาทานเหลานั้นเปนกำลังใจใหเราในความ พากเพียรในแตละวัน
๗๙ ไมเ ปน ทร่ี กั ท่ีปรารถนา : เร่อื งของพระโสณาเถรี มีพระภกิ ษณุ ีผูมีช่อื เสยี งทา นหน่งึ ชอ่ื พระโสณา เถรี กอ นบวชเปนภิกษุณี ทา นเคยแตง งานและมลี ูก ๑๐ คน นบั เปนครอบครัวใหญสำหรับยุคปจจบุ นั พอลูกแตละคน เติบโตขึน้ กอ็ อกจากบานไปมคี รอบครวั ของตนเอง เมอื่ ลกู คนสุดทา ยแตงงาน สามขี องนางโสณากต็ ดั สินใจออกบวช ตอมานางโสณาจึงรวบรวมทรัพยสมบัติที่ไดสรางสมรวมกับ สามีแจกจา ยใหแ กล ูกๆ แลว ขอใหพวกเขาดูแลนางเปนการ ตอบแทน ในระยะแรก นางโสณากม็ ีความสขุ ดี ไปอยกู บั ลกู คนนั้นทคี นน้ที ี และดเู หมือนวานางโสณาจะเปนหญงิ สงู วยั มอี ายรุ าว ๖๐ หรือ ๗๐ แตแ ลว ลูกๆ ก็เริ่มรสู ึกรำคาญ พวก เขาวุน วายอยูก ับครอบครวั ของตนเอง พอนางมาถงึ พวกเขา กร็ ำพงึ วา “โอ แมย าย/แมส ามมี าอีกแลว ” นางสงั เกตเหน็ ความเฉอื่ ยชาน้ันจงึ เร่มิ รูสกึ หดหู และเรมิ่ ตระหนักวา นีม่ ใิ ช ชีวติ ที่ประเสริฐในการถูกมองวา เปนตวั กอ กวน ไมเปนทรี่ กั ทปี่ รารถนา พอ แมในสมยั ปจ จบุ นั บางคนกค็ งรูสกึ คลายๆ กัน
๘๐ โสณาพิจารณาทางเลือกตางๆ การฆาตวั ตายไม เปน การสมควร นางจงึ ไปยงั สำนักภกิ ษณุ แี ละขอบวชซ่ึง กไ็ ดรับอนุญาต เวลานน้ั นางชรามากจนไมส ามารถออกไป บิณฑบาตหรือทำภาระหนา ที่ใดๆ ในสำนกั ได โสณาทำได เพียงอยา งเดยี วคือตมนำ้ ใหเ พอื่ นๆ อยา งไรก็ตาม โสณา เปน คนมีไหวพริบ เมือ่ พิจารณาดฐู านะของตนแลว นาง จึงบอกกบั ตัวเองวา “เวลาของฉนั เหลือนอยเต็มที ฉันตอง ฉกฉวยโอกาสในการปฏิบตั ิอยางแขง็ ขัน ฉนั ไมม เี วลาที่จะ เสยี ไดแมเพยี งวินาทีเดียว” โสณาชราและออนแอมากเสียจนกระทั่งตองเกาะ ผนังกำแพงรอบสำนกั ในการเดนิ จงกรม ดังนัน้ นางจงึ เดนิ เกาะกำแพงเปน วงกลม หากจะเดนิ ในปา นางกต็ อ งเลือกเดิน เกาะราวไมท ี่ขนึ้ ชดิ กนั ดว ยความขยัน อดทน และมใี จมงุ มัน่ ไมชา นางก็บรรลอุ รหตั ตผล เราอาจมองไดว า ความอกตัญขู องบรรดาลูกๆ กลับเปน ผลดแี กโ สณา หลงั จากบรรลุอรหตั ตผลแลว พระ โสณาเถรีอุทานวา “โอ ดโู ลกนี้สิ คนท้งั หลายผูกพันอยูกบั ชวี ิตครอบครวั และพอใจกับความสขุ ทางโลก แตส ำหรับฉนั เพราะฉันถูกลกู ๆ ทอดทิง้ ฉันจงึ ละทงิ้ ครอบครวั ออกบวช บดั นฉี้ ันไดพบสัจจธรรมของการออกบวชแลว ”
๘๑ ในสมัยนั้นเปนเรื่องสะดวกและงายดายท่ีจะไปยัง สำนกั ภิกษณุ ีแลวขอบวช ปจ จบุ นั นแี้ มส ตรไี มม โี อกาสบวช เปนภิกษณุ ี เพราะภิกษณุ ีสงฆห มดไปแลว ก็ตาม สตรที ี่ ปรารถนาออกบวชยังมีโอกาสทำไดโดยการปฏิบัติตามพุทธ โอวาทท่ีแสดงไวใ นพระสุตตนั ตปฎกวา บคุ คลพงึ ปฏบิ ตั ิโดย การขัดเกลาจิตใจใหบริสุทธ์ิตามหนทางแหงอริยมรรคมีองค แปดดวยความจริงใจ ดว ยวธิ นี ี้ ไมมีใครเสียสิทธิประโยชน แทจ ริงแลว วธิ ีนเ้ี หมาะกบั ยคุ สมยั ของเรา ซึง่ หากทกุ คนเปน ภิกษุ ภกิ ษณุ ี (โดยการบวชใจ) กจ็ ะไมม ีปญ หาเรือ่ งความ เหลื่อมล้ำ ๙. เวนจากบุคคลผูเ กยี จคราน วิธีท่ีเกาในการเจริญความเพียรก็คือ การเวนจาก บุคคลผูเกียจคราน มีบุคคลจำนวนหน่ึงที่ไมเคยสนใจใน การพัฒนาจิต ไมเคยพยายามชำระจิตใจใหบริสุทธ์ิ เอาแต กนิ นอน และหาความสุขตามใจปรารถนา บคุ คลเหลา นนั้ เปรยี บเหมอื นงเู หลอื มทกี่ ลนื เหยอ่ื แลว นอนนง่ิ เปน เวลานานๆ การคบหาสมาคมกับบุคคลเหลาน้ีจะทำใหผูปฏิบัติเกิดแรง
๘๒ บันดาลใจในการเรงความเพียรไดอยางไร ผูปฏิบัติพึงเวน จากการสมาคมกบั บคุ คลเหลา นนั้ ซง่ึ จะเปน กา วสำคญั ในการ เจริญความเพียร ๑๐. สมาคมกับบุคคลผูปรารภความเพยี ร กา วตอไปทีผ่ ูปฏิบัตพิ ึงดำเนนิ คือ การเลือกสมาคม กับผูปฏิบัติที่มีความอดทนและยืนหยัดในการพัฒนาความ เพยี รอยา งเขม แขง็ นเี่ ปน วธิ ที ส่ี บิ ในการเจรญิ ความเพยี ร โดย เฉพาะอยางย่ิงในระหวางการอบรมวิปสสนากรรมฐานซึ่ง ผูปฏิบัติจะไดอยูรวมกับผูท่ียึดมั่นในพระธรรม อดทน เด็ด เดยี่ ว พยายามเจรญิ สตติ ลอดเวลาและรกั ษาความเพยี รทเี่ ขม แข็งไวอยางตอเนื่อง ผูที่ใหความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ จิตน้ีแหละเปนมิตรท่ีดีที่สุด ในการอบรมกรรมฐานผูปฏิบัติ จะสามารถเรยี นรไู ดจ ากผปู ฏบิ ตั ทิ เี่ ปน โยคตี วั อยา ง พยายาม เลยี นแบบการกระทำและการปฏบิ ตั ทิ จี่ ะทำใหต นเองกา วหนา ขน้ึ พงึ ปลอ ยใหค วามขยนั หมนั่ เพยี รเปน เสมอื นโรคตดิ ตอ พงึ ดดู ซบั พลงั ความเพียรท่ดี ีและปลอยใหต วั เองโหมตามไป
๘๓ ๑๑. นอ มใจไปในการเจริญความเพยี ร วธิ สี ดุ ทา ยและดที ส่ี ดุ ในการเจรญิ ความเพยี รกค็ อื การ นอมใจไปสูความเพียรอยางตอเนื่อง กุญแจสำคัญของการ ปฏิบัตคิ ือความเดด็ เดี่ยว “ฉันจะมีสติมากเทาท่ีจะทำไดท กุ ๆ วินาทีในอริ ยิ าบถ นง่ั ยนื และเดนิ จากท่หี นง่ึ ไปสูอกี ทห่ี นึ่ง โดยไมย อมใหจ ติ มชี อ งวา ง ฉนั จะไมใ หส ตขิ าดหายไปแมเ พยี ง ขณะเดียว” แตใ นทางตรงขาม หากผปู ฏบิ ตั ไิ มร ะมัดระวัง มี เจตคตทิ ี่ทอ ถอย การปฏบิ ตั ิก็จะลมเหลวต้ังแตตน ทุกๆ วนิ าทจี ะเปย มดว ยความเพยี รทีก่ ลา หาญดว ย พลงั ทตี่ อ เนอ่ื งและอดทน และหากความเกยี จครา นยา งกราย เขา มา ผปู ฏิบัตกิ จ็ ะสามารถกำหนดรูและขบั ไลมนั ออกไปได ทันที โกสัชชะ ความเกียจครานเปนอุปสรรคที่สำคัญที่สุด ประการหน่ึงที่ขัดขวางและทำลายลางการปฏิบัติ ผูปฏิบัติ สามารถขจัดความเกียจครานไดดวยความเพียรท่ีกลาหาญ ไมย อทอ มงุ มัน่ และอดทน อาตมาหวงั วา ผปู ฏบิ ตั จิ ะเจรญิ ความเพยี รโดยวธิ กี าร ใดวิธีหนง่ึ หรอื ทั้ง ๑๑ วิธีทีก่ ลาวมาเพ่ือความกา วหนา และ บรรลุถึงญาณปญญาท่ีจะขุดรากถอนโคนกิเลส ความเศรา หมองใหห มดไปอยา งถาวรโดยเรว็
ปต ิ ๔โพชฌงคอ งคท ี่ส่ี ปต ิ หรือความอมิ่ ใจ ประกอบดว ยลกั ษณะของความสุข ความยนิ ดแี ละพอใจ ปตเิ ปนสภาวะในจติ อันหนึง่ ท่ีประกอบดวยคณุ สมบตั ดิ งั กลา ว แลวยงั ประกอบดวยความสามารถ ในการแทรกซมึ เขาไปในสภาวจติ อื่นๆ ทำใหเกิดความรูส กึ ยนิ ดเี ปนสขุ และความพอใจอยา งลกึ ซ้งึ
๘๕ ความเบาและความวองไว ปต ิทำใหก ายและจติ เบาและวอ งไว นค่ี อื หนา ท่ีของ ปต ทิ ี่จำแนกโดยอภธิ รรมนัย (classical analysis) จติ จะ เบาและมพี ลงั เชนเดียวกับรางกายท่รี สู กึ คลอ งแคลว เบา และคคู วรแกการงาน อาการปรากฏของปติแสดงออกมาใน รูปของความเบากายและอาการตามรางกายอื่นๆ เมอ่ื ปต เิ กดิ ขนึ้ ความรสู กึ ทห่ี ยาบกระดา งไมส บาย ถกู แทนทีด่ วยความนมุ นวลและออ นโยน ราบร่นื และเบา สบาย ผูปฏบิ ัติอาจรูสึกเบากายราวกับกำลังลอ งลอยอยูใน อากาศ บางคราวความเบานเ้ี คลื่อนไหวไมอยนู ิ่ง ผูปฏบิ ตั ิ อาจรสู กึ เหมือนถูกผลกั ถกู ดงึ รา งกายโยก แกวงไปมา เหมือนกำลังลุยผานน้ำเช่ียว อาจสญู เสยี การทรงตวั แตก็เปน ความรูส กึ ท่ีดี
๘๖ ปต หิ า ประเภท ปติมี ๕ ประเภท หนึ่ง “ปติเลก็ ๆ นอ ยๆ” (ขทุ ทฺ กาปต ิ) เกิดขนึ้ ในตอนเรมิ่ ปฏบิ ตั ิเมอ่ื จิตปลอดนวิ รณไ ปไดสัก ระยะหนึง่ ผูปฏิบตั อิ าจรสู กึ เย็นซา บางคร้ังขนลุก นี่เปน ปต ิ ขนั้ ตน ประเภทท่ีสองไดแ ก “ปตชิ ัว่ ขณะ” (ขณิกาปต)ิ เปน ปตทิ เี่ กดิ ข้นึ เปน ชว งส้นั ๆ เหมอื นฟาแลบ และรุนแรงกวา ประเภททีห่ นึ่ง ประเภททส่ี ามไดแก “ปต ทิ ว มทน ” (โอกกฺ นฺ ตกิ าปต ิ) ตัวอยา งที่ใชบอ ยๆ ก็คือ ความรูสึกเหมอื นคนน่งั อยูริมชายหาด แลว ทนั ใดนน้ั ก็เหน็ คลืน่ ยกั ษโ ถมลงมาใสตวั หรืออาจรูสกึ คลายกบั ถูกพัดขึน้ จากพน้ื หวั ใจเตน เร็ว รสู กึ ถูกทวมทน และสงสัยวา เกดิ อะไรขนึ้ สำหรับปต ปิ ระเภททีส่ ไ่ี ดแ ก “ปต ิโลดโผน” (อุพฺเพง คาปต)ิ ปต ิประเภทน้ีผูป ฏิบัตจิ ะรสู กึ ตวั เบาจนดูเหมอื นตวั ลอยขึ้นจากพืน้ ๒-๓ ฟุต หรอื รสู กึ วากำลังลอ งลอย เหนิ บนิ มากกวาการเดินอยบู นพนื้ ดนิ
๘๗ ประเภทที่หา “ปต ซิ าบซาน” (ผรณาปติ) เปน ปติทีม่ ีความรนุ แรงมากที่สุด ปตปิ ระเภทน้จี ะแผซา นไปใน รา งกายทุกขมุ ขน หากผปู ฏบิ ตั กิ ำลังนงั่ กรรมฐานอยู จะ รสู กึ สบายอยา งนาอัศจรรยจ นไมอ ยากลุก อยากนง่ั ตอไป นานๆ ปตสิ ามประเภทแรกเรยี กวา ปราโมทย หรอื ปติ อยา งออ น สว นปติสองประเภทหลังสมควรแกช ่ือปติหรือ ความอ่ิมใจอยางแรงกลา โดยปติ ๓ ประเภทแรกเปนสาเหตุ หรือทางผา นไปสปู ต ิทแี่ รงกวา ๒ ประเภทหลงั การกำหนดอยางชาญฉลาดกอ ใหเกิดปติ เชนเดียวกบั ความเพยี ร พระพทุ ธองคต รัสวา มีเพยี ง วธิ ีเดียวที่จะทำใหเ กิดปต ไิ ดคอื การกำหนดอยา งฉลาด โดย เฉพาะอยางย่ิงการกำหนดน้ีกอใหเกิดปติในกุศลธรรมที่ เก่ียวกับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ
๘๘ วธิ พี ัฒนาปติอกี ๑๑ วิธี พระอรรถกถาจารยไ ดใหแ นวทาง ไว ๑๑ วธิ ีในการเจริญปต ิ ๑. ระลกึ ถึงคณุ ของพระพทุ ธเจา วธิ ีแรก คือ พทุ ธานุสติ รำลกึ ถงึ คุณของพระพทุ ธเจา พระพทุ ธองคมีคณุ มหาศาล แตผปู ฏิบัตไิ มจำตอ งแจกแจง พระพุทธคณุ ท้งั หมดเพอ่ื ใหเ กดิ ปติ ตัวอยางเชน พระพทุ ธคุณ ขอ แรก อรหงั หมายความวาพระพุทธเจา เปนผูท ่ีสมควรแก การกราบไหวโ ดยมนษุ ย เทวดาและพรหมทงั้ หลาย จาก ความบรสิ ทุ ธ์ทิ ไ่ี ดท รงทำลายกิเลสใหหมดสิน้ เมื่อระลกึ ถึง พระวิสุทธิคุณเชนน้ี ผปู ฏบิ ตั กิ จ็ ะเกิดความยินดี นอกจาก น้ีผูปฏิบัติยังอาจรำลึกความสำเร็จของพระพุทธองคสาม ประการ ดังไดก ลา วแลว ภายใตห ัวขอการเจรญิ ความเพียร
๘๙ อยางไรกต็ าม การใครครวญ ทองบน พระคาถา มใิ ชว ธิ เี ดียวในการรำลกึ ถึงพระพทุ ธคุณ แทจรงิ แลวการ เจรญิ พระพทุ ธคณุ ยงั ดอ ยกวา วปิ สสนาปญ ญา เม่ือผปู ฏิบัติมี ญาณหย่งั รูค วามเกดิ ดบั ปต จิ ะเกดิ ขึ้นเองโดยธรรมชาติ รวม ถึงความซาบซงึ้ ในพระพทุ ธคณุ ดวย พระพทุ ธองคต รสั ไวว า “ผูใ ดเห็นธรรม ผูนนั้ เห็นเรา” ผปู ฏิบตั ิทไี่ ดญ าณปญญาจะ มีความซาบซ้ึงถึงความย่ิงใหญของพระบรมศาสดาของเรา อยา งแทจ รงิ และจะปรารภกบั ตนเองวา “หากเราสามารถ ประสบกับความบริสทุ ธ์ิของจติ ไดถึงเพียงน้ี พระพุทธวสิ ุทธิ คุณจะยิ่งใหญสกั เพียงใด” ๒. รื่นเริงในธรรม วิธีท่ีสองในการเจริญปติก็คือการระลึกถึงพระธรรม และคณุ ของพระธรรม พระธรรมคณุ ขอแรกกค็ ือ “เปน ธรรม ที่พระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวดแี ลว ” พระพุทธองคทรงส่งั สอนธรรมอยางชัดเจนแจมแจงเสียจนวิปสสนาจารยทุกทาน ก็ยงั คงเจริญรอยตามเรื่อยมา นี้เปนเหตใุ หเ ราสมควรท่ีจะ ช่ืนชมยนิ ดี
๙๐ พระพุทธองคตรสั ย้ำเรื่องไตรสิกขา กลาวคอื ศีล สมาธิ และปญญา ในการปฏบิ ตั ติ าม เรม่ิ ดวยการรกั ษา ความประพฤติใหบรสิ ทุ ธ์ิโดยการรกั ษาศีล และพยายาม พัฒนาคณุ ธรรมใหเ จรญิ ขน้ึ โดยการควบคุมกายและวาจาซง่ึ จะกอใหเกิดประโยชนมากมาย คือหนง่ึ ทำใหเ ราปราศจาก มลทินและความเศรา หมอง ไมถกู ตำหนโิ ดยปราชญแ ละถกู ลงโทษโดยกฎหมายบานเมอื ง จากนั้นหากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค เราก็จะเจริญสมาธิ และหากมศี รทั ธา มีความมัน่ คงและ อดทนแลว ก็จะพบกับจิตใจที่เปนสุข สดใส สวา ง และสงบ นค่ี ือสมถสขุ ความสุขที่เกดิ จากสมาธิและความสงบของจิต ผูป ฏิบตั ิจะสามารถเขาถงึ ฌานชน้ั ตางๆ อนั เปน สภาวจิตที่ กเิ ลสจะถูกกดขมไวช ่วั คราว ทำใหเ กิดความสงบอยางวิเศษ แลวเม่ือเจริญวิปส สนากรรมฐาน ความสุขแบบที่ สามกจ็ ะเกิดขนึ้ เมือ่ ผปู ฏิบตั เิ กดิ มีญาณหย่ังรูท่ีลกึ ซงึ้ จน ประจกั ษการเกิดดบั ของสภาวธรรมตางๆ ผูปฏิบัตจิ ะรสู ึก ไดถ ึงปตอิ ยา งสงู เปน “ความสขุ ท่ีนา ต่ืนเตน” ติดตามดว ย “ความสขุ จากความแจมชดั ” และในทส่ี ดุ เม่ือผูปฏิบัตบิ รรลุ สงั ขารุเบกขาญาณ ญาณปญ ญาท่หี ยง่ั รูความวางเฉยตอ สง่ิ
๙๑ ทงั้ ปวง ผูป ฏบิ ัตจิ ะประสบกบั “ความสขุ จากอุเบกขา” อนั เปนความสขุ ท่ีลึกซึ้ง ปราศจากความเรา รอนและตน่ื เตน แต เปน ความสุขท่ลี ะเอียดและสขุ ุม ดังนน้ั สมดงั ที่พระพุทธองคต รสั รับรองไวว า ผูท ี่ ปฏบิ ัติตามหนทางนี้จะไดรบั ความสุขตา งๆ เหลา นจี้ นเกิด ความซาบซงึ้ ในพระพุทธวจนะ ผูป ฏบิ ตั ิก็จะกลาวออกมา เองวา “พระธรรมเปนสิง่ ทพี่ ระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวด ีแลว ” ในที่สดุ เมื่อกาวขามความสุขเหลา นกี้ ็จะพบ “ความ สุขจากการหลดุ พน ” เหนือกวา ความสุขจากอเุ บกขา ผูปฏิบัติ จะสามารถหย่งั ลงสูพ ระนิพพานเมื่อจิตเขา สอู รยิ มรรค หลัง จากน้ันผูปฏิบัติจะยิ่งรูสึกซาบซึ้งในพุทธธรรมที่ไมเคยรูมา กอนยิ่งข้นึ ไปอีก พระพุทธองคตรัสไววา “หากปฏิบัติตาม หนทางน้ี กจ็ ะสามารถบรรลุถึงการดบั ทุกขได” น่เี ปนความ จริง มบี คุ คลจำนวนมากไดประสบมาแลว และในทีส่ ุดเมอ่ื ผปู ฏบิ ัติประสบดว ยตนเอง จิตกจ็ ะเปย มดว ยความปต แิ ละ ความระลกึ ในพระคณุ ของพระรัตนตรยั เปนอยางย่ิง
๙๒ ความเปน ไปไดท ีย่ ่ิงใหญ ใหผลจากการปฏบิ ตั ิ ดังน้ัน มีสามวิธีในการตระหนักถึงความเปนจริงที่ วา พระธรรมเปน ธรรมทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไวด แี ลว ขอ แรกหากผูปฏิบัติใครครวญอยางลึกซ้ึงถึงความเปนไปไดใน การไดรับสิ่งท่ียิ่งใหญจากการปฏิบัติกรรมฐาน จิตจะเปยม ไปดวยปติและความชื่นชมตอพระธรรม บางทีผูปฏิบัติอาจ ประกอบดว ยศรทั ธาเปนพนื้ ฐานอยูแลว ดงั น้ัน เมอื่ ไดย ินคำ เทศนาหรืออานเก่ียวกบั พระธรรม ผูปฏิบตั กิ ็จะเปย มลนดวย ปต ิและความสนใจ (ในพระธรรมนน้ั ) ขอสอง หากไดป ฏิบัติ ธรรมดว ยตนเอง พระดำรสั ทพ่ี ระพทุ ธองคต รสั รบั รองกจ็ ะเรม่ิ ปรากฏใหเหน็ จรงิ ศลี และสมาธิ จะทำใหชีวิตผปู ฏิบัตดิ ีขึ้น ซ่ึงจะเห็นไดเองวา พระธรรมที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวดี เพยี งใด เพราะนำมาซง่ึ ความแจม ใสและความสขุ อยา งลกึ ซงึ้ และประการสุดทายความยิ่งใหญของพระธรรมสามารถเห็น ไดจ ากการเจรญิ ปญ ญาซงึ่ จะนำไปสพู ระนิพพานในที่สุด ซง่ึ ณ จดุ นี้ชีวิตของผปู ฏบิ ัติจะเปล่ียนไป เหมอื นกบั การเกดิ ใหม ซ่ึงคงจะจินตนาการไดถึงปติและความซาบซึง้ ที่พงึ รสู กึ ได
๙๓ ๓. ระลึกถึงคณุ ของพระสงฆ การรำลึกถึงพระคุณของพระสงฆ เปนวิธีที่สามใน การเจรญิ ปต ิ ดงั ทพี่ ระอรรถกถาจารยไ ดก ลา วไวว า พระสงฆ คอื คณะอรยิ บคุ คลผอู ทุ ศิ ตนเพอื่ พระธรรม ดว ยความพยายาม อยา งสดุ ความสามารถและอดทนในการเดนิ ตามทางสายตรง และถกู ตอ งเพอ่ื ใหถ ึงจุดหมายปลายทาง หาก ผู ปฏิบัติ ได เขา ถึง ความ บริสุทธิ์ ของ จิต ใน การปฏิบัติบางแลว ก็อาจนึกถึงความรูสึกของบุคคลอื่น ที่ไดรับประสบการณในลักษณะเดียวกันนี้หรือลึกซึ้งกวา ประสบการณของผูปฏิบัติเอง ผูปฏิบัติที่ไดบรรลุธรรมใน ระดับใดระดบั หนง่ึ แลว จะมคี วามศรัทธาที่แกกลา ในอริยชน ทง้ั หลายผมู คี วามบรสิ ทุ ธแ์ิ ละหมดจดทไ่ี ดด ำเนนิ ผา นหนทาง นมี้ าแลว
๙๔ ๔. ระลกึ ถงึ ศีลของตน วธิ ที สี่ ใี่ นการเจรญิ ปต กิ ค็ อื การระลกึ ถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ ในความประพฤตขิ องตน ความหมดจดทางกายคอื คณุ ธรรม ท่ีมีพลังในการนำมาซึ่งความพอใจและความเบิกบานแกผู ปฏบิ ตั ิ บคุ คลตอ งมคี วามพากเพยี รอยา งสงู ในการรกั ษาความ บรสิ ทุ ธ์ิ และในความเพยี รนนั้ ผปู ฏบิ ตั อิ าจรสู กึ อมิ่ เอมและเบกิ บานใจ แตห ากไมอ าจรกั ษาความบรสิ ทุ ธไิ์ วไ ด ผปู ฏบิ ตั กิ อ็ าจ ถกู ยำ่ ยดี ว ยความรสู กึ เสยี ใจและการตำหนติ นเอง ไมส ามารถ รกั ษาสมาธิกบั สงิ่ ท่กี ำลงั ทำอยู ทำใหการปฏิบตั ไิ มกาวหนา ศีลเปนรากฐานของสมาธิและปญญา มีตัวอยาง มากมายจากบคุ คลทบี่ รรลธุ รรมโดยการกำหนดสตอิ ยกู บั ปต ิ ทเี่ กดิ จากการระลกึ ถงึ ความบรสิ ทุ ธใ์ิ นการรกั ษาศลี ของตนเอง สลี านุสตินม้ี ปี ระโยชนม ากในสถานการณท ่ฉี กุ เฉิน
๙๕ ปต ใิ นสถานการณท ีฉ่ ุกเฉนิ : เรอ่ื งของตสิ สะ มีชายหนมุ ชอ่ื ติสสะ เมื่อไดฟ ง พระธรรมเทศนาจาก พระพทุ ธองคแลว กเ็ กดิ ความรูสกึ สลดสังเวชเปนอยา งย่ิง แม เขาจะเปน คนทมี่ ีความทะเยอทะยาน แตก ็รูสกึ ไดถ งึ ความไร สาระของโลก เขาจึงหันความทะยานอยากมงุ ไปสูก ารเปน พระอรหนั ต ไมน านเขาก็ละทงิ้ ชวี ิตฆราวาสออกบวช กอ นบวช เขาไดย กสมบัติใหนอ งชายชือ่ จูลติสสะ ทำใหน อ งชายร่ำรวยมาก ภรรยาของจลู ติสสะเกดิ ความ โลภเกรงวา พระภกิ ษจุ ะเปล่ียนใจ ลาสกิ ขาแลว มาทวงทรพั ย สมบัตคิ นื นางจงึ หาทางปกปองทรพั ยสมบัติทพ่ี ึ่งไดมาใหม โดยการวาจา งคนมาทำรา ยทานพระติสสะ โดยสัญญาวาจะ ใหรางวัลอยา งงามหากฆาพระภิกษนุ นั้ ไดสำเรจ็ คนรายตกลงแลวออกเดินทางหาพระภิกษุในปา เม่ือพบพระภิกษุกำลังปฏิบัติธรรมอยูก็เขาลอมและเตรียม ลงมือฆา พระภิกษุกลาววา “โปรดรอสักหนอ ยเถิด อาตมา ยังทำหนาท่ไี มเสร็จเลย”
๙๖ “เราจะรอไดอยางไร” คนรา ยตอบ “เราเองก็มงี าน เหมอื นกนั ” “ขอแคห นง่ึ คืนเทานน้ั ” พระภิกษตุ ิสสะขอรอ ง “แลว ใหท านกลับมาฆา อาตมาได” “เราไมเ ช่ือหรอก! ทานคงคิดจะหนลี ะสิ ใหห ลกั ประกนั สวิ าทา นจะไมห นีไปไหน” พระภกิ ษไุ มมีสมบัตอิ ะไรนอกจากบาตรและจวี ร จงึ ไมอ าจใหอะไรเปนหลักประกันแกคนรายได แตแลว ทานก็ ควา กอนหินข้ึนมาทุบขาทัง้ สองขางของตนเองใหหกั เม่ือ คนรา ยเหน็ พระภิกษไุ มอ าจหนไี ดแ นแลว พวกเขาจึงพากนั หลกี ไปกอไฟนอนทีต่ น ทางเดนิ จงกรม (ของทาน) ปลอยให ทานปฏบิ ตั ธิ รรมตอไป เรา คง พอ มอง เห็น แลว วา ภิกษุ หนุม มี ความ ปรารถนาอยางแรงกลา เพยี งใดในการขุดถอนกิเลส ทา นไม เกรงกลัวความตายหรือความทุกขทรมานเลย แตท านกลับ เกรงกลวั กิเลสซงึ่ ยังคุกรนุ อยใู นตัวทาน ทานยงั มชี วี ิตแตย งั ทำงานไมเสร็จและทานกลัวที่จะตองตายกอนที่จะทำลาย กเิ ลสใหส น้ิ ลง เพราะ พระ ภิกษุ หนุม ได ละท้ิง โลก มา ดวย ความ
๙๗ ศรทั ธาอยางแรงกลา ทานจงึ มีความขยันหมน่ั เพียรมาก ในการเจรญิ สติ การปฏิบัตขิ องทานคงตอ งเขมแขง็ มากจน กระทั่งสามารถทนตอความเจ็บปวดจากการทุบกระดูกขา ตนเอง เพราะสามารถเฝา ดูความเจบ็ ปวดอยางแสนสาหสั นน้ั โดยไมย อมพา ยแพ ขณะทท่ี า นเฝาดอู ยูก พ็ ิจารณาถึงศีล ของตนเอง ทานถามตนเองวา ทา นไดท ำศีลขอใดของพระ ภกิ ษใุ หข าดลงหรือไมน บั ตง้ั แตท่ีออกบวช ดวยความยินดี ทา นพบวา ทานไดรักษาศีลมาอยา งบรสิ ทุ ธ์ิ ไมดางพรอย แมแตข อเดยี ว ความรนู ้ที ำใหท านเกิดปตแิ ละยนิ ดี ความเจ็บปวดที่ขาลดลงและความปติอยางแรงกลา บงั เกิดขนึ้ แทนทใี่ นจิตของภกิ ษหุ นุมอยางชดั เจน ทานตัง้ สตไิ วที่ปตนิ ั้นแลวกำหนดรูปติ ความสุข และความพอใจ เม่ือกำหนดอยูอยางนั้นญาณของทานแกกลาและเรงตัวขึ้น ทนั ใดน้นั ทานก็บรรลุธรรม ประจกั ษใ นอรยิ สัจส่ีและสำเรจ็ เปน พระอรหนั ตใ นเวลาอนั รวดเรว็ เร่ืองนส้ี อนใหร ูวา เราควรจะกอศลี ใหเ ปนพืน้ ฐาน ที่มัน่ คง หากปราศจากศลี แลว การนั่งเจริญกรรมฐานกไ็ ม ตางอะไรจากการเช้ือเชิญความเจ็บปวดใหเรงสรางพ้ืนฐาน หากศลี ของเรามั่นคงแลว ความเพยี รในการปฏบิ ัตธิ รรมก็ จะใหผ ลโดยเร็ว
๙๘ ๕. รำลึกถึงทานทต่ี นไดบ รจิ าคแลว วิธที ี่หา ในการเจรญิ ปต กิ ็คอื การระลึกถงึ ความ โอบออ มอารีของตน การใหทานโดยปราศจากความเห็นแก ตัว แตปรารถนาใหผ อู ่ืนเปนสุข หรอื หลุดพน จากทกุ ข ทาน นั้นจงึ จะเปนทานท่สี มบูรณและมีผลมาก นอกจากน้ีทาน ยงั ทำใหเ กดิ ความสขุ และความยินดแี กผ ูก ระทำดวย เจตนา เปนปจจัยสำคัญท่ีบงบอกวาทานนั้นจะใหผลมากนอยเพียง ไร การทำบุญไมควรแฝงไวดวยความเหน็ แกต ัว การใหท านในยามยาก การใหทานมไิ ดจำกัดเฉพาะเรอ่ื งเงิน ทานหมายถึง การใหก ำลงั ใจแกเ พอ่ื นท่กี ำลงั ตองการความชว ยเหลือ การ ใหทานในยามยากจงึ เปนสิ่งสำคัญท่ีสุด และอาจนับเปนชว ง เวลาท่ใี หความพึงพอใจสูงสุดในการแบงปน สิง่ เลก็ ๆ นอยๆ ทีเ่ รามี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155