Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Pawanamaichairuengyak

Pawanamaichairuengyak

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-21 06:45:11

Description: Pawanamaichairuengyak

Search

Read the Text Version

Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ �นเป็ นธรรมทาน

หนังสือเล่มนี้เกิดจากการถอดความธรรม  บรรยายที่ผมได้บรรยายไว้ท่ีโรงพยาบาลสมุทร-  ปราการ ในคราวทช่ี มรมกลั ยาณธรรมไดจ้ ดั กจิ กรรม  การสนทนาธรรมขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม  ๒๕๕๗ เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น. เนอื้ หาของหนงั สอื เลม่ นไ้ี ดก้ ลา่ วถงึ  การศกึ ษา  บทเรียน ๓ บทหรือไตรสิกขาโดยย่อ ซ่ึงผู้ภาวนา  หากได้ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว ก็จะค้นพบได้ด้วย  ตัวเองว่า การภาวนาไมใ่ ช่เรื่องยาก

บุญกุศลใดที่เกิดข้ึนจากธรรมบรรยายนี้  ขอน้อมถวายเป็นอาจาริยบูชาแด่พระอาจารย์  ปราโมทย์ ปาโมชฺโช พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ให้ชีวิต  ทางธรรม ขออนโุ มทนากบั ทนั ตแพทยห์ ญงิ อจั ฉรา กลน่ิ -  สุวรรณ์ (คุณหมอจุ๋ม) และทีมงานชมรมกัลยาณ-  ธรรมทกุ ทา่ นทไ่ี ดจ้ ดั ทำ� หนงั สอื เลม่ นข้ี นึ้ มา หวงั วา่   หนังสือเล่มนี้จะเป็นก�ำลังใจให้กับเพ่ือนผู้สนใจ  ในธรรมทุกท่านในการที่จะมุ่งม่ันภาวนาจนท�ำให้  เกดิ มรรคเกิดผลข้ันใดขนั้ หนึง่ ให้ได้ในชวี ิตน้ี ประสาน พทุ ธกุลสมศิริ ๔ มถิ ุนายน ๒๕๕๙

ธรรมะเป็นเรื่องของชีวิต แยกจากกันไม่ได ้ หากเราหมน่ั เรยี นรกู้ ายใจและพจิ ารณาถงึ เหตถุ งึ ผล  ของส่ิงต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจ�ำวัน ท่ีเราต้องประสบ รู้จักมองย้อนกลับมาท่ีกายใจ  ของเรา ก็จะได้เห็นสัจธรรมอะไรมากมาย เรียก  ได้วา่  ชีวิตจรงิ นเี้ องเปน็ สนามฝกึ ปญั ญา ยิ่งในเพศ  ฆราวาสแล้ว ชีวิตยุคปัจจุบันนี้ นับว่าเต็มไปด้วย  เทคโนโลยีที่อ�ำนวยความสะดวกให้ก่อกิเลสสิ่งเร้า

ล่อใจให้ลุ่มหลงและตกต่�ำ หากไม่มีหลักทางใจ  อันมีสติเป็นประธานแล้ว จิตใจก็จะว้าวุ่นสับสน  รวบรวมก�ำลังได้ยาก โอกาสท่ีดีๆ เป็นเรื่องท่ีต้อง  ทวนกระแสใจอยา่ งยง่ิ นับเป็นบุญของพวกเราท่ียังมีครูบาอาจารย์  ผู้เมตตาถ่ายทอดธรรมอันน�ำไปสู่ความพ้นทุกข์  อย่างสิ้นเชิง เมื่อเราได้หลักแล้ว น�ำมาทดสอบ  และทดลองด้วยกายใจตน พากเพียรหมั่นรู้หม่ันด ู วันหน่งึ ก็จะพบคำ� ตอบและทางพ้นทุกข ์ นอกจากนี ้ เรายังมีเพ่ือนกัลยาณมิตรผู้ได้พิสูจน์ความจริง  เหล่านี้แจ่มแจ้งไปตามล�ำดับแล้ว คอยเดินน�ำอยู ่ ข้างหน้า เห็นหลังอยู่ไวๆ ท้ังยังเป็นก�ำลังใจท ี่ ใกล้ชิดด้วยความเป็นฆราวาส ก็มีอยู่หลายท่าน  ซ่ึงคุณประสาน พุทธกุลสมศิริ ก็เป็นหน่ึงใน  กัลยาณมิตรผมู้ คี วามกรุณาย่งิ น้นั

ชมรมกลั ยาณธรรมรว่ มกบั โรงพยาบาลสมทุ ร-  ปราการไดจ้ ดั โครงการอบรมธรรม และไดร้ บั ความ  กรุณาจากคุณประสานมาร่วมสนทนาธรรม ใน  วันอาทิตย์ท่ี ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ช่วงคร่ึงวันบ่าย  นบั เปน็ ชว่ งเวลาทม่ี คี ณุ คา่ สาระประโยชนแ์ หง่ ธรรม  แท้จริง ทั้งได้สัมผัสกับมิตรภาพอันอบอุ่นของผู้มี  ธรรมในดวงจติ  เปย่ี มดว้ ยความเมตตาปรารถนาดี  ง่ายๆ สบายๆ ที่พวกเราทุกคนประทับใจ คุณค่า  ของเน้ือธรรมในวันน้ันได้จัดท�ำเป็นหนังสือเล่มน้ี  นอกจากวิดิทัศน์การสนทนาธรรมซึ่งได้ท�ำเสร็จ  กอ่ นนานแลว้ บุญกุศลใดอันบังเกิดจากงานธรรมทานน้ี  ขอนอบน้อมบูชาอาจริยคุณแด่หลวงพ่อปราโมทย ์ ปาโมชโฺ ช พระผรู้  ู้ ครบู าอาจารยผ์ เู้ ปย่ี มดว้ ยเมตตา  ท่ีได้มอบแสงสว่างทางชีวิตให้สาธุชนจ�ำนวนมาก 

และขอกราบขอบพระคุณ คุณประสาน พุทธกุล-  สมศิริ ในความกรุณาและมิตรไมตรี และหวังว่า  ทา่ นผอู้ า่ นจะไดร้ บั ประโยชนจ์ ากหนงั สอื  “ภาวนา... ไมใ่ ช่เรือ่ งยาก” โดยท่วั กนั ด้วยความขอบพระคณุ และปรารถนาดีอยา่ งยิ่ง ทพญ. อจั ฉรา กลน่ิ สวุ รรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม ๘ มิถนุ ายน ๒๕๕๙

การภาวนาดูเหมือนยาก ทจี่ รงิ ยากสำ�หรับผ้ทู ี่ไม่รู้ ยากส�ำ หรบั ท่านที่ไมเ่ คยฟงั  ไมร่ ู้ทาง สำ�หรับคนท่รี ทู้ าง เขา้ ใจแล้วว่า วธิ ีปฏิบตั ิทำ�อยา่ งไร ก็ไม่ยากแลว้   เพราะพอรทู้ างแลว้   เราแค่มีหนา้ ที่เดินทาง

10

สวสั ดคี รบั  ทำ� ไมดเู ครยี ดจงั  ธรรมไมไ่ ดเ้ ครยี ด  แบบน้ี ที่จริงการภาวนาไม่ยากและไม่ใช่เรื่องท่ีน่า  เคร่งเครียด นักภาวนาก็เป็นคนธรรมดา ท�ำใจให้  สบายเวลามานง่ั ฟงั ธรรม ไมบ่ งั คบั ตวั เอง ใจสบาย  แลว้ มีความสุข  ผมจะพูดถึงหลักของการปฏิบัติ คนท่ีไม่เคย  ฟังเลย กฟ็ ังไปเลน่ ๆ การภาวนาไม่ใช่เรื่องยาก วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ของศาสนาพทุ ธมเี รอ่ื งเดยี ว  เท่าน้ัน คือ ท�ำอย่างไรเราจะไม่ทุกข์ เป้าหมาย  สูงสุด คือท�ำอย่างไรจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฟังดู  แลว้ อาจจะเหลอื เชอื่  ฟงั ดแู ลว้ อาจจะรสู้ กึ วา่ ในยคุ น ้ี 11

สมัยนี้ มรรคผลนิพพานเป็นสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ สมัย  ท่ผี มยังเดก็  ผมก็เคยคิดอยา่ งน้ีเหมือนกนั ผมเคยอา่ นพทุ ธประวัติ แล้วพบว่าเวลาที่พระ  พุทธเจ้าสอนธรรมะ ท่านสอนเพียงไม่ก่ีประโยค  แลว้ กม็ คี นจำ� นวนมากเขา้ ใจธรรมะ บางทา่ นบรรล ุ เปน็ พระสกทิ าคาม ี บางทา่ นบรรลเุ ปน็ พระอนาคาม ี บางท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ ตอนนั้นรู้สึก  นอ้ ยเนอ้ื ตำ�่ ใจวา่ ทำ� ไมเราเกดิ มาผดิ ยคุ  มคี วามรสู้ กึ   ว่าถ้าเราเกดิ ในยุคนนั้  ได้ฟงั ธรรมจากพระพทุ ธเจา้   สักไม่ก่ีประโยคก็คงจะได้มรรคได้ผลกับเขาบ้าง  ต่อมาพอได้เรียนธรรมมากเข้า ก็พบว่ามรรคผล  นพิ พานในยคุ นกี้ ย็ งั เปน็ สง่ิ ทเี่ ปน็ ไปไดส้ �ำหรบั ทกุ คน  คอื ทา่ นสอนไวว้ า่  “ตราบใดทย่ี งั มผี เู้ จรญิ สตปิ ฏั ฐาน  โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์” เพราะฉะนั้น ถ้า  พวกเราทุกคนในท่ีนี้เจริญสติปัฏฐาน พวกเราก็ม ี 12

โอกาสทจี่ ะบรรลมุ รรคผลนพิ พานกบั เขาบา้ งเหมอื น กนั มรรค ผล นพิ พาน มจี รงิ นะ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งหลอก  เดก็  ธรรมะทที่ า่ นสอนก็ไมไ่ ด้ยากเกนิ ไป ไม่ไดย้ าก  เกนิ กวา่ ทม่ี นษุ ยธ์ รรมดาๆ อยา่ งพวกเราจะสามารถ  ปฏิบัติ แล้วท�ำมรรคผลนิพพานให้แจ้งได้ พระ  ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์น้ี ท่านบอกไว้ว่า  จะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ตอนน้ีท่ีจริงก็เพิ่งผ่านมาแค ่ คร่ึงเดียวเอง เพราะฉะน้นั ยังมโี อกาส การภาวนาดเู หมอื นยาก ทจี่ รงิ ยากสำ� หรบั ผทู้ ่ ี ไม่รู้ ยากส�ำหรับท่านที่ไม่เคยฟัง ไม่รู้ทาง ส�ำหรับ  คนที่รู้ทาง เข้าใจแล้วว่า วิธีปฏิบัติท�ำอย่างไร ก ็ ไมย่ ากแลว้  เพราะพอรทู้ างแลว้  เราแคม่ หี นา้ ทเ่ี ดนิ   ทาง 13

ในเบ้ืองต้น วันน้ีจะพูดเรื่องเราจะเดินทางไป  อยา่ งไรกอ่ น พระพทุ ธเจา้ สอนวา่  สงิ่ ทเี่ ราตอ้ งศกึ ษา  มี ๓ อย่าง ๓ หัวข้อเท่านัน้ เอง หนึ่งคือ ศีลสกิ ขา  สองคอื  จติ ตสกิ ขา และสามคอื  ปญั ญาสกิ ขา เมอ่ื ใด  กต็ ามทเ่ี ราศกึ ษาทงั้  ๓ เรอ่ื งนแ้ี จง้ แลว้  ไมอ่ ยากได ้ มรรคผลกไ็ ด้เอง  สิกขา แปลว่า เรียน ศีลสิกขา คือการเรียน  เร่ืองศีล เรียนว่าท�ำอย่างไร เราจึงจะมีศีล ท�ำ  อย่างไรผู้ท่ีต้องการจะมีศีลจึงจะมีศีล ท�ำอย่างไร  ศีลที่มีอยู่แล้วจะงอกงามไพบูลย์มากข้ึน ส่วนจิตต-  สกิ ขาเปน็ การเรยี นเรอ่ื งจติ  เรยี นจติ ตสกิ ขาแลว้ เรา  จะเข้าใจว่า การท�ำสมาธิท�ำอย่างไร จิตแบบไหน  จึงจะเป็นจิตท่ีเป็นกุศล แบบไหนเป็นจิตอกุศล จิต  แบบไหนมลี กั ษณะทคี่ คู่ วรกบั การท�ำสมถกรรมฐาน  จิตแบบไหนคู่ควรกับการใช้เพ่ือการเจริญวิปัสสนา  14

กรรมฐาน เม่ือเราเรียนจิตตสิกขาจนเข้าใจแล้ว  ลำ� ดบั ตอ่ ไปคอื เรยี นเรอ่ื งปญั ญาสกิ ขา ปญั ญาสกิ ขา  คือ การเรียนเพื่อให้จิตเข้าใจความเป็นไปของ  รูปนามกายใจ เข้าใจความเป็นจริงของรูปนาม  กายใจวา่  รูปนามกายใจนเี้ ปน็ ไตรลกั ษณ ์ เป็นสงิ่ ที่  เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นส่ิงท่ีบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อ  เขา้ ใจแจม่ แจ้งแลว้  ก็จะได้ธรรมะเปน็ ลำ� ดับๆ ไป 15

ศี ล สิ ก ข า ศีล คืออะไร ท�ำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีศีล ศีล  อยู่ที่การเจตนางดเว้น เจตนาท่ีจะละบาป อกุศล  ละการท�ำความชั่วท้ังปวง ๕ ประการ คนที่ไม่ม ี เจตนาทจี่ ะงดเวน้  ถงึ แมว้ า่ เราจะไมไ่ ดท้ �ำ ทา่ นบอก  วา่  เราไมถ่ อื วา่ คนเหลา่ นน้ั เปน็ ผมู้ ศี ลี  เชน่  เราเหน็   กระเป๋าเงินของผู้อื่นตกอยู่ เราไม่หยิบเพราะมีคน  16

อยู่เยอะ อย่างน้ีเราไม่เรียกว่ามีศีล หรือคนอายุ  ๙๐ ท�ำผิดศีลข้อ ๓ ไม่ไหวแล้ว ท�ำไม่ได้เพราะ  ร่างกายสังขารไม่อ�ำนวยให้ ถ้าไม่มีเจตนางดเว้น  ทา่ นไมเ่ รยี กวา่ เปน็ ผมู้ ศี ลี  เพราะฉะนนั้  เราตอ้ งแยก  ใหด้  ี ศลี อยทู่ เี่ จตนางดเวน้ การทำ� บาปอกศุ ลทง้ั ปวง  ๕ ประการ ในเบื้องต้น ท่านสอนให้ทุกคนมีเจตนารักษา  ศีล คือมีความข่มใจ เม่ือมีเจตนารักษา บางครั้ง  เราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ท่ีได้รับการเร้า กิเลส  ปรุงขึ้นมา บางคร้ังสู้ไม่ไหว เราต้องท�ำอย่างไร  เราต้องข่มใจ เรามีศีลเป็นกรอบ ศีลแบบนี้เป็น  ศีลเชิงจริยธรรม เป็นศีลที่ถ้าพวกเราทุกคนต้ังใจ  รักษา เราเองจะมีความสุข ผู้คนรอบข้างจะมี  ความสขุ  ประเทศกจ็ ะร่มเย็น ในเบ้ืองตน้ ทา่ นสอน  ใหข้ ่มใจก่อน 17

ต่อมา มีศีลท่ีประณีตยิ่งขึ้น คือเราต้องเจริญ  สติ ให้มีสติรู้เท่าทันกิเลสท่ีเกิดขึ้นในใจ เม่ือกิเลส  ถูกปรุงขึ้นมาแล้ว มีสติ รู้เท่าทันกิเลส กิเลสย่อม  ไม่ย้อมจิต เมื่อน้ันเราจะไม่ท�ำผิดศีล เพราะฉะนั้น  การรักษาศีลมี ๒ แบบ คือ แบบแรกต้องบังคับ  ตวั เองกอ่ น ขม่ ใจกอ่ น แบบท ่ี ๒ คอื  มสี ต ิ รเู้ ทา่ ทนั   กิเลส ศีลมีไว้สู้กับกิเลสหยาบ ศีลมีประโยชน์มาก  คนในสมัยนี้คิดว่าการรักษาศีลเป็นเรื่องของคนโง ่ งมงาย คนจ�ำนวนมากเช่ือว่าผิดศีลเล็กๆ น้อยๆ  ไมเ่ ปน็ ไร แตถ่ า้ เราภาวนาไปสกั ระยะหนง่ึ  เราจะ  พบวา่ ศลี เลก็ ๆ นอ้ ยๆ กส็ �ำคญั  เวลาทเ่ี ราลว่ งศลี   จิตใจที่เคยสงบเย็น ก็จะไม่สงบเย็น จิตที่เคยมี  สมาธิ กจ็ ะฟงุ้ ซ่าน 18

ท�ำไมศีลเป็นเร่ืองส�ำคัญ ถ้าเราปรารถนาจะ  ได้มรรคผลนิพพานแล้ว มีความจ�ำเป็นอย่างย่ิง  ทจ่ี ะตอ้ งเปน็ ผมู้ ศี ลี  เพราะในอรยิ มรรคมอี งค ์ ๘ มี  สมั มาวาจา และ สมั มากมั มนั ตะ สมั มาวาจา คอื การ  ไม่พูดเท็จ การไม่พูดค�ำหยาบ การไม่พูดส่อเสียด  การไม่พูดเพ้อเจ้อ ส่วนสัมมากัมมันตะ คือศีล ๓  ข้อแรก คือการไม่เบียดเบียนประทุษร้ายชีวิตสัตว ์ การไม่ฉกฉวย ไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนมาเป็นของ  ตน การไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม  ในอรยิ มรรคมอี งค ์ ๘ ยงั ม ี สมั มาอาชวี ะ ซง่ึ   ท่านกจ็ ัดไวใ้ นหมวดของศีลด้วย  สัมมาอาชีวะ แปลว่า การเลี้ยงชีพชอบ คือ  การประกอบอาชีพท่ีไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน เช่น การ  ไมเ่ ลย้ี งสตั วเ์ พอ่ื ฆา่  ไมค่ า้ อาวธุ  ไมค่ า้ ยาพษิ  เปน็ ตน้ 19

จะเหน็ วา่ ในอรยิ มรรคมอี งค ์ ๘ มเี รอ่ื งเกย่ี วกบั   ศีลถึง ๓ ข้อ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้มรรคผล  นพิ พาน อยา่ งไรก็ต้องรกั ษาศลี นอกจากน้ี การรักษาศีลยังท�ำให้คุณธรรม  ในจติ ใจเพมิ่ ขนึ้ เปน็ ลำ� ดบั  เมอื่ ใดกต็ ามทเี่ รามเี จตนา  รกั ษาศลี ขอ้ ท ี่ ๑ คอื ไมเ่ บยี ดเบยี นสตั วอ์ นื่  ไมป่ ระทษุ -  ร้าย ไม่เบียดเบียนใคร เราจะได้คุณธรรมข้อหนึ่ง  คือเมตตา เราจะมีเมตตามากข้ึน และถ้าเราไม่ลัก  ขโมย ไม่ถือวิสาสะเอาสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของ  ตน นานเข้า เราก็จะเร่ิมเป็นผู้ท่ีเสียสละให้ผู้อ่ืนได ้ เราจะมีจาคะ เมอื่ ใดกต็ ามทเ่ี รามเี จตนารกั ษาศลี ขอ้  ๓ อยา่ ง  เครง่ ครดั  เราจะไดค้ วามสำ� รวมในกาม หากเราตงั้ ใจ  รกั ษาศลี ขอ้  ๔ เราจะได้สจั จะบารม ี สว่ นศลี ขอ้  ๕  20

นน้ั  เปน็ เรอื่ งของการไมเ่ บยี ดเบยี นตนเอง คอื  ไมด่ ม่ื   สุรา ไม่เสพส่ิงเสพติดหรือของมึนเมา ที่จะท�ำให ้ สัมปชัญญะเราเสียไป เวลาผิดศีลข้อ ๕ เราจะม ี โอกาสผิดศีลขอ้ อนื่ ๆ ได้งา่ ยข้นึ นอกจากน้ี ศีลเป็นบาทฐานของสมาธิ ผู้ท ่ี ภาวนาแต่มีศีลไม่บริสุทธ์ิ จิตจะฟุ้งซ่านง่าย จิตท่ ี เคยมีพลัง พลังจะตกไป เม่ือเราหัดภาวนาไปสัก  ระยะหนง่ึ  เราจะเรม่ิ มปี ระสบการณเ์ อง วนั หนง่ึ เรา  จะคอ่ ยๆ เชอ่ื  ทงั้ หมดนดี้ เู หมอื นเปน็ เรอ่ื งพนื้ ๆ กจ็ รงิ   แต่เป็นเร่ืองที่ต้องเรียน ต้องเข้าใจ ชาวพุทธต้อง  รู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไรบ้าง เราจึงจะเรียก  ตวั เองวา่ เปน็ อบุ าสก อบุ าสกิ าได ้ ถา้ เราไมร่ วู้ า่ พทุ ธ-  ศาสนาสอนอะไร เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นอุบาสก  อุบาสิกาไดอ้ ยา่ งไร  21

อุบาสก อุบาสิกา แปลว่า ผู้อยู่ใกล้พระรัตน-  ตรยั  ถา้ เราไมร่ วู้ า่ พทุ ธศาสนาสอนอะไร จะเรยี กวา่   เราเป็นผู้อยู่ใกล้พระรัตนตรัยไม่ได้ น่ีเป็นบทเรียน  ข้อท่ ี ๑ คอื  ศลี สิกขา 22

จิ ต ต สิ ก ข า จิตตสิกขา คือ บทเรียนท่ีเรียนแล้วเราจะ  เข้าใจว่า จิตแบบไหนเป็นจิตกุศล จิตแบบไหนเป็น  จิตอกุศล จิตแบบไหนคู่ควรกับการเจริญปัญญา  จิตแบบไหนคู่ควรกับการเจริญสมถกรรมฐาน คน  จำ� นวนมากทภ่ี าวนาแลว้ ไปไมไ่ ด ้ สว่ นใหญพ่ ลาด  อยู่ท่ีข้อ ๒ น้ี คือใช้จิตที่ไม่คู่ควรกับการเจริญ  ปญั ญาไปเจรญิ ปญั ญา เชน่  ใชจ้ ติ ทต่ี ดิ อยใู่ นสมาธิ  บางอย่าง หรือจิตที่ไม่เป็นอิสระ ไปดูรูปนาม  กายใจ 23

จิตที่คู่ควรกับการเจริญปัญญา มีลักษณะโล่ง  โปรง่  เบา คลอ่ งแคลว่  วอ่ งไว นมุ่ นวล ปราดเปรยี ว  ควรแก่การงาน รู้อารมณ์อย่างซ่ือๆ ส่วนจิตท่ีไม่  คคู่ วรกบั การเจรญิ ปญั ญา จะมลี กั ษณะหนกั ๆ หรอื   แนน่ ๆ หรอื แขง็ ๆ หรอื ซมึ ๆ หรอื ทอื่ ๆ เวลาภาวนา  เราจะต้องคอยสังเกตใจตัวเองว่า มีลักษณะแบบ  ไหนด้วย จิตท่ีคู่ควรกับการเจริญปัญญาต้องมีครบทุก  องค์ประกอบ โล่ง โปร่ง เบา คล่องแคล่ว ว่องไว  น่มุ นวล ปราดเปรียว ควรแก่การงาน 24

ส่วนจิตที่ไม่คู่ควรกับการเจริญปัญญาน้ัน ม ี แค่ตัวเดียวก็ไม่คู่ควรแล้ว เช่นหนักๆ อย่างเดียวก็  ไมค่ คู่ วรแลว้  หรอื แนน่ ๆ หรอื แขง็ ๆ หรอื ซมึ ๆ หรอื   ท่อื ๆ พวกเราหลายคนในท่ีนี้เร่ิมภาวนาแล้ว ก็ต้อง  เรม่ิ สำ� รวจตวั เองว่า ท่ีพวกเราเจรญิ ปญั ญามา เรา  เอาจิตแบบไหนไปดู เราเอาจิตท่ีหนัก แน่น แข็ง  ซึม ทื่อ หรือเอาจิตที่โล่ง โปร่ง เบา คล่องแคล่ว  วอ่ งไว นมุ่ นวล ปราดเปรยี ว ควรแกก่ ารงาน ไปดู ในจิตตสิกขา ท่านพูดเรื่องสมาธิ ๒ แบบ ใน  สมถกรรมฐาน มีสมาธิท่ีถูกต้องอยู่ ๒ แบบ แบบ  ท่ี ๑ เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน คือ มีจิตหน่ึง  อารมณห์ นงึ่  อยดู่ ว้ ยกนั  ผลของการทำ� สมาธแิ บบน้ ี คือ ความสุข ความสงบ ความดี ส่วนสมาธิอีก  25

แบบหนึ่งเป็นสมาธิที่รู้ลักษณะ เรียกว่า ลักขณู-  ปนิชฌาน - ลักขณู แปลว่า ลักษณะ เป็นสมาธิ  ที่เหมาะส�ำหรับการเจริญปัญญา เป็นสมาธิที่เห็น  ลักษณะของสภาวธรรมต่างๆ คือ มีจิตหนึ่ง ม ี อารมณ์หลากหลาย เคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลง ถ้า  เราจะภาวนาเอามรรคผลนิพพาน เราต้องท�ำ  สมาธิแบบท่ี ๒ คือ ลักขณูปณิชฌาน ให้ได้ คือ  ท�ำสมาธิท่ีรู้ลักษณะ ไม่ใช่ท�ำสมาธิท่ีให้จิตสงบ  แนบแน่นกับอารมณ์ ลักขณูปนิชฌาน จ�ำเป็น  ส�ำหรับคนที่ภาวนาเพื่อหวังความพ้นทุกข์ หวัง  ม ร ร ค ผ ล นิ พ พ า น   ส ่ ว น อ า รั ม ม ณู ป นิ ช ฌ า น มี  ประโยชน์ แต่ไม่ถึงกับจ�ำเป็นมาก ท�ำได้ก็ดี ถ้า  ทำ� ได ้ ใจจะไดพ้ ัก ไดส้ งบร่มเย็นเป็นชว่ งๆ 26

จิตทค่ี คู่ วรกบั การเจริญปญั ญา  คือจติ ที่มีสมาธนิ ่นั เอง เป็นสมาธิทีร่ ูเ้ นื้อรู้ตวั ไมห่ ลงไปตลอดเวลา ไมเ่ พง่ ไว้ ไมบ่ งั คบั  ไม่กดข่ม 27

ลั ก ข ณู ป นิ ช ฌ า น ท�ำอ ย ่ า ง ไ ร ท่ีจริงท�ำได้ง่ายมากเลย คือใจไม่ต้องสงบ ไม ่ ต้องแนบแน่น ไม่ต้องน่ิง ให้ท�ำกรรมฐานอย่าง  หนึ่ง ง่ายๆ รู้ลมหายใจก็ได้ สวดมนต์ก็ได้ ใช้ค�ำ  บริกรรมก็ได้ พุทโธก็ได้ พุทโธไปสบายๆ พุทโธไป  ด้วยเจตนาเอาพุทโธเป็นแค่เคร่ืองหมาย เป็นจุด  28

สังเกต ท่องพุทโธในใจไปสบายๆ ง่ายๆ แบบท่อง  สูตรคูณ ไม่ได้ท่องแบบเอาเป็นเอาตายเพ่ือให้ใจ  สงบนะ ทอ่ งสบายๆ พทุ โธไปเรอ่ื ยๆ เวลาเราพทุ โธ  คอื เราคดิ พทุ โธนนั่ เอง ใจไมข่ มวด ไมบ่ งั คบั  ไมต่ อ้ ง  สงบ ขณะทจี่ ติ คดิ พทุ โธ ขณะนนั้ จติ จะไมไ่ ดค้ ดิ เรอ่ื ง  อนื่  แตพ่ อคดิ พทุ โธไปสกั ชว่ งหนง่ึ  จติ ทม่ี ธี รรมชาต ิ ต้องคิด ก็จะแอบไปคิดเร่ืองอ่ืน เราก็ไม่บังคับ เรา  แค่รู้ทัน เช่น พุทโธไปสัก ๓ ค�ำ ๕ ค�ำ จิตแอบไป  คิดถงึ เรื่องงาน เราก็ไม่ว่ามัน เราก็เริ่มพุทโธใหม่  ที่น้�ำหนักเท่าเดิม หลักก็คือ ท�ำกรรมฐานหน่งึ แลว้   ดูจิตที่เคล่ือนไปเรื่อย ดูจิตที่หลงไปคิด ท�ำกรรม-  ฐานเพอ่ื ใหพ้ ุทโธเปน็ แค่เครื่องหมาย  ถ้าเข้าใจหลัก เราจะพบว่า ส่ิงท่ีใช้เป็น  เคร่ืองหมาย เปน็ อะไรกไ็ ด ้ จะเปน็ พทุ โธกไ็ ด ้ เปน็   ลมหายใจก็ได้ เป็นการเคลื่อนไหวของกายก็ได้  29

เป็นบทสวดมนต์ก็ได้ ค�ำที่ใช้บริกรรมไม่ใช่พุทโธ  กไ็ ด ้ เปน็  เปบ๊ ซ ี่ โคล่า ก็ยังได้ คือจริงๆ เป็นอะไร  กไ็ ด ้ ถา้ เรารวู้ า่ เราทำ� อะไรเพอ่ื อะไร รวู้ ตั ถปุ ระสงค ์ ของค�ำบริกรรมว่าท�ำเพ่ืออะไร เพราะฉะนั้นเรา  ท�ำกรรมฐานหน่ึง ดูจิตทีเ่ คล่ือนไป  บรกิ รรมไป ปลอ่ ยใหใ้ จเคลอ่ื น ใจเคลอื่ น...รู้ บรกิ รรมใหม ่ ใจเคล่อื น..ร ู้ บรกิ รรมใหม่  ทุกคร้ังที่เห็นจิตที่เคล่ือนจะได้สมาธิชั่วขณะ  ทา่ นเรยี กวา่  ขณกิ สมาธ ิ สมาธนิ เี้ ปน็ สมาธทิ เี่ กดิ ขน้ึ   สนั้ ๆ วธิ กี ารทำ� สมาธแิ บบนเ้ี หมาะกบั พวกเราทกุ คน  ในทนี่  ี้ เพราะพวกเราทกุ คนในทน่ี ท้ี ำ� ฌานไมไ่ ด ้ ทำ�   สมาธิลึกไม่ได้ คนยุคน้ีมีผัสสะท่ีรุนแรงและเปล่ียน  ตลอดเวลา คือเรามีสิ่งท่ีมากวนใจ มาท�ำให้ใจ  30

ฟงุ้ ซา่ นเนอื งๆ แปบ๊ เดยี วไลนเ์ รากข็ น้ึ  เดยี๋ วโทรศพั ท์  มา เดย๋ี ว sms มา คอื เรามกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารตลอด  เวลา เพราะฉะนนั้  ใจจะฟงุ้ ซา่ น ซดั สา่ ยตลอดเวลา  ทำ� สมาธมิ ากไมไ่ ด ้ เพราะฉะนน้ั เราจะตงั้ ใจท�ำสมาธิ  ก่อน แล้วค่อยเจริญปัญญาเหมือนพ่อแม่ครูบา-  อาจารยท์ เี่ ราไดย้ นิ ไดฟ้ งั มาในอดตี วา่  ตอ้ งทำ� ฌาน  ท�ำจิตให้สงบแนบแน่น จนถึงฌานท่ี ๒ มีเอโกทิ-  ภาวะ มีจิตตั้งม่ันแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู แล้วเอา  จิตนั้นไปเรียนรู้รูปนามกายใจ ยุคเราหาคนท�ำ  อย่างนั้นได้น้อยมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงเน้นว่า  คนยุคเราเหมาะกับการท�ำสมาธิท่ีเรียกว่า ขณิก-  สมาธิ คือ มีสมาธิที่เกิดจากการรู้ทันจิตที่เคลื่อน  และตง้ั ม่ันทีละขณะๆ ที่จริง ขณิกสมาธิ ก็ไม่ใช่ของใหม่ ในสมัย  พทุ ธกาล พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกส็ อน พระพทุ ธเจา้ เคย  31

สอนเรอื่ งนกี้ บั พระเจา้ อชาตศิ ตั รใู นสามญั ญผลสตู ร  พระเจา้ อชาตศิ ตั รเู ปน็ กษตั รยิ ต์ อ้ งปกครองบา้ นเมอื ง  มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ไม่มีเวลาท�ำสมาธ ิ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกส็ อนเรอื่ งน ี้ สอนใหม้ สี ตริ เู้ ทา่ ทนั   นวิ รณ ์ มสี ตริ เู้ ทา่ ทนั จติ ทฟ่ี งุ้ ซา่ น เมอ่ื ใดกต็ ามทมี่ สี ติ  รู้เท่าทันจติ ที่ฟงุ้ ซา่ น จิตจะมคี วามตั้งม่ันช่ัวขณะ เพราะฉะน้ัน ของเราก็เหมือนกัน เราเหมาะ  กบั สมาธแิ บบน ี้ เหมาะกบั สมาธทิ ก่ี ษตั รยิ ใ์ นอดตี เคย  ใช้ ไม่ใช่ว่าเป็นกษัตริย์หรือไม่เป็นกษัตริย์หรอกนะ  แตห่ มายถงึ ผมู้ ปี ญั ญาตา่ งหาก มปี ญั ญาคอื คดิ เยอะ  กษตั ริย์กค็ ดิ เยอะ สมาธแิ บบน้จี งึ เหมาะกับพวกเรา  ฝึกไปเร่ือยๆ จิตจะมีความตั้งมัน่ เป็นผรู้ ู้ผู้ดูเนอื งๆ จิตตสิกขา นอกจากจะฝึกดูจิตท่ีเคล่ือนแล้ว  ท่านให้คอยดูความรู้สึกของตัวเองเร่ือยๆ เมื่อหัด  32

ตามรตู้ ามดคู วามรสู้ กึ ของตวั เองเรอ่ื ยๆ แลว้  เราจะ  พบและเข้าใจว่าจิตแบบไหนเป็นจิตที่เป็นอกุศล  จิตแบบไหนเป็นจิตที่เป็นกุศล นานๆ เข้า เราก็จะ  พบวา่ เมอ่ื เรากระทบผสั สะ ถา้ เจอสงิ่ ทชี่ อบใจ จติ จะ  ปรุงราคะ ถ้าเจอสิ่งท่ีไม่ชอบใจ จิตจะปรุงโทสะ  แล้วก็หัดตามรู้ตามดูความรู้สึกตัวเองไปเร่ือยๆ  นานเขา้ ๆ ความรู้ความเข้าใจเรือ่ งจิตก็จะมากขนึ้ ถามว่าจิตตสิกขาแบบนี้เป็นจิตตสิกขาแบบท่ ี เหมาะสำ� หรบั นกั ดจู ติ อยา่ งเดยี วหรอื เปลา่  คำ� ตอบ  คือไม่ใช่ นักดูกายก็ต้องเรียนจิตตสิกขา ไม่เช่นนั้น  เราจะเอาจติ ทไ่ี มค่ คู่ วรกบั การเจรญิ ปญั ญาไปดกู าย  เอาจติ ท่หี นกั ๆ แน่นๆ แขง็  ซมึ  ทอ่ื  ไปดกู าย เพราะฉะนั้น บทเรียนจิตตสิกขาเป็นบทเรียน  ส�ำหรับทุกคน ไม่ว่าเราจะดูกาย ดูเวทนา ดูจิต  33

หรอื ดธู รรม กต็ อ้ งมจี ติ ทค่ี คู่ วรกบั การเจรญิ ปญั ญา  ไปใชด้ กู าย เวทนา จติ  ธรรม เม่ือเราได้จิตท่ีคู่ควรกับการเจริญปัญญาแล้ว  เรากท็ ำ� ปญั ญาสกิ ขา จติ ทคี่ คู่ วรกบั การเจรญิ ปญั ญา  คอื จติ ทม่ี สี มาธนิ น่ั เอง เปน็ สมาธทิ รี่ เู้ นอ้ื รตู้ วั  ไมห่ ลง  ไปตลอดเวลา ไมเ่ พง่ ไว ้ ไมบ่ งั คบั  ไมก่ ดขม่  คำ� สอนน ี้ เปน็ คำ� สอนทใ่ี ชค้ รงั้ แรกในคราวทพี่ ระพทุ ธเจา้ สอน  ปญั จวคั คยี  ์ ในธมั มจกั กปั ปวตั นสตู ร ชว่ งแรกทส่ี อน  ทา่ นสอน ๒ เรอื่ ง คอื  สอนวา่ ความสดุ โตง่  ๒ อยา่ ง  ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือการเอาใจหลงไปในกาม  อนั หนึง่  กับการบงั คบั ใจไวอ้ นั หนึ่ง ถา้ ไมส่ ุดโต่งไป  ๒ ดา้ น เราจะไดจ้ ติ ทคี่ คู่ วรกบั การเจรญิ ปญั ญาเอง  ซึง่ ก็คือ “จิตท่เี ขา้ สู่ทางสายกลาง” 34

จติ ทเ่ี ขา้ สทู่ างสายกลาง คอื  จติ ทไี่ มล่ มุ่ หลงไป  กบั รปู  รส กลน่ิ  เสยี ง สมั ผสั  และเรอ่ื งราวทค่ี ดิ นกึ   มคี วามรเู้ นอื้ รตู้ วั  มสี ต ิ ในขณะเดยี วกนั กไ็ มไ่ ดก้ ดขม่   บังคับความรู้สึกของตัวเองไว้ ใจสบาย มีความสุข  เห็นสภาวะตา่ งๆ เคล่อื นไหวเปลย่ี นแปลง 35

ป ั ญ ญ า สิ ก ข า ทีน้ีพอเราได้จิตตสิกขาแล้ว ข้ันตอนต่อไปก ็ คือเร่ืองปัญญาสิกขา เป็นบทเรียนท่ีให้เราศึกษา  ตัวทุกข์ พระพุทธศาสนามีวัตถุประสงค์เพ่ือความ  พน้ ทกุ ขส์ นิ้ เชงิ  ทา่ นสอนวา่ อะไรคอื ตวั ทกุ ข ์ ตวั ทกุ ข ์ ไม่ใช่ความรู้สึกทุกข์ ไม่ใช่ทุกขเวทนา ทุกข์ ในที่น้ี  คอื รปู นาม/กายใจ ทกุ ข ์ ในทน่ี ไี้ มใ่ ชเ่ กดิ แกเ่ จบ็ ตาย  เป็นทุกข์ ทุกข์ในที่น้ีไม่ใช่แค่เจอส่ิงท่ีไม่รัก พลัด  พรากจากสิ่งท่ีรัก สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่อาการ  ปรากฏอยา่ งหนึง่ ของทกุ ข์ 36

ทจี่ รงิ  ทา่ นสอนวา่ ตวั ทกุ ขแ์ ทๆ้  คอื กายกบั ใจ  เรานี่แหละ กายกับใจเราเป็นท่ีตั้งของความทุกข์  ตัวมันก็เป็นตัวทุกข์ด้วย เวลาฟัง เราจะนึกไม่ออก  ว่ามันทุกข์ยังไง ใจมันทุกข์ยังไง เราจะมีความรู้  ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั เรอื่ งทกุ ขม์ ากขน้ึ เรอ่ื ยๆ เมอ่ื เรา  ภาวนามากข้ึน ในเบื้องต้น ความรู้ความเข้าใจท่ีเกิดขึ้นจาก  การเจรญิ ปญั ญา จะเปน็ ความรคู้ วามเขา้ ใจในเรอื่ ง  “รูปน้ี” กบั  “ใจนี้” วา่ เป็นคนละส่ิงกัน ภาวนาไปสกั ระยะหนง่ึ  จติ จะเรมิ่ รตู้ น่ื  เมอื่ จติ   เดนิ ถกู ตอ้ งแลว้  จะรสู้ กึ วา่ กายกบั จติ เปน็ คนละตวั กนั   จิตเป็นส่ิงหนึ่ง กายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เม่ือภาวนาไป  อีกสักระยะหนึ่ง ธาตุขันธ์จะกระจายมากข้ึนไปอีก  เราจะพบวา่ ในสว่ นทเี่ ปน็ นามธรรม มเี วทนา สญั ญา  37

สังขาร วิญญาณ ทั้ง ๔ กองน้ี ก็ต่างคนต่างท�ำ  หน้าที่ ท่ีจริงนามธรรมทั้งหมดนี้มันแยกกันอยู ่ แลว้  เพราะความไม่รู้ มนุษย์เราทั้งหมด เอาทั้ง  ๕ กองนี้มารวมกันเป็นตัวเรา และหมายลงไป  ด้วยความสำ� คญั ผิดวา่ ตวั เรามอี ยู่ การศึกษาเรื่องปัญญาสิกขา ล�ำดับแรกเลย  เราศึกษาเพ่ือให้เห็นรูปนาม/กายใจ แยกกัน เม่ือ  เห็นรูปนาม/กายใจแยกกันแล้ว เราจะหัดแยกขันธ ์ มากขึ้นไปอีก แยกนามธรรมออกไป เป็นเวทนา  สญั ญา สังขาร วิญญาณ เมื่อขันธ์แยกแล้ว เราก็คอยดูขันธ์นี้ท�ำงาน  อยา่ งเปน็ อสิ ระ เราจะพบวา่ ขนั ธ ์ ๕ ทง้ั ปวง ตา่ งคน  ต่างท�ำงานอย่างเป็นอิสระ ไม่มีความเกี่ยวข้องซ่ึง  กันและกัน และทุกตัวล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ คือ  38

ทุกตัวขึ้นอยู่กับกฎของไตรลักษณ์ทั้งส้ิน คือทนอยู่  ไม่ได้จริง ถูกบีบคั้นให้เปล่ียนไปเสมอ มีความเป็น อนิจจัง คือเกิดข้ึนช่ัวคราวแล้วก็ดับไป เกิด-ดับ  เกิด-ดับ อยู่อย่างน้ีตลอดเวลา นี่ก็คืออนิจจัง ม ี ความบงั คบั บญั ชาไมไ่ ด ้ สง่ั ไมไ่ ดจ้ รงิ  ยดึ ถอื เปน็ เรา  ไม่ได้จริง ท�ำงานด้วยตัวมันเอง นี่คืออนัตตา เม่ือ  เราเห็นรูปนาม/กายใจนี้ท�ำงานอย่างเป็นอิสระ  แสดงไตรลักษณ์อยู่เนืองๆ เราจะค่อยเข้าใจความ  เป็นจริงของมันมากขึ้นๆ เม่ือมีความรู้ความเข้าใจ  ในเรื่องน้ีมากพอ ใจจะเร่ิมปล่อยวางจางคลาย ม ี ความสงบร่มเย็นมากขึ้น เม่ือบุญบารมีถึง จะเร่ิม  ได้ธรรมะเปน็ ขั้นๆ ตอ่ ไป พวกเราทกุ คนตอ้ งตงั้ เปา้ วา่  ชาตนิ อี้ ยา่ งต�่ำขอ  ใหไ้ ดธ้ รรมขั้นท ่ี ๑ 39

ธรรมขั้นท่ี ๑ ก็เป็นพระโสดาบัน พระโสดา-  บันไม่ได้ยากเกินกว่าที่พวกเราทุกคนจะไปได้ถึง  พวกเราทุกคนต้องตั้งเป้าว่า ชาติน้ีอย่างต่�ำขอให ้ ไดธ้ รรมขัน้ ที่ ๑ ท�ำไม เพราะไม่ใช่จะมีธรรมอุบัติอยู่ในโลก  ตลอดเวลา ธรรมแท้ๆ เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ช่วงสั้นๆ  ส้ันมาก นานมากกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าพระองค ์ หน่ึง ธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสอนอยู่  แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อหมดช่วงระยะเวลานั้น  ธรรมกจ็ ะอันตรธานไปจากโลก พวกเราทกุ คนเกดิ ในชว่ งทธ่ี รรมแทๆ้  ยงั ดำ� รง  อยู่ มีโอกาสได้ฟังธรรม มีโอกาสได้รู้แผนท่ี รู้แล้ว  ว่าจะเดินยังไง ถ้าไม่เดิน ก็ไม่ฉลาด เพราะฉะน้ัน  ตอ้ งตง้ั เปา้ วา่ จะเปน็ พระโสดาบนั ใหไ้ ด ้ มนั ไมย่ ากเลย 40

พระโสดาบันเห็นอะไร พระโสดาบันเห็น  แคว่ า่ สง่ิ ใดเกดิ  สงิ่ นน้ั ดบั ไปเปน็ ธรรมดา แตเ่ หน็   ดว้ ยใจ ไมไ่ ด้คิดเอา เหน็ ดว้ ยใจ เหน็ อยา่ งไร  เรากภ็ าวนาไป คอยดสู ภาวะ  ดูไปเรือ่ ยๆ เราจะเหน็ ว่า ความสขุ เกิดข้ึน ความสขุ ดบั ไป  ความทุกขเ์ กิดข้ึน ความทุกข์ดับไป  โลภเกดิ ข้ึน โลภดบั ไป  อิจฉาเกดิ ขนึ้  อจิ ฉาดับไป  กุศลธรรมทั้งปวงเกิดขึ้น  กศุ ลธรรมทงั้ ปวงก็ดับไป  ธรรมทป่ี ระณตี เกดิ ขนึ้  ธรรมทปี่ ระณตี ดบั ไป  ธรรมทหี่ ยาบเกดิ ขน้ึ  ธรรมทหี่ ยาบนน้ั กด็ บั ไป  41

ดูไปเร่ือยๆ ในท่ีสุดใจมันจนแต้มจนได้ เห็น  ไปเรื่อย ใจมันจะศิโรราบกับความเป็นจริง ถ้าบุญ  บารมเี รามากพอ เรากจ็ ะไดม้ รรคไดผ้ ล พระโสดาบันไม่ได้ละกิเลสอะไรมาก พระ  โสดาบันยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง พระโสดาบันละ  อะไร ละสักกายทิฐิ คือ เห็นจริงแล้วว่าตัวเราไม่ม ี เห็นกายน้ีไม่ใช่ใจ ใจไม่ใช่กาย เห็นว่าไม่มีเราอยู ่ ในกายน ี้ ไมม่ เี ราอยใู่ นใจน ้ี ไมม่ เี ราอยใู่ นรปู  เวทนา  สัญญา สังขาร วิญญาณ เห็นว่าขันธ์ ๕ ต่างคน  ต่างท�ำงาน เห็นว่าขันธ์ ๕ ต่างท�ำงานไปตามเหตุ  ไม่มีอะไรท่ีเป็นเรา เราท�ำอะไรไม่ได้จริง สั่งไม่ได ้ จรงิ  บงั คบั บญั ชาไมไ่ ดจ้ รงิ  ดไู ปเรอื่ ยๆ ใจกย็ อมรบั   ความจรงิ  กล็ ะสกั กายทฐิ ไิ ป คอื  ละความเหน็ ผดิ วา่   ตวั เรามอี ยู่ 42

เม่ือได้ธรรมข้ันที่ ๑ แล้ว เราละอะไรได้อีก  เราละสลี พั พตปรามาส คือ ละการถือศีล บ�ำเพ็ญ  พรตแบบงมงาย คอื  ละการปฏบิ ตั ทิ ง่ี มงาย วา่ ตอ้ ง  ท�ำอย่างนั้น ต้องท�ำอย่างนี้จึงจะได้ธรรมะ ท�ำไม  ถึงละได้ ละได้เพราะเข้าใจแล้ว รู้แล้วว่าเราเดิน  มาแบบน้ี ท�ำมาถึงตรงน้ี เราเข้าใจแล้ว และ  พระโสดาบันละวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยใน  พระรัตนตรัย ละความลังเลสงสัยในพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ ์ เพราะวา่ ภาวนามาจนถงึ ตรงนี้  แล้ว เข้าใจแล้วว่าธรรมมีจริง จิตเปล่ียนได้จาก  ปุถุชนเป็นอริยชน เป็นพระอริยะได้ มันรู้ประจักษ์  แก่ใจ คราวน้ีใครมาพูดว่า “ไม่ใช่” ยังไงก็ไม่เชื่อ  เพราะเป็นสิ่งท่ีเจอแล้ว เข้าใจแล้ว ประจักษ์แจ้ง  แก่ใจตนแล้ว และพระโสดาบันมีศีล ๕ บริสุทธ์ิ  เพราะต้งั ใจรกั ษาศลี  ๕ 43

มแี คน่ เี้ อง หนทางทจี่ ะท�ำใหเ้ ปน็ พระโสดาบนั   ไมย่ ากหรอก เราตอ้ งตงั้ เปา้  ตอ้ งเปน็ พระโสดาบนั   จงึ จะปลอดภยั  พระโสดาบนั ปลอดภยั จากอบาย คอื   ตายไปแล้ว มีการันตีว่าจะไม่ตกอบาย จะไม่กลาย  เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก อสุรกาย คือมี  ความปลอดภยั โดยการเกดิ  แตผ่ ลของกรรมทง้ั ปวง  ท่ที ำ� แล้วยงั อยู่ ยังต้องรับผลของกรรมนั้น พระโสดาบนั จะมคี วามอนุ่ ใจ มคี วามมนั่ ใจใน  ชวี ติ วา่  ชวี ติ ตอ่ ไปในเบอื้ งหนา้  ไมว่ า่ ในปจั จบุ นั จะ  มที กุ ขเ์ ท่าใด อนาคตจะดียิ่งๆ ข้ึนไป เพราะพระ  โสดาบันจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะจบ จะพ้น  จะท�ำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งเป้า  นะ ทกุ คนในทนี่ ตี้ อ้ งตง้ั เปา้ นะ ตงั้ เปา้ วา่ ชาตนิ ต้ี อ้ ง  เปน็ พระโสดาบนั ใหไ้ ด ้ ไมไ่ ดย้ ากหรอก ทำ� ไมไมย่ าก  มันยากเวลาทีเ่ ราไม่รู้วา่ เดนิ ยังไง ตอ้ งทำ� ยงั ไงบ้าง  44

ถ้ารู้แล้วว่าต้องท�ำยังไง ก็ไม่ยากแล้ว เราก็ท�ำไป  ทำ� ไป สบายๆ ไมไ่ ดห้ วงั วา่ เราจะตอ้ งไดม้ รรคไดผ้ ล  เย็นน้ี หรือพรุ่งนี้เช้า ท�ำไปเรื่อยๆ ท�ำไปอย่าง  มีความสขุ เม่ือรู้แผนที่แล้ว เราก็ออกเดิน เมื่อปฏิบัต ิ ธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะได้ธรรมเอง พอรู้ว่า  ทำ� ยังไง ทำ� เพ่ืออะไร หลงั จากน้ีเรากไ็ ปทำ� พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมไว้อีกชุดหนึ่งคือ  ธรรมท่จี ะทำ� ให้เราไม่เนิน่ ช้า ทา่ นสอนวา่ ให้เรามกั นอ้ ย  ให้เราสันโดษ  ให้เราไม่คลุกคลี  ให้เราปรารภความเพียร  ให้เราเจริญสต ิ เจริญสมาธ ิ เจริญปัญญา 45



ทำ� ทุกอยา่ งในท่นี ใ้ี หค้ รบ มนั ก็จะไม่เนิน่ ช้า ร ู้ แผนทแี่ ลว้  รแู้ ลว้ วา่ ทำ� อยา่ งไรถงึ ไมเ่ นนิ่ ชา้  เรากท็ ำ�   ตามนน้ั  แล้วจะไดธ้ รรมเอง วันน้เี อาแค่ทำ� อยา่ งไร  จึงจะเป็นพระโสดาบันก็พอแล้ว เด๋ียวเวลาเป็น  พระโสดาบันแล้วก็ค่อยไปเรียนกับหลวงพ่อต่อ ว่า  ต้องทำ� อย่างไรจึงจะเป็นพระสกิทาคามี  มใี ครจะถามอะไรไหมครับ ผู้ถาม ๑ : อยากให้ช่วยชี้ว่าจิตท่ีตั้งมั่นและ  เป็นกลาง มีลกั ษณะเป็นยังไง คณุ ประสาน : คอื จติ ทไี่ มไ่ หลไป และไมเ่ จตนา  ประคองไว้ ผถู้ าม ๑ : หมายถงึ ชใ้ี หด้ วู า่ มนั เปน็ ยงั ไงนะ่ คะ่ คุณประสาน : ท�ำยังไงถงึ จะท�ำให้เหน็ ได้ละ่ 47

ผถู้ าม ๑ : เพราะวา่ ไมแ่ นใ่ จวา่ ทท่ี ำ� อยนู่ ถ้ี กู ตอ้ ง  หรือเปลา่ คณุ ประสาน : ไหนลองบรกิ รรมซ ิ ลองบรกิ รรม  สบายๆ ท่องสูตรคูณก็ได ้ อยา่ งนี้ไม่ตง้ั มนั่ หรอก ผถู้ าม ๑ : ฟงุ้ ซา่ น แลว้ กเ็ กรง็  หลายๆ อยา่ ง  รวมๆ กัน คณุ ประสาน : จติ ตอนนกี้ ดตวั เองไวน้ ดิ ๆ บงั คบั   ตัวเองอยู่ ผู้ถาม ๑ : แล้วจติ ยงั ไงคะที่มนั ถูกตอ้ ง คณุ ประสาน : แหม มนั ชยี้ ากนะ ถา้ เราไมเ่ กดิ   สภาวะน้ัน จะไปชี้ได้ยังไง ไหนลองบริกรรมเรื่อยๆ  บริกรรมเล่นๆ ไม่ต้องมองผม ก็พอใช้ได้นะ คือ  ไมไ่ ดบ้ ังคบั ตวั เอง เห็นไหมว่าใจมนั เคลอื่ นไหว 48

ผ้ถู าม ๑ : ใช่ค่ะ รูส้ กึ คุณประสาน : ทำ� อยา่ งนั้นแหละ สงสยั อะไร ผู้ถาม ๑ : คือไม่ค่อยชินกับการบริกรรมค่ะ  ถ้าดูก็รู้สึกตัวไปเลย ยงั ง ้ี จะได้ไหมคะ คณุ ประสาน : ทจ่ี รงิ กไ็ ดเ้ หมอื นกนั  แตว่ า่ ถา้   เราไม่มีเคร่ืองอยู่ มันจะหลงนาน ทุกคนมีหน้าท่ ี ทำ� รปู แบบ ตอนเชา้ หรอื เยน็  ๑๕ นาท ี ๒๐ นาท ี ทำ�   ในรูปแบบ การท�ำในรูปแบบของเราน่ี เราจะ  ท�ำอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับว่า ขณะนั้นใจเราเป็นยังไง  ถ้าขณะน้ันใจฟุ้งซ่านมาก ดูอะไรไม่ได้ การท�ำใน  รูปแบบของเราควรจะท�ำสมถะ เพื่อจะท�ำให้ใจ  ฟงุ้ ซา่ นนอ้ ยลง เพราะถา้ ฟงุ้ มาก ดไู มไ่ ด ้ กท็ ำ� สมถะ  ใหใ้ จคอ่ ยรม่ เยน็ ลง ฟงุ้ นอ้ ยลง สงบระงบั ลงมา ถา้   ใจไมฟ่ งุ้ ซา่ นมาก การทำ� ในรปู แบบของเรา ทำ� ยงั ไง  ฝกึ เพอ่ื ทำ� ใหจ้ ติ ตง้ั มนั่  ทำ� กรรมฐานอนั หนง่ึ  บรกิ รรม  49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook