Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore KwamSuk

KwamSuk

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-05 07:54:14

Description: KwamSuk

Search

Read the Text Version

101 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ผู้สร้างพระประเภทขลังและศักด์ิสิทธ์ิ ย่อมมีจุดมุ่งหมายในการ หาเงินมาเพ่ือสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าสิ่งท่ีจะสร้างน้ันเป็นสาธารณประโยชน์ กน็ า่ เหน็ ใจและพอจะอนุโลมใหก้ ันได้ เพราะถือเอาพระทข่ี ลงั และศักดิ์สิทธิ์ นน้ั เปน็ เพยี งเครอื่ งมอื ไปสจู่ ดุ มงุ่ หมายคอื ประโยชนส์ ว่ นรว่ ม เชน่ สรา้ งโรงเรยี น โรงพยาบาล หรือโบสถว์ ิหาร ศาลาการเปรียญ (ตามสมควรแกฐ่ านะของตน) แต่ควรต้องระวังผลเสียอันเกิดจากความยึดมั่นด้วยอุปาทานในของขลังและ ศกั ดิ์สทิ ธนิ์ ั้นแล้วทำ�ใจให้ฮึกเหมิ ประมาท กร้านกล้า ทำ�ลายผู้อ่ืนด้วยความ สำ�คัญผิดว่ามีของขลังของศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัวแล้ว ทำ�นองว่า “มีพระดี” แลว้ เทีย่ วเกะกะระราน, ปลน้ จ,ี้ ข่มขนื , นักเลงโต, เมาสรุ าอาละวาด ฯลฯ อันเป็นเร่ืองก่อความเดือดร้อนแก่มหาชน เร่ืองทำ�นองน้ีมีอยู่มิใช่น้อย เรียกวา่ มีทางไดแ้ ละมที างเสีย ตอ้ งเสย่ี งอยมู่ ากเหมือนกนั พระสงฆบ์ างรปู มีวตั รปฏบิ ตั ิดี ปฏปิ ทาน่าเลื่อมใส และมุ่งการ ทำ�ความเพยี รทางจิตเพือ่ พน้ ทุกข์เป็นจุดมงุ่ หมาย ทา่ นจึงมีอำ�นาจจิตสูง ด้วยกำ�ลังของสมาธิ และเฉลียวฉลาดด้วยกำ�ลังของวิปัสสนาปัญญา AWText-KarmSuk-new.indd 101 8/25/13 10:24 AM

102 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว คนเคารพเลื่อมใสมาก อะไรๆ ที่เกี่ยวกับท่านก็ดูจะขลังและศักดิ์สิทธิ์ ไปเสียหมด ลูกศิษย์ใกล้ชิดก็สร้างเหรียญของท่านบ้าง ทำ�รูปเหมือน ของท่านบ้าง คร้ังแรกๆ อาจทำ�เพื่อเคารพบูชา หรือเป็นเครื่องระลึก ประจำ�ตนด้วยความเคารพเลื่อมใส ต่อมาเม่ือมีคนเล่ือมใสมากขึ้นก็เร่ิม ทำ�เพ่ือหารายได้สร้างน่ันสร้างน่ี ใครๆ ก็พากันไปพ่ึงบารมีของท่านให้ วนุ่ วายกนั ไปหมด พวกมกั ไดเ้ หน็ เปน็ ทางไดโ้ ดยสะดวก อาจแฝงตวั เขา้ มา ทำ�มาหากินกับเหรียญหรือรูปป้ันและรูปเหมือนของท่าน เม่ือท่านยังมี ชีวิตอยู่ก็ไปรบกวนท่านกัน จนท่านไม่มีเวลาเป็นของท่านเองบ้าง เป็น การรบกวนความสงบสขุ ของท่านในปัจจุบนั อยา่ งที่พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ “ภิกษุท้ังหลาย๑ ลาภสักการะและชื่อเสียงทารุณเผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากเคร่ืองข้อง อนั ประเสรฐิ ย่ิง ภิกษทุ ง้ั หลาย (อยา่ วา่ แต่ภกิ ษปุ ถุ ชุ นเลย) ลาภสกั การะ และชอื่ เสยี งน้ี เป็นอนั ตรายแม้แก่ภิกษุผ้เู ป็นอรหันตขีณาสพ” ๑ สังยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค เลม่ ๑๖ ขอ้ ๕๘๐ AWText-KarmSuk-new.indd 102 8/25/13 10:24 AM

103 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างน้ี พระอานนท์จึงทูลถาม ข้ึนว่าเพราะเหตุไร ลาภสักการะและชื่อเสียงจึงเป็นอันตรายแก่ภิกษุ อรหันตขีณาสพ พระศาสดาตรัสตอบว่า “ลาภ สักการะและชื่อเสียงมิได้เป็น อันตรายต่อจิตที่หลุดพ้นแล้วของพระขีณาสพนั้นก็จริง แต่เป็นอันตราย ต่อการอยู่เปน็ สุขในปจั จุบันของพระขณี าสพนน้ั นีแ่ หละอานนท์ เราจึง กลา่ ววา่ ลาภสกั การะ และชอ่ื เสยี งเปน็ ของทารณุ เผด็ รอ้ น หยาบคาย...” ในทางท่ีถูก ที่เหมาะสมก็คือ ถ้าเล่ือมใสท่านก็ควรศึกษาให้รู้ ใหเ้ ขา้ ใจถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องทา่ นวา่ ทา่ นมดี ใี นตนของทา่ นอยา่ งไร มคี ณุ อยา่ งไร แลว้ ถา่ ยแบบเอาคณุ อยา่ งนน้ั เขา้ ไวใ้ นตน ดำ�เนนิ ตามรอยของทา่ นสรา้ งสม คุณธรรมอย่างน้ันๆ ให้เกิดขึ้นในตน อย่างน้ีแหละเรียกว่าเลื่อมใสจริง ไดผ้ ลจรงิ และไดช้ อ่ื วา่ อยใู่ กลท้ า่ นจรงิ โดยทไ่ี มต่ อ้ งแขวนเหรยี ญของทา่ น ก็ได้ ไมต่ อ้ งบชู ารูปเคารพของทา่ นกไ็ ด้ ดังท่ีพระพทุ ธองคต์ รัสวา่ AWText-KarmSuk-new.indd 103 8/25/13 10:24 AM

104 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว “ผู้ใดก็ตาม แม้เดินเกาะชายสังฆาฏิของพระองค์ไปอยู่ทุกหน ทุกแห่ง กห็ าชอ่ื ว่าอยูใ่ กล้พระองคไ์ ม่ สว่ นผู้ใดปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ตน สมควรแก่เหตผุ ล ผู้น้นั แหละชอ่ื วา่ อย่ใู กลพ้ ระองคอ์ ยา่ งแท้จรงิ ” ทรงเปรียบเทยี บใหเ้ ห็นวา่ “เหมอื นลาที่เดินตามฝงู โคอยตู่ อ้ ยๆ แตก่ ห็ าเปน็ โคไดไ้ ม”่ (สว่ นโคแทๆ้ แมจ้ ะอยตู่ า่ งหากจากฝงู โค กค็ งนบั วา่ เปน็ โคอยนู่ ่ันเอง) เพราะฉะน้ัน ผู้เลื่อมใสพระรัตนตรัย ปรารถนาความบริสุทธ์ิ แห่งตน ปฏบิ ตั ติ ามโดยชอบเพ่อื ความบริสทุ ธ์ิ นนั่ แหละ จงึ จะบรรลุจุด มุ่งหมายแห่งการถึงพระรัตนตรัย และได้ผลจริงทุกๆ ด้าน เพราะ พระธรรมนนั้ พระผมู้ พี ระภาคตรสั ไวด้ แี ลว้ , เหน็ ไดใ้ นปจั จบุ นั , ไมก่ ำ�หนด กาล, เรียกให้มาดไู ด้, ควรนอ้ มเข้ามาในตน เพื่อให้กาย วาจาใจของตน ประกอบด้วยธรรม เป็นอันหนึ่งอนั เดียวกนั กบั ธรรมและจะเหน็ ได้เองว่า ธรรมน้นั ประเสรฐิ สูงสง่ เพียงใด AWText-KarmSuk-new.indd 104 8/25/13 10:24 AM

105 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระพุทธศาสนาเป็นกรรมวาที-กล่าวกรรมสอนให้บุคคลเช่ือ หนักแน่นในกรรมว่า เหตดุ ียอ่ มกอ่ ให้เกดิ ผลดี เหตุเลวกอ่ ให้เกดิ ผลเลว เมล็ดพชื แห่งกรรมเช่นใด ย่อมกอ่ ให้เกดิ ผลกรรมเช่นนนั้ เหมือนบคุ คล ปลกู ขนนุ ยอ่ มไดข้ นนุ และผลของมนั ยอ่ มเปน็ ขนนุ เมลด็ พชื เปน็ มะมว่ ง ต้นมันเป็นมะม่วงและผลย่อมเป็นมะม่วงอย่างแน่นอน จะอ้อนวอน อยา่ งไรก็ไม่อาจให้เปลี่ยนแปลงได้ นอกจากเราเห็นวา่ ต้นมันเป็นมะม่วง แลว้ ฟนั ต้นมันท้ิงเสยี ผลของมนั ยอ่ มไม่มี ในสมัยพทุ ธกาล พวกพราหมณเ์ ช่ือเร่อื งแม่น�้ำศกั ดิส์ ิทธ์ิ พากนั ลงอาบเพ่ือล้างบาป พระพุทธองค์ทรงชี้แจงโดยเหตุผลว่าถ้าแม่น�้ำน้ัน ศกั ดิ์สทิ ธิจ์ รงิ สามารถลา้ งบาปได้จรงิ แลว้ พวกกุ้ง หอย ปู ปลา กค็ ง ล้างบาปได้มากกวา่ พวกพราหมณแ์ ละคงไปสวรรค์กันได้หมด แตห่ าเปน็ เช่นน้ันไม่ ทรงชักชวนให้พราหมณ์มาอาบน�้ำในธรรมวินัยของพระองค์ อาบแลว้ ตวั ไมเ่ ปยี ก ขา้ มฝง่ั แหง่ สงั สารวฏั ไดด้ ว้ ย กลา่ วคอื ใหอ้ าบนำ�้ คอื ธรรม ประพฤติธรรมปฏบิ ตั ิธรรมและทรงเนน้ วา่ เม่อื กาย วาจา ใจ สุจรติ แลว้ AWText-KarmSuk-new.indd 105 8/25/13 10:24 AM

106 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว น�้ำดื่มน�้ำอาบ ก็กลายเป็นน้�ำศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งส้ิน มาถึงสมัยน้ี ชาวพุทธ ท่ียังฝังใจเช่ืออย่างเอาจริงเอาจังกับความขลัง ความศักด์ิสิทธิ์ของอะไร ตอ่ มอิ ะไรมากมายกย็ งั มอี ยไู่ มน่ อ้ ย สมมตวิ า่ จะขลงั และศกั ดส์ิ ทิ ธจิ์ รงิ อยา่ ง ทคี่ นทงั้ หลายเชอื่ กไ็ มค่ วรฝากเนอื้ ฝากตวั หรอื ฝากความหวงั ไวก้ บั สง่ิ นน้ั มากเกินไป เพราะดูเลอ่ื นลอย และอาจบังเอญิ ดว้ ยเหตุอ่นื แต่ผนู้ ั้นมีใจ จดจ่ออยู่กับส่ิงน้ัน จึงเข้าใจผิดไปว่าเป็นเพราะส่ิงน้ันเป็นเหตุ ตัวของ ตัวเองนนั่ แหละเปน็ ท่พี ่งึ อนั ประเสริฐ พออบรมตนดีแลว้ ก็จะมองเห็น ไดเ้ องว่า อ้อ ที่พ่ึงอันประเสรฐิ อยตู่ รงนเี้ อง “เปน็ ธรรมดาของคน ยอ่ มมคี วามปรารถนาอยากพบปะแตอ่ ารมณ์ ที่ชอบท่ีพอใจ และหลีกเลี่ยงอารมณ์อันไม่เป็นท่ีพอใจแต่เพราะความโง่ เขลา ไมร่ สู้ กึ วา่ ตนเปน็ ทพี่ ง่ึ พ�ำนกั ทด่ี ที ส่ี ดุ ทจ่ี ะหาได้ และเพราะความกลวั เหน็ ธาตทุ ้ัง ๔ คอื ดิน น้ำ� ลม ไฟว่าเปน็ ของศักด์สิ ทิ ธ์.ิ ..พระศาสดา (พระพทุ ธเจา้ ) ทรงปลุกคนพวกนีใ้ ห้ตื่นจากหลับ ใหเ้ ป็นผ้นู บั ถอื อาการ ภายใน คือ ให้นับถือพึ่งพิงตนของตนเอง ให้ทำ� ใจของตนให้เที่ยงตรง AWText-KarmSuk-new.indd 106 8/25/13 10:24 AM

107 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ให้เห็นความจริง ให้รู้เท่าความเป็นไปของโลก รู้จักก�ำหนดส่ิงต่างๆ ท่ี เป็นเหตุกับผลเนื่องกัน ให้กำ� หนดในทางกรรม (คือส่ิงที่เราทำ� ด้วยกาย วาจา ใจ) และผลของกรรม มผี ลดผี ลชั่วแล้วแตเ่ หตุ ทำ� ดกี ็ไดด้ ี ท�ำช่วั ก็ ได้ช่วั กรรมเปน็ เหตุ สุข ทุกข์ ความเจริญ ความฉิบหายเปน็ ผล ทรงห้าม ไม่ให้หลงถือวัตถุศักด์ิสิทธิ์ ให้ตริตรองหาความจริงโดยตนเอง ฉะน้ี การถือวัตถุศักด์ิสิทธ์ิเป็นการลวงตนเอง...พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา ของผทู้ ่ตี น่ื จากหลับของผู้ทฉี่ ลาดรู้จักใชค้ วามคิด๑...” ๑ จากเรื่อง การถือวัตถุศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ พระนพิ นธข์ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ในหนงั สือ ธรรมจกั ษุ ฉบบั ที่ ๑ มาฆบชู า ๒๕๒๑ หนา้ ๙ AWText-KarmSuk-new.indd 107 8/25/13 10:24 AM

108 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว ๔. อตั ตวาทุปาทาน = ความยดึ มน่ั ตวั ตน โดยทวั่ ไปบคุ คลผู้ มไิ ดส้ ดับธรรมของพระอรยิ ะ ย่อมสำ�คญั ม่ันหมายว่ามตี วั ตน และสำ�คัญ มั่นหมายสิ่งภายนอกว่าเปน็ ของตน เช่น บตุ ร ภรรยา สามี ทรพั ยส์ มบัติ ญาติพ่ีน้อง เพ่ือน คู่รักของตน เมื่อสำ�คัญม่ันหมายดังน้ัน ความทุกข์ ความกงั วล ความรอ้ นใจกเ็ กดิ ขน้ึ ดว้ ยเหตตุ า่ งๆ เชน่ ความพลดั พรากบา้ ง ความไม่ไดด้ งั ใจหวังบา้ ง ความจริงสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน ไม่เป็นของเรา แม้ตัวตนท่ีเรา สำ� คัญมน่ั หมายวา่ เป็นเรา ก็ยงั ไมเ่ ปน็ ของเรา มันเกดิ ข้นึ ตง้ั อยู่ และ ดับไปตามเหตปุ จั จัย เมื่อมเี หตุปัจจยั หนุนอยู่ อปุ ถมั ภ์คำ้� ชอู ยู่ ก็ดำ� เนิน ต่อไปได้ พอขาดเหตุปัจจัยก็ดับไป เหมือนเปลวไฟจากตะเกียงน�้ำมัน เมอ่ื ยงั มเี หตปุ จั จยั คอื ไสแ้ ละนำ�้ มนั อยู่ เปลวไฟกย็ งั ดำ� รงอยไู่ ดท้ ลี ะขณะๆ พอสิ้นน�้ำมันอันเป็นเหตุปัจจัยและไฟได้ไหม้ไส้เท่าท่ีพอจะไหม้ได้หมด แลว้ เปลวไฟก็ดับไป AWText-KarmSuk-new.indd 108 8/25/13 10:24 AM

109 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เมื่อตัวตนแม้ของเราเองก็ไม่มีเสียแล้ว ก็เป็นอันไม่ต้องกล่าว ถึงส่ิงภายนอก ท่ีรู้สึกว่าเป็นเราและเป็นของเราน้ันเพราะความยึดคือ อปุ าทาน ธรรมดาของมนุษยเ์ รานั้น ประกอบด้วยขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และธาตุ ๖ คือ ดิน น�้ำ ลม ไฟ อากาศ และ วญิ ญาณธาตุ ในอนัตตลักขณสูตร (สูตรท่ีว่าด้วยลักษณะของอนัตตา) พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ขันธ์ ๕ ไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตน ถ้าเป็น ตัวตนแล้วก็ย่อมไม่เป็นไปเพ่ืออาพาธ เราย่อมปรารถนาเอาได้ว่า จงเป็นอย่างนเี้ ถดิ อย่าเป็นอย่างน้นั เลย AWText-KarmSuk-new.indd 109 8/25/13 10:24 AM

110 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว ในธาตุวภิ งั คสูตร๑ มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ัณณาสก์ พระพุทธองค์ ทรงแสดงว่า คนเราประกอบดว้ ยธาตุ ๖ ดงั กล่าวแลว้ และธาตุ ๖ น้ัน บคุ คลพงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามความเปน็ จรงิ วา่ ไมใ่ ชข่ องเรา ไมใ่ ช่ เรา เม่ือเห็นดังนี้ ย่อมเบ่ือหน่ายในธาตุทั้ง ๖ และจิตย่อมคลายความ กำ�หนัดในธาตุทงั้ ๖ นั้น บางคราวพระพุทธองค์ทรงแสดงอัตตา คือ ตัวตนเหมือนกัน เช่น ในโปฏฐปาทสูตร๒ ทรงแสดงอัตตา ๓ อย่าง คือ อัตตาหยาบ อันได้แก่ ตัวตนของมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน และเทพช้ันกามาวจรท่ัวไป อตั ตาอันสำ�เร็จดว้ ยใจ อนั ได้แก่ กายของพรหมช้นั รูปพรหม และอัตตาท่ี หารูปมิได้ คือพวกอรูปพรหม แต่ทรงสอนให้ละอัตตาทั้ง ๓ น้ันเสีย และวา่ การละอตั ตาท้งั ๓ เสียไดเ้ ป็นความสขุ ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ขอ้ ๖๘๓-๖๘๙ ๒ ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค พระไตรปฎิ กเล่ม ๙ เรื่องท่ี ๙ AWText-KarmSuk-new.indd 110 8/25/13 10:24 AM

111 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ในทส่ี ดุ ทรงเนน้ วา่ คำ�วา่ อตั ตา (ตวั ตน) นี้ เปน็ เพยี งโลกสมญั ญา โลกนริ ตุ ิ โลกโวหาร และโลกบญั ญตั ิ คอื สมมตเิ รยี กกนั ทางโลก เปน็ ภาษา ของชาวโลก ทรงพดู ตามภาษาของโลก แต่ไมท่ รงยึดถอื ข้อที่ว่า ตนเป็นท่ีพึ่งของตนก็ทำ�นองเดียวกัน ทรงเรียกขันธ์ ๕ ธาตุ ๖ ว่าตนตามสมมตุ ิของชาวโลก เพ่อื ใหช้ าวโลกเขา้ ใจและนำ�ไป ปฏบิ ัติได้ในชนั้ จรยิ ธรรม เพ่ือให้สร้างตนเอง พง่ึ ตนเอง ดว้ ยการกระทำ� ของตนเอง พระพุทธศาสนาเน้นปญั หานี้ จนได้ชอ่ื ในภาษาองั กฤษสมยั ปัจจบุ ันว่า A do-it-yourself religion ศาสนาประเภทเทวนิยมน้ัน มีคำ�สอนซ่ึงมีแนวโน้มไปทางให้ พึ่งพระเจ้า มอบความไว้วางใจแก่พระเจ้า ยอมตนแก่พระเจ้า สุดแล้ว แต่พระเจ้าจะบันดาลให้เป็นไป แต่พุทธศาสนาเนื่องจากเป็นศาสนา ประเภทอเทวนยิ มไมม่ พี ระเจา้ จงึ เนน้ มาทางใหพ้ ง่ึ ตนเอง ดว้ ยการกระทำ� ของตนเอง พระพทุ ธเจา้ เองกต็ รสั อยเู่ สมอวา่ ใหม้ ตี นเปน็ ทพ่ี ง่ึ พระองคเ์ อง AWText-KarmSuk-new.indd 111 8/25/13 10:24 AM

112 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว ทรงเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น วิธีพึ่งตนเองที่ดีท่ีสุดก็คือ พึ่งธรรม แม้ พระองค์ก็ทรงถือเอาธรรมเป็นท่ีพึ่งเหมือนกัน คนที่ธรรมคุ้มครองแล้ว ก็เป็นอันได้รบั การคุ้มครองดว้ ยดี ผู้ทธ่ี รรมไม่คุ้มครองแลว้ ใครๆ กไ็ ม่ อาจคมุ้ ครองได้ ในจฬู สจั จกสตู ร๑ สจั จกนคิ รนถ์ ทลู ถามพระพทุ ธองคว์ า่ สว่ นมาก ทรงส่งั สอนสาวกอยา่ งไร? ตรสั ตอบวา่ สว่ นมากทรงสง่ั สอนสาวกใหต้ ระหนกั รวู้ า่ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ไม่เท่ยี ง ไม่ใช่ตัวตน สจั จกนคิ รนถแ์ ยง้ วา่ เหมอื นอยา่ งวา่ พนื้ ดนิ เปน็ ทร่ี องรบั พชื พนั ธ์ุ และสรรพสังขารทัง้ ปวง จึงทำ�ใหพ้ ชื พันธุ์เจรญิ งอกงามและสรรพสงั ขาร ดำ�รงอยไู่ ดฉ้ นั ใด รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ซง่ึ เปน็ ตวั ตนนแ้ี หละ จงึ ไดป้ ระสบบุญและบาป ไมม่ ีตวั ตนเสยี แล้ว อะไรเลา่ จะเป็นส่ิงรองรบั บุญและบาปทบี่ คุ คลทำ� ๑ มชั ฌมิ นิกาย มลู ปัณณาสก์ พระไตรปฎิ กเลม่ ๑๒ ขอ้ ๓๙๖ AWText-KarmSuk-new.indd 112 8/25/13 10:24 AM

113 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระศาสดาทรงขอให้สัจจกนิครนถ์ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า เขา เหน็ วา่ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เปน็ ของตนอยา่ งนน้ั มใิ ชห่ รอื ? สัจจกนิครนถ์ยืนยันเช่นน้ันและแถมว่า ประชาชนเป็นอันมาก ก็กล่าวเช่นนน้ั พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ พระราชาปเสนทโิ กศลหรอื พระเจา้ อชาตศตั รู ผู้ทรงมีอำ�นาจเต็มท่ีในแว่นแคว้นของพระองค์ ย่อมสามารถสั่งฆ่าคนท่ี ควรฆา่ ปรบั คนทีค่ วรปรับ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศออกจากแวน่ แควน้ ของพระองคไ์ ด้ แตก่ ารที่ทา่ นกล่าวว่ารปู เป็นของตน (หรอื ของท่าน) นนั้ ทา่ นมอี ำ�นาจบงั คบั บญั ชาไดห้ รอื วา่ ขอรปู ของเราจงเปน็ อยา่ งนนั้ เถดิ อยา่ เปน็ อย่างนี้เลย AWText-KarmSuk-new.indd 113 8/25/13 10:24 AM

114 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว พระศาสดาตรัสถามอย่างนี้ถึง ๒ คร้ัง แต่สัจจกนิครนถ์ก็คง นงิ่ เฉยเสยี มไิ ดท้ ลู ตอบแตป่ ระการใด พระศาสดาจงึ ตรสั วา่ เวลานเี้ ปน็ เวลา ที่ท่านควรจะต้องแก้ไม่ใช่เวลานิ่ง ผู้ที่ตถาคตถามปัญหาอันชอบแก่เหตุ ถึง ๓ คร้งั แล้วไมต่ อบ ศีรษะของเขาจะตอ้ งแตกเป็น ๗ เส่ยี งในที่น้นั ในท่สี ุด สัจจกนคิ รนถก์ ท็ ลู รับวา่ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ท้ัง รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร และวิญญาณ และทลู รบั เปน็ ช่วงๆ ว่า สิ่งใด ไมเ่ ท่ยี ง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ส่ิงใดเป็นทุกข์ สิ่งนัน้ บุคคลไม่ควรเหน็ วา่ เป็น ตวั เรา เป็นของเรา พระตถาคตเจ้าทรงช้ีให้เห็นว่าสัจจกนิครนถ์ติดอยู่ในทุกข์ เข้า ถึงทุกข์ กล�้ำกลืนทุกข์อยู่ แล้วยงั เหน็ วา่ ทกุ ขเ์ ป็นของตนอยอู่ ีก ผู้เชน่ น้ัน ย่อมไมส่ ามารถกำ� หนดรทู้ ุกขไ์ ด้เอง หรือไม่สามารถทำ� ทกุ ข์ให้สน้ิ ไปได้ AWText-KarmSuk-new.indd 114 8/25/13 10:24 AM

115 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเปรียบเทียบว่า เหมือนบุรุษผู้ต้องการ แก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้อยู่ เข้าไปในป่า ตัดเอาต้นกล้วยท่ีโคนต้นแล้ว ตดั ยอด รดิ ใบออก ไม่พบแมแ้ ตก่ ระพี้ แล้วจะพบแกน่ ได้อย่างไร ข้อน้ี ฉันใด ท่านเองก็ฉันนั้น อันเราซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนในคำ�ของท่านเอง กว็ า่ งเปลา่ ไมม่ แี กน่ สารอะไร แพไ้ ปเอง ทา่ นไดก้ ลา่ วอวดทา่ มกลางชมุ นมุ ชน ในเมอื งเวสาลวี า่ ไมเ่ หน็ สมณพราหมณผ์ ใู้ ดทเ่ี ปน็ คณาจารย์ แมท้ ปี่ ฏญิ าณ ตนว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าโต้ตอบกับท่านแล้วจะไม่ ประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหง่ือไคลจากรักแร้แม้แต่ คนเดียว แมถ้ ้าท่านโต้กบั เสา เสาก็ยังหวั่นไหว ไม่ต้องกล่าวถงึ มนุษย์ ดกู ่อนอคั คเิ วสสนะ บดั น้หี ยาดเหงอ่ื ของทา่ นหยดจากหน้าผาก ลงยงั ผา้ ห่มแล้วตกท่ีพ้ืน สว่ นเหง่อื ในกายของเราเวลาน้ไี ม่มีเลย เมื่อพระศาสดาตรัสดังน้ี สจั จกนิครนถ์ก็น่งิ อง้ึ เกอ้ เขนิ คอตก กม้ หน้าซบเซา ไม่มีปฏภิ าณใดๆ อกี AWText-KarmSuk-new.indd 115 8/25/13 10:24 AM

116 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควรแล้ว สัจจกนิครนถ์ได้ทูลถามพระ พทุ ธองค์ว่าด้วยเหตุเพียงเท่าใด สาวกของพระองค์จึงช่อื วา่ เปน็ ผู้ทำ�ตาม คำ�สง่ั สอน ทำ�ตามพระโอวาท ขา้ มความสงสยั เสยี ได้ ถึงความแกล้วกลา้ ไม่ตอ้ งเช่อื ผอู้ น่ื อยใู่ นคำ�สอนแหง่ ศาสดาตน พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ตอบวา่ สาวกของพระองคเ์ หน็ ปญั จขนั ธ์ โดยความเปน็ ของไมม่ ตี วั ตน ไมใ่ ชต่ วั ตน เพยี งเทา่ นก้ี ช็ อ่ื วา่ ทำ�ตามคำ�สอน ทำ�ตามโอวาทของเรา ขา้ มความสงสยั เสียได้ ถึงความแกล้วกลา้ ไม่ตอ้ ง เชอ่ื ผู้อน่ื ...ฯลฯ เพราะเหตทุ ส่ี ง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวงไมใ่ ชต่ วั ตน ไมม่ ตี วั ตน พระพทุ ธองค์ จึงตรัสวา่ สงิ่ ทง้ั ปวงอนั บุคคลไมค่ วรยึดมัน่ ถือมัน่ (สพเฺ พ ธมฺมานาลํ อภนิ ิ เวสาย) เพราะเมื่อยึดมั่นในส่ิงใด ก็ย่อมต้องทุกข์เพราะสิ่งน้ัน เม่ือยึดม่ัน ในตัวตนก็ย่อมต้องทุกข์เพราะตัวตน เพราะส่ิงใดที่บุคคลเข้าไปยึด (มอี ุปาทาน) จะไมก่ อ่ ทกุ ขก์ ่อโทษใหเ้ ป็นไม่มีในโลกนี้ หรือแม้ในโลกไหนๆ AWText-KarmSuk-new.indd 116 8/25/13 10:24 AM

117 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ก็ตามพระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อไม่ยึดม่ัน ย่อมไม่มีความหวาดสะดุ้ง เมื่อไม่หวาดสะดุง้ ยอ่ มปรนิ พิ พานเฉพาะตนทเี ดียว ความยดึ มนั่ ในตวั นเ่ี อง ทำ�ใหบ้ คุ คลมี อหงั การ = ความทะนงตน หรอื ความรู้สกึ เชิดชตู น ทีเ่ รียกในภาษาอังกฤษว่า Egoistic tendency หรือ Arrogant view ความรู้สึกดังกล่าวนี้นำ�ความทุกข์มาให้แก่ตน และผู้อ่ืนอย่างมาก มีลักษณะยกตนข่มผู้อื่น ซึ่งมีอยู่ท่ัวไปในหมู่ชนผู้ มไิ ดส้ ดบั ธรรมของพระอรยิ ะ ผู้หลงอย่ใู นทิฏฐมิ านะและตวั ตน ก่อให้เกิด ความเคยี ดแคน้ บาดหมาง ความกระทบกระทง่ั ความรษิ ยาและนำ�ไปสู่ ความทกุ ขอ์ นั ยดื เยอ้ื ความรสู้ กึ ทะนงตนดงั กลา่ วแมบ้ างคราวจะไมก่ อ่ ทกุ ข์ แก่ผู้อน่ื เพราะอยู่ภายในตนแต่ก็กอ่ ทกุ ขใ์ ห้แกต่ นในฐานะที่เปน็ ภาระทาง ใจอันหนักอ้ึง บางทีก็ทำ�ให้คนผู้มีปัญญาจักษุน้อย มองเห็นเป็นความ ดงี ามในฐานะแห่ง “ศักด์ศิ รี” หรอื “เกยี รติยศ” แล้วแบกเอาสง่ิ น้นั ไว้ และกอดรัดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น บางทีก็เป็นไปในรูปของการ “จม ไมล่ ง” บางคราวกเ็ ปน็ ไปในรปู ของการ “กลนื ไมเ่ ขา้ คายไมอ่ อก” บางครงั้ AWText-KarmSuk-new.indd 117 8/25/13 10:24 AM

118 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว กม็ พี ฤตกิ รรมทำ�นองเดยี วกบั นกทถ่ี กู เขาเอาไมเ้ สยี บคางแลว้ ปลอ่ ย ให้บินไป ต้องมองสูงอยู่ตลอดเวลา ก้มไม่ได้ เหินไปจนหมดแรง แล้วตกลงมาตาย หลุมพรางของโลกมีอยู่เป็นอันมาก คอยดึงดูดให้คนตกลงไป ผูไ้ ม่มแี วน่ ธรรม หรือกลอ้ งส่องทางไกล คอื ธรรม (ธรรมาทาสะ) ย่อม เป็นการยากท่ีจะมองเห็น เมื่อตกลงไปแล้วบางทีก็ชื่นชมยินดีอยู่ใน หลมุ พรางนนั้ ไมค่ ดิ จะดงึ ตวั ขนึ้ มา เพราะคนเปน็ อนั มากตกอยู่ นกึ วา่ ใครๆ กเ็ ป็นอยา่ งนีท้ ้งั น้ัน นกึ ปลอบใจตวั เองวา่ “ไมเ่ ป็นไร ใครๆ ก็เป็นกนั ” แตค่ วามสขุ ของผ้ไู มต่ กหลมุ พราง ไมต่ ดิ บ่วงนัน้ เป็นอย่างไร ไมเ่ คยไดร้ ู้ จงึ สำ�คญั ผดิ เหน็ ทกุ ขเ์ ปน็ สขุ ไปอยา่ งนแ้ี หละมมี าก สว่ นคนทมี่ ที รรศนะ อันถูกตอ้ งเหน็ ทุกข์เปน็ ทุกข์ เหน็ สุขเป็นสขุ นน้ั มนี ้อย เร่อื งทกุ ข์สุขยังพอมองเห็นง่ายกวา่ เรื่องมใิ ช่ตัวตน คนสว่ นมาก มคี วามสำ�คญั มนั่ หมายเรอื่ งตวั ตนวา่ เปน็ เรา นนั่ เปน็ เรา จงึ มคี วามผกู พนั อยา่ งไม่อาจจะแกะออกใหห้ ลุดได้ จงึ จมอยู่ในกองทุกขน์ ่ันเอง AWText-KarmSuk-new.indd 118 8/25/13 10:24 AM

119 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อุปาทาน คือ ความยึดมนั่ ท้งั ๔ ประการดงั กลา่ ว มาเปน็ เคร่ือง ผกู พนั มนษุ ยไ์ วก้ บั ความทกุ ข์ เมอ่ื ปลอ่ ยวางได้ ไมม่ อี ปุ าทานกเ็ ปน็ ความสขุ ความดับอุปาทานโดยไม่มีเชื้อเหลือ ท่านเรียกว่า อนุปาทาปรินิพพาน เปน็ ภาวะสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา เปน็ Summum Bonum เปน็ กจิ ทพ่ี งึ ประสงคอ์ ยา่ งยง่ิ ในการประพฤตธิ รรมเปน็ ภาวะทปี่ ลอดภยั จากทกุ ขท์ งั้ ปวง การปล่อยอุปาทานอย่างหน่ึง แล้วไปจับเอาอีกอย่างหน่ึงไว้นั้น อีกหน่อยก็จะติดหมดทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว เพราะอวิชชาความไม่รู้ หรือ ความเขลา ดงั ลงิ ท่เี อามือไปจบั ทอ่ นไมท้ ม่ี ยี างเหนยี วไลอ้ ยู่โดยรอบ เม่อื มือแรกติดยางเหนียวแล้วดึงไม่ออก เอามือท่ีสองไปยันเข้าเพื่อดึงมือ แรกออก มือท่ีสองจึงติดยางเหนียวน้ันด้วย มือท่ีสามและที่สี่ก็ติดยาง เหนียวโดยทำ�นองเดยี วกนั จึงเปน็ อนั ติดยางเหนียวหมดทัง้ ๔ มือ หรือ ๔ เท้า ตอ้ งหอ้ ยโหนตวั อยูท่ ่ีท่อนไม้นนั่ เอง ไดร้ ับทกุ ขเวทนาเปน็ อันมาก คนสว่ นมากยดึ มน่ั อยใู่ นอปุ าทานทั้ง ๔ ประการ AWText-KarmSuk-new.indd 119 8/25/13 10:24 AM

120 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว บางรายแม้ละอุปาทานอย่างอื่นได้แล้ว แต่ไปติดอยู่ในอัตตวา- ทุปาทานแต่ประการเดียว หรือติดอย่างใดอย่างหนึ่งก็เหมือนกัน ชื่อว่า ติดอยู่ไม่อาจถอนตนให้เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ได้ เหมือนลิงที่แม้จะติด ยางเหนยี วเพียงมือเดียวก็ชอ่ื ว่าตดิ ขอนไมอ้ ยนู่ ั่นเอง ไม่อาจมเี สรภี าพได้ ฉนั ใดกฉ็ ันนน้ั วิธีละอุปาทาน วิธีละอุปาทานน้ันอยู่ท่ีการพิจารณาให้เห็นโทษ ของอปุ าทาน ไมว่ า่ กาม ทิฐิ สีลัพพตะ หรือ อตั ตวาทะ ล้วนแต่มีโทษ ท้ังส้ิน เม่ือพิจารณาเห็นโทษแล้วก็พยายามบรรเทาความยึดมั่นต่างๆ เหล่านั้นให้เบาบางลง ถ้ายังไม่อาจบรรเทาได้ ก็ให้พิจารณาเห็นโทษ เนอื งๆ มองใหด้ ีจะเห็น เพราะความทุกขอ์ ันปรากฏชัดเจนอยู่กับใจน้ัน กเ็ พราะมีอุปาทาน ใหเ้ ห็นทกุ ข์อันเกิดจากอุปาทาน ก็ชอ่ื ว่าเห็นโทษของ อปุ าทาน ถา้ ยงั บรรเทาไมไ่ ดก้ ใ็ หอ้ บรมสมาธแิ ละปญั ญาใหม้ กี ำ�ลงั แรงกลา้ ข้ึน เพราะเมื่อเห็นโทษแล้วยงั ตดั ไม่ได้กแ็ สดงวา่ กำ�ลงั ใจยงั ไม่พอ กำ�ลัง ปญั ญายงั ไมพ่ อ เหมอื นคนทเ่ี หน็ การผกู มดั รดั รงึ วา่ เปน็ โทษทพ่ี งึ สลดั ออก AWText-KarmSuk-new.indd 120 8/25/13 10:24 AM

121 อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ แลว้ แต่ยังตดั ไม่ขาด ทั้งๆ ทม่ี ดี กอ็ ยใู่ นมือ แสดงว่ากำ�ลังแขนยังไมพ่ อ ตอ้ งบำ�รงุ กำ�ลงั แขนใหแ้ ขง็ แรงขน้ึ และลบั มดี ใหค้ มขน้ึ อกี ยอ่ มจะตอ้ งตดั ได้ขาดเมื่อกำ�ลงั เพียงพอ การปล่อยอุปาทาน เหมือนการปลงภาระอันหนักลงเสียได้ ย่อมมีความสุขความโปร่งใจ เบาใจ เหมือนคนแบกภาระหนัก มานานเมอ่ื ปลงเสยี ได้ ไมย่ ดึ ภาระอนื่ ไวก้ ย็ อ่ มเบาสบาย ปลอดโปรง่ ฉันใดกฉ็ นั นน้ั บุคคลอุ้มส่ิงใดไว้ย่อมหนักเพราะส่ิงนั้น กายที่อุ้มภาระใดไว้ เช่น แม่อุ้มเด็กย่อมหนักเพราะภาระน้ัน ย่ิงอุ้มนานและเดินทางไกล กย็ ง่ิ หนกั และเหนด็ เหนอื่ ยมากขน้ึ ฉนั ใด ใจทอ่ี มุ้ เอากเิ ลสไว้ อมุ้ เอาอปุ าทาน ไวก้ ย็ อ่ มหนกั ฉนั นน้ั แมป้ ากจะบน่ วา่ ไมไ่ หวแลว้ แตก่ ย็ งั อมุ้ ไว้ สงิ่ ทอี่ มุ้ ไว้ นน่ั ยงั เปน็ สงั ขาร มปี จั จยั ปรงุ มคี วามทรดุ โทรมครำ�่ ครา่ เปน็ ธรรมดาเขา้ อกี ผอู้ ุ้มเอาไวจ้ งึ ต้องแก้ไขปรับปรงุ ยุง่ เหยิงอยูเ่ นอื งนิตย์ เพียงขนั ธ์ ๕ หรอื AWText-KarmSuk-new.indd 121 8/25/13 10:24 AM

122 ค ว า ม สุ ข จ า ก ค ว า ม ไ ม่ เ ห็ น แ ก่ ตั ว กายใจของตนเพียงคนเดียวก็หนักแสนหนักอยู่แล้ว ยังอุ้มเอาส่ิงอื่น ภายนอกตนไวอ้ ีกด้วย อุปาทานอนั มั่นคงว่า “เรา” และ “ของเรา” ลอง คิดดูเถดิ ว่าจะต้องหนักสักเพียงใด ชีวิตที่ไม่มีอุปาทาน จึงเป็นชีวิตท่ีปลอดโปร่งสบาย ปล่อยส่ิง ทงั้ หลายใหเ้ ป็นไปตามเหตปุ จั จยั (ยถาปจฺจยํ ปวตฺตนฺต)ิ เขา้ ไปเกย่ี วขอ้ ง กบั ส่งิ ต่างๆ ดว้ ยร้เู ทา่ ทนั ดว้ ยปญั ญาอันชอบ มใิ ชเ่ ขา้ ไปเก่ียวขอ้ งอยา่ ง มืดบอด ซงึ่ จะกอ่ โทษให้นานัปการ๑ ๑ เรือ่ งอปุ าทานนี้ได้ใช้เปน็ แนวในการแสดงปาฐกถาท่ีตึกสรรี วทิ ยาแกน่ ายแพทย์และพยาบาล โรงพยาบาลศิรริ าช เมื่อวันท่ี ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๒๑ AWText-KarmSuk-new.indd 122 8/25/13 10:24 AM

123 AWText-KarmSuk-new.indd 123 8/25/13 10:24 AM

124 ป ร ะ วั ติ ผู้ เ ขี ย น ชาตภิ มู ิ อ. วศิน อินทสระ เกิดวนั จันทรท์ ี่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ที่ หมบู่ ้านท่าศาลา อำ�เภอรตั ตภมู ิ จงั หวัดสงขลา เมื่อจำ�ความได้ พอ่ แม่ได้ยา้ ยไปอยทู่ ี่ หม่บู า้ นตากแดด ตำ�บลปากรอ อำ�เภอเมือง จังหวัดสงขลา การบรรพชา บวชเปน็ สามเณรเมอ่ื อายุ ๑๓ ปี ทว่ี ดั บปุ ผาราม อปุ สมบท เขตธนบรุ ี กรงุ เทพฯ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๐ อปุ สมบทเปน็ ภกิ ษุ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๗ ลาสกิ ขาเมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ การศกึ ษา • มัธยม ๘ (สมคั รสอบ) นกั ธรรมเอก เปรยี ญ ๗ (ป.ธ. ๗) ศาสนศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย AWText-KarmSuk-new.indd 124 8/25/13 10:24 AM

125 • ศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาปรัชญา จากมหาวทิ ยาลยั บานารัส ประเทศอนิ เดีย • ปริญญาดุษฎีบณั ฑติ กติ ติมศักด์ิ สาขาพุทธศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหามกฏุ ฯ หน้าทีก่ ารงาน สอนวชิ าศลี ธรรม • ท่ีโรงเรยี นราชนิ ี • ท่ีโรงเรยี นพณชิ ยการสลี ม (ดำ�รงตำ�แหนง่ อาจารยผ์ ปู้ กครอง) • ท่ีโรงเรยี นเตรยี มทหาร และดำ�รงตำ�แหนง่ หวั หนา้ แผนกสารบญั มยี ศเปน็ รอ้ ยโท สอนวชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท-มหายาน ทม่ี หาวทิ ยาลยั รามคำ�แหง ประมาณ ๑๒ ปี ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๒๑ ถงึ พ.ศ. ๒๕๓๓ สอนวชิ าพทุ ธศาสนาในประเทศไทยและวชิ าจรยิ ศาสตร์ ทม่ี หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตรป์ ระมาณ ๑๐ ปี ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ ถงึ พ.ศ. ๒๕๔๓ AWText-KarmSuk-new.indd 125 8/25/13 10:24 AM

126 สอนเกย่ี วกบั ศาสนาและปรชั ญา ทม่ี หาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ฯ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ ถงึ พ.ศ. ๒๕๕๒ เปน็ ระยะเวลา ๔๖ ปเี ตม็ สอนพเิ ศษวนั อาทติ ยเ์ กย่ี วกบั ความรทู้ างพระพทุ ธศาสนา แกป่ ระชาชนทว่ั ไป ทม่ี หาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ฯ (วดั บวรนเิ วศวหิ าร) ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๕๓ เปน็ ระยะเวลา ๒๘ ปเี ตม็ บรรยายพเิ ศษ บรรยายธรรมในทต่ี า่ งๆ ตามท่ีไดร้ บั เชญิ โดยออกเปน็ รายการสดบา้ ง ใชเ้ ทปบา้ ง ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๕๐ เปน็ ระยะเวลา ๑๑ ปเี ตม็ การประพนั ธ์ เขยี นหนงั สอื ประเภทตา่ ง ๆ เชน่ นวนยิ ายองิ หลกั ธรรม อธบิ าย หลกั ธรรม ฯลฯ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ มาจนถงึ ปจั จบุ นั มผี ลงาน ประมาณ ๒๐๐ กวา่ ชอ่ื เรอ่ื ง บางชอ่ื เรอ่ื งกม็ หี ลายเลม่ เชน่ ทางแหง่ ความดี เปน็ ตน้ AWText-KarmSuk-new.indd 126 8/25/13 10:24 AM

127 งานนติ ยสาร เป็นบรรณาธิการนิตยสารธรรมจกั ษุ ของมูลนธิ มิ หามกฏุ - ราชวิทยาลัย ตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ถงึ พ.ศ. ๒๕๓๙ เปน็ บรรณาธกิ ารนติ ยสารศภุ มติ ร ของมลู นธิ สิ ง่ เสรมิ กจิ การ- ศาสนาและมนษุ ยธรรม (กศม.) ของวดั มกฏุ กษตั รยิ าราม ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๔ ถงึ พ.ศ. ๒๕๕๑ รางวัลพเิ ศษ • ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ไดร้ บั โลร่ างวลั ชมเชย ประเภทสารคดี จากคณะกรรมการจดั งานสปั ดาหห์ นงั สอื แหง่ ชาติ จากหนงั สอื เรอ่ื ง “จรยิ าบถ” และในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จากหนงั สอื เรอ่ื ง “จรยิ ศาสตร”์ • ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ไดร้ บั รางวลั พระราชทานเสาเสมาธรรมจกั ร ในฐานะ “ผบู้ ำ�เพญ็ คณุ ประโยชนแ์ กพ่ ระพทุ ธศาสนา ประเภท วรรณกรรม” เนอ่ื งในโอกาสสมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี • ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ไดร้ บั เกยี รตคิ ณุ บตั รรางวลั ชมเชย ประเภทสรา้ งสรรคด์ า้ นศาสนา จากกระทรวงศกึ ษาธกิ าร จากบทความเรอ่ื ง “หลกั กรรมกบั การพง่ึ ตนเอง” AWText-KarmSuk-new.indd 127 8/25/13 10:24 AM

128 • ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ไดร้ บั โลพ่ ทุ ธคณุ ปู การ ระดบั กาญจนเกยี รตคิ ณุ พรอ้ มเกยี รตบิ ตั ร ในฐานะ “ผบู้ ำ�เพญ็ คณุ ประโยชนแ์ กพ่ ระพทุ ธศาสนา” จากคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ กระทรวงวฒั นธรรม • ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ไดร้ บั รางวลั “ปชู นยี บคุ คล ดา้ นภาษาไทย” เนอ่ื งในวนั ภาษาไทยแหง่ ชาติ ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จากกระทรวงวฒั นธรรม เรอ่ื ง พระอานนท์ พทุ ธอนชุ า หนงั สอื เรอ่ื ง พระอานนท์ พทุ ธอนชุ า นอกจากจะไดร้ บั ความนยิ ม อย่างแพร่หลายในสังคมไทยแล้ว สารานุกรมวรรณกรรมโลก ในศตวรรษท่ี ๒๐ (Encyclopedia of World Literature in the 20th Century) ไดน้ ำ�เรอ่ื ง พระอานนท์ พทุ ธอนชุ า ไปสดดุ ี ไว้ในหนงั สอื ดังกล่าวน้นั เปน็ ทำ�นองว่า ได้ชท้ี างออกให้แก่สงั คม ไทยทส่ี บั สนวนุ่ วายอยดู่ ว้ ยปญั หานานปั การ AWText-KarmSuk-new.indd 128 8/25/13 10:24 AM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook