Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore patanachewitdouysamatiti.book_171

patanachewitdouysamatiti.book_171

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-07 07:41:38

Description: patanachewitdouysamatiti.book_171

Search

Read the Text Version

100 ปริยายเบ้ืองสูง ร่างกายจะมีปฏิกิรยิ าตอ่ ตา้ นเหมอื นกนั   แต่พอหลายครั้งเข้าเพราะ ความดอ้ื ของคนผชู้ อบของอยา่ งนนั้   ความเคยชนิ กเ็ กดิ ขน้ึ แกร่ า่ งกาย จึงไปกันได้  เมื่อขาดก็เรียกร้องหาเพราะได้ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น เสยี แล้ว ปกตภิ าพของจติ นนั้ สะอาดผอ่ งใส  ไมต่ อ้ งการความเศรา้ หมอง  ใด ๆ  ทงั้ สน้ิ   เพราะฉะนน้ั   เมอ่ื สงิ่ เศรา้ หมองมากระทบจติ   จติ จงึ มี อาการดนิ้ รน  มปี ฏกิ ริ ยิ าโตต้ อบ : ตอ้ งการคายสงิ่ เศรา้ หมองนนั้ ออก  แตเ่ มอ่ื สง่ิ เศรา้ หมองนนั้ มากระทบบอ่ ย ๆ  และจติ ไมม่ กี �ำลงั ใดมาชว่ ย ก�ำจดั สงิ่ เศรา้ หมอง  จติ จงึ ตกอยใู่ ตอ้ �ำนาจของสง่ิ เศรา้ หมองทเี่ รยี กวา่   “กเิ ลส”  เมอ่ื นานเขา้ กก็ ลายเปน็ ทาสของความเคยชนิ อนั นน้ั ไป  เชน่ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ความริษยาพยาบาท  พวกนี้ ล้วนเป็นสิ่งเศร้าหมองของจิต  เป็นของเสียที่เข้าสู่จิต  ท�ำให้จิต เสียปกติภาพไป  ส่วนคุณธรรมคือ  การให้อภัย  เมตตา กรุณา ความเสยี สละ  ความเหน็ แจง้ ตามความเปน็ จรงิ ในสง่ิ ทง้ั ปวง เหลา่ น้ี เปน็ ยาจติ   เปน็ เครอื่ งฟอกช�ำระลา้ งสง่ิ เศรา้ หมองของจติ เมอ่ื จติ ได้ เสพโอสถคอื ธรรมสมำ่� เสมอและไดค้ ณุ ภาพปรมิ าณพอทจ่ี ะก�ำจดั โรค คือกิเลสแล้ว  โอสถคือธรรมน้ันก็จะท�ำลายโรคคือกิเลสโดยสิ้นเชิง  ไมใ่ หห้ วนกลบั มารบกวนจติ อกี   จติ กจ็ ะด�ำรงอยอู่ ยา่ งสะอาดผอ่ งใส สงบ  และสวา่ งตามปกตภิ าพเดมิ ของตน รวมความว่า  ความพยาบาทน้ันเป็นส่ิงท่ีจิตไม่ต้องการ เพราะเป็นของเน่าเสียส�ำหรับจิต

101อ.วศิน อินทสระ เม่ือเห็นโทษของพยาบาทอย่างน้ีแล้ว  จึงด�ำริในความไม่ พยาบาทปองร้ายผใู้ ด ค.  คณุ ของความไมพ่ ยาบาท ได้กล่าวถึงโทษของความพยาบาทมาแล้วว่าน�ำความทุกข์ ความเดอื ดรอ้ นมาสตู่ นและสงั คมอยา่ งไร  เมอื่ ตา่ งคนตา่ งคดิ พยาบาท จองเวรกนั   ไมใ่ หอ้ ภยั ในความผดิ พลาดของกนั และกนั   เอาไฟพยาบาท ออกมาเผาลนกนั อย่ ู ตนกเ็ ดอื ดรอ้ น  คนอน่ื กเ็ ดอื ดรอ้ น  ญาตพิ นี่ อ้ ง ลูกเมียพ่อแม่เพื่อนฝูงพลอยเดือดร้อนกันไปหมด  ความร้อนเหล่า น้ันต่อเน่ืองถึงกัน  เสมือนเปลวไฟท่ีเริ่มต้นจากจุดเล็กจุดหน่ึงแล้ว เม่ือไม่อาจดับได้  มันก็ลุกลามแผ่เป็นบริเวณกว้างออกไปออกไป จนเมืองทั้งเมอื งชว่ งไปด้วยเปลวเพลิง  นี่ไฟภายนอก  ไฟพยาบาท อนั เปน็ ไฟภายในกเ็ หมอื นกนั   เมอ่ื ปลอ่ ยไวไ้ มด่ บั เสยี   กล็ กุ ลามเรอื่ ย ไป  เวรไมร่ ะงับด้วยการจองเวร  แต่ระงับด้วยการไมจ่ องเวร ผู้มีปัญญา  เห็นแจ้งดังนี้  จึงด�ำริในการไม่พยาบาท  คือ อยู่ด้วยการให้อภัย-ให้อภัยในชีวิต  ในทรัพย์สิน  และในความรู้สึก ของผอู้ น่ื   คอื ไมท่ �ำลายชวี ติ   ทรพั ยส์ นิ   และความรสู้ กึ ของเขา  การ  ใหอ้ ภยั เปน็ ทานอนั ยงิ่ ใหญอ่ ยา่ งหนง่ึ   ซงึ่ ทา่ นเรยี กวา่ อภยั ทาน  เปน็ ทางด�ำเนินของปราชญ์ผู้ย่ิงใหญ่  เช่น  พระพุทธเจ้า  พระอรหันต สาวกของพระพทุ ธเจ้า  พระเยซู  และมหาตมะคานธี  เป็นอาทิ

102 ปริยายเบ้ืองสูง คนทกุ ยคุ ทกุ สมยั   ยอมคกุ เขา่ ลงบชู าสกั การะผมู้ ใี จประเสรฐิ เช่นองค์พระพุทธเจ้าผู้มีพระทัยบริสุทธิ์  ไม่มีความพยาบาทปอง ร้ายผู้ใด  แม้ผู้นั้นจะเบียดเบียนพระองค์ปานใดก็ตาม  พระเทวทัต นางจญิ จมาณวกิ า  ชา้ งนาฬาคริ  ี คนแมน่ ธน ู พวกเดยี รถยี น์ คิ รนถ์ ทพี่ ยายามใสร่ า้ ยพระองคบ์ า้ ง  ความพยาบาทสกั นดิ หนง่ึ มไิ ดเ้ กดิ ขน้ึ ในพระทยั ของพระองค ์ ตรงกนั ขา้ มทรงหวงั ประโยชนแ์ กค่ นเหลา่ นน้ั ทรงแผพ่ ระเมตตาใหโ้ ดยสมำ่� เสมอกนั   ทรงหวงั ประโยชนแ์ กเ่ ขาเทา่ กบั ทท่ี รงหวงั ใหแ้ กพ่ ระราหลุ พทุ ธโอรส  พระองคท์ รงเปน็ นกั ศาสนาแท้ ถา้ ทรงเคยี ดแคน้ ปองรา้ ยตอบผปู้ องรา้ ย  พระองคช์ อื่ วา่ เดนิ ตามทาง ที่โลกียชนท้ังหลายเดินกันอยู่แล้ว  ใครจะเคารพกราบไหว้หรือเห็น พระคุณเป็นอัศจรรย์  ทรงไม่จองเวรปองร้ายด้วยพระองค์เองและ ทรงแนะน�ำพร่�ำสอนพุทธสาวกให้ด�ำเนินเช่นน้ันด้วย  เช่น ตรัสว่า  “ถ้ามโี จรใจเหย้ี มเอาเลื่อยมาเลอ่ื ยเธอทั้งหลายใหเ้ ปน็ ทอ่ นเลก็ ท่อน น้อย  ถ้าใจของพวกเธอยังคิดประทุษร้ายในโจรนั้นอยู่  ชื่อว่าไม่ได้ ปฏิบตั ิตามค�ำสอนของเราผู้เปน็ ศาสดา๑” นอกจากนี้  ยงั ตรสั สอนไวอ้ กี มาก  อาทิ “ผูโ้ กรธตอบ : ชือ่ วา่ เลวกวา่ ผู้โกรธทแี รก  ผู้ไมโ่ กรธตอบ ชอ่ื วา่ ชนะสงครามซง่ึ ชนะไดแ้ สนยาก  ผทู้ ร่ี วู้ า่ คนอน่ื เขาโกรธตนแลว้ ประพฤตติ นสงบเสงยี่ มอยไู่ ด ้ ชอื่ วา่ ไดป้ ระพฤตเิ ปน็ ประโยชนท์ ง้ั สองฝา่ ย  คอื ท้งั ฝ่ายตนและฝา่ ยผูอ้ นื่ ๒” ๑๒ นส ังัยยกุตกตจนปู ิกมาสยตู สรคมาถชั วฌรนิรคนกิ ๑า๕ย/๓ม๒ูล๕ปณั ณาสก์ ๑๒/๓๕๑

103อ.วศิน อินทสระ ในคมั ภรี ว์ สิ ทุ ธมิ รรค  ทา่ นแนะวธิ ปี ราบพยาบาทไวห้ ลายอยา่ ง ทา่ นผปู้ รารถนาความพสิ ดารโปรดดจู ากวสิ ทุ ธมิ รรคตอนพรหมวหิ าร  นิทเทสน้นั เถิด พระเยซ ู ศาสดาครสิ ตศ์ าสนา  ทรงสอนใหร้ กั ศตั รขู องทา่ น  มหาตมะคานธี  บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทางอหิงสาสอนให้ท�ำประโยชน์แก่ ผ้ปู องรา้ ย ท่านเหลา่ นีล้ ้วนมีพระทัยและใจสูง  มอบตนไวก้ ับอุดมคติ จนไมม่ เี วลามาคดิ ปองรา้ ยใคร  และความปองรา้ ยกไ็ มม่ โี อกาสเขา้ ไป มีบทบาทมอี ทิ ธพิ ลในใจของทา่ นเหล่านั้นดว้ ย กล่าวเฉพาะสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาน้ัน๓  “ทรงใช้ความรู้เป็นเครื่อง คมุ้ ครองพระองคใ์ หค้ งอยใู่ นความบรสิ ทุ ธท์ิ ง้ั ทางพระกาย  ทางพระ วาจาและทางพระมนสั ยงั่ ยนื ไมก่ ลบั กลาย  เปน็ ผมู้ พี ระอธั ยาศยั เบกิ บาน  ด้วยพระคุณสมบตั ิพื้นเดิมของพระองค์  ทรงมีพระอธั ยาศัยเผือ่ แผ่  มีพระมรรยาทอันงาม  มีพระมนัสไม่ติดในกามคุณ  ถึงเป็นเหตุ ห่วงใยไม่อาจจาก  มีพระปัญญาพอจะไม่หลงหมกมุ่นอยู่ในกามสุข มพี ระวริ ยิ ะพอจะกลา้ หาญบากบน่ั เพอื่ ส�ำเรจ็ ผลทที่ รงมงุ่ หมาย  มพี ระขนั ต ิ พอจะประคองพระวิริยะมิให้ถอยหลัง  ทรงรักษาสัตย์ม่ันคง  สามารถจะผกู ไมตร ี มพี ระอธั ยาศยั มน่ั คงในกจิ ทปี่ ลงพระมนสั จะท�ำ  ๓ ส มเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส : ธรรมคดี มหามกฎุ ราชวิทยาลยั ๒๕๑๔ บทพระพทุ ธคณุ อรห สมม าสมพทุ โธ หน้า ๕

104 ปริยายเบื้องสูง ไม่จืดจางเร็ว  มพี ระเมตตาพอจะพร่าสขุ ประโยชนข์ องพระองคเ์ พ่อื ผอู้ น่ื   ทรงรจู้ กั วางพระทยั เปน็ กลางไมใ่ หต้ กไปในฝา่ ยความยนิ ดหี รอื   ความยินร้าย  ความรู้ของพระองค์อบรมพระคุณเหล่าน้ีให้ไพบูลย์  พระองคจ์ งึ ทรงนอ้ มพระชนมข์ องพระองคเ์ พอ่ื ทรงบ�ำเพญ็ ประโยชนใ์ ห้ ส�ำเรจ็ แกส่ ตั วโ์ ลกดว้ ยอ�ำนาจพระเมตตาพระกรณุ า  มพี ระมนสั ปลอด โปร่ง  ไม่ติดอยู่ในลาภสักการะในถ่ินฐานหรือในบุคคล  อาจเสด็จ  ไปไหนไปได ้ มพี ระอธั ยาศยั มนั่ คงในอนั จะโปรดสตั ว ์ ทรงพระอตุ สาหะ อดทนในการเสด็จเท่ียวจาริกและส่ังสอน  กล้าหาญไม่พร่ันพรึงต่อ อนั ตรายอนั จะพงึ มแี ตเ่ วไนยผมู้ อี ธั ยาศยั ดรุ า้ ย  อดทนไดซ้ ง่ึ ค�ำหยาบ ชา้ ของคนเชน่ นน้ั   ทรงฉลาดรอู้ ธั ยาศยั ของเวไนยนกิ ร  และผอ่ นปรน  เทศนาให้ถูกเหมาะ  อนุโลมตามกาลเทศะและอุบัติเหตุ๑  มั่นในศีล ในธรรมอันจะน�ำให้เห็นเป็นตัวอย่าง  รักษาพระมนัสเป็นกลางไม่ ออ่ นแอด้วยอ�ำนาจความยินดียินร้าย  อันใคร ๆ  ไมส่ ามารถลอ่ หรือ ขใู่ หส้ มประสงค ์ ทรงประพฤตจิ รงิ เปน็ ทเี่ ชอ่ื ถอื ได ้ จงึ ไดค้ มุ คณะตดิ ความร้อู บรมพระคุณเหลา่ น้ี  ย่อมส่งพระองค์ใหเ้ ป็นผู้สมควรอย่าง สูงสุด  คนผู้ควรเป็นท่ีเคารพนับถือของเขา  อันเขาจะพึงไหว้และ อ่อนน้อม  ย่อมเป็นผู้มีพื้นมา  คือมีก�ำเนิดสูง  มีอายุมาก  หรือมี คุณธรรม  โดยท่ีสดุ สกั อย่างหนึ่ง...” ๑ เหตุการณท์ ่เี กิดข้นึ เฉพาะหนา้

105อ.วศิน อินทสระ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ  ตามท่ียกมาน ี้ ช้ีให้เห็นว่า  พระหฤทัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ันเป็น อย่างไร  นา่ เคารพกราบไหว้เพยี งใด ความด�ำร ิ หรอื ความคดิ ในการไมพ่ ยาบาท  ท�ำใจของตนให้ ผอ่ งใส  มคี วามสขุ อยดู่ ว้ ยเมตตาธรรม  จะสง่ บคุ คลผเู้ ชน่ นน้ั ใหข้ นึ้ สู่ แทน่ อภปิ ชู นยี บคุ คล  ครฐุ านยิ บคุ คลดงั พรรณนามาฉะน ้ี ความด�ำริ ในการไมพ่ ยาบาทจึงเป็นมรรคหนึง่ ไปสคู่ วามพ้นทุกข์ ๓.  ความด�ำริในการไมเ่ บียดเบียน  (อวิหงิ สาสงั กัปปะ) ก.  ความหมาย ความเบยี ดเบยี น  คอื การท�ำใหผ้ อู้ น่ื เดอื ดรอ้ นเพอ่ื ความสขุ   หรอื เพอื่ ประโยชนข์ องตน  มสี าเหตมุ าจากความโลภบา้ ง  ความโกรธบา้ ง  ความหลงบา้ ง  ตา่ งกบั พยาบาทตรงทว่ี า่   พยาบาทนนั้ เปน็ การผกู เวร  จองเวร  ผกู ใจเจบ็   กระท�ำตอบแกผ่ ทู้ ท่ี �ำตนกอ่ น  สว่ นความเบยี ดเบยี น  นน้ั อาจท�ำไดแ้ มแ้ กผ่ ทู้ ไี่ มเ่ คยท�ำอะไรใหต้ นเดอื ดรอ้ น เบยี ดเบยี นสตั ว์  เพอื่ ความสนกุ เพลดิ เพลนิ กม็  ี เชน่   ยงิ นก  ตกปลา เพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ   ของตน  เหน็ สนุ ขั เดนิ อยกู่ จ็ บั ฉวยกอ้ นดนิ กอ้ นหนิ   ขวา้ งปาดว้ ยความ คะนองมอื   เอาเชอื กผกู หางสนุ ขั แลว้ เอาไฟจดุ ทป่ี ลายเชอื กใหล้ ามไป ไหมห้ างมนั   ท�ำนองนเี้ รยี กวา่ เบยี ดเบยี นเพราะคะนองเพอื่ ความสนกุ เพลดิ เพลนิ ของตน  ไมค่ �ำนึงถึงความเดือดรอ้ นของสัตว์อ่นื

106 ปริยายเบื้องสูง พวกชนไก่  กดั ปลา  ดกั นกมาขายใหเ้ ขาปลอ่ ย  กจ็ ดั อยใู่ น พวกเบยี ดเบยี นเหมอื นกนั   บางคนเลย้ี งชพี ดว้ ยการลกั ขโมยปลน้ เขา  เม่ือเจ้าทรัพย์ขัดขวางเพราะหวงแหนตามวิสัยของปุถุชนก็ท�ำร้าย ร่างกายถึงชีวิตก็มี  บางคนใครขัดใจหน่อยก็พุ่งเข้าใช้ก�ำลังท�ำร้าย มองตากนั ชะตาไมก่ นิ กนั กต็ รี นั ฟนั แทงกนั   ยงิ กนั   อยา่ งนกี้ เ็ บยี ดเบยี น การไม่กระท�ำดังกล่าวมา  คือเว้นกระท�ำการเบียดเบียน  เรยี กว่าความไมเ่ บยี ดเบยี น (อวหิ งิ สา - Non-Violence) คณุ ธรรม ทปี่ ระคบั ประคอง  อดุ หนนุ ความไมเ่ บยี ดเบยี นคอื   ความกรณุ า  และ มทุ ติ า  กลา่ วคอื หวน่ั ใจในความทกุ ขข์ องผอู้ น่ื   สตั วอ์ นื่   ไมอ่ ยากเหน็ เขามีทุกข์  แต่พอใจ  พลอยยินดีในความสุข  ความสมปรารถนา ของผ้อู ่นื ข.  โทษของการเบยี ดเบียน โลภ  โกรธ  หลง  เปน็ อกศุ ลมลู   คอื ตน้ ตอหรอื ตน้ เหตแุ หง่ ความชวั่   บคุ คลยอ่ มเบยี ดเบยี นผอู้ น่ื เพราะมโี ลภ  หรอื โกรธ หรอื หลง  อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ อยใู่ นใจ  หรอื เพราะทง้ั   ๓  อยา่ งรวมกนั   เมอื่ คดิ   เบยี ดเบยี นเขา  ใจของตนกเ็ ศรา้ หมองเรา่ รอ้ น  เปน็ ทกุ ขป์ ระการหนง่ึ แลว้   เมอ่ื เขาทถี่ กู เบยี ดเบยี นท�ำตอบเอาบา้ ง  ตนกย็ อ่ มเดอื ดรอ้ นเหมอื นกนั   ลูกเมีย  ญาติพ่ีน้องก็พลอยเดือดร้อนกันอีก บางทีถึงกับรวมกลุ่ม เบยี ดเบียนกนั ทงั้ สองฝา่ ยตา่ งกเ็ ดือดรอ้ นเทา่  ๆ กนั

107อ.วศิน อินทสระ นอกจากเบียดเบียนผู้อ่ืนแล้ว  มนุษย์ยังมีการเบียดเบียน ตนเอง  ท�ำตนเองใหเ้ ดอื ดรอ้ นอกี ดว้ ย  เชน่   การตดิ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ  ท�ำลายสขุ ภาพอนามยั ของตน  ความจรงิ เรอ่ื งนไ้ี มเ่ พยี งแตเ่ บยี ดเบยี น ตนเองเทา่ นน้ั   ยงั ชอ่ื วา่ เบยี ดเบยี นพอ่ แมญ่ าตพิ นี่ อ้ งและเพอื่ นทร่ี กั อีกด้วย  เพราะท�ำให้คนเหล่านั้นพลอยเดือดร้อน  เฉพาะอย่างย่ิง พอ่ แมอ่ าจเดอื ดรอ้ นเพราะการตดิ ยาเสพตดิ ของลกู ยงิ่ กวา่ ตวั ผตู้ ดิ ยา  เสยี อกี ความวิตกกังวล  หมกมุ่นโดยไม่มีเหตุผล  คิดมากไปเอง เกรงนั่นเกรงนี่จนดูอะไร ๆ  มันร้ายไปหมด  จนต้องกลายเป็นคน หวาดผวา  ขาดความเช่ือมั่นในตนเอง  เป็นโรคประสาทพิการ  นี่ก็ เป็นการเบยี ดเบยี นตนเอง การมโี ลภ  โกรธ  หลง  รษิ ยา  พยาบาท  มจิ ฉาทฐิ  ิ แลว้ ไมร่ จู้ กั   ระงับให้บรรเทาเบาบาง  ปล่อยให้มันเผาลนอยู่ในจิตใจ  จนต้อง กระวนกระวายไมม่ อี นั เปน็ สขุ   อยา่ งนก้ี เ็ ปน็ การเบยี ดเบยี นเหมอื นกนั   การเบยี ดเบยี นตนเองกบั การเบยี ดเบยี นผอู้ น่ื นนั้   เมอื่ พจิ ารณาดว้ ย ดแี ลว้   จะเหน็ วา่ แยกกนั ไมอ่ อก  คอื อนั ใดเบยี ดเบยี นผอู้ นื่   อนั นน้ั ก็ เบียดเบียนตนเองไปด้วย  อันใดเบียดเบียนตนเอง อันน้ันเป็นการ เบยี ดเบยี นผอู้ น่ื ไปดว้ ย  มผี ลกระทบกระเทอื นถงึ กนั เหมอื นรา่ งกาย กบั ใจ  ในทางตรงกนั ขา้ ม  ฝา่ ยคณุ ธรรมอนั ใดเกอ้ื หนนุ ตนโดยธรรม  อันนนั้ เปน็ การช่วยเกอื้ หนุนผ้อู ืน่ ด้วย  อนั ใดเก้อื หนนุ ผู้อืน่ โดยธรรม  อันน้นั เป็นการเก้อื หนนุ ตนเองไปด้วย

108 ปริยายเบื้องสูง พดู อยา่ งสน้ั วา่   การสงเคราะหผ์ อู้ นื่ กเ็ ทา่ กบั สงเคราะหต์ นเอง  การเบียดเบียนผอู้ น่ื เทา่ กบั การเบียดเบยี นตนเอง ค.  คุณของความไม่เบียดเบยี น ความไม่เบียดเบียนคือความกรุณาน้ัน  มีคุณอันไพศาล ทั้งแก่ตนและแก่ผู้อ่ืน  ในส่วนตนท�ำให้เป็นผู้มีใจอ่อนโยน  เห็นซึ้ง  ลงไปในทกุ ขข์ องผอู้ น่ื   ความรสู้ กึ อนั นน้ั ยอ่ มฉายออกมาทางใบหนา้ แววตา  เปน็ เสนห่ ด์ งึ ดดู ใหผ้ อู้ นื่ มคี วามรกั ใคร ่ เคารพนบั ถอื   มคี วามสขุ ความปราโมชเมอ่ื ไดพ้ บไดเ้ หน็   เปน็ แบบฉบบั ทปี่ ระทบั ใจ  แมผ้ มู้ ใี จ กระดา้ ง  เมอื่ ไดส้ มั ผสั กบั ความกรณุ าของคนเชน่ นน้ั เขา้ กค็ ลายความ กระด้างลง  กลายเป็นผู้มีใจอ่อนโยนควรแก่การปลูกฝังคุณธรรม อืน่  ๆ  ลงไป ขอยกตัวอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระทัยอัน เปย่ี มดว้ ยพระกรณุ า  สามารถกลบั คนรา้ ยใหก้ ลายเปน็ ดเี สยี มากมาย ท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์  เช่น  อาฬวกยักษ์  พระเทวทัต  โจรองคุลิมาล เปน็ อาท ิ ใครได้เหน็ ได้เข้าใกลพ้ ระองค์ก็มีความเย็นใจ มหาตมะคานธี  ผูย้ ดึ หลกั อหิงสาเปน็ ทางด�ำเนิน  มีความ กรณุ าประจ�ำใจนนั้   ปรากฏวา่ เปน็ ผมู้ เี สนห่ ร์ นุ แรงมาก  ทง้ั  ๆ  ทรี่ ปู   ก็ไมง่ าม  เส้อื ผ้าอาภรณ์เครอ่ื งประดบั กายใด ๆ  ที่สวยงามก็ไม่มี

109อ.วศิน อินทสระ ทา่ นเนหร์  ู ผเู้ ปน็ ทงั้ ศษิ ยแ์ ละสหายของทา่ นคานธ ี ไดพ้ รรณนา  ให้เราทราบไวด้ งั นี้   “แมท้ า่ น  (มหาตมะคานธ)ี   จะมรี า่ งกายบอบบาง  แตจ่ ติ ใจ  ของทา่ นเปน็ เหลก็ กลา้ ไมร่ จู้ กั จ�ำนนตอ่ อ�ำนาจใด ๆ  ภายในเครอ่ื งแตง่ กาย  ผ้าเต่ียวพันรอบสะเอว  และเปลือยครึ่งท่อน  (บน)  ก็ยังคงไว้ซึ่ง บคุ ลกิ ลกั ษณะของความเปน็ เจา้ และเปน็ กษตั รยิ  ์ สามารถโนม้ นา้ วใจ คนท้ังหลายให้คล้อยตามค�ำส่ังอย่างเต็มอกเต็มใจ  แม้จะเป็นผู้ไม่ ถอื ยศถอื ศกั ด ์ิ แตเ่ ปน็ ผเู้ ปย่ี มดว้ ยปณธิ านอนั เดด็ เดยี่ ว บางคราวตอ้ ง เดนิ บทบาทอยา่ งมหาจกั รพรรด ิ แววตาสงบซงึ้   แตเ่ มอ่ื จอ้ งมองผู้ ใดแล้วก็ทะลุลึกเข้าไปในวิถีประสาท  เสียงกังวานแจ่มใสก้องอยู่ใน  หวั ใจของผฟู้ งั   แมผ้ ฟู้ งั จะมเี พยี งคนเดยี วหรอื พนั คนกจ็ ะตอ้ งหลงใหล เคลบิ เคลม้ิ ไปตามกระแสจติ ของทา่ น  ทา่ นสามารถมดั ใจคนดว้ ยถอ้ ยค�ำ  อนั นมุ่ นวล  อ�ำนาจอนั ยงิ่ ใหญข่ องทา่ นคอื การเอาชนะศตั ร ู หรอื อยา่ งนอ้ ย  ก็ใหศ้ ตั รูวางอาวธุ   ซง่ึ บางทกี ็กลับกลายเป็นมติ ร “อากปั กริ ิยาของทา่ นทุกอริ ยิ าบถ  ล้วนมคี วามหมายและ เป็นสง่า  ท่านไม่มีมรรยาทของคนต�่ำช้าแฝงอยู่เลยแม้เท่าปรมาณู หน่ึงซึ่งตามธรรมดามักจะมีอยู่ในพวกชนชั้นกลางเช่นเรา  เม่ือใดที่ ทา่ นมคี วามสงบทางใจ  ทา่ นจะสง่ กระแสความสขุ นนั้ ไปยงั ผอู้ น่ื ดว้ ย ทา่ นกา้ วไปในชวี ติ อนั เตม็ ไปดว้ ยความทรมาน  แตเ่ ปน็ กา้ วทม่ี นั่ คงไม่ หว่นั ไหวตอ่ อะไรเลย๑” ๑ จากเรื่อง เนห์รู หนา้ ๒๙๐ โดย เลียง ไชยกาล

110 ปริยายเบ้ืองสูง ไดก้ ลา่ วถงึ สมั มาสงั กปั ปะ  ความคดิ ชอบ  หรอื ความด�ำรชิ อบ มาพอสมควร  เปน็ แนวแหง่ ความเข้าใจอันถูกต้อง  และการปฏิบตั ิ ชอบในชวี ิตประจ�ำวนั   ตลอดถงึ การอบรมตนเองให้กา้ วขึ้นสู่มรรคา แหง่ ความหลดุ พน้ จากทกุ ขต์ า่ ง ๆ  ตง้ั แตอ่ ยา่ งหยาบถงึ อยา่ งละเอยี ด สมั มาสงั กปั ปะเปน็ องคม์ รรคองคห์ นง่ึ   ทมี่ คี วามส�ำคญั ไม่ นอ้ ยกวา่ องคม์ รรคอน่ื  ๆ  มอี านภุ าพก�ำจดั ทกุ ขก์ อ่ ใหเ้ กดิ สขุ ประโยชน์ แก่ผู้ปฏิบัติตามสมควรแก่การปฏิบัติ  การอบรมสัมมาสังกัปปะจึง เทา่ กบั การพัฒนาตนใหส้ มบูรณ์  อนั มคี วามหลดุ พน้ จากทกุ ขต์ ่าง ๆ  เป็นผล





การเลือกวถิ ชี ีวติ และ การคิดในโลกที่สบั สน แนวคำ� บรรยาย ณ ตึกอเนกประสงค์ ช้นั ๔ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ โดยการจัดของชมรมคุณภาพชีวิตและสังคม วันจันทร์ท่ี ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๓๖ เวลา ๑๐.๑๕-๑๒.๐๐ น. (ผู้ฟังคืออาจารย์คณะต่างๆ นกั ศึกษาและประชาชนทวั่ ไป)



การเลือกวิถีชวี ติ และการคิด ในโลกทส่ี ับสน ๑. ท�ำไมโลกจึงสับสน  ค�ำว่าโลกในท่ีนี้หมายถึงหมู่สัตว์ หรือหมู่มนุษย์ที่รวมเรียกว่า  สัตว์โลก  ซ่ึงในทางพุทธศาสนาแบ่ง ไว้  ๓  ประเภท  คอื ก. โอกาสโลก  หมายถงึ พนื้ ดนิ ทเี่ ราอาศยั อยหู่ รอื จกั รวาล ทงั้ หมด ข. สงั ขารโลก  หมายถงึ สง่ิ ปรงุ แตง่ ทม่ี ตี ามเหตปุ จั จยั (The World of Formation) สิ่งทม่ี นษุ ย์กอ่ สรา้ งขนึ้ ค. สตั วโ์ ลก  หมายถงึ หมสู่ ตั ว์ (The World of Beings) ในโลกทั้งปวงทั้ง  ๓๑  ภูมิ  (อบายภูมิ  ๔  มนุษย์  ๑  เทวดา  ๖ พรหม  ๒๐)

116 การเลือกวิถีชีวิตและการคิดในโลกที่สับสน (วิสุทธมิ รรค  ๑/๒๖๒,  ที.อ.  ๑/๒๑๕,  ม.อ.  ๒/๒๖๙) ค�ำวา่   สงั ขาร  ในภาษาทางศาสนามคี วามหมาย  ๒  อยา่ ง  คอื (๑)  สังขารภายนอก  คือ  สิ่งปรุงแต่งท้ังปวง (Compounded Things) หรือสารประกอบทั้งปวง (๒)  สงั ขารภายใน  คอื   ความคดิ ปรงุ แตง่ ;  สภาพ ปรงุ แตง่ จติ ใหด้ ใี หช้ ว่ั   กลา่ วคอื   กเิ ลสและคณุ ธรรม  ตวั อยา่ งสงั ขาร ท่กี ล่าวไวใ้ นขนั ธ ์ ๕ ท�ำไมโลกจงึ สบั สน  ท�ำไมมนษุ ยจ์ งึ วนุ่ วาย  ถา้ ตอบตาม แนวพุทธวทิ ยาก็นา่ จะตอบไดว้ า่   เพราะจติ สบั สน  เพราะจติ วุน่ วาย  ทั้งนี้เพราะส่ิงท่ีน�ำโลกก็คือจิต  ตามพระพุทธภาษิตท่ีว่า  จิตฺเตน  นียติ  โลโก  โลกอันจิตย่อมน�ำไป  หรือจิตน�ำโลกไป  ความคิดหรือ จิตท�ำให้โลกดิ้นรน,  ส่ิงท้ังปวงตกอยู่ในอ�ำนาจของจิตน่ันแหละ  ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงโลก  เปลี่ยนแปลงสังคม  ต้องเปลี่ยนแปลง คนก่อน,  การเปลี่ยนแปลงคนต้องเปล่ียนท่ีจิตของเขาก่อน  ถา้ เปลย่ี นความคดิ เขาไมไ่ ดก้ เ็ ปลย่ี นแปลงเขาไมไ่ ด ้ มองเผนิ  ๆ  มนษุ ย์ เราเหมอื นอยใู่ นโลกแหง่ วตั ถ ุ แตพ่ อมองลกึ ลงไป  มนษุ ยอ์ ยใู่ นโลก ของความคิด  ความคิดมีอิทธิพลย่ิงใหญ่ต่อวิถีชีวิตของปัจเจกชน และสังคมของมวลมนุษย์  สังคมจะเปล่ียนไปถ้าความคิดโดยรวม ของมนุษย์เปลย่ี นไป

117อ.วศิน อินทสระ ๒. การคดิ หรอื ความคดิ ทต่ี รงกับค�ำวา่   สงั กปั ปะ  หรอื Thought ในภาษาองั กฤษนน้ั เปน็ ลกั ษณะหนงึ่ ของจติ   เปน็ เจตสกิ ธรรม ส่ิงทเ่ี กดิ กบั จิต  อยูก่ ับจติ   จะอยโู่ ดยล�ำพังไม่ได้ จติ เปน็ ธรรมชาตผิ อ่ งใสและไมด่  ี ไมช่ ว่ั   กลบั เปน็ เศรา้ หมอง  เพราะมเี จตสกิ ธรรมอนั เศรา้ หมองเขา้ มาผสม  มเี จตสกิ ธรรมฝา่ ยดี มาท�ำใหด้ ใี หผ้ อ่ งแผว้ ขนึ้ ตามสภาพเดมิ   สมั มาสงั กปั ปะ  หรอื Right  Thought จะเขา้ มามบี ทบาทส�ำคญั มากตรงนค้ี อื   ความคดิ ทถี่ กู ตอ้ ง  ดงี าม  ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความเศรา้ หมอง  แตเ่ ปน็ ไปเพอื่ ความผอ่ งแผว้ ๓. ตวั อยา่ งความคดิ ทเ่ี ปน็ ไปเพอื่ ความเศรา้ หมอง  เพอ่ื ทุกข์ท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมรรควิภังคสูตร  คือความคิดใน ทางหมกมุ่นหลงใหลในสิ่งยั่วยวน  ความคิดในทางพยาบาทชิงชัง ปองรา้ ย  ความคดิ ในทางเบยี ดเบยี น  ทตี่ รงกนั ขา้ มยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความผอ่ งแผว้   เพอื่ สขุ   คอื ความคดิ ในการปลกี ตนออกจากสง่ิ ยว่ั ยวน ความคิดในทางเมตตากรุณา  ความคิดในทางไม่เบียดเบียนตนและ ผู้อื่น  คนเราวันหน่ึง ๆ  คิดมากไปในทางเบียดเบียนตนเองบ้าง ในทางเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง  บางคนไม่เพียงคิดอย่างเดียว  ท�ำด้วย ก่อความเดือดร้อนแกผ่ ูอ้ นื่ มากมายท�ำใหโ้ ลกสับสนยิ่งข้ึน

118 การเลือกวิถีชีวิตและการคิดในโลกท่ีสับสน ๔.  วิถีชีวิตเป็นสิ่งที่เราเลือกได้หรือไม่  ตอบว่าเลือกได้ เลือกโดยการสร้างแนวคิดให้ถูกต้อง  วิถีชีวิตก็จะด�ำเนินไปในทางที่ ถูกต้อง  ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า  “จิตท่ีตั้งไว้ถูกย่อมให้คุณให้สมบัติ ยิ่งกว่าทีม่ ารดาบดิ าหรือญาติพี่นอ้ งจะให้ได้  ส่วนจติ ที่ตัง้ ไว้ผิดยอ่ ม ให้โทษมากกวา่ ที่โจรและคนมีเวรต่อกันจะพึงท�ำแก่กัน” คริสต์มัส  ฮัมฟรีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Buddhism หน้า  ๑๐๒  (ในหัวข้อเรื่องกรรมและสังสารวฏั )  ว่า Sow a thought, reap an act; Sow an act, reap a habit; Sow a habit, reap a character; Sow a character, reap a destiny. แปลวา่ ‘ความคิดกอ่ ให้เกดิ การกระท�ำ การกระท�ำก่อใหเ้ กิดนสิ ยั   นสิ ัยหลอมเข้าเป็นอปุ นสิ ัย  อปุ นิสัยสรา้ งวถิ ีชวี ิตของบคุ คล’ ตามนัยนี้  จะเห็นว่า  คนเราเลือกวิถีชีวิตได้ด้วยการเลือก คิดเลือกท�ำ  เหมือนเราเลือกเมล็ดพืชก่อนจะหว่านลงดิน  ถ้าเรา รู้จักเมล็ดพืชและรู้จักผลของมันดี  เรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าเมล็ดพืชน้ี จะมีผลอย่างไร  เราก็เลือกแต่เมล็ดพืชท่ีเราต้องการ  เว้นเมล็ดพืช ทไี่ มต่ ้องการเสยี

119อ.วศิน อินทสระ แตใ่ นชีวิตจรงิ   คนเราท�ำได้ยาก  เพราะอะไร  เพราะกิเลส หรืออารมณ์ช่ัวคอยบังคับให้ท�ำส่ิงที่มีผลเป็นความทุกข์และเรา พา่ ยแพแ้ กม่ นั   เราพา่ ยแพต้ วั เอง  ทกุ ครง้ั ทพ่ี า่ ยแพต้ วั เอง  เราเสยี ใจ แตถ่ า้ ก�ำลงั ใจเราไมเ่ พยี งพอ  เผชญิ หนา้ กนั อกี   เรากแ็ พอ้ กี   และเรา ก็เสียใจอกี ...เสียใจไปเรอื่ ย ๆ  จนกว่าจะชนะสิง่ นน้ั ได้อย่างเด็ดขาด ถา้ เราสรา้ งแนวคิดไว้ผดิ   วิถชี ีวติ จะด�ำเนินไปผิดและผิดไป เรอ่ื ย ๆ  บางเรอ่ื งกถ็ อนตวั ยาก  เชน่ ผทู้ อี่ ยากรวยเรว็ เขา้ ไปเกย่ี วขอ้ ง กับวงการค้ายาเสพติดให้โทษ  จะเดินหน้าก็มองเห็นแต่ภัยพิบัติ ถอยหลงั กอ็ นั ตราย  เหมอื นดา้ นหนา้ เปน็ ผาชนั   ดา้ นหลงั เปน็ หบุ เหว ๕.  ความคิดอนั ตราย  ๓  ประเภท ๕.๑  ไมม่ องด ู ไมพ่ ดู ถงึ ความผดิ พลาดของตนเอง  คอย มองดูและพูดถึงแตค่ วามผดิ พลาดของคนอืน่ ในครอบครัวมักมีปัญหาพ่อ  -  แม่  -  ลูก  ท่านสอนว่า ก่อนแต่งงานควรลืมตาทั้ง  ๒  ข้าง  แต่งงานแล้วปิดเสียข้างหน่ึง เพ่ือไม่ต้องมองดูข้อผิดพลาดบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป นอกจากเพ่อื ปรบั ปรงุ แกไ้ ขดว้ ยความสภุ าพอ่อนโยนและเหน็ ใจ •  พอ่ แม่ไมเ่ ขา้ ใจลกู   ลกู ไม่เข้าใจพ่อแม ่ ถา้ ทกุ คนถือเอา ตนเปน็ จดุ ศนู ยก์ ลางของความถกู ตอ้ ง  ยอ่ มตอ้ งรกุ รานเสรภี าพของ ผู้อ่ืน  และผู้อื่นก็จะรุกรานเสรีภาพของผู้อื่นต่อ ๆ  กันไป  ต่างคน 

120 การเลือกวิถีชีวิตและการคิดในโลกท่ีสับสน ตา่ งกเ็ ปน็ นรกของกนั และกนั อยา่ งท ่ี ฌอง  ปอล  ซารต์ ร ์ นกั ปรชั ญา  ฝรงั่ เศส  กลา่ ววา่   “นรกคอื ผอู้ น่ื ”  (ในบทละครเรอื่ ง No Exit =ไมม่ ี ทางออก) ในทที่ �ำงาน  มปี ญั หาเรอื่ งเพอื่ นรว่ มงาน  นายกบั ลกู นอ้ ง... ในวดั มปี ญั หาเรอ่ื งสมภารกบั พระลกู วดั   เรอ่ื งพระกบั พระ  เณรกบั เณร  หรอื เดก็ วดั กบั พระกบั เณร  ตลอดถงึ อบุ าสกอบุ าสกิ ากบั พระ ดสู บั สน  ชอบกล  ความคิดมันสบั สนกอ่ น  เร่อื งสบั สนต่าง ๆ  กต็ ามมา ๕.๒  ท�ำผิดจนเป็นนิสัย  เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนเลวเพราะ โชคไมด่ ี  เพราะชะตาชวี ติ ก�ำหนดมาให้เขาเปน็ คนเช่นน้นั   จึงปล่อย ไม่ยกตนเองขึน้ จากหลม่ เลนแหง่ ความบกพรอ่ งผดิ พลาด มาถึงตรงนี้  ใครจ่ ะต้งั ปญั หาวา่   สิ่งทเ่ี รยี กวา่   ชะตาชวี ิต ของคนเรานัน้ มหี รือไม ่ ถา้ มอี ะไรเป็นตัวก�ำหนด  แก้ไขได้หรือไม่ ตอบสนั้  ๆ  วา่   ม ี มนั เปน็ รอ่ งรอยของอดตี กรรมทเ่ี ราเคย สงั่ สมมา  กรรมของเรานนั่ แหละเปน็ ตวั ก�ำหนด  ทเี่ รยี ก  ยถากมั มปู คา สตั ตา  สตั วท์ งั้ หลายเขา้ ถงึ สภาพตา่ ง ๆ  ตามกรรมของตน  แตเ่ ปน็ สงิ่ ทแี่ กไ้ ขไดโ้ ดยการท�ำกรรมใหมเ่ พอ่ื ละลายกรรมเกา่   สรา้ งกรรมใหม ่ ทดี่ กี วา่ เหมอื นคนเคยเปน็ หน ี้ เพราะความผดิ พลาดบางอยา่ ง  ตอ่ มา  รู้สึกตัวกลับตัวใหม่  ส่ังสมทรัพย์ใช้หน้ีเก่าหมด  ยังมีทรัพย์เหลือ

121อ.วศิน อินทสระ และเพ่ิมพูนข้ึนอีก  เพราะเว้นขาดจากการท�ำผิดเก่า ๆ  สร้างนิสัยดี งามใหม ่ ๆ  ขน้ึ มาแทน ทา่ นมหาตมะคานธ ี กลา่ ววา่   “…บนั้ ปลายของความรทู้ กุ ชนิดควรจะอยู่ท่กี ารสร้างอปุ นสิ ัย...ความมงุ่ หมายอนั เด็ดเดี่ยวของ มนษุ ยก์ ค็ อื เอาชนะนสิ ยั   (อนั ไมด่ )ี   เกา่  ๆ  ของตน  เอาชนะความชว่ั   ทีม่ ใี นตนและคงคืนความดใี ห้ไปสูท่ างทีถ่ ูกตอ้ ง...” ๕.๓  ทำ� รา้ ยตนเอง  ออ่ นแอ  วงิ่ หนปี ญั หา  ไมเ่ คยคดิ แก้ ปัญหา  คนที่มีความรู้  และอาจมีความสามารถ  แต่ไม่ใช้ความรู้ ความสามารถให้สมกับที่มี  ย่อมไม่ได้รับการยกย่องและอาจอยู่ไม่ ได้ในโลกอันสับสนน้ี หญิงคนหน่ึง  มีลูกออกมาปากแหว่ง  เป็นทุกข์จนคล่ัง  ฆา่ ลกู ตายและฆา่ ตวั ตามไปดว้ ย  ทง้ั  ๆ  ทหี่ มอกย็ นื ยนั วา่   ปากแหวง่ อย่างน้ี  ด้วยความรู้ทางศัลยกรรมของแพทย์สมัยใหม่ ๆ  สามารถ ท�ำใหห้ ายเปน็ ปกตไิ ด้  แตเ่ ธอไมฟ่ งั เสยี งใคร  เธอเปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งหนกั   เสียใจ  อับอาย  ในที่สุดก็ท�ำร้ายตัวเอง  หนีปัญหา  ความจริง ปัญหาอยา่ งนีแ้ กไ้ มย่ าก  ถา้ เธออดทนเสยี หน่อย  ใจเย็นเสยี หนอ่ ย  ยงั มปี ญั หาอน่ื  ๆ  อกี เปน็ อนั มากทเ่ี ราสามารถแกไ้ ดด้ ว้ ยความอดทน  มีปัญหาและคดิ ส้ปู ญั หาทเี่ รยี กวา่ Positive Thinking เพราะตาม ความเป็นจริงแล้ว  อุปสรรคจะมีมากแค่ไหนก็ยังน้อยกว่าท่ีเรา เก็บมาคิดกังวลใจ

122 การเลือกวิถีชีวิตและการคิดในโลกที่สับสน ในพระพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  คน  ๒  คน ท�ำความชวั่ เหมอื นกนั ไดร้ บั ผลไมเ่ ทา่ กนั   คนหนงึ่ ไดร้ บั มาก  คนหนง่ึ ได้รับน้อย  เพราะคน  ๒  คนน้ีต่างกัน  กล่าวคือ  คนที่รับผลมาก เพราะเป็นผไู้ มไ่ ด้อบรมกาย  ไมไ่ ดอ้ บรมศลี   ไม่ไดอ้ บรมจิตใจ  ไมไ่ ด้ อบรมปญั ญา  มคี ณุ ธรรมนอ้ ย  มจี ติ ใจคบั แคบ  มปี กตอิ ยเู่ ปน็ ทกุ ข์ แมด้ ว้ ยเรอ่ื งเพยี งเลก็ นอ้ ย  (อปปฺ ทกุ ขฺ วหิ าร ี -  คอื อะไรนดิ อะไรหนอ่ ย  กเ็ กบ็ มาทกุ ข ์ มากงั วลใจ  เผาตวั เอง  ท�ำรา้ ยตวั เอง)  สว่ นคนทท่ี �ำชวั่   เหมอื นกนั   แตไ่ ดร้ บั ผลชว่ั นอ้ ยกเ็ พราะเปน็ คนไดอ้ บรมกาย  อบรมศลี   อบรมจติ   อบรมปญั ญา  มคี ณุ ธรรมมาก  มจี ติ ใจกวา้ งขวาง  ใจใหญ่  (มหตฺตา,  มหาตฺมา)  มีปกติอยู่ด้วยธรรม  มีเมตตาเป็นต้นอันหา ประมาณมิได้  (อปฺปมาณวิหารี)  คนอย่างนี้ถ้าท�ำดีเท่ากันกับคน แบบขา้ งตน้ ยอ่ มไดด้ มี ากกวา่   เพราะเครอื่ งรองรบั ความดมี มี ากกวา่   (พระไตรปิฎก  ๒๐/๓๒๐/๕๔๐) ความลบั อยา่ งหนงึ่ ของการดำ� เนนิ ชวี ติ ทด่ี กี ค็ อื ความฉลาด และความกล้าหาญท่ีจะเอาชนะความทุกขแ์ ละความผิดพลาด  มี บางคราวทเ่ี ราตอ้ งทง้ิ ปญั หาไวก้ อ่ น  แลว้ หนั ไปท�ำสาธารณประโยชน์ ปลอ่ ยปัญหาท่เี หลอื อยูใ่ หค้ ล่คี ลายไปเอง หวั เราะเยาะตวั เองเสยี บา้ ง  สมนำ�้ หนา้ ตวั เองเสยี บา้ ง  พรอ้ ม  ดว้ ยเสยี งหวั เราะเบา ๆ  ของเราเอง  บางคราวจ�ำเปน็ ตอ้ งนกึ วา่ เราเปน็ เพยี ง  ตวั ตลกตัวหนง่ึ ของโลกเท่านนั้ เอง

123อ.วศิน อินทสระ ๖.  รางวัลอันประเสริฐอย่างหน่ึงในชีวิตของเรา  ถ้า ท�ำได้คือ  ฝึกนิสัยให้เป็นคนหัดคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซ้ึงที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงเรยี กวา่   โยนโิ สมนสกิ าร  ในทนี่ ขี้ อกลา่ วถงึ มนสกิ าร  ๔  อย่างก่อนคือ (๑)  อปุ ายมนสกิ าร  พจิ ารณาโดยอบุ ายอยา่ งมรี ะบบ เพ่ือให้รู้ความจริง  ให้เข้าถึงสัจจะ  เช่น  เข้าถึงความจริงว่าสิ่งท้ัง ปวงตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจอันเฉียบขาดของความไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  มีอุบายคิดให้เป็นสุขแม้ในเหตุอันน่าจะทุกข์  ปัญญา มองหาแงด่ ขี องสง่ิ รา้ ยทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้   คนเชน่ นต้ี อ้ งเปน็ คนมปี ญั ญา สมภาษติ ทวี่ า่   ‘ปญญฺ าสหโิ ต  นโร  อธิ   อปทิ กุ เฺ ขส ุ สขุ าน ิ วนิ ทฺ ต ิ - ผ้มู ีปญั ญาในโลกนี้  ยอ่ มหาความสขุ ได้แมใ้ นเหตุท่ีน่าจะทกุ ข’์ (๒)  ปถมนสิการ  คิดถูกทาง  คิดต่อเนื่องเป็นล�ำดับ ตามแนวเหตุผล  แม้ในทางท่ีดีด้วยกันแล้วก็ยังพิจารณาหาทางว่า ควรจะด�ำเนนิ ทางไหนจงึ จะดที สี่ ดุ   เปน็ ประโยชนท์ ส่ี ดุ   นคี่ อื การเลอื ก ชีวิต  ซ่ึงอยู่ในวิสัยท่ีเราจะเลือกได้และเหมาะสมแก่ตัวเราตามแนว ของปรัชญาเอ็กซสิ ต์  (Existentialism) (๓)  การณมนสกิ าร  คดิ ตามเหต ุ เปน็ ไปตามอ�ำนาจ แหง่ เหต ุ ไมด่ อื้ รน้ั ดนั ทรุ งั ในสง่ิ อนั ไมส่ มควร  ยอมรบั ผดิ เมอื่ เหน็ วา่ ได้ท�ำผิดไป  ไม่อ้างเหตุผลเข้าข้างตนเองเพื่อให้ตนถูกหรือไถลไป  ขา้ ง ๆ ค ู ๆ  คดิ ยดื หยุน่ ตามเหตุการณ์ (Flexible) ไมแ่ ขง็ ทื่อตายตัว

124 การเลือกวิถีชีวิตและการคิดในโลกที่สับสน จนไม่ค�ำนึงถึงเหตุผลและความจ�ำเป็น  ประกอบด้วยคุณคือการ  ณวสกิ ตา  (Conditionality  or  If-Then-Law)  สมควรไดร้ บั ยกยอ่ งวา่   เปน็ การณวสโิ ก  ด�ำเนนิ ชวี ติ ถกู ตอ้ งตามเหตกุ ารณอ์ นั ควร  แตไ่ มใ่ ช่ ออ่ นแอหรือขาดหลักการ (๔)  อุปปาทกมนสิการ  คิดในเชิงเร้ากุศลธรรม  ให้ เกิดความเพียรชอบ  ให้หายกลัวในส่ิงที่เคยกลัวหรือในส่ิงอันไม่  ควรกลวั   ทง้ั นเี้ พอื่ ใหเ้ กดิ ผลอนั พงึ ประสงค ์ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทาน แนวคดิ ขอ้ นแ้ี กพ่ ระสาวกเสมอ  ผทู้ อ้ ถอยในความเพยี ร  ผยู้ อ่ หยอ่ น ในกุศลธรรม  ให้กลับด�ำเนินไปพอดีในความเพียรและในกุศลธรรม บางทีทรงเล่าเรื่องในอดีตของเขาบ้าง  ของพระองค์เองบ้าง  ท่ี เรียกวา่   ‘ชาดก’ มนสิการ  ท้ัง  ๔  น้ี  แตกออกเป็นโยนิโสมนสิการ  ๑๐ ประการ  คือ (๑)  คดิ แบบสาวหาเหตปุ จั จยั   เชน่   แนวคดิ ในปฏจิ จสมปุ บาท (๒)  คดิ แบบแยกแยะสว่ นประกอบ  เชน่   แนวคดิ เรอ่ื งขนั ธ์ ๕ (๓)  คิดแบบรเู้ ทา่ ทนั ธรรมดา  เชน่   คดิ เรอื่ งไตรลักษณ์ (๔)  คดิ แบบแกป้ ญั หา  เชน่   แนวคดิ ตามแบบอรยิ สจั   ๔ (๕)  คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์  ข้อนี้เก่ียวกับหลักการ และจุดมุ่งหมาย  (ธรรม  หลักการ,  อรรถ  ความหมายหรือจุด มุ่งหมาย)  เช่น  เรามีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและ สงั คม เรากม็ หี ลกั การและวธิ ดี �ำเนนิ การไปสจู่ ดุ มงุ่ หมายนน้ั   ในพทุ ธ

125อ.วศิน อินทสระ ศาสนามคี �ำหนง่ึ   คอื   ธรรมานธุ รรมปฏบิ ตั  ิ เราแปลกนั มาวา่   การ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม  ความหมายก็คือ  ปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักการและจุดม่งุ หมายน่นั เอง (๖)  คิดแบบหาคุณโทษและทางออก  คือ  อะไรเป็นคุณ ของมนั   อะไรเปน็ โทษของมนั   และทางออกจากโทษนนั้ มอี ยอู่ ยา่ งไร (๗)  คิดแบบหาคณุ ค่าแทค้ ุณคา่ เทียม (๘)  คิดแบบเป็นอุบายเร้าคุณธรรม  (ดังกล่าวแล้วใน อปุ ปาทกมนสกิ าร) (๙)  คิดแบบเปน็ อย่ใู นขณะปัจจบุ ัน  ตามแนวสตปิ ฏั ฐาน (๑o)  คดิ แบบวภิ ชั ชวาท  คอื   แยกประเดน็ ปญั หา  ไมม่ อง  ปญั หาด้านเดยี ว ๗.  ชวี ติ ท่เี รียบงา่ ยท่ีสุดเป็นชวี ติ ทดี่ ที สี่ ุด  ศลี ธรรมเปน็ วิถีชวี ิตท่ดี ที ี่สุด (The simplest life is the best life, morality is the best way of life. - สุภาษติ ทางจรยิ ศาสตร์)  มีผูเ้ คยถาม พระพุทธเจ้าว่า  ชีวิตอย่างไรเป็นชีวิตท่ีดีที่สุด  พระพุทธเจ้าตรัส ตอบว่า  ผู้อยู่ด้วยปัญญาเป็นชีวิตท่ีดีท่ีสุด  (ปญฺญาชีวึ  ชีวิตมาห ุ เสฏฺ˙)  ควรเปน็ ชวี ติ ทสี่ งบและมปี ระโยชนท์ เี่ รยี กวา่   Peaceful  and Useful Life กฎหมายอาจลดหยอ่ นผอ่ นโทษแกอ่ าชญากรผปู้ ระกอบ อาชญากรรมโดยไม่รู้ว่าตนท�ำผิด  แต่ในชีวิตจริงท่ัวไป  คนที่ท�ำผิด โดยไม่รู้จะก่อผลเสียหายอย่างมากแก่สังคม  เช่นคนเป็นโรคติดต่อ ไมร่ ้วู ่าตนเปน็ โรคตดิ ต่อหรอื ไม่รูว้ ธิ ปี อ้ งกัน  ยอ่ มแพร่เชือ้ ได้มาก

126 การเลือกวิถีชีวิตและการคิดในโลกที่สับสน โสกราตสี จงึ กลา่ ววา่   คนท�ำชวั่ โดยไมร่ คู้ วรไดร้ บั โทษเปน็ ๒  เท่า  หรือ ๒  สถาน  คือ  ๑  ท�ำผิด  ๒  โง่เขลา  หรือไม่รู้ ความไม่รู้  หรือ  อวิชชา  เป็นบ่อเกิดแห่งความผิดและ ความทกุ ขน์ านาประการ  แมค้ วามรกั ซง่ึ เปน็ สง่ิ ออ่ นโยนโดยธรรมชาติ ถ้าปราศจากความรู้ก็จะเป็นพิษ  ก่อให้เกิดการท�ำผิดมากมายเช่น การท�ำแท้ง  ริษยา  อาชญากรรม  ฆาตกรรม  จริงอยู่ความรัก เป็นเพื่อนท่ีดีของมนุษย์แต่ต้องประกอบด้วยความรู้  มีความคิดท่ี ถกู ตอ้ ง ปญั ญาเปน็ สภาพตรงกันขา้ มกับอวิชชา  การเลอื กวถิ ชี ีวิต ทางปัญญาด้วยศีลธรรม  มีความคิดท่ีถูกต้องจึงเป็นการเลือกท่ี เหมาะสมท่ีสดุ ในโลกอนั สบั สนนี้





ความเหน็ ทถ่ี กู ตอ งและความคิดท่ีถูกตอง เปน ส่ิงทส่ี ำคญั ในชวี ิตมนษุ ย เพราะเขายอม ดำเนินชีวติ ตามความเหน็ และความคดิ ถาเหน็ ผิดและคดิ ผดิ กจ็ ะดำเนินชวี ิตไปในทางทผี่ ิด ไปสูอันตรายและทุกขย ากลำบาก ถา เขาคดิ ถูก และเหน็ ถูกกจ็ ะดำเนินชีวติ ไปในทางทด่ี ี ไดพ บกับความสขุ และความสำเร็จอันดงี ามในชวี ิต”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook