Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore patanachewitdouysamatiti.book_171

patanachewitdouysamatiti.book_171

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-03-07 07:41:38

Description: patanachewitdouysamatiti.book_171

Search

Read the Text Version

50 สัมมาทิฎฐิมีสองระดับ เอาเขา้ ตเู้ ยน็   เขา้ ชอ่ งนำ�้ แขง็   สกั พกั หนง่ึ มนั เปน็ นำ้� แขง็   อนั นค้ี อื เหตุ ปัจจัยท�ำให้มนั เปน็ น�ำ้ แขง็   พอเอาออกจากตเู้ ยน็ มาวางไว้ในอากาศ ธรรมดา  มนั จะคอ่ ย ๆ  ละลายเปน็ นำ้� ธรรมดา  แลว้ พอเราเอาไปใส่ กาตม้   มนั จะรอ้ นแลว้ กเ็ ดอื ดแลว้ กก็ ลายเปน็ ไอ  ถา้ ไมเ่ อาลงกจ็ ะหมด ไปเลยคอื กลายเป็นไอไปหมดเลย  นี่คอื ข้ึนอย่กู ับเหตุปัจจัยของน้ำ� ยถาปจจฺ ยํ  ปวตตฺ นตฺ  ิ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นตรสั อยา่ งนน้ั แปลวา่   สง่ิ ทง้ั หลายสตั วท์ งั้ หลายเปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั   คราวนพี้ อมาถงึ คน  ผมเคยตงั้ ปญั หาวา่   วา่ โดยธรรมชาตแิ ลว้   อนั นอี้ าจารยท์ งั้ หลายคงทราบ  เพราะอยู่ทางวิจัยพฤติกรรมศาสตร์  ว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย ์ ดหี รอื เลว  มนษุ ยด์ โี ดยธรรมชาต ิ แลว้ มาเลวเพราะเหตปุ จั จยั ภายหลงั   หรอื วา่ มนษุ ยม์ คี วามโนม้ เอยี งทจี่ ะเลว  ถา้ เขาดี ดขี นึ้ เพราะเหตปุ จั จยั อดุ หนนุ ใหด้ ี  หรอื วา่ มนษุ ยไ์ มด่ ไี มเ่ ลว  สดุ แลว้ แตเ่ หตปุ จั จยั   หรอื วา่ มนษุ ย์ทง้ั ดีทงั้ เลว  เกดิ มาท้ังดที ั้งเลว  แต่เมือ่ เกิดมาแลว้ อย่างไหน จะเพ่ิมพูนขึ้นอย่างไหนจะลดลงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย  มีใครจะตอบ ไหมครับ  ตามความเหน็ หรือตามความรู้สึก ตอบอนั สุดท้ายใชไ่ หม ครับ  ใครตอบอันสุดท้ายเป็นการตอบตามหลักพุทธ  ข้อสุดท้าย  มนุษย์มีท้ังดีท้ังเลวในตัวมาพร้อม ๆ กัน เพราะว่ายอมรับในเร่ือง สงั สารวฏั   เคยเกดิ มาหลาย ๆ  ชาต ิ แตล่ ะชาตกิ ส็ ง่ั สมทง้ั ดที ง้ั ชว่ั มา  แลว้ ตดิ มาจนถงึ ชาตนิ  ี้ พอมาถงึ ชาตนิ จี้ ะดมี ากขน้ึ เลวนอ้ ยลง  หรอื จะเลวมากขึ้นดีน้อยลง  สุดแล้วแต่การศึกษา  การอบรม  ซึ่งรวม เปน็ เหตุปัจจัย  รวมเรยี กวา่ เหตปุ จั จัย

51อ.วศิน อินทสระ ถาม : เหตปุ ัจจัยน้ ี ที่เราเรียนเราสอนกัน  พอ่ แมจ่ ะเป็น ตัวแรก ตอบ : ครบั   พอ่ แม่เป็นเหตุปจั จัยตัวแรกเลย ถาม : ต่อมาก็จะมีเพ่ือนมีโรงเรียนและสังคมในวงกว้าง  บางครั้ง  เท่าทเ่ี ราเหน็ มา  สมยั ประถมก็จะยงั พอดแู ลได้  แตพ่ อโต ข้ึน  ไปสู่สังคมกว้างมากขึ้นก็เร่ิมเบ่ียงเบนไป  เหมือนกับว่าพอโต แล้วจะมีเหตุปจั จยั ทีเ่ ราควบคุมไมไ่ ด้ ตอบ : ใชค่ รบั   มเี หตปุ จั จยั ทอ่ี ยนู่ อกเหนอื การดแู ลของเรา  แลว้ อกี อยา่ งนะครบั   บญุ กศุ ลหรอื บาป  บญุ วาสนาหรอื บาปวาสนาทเ่ี ขา  เคยท�ำมาตดิ ตวั เขามานนั่ กเ็ ปน็ เหตปุ จั จยั อกี อนั หนง่ึ ทค่ี อยกระตนุ้ ใหเ้ ขา  มคี วามโนม้ เอยี งไปในทางดหี รอื ทางเลว  บางคนสอนใหด้ งี า่ ย สอนให้  เลวยาก  เพราะวา่ เขามบี ญุ วาสนา  บางคนมบี าปวาสนามา  เคยไดย้ นิ ค�ำ  วา่ บาปวาสนาไหมครบั   คอื วาสนานม่ี สี องอยา่ ง  ไดแ้ ก่ บาปวาสนากบั   บญุ วาสนา บาปวาสนานนั้ คอื อยกู่ บั บาปมานาน  วาสนาแปลวา่ อยมู่ านาน  อยกู่ บั สงิ่ นน้ั มานาน  วนั  ๆ  ท�ำแตบ่ าปนะ่ จติ ใจกค็ ลกุ คลอี ยกู่ บั บาป หา้ ปี  หกป ี สบิ ป ี ยสี่ บิ ป ี กท็ �ำแตบ่ าป  จติ ใจกค็ ลกุ คลอี ยกู่ บั บาป  เหมอื น  กบั เสอื คุ้นปา่   ปลาคุ้นน้ำ�

52 สัมมาทิฎฐิมีสองระดับ บางคนกค็ นุ้ กบั บญุ   มบี ญุ วาสนา  ท�ำแตบ่ ญุ   คดิ แตเ่ รอื่ งบญุ ท�ำแตเ่ รอื่ งบญุ   ใจกค็ นุ้ อยกู่ บั บญุ   กระตนุ้ ใหท้ �ำบญุ กท็ �ำงา่ ย ใครกระตนุ้   ใหท้ �ำบาปก็ท�ำยาก บางแหง่ พนนั กนั ดว้ ยบหุ รซ่ี องเดยี ว  พนนั กนั ดว้ ยเหลา้ ขวดเดยี ว  ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งต้ึก ๆ ๆ  มา  ยิงถูกหรือไม่ถูกยิงคนบน มอเตอรไ์ ซค ์ ถา้ ถกู ไดเ้ หลา้ ขวดหนง่ึ   ดสู บิ าปวาสนามนั เยอะ  พอจะ ใหท้ �ำบาปนมี่ นั ท�ำงา่ ย  ถา้ เผอื่ ใหพ้ วกเราไปท�ำ  ท�ำไดไ้ หม  ท�ำไมไ่ ด้ เรา มบี ญุ วาสนา  บอกใหไ้ ปท�ำบญุ นไ่ี ปท�ำงา่ ย  ใหท้ �ำบาปท�ำยาก เพราะ ฉะนั้นถามว่าความดีกบั ความช่วั อันไหนท�ำได้ยาก  อนั ไหนท�ำไดง้ า่ ย  ส่วนมากคดิ ว่าท�ำชวั่ ง่ายท�ำดยี าก  แต่ค�ำตอบของพระพทุ ธเจ้าไมไ่ ด้ ตอบอยา่ งน้ี  คนดที ำ� ดไี ดง้ า่ ยท�ำชว่ั ไดย้ าก  คนชวั่ ท�ำชว่ั ไดง้ า่ ยท�ำดไี ด้ ยาก  มันอยู่ที่คน  อยู่ทต่ี วั คน  ไมใ่ ช่อยทู่ ่คี วามดที �ำง่ายหรอื ท�ำยาก ถาม : เปน็ เพราะท�ำกันมาแต่ชาตกิ อ่ น ๆ หรอื เปล่าคะ ตอบ : มสี ่วนครบั   เป็นวาสนามา  เป็นบญุ วาสนามา ถาม : บางคนอย่ใู นส่ิงแวดลอ้ มเดยี วกัน  ท�ำไมออกมาไม่ เหมอื นกนั ตอบ : กนิ ขา้ วหม้อเดียวกัน  พอ่ แมเ่ ดียวกัน  บา้ นหลังคา เดียวกันกไ็ มเ่ หมอื นกนั

53อ.วศิน อินทสระ ถาม : วิธีการท่ีรวบรวมข้อมูลจากโปรแกรม  เราจะไป ทำ� นายวา่ ผลจะเกดิ เปน็ อยา่ งไร  สงสยั วา่ วาสนาทอ่ี าจารยพ์ ดู ถงึ นน้ั   วาสนาจะเป็นอะไรที่ไมส่ ามารถสรปุ ได้ ตอบ : อันนเ้ี ปน็ ทัศนะทางพทุ ธคอื   ขอใหร้ ับไปพิจารณา ว่าเป็นทศั นะทางพทุ ธท่กี ล่าวไว้อยา่ งน้ี ถาม : ในสมการจะมีเทอม effect  ของ  ก.ไก่  effect ของข.ไข่  แต่จะเหลืออะไรบางอย่างท่ีไม่สามารถบอกได้  อาจารย์ ไม่ไดห้ มายถึงค่าความผิดพลาดใชไ่ หมคะ ตอบ : อันน้ีหมายถึงสิ่งท่ีเหลืออยู่ที่ยังไม่สามารถวิจัยได้ ต้องรดู้ ้วยพทุ ธญาณถงึ จะรไู้ ด้ ถาม : อกี เรอื่ งวบิ ากกรรม  มนั เปน็ สงิ่ ทเ่ี ราสามารถจะหลกี หนีได้ ตอบ : กรรมไมใ่ ชส่ งิ่ ทต่ี ายตวั   กรรมสามารถจะเปลยี่ นแปลงได ้ ให้เบาบางได้  ให้เข้มข้นขึ้นได้  แล้วก็ให้หมดไปได้  โดยที่ไม่ได้รับ อะไรเลย  อันน้ีเป็นหลักค�ำสอนของพุทธนะครับ  คือท่ีสอนกันมา ส่วนมากก็จะสอนกันเพียงครึ่งเดียว  คือสอนว่าเขาท�ำกรรมต้องได้ รับผลแน่นอน  ท่ีจริงมันเปล่ียนแปลงได้  ป้องกันได้  หลีกหนีได้ เหมอื นทผี่ มเปรยี บเมอื่ กว้ี า่   เหมอื นกบั เรายงิ ฟตุ บอลเขา้ โกล ์ ถา้ โดย 

54 สัมมาทิฎฐิมีสองระดับ ธรรมดาไมม่ อี ะไรปอ้ งกนั มนั ตอ้ งเขา้   เหมอื นวา่ ท�ำดไี ดด้  ี ท�ำชว่ั ไดช้ ว่ั   แตถ่ า้ มบี างอยา่ งเขา้ มาเปน็ ตวั แปรมาปอ้ งกนั   ยงิ ฟตุ บอลไมเ่ ขา้ โกล์  ท�ำกรรมอย่างน้ีแล้วแทนที่จะได้รับผลกรรมอย่างนี้มันมีอย่างอื่น มากั้นเอาไว้  เรามีความดีอย่างอ่ืนมากั้นเอาไว้ก้ันเอาไว้  มันไม่เข้า  จนอยไู่ ป ๆ  มนั กเ็ จอื จางลงและหมดแรงไปเอง  เลกิ ตอ่ กนั   เขาเรยี ก อโหสกิ รรม  เลิกกนั ไป  วิธีการก็คือ  ท�ำความดีใหม้ ากขน้ึ  ๆ  ถา้ พดู ถงึ วา่ เรากลวั ตอ่ บาปนะครบั   ท�ำความดใี หม้ ากขนึ้  ๆ  จนทว่ ม  ถา้ เผอื่   แก้วเท่าน้ี  แล้วผมเอาเกลือก�ำมือหน่ึงมาใส่ในแก้วนี้ จะเค็มมาก ใช่ไหมครับ  ด่ืมไม่ได้เลย  แต่ถ้าเปลี่ยนภาชนะใหม่ให้ใหญ่ขึ้น  เป็นโอง่ เปน็ อา่ งอะไรกแ็ ลว้ แต ่ เกลอื เทา่ เดมิ นะไมเ่ พมิ่ เกลอื   เอาน�้ำ  นเี้ ทลงไปในอา่ งใหญ ่ แลว้ เพมิ่ นำ้� ลงไป  เพม่ิ นำ�้ ลงไป  เกลอื ไมเ่ พม่ิ แตจ่ ะไมเ่ คม็   ดมื่ ไดแ้ ลว้ คราวนจี้ ดื แลว้   ยง่ิ เพม่ิ นำ�้ ลงไปเทา่ ไรเรยี กวา่   drinkable ด่มื ได้แล้ว  ตอนแรกมนั เป็น undrinkable เคม็ มากจน ด่ืมไม่ได้  เหมือนเราท�ำความดีเพ่ิมขึ้น ๆ  เพื่อให้ผลแห่งบาปค่อย ๆ  ถูกละลายไป ถาม : บาปเกิดจากการกระท�ำ  ท�ำความชั่ว  ความเลว บาปมีหลายแบบ  ท�ำความดีลบลา้ งบาปได้ ตอบ : ถา้ เปน็ ความดใี หญ ่ ๆ  บาปกรรมจะถกู ลม้ ลา้ งบญั ชี ไดเ้ ลย  ผมขอยกตวั อยา่ งนะครบั   เชน่ วา่ เราเคยฆา่ สตั ว ์ เคยลกั ทรพั ย์ เคยประพฤติผิดในกาม  เคยพูดเท็จ  พูดค�ำหยาบ  พูดส่อเสียด พดู เพอ้ เจอ้   ดม่ื สรุ าเมรัย  ท�ำบาปมนั ทุกอย่างเลย  ท�ำบ่อย ๆ ดว้ ย

55อ.วศิน อินทสระ แลว้ ถา้ ไมม่ อี ะไรปอ้ งกนั   บาปอนั นจี้ ะตอ้ งสง่ เราสนู่ รกหลงั จากเราตาย แลว้   เราอย ู่ เรากไ็ มค่ อ่ ยมคี วามสขุ   แตถ่ า้ เราไดส้ �ำเรจ็ เปน็ โสดาบนั เมื่อไหร่ผลกรรมอันน้ีล้างบัญชีเลย  ให้ผลไม่ได้เลย  กุศลกรรมคือ ความเป็นโสดาบันนี้เป็นกรรมที่ยิ่งใหญ่  กุศลกรรมที่ยิ่งใหญ่จะมา ป้องกนั พวกน้ีไดห้ มดเลย  ไมน่ �ำสู่อบาย ถาม : เหมือนองคุลิมาล ตอบ : ครับ  ใช่ครับ  นั่นเหมือนกัน  จะไปนรกน่ีปิดเลย ปดิ อบายเลย  ประตไู ปอบาย  ๔  ถกู ปดิ สนทิ เลย  นรก  เปรต อสรุ กาย  สตั วเ์ ดรจั ฉาน  คณุ ไมต่ อ้ งหว่ งเลย  ไมต่ อ้ งไปแลว้   บาปกรรมทเี่ คย ท�ำมาในตอนตน้ เปน็ อนั ถกู ลา้ งไปหมด  แลว้ ชวี ติ ทเ่ี ปน็ อยทู่ เ่ี หลอื อยู่  กม็ คี วามทกุ ขน์ อ้ ยทสี่ ดุ   มคี วามสขุ มากทส่ี ดุ   ทกุ ขไ์ มเ่ ปน็ ทกุ ขม์ ามนั จะสปริงออกไปหมดเลย  เหมือนหยาดน�้ำบนใบหญ้าเมื่อเทียบกับ น�้ำในสระใหญ่  เหมือนฝุ่นธุลีบนปลายเล็บเม่ือเทียบกับฝุ่นจ�ำนวน มากในโลก  ทรงอปุ มาไวถ้ งึ   ๑๐  ประการดว้ ยกัน  และทรงสรปุ ไว้ ทกุ ตอนวา่ การบรรลธุ รรมมปี ระโยชนใ์ หญอ่ ยา่ งน ี้ การไดธ้ รรมจกั ษ ุ มีประโยชน์มากอยา่ งน้ี  ถ้าเปรียบวา่ ความทุกขข์ องคนในโลกปถุ ุชน เหมือนน้�ำในสระใหญ่  ความทุกข์ของผู้บรรลุโสดาปัตติผลเหมือน หยาดน้�ำเล็ก ๆ  ท่ีเราเอาใบหญ้าจุ่มลงไปในสระแล้วยกข้ึนมา  น้�ำทตี่ ิดใบหญ้าขนึ้ มานัน่ แหละความทกุ ข์ของทา่ นผ้ทู ่บี รรลโุ สดาบนั   นา่ เอาไหมนา่ เปน็ ไหม  น่าทึ่งไหม  ชวี ิตทที่ ุกข์ไม่เปน็

56 สัมมาทิฎฐิมีสองระดับ ถาม : คอื ความทุกข์นอ้ ยใช่ไหมคะ  อยทู่ ี่ใจใชไ่ หมคะ  แต่ สงิ่ ทเี่ ราไดร้ บั ตอบแทน  เชน่ คนทที่ ำ� ตอ่ เรา  เปน็ คนละอยา่ งกบั ทวี่ า่ เราจะทุกข์หรือไม่  ท่ีเรียนถามท่านอาจารย์ตอนแรกหมายถึงส่ิงที่ เราไดร้ บั   ไมไ่ ดห้ มายถงึ จติ ใจ  อยา่ งเชน่   แมเ้ ปน็ พระอรหนั ต ์ แลว้ ยงั อาจจะมคี นมาท�ำรา้ ย  อนั เปน็ ผลจากวบิ ากกรรม  แตค่ วามทกุ ข์ คงจะไม่มี ตอบ : ตอนน้ันความทุกขท์ างใจของท่านไม่มีแล้ว ถาม : ท่อี าจารยพ์ ดู สักครนู่ ว้ี า่ วบิ ากกรรมสามารถป้องกัน ได้ เปลย่ี นแปลงได้  หมายถงึ การกระทำ� ของผูอ้ น่ื ทเี่ ราไดร้ ับมาหรอื หมายถงึ ระดับจติ ใจ ตอบ : หมายถึงระดับจิตใจครับ  คืออาจจะถูกกระท�ำได้ สว่ นมากคนที่ทกุ ขอ์ ยู่กค็ ือทกุ ข์ระดับจติ ใจนั้นเอง ถาม : เกิดความคิดแว๊บข้ึนมาว่าเรามักพูดถึงคนท่ีไม่ได้ ท�ำความเลว  ผมเคยสัมผัสมาบ้างบางคน  คนท่ีท�ำความเลวเขาไม่ ได้ทกุ ข์ใจเหมอื นอยา่ งที่เราคิด ตอบ : อันนั้นเปน็ ความเคยชินกระมงั ครบั

57อ.วศิน อินทสระ ถาม : เปน็ เฉพาะในกลุ่มคนท่ีไมเ่ คยทำ� ความเลว  ผมเคย สัมผัสกับบางคนท่ีเขาท�ำความเลวมาตลอด  เขาไม่เคยคิดว่าเขา ทกุ ข์ใจ  เขามคี วามรู้สึกเฉย ๆ  ไมค่ ิดว่าเป็นเร่ืองเสียหายหรืออะไร ตอบ : อนั นเ้ี กยี่ วกบั ความเคยชนิ นะครบั   ท�ำเสยี จนเคยชนิ แต่ไม่ได้หมายความว่าวิบากกรรมเขาจะไม่ได้รับนะครับ  ในโอกาส ต่อไปข้างหน้าคือช่วงนั้นมันอาจจะยังไม่ถึงเวลา  หรือยังไม่พร้อม maturity ของกรรมยังไม่มี  เขากเ็ พลดิ เพลินไปกอ่ นและเขาชนิ กบั การท�ำความชว่ั   คลา้ ย ๆ  กบั เดก็ ทไี่ มป่ ระสา  จะเลน่ อจุ จาระได้  แต่ เราจะรู้สึก  แหมไม่ไหว ๆ  แต่เด็กจะเล่นหน้าตาเฉย  แต่เราท่ีเป็น ผู้ใหญ่รู้เร่ืองรู้ราวแล้วจะรังเกียจแต่แกไม่  พอแกโตขึ้นรู้เร่ืองราว แล้วแกก็จะรู้สึกเหมือนเรา  น่ันเป็นเพราะความเคยชิน  เล่นโคลน  เลน่ ทรายเหมอื นกนั นะครบั   ถา้ เราหา้ มเดก็ จะรอ้ งใหญเ่ ลย  หา้ มไม่ ให้เลน่ ทรายสกปรก  อยทู่ ีค่ วามเคยชิน ถาม : นกึ ถงึ ตวั เองวา่ สมยั กอ่ นตอนเดก็  ๆ  ตอนเปน็ วยั รนุ่ เราจะท�ำเรื่องบางอย่างซ่ึงพ่อแม่ห้าม  แต่เราเห็นว่าไม่ต้องห้ามไม่ เหน็ เสยี หาย  แตพ่ อเรามาถงึ อายรุ ะดบั หนงึ่   เราจงึ รวู้ า่ ทท่ี ำ� ไปตอน น้นั มนั เสียหาย

58 สัมมาทิฎฐิมีสองระดับ ตอบ : นีแ่ สดงวา่   maturity  วุฒิภาวะของเรามาถงึ เข้า  เลอื่ นชนั้ ขน้ึ ไป  ยง่ิ ปญั ญาจกั ษเุ ราละเอยี ดเทา่ ไร  เรายง่ิ เหน็ ความดี ไดล้ ะเอยี ด  เหน็ ความชวั่ ละเอยี ดมากขนึ้ เทา่ นน้ั   แตถ่ า้ ยง่ิ ตามดื บอด เทา่ ไรกย็ งิ่ ไมเ่ หน็ เลย  หลมุ อยขู่ า้ งหนา้ กม็ องไมเ่ หน็ กต็ กหลมุ   เพราะ ตาบอด  สนกุ ดี  คดิ ไปเสียอกี ว่าตกหลมุ สนกุ ดี เอาล่ะครับ  ผมคิดว่าเวลาหมดแล้ว  ขอขอบคุณท่าน  ท้ังหลายที่ได้กรุณาให้เกียรติมาฟังค�ำบรรยายในวันน้ี  แต่ถ้าไม่มี สัมมาทิฏฐิแล้วจะพัฒนาไม่ข้ึน  มีสัมมาทิฏฐิแล้วการพัฒนาจะไป ไดเ้ รว็   เพราะเปน็ ตวั ตน้ ของการพฒั นา  หากมสี มั มาทฏิ ฐิเสยี อยา่ ง หนงึ่   อยา่ งอื่นก็จะเบาไปไดม้ าก  ขอให้ช่วยกันนะครบั ในการฟงั ในการสอนเรอ่ื งอยา่ งน ้ี ผมถอื วา่ หนง่ึ เทา่ กบั รอ้ ย  เหมือนเราปลูกมะม่วงต้นหน่ึงจากเมล็ดเดียว  พอข้ึนเป็นต้นแล้ว เม่ือมันออกลูก  ลูกมันเป็นพัน  หน่ึงเท่ากับร้อย  หนึ่งเท่ากับพัน ผมไปสอนหนงั สอื อยทู่ กุ วนั อาทติ ยค์ รบั   มคี นฟงั ประมาณสกั สบิ หา้ คนที่วัดบวรนิเวศฯ  เฉพาะฆราวาส  วัยก็ขนาดนี้  ๗๐,  ๕๐,  ๖๐,  ๔๐, ๓๐  ๒๐  อยา่ งตำ�่ ก ็ ๒๐  ไปฟงั กนั อยทู่ กุ อาทติ ย ์ บางคนกบ็ น่ ว่าน้อย เสียดายว่าของดี ๆ  มีคนมาฟังน้อย  ผมบอกว่าไม่เป็นไร  หนึ่งเทา่ กบั ร้อย  เพราะวา่ จะแตกออกไป  จากหนงึ่ ของทา่ นจะแตก ออกไป  นี่ก็เหมือนกัน  คือว่าถ้าท่านได้รับประโยชน์  ประโยชน์อัน

59อ.วศิน อินทสระ น้ีก็จะแผ่ออกไปสู่คนใกล้ชิด  คนใกล้เคียง  ในโอกาสปีใหม่ก็ขอถือ โอกาสนอี้ วยพรใหท้ กุ ทา่ นไดม้ คี วามสขุ และประสบความส�ำเรจ็ ในการ ศกึ ษา  ในการงาน ในการด�ำเนนิ ชวี ติ ใหไ้ ดส้ �ำเรจ็ สมความประสงคท์ กุ ประการ  ขอใหโ้ ชคดี ตวั แทนผรู้ บั ฟงั การบรรยาย  :  ในนามคณะอาจารยแ์ ละนสิ ติ   ขอกราบขอบพระคณุ ทา่ นอาจารยเ์ ปน็ อยา่ งยงิ่   ทไ่ี ดส้ ละเวลาอนั มคี า่ เปน็ อยา่ งยง่ิ   ในการทำ� งานมาใหค้ วามรเู้ รอ่ื งสมั มาทฎิ ฐกิ บั การพฒั นามนษุ ย์  จากการฟังค�ำบรรยายของท่านอาจารย์ผมรู้สึกประทับใจ  ท่านได้ ให้กุญแจท่ีถูกต้องมาไขประตูชีวิตของเรา  ให้ได้เข้าใจความหมาย  ท่ีถูกต้องของสัมมาทิฎฐิ  ปัจจัยท่ีเป็นส่ิงเก้ือหนุนสัมมาทิฎฐิท้ัง ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก  ตลอดจนเหตุปัจจัยต่างๆ  ท่ีเป็น บอ่ เกดิ ความเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ ง  ประทบั ใจตวั อยา่ งประกอบคำ� บรรยาย ของท่าน  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้ทั้งหลายที่เราได้รับวันน้ีจะน�ำ ไปใช้ในการพัฒนามนุษย์และการท�ำงานของพวกเราต่อไป  และ  เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ทจี่ ะตอ้ นรบั กบั ชวี ติ ทห่ี นไี มพ่ น้ ภาวะวกิ ฤตใิ นขณะ นดี้ ว้ ยจติ ใจทสี่ งบ  ขอกราบขอบพระคณุ ทา่ นอาจารย ์ ณ  โอกาสน้ี



ความคิดที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ)



ปริยายเบ้ืองต่�ำ กลา่ วโดยปรยิ ายเบอ้ื งตำ�่   (เหฏฐมิ ปรยิ าย)  หรอื โดยทวั่ ไป ความด�ำรชิ อบกค็ อื ความคดิ ชอบ  (Right Thought)  คดิ ในทางมคี ณุ   ประโยชนท์ งั้ แกต่ นและแกผ่ อู้ น่ื   วางแนวจติ ของตนไวใ้ นทางทจ่ี ะกอ่ ให้ เกดิ ประโยชน ์ จติ วทิ ยาบอกเราวา่ ความคดิ ของคน มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ชวี ติ   จติ ใจของเขาเปน็ อนั มาก  คนคดิ อยา่ งใดบอ่ ย ๆ  ในทส่ี ดุ กจ็ ะเปน็ อยา่ ง  ท่ีเขาคดิ   (All that we are is the result of what we have thought.)  ทงั้ นเ้ี พราะพลงั จติ ของเขานนั่ เองผลกั ดนั ใหเ้ ปน็ ไป  บคุ คล มกี ระแสจติ พงุ่ แรงไปในทางใด  วถิ ชี วี ติ ของเขายอ่ มหนั เหไปทางนน้ั ในทางเดียวกนั น้นั   ยอ่ มมีบุคคลเดนิ อย่มู ากดว้ ยกนั ใครมีกระแส ความคดิ แรง  ยอ่ มมคี วามพยายามสงู   ความพยายามสงู ประกอบดว้ ย สตปิ ญั ญาทเ่ี ขามอี ย ู่ ยอ่ มกา้ วลำ�้ หนา้ ผทู้ เ่ี ดนิ อยใู่ นแนวเดยี วกนั   หรอื ในทางเดยี วกนั   เหมอื นมา้ ฝเี ทา้ ด ี สามารถวงิ่ ลำ้� หนา้ มา้ ฝเี ทา้ ไมด่ ไี ป

64 ปริยายเบ้ืองต�่ำ เมอื่ เรารวู้ า่ ความคดิ ของเรามอี ทิ ธพิ ลตอ่ การด�ำเนนิ ชวี ติ และ  อนาคตของเรามากอยา่ งน ี้ ควรหรอื ไม ่ ทเี่ ราจะสรา้ งความคดิ ของเรา  ใหด้  ี วางแนวจติ ของเราใหถ้ กู ตอ้ ง  เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยและเพอื่ ผลในทาง ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจ�ำวนั   ขอแยกกลา่ วเปน็ เรอ่ื ง ๆ พอเปน็ แนวทางดงั น้ี ๑.  ความตงั้ ใจในทางด ี คอื คนทจี่ ะท�ำอะไรใหไ้ ดด้ นี นั้   เบอ้ื งแรก  ตอ้ งมคี วามตง้ั ใจเสยี กอ่ น  อนั นหี้ ลงั จากทม่ี คี วามเหน็ อนั ถกู ตอ้ งแลว้ วา่   สงิ่ นนั้ ด ี กเ็ รมิ่ ตง้ั ใจ  คนทกุ คนตอ้ งมคี วามตง้ั ใจ  ถา้ ไมต่ งั้ ใจในทางด ี กต็ อ้ งตง้ั ใจในทางชวั่   แตท่ กุ คนยอมรบั วา่   การตงั้ ใจในทางดยี อ่ มจะดกี วา่   การตงั้ ใจในทางชวั่   พยายามใหก้ ระแสจติ ของเราพงุ่ ไปในทางด ี จะมอง  คนอนื่ กพ็ ยายามมองใหเ้ หน็ แงด่ ขี องเขา  ถงึ เขาจะมคี วามชว่ั อยบู่ า้ ง กต็ าม ความตง้ั ใจในทางดนี  ี้ เชน่   ตงั้ ใจอยเู่ สมอวา่ จะเปน็ คนด ี เปน็   พระด ี เปน็ สาม ี หรอื เปน็ ภรรยาทด่ี  ี และตงั้ ใจจะท�ำความด ี การทเ่ี รา  จะเปน็ คนดนี น้ั   ไมต่ อ้ งเอาตวั ไปเทยี บกบั ใคร  และไมต่ อ้ งเอาใครมา เทียบกบั ตวั   แตเ่ ราใช้วิธเี ทยี บกบั ตวั เราเอง  คือตวั เราวันน้ี  กบั ตวั เราเมอ่ื วานนเี้ ปน็ อยา่ งไร  ตวั เราเดอื นนก้ี บั เดอื นกอ่ น  ปนี กี้ บั ปกี อ่ น เราดขี นึ้ หรอื เลวลง  หรอื เหมอื นเดมิ   เราอาจเอาเรอื่ งหลาย ๆ  เรอื่ งท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั ตวั เราโดยตรงยกขนึ้ พจิ ารณา  เชน่   เศรษฐกจิ   สขุ ภาพทาง กาย-ทางจติ   ความร ู้ ความสามารถ  มนษุ ยสมั พนั ธ์ ความกา้ วหนา้   ในการงานที่ประสงค ์ ฯลฯ

65อ.วศิน อินทสระ ความกา้ วหนา้ -ถอยหลงั ของเรอ่ื งเหลา่ นน้ั อาจกลมกลนื กนั หรอื ขดั แยง้ กนั กไ็ ด ้ ในกรณที ก่ี ลมกลนื กนั   ไมม่ ปี ญั หา  แตป่ ญั หาจะ เกดิ ขน้ึ แกเ่ ราในกรณที ม่ี นั ขดั แยง้ กนั   ซงึ่ เราจะตอ้ งเลอื กเอาอยา่ งใด  อยา่ งหนงึ่   เชน่   ความกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ กบั สขุ ภาพจติ   เมอ่ื เกดิ   ขดั แยง้ กนั ขน้ึ   พวกทย่ี ดึ ปรชั ญาชวี ติ ในแงว่ ตั ถนุ ยิ มจะเลอื กเอาความ กา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ   ยอมใหส้ ขุ ภาพจติ เสอื่ ม  สว่ นผยู้ ดึ ปรชั ญาชวี ติ   ในแงจ่ ติ นยิ ม  จะเลอื กเอาความกา้ วหนา้ ทางสขุ ภาพจติ   ยอมใหเ้ รอื่ ง  เศรษฐกิจเส่อื มไป  ดังน้ีเป็นตน้ การเลอื ก  หรอื ทางเลอื กน ี้ คนสมยั ใหมเ่ รยี กคา่ นยิ ม  (Value)  คนมจี ติ ส�ำนกึ ใหค้ า่ นยิ มในสงิ่ ใด  ยอ่ มตคี า่ ของสง่ิ นน้ั สงู กวา่ อกี สงิ่ หนงึ่   หรอื หลายสงิ่   เมอื่ จ�ำเปน็ ตอ้ งเลอื ก  ตวั อยา่ งเชน่   ก.  มคี า่ นยิ มทาง  วชิ าการ  ข.  มคี า่ นยิ มทางต�ำแหนง่   ยศศกั ด ์ิ เมอื่ ถงึ คราวตอ้ งเลอื กเอา  อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ โดยไมม่ ที างหลกี เลยี่ ง  ก.  ยอ่ มปดั เรอ่ื งต�ำแหนง่ และ  ยศศกั ดทิ์ ง้ิ ไป  เลอื กเอาความกา้ วหนา้ ทางวชิ าการ ถา้ มอี กี คนหนงึ่ คอื   ค.  ใหค้ ่านิยมแก่ทรัพยส์ นิ หรอื ความมง่ั คัง่   ค. ยอ่ มปดั ยศศักดิแ์ ละ วชิ าการทง้ิ   ยดึ เอาทรพั ยส์ นิ ไว,้   ทง้ั   ๓  สง่ิ ดงั กลา่ วมา  เปน็ การยากทค่ี น  คนเดียวจะสามารถยึดไว้ได้ทั้งหมด  มนุษย์ในสังคม  โดยเฉพาะใน สังคมใหญ่ ๆ  จึงมักต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งหรืออย่างมาก กไ็ ดเ้ พียง  ๒  อย่าง

66 ปริยายเบื้องต�่ำ เมอื่ ความคดิ ของบคุ คลพงุ่ ไปทางใด  กระแสจติ ของเขาเดนิ อยทู่ างใด  วถิ ชี วี ติ ของเขากย็ อ่ มเปน็ ไปทางนน้ั   ความคดิ เปรยี บเหมอื น  นายทา้ ยเรอื   สว่ นวถิ ชี วี ติ เปรยี บเหมอื นหวั เรอื   พวงมาลยั หมนุ ไปทางใด  หวั เรอื ยอ่ มหมนุ ไปทางนนั้   เปรยี บดว้ ยรถกไ็ ด้  ความคดิ เปรยี บเหมอื น พวงมาลยั รถ  ส่วนวิถีชวี ิตเปรยี บเหมอื นดา้ นหนา้ ของรถ พอจะเหน็ ไดแ้ ลว้ วา่   ความคดิ มคี วามส�ำคญั เพยี งใด  จงึ จ�ำเปน็   อยา่ งยงิ่ ทจี่ ะตอ้ งตง้ั ความคดิ ไวใ้ นทางทดี่ ที ช่ี อบ  วถิ ชี วี ติ ของคน  การด�ำเนนิ   ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปทันที  ถ้าความคิดของเขาเปลี่ยนไป  ไม่ว่า ทางดหี รือทางชั่ว ๒.  ความคดิ ในการตอ่ สอู้ ปุ สรรค  ชวี ติ ทกุ ชวี ติ ยอ่ มไดพ้ บ กบั อปุ สรรคมากบา้ ง  นอ้ ยบา้ ง  ถา้ เตบิ โตขน้ึ มตี �ำแหนง่ ยศศกั ดส์ิ งู ขน้ึ   อปุ สรรคกย็ อ่ มใหญข่ น้ึ ตามกนั   งานใหญ ่ อปุ สรรคกใ็ หญเ่ หมอื นเรอื ใหญ่  ต้องคล่ืนใหญ่  คนท่ีจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้น้ัน  ต้องมีความคิดใน ทางต่อสู้  ท่ีเรียกในภาษาวิชาการว่า  Positive  Thinking  ไม่ใช่  คดิ ในทางเลย่ี งหน ี หรอื   Negative  Thinking  เมอื่ บคุ คลคดิ ในทางสู้ พลงั จติ นนั้ เองจะชว่ ยหนนุ ใหพ้ ลงั กายพรอ้ มในการทจ่ี ะตอ่ ส ู้ ตวั อยา่ ง  สนุ ขั ทเี่ หน็ สนุ ขั อกี ตวั หนงึ่ วางทา่ จะกดั มนั   ถา้ มนั คดิ ส ู้ พลงั ทจ่ี ะตอ่ สู้ ยอ่ มท�ำใหท้ า่ ทางของมนั องอาจขนึ้   กลา้ มเนอื้ ของมนั แขง็ และเหนยี วขน้ึ   แต่ถ้ามันไม่คิดสู้  มันกลัว  พลังท่ีจะต่อสู้ก็ไม่มี  กล้ามเน้ือหย่อน  ท่าทางหงอย  บางทีถงึ กับคลานเข้าไปหมอบลงตอ่ หน้าอกี ตวั หนง่ึ

67อ.วศิน อินทสระ จติ วทิ ยาบอกเราวา่   ความไมก่ ลวั นนั้ มปี ระโยชนแ์ กก่ ลา้ มเนอื้   สมอง  และหวั ใจของเรามาก  ตรงกนั ขา้ มกบั ความกลวั ซงึ่ จะท�ำลายเรา  ทกุ อยา่ ง มนุษย์ท่ีจะต้องต่อสู้  ก็ต้องใช้พลังความคิด  ก�ำลังใจเป็น อันมาก  เราจ�ำเปน็ ต้องสรา้ งความคิดในการตอ่ สอู้ ุปสรรครอบด้าน คนที่ประสบความส�ำเร็จรุ่งโรจน์นั้นล้วนเป็นผู้มีก�ำลังความคิดแข็ง สามารถเอาชนะอปุ สรรคไดท้ งั้ สน้ิ   เพราะอปุ สรรคขวางหนา้ ผลส�ำเรจ็ ทุก ๆ  อย่างอย ู่ เหมอื นของดีอยใู่ นตู้กระจก  เราจะต้องเปิดกระจก หรอื ทบุ กระจกเขา้ ไปหยิบเอา ความจรงิ อปุ สรรคนน้ั เปน็ เครอื่ งทดลองก�ำลงั ใจ  ก�ำลงั ความ  สามารถของคน  มนั เหมอื นเทพธดิ าทมี่ าในรปู ของมารรา้ ย เมอื่ เหน็ เราส ู้ จะแพห้ รอื ชนะไมส่ �ำคญั   ความส�ำคญั อยทู่ เ่ี ราสู้ เทพธดิ ากจ็ ะเผย ตวั จริงให้เหน็   ท�ำใหเ้ ราชนื่ ใจ เมอ่ื อปุ สรรคอนั หนกั หนว่ งไดผ้ า่ นพน้ ไปแลว้   เหลอื ไวแ้ ตค่ วาม  ทรงจ�ำในความส�ำเรจ็ ของเรา  เราจะชนื่ ใจไปตลอดชวี ติ   เมอ่ื นกึ ถงึ มนั   ถา้ ไมส่ �ำเรจ็   กเ็ ปน็ บทเรยี นอนั ดยี ง่ิ ของชวี ติ   ใหเ้ ราไดเ้ รยี นรวู้ า่ ท�ำไมเรา จงึ ไมป่ ระสบผลส�ำเรจ็ ในเรอ่ื งนนั้   ท�ำใหเ้ ราตอ้ งหาขอ้ บกพรอ่ งของเรา  ใหไ้ ด ้ คน้ หาวธิ กี ารใหมเ่ พอื่ ความส�ำเรจ็ ในกา้ วตอ่ ไป  และเพราะบทเรยี น  แหง่ ความลม้ เหลวอนั นน้ั เอง  อาจน�ำเราไปสคู่ วามส�ำเรจ็ อนั ยงิ่ ใหญก่ วา่   ดีกว่า  มคี ุณค่ามากกว่า

68 ปริยายเบ้ืองต�่ำ เพราะฉะนนั้   เมอ่ื เหน็ ทางดแี ลว้   จงึ ไมค่ วรยอ่ ทอ้ ตอ่ อปุ สรรค ตอ้ งมคี วามคดิ ในการตอ่ ส ู้ ความคดิ ของคนมคี วามส�ำคญั ตอ่ ชวี ติ ทงั้ ชีวิตของเขา  เขาจะเป็นอยา่ งไรกส็ ดุ แลว้ แต่ความคิดของเขา ความส�ำคญั ของความคิด เพอื่ ใหท้ า่ นไดเ้ หน็ วา่   ความคดิ ของคนมคี วามส�ำคญั ตอ่ ตวั เขา  อยา่ งไร  ขา้ พเจา้ ขอน�ำแนวคดิ ของปราชญต์ า่ ง ๆ  มาใหท้ า่ นพจิ ารณา ขอยกเอาค�ำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่าวก่อน พระองคท์ รงยำ้� เรอื่ งความส�ำคญั ของจติ หรอื ความคดิ ไวม้ ากเหลอื เกนิ นกั ปรชั ญาทง้ั หลายเมอื่ ศกึ ษาแนวคดิ ของพระองคแ์ ลว้   กจ็ ดั พระองค์ ไว้ในประเภทนักปรชั ญาจติ วาท  หรือจิตนิยม  (Idealist) ค�ำสอนของพระองค์ท่าน  ท่ีบ่งบอกถึงความส�ำคัญของ ความคดิ มมี ากมายด้วยกนั   ขอยกมาเพยี งเลก็ น้อยดังน้ี ๑.  ในคมั ภรี ธ์ รรมบท  (ขทุ ทกนกิ าย  พระไตรปฎิ ก  ๒๕/๑๕) ตรัสไวว้ า่ “มโนปพุ ฺพงฺคมา  ธมมฺ า มโนเสฏฺา  มโนมยา มนสา  เจ  ปทฏุ ฺเน ภาสติ  วา  กโรต ิ วา ตโต  นํ  ทกุ ฺขมเนฺวติ จกฺกวํ   วหโต  ปทํ

69อ.วศิน อินทสระ สงิ่ ทง้ั หลายทง้ั ปวงมคี วามคดิ เปน็ ประธาน  ส�ำคญั ทค่ี วามคดิ ย่อมส�ำเร็จได้ด้วยความคิด  ถ้าคนคิดไม่ดี  ย่อมพูดไม่ดีและท�ำไม่ดี หลังจากน้ันความทุกข์ก็ตามมา  เหมือนล้อเกวียนตามรอยเท้าโคที่ ลากเกวยี นไป” ดร.ราธกฤษนนั ๑  นกั ปรชั ญานามอโุ ฆษแหง่ อนิ เดยี   ไดก้ ลา่ ว ส่งเสริมพระพุทธภาษิตนี้ไว้ว่า  “ความคิดมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อชีวิต และสงั คมของมวลมนษุ ย ์ สง่ิ ทง้ั หลายทง้ั ปวงทเี่ ราเปน็ อย ู่ เปน็ ผล แหง่ ความคดิ ของเรา  ในปรยิ ายหนง่ึ   เปน็ ความจรงิ ทว่ี า่ เราอยใู่ นโลก แหง่ วตั ถ ุ แตก่ ลา่ วโดยปรยิ ายทสี่ �ำคญั ยง่ิ กวา่ นนั้   เราอยใู่ นโลกแหง่ ความคดิ   ถา้ เราเปลย่ี นความคดิ ได ้ ชวี ติ ของเรากจ็ ะเปลย่ี นไป  และ ลักษณะความเปน็ อยูข่ องโลกก็จะพลอยเปล่ยี นไปดว้ ย” ความหมายของพระพุทธภาษิต  และค�ำส่งเสริมของ ดร.ราธกฤษนัน  ก็คือ  ความคิดเป็นสิ่งส�ำคัญท่ีสุดซึ่งมีอิทธิพล ในการเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตของคน  เปล่ียนแปลงสังคมและโลก เมื่อความคิดเปลี่ยนไป  การด�ำเนินชีวิตของคนย่อมเปล่ียนไป การปลย่ี นไปแหง่ การด�ำเนนิ ชวี ติ ของคน  ยอ่ มหมายถงึ การเปลยี่ นแปลง  ของสังคม  เมื่อสังคมเปลี่ยนไป  โลกก็ย่อมเปล่ียนไปด้วย  เพราะ สงั คมประกอบขึ้นเป็นโลกมนษุ ย์ ๑ Radhakrishnan : The Dhammapada : Oxford University Press

70 ปริยายเบ้ืองต่�ำ ขอยกตัวอย่างสักเล็กน้อย  เม่ือแนวคิดของคนเพ่งเล็งไป  ในความกา้ วหนา้ ทางวัตถเุ ปน็ จดุ หมายปลายทางของชวี ติ   พวกเขา  ย่อมมุ่งแสวงหาวัตถุเป็นจุดส�ำคัญ  เอาวัตถุมาเป็นเครื่องวัดความ  ส�ำเร็จแห่งชีวิต  สังคมโลกก็เปล่ียนแปลงโน้มเอียงไปในทางวัตถุ  วนุ่ วายอยกู่ บั วตั ถ ุ แตถ่ า้ แนวคดิ ของคน  (Mental  attitude)  พงุ่ ไป  ในทางความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางจติ ใจ  พวกเขายอ่ มมงุ่ ไปในทางพฒั นา จติ ใจ (Mental Development)  เปน็ ส�ำคญั   แขง่ ขนั กนั พฒั นาจติ ใจ  วา่ ใครจะใจสงู กวา่ ใคร  คนทจี่ ะไดร้ บั การยกยอ่ งนบั ถอื มากทสี่ ดุ คอื คนที่ใจสูงที่สุด  ความวุ่นวายย่อมไม่มี  เพราะการพัฒนาจิตใจ  มีความสงบเป็นปจั จัยส�ำคัญ ๒.  มผี ถู้ ามพระพทุ ธเจา้ วา่   “อะไรน�ำโลกไป  อะไรท�ำใหโ้ ลก ตอ้ งดน้ิ รน  สงิ่ ทง้ั ปวงตกอยใู่ นอ�ำนาจของอะไร”  พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบ วา่   “ความคดิ น�ำโลกไป  ความคดิ ท�ำใหโ้ ลกดนิ้ รน  สง่ิ ทงั้ ปวงตกอย ู่ ใตอ้ �ำนาจของความคดิ นน่ั แหละ”๑ อธบิ ายวา่   โลกจะไปทางไหน  (โลกในทนี่ ห้ี มายถงึ หมมู่ นษุ ย)์   ก็สุดแล้วแต่ความคิดของมนุษย์จะน�ำไป  จะไปทางดีหรือทางชั่ว ทางสงบหรอื ทางวนุ่ วาย  ทางสงเคราะหเ์ มตตากนั หรอื ทางเบยี ดเบยี น กนั   กส็ ดุ แล้วแต่ผู้น�ำโลก  คอื ความคิดหรือจิตมนุษยน์ น่ั เอง ๑ เทวตาสังยุต สงั ยุตตนกิ าย ๑๕/๕๔

71อ.วศิน อินทสระ โลกคอื หมมู่ นษุ ย ์ ดน้ิ รนกเ็ พราะจติ ดน้ิ รนหรอื ความคดิ ของเขา  นน่ั เองดนิ้ รน  พอความคดิ ของเขาสงบ  โลกกส็ งบ  สง่ิ ทง้ั ปวงจงึ ตกอย ู่ ภายใตอ้ �ำนาจแหง่ ความคดิ อยา่ งแทจ้ รงิ   ถา้ ความคดิ ของมนษุ ยอ์ ยใู่ น  ภาวะที่สงบ  โลกนี้จะสงบลงทันที  ความสุขก็เกิดตามขึ้นมาทันที เหมอื นกัน ๓.  มีเรื่องหน่ึงเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล  คือ  พระรูปหนึ่ง กราบทลู พระพทุ ธเจา้ วา่   สกิ ขาบทบญั ญตั  ิ คอื พระวนิ ยั และธรรมที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวน้ น้ั มมี ากเหลอื เกนิ   รกั ษาใหบ้ รสิ ทุ ธบ์ิ รบิ รู ณ์ ไมไ่ หว  เหยยี ดมอื เหยยี ดเทา้ ไมค่ อ่ ยได ้ ดจู ะผดิ ไปเสยี หมด จะบวชอยู่ ตอ่ ไปไมไ่ หวแน่  อยากจะขอลาสกึ ไปประพฤตธิ รรมในเพศฆราวาส พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “ถ้าเธอสามารถรักษาส่ิงสิ่งหน่ึงได้ ก็ไม่ต้องรักษาอะไรอ่ืนอีก  ธรรมและวินัยเป็นอันมาก  เป็นอันเธอ รักษาได้หมด  และมีความสุขเป็นผลด้วย”  พระรูปน้ันทูลถามว่า ส่ิงสิ่งน้ันคืออะไร  ตรัสตอบว่า  คือความคิด  ถ้ารักษาความคิดได้ อยา่ งอื่นก็เปน็ อนั รกั ษาไดห้ มด  ภกิ ษุนั้น  รบั วา่   พอรกั ษาได้ ท่านปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำของพระพุทธเจ้า  โดยพยายาม รกั ษาความคดิ ใหอ้ ยใู่ นรอ่ งรอยทด่ี ที ชี่ อบ  ไมช่ า้ กไ็ ดส้ �ำเรจ็ อรหตั ตผล

72 ปริยายเบื้องต�่ำ พระพุทธภาษิตท่ียกมา  ๓  เรื่องน้ีพอเป็นตัวอย่าง  ยังมี อกี มากมายเหลอื เกนิ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหเ้ หน็ ความส�ำคญั ของ ความคดิ   ความส�ำคญั แหง่ ความคดิ นน้ั ควรจะเปน็ บทเรยี นอนั ยงิ่ ใหญ่ ของมนษุ ยท์ เี ดยี ว  หมายความวา่ มนษุ ยค์ วรจะไดเ้ รยี นรคู้ วามส�ำคญั อนั ยง่ิ ใหญข่ องสงิ่ นต้ี ง้ั แตห่ นมุ่ สาว  มนั จะเปน็ ประโยชนใ์ นการด�ำเนนิ ชวี ติ ของเขาไปตลอดชาต ิ ชว่ ยใหเ้ ขามคี วามสขุ สดชน่ื ชว่ ยลดทกุ ขท์ ่ี มนุษยช์ อบสรา้ งขึ้นมาหลอกตัวเอง เจ.  เอ.  แฮดฟลี ด์  จติ แพทย์เรอื งนามชาวอังกฤษไดเ้ ล่า ไว้ในหนงั สอื เรอ่ื ง  จติ ตานุภาพ (Psychology of Power) ของเขา ว่า  เขาได้ทดสอบชาย  ๓  คน  เพ่ือหาข้อเท็จจริงว่าจิตใจจะท�ำให้ ก�ำลงั ทางกายเปลย่ี นแปลงไปอยา่ งไรหรอื ไม่  เขาใหช้ าย  ๓  คนบบี เครอ่ื งวดั ก�ำลงั แรงของกลา้ มเนอื้   (ไดนาโมมเิ ตอร)์   ใหแ้ รงทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะแรงได้  เขาทดสอบ  ๓  วาระ วาระแรกในห้องทดลองในขณะปกติธรรมดา  ผลปรากฏ ออกมาว่า  โดยสว่ นเฉล่ียคนหนึ่งบีบไดแ้ รง  ๑๐๑  ปอนด์ พอถงึ วาระทส่ี อง  เขาสะกดจติ คนทงั้   ๓  แลว้ ทดลอง  โดย  บอกให้พวกเขาทราบว่าเวลานี้ท้ัง  ๓  คนเป็นผู้อ่อนแอมาก  ก�ำลัง ออ่ นเพลยี เตม็ ท ี แลว้ ใหบ้ บี ไดนาโมมเิ ตอร ์ ปรากฏผลการบบี เฉลย่ี   แล้วได้คนละ ๒๙  ปอนด์  น้อยกว่า  ๑  ใน  ๓  ของการทดลอง ครงั้ แรก

73อ.วศิน อินทสระ ความจรงิ   ใน  ๓  คนนนั้   คนหนงึ่ เปน็ นกั มวยทม่ี ชี อ่ื เสยี ง  หลงั จากถกู สะกดจติ แลว้   พอไดย้ นิ นายแพทยบ์ อกวา่ เขาเปน็ คนไมม่ แี รง  เขาพดู ข้ึนว่าร้สู กึ แขนของเขาเล็กจว๋ิ คลา้ ยแขนของเดก็ ทารก พอถึงวาระแห่งการทดลองครั้งท่ีสาม  ขณะท่ีชายท้ัง  ๓  ถูกสะกดจิตเช่นเดียวกัน  นายแพทย์แฮดฟีลด์บอกคนทั้ง  ๓  ว่า พวกเขามีก�ำลังแข็งแรงพิเศษทีเดียว  ผลการบีบไดนาโมมิเตอร์คิด เฉลย่ี แลว้ คนละ  ๑๔๒  ปอนด ์ นา่ แปลกจรงิ  ๆ  ในขณะท ่ี คนทง้ั   ๓  คดิ วา่ เขามกี �ำลงั แขง็ แรงเป็นพเิ ศษนนั้   ก�ำลงั กายของเขาสงู ขน้ึ กวา่ ในยามทค่ี ิดว่าตนออ่ นเพลยี เกือบ  ๕๐๐% นค่ี อื ขอ้ พสิ จู นอ์ ยา่ งหนงึ่ ใหเ้ หน็ วา่   แนวความคดิ มอี �ำนาจนา่   พิศวงเพียงใด  มันช่วยเปลยี่ นแปลงพลงั กายไดถ้ งึ เกือบ  ๕๐๐% ชายคนหน่ึงวิตกกังวลมากวิตกโดยไร้เหตุผล  จนเป็น  โรคประสาทพิการ  ต้องลางานไปพักผ่อน  พ่อได้เขียนหนังสือ  ไม่ก่ีตัวใส่ซองให้เขา  บอกว่าให้เปิดอ่าน  เมื่อเขาไปถึงที่พักผ่อน  ณ  เมืองชายทะเลอันมีช่ือเสียง  ไม่มีอะไรดีข้ึนเลย  เขาคงวิตก  หมกมุ่นอยู่อย่างเดิม  และดูเหมือนจะมากกว่าเก่าเสียอีก  เขาเปิด จดหมายของพอ่ ขน้ึ อา่ น  ขอ้ ความในจดหมายเขยี นวา่   “คนคดิ ในใจ  เขาว่าเปน็ อย่างไร  เขากจ็ ะเปน็ อยา่ งน้ัน  -  As a man thinks in his heart, so is he.”

74 ปริยายเบื้องต�่ำ ทแี รกเขาโกรธพอ่ มากทไ่ี มเ่ ขา้ ใจเขา  แตใ่ นทสี่ ดุ เมอ่ื การพกั ผอ่ น  ทเ่ี มอื งชายทะเลไมช่ ว่ ยอะไรเขาไดเ้ ลย  เขากก็ ลบั มาทบทวนค�ำพดู ของพอ่   อกี ครงั้   อกี ครงั้   และอกี ครง้ั ...ประกอบกบั วนั หนงึ่ เดนิ เขา้ ไปในวดั ดว้ ย  ความกลมุ้ ใจ  ไดย้ นิ เสยี งพระ  (ในครสิ ตศ์ าสนา) เทศนาในท�ำนองเดยี วกบั   ทพี่ อ่ สอนอกี   จงึ เหน็ จรงิ วา่   ความทกุ ขค์ วามกงั วลทงั้ หลายนน้ั   เปน็ เพราะ  ความคดิ ของตนเองสรา้ งมนั ขนึ้ มาทงั้ สน้ิ   เขากลบั บา้ นพรอ้ มดว้ ยบทเรยี น  อนั ยงิ่ ใหญ ่ คอื ความส�ำคญั แหง่ ความคดิ   เขาเปลย่ี นแนวคดิ ใหม ่ ไมว่ ติ ก  กงั วลหมกมนุ่ ท�ำใจใหแ้ จม่ ใส  มชี วี ติ ผาสกุ และรงุ่ เรอื งดอี ยา่ งทเี่ ขาไมเ่ คย  คาดหวงั มากอ่ นเลย  แตน่ า่ อศั จรรยค์ อื สงิ่ ทเี่ คยหวาดกลวั วา่ จะเกดิ ขน้ึ   แก่เขา  จนเขาต้องเป็นโรคประสาทพิการหมดก�ำลังน้ัน  ไม่ได้เกิด ข้ึนแก่เขาเลยแม้สักอย่างเดียว  เขากลัวไปเปล่า ๆ  สร้างภาพลวง ขน้ึ มาหลอกตัวเองเปล่า ๆ ด้วยเหตุนี้เอง  เอเมอร์สันจึงกล่าวว่า  “มนุษย์เราจะเป็น อยา่ งทีเ่ ขาคดิ ตลอดทงั้ วัน  -  A man is what he thinks about all day long.” มาร์คุส  ออรีลิยุส  มหาจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันก็ กล่าวไว้ท�ำนองเดียวกันน้ีว่า  “ชีวิตของเราก็จะเป็นไปตามความคิด ของเรา  -  Our  life  is  what  our  thoughts  make  it.” มองตาญ (Montaigne) ปราชญใ์ หญช่ าวฝรงั่ เศสไดแ้ สดง ความเห็นไว้เหมือนกันว่า  “มนุษย์ไม่ปวดร้าวอะไรนักต่อเหตุการณ์

75อ.วศิน อินทสระ ท่ีเกิดข้ึน  แต่ปวดร้าวเพราะเอามาคิดต่างหาก – A man is not hurt so much by what happens as by what opinion of what happens.” และการที่จะคิดถึงเหตุการณ์นั้น ๆ  ให้เป็นไปในรูปใด  ก็สดุ แล้วแตต่ วั ของเราเอง ในหนงั สอื เรอ่ื ง  เปน็ ไปตามความคดิ ของตนเอง (As A Man Think) โดย  เจมส ์ อลั เลน (James Allen) ผปู้ ระพนั ธไ์ ดเ้ ขยี นไวว้ า่ “คนเราไม่ติดเน้ือต้องใจสิ่งใดมากไปกว่าตัวของตัวเอง  เทพเจา้ ผกู้ �ำหนดโชคชะตาของเราคอื ตวั เราเอง  ความส�ำเรจ็ ทกุ ประการ  ของมนุษย์เป็นผลโดยตรงแห่งความคิดของเขาเอง  มนุษย์จะ  ก้าวหน้าจะได้รับชัยชนะและประสบความส�ำเร็จ  ก็โดยการยก  ความคดิ ของเขาใหส้ งู ขนึ้   (By  Lifting  Up  His  Thoughts)  ผอู้ อ่ นแอ  ต่�ำต้อยและประสบความทุกข์ยากก็เนื่องมาจากไม่ยอมยกความคิด ของตนให้สงู ข้นึ ” อยา่ งไรเรยี กวา่   ยกความคดิ ของตนใหส้ งู ขนึ้   พดู ใหส้ น้ั คอื   ไมย่ อมแพแ้ กอ่ �ำนาจฝา่ ยตำ่�   เชน่   ความเกยี จครา้ น  ยกความคดิ ของ ตนใหอ้ ยเู่ หนอื อ�ำนาจแหง่ ความเกยี จครา้ น  เหนอื อ�ำนาจแหง่ ความลงั เล  ไม่แน่นอน  ตรงกันข้าม  ความคิดของเราจะต้องสูง  และม่ันอยู่ใน อดุ มคต ิ ในทางด ี แนน่ อนมนั่ คง  ไมค่ ลอนแคลน  ความคดิ ของเรา  ไม่จม  แต่เปน็ ความคดิ ทเ่ี ฟ่อื งฟู

76 ปริยายเบ้ืองต�่ำ เรือ่ งท�ำนองนี้  พระพุทธเจา้ ตรสั ไวเ้ หมอื นกนั   เช่น “คนยงั หนมุ่ มกี �ำลงั   แตเ่ กยี จครา้ น  ไมล่ กุ ในกาลทค่ี วรลกุ   เปน็   ผมู้ คี วามคดิ จม  (สสํ นนฺ สงกฺ ปปฺ มโน)  และเกยี จครา้ น  ยอ่ มไมพ่ บทาง  แห่งปัญญา”๒ ค�ำวา่   สสํ นนฺ สงกฺ ปปฺ มโน  -  มคี วามด�ำรจิ ม  หรอื ความคดิ จมนนั้   คอื   ไมไ่ ดย้ กความคดิ ขน้ึ   ไมร่ เิ รม่ิ ทจ่ี ะท�ำอะไร  เมอ่ื ไมม่ กี าร รเิ รมิ่ และไมม่ คี วามบากบนั่   กไ็ มม่ ที างทจ่ี ะประสบความส�ำเรจ็ อะไรได้ ทวี่ า่ คนเชน่ นนั้ ยอ่ มไมพ่ บทางแหง่ ปญั ญานนั้   เพราะคนไมท่ �ำงาน ปญั ญายอ่ มไมเ่ กดิ   ทมี่ อี ยบู่ า้ งแลว้ กห็ ดหายไป  แตเ่ มอ่ื ท�ำงาน ยอ่ มมี อปุ สรรค  อปุ สรรคท�ำใหค้ นหาชอ่ งทางเอาชนะอปุ สรรค  อาการเชน่ น้ี  แหละก่อใหเ้ กดิ ปญั ญา  เมอ่ื บอ่ ยเขา้ กเ็ ป็นผู้มากด้วยปญั ญา ศาสตราจารย ์ วลิ เลยี ม  เจมส ์ ผสู้ งู สง่ ทางดา้ นวชิ าการในการ  ปฏบิ ัตทิ างจิตวทิ ยาไดก้ ล่าวไว้วา่ “เคราะหก์ รรมของเรา  เราสามารถเปลย่ี นใหเ้ ปน็ สง่ิ นา่ รกั และ  เปน็ ก�ำลงั ใจของเราได้  ดว้ ยการเปลย่ี นแนวคดิ จากหวาดกลวั มาเปน็   การตอ่ สู้” ๒ ธรรมบท ขุททกนกิ าย ๒๕/๕๒

77อ.วศิน อินทสระ มหาบรุ ษุ อกี ทา่ นหนง่ึ   คอื   ลนิ คอลน์   ไดพ้ ดู ถงึ ความส�ำคญั แห่งความคิดไว้ว่า  “คนทุกคนจะมีความสุขได้มากน้อยก็สุดแล้วแต่ ใจของเขาเอง - Most folks are about as happy as they make up their minds to be.” ท�ำนองเดียวกันนี้  เอเมอร์สัน  กล่าวว่า  “ไม่มีส่ิงใดที่จะ น�ำความสงบสขุ มาให ้ นอกจากตัวทา่ นเอง - Nothing can bring you peace but yourself.” เทา่ ทย่ี กเอาวาทะของปราชญต์ า่ ง ๆ  มาเสนอไวใ้ นทนี่ เ้ี พยี ง เลก็ นอ้ ยน ้ี กน็ า่ จะเพยี งพอส�ำหรบั ใหเ้ ราไดม้ องเหน็ ความส�ำคญั แหง่ ความคิด จริงอยู่สภาพการณ์ภายนอก  เช่น  บ้านเรือน  อาหาร และคนยอ่ มมสี ว่ นในความสขุ หรอื ทกุ ขข์ องเราเหมอื นกนั   แตไ่ มม่ าก เทา่ ความคดิ ของเรา  ถา้ เราคดิ เปน็   ทกุ อยา่ งยอ่ มแปรสภาพมาเปน็ ประโยชนแ์ กเ่ รา  แมค้ วามปราชยั แหง่ ชวี ติ ในบางครงั้ บางคราว  มนั ก็จะเป็นเพียงตอนหนึ่งแห่งกีฬาชีวิต  ท้ังเป็นบทเรียนอันล้นค่าใน การท่ีจะเสริมสร้างเราให้สูงเด่นย่ิงข้ึน  ขออย่างเดียว  ขอให้เราคิด ให้เป็น  รู้จักคิด  และคิดให้ชอบ  ให้ถูกทาง  ท่ีพระพุทธเจ้าทรง เรียกว่า  “จิต  หรือความคิดท่ีตั้งไว้ชอบ”  ความคิดเช่นนั้นย่อมก่อ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กบ่ คุ คลผนู้ นั้ อยา่ งประมาณมไิ ด ้ และใคร ๆ  กท็ �ำให้ เขาไมไ่ ดน้ อกจากตวั ของเขาเอง

78 ปริยายเบื้องต�่ำ มหาตมะคานธี  กลา่ วว่า  “คุณสมบัติเป็นส่ิงซ่อนเรน้ มไิ ด้ ย่อมประจกั ษ์แจ้งอย่บู นใบหน้าแห่งบคุ คลผเู้ ปน็ เจา้ ของเสมอ” อธบิ ายวา่ ใบหนา้ ของบคุ คล  ยอ่ มแสดงถงึ ความคดิ ภายใน จิตใจของเขา  พูดอีกอย่างหน่ึงว่า  ความคิดภายในของบุคคล แสดงออกมาให้เราเห็นทางใบหน้าของเขานั่นเองว่าเป็นคนอย่างไร เช่น  ซ่ือ  ไว้ใจได้  หรือไม่ซ่ือ  ไม่น่าไว้ใจ,  เฉลียวฉลาดหรือโง่ทื่อ อย่างที่เรามักได้ยินคนพูดกันอยู่เสมอว่า  คนนั้นหน้าตาท่าทางซื่อ คนน้หี น้าตาทา่ ทางไมน่ า่ ไว้ใจ ความคิดของเขาน่ันเองสร้างใบหน้าและดวงตาของเขาให้ คนอนื่ ดอู อกวา่ เขาเปน็ คนอยา่ งไร  ความคดิ อนั ยงั่ ยนื ของเขา  สรา้ ง อุปนิสัยของเขา  อุปนิสัยสร้างวิถีชีวิต  เก่ียวกับเรื่องน้ีขอน�ำค�ำใน ภาษาอังกฤษมาประกอบการพจิ ารณาดังน้ี Sow a thought, reap an act; Sow an act, reap a habit; Sow a habit, reap a character; Sow a character, reap a destiny.๓ ความคิดกอ่ ให้เกดิ การกระท�ำ การกระท�ำก่อใหเ้ กิดนิสยั นิสยั หลอมเข้าเป็นอปุ นิสัย อปุ นิสัยสรา้ งวถิ ีชีวิตของบุคคล ๓ Christmas Humphreys : Humphreys : Buddhism หนา้ ๑๐๒

79อ.วศิน อินทสระ อธบิ ายวา่   คนจะเปน็ อยา่ งไร  เปน็ อะไร  ด�ำเนนิ ชวี ติ อยา่ งไร ก็สุดแล้วแต่อุปนิสัยของเขา  อุปนิสัยมาจากนิสัยท่ีสั่งสมไว้นาน ๆ นสิ ยั มาจากการกระท�ำบอ่ ย ๆ  จนเคยชนิ   (อยา่ งทฝ่ี รง่ั เขาวา่ Thirty times make a habit = ๓๐ ครงั้ เปน็ นสิ ยั )  การกระท�ำมาจากความคดิ   (Thought)  ทา่ นจะเหน็ วา่   ตน้ ตอแหง่ โชคชะตาหรอื วถิ ชี วี ติ คน  กค็ อื   ความคดิ ของเขาน่นั เอง มหาตมะคานธี  ได้กล่าวไว้อีกว่า  “การเล่าเรียนทุกอย่าง จะเปน็ การเรยี นพระเวท  เรยี นภาษาสนั สกฤต  กรกี หรอื ละตนิ อยา่ ง  ถกู ตอ้ ง  ไมท่ �ำใหเ้ รามอี ะไรดขี นึ้ มาเลย  ถา้ การเรยี นนน้ั  ๆ  ไมช่ ว่ ยท�ำให้  ใจบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ   บน้ั ปลายของความรทู้ กุ ชนดิ   ควรจะอยทู่ ก่ี ารสรา้ งอปุ นสิ ยั ”  และ  “ความมงุ่ หมายอนั เดด็ เดย่ี วของมนษุ ยก์ ค็ อื เอาชนะนสิ ยั เกา่  ๆ  ของตน  เอาชนะความชวั่ ทม่ี ใี นตน  และคงคนื ความดใี หไ้ ปสทู่ างทถี่ กู   ถา้ ศาสนาไมไ่ ดส้ อนเราใหส้ �ำเรจ็ ผลดงั กลา่ ว  ศาสนานนั้ ยอ่ มไมไ่ ดส้ อนอะไร  ใหแ้ กเ่ ราเลย” นเี้ ปน็ แนวแหง่ ความคิดชอบอกี ประการหนงึ่   คอื ความคิด  ในการเอาชนะนสิ ยั เกา่  ๆ  อนั ชว่ั รา้ ยของตน  เอาชนะความชว่ั ทม่ี ใี นตน  ซง่ึ เปน็ การยากมาก  คนแทบทกุ คนรวู้ า่ มอี ะไรชว่ั อยบู่ า้ งในตน  แตเ่ อาชนะ  มนั ไมค่ อ่ ยส�ำเรจ็   เพราะเหตหุ ลายประการทตี่ า่ งกนั   บางทเี ปน็ เพราะ เขาคดิ เขา้ ขา้ งตวั เองอยเู่ สมอ  ถา้ คนอนื่ ท�ำอยา่ งนน้ั เขาจะเหน็ เปน็ โทษ รา้ ยแรง  แตพ่ อตวั เขาเองท�ำเขา้ บา้ ง  ความคดิ แบบอคตเิ ขา้ ขา้ งตวั เอง  กค็ อยออกรบั และใหอ้ ภยั อยเู่ สมอวา่   เพราะอยา่ งนน้ั อยา่ งน ้ี จงึ เอา 

80 ปริยายเบื้องต�่ำ ชนะตวั เองไมไ่ ด ้ เพราะความคดิ เขา้ ขา้ งตวั เอง  ถา้ เขาท�ำใจเปน็ กลาง  ลอง  สมมตติ วั ขนึ้ อกี ตวั หนงึ่ ใหเ้ ปน็ ผพู้ พิ ากษาการกระท�ำของตนเอง  กจ็ ะได ้ ค�ำพพิ ากษาทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม  แตแ่ ลว้ เขาจะถอยคนื มายนื อยทู่ คี่ วามดี  หรือไม ่ นนั่ เป็นอีกเร่ืองหนึ่งต่างหาก อยา่ งไรกต็ าม  คนทค่ี ดิ อยเู่ สมอวา่ จะเอาชนะตนเองในเรอื่ ง ใด  แมจ้ ะแพค้ รง้ั แลว้ ครง้ั เลา่   ถา้ เขาไมส่ ละความคดิ นน้ั เสยี   กต็ อ้ ง ชนะเข้าวันหน่ึง  และถ้าเขาสามารถรักษาชัยชนะน้ันไว้ได้  ก็จะเป็น ชยั ชนะท่ถี าวรตลอดชีวิต  และจะชนะสืบตอ่ ไปในภพหน้าอีกด้วย





ปริยายเบื้องสูง กล่าวโดยปริยายเบื้องสูง  (อุปริมปริยาย)  ได้กล่าวถึง สมั มาสงั กปั ปะ  โดยเหฏฐมิ ปรยิ ายหรอื ปรยิ ายเบอ้ื งตำ�่ มาพอสมควร แล้ว  ต่อไปน้ีจะกล่าวถึงสัมมาสังกัปปะโดยปริยายเบ้ืองสูง  หรือ อยา่ งละเอยี ด  ซ่งึ มพี ระพทุ ธพจนเ์ ปน็ อเุ ทศดังนี้ “กตโม  จ  ภิกฺขเว  สมฺมาสงฺกปฺโป  โย  โข  ภิกฺขเว  เนกฺ ขมฺมสงฺกปฺโป  อพฺยาปาทสงฺกปฺโป  อวิหึสาสงฺกปฺโป  อยํ  วุจฺจติ ภกิ ขฺ เว  สมมฺ าสงฺกปโฺ ป”

84 ปริยายเบ้ืองสูง แปลวา่   “ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ความด�ำรชิ อบคอื อยา่ งไร  ภกิ ษุ  ทงั้ หลาย  คอื   ความด�ำรใิ นการออกจากกาม,  ความด�ำรใิ นการไมป่ องรา้ ย,  ความด�ำรใิ นการไม่เบยี ดเบยี น  นแ้ี ลเราเรียกวา่ ความด�ำริชอบ” แบ่งเป็น  ๓  หัวข้อ  คือ  ความด�ำริในการออกจากกาม ความด�ำรใิ นการไมพ่ ยาบาท และความด�ำรใิ นการไมเ่ บียดเบยี น ๑.  ความด�ำริในการออกจากกาม  (เนกขัมมสังกัปปะ) กามไดก้ ลา่ วมาโดยละเอยี ดพอสมควรแลว้ ในขอ้ สมทุ ยั อรยิ สจั   หาก ท่านผู้อ่านต้องการ  โปรดอ่านในหนังสือ  ‘อริยสัจ  ๔’  ในท่ีน้ันได้ กลา่ วถงึ โทษของกามตณั หา  พรอ้ มทงั้ วธิ ลี ะกามไวด้ ว้ ยแลว้   ในทน่ี  ี้ จะขอกลา่ วถงึ เรอ่ื ง  ท�ำไมจงึ ตอ้ งมคี วามด�ำรใิ นการออกจากกาม  และ  คณุ ของการหลกี ออกจากกามเสียได้นั้นเปน็ อย่างไร (ก)  ท�ำไมจงึ ต้องมคี วามดำ� ริในการออกจากกาม เบื้องแรกต้องทราบก่อนว่าอริยมรรคมีองค์  ๘  โดย อุปริมปริยายนี้  เป็นทางด�ำเนินไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง  เพ่ือความดับภพท้ังปวง  ท้ังกามภพ  รูปภพ  และอรูปภพ  การท ่ี จะพน้ จากกามเปน็ ตน้ นนั้   ตอ้ งมคี วามด�ำรใิ นการออกจากกามเสยี กอ่ น ความด�ำรนิ นั้ เมอื่ เกดิ ขน้ึ เนอื ง ๆ  (เพราะไดเ้ หน็ โทษของกาม  ตอ้ งการ จะปลกี ตนไปเสยี จากกาม)  ยอ่ มจะชกั น�ำผดู้ �ำรใิ หพ้ น้ ไปเสยี จากบว่ ง ของกาม  (กามปาสะ)  ซง่ึ มลี กั ษณะคลอ้ งสตั วไ์ วใ้ นกามภพ ใหว้ นเวยี น  อยู่ในกามภพ  ต้องสุขบ้าง  ทุกข์บ้าง  ร้องไห้บ้าง  หัวเราะบ้าง 

85อ.วศิน อินทสระ เพราะกามนน้ั เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั   ถา้ คนใดไมเ่ คยด�ำรใิ นการออกจากกามเลย  มปี กตพิ วั พนั หมกมนุ่ อยใู่ นกาม  ทเ่ี รยี กวา่ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยคแลว้   กเ็ ปน็   การยากทจี่ ะหลดุ พน้ ออกไปจากบว่ งของกามได ้ แมผ้ มู้ คี วามด�ำรอิ ย่ ู เนอื งนติ ยก์ ย็ งั ยากอยแู่ ลว้   สมดงั ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่   “กามา  ห ิ โลเก  น  ห ิ สปุ ปฺ หายา  -  กามในโลกนม้ี ใิ ชส่ งิ่ ทจ่ี ะละไดโ้ ดยงา่ ยเลย”  เมอื่ เปน็ ดงั นจ้ี ะกลา่ วไยกบั ผทู้ ไี่ มม่ คี วามด�ำรใิ นการออกจากกาม  ยง่ิ หมกมนุ่   พวั พนั มากเทา่ ใด อารมณแ์ หง่ กามกพ็ อกพนู หนาแนน่ มากขน้ึ เทา่ นน้ั และพยายามแสวงหาวัตถกุ าม  (รปู   เสยี ง  กลน่ิ   รส  โผฏฐพั พะ) ใหม ่ ๆ  เรอ่ื ยไป  เพอื่ มาปรนเปรอความกระหายในกาม  (ปรนเปรอ กิเลสกาม) ให้อ้วนพีขึ้น  มีก�ำลังมากข้ึน  เรื่องท่ีจะให้เบื่อกามโดย วิธีปรนเปรอนั้นไม่มีทางจะเป็นไปได้  พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องนี้ไว้ เหมือนกนั ว่า “น  กหาปณวสฺเสน  ตติ ตฺ  ิ กาเมส ุ วิชฺชติ” “แม้ฝนจะตกลงมาเป็นเงินเป็นทอง  ก็หาท�ำให้คนอ่ิมใน กามไดไ้ ม”่ อธิบายว่า  ทรัพย์สมบัติก็เป็นวัตถุกามอย่างหนึ่งของคน  คนสว่ นมากไดเ้ ทา่ ไร  มกั ไมค่ อ่ ยพอ  มกั ขยายขอบเขตแหง่ ความตอ้ งการ  ออกไปเรอ่ื ย ๆ  เหมอื นไฟไดเ้ ชอ้ื   แมฝ้ นจะตกมาเปน็ เงนิ เปน็ ทองกห็ า สามารถท�ำใหค้ นพอใจไดไ้ ม่  คงตอ้ งแยง่ ชงิ   รบราฆา่ ฟนั กนั อกี เพราะ แยง่ เงนิ ทองนนั้ กนั   พระพทุ ธเจา้ เคยทรงปรารภวา่   “แมภ้ เู ขาใหญส่ กั ๒  ภเู ขาจะกลายเปน็ ทองไป  กค็ งไมพ่ อกบั ความตอ้ งการของคนคน 

86 ปริยายเบ้ืองสูง เดยี ว  บคุ คลทราบดงั นแี้ ลว้   พงึ ประพฤตติ นอยใู่ นสจุ รติ (ไมพ่ งึ ทจุ รติ ในการหาทรพั ย)์   บคุ คลร้แู ลว้ เห็นแล้ววา่ ความทกุ ขม์ มี าเพราะกาม ท�ำไมจึงน้อมใจไปในกามอกี เล่า  เขารู้จักอุปธิ  (กเิ ลส) ว่าเปน็ สงิ่ ท่ี ท�ำให้ข้องอยู่ในโลกแลว้   พงึ ศกึ ษาปฏบิ ตั เิ พอ่ื น�ำอปุ ธนิ ั้นออกเสีย”๑ ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องน้ีมีเหตุมาว่า  สมัยหน่ึงพระองค์ ประทบั อยทู่ ก่ี ระทอ่ มนอ้ ยในปา่ ใกลภ้ เู ขาหมิ วนั ต ์ (หมิ าลยั )  สมยั นนั้   พระราชาทั้งหลายครองราชย์โดยมิได้ตั้งอยู่ในธรรม  เบียดเบียน ราษฎรให้เดือดร้อน  พระผู้มีพระภาคทรงเห็นมนุษย์ท้ังหลายถูก เบยี ดเบียนอยู่เชน่ นัน้   จงึ ทรงด�ำริด้วยพระมหากรุณาวา่ “เราสามารถหรือไม่หนอที่จะครองราชย์โดยธรรม  ไม่ เบยี ดเบยี นเอง  ไมใ่ หค้ นอนื่ เบยี ดเบยี นกนั   ไมร่ บราฆา่ ฟนั กนั   ไมต่ อ้ งแพ้  ต้องชนะกัน  ไม่ให้มีความเศร้าโศกเกิดขึ้นในหมู่ชนอย่างท่ีเป็นอยู่ เวลานี”้ ต�ำนานเลา่ วา่   เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคทรงด�ำรดิ งั น ้ี มารผใู้ จบาป  กเ็ ขา้ มาเสนอหนา้ กราบทลู หนนุ ใหพ้ ระศาสดามอี ตุ สาหะในการครองราชย์  เพราะเหน็ วา่ การครองราชยเ์ ปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาท  เมอื่ พระผมู้  ี พระภาคทรงประมาทอย ู่ มารยอ่ มไดโ้ อกาสเอาชนะพระองคไ์ ด ้ พระศาสดา  ตรสั ถามมารว่า  เหน็ อยา่ งไรจึงสนบั สนนุ ใหค้ รองราชย์ ๑ อ รรถกถาธรรมบท ภาค ๗ มารวตั ถุ หนา้ ๑๖๔ หรอื ทางแหง่ ความดี (ของวศนิ อนิ ทสระ)  เลม่ ๔ วา่ ด้วยเรื่องมาร เร่ืองที่ ๘ ในนาควรรควรรณนา

87อ.วศิน อินทสระ มารทลู วา่   “พระองคท์ รงมอี ทิ ธบิ าท  (คณุ ธรรมเครอื่ งให้ ส�ำเรจ็ ความประสงค)์   ครบบรบิ รู ณ ์ หากทรงหวงั   เพยี งแตน่ อ้ มนกึ เทา่ นนั้ วา่   ‘ภเู ขาหลวงนจี้ งเปน็ ทองเถดิ ’  ภเู ขานนั้ จะกลายเปน็ ทอง ทนั ที  แมข้ ้าพระองคก์ ็จะชว่ ยเหลือพระองค์บ้างในการครองราชย์” มารในจงั หวะน ี้ ถา้ ไมใ่ ชม่ ารเปน็ ตวั เปน็ ตน  กน็ า่ จะหมายถงึ   ความนึกคิดในพระทัยของพระศาสดาน่ันเอง  คือทรงนึกคิดไปว่า ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นน้ี  ถ้าพระองค์ครองราชย์ก็จะครองได้ โดยธรรม  ไม่เบียดเบียนให้ใครเดือดร้อน  และจะใช้วิธีการไม่ให้คน เบยี ดเบียนกนั   แต่แลว้ พระองคก์ ็หกั พระทยั เสยี ได้ สมพระนาม  ‘ภควา’  =  ผมู้ พี ระภาค  หรอื พระผมู้  ี ภคธรรม๒  ทรงเป็นใหญ่ในจิตของพระองค์  ไม่ตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจแห่งความ ปรารถนาอันมิใช่ธรรมของพุทธะ  มารที่พระองค์ทรงชนะได้แล้วก็ เป็นอันชนะได้อย่างเด็ดขาด  ไม่ทรงกลับแพ้อีก  ดังนั้นพระองค์จึง ตรัสกบั มารว่า “ภเู ขาทองค�ำสกั   ๒  ภเู ขากย็ งั ไมพ่ อแกค่ วามตอ้ งการของ คนคนเดยี ว...” ๒ ภ คธรรม ๖ คือ ๑. อิสริยะ ความเป็นใหญ่ในจิตของพระองค์ ๒. ยสะ ยศ หมายถึง เตกะยี ครตวายิ มศเพ๓.ียสรริ ๖ิ ค.วธารมรงมามทแรหงง่ มอีโงลคกาตุ พรยธพรร๔ม. ก(ดาู มสะารคะณุ ส�ทำคพี่ ัญระแอหงง่ ควท์ สิ รุทงธปิมรรารรถคนหาน๕้า. ป๑๐ยตั๐ โดย วศนิ อินทสระ)

88 ปริยายเบ้ืองสูง เรอ่ื งนนี้ า่ จะสะกดิ ใจของผทู้ ตี่ อ้ งการแกป้ ญั หาสงั คมโดยมงุ่ แตท่ างเศรษฐกจิ อยา่ งเดยี ว  ไมน่ �ำพาตอ่ จติ ใจของคนในสงั คมวา่ จะ เปน็ อยา่ งไร  ความจรงิ ถา้ เราแกจ้ ติ ใจของคนได ้ ปญั หาเรอ่ื งเศรษฐกจิ ก็แก้ได้  และแก้ได้ง่ายด้วย  แต่ถ้าแก้ใจของคนไม่ได้  เป็นการยาก เหลือเกินที่จะให้สังคมสงบเรียบร้อยลงได้  เพราะเรื่องยุ่งท้ังหลาย ไปจากใจคนน่ันเอง  จริงอยู่สิ่งแวดล้อมมีส่วนส�ำคัญ  แต่ไม่ส�ำคัญ เท่าใจเขาเอง ขอกลา่ วถงึ เรอื่ งการหลกี ออกจากกามต่อไป ในสมัยพุทธกาลมีพระสาวกของพระพุทธเจ้าหลายท่าน ท่ีมีอัธยาศัยน้อมไปในการหลีกออกจากกาม  เช่น  พระมหากัสสป เมอื่ สมยั เปน็ หนมุ่ ชอ่ื   ปปิ ผลมิ าณพ  ไมป่ รารถนาเกย่ี วขอ้ งดว้ ยกาม เพราะเห็นว่าเป็นภาระ  เป็นความเศร้าหมอง  ต้องน่ังรับบาปที่คน อนื่ ท�ำแมจ้ ะแตง่ งานแลว้ กแ็ ยกกนั นอนกบั คคู่ รอง  ในทสี่ ุดกช็ วนกนั ออกแสวงหาความปลอดโปร่งหลุดพ้นจนได้มาพบกับพระพุทธเจ้า ได้บวชสลดั ตนออกจากกามอย่างเดด็ ขาด-สบาย พระเรวตั   นอ้ งชายพระสารบี ตุ รเป็นนอ้ งชายคนสดุ ทอ้ ง ๑ ญาติ ๆ  เกรงว่าพระสารีบุตรจะชักน�ำไปบวชเสียอีก  จึงให้แต่งงาน เสียแต่เยาว์วัย  หวังว่าจะเป็นเครื่องผูกไว้ในเรือน  ในวันแต่งงาน ญาติทางฝา่ ยหญิงเขา้ มาอวยพรวา่   “จงเห็นธรรมท่ยี ายของเจ้าได้ เห็นแล้ว  จงมีอายุยนื เหมือนยายของเจา้ ” ๑ พระสารบี ตุ รมนี อ้ งชาย ๓ คน คอื จนุ ทะ อปุ เสนะ และเรวตั นอ้ งสาว ๓ คน คอื จาลา อปุ จาลา สสี ปุ ปจาลา ดู อรรถกถาธรรมบท ภาค ๔, อรหนั ตวรรค, เรอื่ งพระเรวตั หรอื ทาง แหง่ ความดี เลม่ ๒ วา่ ดว้ ยอรหนั ตวรรควรรณนา เรอ่ื งท่ี ๙

89อ.วศิน อินทสระ เรวตั กมุ ารสงสยั วา่   อะไรคอื ธรรมทย่ี ายเหน็ แลว้   คนไหน คือยายของกมุ ารีค่คู รองของตน  เขาถามญาตทิ างฝา่ ยหญิง  พวก ญาตใิ หเ้ ขารจู้ กั หญงิ แกอ่ าย ุ ๑๒๐  ปคี นหนงึ่   ซงึ่ ฟนั หกั   ผมหงอก หนงั หดเหย่ี ว  ตวั ตกกระ  หลงั โกง  บอกเรวตั วา่ นแ่ี หละคอื ยายของ กมุ ารี  เรวตั ถามวา่   กมุ ารขี องเขาตอ่ ไปจะเปน็ อยา่ งนห้ี รอื ไม่  พวก ญาตติ อบวา่   ถ้าเขาอย่ไู ปนานจนแก่อย่างนก้ี ต็ ้องเป็นอยา่ งน้ี นอ้ งชายพระสารบี ตุ รสลดใจวา่   “สรรี ะน ี้ แมจ้ ะดงู ามในวยั สาว  แตไ่ มน่ านนกั ชรากม็ ากลนื เอาความงามเหลา่ นนั้ ไปเสยี หมดสนิ้   พชี่ าย  ของเราคงเหน็ อยา่ งนจี้ งึ บวช  ไมไ่ ยดดี ว้ ยสรรี ะอนั ไมย่ ง่ั ยนื มคี วามเจบ็   ความแก่เป็นธรรมดา  เราเองก็ควรจะหนีออกบวช  เพื่อให้พ้นจาก วงเวยี นชวี ิตเสีย  ควรหนีในวนั น้ที เี ดยี ว” เมื่อพิธีแต่งงานเสร็จแล้ว  พาเจ้าสาวกลับบ้านของเขา พร้อมด้วยหมู่ญาติทั้งสองฝ่าย  ขณะเดินทางมาด้วยเกวียน  เขา แกล้งบอกว่าปวดอุจจาระบ่อย ๆ  และต้องลงจากเกวียนบ่อยจน ญาติไม่สนใจ  ในวาระสุดท้ายเขาบอกพวกญาติให้พาเจ้าสาวล่วง หน้าไปก่อน  ตัวเขาเองเสร็จธุระแล้วจะตามไป  พวกญาติเชื่อใจจึง ขับเกวียนพากุมารีล่วงหน้าไปก่อน  เรวัตได้ที  จึงหนีเข้าป่าไปพบ ส�ำนกั สงฆใ์ นป่าจึงขอบวช  ภิกษทุ ั้งหลายทราบวา่ เป็นน้องชายพระ สารีบุตรจึงให้บวชด้วยความเต็มใจ  เพราะพระสารีบุตรได้เคยส่ังไว้ แลว้ วา่   ถา้ นอ้ งชายมาขอบวชจงอนเุ คราะหใ์ หบ้ วชดว้ ย  พระสารบี ตุ ร  คงได้ทราบลว่ งหน้าดว้ ยญาณของทา่ นแลว้

90 ปริยายเบ้ืองสูง ฝ่ายสาวิกาผู้เป็นภิกษุณีของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีหลาย ท่านสละกามสุขออกบวช  เช่น  พระอุบลวรรณาเถรีและพระเถรี มารดาพระกุมารกัสสป  เปน็ อาทิ พระอุบลวรรณาเถรีน้ัน  เป็นบุตรของเศรษฐีชาวเมือง  สาวัตถี  นางมีผิวงามเหมือนกลีบอุบล  จึงได้ช่ือว่า  อุบลวรรณา ความสวยของนางเปน็ ทเี่ ลอ่ื งลอื   แตน่ างไมห่ ลงใหลในความสวยงาม  เมอ่ื เปน็ สาว  พวก  เศรษฐ ี คหบด ี เสนาบด ี และอ�ำมาตยม์ าสขู่ อกนั มาก  เศรษฐีบิดาของนางเห็นว่า  ไม่อาจเอาใจคนท้ังหมดได้  ต้องการให้ พน้ ความย่งุ ยาก  จงึ ถามลกู สาวว่าบวชเสียดีไหม อบุ ลวรรณาผมู้ บี ารมธี รรมมาเตม็ ทแ่ี ลว้   พอไดย้ นิ ขอ้ เสนอ แนะของบิดาก็ดีใจ  รีบตอบตกลงทันที  ไปบวชกับภิกษุณีในเมือง สาวตั ถีน่นั เอง  บวชแล้วไมน่ านได้ส�ำเรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ อกี ทา่ นหนง่ึ   คอื   ภกิ ษณุ ผี เู้ ปน็ มารดาของพระกมุ ารกสั สป เปน็ บตุ รเี ศรษฐเี หมอื นกนั   แตอ่ ยเู่ มอื งราชคฤห์  รปู สวย  แตไ่ มเ่ คย พอใจในการครองเรือน  คือไม่ปรารถนามีคู่ครองเหมือนสตรีสาว อนื่  ๆ  เคยขออนญุ าตมารดาบดิ าหลายครง้ั เพอ่ื ออกบวชเปน็ ภกิ ษณุ ี แต่พอ่ แมไ่ ม่อนุญาตเพราะหว่ งลกู สาว  เกรงจะล�ำบากและตอ้ งการ ให้ลูกสาวครองเรือนมีบุตรหลานต่อไป  นางเห็นว่าวิธีน้ันไม่ได้ผล เห็นจะต้องยอมแต่งงาน  ท�ำตนให้สามีรัก  แล้วค่อยอ้อนวอนสามี ขอบวช นางตกลงใจอยา่ งน้ัน

91อ.วศิน อินทสระ เมอื่ แตง่ งานแลว้ กป็ รนนบิ ตั สิ ามอี ยา่ งดจี นสามรี กั ใครน่ บั ถอื วนั หนง่ึ   มงี านนกั ขตั ฤกษใ์ นกรงุ ราชคฤห ์ พวกหญงิ สาวตา่ งกต็ กแตง่ ประดบั ประดารา่ งกายกนั อยา่ งสวยงามเพอ่ื ไปเทยี่ วชมงาน  แตธ่ ดิ า เศรษฐผี ู้นม้ี ไิ ด้แต่งกายเลย  คงอยู่อยา่ งเดมิ สามีสงสัย  จึงถามว่าเหตุไรจึงไม่ประดับตกแต่งเหมือน หญิงอื่น  นางได้พรรณนาโทษแห่งร่างกายให้สามีฟังว่า  โดยปกติ เป็นของปฏิกูลไม่สะอาด  มีกลิ่นเหม็น  ตกแต่งไปก็อย่างน้ัน  ไม่ ท�ำใหว้ เิ ศษอะไรขน้ึ มา  เหมอื นประดบั หมอ้ ดนิ ทเี่ ตม็ ดว้ ยมตู รและคถู สามถี ามวา่   เมอื่ มจี ติ ส�ำนกึ อยอู่ ยา่ งน ี้ ท�ำไมจงึ ไมบ่ วชเสยี เมอ่ื สามเี ปดิ โอกาสดว้ ยความจรงิ ใจเชน่ นน้ั   นางจงึ ขออนญุ าต  สามอี อกบวช  แตเ่ นอื่ งจากเวลานน้ั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยทู่ เ่ี มอื ง  สาวตั ถ ี นางอยเู่ มอื งราชคฤห ์ ทเ่ี มอื งราชคฤหม์ พี รรคพวกของพระเทวทตั   ตงั้ ส�ำนกั อย ู่ นางไมท่ ราบเรอ่ื งอะไรอนื่ จงึ บวชในส�ำนกั ภกิ ษณุ ฝี า่ ยของ  พระเทวทัต บวชแลว้ ไมน่ าน  ครรภข์ องนางโตขน้ึ เพราะตดิ ทอ้ งมาตง้ั แต่ ก่อนบวช  แต่นางไม่รู้  พวกภิกษุณีน�ำเรื่องไปเรียนให้พระเทวทัต ทราบ  พระเทวทตั กลวั เสยี ชอื่   ไมท่ นั ไดส้ อบใหร้ อบคอบ  ไลใ่ หน้ าง สึกเสยี   แต่ภกิ ษุณที ั้งหลายไม่น�ำพาตอ่ ค�ำส่ังของพระเทวทตั คอื ยัง เหน็ ใจสงสารภกิ ษณุ ผี มู้ คี รรภอ์ ย ู่ และเชอ่ื วา่ นางมคี รรภม์ ากอ่ นบวช

92 ปริยายเบื้องสูง กลบั จากส�ำนกั พระเทวทตั แลว้   ภกิ ษณุ นี นั้ เสยี ใจมาก  รดู้ ี ดว้ ยตนเองวา่ พรหมจรรยข์ องตนบริสทุ ธิ์  จึงขอรอ้ งภิกษณุ ีบางรปู ใหพ้ าไปเฝา้ พระบรมศาสดา  ณ  เชตวนั   เมอื งสาวตั ถ ี ตอ้ งล�ำบาก ด้วยการเดินทางเป็นนักหนา  เพราะจากราชคฤห์ไปสาวัตถี  ไม่ใช่ ระยะใกล้  ไกลถงึ   ๔๕  โยชน์๓  ขณะนนั้ ก�ำลงั มคี รรภด์ ว้ ย  การเดนิ ทางกโ็ ดยเกวียนบา้ ง  เดนิ บ้าง เมอื่ มาถงึ เชตวนั ไดเ้ ฝา้ พระศาสดาแลว้   กราบทลู เรอื่ งทง้ั ปวง  ใหท้ รงทราบ  พระศาสดาแมท้ รงทราบความจรงิ ดว้ ยพระญาณของ พระองคแ์ ลว้   แตเ่ พอ่ื เปลอ้ื งค�ำต�ำหนขิ องผอู้ นื่   จงึ รบั สงั่ ใหค้ นส�ำคญั ในเมอื งสาวตั ถเี ขา้ เฝา้   เชน่   พระเจา้ ปเสนทโิ กศล อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐ ี นางวสิ าขา  เปน็ ตน้   แลว้ ทรงมอบหมายใหพ้ ระอบุ าลผี เู้ ลศิ ทางวนิ ยั เปน็ ประธานในการพจิ ารณาวา่ ภกิ ษณุ นี น้ั มคี รรภก์ อ่ นบวชหรอื หลงั บวช ทา่ นประธานขอใหน้ างวสิ าขา  ชว่ ยตรวจตราดปู ลายมอื ปลายเทา้   ทอ้ ง  นบั วนั เดอื นปที น่ี างเขา้ มาบวช  รไู้ ดด้ ว้ ยความรคู้ วามช�ำนาญวา่   นางตัง้ ครรภ์กอ่ นอปุ สมบท เมอ่ื คณะกรรมการสอบดแู ลว้ เหน็ วา่   นางเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธห์ิ มด มลทนิ   จงึ กราบทลู ใหพ้ ระศาสดาทรงทราบ  พระพทุ ธองคจ์ งึ ใหน้ าง  อยรู่ ่วมกบั ภิกษณุ ีท้งั หลายไดต้ อ่ ไป ๓ ประมาณ ๗๒๐ กม. ประมาณจากกรงุ เทพ ถงึ เชียงใหม่

93อ.วศิน อินทสระ เมอื่ นางคลอดบตุ รแลว้   พระเจา้ ปเสนทโิ กศลไดท้ รงรบั ไวใ้ น  พระบรมราชปู ถมั ภ ์ ทรงใหน้ �ำไปเลย้ี งไวอ้ ยา่ งลกู หลวงในราชส�ำนกั กมุ ารนนั้   ตอ่ มาไดอ้ อกบวชส�ำเรจ็ อรหตั ตผล  มนี ามวา่ พระกมุ ารกสั สป๔ ฝ่ายภิกษุณีผู้เป็นมารดาก็ได้ส�ำเร็จอรหัตตผลเหมือนกัน  แต่ส�ำเร็จ ภายหลังพระกุมารกัสสป  เพราะมัวเป็นห่วงลูก  แม้ลูกจะเติบโต และบวชแล้วก็ตาม องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เอง  ตงั้ แตส่ มยั เปน็ ราชกมุ าร  กท็ รงมคี วามด�ำรใิ นการจะออกจากกามอยเู่ สมอ  แมเ้ ปน็ ผหู้ ากามไดง้ า่ ย  บรบิ รู ณอ์ ยดู่ ว้ ยกามวตั ถอุ นั นา่ ใครน่ า่ ปรารถนาแทบทกุ อยา่ ง  แตก่ ไ็ ม่ ทรงตดิ ในกาม  เปน็ ผมู้ อี ธั ยาศยั ประณตี   ซงึ่ หาไดย้ ากในคนทง้ั หลาย อ่นื   เหตทุ ี่ทรงมคี วามด�ำรใิ นการออกจากกามน้ัน ไดต้ รสั เลา่ ไวด้ ังน้ี “เรา๕  ตถาคตเคยสงสยั เมอ่ื กอ่ นตรสั ร ู้ วา่   อะไรหนอเปน็   รสอรอ่ ยในโลก  อะไรเปน็ โทษในโลก  อะไรเปน็ อบุ ายเครอ่ื งออกจากโลก  ความรสู้ กึ ไดเ้ กดิ ขน้ึ แกเ่ ราวา่   สขุ โสมนสั ทเี่ กดิ ขนึ้   เพราะปรารภโลกนเี้ อง  เปน็ รสอรอ่ ยในโลก  แตโ่ ลกไมเ่ ทย่ี ง  ทรมาน  มกี ารเปลยี่ นแปลงไปเปน็   ธรรมดา  นเี่ องเปน็ โทษในโลก  การน�ำออกเสยี โดยสน้ิ เชงิ ซงึ่ ความก�ำหนดั   เพราะความเพลนิ ในโลกนเ้ี อง  เปน็ อุบายเครอ่ื งออกจากโลก...” ๔ โปรดดรู ายละเอยี ดใน อรรถกถาธรรมบท ภาค ๖ อตั ตวรรค เรอ่ื ง มารดาของพระกมุ ารกสั สป ๕ หน ยัรอื ตทิกนางบิ แาหต่งอคงัวคามุตดตีรเนลิก่มา๓ย ว่าดว้ ยตน เรื่องท่ี ๔ พระไตรปิฏก ๒๐/๓๓๒

94 ปริยายเบ้ืองสูง รวมความวา่   ทท่ี รงด�ำรอิ อกจากกามกเ็ พราะทรงเหน็ โทษของ  กามว่าไม่เที่ยง  ทรมาน  มีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ  การลงทุน ลงแรงแสวงหากามนั้น  ผลได้ไม่คุ้มเหนื่อย  เป็นไปเพื่อความทุกข์ ความเศร้าหมอง  กังวล  ไม่เป็นไปเพื่อปัญญา  และความรู้แจ้ง เห็นจรงิ ในชวี ติ (ข)  คณุ ของการหลีกหนีออกจากกาม ผู้มีปรีชาญาณได้พิจารณาเห็นโทษของกามตามความ เป็นจริงแล้ว  ปลีกตนออกจากกาม  คือไม่ให้จิตใจตกอยู่ใต้อ�ำนาจ ครอบง�ำของรูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  และความก�ำหนัด เพลดิ เพลนิ ในอารมณต์ า่ ง ๆ  แลว้   ไดพ้ บกบั ความสะอาด  สวา่ ง  สงบ  ความปลอดโปร่งใจเป็นอย่างยิ่ง  เกษมจากเคร่ืองร้อยรัดท้ังปวง  (โยคกั เขมะ)  ยอ่ มรสู้ กึ ตนวา่ ไดป้ ระสบภาวะใหม ่ ชวี ติ ใหม ่ อยใู่ นโลก ใหม่อันเรืองรองด้วยปัญญา  ชุ่มฉ่�ำด้วยปีติปราโมชอันเกิดแต่วิเวก ได้พบความจริงว่า  โลกใหม่น้ี  ดีกว่า  สะดวกกว่า  มีความสุขกว่า โลกเก่าเป็นอันมาก  รสู้ กึ โลง่ ใจ  โปรง่ ใจ  เหมือนคนถกู จองจ�ำแลว้ พน้ จากเครอ่ื งจองจ�ำ  คนมหี นพี้ น้ จากหน ้ี เปน็ โรครา้ ยแลว้ หายโรค มีความเบกิ บานใจ  สงู ส่งในความนึกคิด อนึ่ง  ความทุกข์อันใดเกิดขึ้นเพราะอาศัยกาม  แก่บุคคล ผู้ยงั หมกม่นุ พัวพันด้วยกาม  เชน่   ความทุกข์เพราะต้องพลัดพราก จากบคุ คลหรอื สง่ิ ของอนั เปน็ ทร่ี กั   ความรษิ ยาอนั เกดิ ขน้ึ เพราะอาศยั กาม  ไฟคือโทสะอันเกิดเพราะอาศัยกาม  ความทุกข์อย่างนั้นย่อม

95อ.วศิน อินทสระ ไม่มีแก่ผู้ปลีกตนออกจากกามแล้ว  ไม่มีอาลัยในกาม  เพราะมอง เห็นกามเป็นแดนอันตราย  เป็นที่ต้ังแห่งความทุกข์  โศก  และภัย สมจรงิ ดงั พระด�ำรัสของพระบรมศาสดาทีว่ า่ “ กามโต  ชายเต  โสโก  กามโต  ชายเต  ภยํ กามโต  วิปฺปมุตฺตสสฺ   นตถฺ ิ  โสโก  กโุ ต  ภยํ”๖ แปลว่า  ‘ความโศกและภัยเกิดข้ึนจากกาม  พ้นจากกาม แล้วความโศกและภัยย่อมไมม่ ี’ ท�ำไมคนส่วนมากจึงไม่มีความด�ำริในการออกจากกาม แต่กลับพอใจหมกมุ่นพวั พันอย่ใู นกาม ค�ำว่า  กาม  ได้กล่าวไว้แล้วว่ามีความหมายกว้าง  คือ หมายถึง  สิ่งอันน่าใคร่น่าปรารถนาท้ังปวง  คือ  รูป  เสียง  กล่ิน รส  และสมั ผสั   อันนา่ ใครน่ ่าปรารถนา  (วัตถกุ าม)  และความใคร่ ความพอใจในรปู เสยี งเปน็ ตน้   (กเิ ลสกาม)  สงิ่ เหลา่ นน้ั เปน็ โลกามสิ กลา่ วคอื เหยอ่ื ของโลก  เครอื่ งลอ่ ของโลก  บว่ งของมาร  พวงดอกไม้ ของมาร  มีอานุภาพลอ่ ให้คนเพลนิ   หลงติดอย ู่ แล้วน�ำทกุ ขม์ าให้ ภายหลงั   ท�ำนองเดยี วกบั สง่ิ เสพตดิ ใหโ้ ทษและการพนนั มนั มอี �ำนาจ ยวั่ ยวนให้เพลนิ   ให้คนหลงติดมนั แล้วมอบทุกขโ์ ทษใหใ้ นภายหลัง ๖ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ๒๕/๔๓ หรอื อรรถกถาธรรมบท ภาค ๖ ปยิ วรรค เรอื่ ง อนติ ถคิ นั ธกมุ าร

96 ปริยายเบื้องสูง คนสว่ นมากไมไ่ ดย้ นิ ไดฟ้ งั   ไมไ่ ดศ้ กึ ษาค�ำสอนของพระอรยิ เจา้   วา่   กามมโี ทษอยา่ งไร  เขาเรยี นรแู้ ตค่ �ำสอน  ค�ำแนะน�ำชกั ชวนของ ปุถุชนผู้หมกมุ่นอยู่ในกามด้วยกัน  พรรณนาคุณของกาม  ชักชวน ใหแ้ สวงหากาม  สรรเสรญิ บคุ คลผมู้ งั่ คง่ั พรงั่ พรอ้ มไปดว้ ยกาม  คน ทง้ั หลายผตู้ กอยภู่ ายใตอ้ �ำนาจครอบง�ำของสงั คม  กพ็ ลอยหมกมนุ่ พวั พนั เหน็ ดเี หน็ งามไปดว้ ย  พอตอ้ งประสบทกุ ขเ์ พราะกามเขา้   กไ็ มม่ ี  ญาณหยง่ั รวู้ า่ ทกุ ขน์ น้ั เพราะกาม  จงึ ตอ้ งเทยี่ วโทษคนนน้ั คนนแี้ ลว้ ปอง รา้ ยกนั   เบยี ดเบยี นประหตั ประหารกนั ใหส้ งั คมวนุ่ วาย  อยา่ งทเ่ี หน็   กันอยู่ทกุ วันนี้ อกี พวกหนง่ึ   แมไ้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั ค�ำสอนของพระอรยิ เจา้   เหน็ โทษ  ของกามอยู่  แต่ยังไม่อาจปลีกตนออกจากกามได้เพราะเหตุผลอื่น เชน่   ภาระความรบั ผดิ ชอบในครอบครวั บา้ ง  ก�ำลงั ใจยงั ไมแ่ ขง็ พอท่ี จะต่อสู้เอาชนะอ�ำนาจของความย่วั ยวนไดบ้ ้าง  เห็นแก่ความสขุ เลก็ นอ้ ยอนั กามนนั้ หยบิ ยน่ื ใหเ้ ปน็ เหยอ่ื   เหมอื นเหยอ่ื ทเี่ บด็ เกยี่ วไวบ้ า้ ง จงึ ยงั ไมส่ ามารถปลกี ตนออกจากอ�ำนาจครอบง�ำของกามได ้ เปรยี บ เหมอื นคนทเ่ี ปน็ ทาสเขา  เหน็ โทษของความเปน็ ทาสแลว้ อยากอสิ ระแต่ ก�ำลงั ไมพ่ อทจี่ ะเปน็ อสิ ระได ้ หรอื ประเทศทเ่ี ปน็ เมอื งขน้ึ เขา  เหน็ โทษ  ของการเปน็ เมอื งขน้ึ เขาและคณุ ของเสรภี าพอยอู่ ยา่ งชดั เจน  แตย่ งั ไม่มีก�ำลังพอท่ีจะถอนตนออกเป็นอิสระได้  จึงต้องตกอยู่ในอ�ำนาจ ครอบง�ำของประเทศท่มี ีอ�ำนาจเหนอื กว่าตอ่ ไป

97อ.วศิน อินทสระ ในความเปน็ ทาสทางใจ  คอื การเปน็ ทาสของกเิ ลสนน้ั ผตู้ อ้ งการ  เสรภี าพจะตอ้ งอาศยั ความกลา้ หาญเดด็ เดยี่ ว  กลา้ ท�ำในสงิ่ ทค่ี นทงั้ หลาย  อนื่ ไมก่ ลา้ ท�ำ  กลา้ เสยี สละในสง่ิ ทคี่ นทงั้ หลายอน่ื หวงแหน  นนั่ แหละ จงึ จะถอนตนออกมาจากอ�ำนาจครอบง�ำของกเิ ลส  เชน่   กามเปน็ ตน้ ได้ ความด�ำรใิ นการออกจากกามเปน็ มรรคหนง่ึ ทน่ี �ำไปสคู่ วาม หลุดพ้นจากบ่วงกามอันมีลักษณะผูกพันบุคคลไว้ในโลกในภพ  แม้ มันจะผูกหย่อน ๆ  แต่แก้ได้ยากอย่างยิ่ง  มีน้อยคนนักท่ีจะพ้นไป จากอ�ำนาจครอบง�ำของกาม  แตผ่ พู้ น้ กม็ อี ยู่  ผใู้ ดพน้ ได้  ผนู้ น้ั ยอ่ ม ประจักษ์ด้วยตนเองว่า  สภาวะที่อยู่เหนือกามน้ันเป็นความปลอด โปรง่ ผาสกุ   รม่ เยน็   หา่ งจากภยั อนั ตราย  สะอาด  สวา่ ง  และสงบ ความด�ำรเิ นอื ง ๆ  ในการออกจากกามนแี่ หละ  ทพี่ ระศาสดา ตรัสเรียกว่า  ‘เนกขมั มสังกปั ปะ’ ๒.  ความดำ� รใิ นการไมพ่ ยาบาท  (อพั ยาปาทสงั กปั ปะ) ก.  ความหมายของความไม่พยาบาท พยาบาท  คอื ความปองรา้ ย  มงุ่ หมายใหผ้ อู้ นื่ ถงึ ความพนิ าศ เช่น  คิดอยู่ในใจว่า  เม่ือไรหนอคนน้ันจะถูกรถชนตาย  ตกน�้ำตาย ถูกฆ่าตาย  ทรัพย์สมบัติพินาศฉิบหายเพราะไฟไหม้  หรือถูกปล้น อยา่ งนแี้ หละเรยี กพยาบาท  ความไมพ่ ยาบาท  กค็ อื ความไมม่ งุ่ รา้ ย ตอ่ ผอู้ ืน่   ไมป่ รารถนาร้ายต่อเขา  กล่าวอย่างสนั้ คือความปรารถนา ดตี ่อเขา  มิฉะน้นั ก็ความวางเฉย  (อุเบกขา)  หรอื ใหอ้ ภยั เสยี

98 ปริยายเบ้ืองสูง ความพยาบาทไม่เหมือนความโกรธ  และความผูกโกรธ (อุปนาหะ)  ความโกรธคือความขุ่นใจ  ส่วนผูกโกรธ  คือความผูก ใจเจบ็   แตไ่ มถ่ งึ กบั ปองรา้ ย  เพยี งแตผ่ กู โกรธไวเ้ ฉย ๆ  เชน่   ไมพ่ ดู ด้วย ไม่คบหาสมาคมด้วย  ไมท่ �ำร้าย  ไม่ชว่ ยเหลือ  อยา่ งนเ้ี รียกว่า อุปนาหะ คนทจี่ ะพอใจในความไมพ่ ยาบาทนน้ั   เบอื้ งแรกจะตอ้ งพจิ ารณา  ใหเ้ ห็นโทษของความพยาบาทเสยี กอ่ น ข.  โทษของความพยาบาท ความพยาบาทเปน็ ไฟภายในอยา่ งหนง่ึ ทมี่ อี านภุ าพเผาลน  จติ ใจของผสู้ งั่ สมมนั ไว ้ ยงิ่ มากเทา่ ใดกจ็ ะเผาเจา้ ตวั ใหเ้ รา่ รอ้ นมากเทา่ นนั้   เม่ือออกจากตนก็ไปเผาผอู้ นื่ ให้เรา่ รอ้ น  สงั คมเร่าร้อน จรงิ อย่ ู คนเรายอ่ มตอ้ งมศี ตั รู  หรอื อยา่ งนอ้ ยกม็ ผี ไู้ มช่ อบ  เราบา้ ง  อาจเปน็ เพราะผลประโยชนข์ ดั กนั   หรอื เพราะกริ ยิ าวาจาทา่ ทาง  ของเราไมถ่ กู ใจเขา  ท�ำนองเดยี วกบั ทก่ี ริ ยิ าทา่ ทางของคนบางคนไม่ ถกู ใจเรา  ทง้ั  ๆ  ทวี่ า่ โดยสว่ นตวั แลว้   เขาไมเ่ คยท�ำอะไรใหเ้ ราเดอื ดรอ้ น  เมอ่ื ความจรงิ เปน็ อยอู่ ยา่ งน ี้ เราจงึ ไมค่ วรปลอ่ ยใจของเราใหจ้ งเกลยี ด  จงชงั ผอู้ นื่ จนถงึ พยาบาทปองรา้ ยเขา  เพราะมนั เทา่ กบั ลงโทษตวั เราเอง  น�ำไฟมาสมุ อกเราเอง  ยง่ิ เขาท�ำเปน็ ไมร่ ไู้ มเ่ หน็   เขาไมเ่ ดอื ดไมร่ อ้ นดว้ ยแลว้   เราจะยิง่ เดือดร้อนใหญ ่ เดือดร้อนไปขา้ งเดียว

99อ.วศิน อินทสระ กอ่ นนอนทกุ คนื เราควรตงั้ ใจใหอ้ ภยั ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งและแก่  ทุกคน  ท�ำเสมือนหน่ึงว่าเราจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก  ความต้ังใจอย่างน้ี  ท�ำใหใ้ จของเราสงบและเราจะหลบั ไปอยา่ งเปน็ สขุ   ตนื่ ขนึ้ พรอ้ มดว้ ย  ความสดช่ืน  แจ่มใส  ขอจงท่องจ�ำไวว้ ่า  เมื่อใดเราผกู เวร  เมื่อน้ัน  มองไปทางใดกพ็ บแตศ่ ตั ร ู แตเ่ มอื่ ใดใจของเรามเี มตตา  มองไปทาง ใดก็เจอแตม่ ติ รไมตรี เราควรฝงั ตวั อยกู่ บั การงานและอดุ มคตขิ องเราจนไมม่ เี วลา  ไปนกึ คดิ พยาบาทปองรา้ ยใคร  ไมม่ เี วลาเหลอื เฟอื ส�ำหรบั คดิ ถงึ เรอื่ ง  อันไร้สาระ  งานของเราที่จะต้องท�ำเพ่ือบรรลุถึงอุดมคติก็ไม่มีเวลา  พอทจ่ี ะจา่ ยใหอ้ ยแู่ ลว้   จะมเี วลาไหนมานงั่ นกึ เคยี ดแคน้ ชงิ ชงั คนนน้ั   คนน้ี อนงึ่   จติ ใจทสี่ ะอาด  ไมห่ มกั หมมรงุ รงั ดว้ ยความพยาบาท เคยี ดแคน้   ยอ่ มชว่ ยแตง่ ใบหนา้ ใหม้ สี งา่ ราศ ี งาม  นา่ เคารพกราบไหว้  เป็นเสนห่ ด์ งึ ดูดคนให้มองดูแล้วเกิดความรสู้ ึกช่ืนฉ�ำ่ ขึ้นมาในดวงใจ เพอ่ื สขุ ภาพอนามยั ของเราเอง  เราควรน�ำความปองรา้ ยผอู้ น่ื   ออกไปใหห้ า่ งไกลจากจติ ใจของเรา  ปกตภิ าพของจติ ไมต่ อ้ งการสงิ่ น ี้ เหมอื นปกตภิ าพของรา่ งกายไมต่ อ้ งการอาหารเสยี   หรอื สง่ิ เสพตดิ ให้ โทษใด ๆ  สงั เกตไดว้ า่   เมอ่ื อาหารเสยี เขา้ สรู่ า่ งกาย รา่ งกายจะมปี ฏกิ ริ ยิ า ต่อต้านทันที  พยายามให้ออกมาโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง  เช่น  อาเจียน หรอื ทอ้ งเสยี   สว่ นสง่ิ เสพตดิ ใหโ้ ทษทงั้ หลายเมอื่ เขา้ สรู่ า่ งกายใหม ่ ๆ 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook