ใบความรู้ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์และสัตว์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 3 รหสั วชิ า ว 22101 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ครผู ูส้ อน ครูเมลดา ยมจนิ ดา ครูสุภาพร สง่ สกุลและครูอภญิ ญา กวดแกว้ ระบบร่างกายมนษุ ย์ โครงสรา้ งการทางานของร่างกายมนุษย์ ในการศึกษาทางจิตวิทยา จาเปน็ อย่างย่ิงทีจ่ ะทาความเขา้ ใจเกยี่ วกบั พฤติกรรมต่าง ๆ ของ มนุษย์ ซ่งึ การทมี่ นุษยจ์ ะแสดงพฤติกรรมใด ๆ ออกมานั้นเป็นเพราะระบบการทางานของรา่ งกาย ไม่ ว่านกั ปรชั ญาและนักวิทยาศาสตร์ ซ่งึ ไดท้ าการศกึ ษาค้นคว้ามาเป็นระยะเวลายาวนานตา่ งมีความ คดิ เห็นตรงกนั วา่ รา่ งกายมนษุ ย์ สตั ว์ หรอื พชื ทงั้ หลายจะมีโครงสร้างทปี่ ระกอบขึน้ จากหน่วยท่เี ลก็ ท่ีสุดทีไ่ ม่สามารถมองเหน็ ไดด้ ้วยตาเปลา่ จนกระท่ังถงึ สว่ นประกอบที่ใหญ่ท่ีสุด แตล่ ะสว่ นจะมกี าร ทางานท่ีสัมพันธก์ ัน โดยไม่มสี ่วนใดที่สามารถทางานอย่างอิสระยกเว้นเมด็ เลือด โดยประมาณได้วา่ 75 ถึง 80 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องร่างกายผ้ใู หญ่ประกอบด้วยนา้ สว่ นท่เี หลือเปน็ สารประกอบทางเคมี สารประกอบเหล่านรี้ วมตัวกนั เป็นเซลล์ หลายรอ้ ยชนิด ซึ่งเปน็ หนว่ ยพื้นฐานที่เลก็ ที่สดุ ของร่างกาย มนษุ ยเ์ ป็นส่ิงมชี ีวติ ทีม่ ีโครงสรา้ งสลับซบั ซ้อนท่สี ุดในบรรดาสงิ่ มีชีวิตท้ังหลายบนพนื้ โลก โดยเฉล่ยี แลว้ รา่ งกายมนุษยป์ ระกอบดว้ ยเซลล์ 80 – 100 ล้านล้านเซลล์แตล่ ะชดุ จะถูกกาหนดใหม้ กี าร เจริญเตบิ โตและทาหนา้ ทเ่ี ฉพาะ โดยเซลล์ชนดิ เดียวกันจะรวมตวั เป็นเน้ือเยอื่ (tissues) เนื้อเยอ่ื หลาย ๆ ประเภทเม่อื มาทางานร่วมกนั เรียกวา่ อวัยวะ (organ) แต่ละอวัยวะเมื่อทางานรว่ มกันเรียกว่าระบบ (system) ดงั นน้ั เมื่อเซลล์มารวมกลุ่มเป็นเนือ้ เยือ่ พเิ ศษ เช่น กลา้ มเนื้อ เส้นประสาท กระดูก ฯลฯ เนือ้ เยอ่ื เหลา่ นจ้ี ะทางานร่วมกันเปน็ อวัยวะและในที่สุดอวัยวะเหล่านี้จะถกู จดั สรรเปน็ ระบบต่าง ๆ ของรา่ งกาย เชน่ ระบบกล้ามเนอื้ ระบบต่อมต่าง ๆ และระบบประสาท เปน็ ต้นระบบตา่ ง ๆ ใน รา่ งกายระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายมกี ารทางานที่สมั พันธ์กนั เพอื่ ใหม้ นุษย์สามารถดารงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งปกติ การทางานของระบบภายในรา่ งกาย 1.ระบบยอ่ ยอาหาร อาหารประเภทต่างๆที่เราบรโิ ภคโดยเฉพาะสารอาหารทใี่ หพ้ ลงั งานแก่รา่ งกาย คือ คาร์โบไฮเดรตโปรตนี และไขมันลว้ นแตม่ โี มเลกุลขนาดใหญ่เกนิ กวา่ ทีจ่ ะลาเลียงเข้าส่เู ซลล์สว่ นต่างๆ ของรา่ งกายได้ ยกเว้นวติ ามินและเกลือแรซ่ งึ่ มอี นุภาคขนาดเลก็ จึงจาเป็นต้องมอี วยั วะและกลไกการ ทางานต่างๆทจ่ี ะทาใหโ้ มเลกลุ ของสารอาหาร เหลา่ นั้นมขี นาดเลก็ ลงจนสามารถลาเลียงเข้าสเู่ ซลลไ์ ด้ เรียกวา่ “การย่อย ” การย่อยอาหาร หมายถึง การทาใหส้ ารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็นสารอาหารทีม่ ี โมเลกลุ เลก็ ลงจนกระทงั่ แพรผ่ ่านเย่ือหมุ้ เซลลไ์ ด้ การยอ่ ยอาหารในรา่ งกายมี 2 วธิ ี คอื 1. การยอ่ ยเชิงกล คอื การบดเคยี้ วอาหารโดยฟัน เป็นการเปลย่ี นแปลงขนาดโมเลกลุ ทาให้ สารอาหารมขี นาดเล็กลง 2. การย่อยเชงิ เคมี คอื การเปล่ียนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารโดยใช้เอนไซมท์ ี่เกย่ี วข้องทา ใหโ้ มเลกุลของสารอาหารเกิดการเปลยี่ นแปลงทางเคมีไดโ้ มเลกุลท่ีมขี นาดเล็กลง 1
1. อวัยวะที่มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การยอ่ ยอาหาร:: 1.1 ตบั มีหนา้ มส่ี ร้างน้าดีสง่ ไปเกบ็ ที่ถุงนา้ ดี 1.2 ตบั อ่อน มีหนา้ ที่สร้างเอนไซม์ส่งไปย่อยอาหารที่ลาไส้เล็ก 1.3 ลาไส้เล็ก สร้างเอนไซม์มอลเทส ซเู ครส และแล็คเทสย่อยอาหารทลี่ าไสเ้ ลก็ :: เอนไซม์(Enzyme) :: เป็นสารประกอบประเภทโปรตนี ท่ีร่างกายสร้างข้นึ เพ่ือทาหนา้ ท่เี ร่งอตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ า เคมใี นร่างกาย เอนไซม์ทใ่ี ช้ในการย่อยสารอาหารเรยี กวา่ “ นา้ ยอ่ ย ”เอนไซมม์ สี มบตั ทิ สี่ าคัญ ดังน้ี เป็นสารประเภทโปรตนี ทส่ี ร้างขึ้นจากเซลล์ของส่งิ มีชีวติ ช่วยเร่งปฏิกริ ิยาในการยอ่ ยอาหารใหเ้ ร็วขึ้นและเมอื่ เร่งปฏิกิริยาแล้วยงั คงมีสภาพ เดมิ สามารถใชเ้ รง่ ปฏิกริ ิยาโมเลกุลอ่ืนไดอ้ ีก มีความจาเพาะต่อสารทเ่ี กิดปฏิกริ ยิ าชนดิ หนึง่ ๆ เอนไซมจ์ ะทางานได้ดเี ม่อื อยใู่ นสภาวะแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสม 2
:: ปจั จยั ท่มี ผี ลต่อการทางานของเอนไซม์ ไดแ้ ก่ :: 1. อณุ หภูมิ เอนไซมแ์ ตล่ ะชนิดทางานไดด้ ที ี่อุณหภูมติ ่างกนั แต่เอนไซมใ์ นร่างกายทางานได้ดี ทอ่ี ณุ หภูมิ 37 องศาเซลเซียส 2. ความเปน็ กรด - เบส เอนไซม์บางชนิดทางานได้ดีเมือ่ มสี ภาพทเ่ี ป็นกรด เชน่ เอนไซมเ์ พปซินใน กระเพาะอาหารเอนไซม์บางอย่างทางานได้ดีในสภาพทีเ่ ปน็ เบส เชน่ เอนไซมใ์ นลาไสเ้ ล็ก เปน็ ต้น 3. ความเขม้ เอนไซม์ทมี่ ีความเข้มข้นมากจะทางานไดด้ ีกว่าเอนไซมท์ มี่ ีความเขม้ ขน้ นอ้ ย การทางานของเอนไซม์ จาแนกไดด้ งั น้ี 1. เอนไซมใ์ นนา้ ลาย ทางานไดด้ ใี นสภาวะเปน็ เบสเล็กน้อยเป็นกลางหรอื กรดเลก็ นอ้ ยจะขน้ึ อย่กู ับ ชนดิ ของน้าตาลและท่ีอณุ หภมู ปิ กติของรา่ งกายประมาณ 37 องศาเซลเซียส 2. เอนไซมใ์ นกระเพาะอาหาร ทางานไดด้ ีในสภาวะเป็นกรดและที่อุณหภูมปิ กตขิ องรา่ งกาย 3. เอนไซมใ์ นลาไสเ้ ล็ก ทางานได้ดีในสภาวะเป็นเบสและอรุ ภมู ปิ กตริ ่างกาย สารอาหารท่ีมโี มเลกุลขนาดใหญจ่ ะถูกยอ่ ยให้มีขนาดโมเลกุลเลก็ ท่สี ดุ ดงั น้ี คารโ์ บไฮเดรต กลูโคส โปรตีน กรดอะมโิ น ไขมัน กรดไขมันและกลเี ซอรอล :: 2. อวัยวะท่ีเป็นทางเดนิ อาหาร :: ทาหนา้ ท่ีในการรับและสง่ อาหารโดยเร่ิมจาก ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะ ลาไสเ้ ล็ก ลาไส้ใหญ่ ทวารหนกั 3
เมือ่ รบั ประทานอาหารอาหารจะเคลื่อนท่ผี า่ นอวัยวะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับทางเดนิ อาหารเพอ่ื เกดิ การยอ่ ย ตามลาดับดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 ปาก ( mouth) มีการยอ่ ยเชิงกล โดยการบดเคย้ี วของฟัน และมกี ารย่อยทางเคมี โดยเอนไซมอ์ ะไมเลสหรอื ไทยาลีน ซึง่ ทางานได้ดีในสภาพท่เี ปน็ เบสเล็กน้อย แปง้ นา้ ตาลมอลโตส (maltose) 4
ตอ่ มน้าลายมี 3 คู่ ไดแ้ ก่ ต่อมนา้ ลายใต้ลิน้ 1 คู่ ตอ่ มน้าลายใต้ขากรรไกรลา่ ง 1 คู่ ต่อมน้าลายใตก้ กหู 1 คู่ ตอ่ มนา้ ลายจะผลิตนา้ ลายไดว้ นั ละ 1 – 1.5 ลิตร 2.2 คอหอย ( pharynx) เปน็ ทางผา่ นของอาหาร ซงึ่ ไม่มกี ารยอ่ ยใดๆ ทัง้ ส้ิน 2.3 หลอดอาหาร( esophagus) มลี ักษณะเปน็ กล้ามเนอ้ื เรยี บมี การยอ่ ยเชิงกลโดยการบบี ตวั ของกลา้ มเนื้อทางเดนิ อาหาร เปน็ ช่วงๆ เรียกว่า “เพอริสตัสซสิ (peristalsis)” เพอ่ื ให้อาหารเคลอ่ื นท่ีลงสกู่ ระเพาะ อาหาร 2.4 กระเพาะอาหาร(stomach) มีการยอ่ ยเชงิ กลโดยการบบี ตัว ของกล้ามเน้ือทางเดินอาหารและมีการย่อยทางเคมโี ดยเอนไซมเ์ พปซนิ (pepsin) ซงึ่ จะทางานไดด้ ใี นสภาพท่ีเปน็ กรด โดยช้ันในสดุ ของกระเพาะจะ มีตอ่ มสร้างนา้ ย่อยซ่งึ มเี อนไซม์เพปซนิ และกรดไฮโดรคลอริก เป็น สว่ นประกอบเอนไซมเ์ พปซนิ จะยอ่ ยโปรตนี ให้เปน็ เพปไทด์ ( peptide)ใน กระเพาะอาหารนย้ี ังมเี อนไซม์อยู่อีกชนิดหน่งึ ชื่อวา่ “ เรนนิน '' ทาหนา้ ที่ ยอ่ ยโปรตีนในนา้ นม ในขณะทไี่ ม่มอี าหาร กระเพาะอาหารจะมขี นาด 50 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร แต่เมือ่ มีอาหารจะมกี ารขยายไดอ้ ีก 10 – 40 เทา่ เพปซิน โปรตนี เพปไทด์ สรปุ การยอ่ ยท่ีกระเพาะอาหารจะมกี ารยอ่ ยโปรตีนเพยี งอย่างเดยี วเท่าน้ัน 2.5 ลาไสเ้ ลก็ (small intestine) เป็นบรเิ วณทมี่ กี ารย่อยและการดดู ซึมมากที่สดุ โดย เอนไซม์ในลาไส้เลก็ จะทางานได้ดใี นสภาพทีเ่ ปน็ เบส ซง่ึ เอนไซม์ท่ลี าไสเ้ ลก็ สร้างขึ้น ได้แก่ 1. มอลเทส (maltase) เปน็ เอนไซมท์ ยี่ อ่ ยน้าตาลมอลโทสให้เปน็ กลโู คส 2. ซูเครส (sucrase) เปน็ เอนไซมท์ ยี่ อ่ ยน้าตาลทรายหรอื น้าตาลซโู ครส (sucrose) ให้เปน็ กลูโคสกับฟรกั โทส (fructose) 3. แลก็ เทส (lactase) เปน็ เอนไซม์ท่ยี ่อยนา้ ตาลแลก็ โทส (lactose) ให้เป็นกลูโคสกับกา แลก็ โทส (galactose) 5
การย่อยอาหารทีล่ าไสเ้ ลก็ ใชเ้ อนไซมจ์ ากตบั ออ่ น (pancreas) มาช่วยยอ่ ย เช่น ทริปซิน (trypsin) เปน็ เอนไซมท์ ี่ย่อยโปรตนี โปรตีนหรอื เพปไทดใ์ หเ้ ปน็ กรดอะมโิ น อะไมเลส (amylase) เปน็ เอนไซม์ทีย่ อ่ ยแป้งใหเ้ ปน็ นา้ ตาลมอลโทส ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซม์ทีย่ ่อยไขมนั ใหเ้ ปน็ กรดไขมนั และกลเี ซอรอล :: นา้ ดี (bile) :: เป็นสารท่ผี ลิตมาจากตับ (liver) แลว้ ไปเกบ็ ไวท้ ่ีถงุ นา้ ดี (gall bladder) น้าดไี มใ่ ชเ่ อนไซม์ เพราะไม่ใช่สารประกอบประเภทโปรตนี น้าดีจะทาหนา้ ทีย่ ่อยโมเลกลุ ของโปรตนี ให้เลก็ ลงแล้วน้ายอ่ ย จากตับออ่ นจะย่อยต่อทาให้ได้อนุภาคที่เลก็ ที่สุดท่ีสามารถแพรเ่ ข้าสูเ่ ซลล์ สรปุ การย่อยสารอาหารประเภทต่างๆในลาไส้เล็ก คาร์โบไฮเดรต แป้ง อะไมเลส มอลโทส มอลโทส มอลเทส กลโู คส + กลโู คส ซูโครส ซเู ครส กลูโคส + ฟรกั โทส แล็กโทส ทรปิ ซิน กลโู คส + กาแล็กโทส 6
โปรตีน เพปไทด์ ทรปิ ซิน กรดอะมิโน ไขมนั ยอ่ ยโมเลกลุ ของ ไลเพส กรดไขมนั + กลีเซอรอล ไขมัน – นา้ ดี ไขมนั ขนาดเล็ก อาหารเม่ือถูกยอ่ ยเป็นโมเลกลุ เลก็ ท่สี ดุ แล้ว จะถูกดดู ซึมท่ีลาไส้เลก็ โดยโครงสร้างที่เรียกวา่ “ วิลลสั ( villus)” ซ่งึ มีลกั ษณะคล้ายนิ้วมือยนื่ ออกมาจากผนงั ลาไส้เลก็ ทาหนา้ ทเี่ พิ่มเพมิ่ พื้นท่ผี ิวใน การดดู ซึมอาหาร 2.6 ลาไสใ้ หญ่ (large intestine ) ท่ีลาไสใ้ หญไ่ ม่มกี ารยอ่ ย แตท่ าหนา้ ทเ่ี ก็บกากอาหาร และดดู ซึมนา้ ออกจากกากอาหาร ดงั นัน้ ถา้ ไมถ่ า่ ยอจุ จาระเป็นเวลาหลายวนั ติดตอ่ กันจะทาให้เกิด อาการทอ้ งผูก ถ้าเปน็ บ่อยๆจะทาใหเ้ กิด โรคริดสีดวงทวาร 7
กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 5 จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1.ปากมีเอนไซม์................................................ย่อย................................ ได.้ .............................. 2. คอหอยทาหน้าทอ่ี ะไร ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 3. หลอดอาหารทาหน้าท่อี ะไร ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 4. กระเพาะอาหาร มีเอนไซม์...............................................ทางานได้ดใี นสภาวะ......................... ทาหนา้ ทย่ี อ่ ย............................................................. ได.้ ................... ............................................ 5. ลาไสเ้ ล็ก เอนไซม์ท่ีสรา้ ง ได้แกอ่ ะไร และยอ่ ยอะไร ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 6. ลาไสใ้ หญท่ าหนา้ ท่อี ะไร ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 7.ตบั ออ่ นเกีย่ วขอ้ งกบั ระบบยอ่ ยอาหารอย่างไร ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 8.การดดู ซมึ อาหารบริเวณลาไสเ้ ล็กเกิดข้นึ ทใ่ี ด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 2.ระบบหมุนเวยี นเลือดและภูมคิ ุ้มกนั เลอื ด (Blood) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นของเหลว 55 เปอร์เซ็นต์ ซง่ึ เรยี กว่า “น้าเลอื ดหรอื พลาสมา (plasma)”และสว่ นทเ่ี ปน็ ของแขง็ มี 45 เปอรเ์ ซ็นต์ ซึง่ ได้แก่ เซลลเ์ ม็ดเลือด และเกลด็ เลอื ด 8
1. นา้ เลือดหรอื พลาสมา ประกอบดว้ ยน้าประมาณ 91 เปอรเ์ ซ็นต์ ทาหน้าทีล่ าเลยี งเอนไซม์ ฮอร์โมน แก๊ส แร่ธาตุ วติ ามินและสารอาหารประเภทต่างๆท่ีผ่านการยอ่ ยอาหารมาแล้วไปให้เซลล์และรับของเสียจากเซลล์ เช่น ยูเรีย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้า ส่งไปกาจัดออกนอกรา่ งกาย 2. เซลล์เม็ดเลอื ด ประกอบด้วย 2.1 เซลล์เมด็ เลือดแดง (red blood cell) มีลักษณะค่อนขา้ งกลมตรงกลางจะเว้าเขา้ หากนั ( คลา้ ยขนมโดนทั ) เนอ่ื งจาก ไม่มีนิวเคลยี ส องคป์ ระกอบสว่ นใหญ่ เปน็ สารประเภทโปรตนี ทเ่ี รยี กวา่ “ ฮโี มโกลบนิ ” ซึง่ มีสมบัติในการรวมตัวกับ แกส๊ ต่างๆ ได้ดี เชน่ แก๊สออกซเิ จน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ หนา้ ที่ แลกเปลี่ยนแกส๊ โดยจะลาเลียงแกสออกซเิ จน ไปยังสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย และ ลาเลยี งแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกายกลับไปทป่ี อด แหล่งสร้างเมด็ เลอื ดแดง คอื ไขกระดกู ผชู้ ายจะมีเซลล์เม็ดเลอื ดแดงมากกวา่ ผหู้ ญงิ เซลล์ เมด็ เลอื ดแดงมอี ายปุ ระมาณ 110-120 วนั หลงั จากน้ันจะถูกนาไปทาลายท่ตี บั และม้าม 2.2 เซลลเ์ มด็ เลือดขาว (white blood cell) มีลกั ษณะคอ่ นข้างกลม ไมม่ สี แี ละมีนิวเคลยี ส เม็ดเลือดขาวในรา่ งกาย มอี ยู่ด้วยกันหลายชนดิ หน้าที่ ทาลายเชือ้ โรคหรือสารแปลกปลอมทเี่ ข้ามาสู่ร่างกาย แหลง่ ที่สรา้ งเมด็ เลือดขาว คอื ม้าม ไขกระดูก และต่อมนา้ เหลอื ง มี อายปุ ระมาณ 7-14 วัน 3. เกล็ดเลือดหรือแผ่นเลือด (blood pletelet) ไมใ่ ชเ่ ซลลแ์ ต่เปน็ ชิ้นสว่ นของเซลล์ซึ่งมรี ปุ ร่างกลมรีและแบนเกลด็ เลอื ดมีอายุประมาณ 4วัน หนา้ ที่ ช่วยใหเ้ ลือดแขง็ ตวั เมื่อมกี ารไหลของเลอื ดจากหลอดเลอื ดออกสู่ภายนอก ::หัวใจ (Heart):: 9
หัวใจ (Heart) ทาหน้าท่ี สบู ฉีดเลือดไปยงั ส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย โดยทาให้เกดิ ความดัน เลอื ดในหลอดเลือดแดงเพอ่ื ใหเ้ ลอื ดเคลอื่ นทไ่ี ปยังอวัยวะส่วนตา่ งๆ ของร่างกายไดท้ ั่วถงึ 10
::วงจรการไหลเวียนเลอื ด:: วงจรการไหลเวียนเลือด เริ่มจากหัวใจหอ้ งบนซา้ ยรบั เลือดที่มปี รมิ าณออกซิเจนสูงจากปอด แลว้ บีบตัวดันผ่านล้นิ หัวใจลงสู่หัวใจห้องล่างซา้ ยแล้วบบี ตัวดันเลือดไปยงั สว่ นตา่ งๆของรา่ งกายและ เปล่ยี นเป็นเลือดทม่ี คี ารบ์ อนไดออกไซด์สงู หรอื เลอื ดดาไหลผ่านหลอดเลือดดาหัวใจห้องบนขวาแลว้ บีบตัวดันผ่านลนิ้ หวั ใจลงสู่หอ้ งล่างขวา แล้วกลบั เขา้ สูป่ อดเพอ่ื แลกเปล่ียนแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดใ์ ห้ เป็นแก๊สออกซิเจน เป็นวัฏจกั รการหมุนเวยี นเลือดในร่างกายเชน่ น้ีตลอดไป ::หลอดเลือด :: หลอดเลือด ทาหน้าทีล่ าเลยี งเลือดจากหวั ใจไปยงั อวัยวะสว่ นตา่ งๆ ทวั่ รา่ งกาย และเป็น เส้นทางให้เลือดจากอวยั วะตา่ งๆ ทว่ั รา่ งกายกลบั เข้าส่หู วั ใจ 11
หลอดเลือดในร่างกายมี 3 ชนิด 1. หลอดเลือดแดง ( artery) เป็นหลอดเลือดท่ีนาเลือดดจี ากหวั ใจไปส่เู ซลลต์ า่ งๆ ของ ร่างกายหลอดเลอื ดแดงมผี นงั หนาแขง็ แรง และไม่มีล้นิ ก้นั ภายใน เลือดทีอ่ ยใู่ นหลอดเลอื ดแดงเป็น เลือดท่ีมีปริมาณแก๊สออกซเิ จนสูงหรือเรียกว่า “ เลอื ดแดง ”ยกเวน้ หลอดเลือดแดงท่นี าเลือดออกจาก หัวใจไปยงั ปอดภายในเปน็ เลอื ดทม่ี ปี ริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดม์ ากหรอื เรยี กวา่ “ เลอื ดดา ” 2. หลอดเลือดดา (vein) เปน็ หลอดเลือดท่นี าเลือดดาจากสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกายเข้าสู่หวั ใจ หลอดเลอื ดมผี นงั บางกวา่ หลอดเลอื ดแดง มีลนิ้ กน้ั ภายในเพ่อื ปอ้ งกันเลือดไหลยอ้ นกลับ เลอื ดทไ่ี หล อยู่ภายในหลอดเลือดจะเปน็ เลือดทม่ี ีปรมิ าณแกส๊ ออกซเิ จนต่า ยกเว้นหลอดเลอื ดดาท่ีนาเลอื ดจาก ปอดเข้าสู่หวั ใจ จะเปน็ เลือดแดง 3. หลอดเลอื ดฝอย (capillary) เปน็ หลอดเลือดทเ่ี ชือ่ มตอ่ ระหว่า งหลอดเลือดแดงและหลอด เลอื ดดาสานเปน็ ร่างแหแทรกอยูต่ ามเนอื้ เย่ือต่างๆ ของรา่ งกาย มีขนาดเล็กและละเอยี ดเปน็ ฝอยและ มีผนงั บางมากเปน็ แหล่งทมี่ กี ารแลกเปลี่ยนแกส๊ และสารตา่ งๆ ระหวา่ งเลอื ดกบั เซลล์ ตารางเปรียบเทียบหลอดเลอื ดอารเ์ ทอรี, เวน, และหลอดเลือดฝอย ส่ิงเปรียบเทยี บ เสน้ เลอื ดอารเ์ ทอร่ี เสน้ เลอื ดเวน เสน้ เลอื ดฝอย 1.การไหลของเลอื ดใน ไหลออกจากหวั ใจ ไหลเข้าหัวใจ รับเลอื ดจากอาร์เทอรี เสน้ เลือด ส่งให้เวน 2. ลกั ษณะของเลอื ด มอี อกซิเจนยกเวน้ มีคารบ์ อนไดออกไซด์สูง มที ัง้ ออกซิเจนสงู และ เสน้ ทน่ี าเลือดจาก ยกเว้นเสน้ ทน่ี าเลอื ดจาก คารบ์ อนไดออกไซดส์ งู หวั ใจห้องลา่ งขวาไป ปอดมาหวั ใจห้องบนซา้ ย ฟอกท่ีปอด 3. ลิน้ ท่กี ั้นภายในเสน้ ไมม่ ี มี ไมม่ ี เลอื ด 4. ความหนาของผนงั หนาทีส่ ุด บางกวา่ บางที่สุด เส้นเลือด 5.ขนาดเสน้ ผา่ น แคบกวา่ เวน กวา้ งกวา่ อารเ์ ทอรี แคบทสี่ ดุ ศูนยก์ ลาง 6. ปรมิ าณเลือดใน 10-12% 60-70% 4-5% เส้นเลอื ด 7.การมองเห็นจาก ไม่เห็น เหน็ ไม่เหน็ ภายนอก 8.ความเรว็ กระแส เรว็ ทีส่ ดุ ปานกลาง ช้าทสี่ ุด เลือด 9. การไหลของเลอื ด การบบี ตวั ของหวั ใจ การบบี ตัวของกลา้ มเนอ้ื รอบ ๆ การบีบตวั ของหวั ใจ 10. แรงดนั เลือด สูงสุด ต่าสดุ ปานกลาง 11. ประโยชน์ ใชว้ ัดชพี จรและความ ใชเ้ จาะเลอื ด ถา่ ยเลือด ให้ - ดนั เลอื ด น้าเกลอื 12
กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 6 จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. ส่วนประกอบของเลอื กท่ีไมเ่ ปน็ ของเหลวมีรอ้ ยละเทา่ ใด และสารใดเปน็ องคป์ ระกอบ ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 2. จงระบสุ ว่ นประกอบท่ีมมี ากทีส่ ุดในพลาสมาและหน้าท่ีของสว่ นประกอบน้นั ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 3. เฮโมโลบนิ พบทใี่ ด และมคี วามสาคัญอย่างไรต่อรา่ งกาย ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 4. ถ้ามีบาดแผลแล้วเลอื ดแข็งตวั ช้า เปน็ เพราะเหตุใด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 5. เลือดแดง หมายถึงอะไร ไหลเวยี นในหลอดเลอื ดชนดิ ใด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 6. หวั ใจหอ้ งบนขวารับเลอื ดมาจากทีใ่ ด และเปน็ เลอื ดท่มี สี ่วนประกอบใดตา่ งจากเลอื ดท่เี ขา้ สู่ หวั ใจหอ้ งบนซา้ ย ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 7. การแลกเปล่ียนแก๊สและสารตา่ งๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์เกิดขน้ึ ท่ใี ด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ::ความดันเลอื ด ( blood pressure):: ความดันเลอื ด ( blood pressure)หมายถึงความดนั ในหลอดเลอื ดแดงเป็นส่วนใหญ่เกดิ จาก บีบตวั ของหวั ใจทด่ี นั เลือดให้ไหลไปตามหลอดเลอื ดความดันของหลอดเลอื ดแดงทีอ่ ย่ใู กล้หัวใจจะมี ความดันสูงกว่าหลอดเลือดแดงทีอ่ ยู่ไกลหัวใจ สว่ นในหลอดเลอื ดดาจะมีความดันตา่ กวา่ หลอดเลอื ด แดงเสมอความดันเลอื ดมหี น่วยวัดเปน็ มิลลเิ มตรปรอท (mmHg) เปน็ ตัวเลข 2 คา่ คือ คา่ ความดันเลอื ดขณะหัวใจบบี ตัว และคา่ ความดนั เลือดขณะหวั ใจคลายตัว เชน่ 120/80 มลิ ลิเมตรปรอท ค่าตวั เลข 120 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจบบี ตัวใหเ้ ลือดออกจากหัวใจ เรยี กว่า ความดนั ระยะหัวใจบีบตวั (Systolic Pressure) 13
ส่วนตวั เลข 80 แสดงความดนั เลือดขณะหัวใจคลายตัว เพ่ือรบั เลอื ดเขา้ สูห่ ัวใจ เรียกวา่ ความดันระยะหัวใจคลายตวั (Diastolic Pressure) เคร่ืองมอื วัดความดันเลือดเรยี กว่า “ มาตรความดันเลอื ด จะใช้ค่กู บั สเตตโตสโคป (stetoscope)'' โดยจะวัดความดนั ที่หลอดเลอื ดแดง ปกตคิ วามดันเลอื ดสูงสดุ ขณะหัวใจบีบตวั ให้เลือดออกจากหวั ใจมีค่า 100 + อายุ และความดัน เลอื ดขณะหัวใจรบั เลือดไม่ควรเกนิ 90 มิลลิเมตรปรอท ถา้ เกนิ จะเป็นโรคความดันเลอื ดสูง ซง่ึ มี สาเหตหุ ลายประการ เชน่ หลอดเลอื ดตบี ตัน คอเลสเตอรอลในเลือดสูง โกรธงา่ ยหรอื เครยี ดอยู่เปน็ ประจา พบมากในผ้สู งู อายหุ รอื ผูท้ ม่ี ีจิตใจอยู่ในสภาวะเครียด นอกจากนีย้ ังเกดิ จากอารมณโ์ กรธทาให้ ร่างกายผลติ สารชนดิ หน่ึงออกมา ซึ่งสารน้ีจะมีผลตอ่ การบบี ตัวของหัวใจโดยตรง ชพี จร หมายถึง การหดตวั และการคลายตัวของหลอดเลือดแดง ซ่ึงตรงกับจงั หวะการเตน้ ของ หวั ใจคนปกติหัวใจเต้นเฉลยี่ ประมาณ 72 คร้งั ต่อนาที การเตน้ ของชีพจรแตล่ ะคนจะแตกตา่ งกนั ปกติ อตั ราการเตน้ ของชพี จรในเพศชายจะสูงกว่าเพศหญิง ปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ ความดนั เลือด มดี งั นี้ 1. อายุ ผสู้ งู อายุมีความดันเลือดสงู กว่าเด็ก 2. เพศ เพศชายมคี วามดันเลอื ดสงู กว่าเพศหญิง ยกเว้นเพศหญงิ ทีใ่ กล้หมดประจาเดอื นจะมี ความดันเลือด คอ่ นข้างสูง 3. ขนาดของร่างกาย คนที่มีรา่ งกายขนาดใหญ่มักมีความดันเลือดสงู กว่าคนที่มีรา่ งกายขนาด เล็ก 4. อารมณ์ ผูท้ ม่ี อี ารมณเ์ ครียด วิตกกงั วล โกรธหรอื ตกใจง่ายทาให้ความดนั เลือดสงู กว่าคนท่ี อารมณ์ปกติ 5. คนทางานหนักและการออกกาลังกาย ทาใหม้ คี วามดันเลือดสูง :: ระบบนา้ เหลอื ง :: สารต่างๆในเซลล์จะถูกลาเลยี งกลบั เข้าสู่หลอดเลือดด้วยระบบน้าเหลอื งโดยสัมพนั ธ์กบั การ ไหลของเลอื ดในหลอดเลือดฝอย ระบบนา้ เหลอื งมสี ว่ นประกอบ ดังนี้ 1. อวยั วะน้าเหลอื ง เปน็ ศนู ยก์ ลางผลติ เซลลต์ ่อตา้ นสง่ิ แปลกปลอม ได้แก่ ตอ่ มน้าเหลอื ง ตอ่ มทอนซลิ ม้าม และตอ่ มไทมัส มหี น้าที่ผลิตสารต่อต้านเช้อื โรค และส่ิงแปลกปลอมท่เี ขา้ สูร่ า่ งกาย 2. ทอ่ น้าเหลือง (lymph vessel) มีหนา้ ทน่ี านา้ เหลืองเข้าส่หู ลอดเลือดดาในระบบหมนุ เวยี น ของเลือด 3. น้าเหลอื ง (lymph) มลี กั ษณะเปน็ ของเหลวใสอาบอยรู่ อบๆ เซลล์ สามารถซมึ ผา่ นเข้า ออกผนังหลอดเลอื ดฝอยได้ มหี น้าทเ่ี ป็นตวั กลางแลกเปล่ยี นสารระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกบั เซลล์ได้ :: ระบบภูมิค้มุ กนั :: รา่ งกายของคนเราท่ีมีสภาพภูมคิ มุ้ กันส่งิ แปลกปลอมที่อาจก่อให้เกดิ โรคไดร้ ่างกายซ่งึ มีกลไก กาจดั ส่งิ แปลกปลอมตามธรรมชาติ ดังนี้ 14
1. เหงอ่ื เปน็ สารที่รา่ งกายขบั จากตอ่ มเหงือ่ ออกมาที่บรเิ วณผวิ หนงั ท่วั รา่ งกายสามารถป้องกนั การเจรญิ เตบิ โต ของแบคทเี รีย และปอ้ งกันไมใ่ ห้เช้อื โรคเข้าสูร่ ่างกายทางผิวหนงั 2. น้าตาและน้าลาย ชว่ ยทาลายเชือ้ แบคทีเรียบางชนดิ ได้ 3. ขนจมูกและน้าเมอื กในจมกู ช่วยปอ้ งกันฝุน่ ละอองและเช้ือโรคที่เขา้ ส่รู ่างกายทางลมหายใจ 4. เซลล์เมด็ เลอื ดขาวที่อยู่ในเซลลร์ า่ งกายและทอ่ นา้ เหลอื ง สร้างสารต่อตา้ นเช้ือโรคทเี่ รียกว่า “ แอนติบอดี (Antibody)” เพอื่ ทาลายเช้อื โรคท่ีเข้าสูร่ า่ งกาย ระบบภูมคิ ้มุ กนั โรคทีร่ ่างกายสร้างขึ้นเพ่อื ตอ่ ต้านเฉพาะโรค ที่เขา้ สรู่ า่ งกายน้นั สรา้ งได้ 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1. ภมู ิคมุ้ กนั ท่รี า่ งกายสรา้ งขึน้ เอง เป็นวธิ กี ารกระต้นุ ใหร้ า่ งกายสร้างภูมิค้มุ กันจากส่ิง แปลกปลอมหรือเชอ้ื โรค เช่น การฉดี วคั ซีนคุ้มกนั โรคอหวิ าตกโรค เปน็ การกระตุ้นใหร้ า่ งกายสร้าง แอนตบิ อดี เพ่ือทาลายเช้ืออหวิ าตกโรค ท่จี ะเข้าสู่ร่างกาย เปน็ ตน้ 2. ภมู ิค้มุ กนั ที่รับมา เป็นวธิ กี ารใหแ้ อนติบอดแี ก่รา่ งกายโดยตรง เพื่อใหเ้ กิดภมู ิคมุ้ กนั ทนั ที เช่น การฉดี เซรุม่ แก้พษิ งู ใช้ฉดี เมอื่ ถูกงกู ัด จะเกดิ ภมู คิ มุ้ กนั ทันที 3.ระบบหายใจ การหายใจ (respiration) เปน็ การนาอากาศเข้าและออกจากรา่ งกาย ส่งผลให้แกส๊ ออกซิเจนทาปฏิกิริยากับสารอาหารได้พลังงาน น้า และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซต์ กระบวนการหายใจ เกิดขึ้นกบั ทกุ เซลลต์ ลอดเวลา การหายใจจาเปน็ ต้องอาศยั โครงสร้าง 2 ชนิดคือ กลา้ มเน้อื กะบังลม และกระดูกซี่โครง ซ่งึ มกี ลไกการทางานของระบบหายใจ ดังนี้ 15
:: กลไกการทางานของระบบหายใจ :: 1. การหายใจเขา้ (Inspiration) กะบงั ลมจะเลอ่ื นตา่ ลง กระดูกซ่โี ครงจะเลือ่ นสงู ขึ้น ทาให้ ปรมิ าตรของช่องอกเพิ่มขึน้ ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดลดตา่ ลงกวา่ อากาศภายนอก อากาศภายนอกจงึ เคลือ่ นเขา้ สจู่ มูก หลอดลม และไปยงั ถุงลมปอด 2. การหายใจออก (Expiration) กะบงั ลมจะเลอื่ นสูง กระดกู ซี่โครงจะเล่ือนตา่ ลง ทาให้ ปริมาตรของชอ่ งอกลดนอ้ ยลง ความดนั อากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก อากาศ ภายในถุงลมปอดจึงเคล่อื นท่ีจากถุงลมปอดไปสูห่ ลอดลมและออกทางจมกู สิ่งทก่ี าหนดอตั ราการหายใจเข้าและออก คือ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลอื ด ถา้ ปริมาณกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นเลอื ดในเลือดต่าจะทาให้การหายใจชา้ ลง เช่น การนอน หลับ ถ้าปริมาณกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ในเลอื ดในเลือดสูงจะทาให้การหายใจเร็วข้ึน เชน่ การ ออกกาลงั กาย :: การหมุนเวยี นของแก๊ส :: การหมุนเวียนของแกส๊ เปน็ การแลกเปลย่ี นกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์และกา๊ ซออกซเิ จน เกิดข้ึนทบ่ี รเิ วณถุงลมปอด ดว้ ยการแพรข่ องกา๊ ซออกซเิ จนไปสู่เซลล์ตา่ งๆ ทัว่ ร่างกาย และกา๊ ซ ออกซิเจนทาป ฏิกิริยากับสารอาหารในเซลลข์ องร่างกายทาให้ได้พลังงาน นา้ และกา๊ ซ คารบ์ อนไดออกไซด์ ดงั สมการ เอนไซม์ . กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ท่เี กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมีระหว่างกา๊ ซออกซเิ จนกบั อาหารจะแพรอ่ อก จากเซลล์เข้าสหู่ ลอดเลือดฝอยและลาเลียงไปยังปอด กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่เขา้ สหู่ ลอดลม เล็กๆ ของปอดขับออกจากร่างกายพรอ้ มกับลมหายใจออก 16
:: การไอ การจาม การหาวและการสะอกึ :: อาการทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การหายใจมดี ังนี้ 1. การจาม เกิดจากการหายใจเอาอากาศทีไ่ มส่ ะอาดเขา้ ไปในรา่ งกาย ร่างกายจงึ พยายามขับ ส่งิ แปลกปลอมเหล่านน้ั ออกมานอกร่างกาย โดยการหายใจเข้าลึกแล้วหายใจออกทนั ที 2. การหาว เกดิ จากการทม่ี ปี ริมาณกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดส์ ะสมอยใู่ นเลอื ดมากเกนิ ไป จึง ตอ้ งขับออกจากร่างกาย โดยการหายใจเขา้ ยาวและลกึ เพื่อรบั แกส๊ ออกซิเจนเข้าปอดและแลกเปลย่ี น กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดอ์ อกจากเลอื ด 3. การสะอึก เกิดจากกะบังลมหดตวั เปน็ จังหวะๆ ขณะหดตัวอากาศจะถูกดนั ผ่านลงสู่ปอด ทันที ทาใหส้ ายเสียงสนั่ เกดิ เสียงขึ้น 4. การไอ เป็นการหายใจอยา่ งรุนแรงเพอื่ ปอ้ งกันไม่ให้สิง่ แปลกปลอมหลดุ เขา้ ไปในกลอ่ ง เสยี งและหลอดลม ร่างกายจะมีการหายใจเขา้ ยาวและหายใจออกอยา่ งแรง 4.ระบบกาจดั ของเสยี ของเสยี หมายถึง สารทีเ่ กดิ จากกระบวนการเมแทบอรซิ ึม ( metabolism) ภายในรา่ งกาย ของสง่ิ มชี วี ิตที่ ไม่มีประโยชนต์ อ่ ร่างกายเชน่ นา้ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ยเู รีย เปน็ ต้น นอกจากน้ี สารทมี่ ีประโยชน์ ป์ รมิ าณมากเกนิ ไปร่างกายก็จะกาจัดออก เมแทบอริซมึ ( metabolism) หมายถึงการบวนการหมนุ เวียนเปลยี่ นแปลงทางชีวเคมีที่ เกิดขึ้นภายในรา่ งกายของสิง่ มชี วี ติ การกาจัดของเสยี ในรา่ งกายเกดิ ขน้ึ ไดห้ ลายทาง เช่น ทางไต ทางผิวหนงั ทางปอด ทางลาไส้ ใหญ่ เปน็ ต้น :: การกาจัดของเสยี ทางไต :: ไต (Kidney) ทาหน้าท่ีกาจัดของเสยี ในรปู ของนา้ ปสั สาวะ มี 1 คู่ รูปรา่ งคลา้ ยเมล็ดถว่ั ดา อยู่ ในช่องทอ้ งสองขา้ งของกระดูกสนั หลงั ระดับเอว ถา้ ผา่ ไตตามยาวจะพบวา่ ไตประกอบดว้ ยเนอ้ื เยื่อ 2 ชั้น คอื เปลือกไตชนั้ นอกกบั เปลอื กไตชนั้ ในมีขนาดยาวประมาณ 10 เซนติเมตร กวา้ ง 6 เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร บรเิ วณตรงกลางของไตมสี ่วนเวา้ เป็นกรวยไต มีหลอดไตต่อไปยังกระเพาะปสั สาวะ ไตแต่ละขา้ งประกอบด้วยหนว่ ยไต ( nephron) นับลา้ นหน่วยเป็นท่อท่ีขดไปมาโดยมีปลายทอ่ ข้างหนึง่ ต้น เรียกปลายท่อทต่ี ันนี้วา่ “ โบวแ์ มนส์แคปซลู ( Bowman s capsule)” ซงึ่ มีลักษณะเปน็ แอ่งคล้ายถว้ ยภายในแอ่งจะมีกลมุ่ เลือดฝอยพนั กนั เปน็ กระจกุ เรยี กวา่ “ โกลเมอรูลัส (glomerulus)” ซ่ึงทาหนา้ ทก่ี รองของเสียออกจากเลือดทไี่ หลผา่ นไต ทีบ่ รเิ วณท่อของหน่วยไตจะมีการดดู ซมึ สารที่ เปน็ ประโยชนต์ ่อร่างกาย เช่น แรธ่ าตุ น้าตาลกลูโคส กรดอะมโิ นรวมทงั้ น้ากลบั คืนสหู่ ลอดเลอื ดฝอย และเข้าสู่หลอดเลอื ดดา ส่วนของเสยี อ่นื ๆ ท่เี หลือคอื น้าปัสสาวะ จะถกู สง่ มาตามหลอดไตเข้าสู่ กระเพาะปสั สาวะ ซ่ึงมีความจุประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร แตก่ ระเพาะปสั สาวะสามารถท่ีจะ หดตวั ขบั นา้ ปสั สาวะออกมาได้ เม่ือมปี ัสสาวะมาคลงั่ อยปู่ ระมาณ 250 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ซ่งึ ในวัน หนึ่งๆ รา่ งกายจะขับนา้ ปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลติ ร 17
นา้ ปัสสาวะประกอบดว้ ยสารตา่ งๆ ดงั น้ี คือ นา้ 95% โซดยี ม 0.35% โพแทสเซียม 0.15% คลอรีน 0.6% ฟอสเฟต 0.15% แอมโมเนยี 0.04% ยเู รยี 2.0% กรดยูริก 0.05% และครเี อทนิ ิน 0.75% น้าปัสสาวะจะประกอบไปด้วยน้าและยูเรียเปน็ สว่ นใหญ่ สว่ นแรธ่ าตมุ ีอยูเ่ ล็กน้อย ถ้ามกี าร ตกตะกอนของแรธ่ าตุไปอุดตันทางเดนิ ทอ่ ปัสสาวะ จะทาให้ปสั สาวะลาบาก เรียกลกั ษณะอาการอย่าง นี้ว่า “โรคน่ิว ” เม่อื ไตผิดปกตจิ ะทาให้สารบางชนดิ ปนออกมากับนา้ ปสั สาวะ เชน่ เมด็ เลือดแดง กรดอะมโิ น นา้ ตาลกลโู คส เป็นตน้ ปัจจุบันแพทยม์ กี ารใช้ไตเทียมหรอื อาจจะใชก้ ารปลกู ไตให้กบั ผู้ป่วยที่ไตไม่สามารถทางานได้ ไตเทยี ม เปน็ เคร่อื งมือทอี่ ยู่ภายนอกรา่ งกาย สว่ นการปลูกไตเปน็ การนาไตของผู้อ่นื มาใส่ใหก้ ับผปู้ ่วย :: การกาจัดของเสยี ทางผิวหนงั :: เหงอ่ื (sweat) ประกอบด้วยน้าเป็นสว่ นใหญ่ และมสี ารอ่ืนๆ บ้างชนิดปนอยู่ด้วย เชน่ เกลือ โซเดยี มคลอไรด์ ยเู รยี เปน็ ตน้ เหงอ่ื จะถกู ขบั ออกจากรา่ งกายทางผิวหนงั โดยผ่านทาวตอ่ มเหงือ่ ซงึ่ มีอยู่ทัว่ รา่ งกายใต้ผิวหนงั 18
ต่อมเหง่อื ของคนเราแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ คอื 1. ตอ่ มเหงอื่ ขนาดเลก็ มีอยู่ท่ผี ิวหนังทั่วทกุ แห่งของรา่ งกาย ยกเวน้ ท่ีรมิ ฝีปากและที่อวัยวะ สบื พนั ธบุ์ างสว่ น ต่อมเหง่ือเหลา่ นต้ี ดิ ตอ่ กับทอ่ ขับถ่ายซ่งึ เปดิ ออกที่ผิวหนงั ชน้ั นอกสดุ ต่อมเหงื่อขนาด เลก็ น้สี ร้างเหงื่อแล้วขับถ่ายออกมาตลอดเวลา แตเ่ นอ่ื งจากมีการระเหยไปตลอดเวลาเชน่ กัน ดงั นน้ั จงึ มกั สงั เกตไม่คอ่ ยได้ แตเ่ มือ่ อุณหภูมิภายนอกรา่ งกายสูงขึ้นหรือขณะออกกาลงั กาย ปริมาณเหงื่อท่ี ขบั ถ่ายออกมาจะเพม่ิ ข้ึนจนสังเกตเห็นได้ ท่อี ณุ หภมู ิ 32 องศาเซลเซียส จะมกี ารขับเหงอื่ ออกมาเหน็ ไดช้ ัดเจน เหงื่อจากต่อมเหงอ่ื ขนาดเล็กเหลา่ นีป้ ระกอบดว้ ยน้ารอ้ ยละ 99 สารอ่นื ๆ รอ้ ยละ 1 ซง่ึ ได้แก่ เกลอื โซเดียมคลอไรด์และสารอนิ ทรีย์พวกยเู รยี นอกนั้น เปน็ สารอืน่ อีกเลก็ น้อยเชน่ แอมโมเนยี กรดอะมโิ น น้าตาล กรดแลกตกิ 2. ตอ่ มเหงอื่ ขนาดใหญ่ ไมไ่ ด้มีอยทู่ วั่ ร่างกาย พบไดเ้ ฉพาะบางแหง่ ได้แก่ รักแร้ รอบหวั นม รอบสะดือ ชอ่ งหสู ่วนนอก จมูก อวยั วะสบื พนั ธ์บุ างส่วน ต่อมเหล่านม้ี ที อ่ ขบั ถ่ายใหญ่กว่าชนดิ แรก และจะเปดิ ท่ีรูขนใต้ผวิ หนงั ปกติจะไมเ่ ปิดโดยตรง ทผ่ี ิวหนงั ชั้นนอกสดุ ต่อมชนิดนีจ้ ะทางาน ตอบสนองต่อการกระตุน้ ทางจติ ใจ สารทีข่ ับถ่ายจากต่อมชนิดนีม้ กั มีกลิน่ ซงึ่ กค็ อื กลิน่ ตัว นัน่ เอง โครงสรา้ งภายในตอ่ มเหงือ่ จะมีท่อขดอยเู่ ปน็ กล่มุ และมหี ลอดเลือดฝอยมาหลอ่ เลยี้ งโดยรอบ หลอดเลอื ดฝอยเหลา่ นนจ้ี ะลาเลยี งของเสยี มายงั ต่อมเหงอ่ื เมอื่ ของเสยี มาถงึ บรเิ วณตอ่ เหงอ่ื กจ็ ะแพร่ ออกจากหลอดเลอื ดฝอยเขา้ สู่ท่อในต่อมเหงอ่ื จากน้นั ของเสยี ซ่ึงกค็ ือ เหง่ือ จะถูกลาเลียงไปตามท่อ จนถึงผวิ หนังชนั้ บนสดุ ซงึ่ มปี ากท่อเปดิ อยู่ หรอื ทีเ่ รยี กว่า รเู หงือ่ ผิวหนงั นอกจากจะทาหนา้ ทีก่ าจัดของสยี ในรูปของเหง่ือแลว้ ยังทาหน้าท่ชี ่วยระบายความ รอ้ นออกจากรา่ งกายด้วยโดยความร้อน ทีข่ บั ออกจากรา่ งกายทางผวิ หนังมปี ระมาณร้อยละ 87.5 ของความรอ้ นทงั้ หมด กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 7 จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1. ในเนอ้ื ไตจะพบโครงสร้างท่ีทาหน้าทก่ี รองสารออกจากเลือด โครงสรา้ งนคี้ อื อะไร ตอบ................................................................................................................................................ 2. สารทีถ่ กู ดูดซมึ กลบั คนื ทบ่ี รเิ วณหน่วยไตจะกลบั เข้าสู่รา่ งกายทางหลอดเลอื ดใด ตอบ................................................................................................................................................ 3. ถ้าไตผิดปกติสงั เกตไดจ้ ากสิง่ ใด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 4. ของเสียจากหลอดเลือดจะเขา้ สตู่ ่อมเหง่ือโดยวิธีใด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 5. ส่วนประกอบของเหงื่อมอี ะไรบ้าง และเหตุใดเหง่อื จงึ มกี ล่ินและมีรสเค็มเล็กน้อย ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 19
:: การกาจดั ของเสยี ทางลาไส้ใหญ่ :: หลงั จากการยอ่ ยอาหารเสร็จสน้ิ ลง อาหารสว่ นทีเ่ หลือและส่วนท่รี า่ งกายไม่สามารถย่อยได้ จะถูกกาจดั ออกจากรา่ งกายทางลาไสใ้ หญ่( ทวารหนกั ) ในรูปรวมทีเ่ รยี กว่า “อจุ จาระ” ถ้าอจุ จาระตกค้างอยใู่ นลาไสใ้ หญห่ ลายวนั ผนังลาไสใ้ หญ่จะดดู นา้ กลบั เข้าไปในเสน้ เลือด ทา ใหอ้ ุจจาระแขง็ เกดิ ความยากในการขบั ถ่าย เรยี กว่า “ทอ้ งผูก” ท่มี ีอาการท้องผกู จะรู้สึกแน่นท้อง อดึ อัด บางรายอาจมีอาการปวดทอ้ งหรือปวดหลงั ด้วย อาการตา่ งๆ เหล่านจี้ ะหายไปเมือ่ ถา่ ยอจุ จาระ ออกจากรา่ งกาย ผทู้ ี่มอี าการท้องผูกนานๆ อาจเปน็ สาเหตุของโรครดิ สีดวงทวารไดส้ าเหตุเกิดจาก การรับประทานอาหารทีม่ ีกากใยอาหารนอ้ ยเกินไป กินอาหารรสจดั ถ่ายไม่เป็นเวลา เครยี ด สบู บุหร่ี จดั ดื่มน้าชาหรือกาแฟมากเกินไป ใยอาหาร ไดแ้ ก่ พืชผกั ต่างๆ ใยอาหารนอกจากจะไม่ทาใหท้ ้องผกู แล้ว ยงั ช่วยลดสารพิษ ตา่ งๆ ทาให้สารพิษผ่านลาไส้ใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว ป้องกันโรคมะเร็งลาไสใ้ หญ่ ในลาไส้ใหญ่มี แบคทเี รียอาศัยอยจู่ านวนมาก มที ั้งท่เี ปน็ ประโยชน์ ( ชว่ ยสงั เคราะห์วติ ามิน B 12 ) และโทษ (เชอ้ื โรคต่างต่างๆ) :: การกาจดั ของเสยี ทางปอด :: ของเสียท่ถี ูกกาจดั ออกนอกรา่ งกายทางปอด ไดแ้ ก่ น้าและแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซ่งึ เกดิ ขึ้นจากกระบวนการหายใจของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ขัน้ ตอนในการกาจดั ของเสยี ออกจากร่างกายทางปอด มดี งั น้ี 1. นา้ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซดท์ ่ีเกดิ ข้ึนแพรอ่ อกจากเซลลเ์ ขา้ สหู่ ลอดเลือด โดยจะละลาย ปนอยใู่ นเลอื ด 2. เลือดทม่ี ขี องเสยี ละลายปนอย่จู ะถูกลาเลยี งส่งไปยงั ปอด โดยการลาเลยี งผ่านหวั ใจเพื่อสง่ ตอ่ ไปแลกเปลยี่ นแก๊สที่ปอด 3. เลือดท่ีมีของเสยี ละลายปนอยูเ่ มือ่ ไปถงึ ปอด ของเสยี ต่างๆท่สี ะสมอยู่ในเลือดจะแพรผ่ ่าน ผนงั ของหลอดเลอื ดเข้าสถู่ ุงลมของปอดแล้วลาเลียงไปตามหลอดลม เพอ่ื กาจัดออกจากรา่ งกาย ทาง จมกู พร้อมกบั ลมหายใจออก 20
กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 8 จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. จงยกตวั อย่างอาหารทมี่ ีเส้นใยมา 4 ชนดิ ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 2. การกาจัดของเสยี ทางปอดในรปู ของนา้ และแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ที่แพรอ่ อกมาจากเซลล์ได้ นน้ั เน่อื งมาจากกระบวนการใด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 3. อาการทอ้ งผกู เกดิ จากสาเหตใุ ด และมีผลอย่างไรต่อร่างกาย ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 4. ของเสียท่ีถกู กาจัดออกทางปอดคืออะไร เกดิ ขน้ึ จากกระบวนการใด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 5. ผสู้ ูบบหุ รบี่ ่อยจะทาให้เกดิ โรคถุงลมโปง่ พอง จะมีผลต่อรา่ งกายอย่างไร เพราะเหตใุ ด ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 5. ระบบประสาท ระบบประสาท ( Nervous System) คอื ระบบการตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้าของสัตว์ ทาใหส้ ัตว์ สามารถตอบสนองตอ่ สง่ิ ตา่ งๆ รอบตัวอยา่ งรวดเร็ว ช่วยรวบรวมขอ้ มลู เพือ่ ใหส้ ามารถตอบสนองได้ สตั ว์ชนั้ ต่าบางชนดิ เชน่ ฟองน้าไมม่ ีระบบประสาท สัตว์ไมม่ ีกระดูกสันหลังบางชนดิ เร่ิมมรี ะบบ ประสาทสตั ว์ช้นั สูงขนึ้ มาจโี ครงสร้างของระบบ ประสาทซบั ซ้อนยิง่ ข้นึ ระบบประสาทของมนุษย์ แบ่งออกเปน็ 2 ส่วน คอื ระบบประสาทสว่ นกลาง และระบบประสาทรอบนอก 21
:: ระบบประสาทสว่ นกลาง :: ระบบประสาทส่วนกลาง ( The Central Nervous System หรือ Somatic Nervous System) เป็นศูนย์กลางควบคุมการทางานของรา่ งกาย ซ่งึ ทางานพรอ้ มกนั ทงั้ ในดา้ นกลไกและทาง เคมีภายใตอ้ านาจจติ ใจ ซงึ่ ประกอบดว้ ยสมองและไขสันหลังโดยเสน้ ประสาทหลายล้านเส้นจากทั่ว รา่ งกายจะส่งข้อมูลในรปู กระแสประสาทออกจากบรเิ วณศูนยก์ ลางมอี วยั วะที่เก่ยี วข้องดงั น้ี 1.สมอง(Brain) เปน็ ส่วนทีใ่ หญก่ ว่าส่วนอนื่ ๆของระบบประสาทสว่ นกลางทาหน้าที่ควบคมุ การทากิจกรรมทัง้ หมดของรา่ งกายเปน็ อวัยวะชนดิ เดยี วทีแ่ สดงความสามารถด้านสติปญั ญา การทา กิจกรรมหรอื การแสดงออกต่างๆสมองของสัตว์มีกระดูกสนั หลงั ที่สาคัญแบง่ ออกเป็น3 สว่ น ดังนี้ 1.1 เซรีบรมั เฮมสิ เฟยี ร์ ( Cerebrum Hemisphrer) คอื สมองสว่ นหนา้ ทาหนา้ ที่ควบคมุ พฤติกรรรมท่ีซบั ซอ้ นเกี่ยวกบั ความรู้สึกและอารมณค์ วบคมุ ความคดิ ความจา และความเฉลียวฉลาด เชอื่ มโยงความรู้สึกตา่ งๆเช่น การได้ยิน การมองเห็น การรับกลนิ่ การรบั รส การรับสมั ผสั เปน็ ต้น 1.2 เมดัลลาออบลองกาตา ( Medulla Oblongata) คือ ส่วนทอี่ ยูต่ ดิ กบั ไขสันหลัง ควบคมุ การทางานของระบบประสาทอตั โนมตั ิ เชน่ การหายใจการเตน้ ของหัวใจ การไอ การจาม การกะพรบิ ตา ความดนั เลือด เปน็ ตน้ 1.3 เซรเี บลลมั ( Cerebellum) คือ สมองสว่ นทา้ ย เปน็ สว่ นทคี่ วบคมุ การเคลอื่ นไหวของ กล้ามเน้อื และการทรงตัวช่วยให้เคลื่อนไหวไดอ้ ย่างแม่นยาเช่น การเดนิ การวงิ่ การข่รี ถจกั รยาน เปน็ ตน้ 2. ไขสันหลัง ( Spinal Cord) เป็นเนอื้ เยอ่ื ประสาททท่ี อดยาวจากสมองไปภายในโพรง กระดูกสนั หลัง กระแสประสาทจากส่วนต่างๆของรา่ งกายจะผ่านไขสนั หลัง มีท้งั กระแสประสาทเขา้ และกระแสประสาทออกจากสมองและกระแสประสาทที่ตดิ ตอ่ กับไขสันหลังโดยตรง 3. เซลล์ประสาท ( Neuron) เป็นหน่วยทเ่ี ลก็ ท่สี ุดของระบบประสาท เซลลป์ ระสาทมเี ยื่อ หมุ้ เซลล์ ไซโทพลาสซึมและนิวเคลียสเหมอื นเซลล์อ่นื ๆ แตม่ ีรูปรา่ งลกั ษณะแตกต่างออกไป เซลล์ 22
ประสาทประกอบดว้ ยตวั เซลล์ และเสน้ ใยประสาททีม่ ี 2 แบบ คอื เดนไดรต์ (Dendrite) ทาหนา้ ท่ี นากระแสประสาทเขา้ สู่ตัวเซลลแ์ ละแอกซอน ( Axon) ทาหน้าที่นากระแสประสาทออกจากตวั เซลล์ ไปยงั เซลล์ประสาทอน่ื ๆ เซลล์ประสาทจาแนกตามหน้าท่ี การทางานได้3 ชนดิ คอื กระแสประสาท 3.1 เซลล์ประสาทรบั ความรสู้ ึก รับความรสู้ ึกจากอวยั วะสัมผสั เชน่ หู ตา จมูก ผิวหนงั ส่ง กระแสประสาทผ่านเซลลป์ ระสาทประสานงาน 3.2 เซลล์ประสาทประสานงาน เปน็ ตัวเช่อื มโยงกระแสประสาทระหว่างเซลล์รบั ความรู้สึก กบั สมอง ไขสันหลงั และเซลลป์ ระสาทสัง่ การ พบในสมองและไขสันหลังเทา่ นน้ั 3.3 เซลลป์ ระสาทสัง่ การ รบั คาสั่งจากสมองหรอื ไขสันหลัง เพือ่ ควบคุมการทางานของ อวัยวะต่างๆ 23
:: การทางานของระบบประสาทสว่ นกลาง :: ส่งิ เร้าหรือการกระต้นุ จดั เปน็ ขอ้ มูลหรือเส้นประสาทส่วนกลางเรียกว่า “ กระแสประสาท ” เป็นสญั ญาณไฟฟ้าท่นี าไปสเู่ ซลลป์ ระสาททางดา้ นเดนไดรต์ และเดนิ ทางออกอยา่ งรวดเรว็ ทางดา้ น แอกซอน แอกซอนส่วนใหญ่ ่มีแผ่นไขมนั หุม้ ไวเ้ ปน็ ชว่ งๆ แผน่ ไขมนั น้ที าหน้าทเ่ี ป็นฉนวนและทาให้ กระแสประสาทเดินทางได้เร็วข้ึน ถ้าแผ่นไขมนั นี้ฉกี ขาดอาจทาให้กระแสประสาทชา้ ลงทาใหส้ ญู เสยี ความสามารถในการใช้กล้ามเนอื้ เนอ่ื งจากการรบั คาสั่งจากระบบประสาทส่วนกลางได้ไมด่ ี 24
กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 9 จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. จากรปู จงบอกช่อื ส่วนประกอบของเซลลป์ ระสาท BC D A ตอบ A คือ................................................B คือ .................................................... C คอื ...................................................D คอื .................................................... 2. จงลาดบั ขั้นตอนในการทางานของระบบประสาทเมอ่ื เกดิ บาดแผลที่แขนสามารถตอบโต้ สถานการณไ์ ดอ้ ยา่ งถูกต้อง 1.สมองรับข้อมลู 2.หน่วยรบั ความรู้สกึ ที่ผิวหนงั รู้สึกเจบ็ 3.สมองตดั สนิ ใจสั่งการไปตามไขสนั หลงั ใหย้ กแขนท่ีมบี าดแผลขน้ึ มาดู ยก มือซา้ ยไปสัมผัสแผล 4.ขอ้ มลู ถูกสง่ ไปยังไขสนั หลงั และไขสันหลังสง่ ตอ่ ไปยังสมอง ให้ทราบวา่ เกดิ อะไรข้นึ 5.คาสัง่ จากสมองถูกส่งไปยงั กลา้ มเนือ้ ทีม่ ือและตา จากไขสนั หลังไปตามเซลล์ประสาทส่ังการ ตอบ................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ :: ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System) :: ทาหนา้ ทีร่ ับและนาความรูส้ กึ เขา้ ส่รู ะบบประสาทสว่ นกลางได้แก่ สมองและไขสนั หลังจากน้นั นากระแสประสาทส่ังการจากระบบประสาทส่วนกลางไปยงั หน่วยปฎิบัตงิ าน ซงึ่ ประกอบด้วยหนว่ ย รบั ความรู้สกึ และอวัยวะรบั สัมผสั รวมทงั้ เซลลป์ ระสาทและเส้นประสาทท่อี ยูน่ อกระบบประสาท สว่ นกลาง ระบบประสาทรอบนอกจาแนกตามลกั ษณะการทางานได้ 2 แบบ ดงั นี้ 1. ระบบประสาทภายใตอ้ านาจจิตใจ เป็นระบบควบคุมการทางานของกลา้ มเนือ้ ท่บี งั คบั ได้ รวมทั้งการตอบสนองต่อสิง่ เรา้ ภายนอก 2. ระบบประสาทนอกอานาจจติ ใจ เปน็ ระบบประสาทท่ีทางานโดยอัตโนมัติ มีศนู ย์กลาง ควบคุมอยใู่ นสมองและไขสันหลัง ได้แก่ การเกดิ รเี ฟลกซแ์ อกชัน (Reflex Action) และเมื่อมีสิ่งเร้ามา กระตุน้ ท่ีอวัยวะรบั สัมผสั เชน่ ผิวหนัง กระแสประสาทจะส่งไปยังไขสนั หลัง และไขสนั หลงั จะสง่ั การ ตอบสนองไปยังกล้ามเน้ือ โดยไม่ผา่ นไปทส่ี มอง เมอื่ มีเปลวไฟมาสัมผสั ท่ีปลายนิ้วกระแสประสาท 25
จะสง่ ไปยงั ไขสันหลงั ไมผ่ า่ นไปท่ีสมอง ไขสันหลงั ทาหนา้ ที่สง่ั การใหก้ ล้ามเน้ือที่แขนเกดิ การหดตวั เพ่ือ ดงึ มือออกจากเปลวไฟทนั ที :: พฤติกรรมของมนษุ ยท์ ่ตี อบสนองต่อสิ่งเร้า :: พฤตกิ รรมการตอบสนองต่อสงิ่ เร้าของมนุษยเ์ ปน็ ป ฏิกิริยาอาการท่ีแสดงออกเพื่อการโตต้ อบ ตอ่ สง่ิ เร้าท้งั ภายในและภายนอกร่างกาย เชน่ ส่ิงเร้าภายในร่างกาย เชน่ ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหวิ ความต้องการทางเพศ เป็นต้น สิง่ เรา้ ภายนอกร่างกาย เชน่ แสง เสียง อณุ หภมู ิ อาหาร น้า การสมั ผัส สารเคมี เป็นต้น กิริยาอาการทแ่ี สดงออกเพ่ือตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ภายนอกอาศยั การทางานท่ีประสานกนั ระหวา่ งระบบประสาท ระบบกลา้ มเนือ้ ระบบตอ่ มไร้ท่อและระบบตอ่ มมีท่อ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี 1. การตอบสนองเม่อื มีแสงเป็นส่งิ เรา้ เม่อื ไดร้ ับแสงสวา่ งจ้า มนุษย์จะมีพฤตกิ รรมการหรี่ตา เพอื่ ลดปริมาณแสงทีต่ าไดร้ บั 2. การตอบสนองเมือ่ อณุ หภมู ิเป็นสิ่งเร้า ในวันทมี่ อี ากาศรอ้ นจะมีเหง่อื มาก เหงื่อจะชว่ ย ระบายความร้อนออกจากร่างกาย เพ่ือปรบั อณุ หภมู ภิ ายในร่างกายไม่ใหส้ ูงเกนิ ไป เม่ือมีอากาศเย็น คนเราจะเกดิ อาการหดเกร็งกล้ามเนือ้ หรอื เรยี กว่า “ขนลกุ ” 3. เมอื่ อาหารหรอื นา้ เขา้ ไปในหลอดลมเกดิ พฤติกรรมการไอหรอื จาม เพอื่ ขับออกจาก หลอดลม 4. การเกดิ พฤติกรรมแบบรเี ฟลก็ ซ์ เปน็ พฤตกิ รรมการตอบสนองหรอื ตอบโต้ทันทีเพือ่ ความ ปลอดภยั จากอนั ตราย เชน่ เมอ่ื ฝนุ่ เข้าตามีพฤตกิ รรมการกระพริบตา เม่อื สัมผัสวัตถรุ อ้ นจะชกั มือจาก วัตถรุ อ้ นทันที เมื่อเหยยี บหนามจะรีบยกเทา้ ให้พน้ หนามทันที 26
กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 10 จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1. “เมือ่ นักเรียนนัง่ หอ้ ยเท้าสบายบนเก้าอ้โี ดยไมใ่ หเ้ ท้าถึงพ้นื ให้เพ่อื นใชค้ อ้ นยางเคาะทห่ี วั เขา่ เบาๆ สังเกตเห็นปลายเทา้ กระดกไปข้างหน้าเองได้” เมอ่ื ศกึ ษาสถานการณท์ กี่ าหนดใหแ้ ลว้ นักเรยี นตอบ คาถามดงั นี้ 1.1 จากสถานการณ์มีอะไรเปน็ สิ่งเรา้ ……………………………………………………………………….. 1.2 การท่ปี ลายเทา้ กระดกไดเ้ องเปน็ การตอบสนองแบบใด……………………………………….. 1.3 การตอบสนองของรา่ งกายในลกั ษณะเช่นนี้ถูกควบคมุ และสง่ั การโดยสมองหรอื ไม่ อยา่ งไร………………………………………..………………………………………..……………………………………….. 1.4 จงยกตวั อย่างการตอบสนองโดยระบบประสาทอตั โนวัติ เชน่ เดยี วกับสถานการณท์ ี่ กาหนดให้มา 2 ตัวอยา่ ง………………………………………..………………………………………..……………… 2.กจิ กรรมตอ่ ไปน้เี ป็นแบบภายใตอ้ านาจจติ ใจหรอื แบบรเี ฟลก็ ซ์ 2.1 การอาเจียน…………………………………………………. 2.2 การไอหรือจาม……………………………………….. 2.3 การวาดรปู ……………………………………….. 2.4 การคดิ คานวณ……………………………………….. 6. ระบบสืบพันธุ์ ระบบสืบพันธ์ุ เป็นกระบวนการผลติ สงิ่ มชี วี ิตทจ่ี ะแพรล่ ูกหลานและดารงเผา่ พนั ธ์ุของตนไว้ โดยต่อมใต้สมองซงึ่ อยู่ภายใตก้ ารควบคมุ ของสมองสว่ นไฮโพทาลามสั โดยจะหล่ังฮอร์โมนกระตนุ้ ต่อม เพศชายและหญิงให้ผลิตฮอรโ์ มนเพศ ทาใหร้ า่ งกายเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวพร้อมที่จะ สืบพันธ์ไุ ด้ ตอ่ มเพศในชาย คอื อณั ฑะ ตอ่ มเพศในหญิง คอื รงั ไข่ ::ระบบสืบพันธุ์เพศชาย :: ภาพด้านขา้ งระบบสืบพนั ธุเ์ พศชาย 27
อวยั วะทสี่ าคญั ในระบบสืบพันธุเ์ พศชาย ประกอบดว้ ย 1. อณั ฑะ (Testis) เป็นตอ่ มรปู ไข่ มี 2 อัน ทาหน้าท่สี ร้างตัวอสุจิ ( Sperm) ซึง่ เปน็ เซลล์ สบื พันธ์เุ พศชาย และสรา้ งฮอรโ์ มนเพศชายเพอื่ ควบคมุ ลักษณะต่างๆของเพศชาย เชน่ การมีหนวด เครา เสียงหา้ ว เป็นตน้ ภายในอณั ฑะจะประกอบด้วย หลอดสร้างตวั อสุจิ (Seminiferous Tubule) มลี กั ษณะเป็นหลอดเล็กๆ ขดไปขดมาอยู่ภายใน ทาหนา้ ทส่ี ร้างตวั อสุจิ หลอดสรา้ งตัวอสจุ ิ มขี ้างละ ประมาณ 800 หลอด แต่ละหลอดมีขนาดเทา่ เส้นดา้ ยขนาดหยาบ และยาวทงั้ หมดประมาณ 800 เมตร 2. ถงุ หุ้มอณั ฑะ (Scrotum) ทาหนา้ ทีห่ ่อหมุ้ ลกู อัณฑะ ควบคุมอุณหภูมใิ หพ้ อเหมาะในการ สร้างตวั อสจุ ิ ซึง่ ตัวอสุจจิ ะเจรญิ ไดด้ ใี นอณุ หภูมิต่ากวา่ อุณหภมู ิปกตขิ องรา่ งกายประมาณ 3-5 องศา เซลเซยี ส 3. หลอดเก็บตวั อสุจิ ( Epididymis) อยดู่ า้ นบนของอัณฑะ มลี กั ษณะเปน็ ทอ่ เลก็ ๆ ยาว ประมาณ 6 เมตร ขดทบไปมา ทาหนา้ ทีเ่ กบ็ ตวั อสจุ ิจนตวั อสจุ ิเตบิ โตและแขง็ แรงพรอ้ มที่จะปฏิสนธิ 4. หลอดนาตัวอสุจิ (Vas Deferens) อยู่ตอ่ จากหลอดเกบ็ ตวั อสจุ ิ ทาหน้าทีล่ าเลียงตวั อสจุ ิ ไปเกบ็ ไวท้ ่ีตอ่ มสรา้ งน้าเลีย้ งอสุจิ 5. ตอ่ มสรา้ งน้าเลย้ี งอสุจิ ( Seminal Vesicle) ทาหนา้ ท่สี ร้างอาหารเพ่ือใช้เลีย้ งตัวอสจุ ิ เช่น น้าตาลฟรกั โทส วติ ามินซี โปรตีนโกลบูลนิ เป็นต้น และสรา้ งของเหลวมาผสมกบั ตวั อสจุ ิเพอื่ ให้ เกดิ สภาพท่เี หมาะสมสาหรับตวั อสุจิ 6. ตอ่ มลูกหมาก (Prostate Gland) อยู่ตอนต้นของทอ่ ปัสสาวะ ทาหน้าทหี่ ล่งั สารท่มี ฤี ทธ์ิ เป็นเบสอ่อนๆ เขา้ ไปในท่อปัสสาวะเพื่อทาลายฤทธก์ิ รดในทอ่ ปสั สาวะ ทาให้เกดิ สภาพทีเ่ หมาะสมกบั ตัวอสุจิ 7. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยู่ใต้ตอ่ มลูกหมากลงไปเป็นกระเปาะเลก็ ๆ ทาหน้าที่ หลง่ั สารไปหลอ่ ลน่ื ทอ่ ปัสสาวะในขณะที่เกดิ การกระตุ้นทางเพศ โดยทัว่ ไปเพศชายจะเริ่มสร้างตวั อสจุ ิเมื่อเรมิ่ เขา้ สู่วัยรนุ่ คือ อายุประมาร 12-13 ปี และจะ สรา้ งไปจนตลอดชวี ิต การหลั่งนา้ อสุจิ แต่ละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลกู บาศก์เซนติเมตร มี ตวั อสจุ ิเฉล่ียประมาณ 350-500 ล้านตัว ปรมิ าณน้าอสจุ ิและตัวอสุจิแตกต่างกันไดต้ ามความแขง็ แรง สมบูรณ์ของร่างกาย เชอ้ื ชาติ และสภาพแวดล้อม ผทู้ มี่ อี สจุ ติ ่ากวา่ 30 ลา้ นตัวตอ่ ลกู บาศก์เซนตเิ มตร หรอื มตี วั อสุจทิ ่ีมีรปู รา่ งผดิ ปกติมากกวา่ รอ้ ยละ 25 จะมลี กู ได้ยากหรอื เป็นหมัน นา้ อสุจิจะถกู ขับออก ทางท่อปัสสาวะ และออกจากร่างกายตรงปลายสดุ ของอวัยวะเพศชาย ตวั อสจุ ิจะเคลอ่ื นที่ได้ ประมาณ 1-3 มิลลิเมตรตอ่ นาที ตัวอสุจิเม่อื ออกสภู่ ายนอกจะมชี ีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ชว่ั โมง แตถ่ า้ อยู่ ในมดลูกของหญิงจะอยูไ่ ด้นาน ประมาณ 24- 48 ชัว่ โมง ตวั อสุจิประกอบดว้ ยสว่ นสาคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนหัว เปน็ ส่วนที่มนี ิวเคลียสอยู่ ส่วนตัวมี ลักษณะเปน็ ทรงกระบอกยาว และสว่ นหาง เป็นสว่ นทีใ่ ชใ้ นการเคลอื่ นที่ นา้ อสจุ ิจะมีค่า pH ประมาณ 7.35-7.50 มีสภาวะค่อนขา้ งเปน็ เบส ในนา้ อสจุ นิ อกจากจะมีตัวอสจุ ิแล้วยังมสี ว่ นผสมของสารอน่ื ๆ ดว้ ย 28
::ระบบสบื พนั ธุ์เพศหญิง :: อวัยวะทีส่ าคัญของระบบสืบพนั ธเ์ุ พศหญงิ ประกอบด้วย 1. รังไข่ (Ovary) มีรปู ร่างคล้ายเมด็ มะมว่ งหมิ พานต์ ยาวประมาณ 2-36 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร มนี า้ หนักประมาณ 2-3 กรัม และมี 2 อนั อยูบ่ ริเวณปกี มดลูกแตล่ ะขา้ งทาหนา้ ที่ ดังนี้ 1.1 ผลติ ไข่ (Ovum) ซ่ึงเป็นเซลล์สบื พนั ธุเ์ พศหญิง โดยปกติไขจ่ ะสุกเดอื นละ 1 ใบ จากรังไข่แตล่ ะขา้ งสลบั กนั ทกุ เดอื น และออกจากรงั ไขท่ กุ รอบเดอื นเรยี กวา่ การตกไข่ ตลอด ชว่ งชวี ิตของเพศหญิงปกตจิ ะมีการผลิตไข่ประมาณ 400 ใบ คอื เมตัง้ แต่อายุ 12 ปี ถึง 50 ปี จงึ หยดุ ผลติ เซลลไ์ ข่จะมอี ายอุ ยไู่ ดน้ านประมาร 24 ช่ัวโมง 1.2 สร้างฮอร์โมนเพศหญงิ ซง่ึ มอี ยู่หลายชนดิ ท่ีสาคัญ ได้แก่ • อสี โทรเจน (Estrogen) เปน็ ฮอรโ์ มนท่ที าหน้าท่คี วบคุมเกี่ยวกบั มดลกู ช่องคลอด ต่อมน้านม และควบคมุ การเกิดลกั ษณะตา่ งๆ ของเพศหญงิ เชน่ เสียงแหลมเลก็ ตะโพกผาย หนา้ อกและอวยั วะเพศขยายใหญ่ข้นึ เปน็ ต้น • โพรเจสเทอโรน ( Progesterone) เป็นฮอร์โมนท่ที างานรว่ มกับอีสโทรเจนในการ ควบคมุ เกย่ี วกับเก่ียวกบั การเจิญของมดลกู การเปลย่ี นแปลงเย่ือบุมดลกู เพ่อื เตรียม รบั ไข่ที่ผสมแลว้ 2. ทอ่ นาไข่ (Oviduct) หรือปีกมดลกู (Fallopian Tube) เปน็ ทางเชื่อมตอ่ ระหวา่ งรังไข่ท้งั สองขา้ งกับมดลูก ภายในกลวง มสี ้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร มขี นาดปกตเิ ท่ากับเขม็ ถัก ไหมพรมยาวประมาณ 6-7 เซนตเิ มตร หนา 1 เซนติเมตร ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ทางผ่านของไข่ทอ่ี อกจากรงั ไข่ เข้าสูม่ ดลกู โดยมีปลายข้างหนึง่ เปิดอยใู่ กล้กบั รงั ไข่ เรยี กวา่ ปากแตร ( Funnel) บดุ ้วยเซลล์ท่ีมขี น 29
สนั้ ๆ ทาหนา้ ท่พี ัดโบกไขท่ ี่ตกมาจากรังไข่ให้เขา้ ไปในทอ่ นาไข่ ท่อนาไขเ่ ปน็ บริเวณทอี่ สจุ ิจะเขา้ ปฏสิ นธิกับไข่ 3. มดลูก ( Uterus) มีรูปรา่ งคลา้ ยผลชมพู หรอื รปู รา่ งคลา้ ยสามเหล่ยี มหวั กลบั ลง กวา้ ง ประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-8 เซนตเิ มตร หนาประมาณ 2 เซนตเิ มตร อย่ใู นบริเวณอ้งุ กระดูกเชิงกราน ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกบั ทวารหนัก ภายในเปน็ โพรง ทาหนา้ ที่เปน็ ท่ฝี ังตัวของไข่ ทีไ่ ด้รบั การผสมแล้ว และเป็นท่ีเจริญเตบิ โตของทารกในครรภ์ 4. ชอ่ งคลอด (Vagina) อยู่ต่อจากมดลกู ลงมา ทาหน้าที่เปน็ ทางผา่ นของตัวอสุจเิ ข้าสมู่ ดลูก เปน็ ทางออกของทารกเมือ่ ครบกาหนดคลอด และยังเปน็ ชอ่ งใหป้ ระจาเดอื นออกมาดว้ ย ประจาเดอื น (Menstruation) คือเนือ้ เยอ่ื ผนังมดลูกดา้ นในและหลอดเลือดทส่ี ลายตวั ไหลออกมาทางช่องคลอด ประจาเดือนจะเกิดขน้ึ เม่อื เซลล์ไม่ได้รับการผสมกับอสจุ เิ พศหญิงจะมีประจาเดอื นตั้งแตอ่ ายุประมาณ 12 ปขี น้ึ ไป ซงึ่ จะมรี อบของการมีประจาเดอื นทกุ 21-35 วัน เฉล่ยี ประมาณ 28 วัน จนอายุประมาณ 50 ปี จึงจะหมดประจาเดอื น ผหู้ ญงิ จะมชี ่วงระยะเวลาการมีประจาเดอื นประมาณ 3-6 วัน ซงึ่ จะเสยี เลอื ดทางประจาเดอื น แตล่ ะเดอื นประมาณ 60-90 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ดงั น้นั ผู้หญิงจงึ ควรรับประทานอาหารทม่ี ธี าตเุ หลก็ และโปรตีน เพ่ือสรา้ งเลือดชดเชยสว่ นทเ่ี สยี ไป การทผี่ ้หู ญิงบางคนมีประจาเดอื นมาไม่ปกติ อาจเนื่องมาจากอารมณ์และความวิตกกังวลทา ให้การหลงั่ ฮอรโ์ มนของสมองผดิ ปกติ ซึง่ จะมีผลต่อการหลัง่ ฮอรโ์ มนของต่อมใต้สมองที่ทาหน้าที่ กระตุ้นใหไ้ ขส่ ุก คือ ฮอรโ์ มน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และฮอรโ์ มน LH (Luteinizing Hormone) เซลลไ์ ข่มีขนาดใหญก่ ว่าเซลลอ์ สจุ ปิ ระมาณ 50,000-90,000 เทา่ ขนาด ของเซลล์ไข่ประมาณ 0.2 มิลลเิ มตร เราสามารถมองเหน็ เซลลไ์ ข่ไดด้ ้วยตาเปลา่ วงจรการมปี ระจาเดอื น 30
:: ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ :: ความผิดปกตขิ องการตั้งครรภ์ ตามปกตริ า่ งกายของคนเรามกี ารต้งั ครรภ์และคลอดทารก คราวละ 1 คน แต่บางกรณรี ่างกายของคนเราอาจมีโอกาสตงั้ ครรภแ์ ละคลอดทารกครง้ั ละมากกวา่ 1 คน เรียกวา่ “ ฝาแฝด ” ซ่งึ ถอื เป็นความผดิ ปกตขิ องการตั้งครรภ์แบบหนงึ่ ฝาแฝดมี 2 ประเภท คอื 1. แฝดรว่ มไข่ คอื ฝาแฝดที่เกดิ จากไข่ 1 ฟองผสมกับตวั อสจุ ิ 1 เซลล์ แต่ไข่ทไี่ ด้รบั การผสม แล้วขณะท่ีกาลงั เจรญิ เปน็ เอ็มบรโิ อ ในระยะแรกๆ เกิดแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน และแยกขาดออกจากกนั แล้วเจรญิ เตบิ โตเป็นทารกและคลอดในเวลาใกล้เคยี งกนั ฝาแฝดประเภทนีจ้ ะมีรปู ร่างลกั ษณะ เหมอื นกนั มีเพศเดียวกนั มอี ปุ นิสยั ใจคอและความสามารถคลา้ ยกันเมอื่ ไดร้ ับการเลีย้ งดูใน สภาพแวดล้อมเดียวกัน ในบางครั้งฝาแฝดรว่ มไข่ซ่ึงเกิดจากเอ็มบรโิ อทีแ่ บง่ ออกเปน็ 2 สว่ น แต่ไม่แยกออกจากกนั โดยเดด็ ขาด ทาใหท้ ารกท่คี ลอดออกมามีอวยั วะบางส่วนตดิ กนั เช่น แฝดสยาม (Siamese twin) คู่ แรกท่ชี ื่ออนิ - จนั มสี ่วนอกตดิ กนั และมตี ับเป็นเนอื้ เดยี วกันหรอื แฝดลารด์ าน - ลาร์เลห์มสี ่วนหัว ตดิ กนั เป็นต้น 2. แฝดต่างไข่ คือแฝดทเ่ี กิดจากไข่คนละฟองผสมกับตัวอสจุ คิ นละเซลล์ ไดเ้ อม็ บรโิ อมากกว่า 1 เอ็มบริโอ สาเหตทุ เี่ กิด เน่อื งจากมีไขส่ ุกพร้อมกันมากกว่า 1 ฟองจากรังไขข่ ้างหนึง่ หรือท้งั สองขา้ ง ขณะที่เอม็ บรโิ อเจริญอยใู่ นมดลกู รกจะแยกจากกันและทารกจะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคยี งกนั แฝดประเภทน้อี าจมีเพศเดยี วกันหรือตา่ งเพศกไ็ ด้ และมลี กั ษณะทางพันธุกรรมตา่ งกัน ความผดิ ปกติในการตั้งครรภ์นอกจากทาใหเ้ กิดฝาแฝดแลว้ ยงั อาจทาให้เกิดผลอน่ื ๆ เชน่ การแท้ง การคลอดกอ่ นกาหนด การท้องนอกมดลูก เป็นต้น การแทง้ หมายถึง การท่ที ารกคลอดก่อนอายคุ รรภ์จะครบ 28 สัปดาห์ หรอื มีน้าหนกั น้อย กว่า 1,000 กรมั การคลอดกอ่ นกาหนด หมายถึง การทท่ี ารกคลอดในชว่ งอายุ 28-37 สปั ดาห์ การท้องนอกมดลูก หมายถึง การทไี่ ข่ไดร้ ับการปฏสิ นธิแลว้ ไปฝงั ตัวท่บี ริเวณอนื่ ที่ไม่ใช่ มดลกู เชน่ บรเิ วณชอ่ งทอ้ งหรือปีกมดลกู ซง่ึ อาจเปน็ อนั ตรายถงึ แกช่ วี ิตได้ :: ความพิการแตก่ าเนดิ :: สาเหตุของความผดิ ปกตแิ ต่กาเนิดมีหลายประการ ดงั นี้ 1. การตดิ เช้อื ขณะตัง้ ครรภ์ เช่น เช้ือแบคทเี รียท่ที าใหเ้ กดิ โรคซิฟิลสิ โคโนเรยี เชอ้ื ไวรัสทาให้ เกิดโรคหดั เยอรมนั โรคเอดส์ ซ่งึ เชอ้ื โรคเหลา่ นจ้ี ะแพร่เข้าสู่เอม็ บรโิ อทาให้ทารกที่คลอดออกมาพิการ ได้ 2. ยาหรือสารเคมบี างชนิด ซงึ่ เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดงั นนั้ หญงิ ทก่ี าลังตั้งครรภจ์ ึงไม่ ควรซอื้ ยารับประทานเอง ไม่ควรสดู ดมหรอื รับประทานยาหรอื สารทเี่ ปน็ อันตรายตอ่ สุขภาพของตน และทารก 3. ความผดิ ปกติของหนว่ ยพนั ธุกรรมหรอื ยนี หนว่ ยพนั ธกุ รรมหรือยีนหมายถึงหน่วยที่ ควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เชน่ สผี ิว สีผม สีตา ความสงู สตปิ ัญญา เปน็ ตน้ หนว่ ยพนั ธุกรรมหรือยีนสามารถถา่ ยทอดจากพอ่ แมไ่ ปยงั ลกู หลานได้ยีนท่ีผิดปกติ เชน่ โรคปัญญา ออ่ นบางชนิด โรคเลอื ดผดิ ปกติ ( ทาลัสซเี มีย ) ซงึ่ ในคนปกตอิ าจมียีนเหลา่ นี้แฝงอยแู่ ละสามารถ 31
ถา่ ยทอดไปสู่ลูกหลานได้ ยนี ทีผ่ ดิ ปกตเิ หลา่ น้ี สว่ นมากเป็นยนี ด้อยและอาจแสดงลักษณะดอ้ ยเหลา่ น้ี ี้ ออกมาให้เห็นในรนุ่ ลกู หรอื รุ่นหลาน หนว่ ยพนั ธุกรรมหรือยีนของแตล่ ะลักษณะจะมีอยู่เป็นค่ๆู บน โครโมโซมซงึ่ อยู่ใน นิวเคลียสของเซลลแ์ ต่ละเซลล์ ยนี ของแตล่ ักษณะท่อี ยู่เปน็ คูๆ่ นัน้ หนว่ ยหนงึ่ จะ ได้มาจากพ่อและอกี หนว่ ยหนึ่งไดม้ าจากแม่ โครโมโซมของมนษุ ย์มี 23 ค่หู รือ 46 อันเป็นโครโมโซมร่างกาย 22 คหู่ รือ 44 อนั และเปน็ โครโมโซมเพศ 1คู่หรอื 2 อนั แต่ละคู่บนโครโมโซมจะมยี ีนอยู่เป็นคูๆ่ ดงั นนั้ แต่ละหน่วยของยนี ในแต่ และคู่จะแยกกันอยู่บนโครโมโซมแต่ละอันซ่ึงเปน็ คูก่ นั หนว่ ยพันธุกรรมหรือยนี มี 2 ประเภท คือ 3.1 ยนี เด่น คอื ยีนทสี่ ามารถแสดงลกั ษณะนน้ั ๆ ออกมาได้ แม้จะมียนี นน้ั เพยี งยีนเดียว เชน่ ยนี โรคเลือดผิดปกติ ( ทาลสั ซีเมยี ) อยู่คู่กบั ยีนปกติ ยนี ปกตเิ ป็นยนี เด่น ดงั นัน้ ลกั ษณะเลือดจงึ เป็น ปกตไิ มเ่ ป็นโรคทาลสั ซเี มยี 3.2 ยีนด้อย คือ ยีนทส่ี ามารถแสดงลกั ษณะนั้นๆ ออกมาได้กต็ ่อเม่อื ยีนดอ้ ยน้ันตอ้ งมียีนอยู่ ด้วยกัน เชน่ ยนี โรคเลือดผดิ ปกติ ( ทาลสั ซเี มีย ) ซ่ึงเป็นยนี ด้อย ถ้ายีนนีม้ ี 2 ยีนจะแสดงอาการของ โรคทาลสั ซเี มยี ออกมาทนั ที หน่วยพนั ธกุ รรมแสดงลกั ษณะจะอยเู่ ป็นคๆู่ ตามแบบท่เี ขยี นเป็นรูป วงกลม มีจุดสีดาและจุดสีขาวอยภู่ ายในดังนี้ กาหนดให้ ้ เป็นยนี ผิวปกติ เปน็ ยนี ผวิ เผอื ก พันธุแ์ ท้ หมายถงึ มียนี เหมอื นกันทั้งคู่ พันทาง หมายถงึ มียีนท่ีไม่เหมอื นกัน ยีนผวิ ปกตเิ ป็นยนี เด่น ยนี ผิวเผอื กเป็นยีนดอ้ ย 1. หมายถงึ ยนี ผวิ ปกตพิ นั ธ์ุแท้ คอื คนทม่ี ผี ิวปกติ ไม่มผี วิ เผือกแอบแฝงอยู่ 2. หมายถงึ ยนี ผวิ เผือกพนั ธุแ์ ท้ คอื คนทผ่ี วิ เผอื กอยา่ งแทจ้ รงิ 3. หมายถงึ ยีนผิวปกตพิ นั ทาง คือคนทม่ี ีผิวปกติ แตม่ ผี วิ เผือกแฝงอยู่ 4. หมายถงึ ยีนผิวปกติพันทาง คอื คนท่ีมผี วิ ปกติ แต่มผี วิ เผือกแฝงอยู่ ถา้ เขียนอกั ษร A เป็นยนี ผิวปกติ และ a เป็นยีนผวิ เผอื ก แทนรปู ในข้อ 1 ถึงข้อ 4 ด้วย อกั ษรดงั น้ี เรยี งตามลาดบั AA, aa, Aa, aA ชายและหญงิ ทเี่ ปน็ พนั ทางมยี นี ผวิ เผือกแฝงอยใู่ นผิวปกติ (Aa) หรือ (aA) ถา้ แต่งงานกันจะมโี อกาสเกดิ ลูกผวิ ปกติ 75 เปอร์เซน็ ต์และผิวเผอื ก 25 เปอรเ์ ซน็ ต์ ถา้ เขยี นแผนภาพแสดงวิธคี ิดได้ดังนี้ รนุ่ พอ่ แม่ทม่ี ียนี คกู่ นั ผิวปกติพนั ทาง ( ชาย )Aa x ผิวปกติพนั ทางหญงิ ( หญิง )Aa 32
จะเห็นไดว้ ่ารุน่ ลูกผิวปกติ 3 ใน 4 หรอื 75 เปอรเ์ ซ็นต์ และผิวเผอื ก 1 ใน 4 หรอื 25 เปอร์เซน็ ต์ :: การใช้เทคโนโลยกี ารผสมเทียม :: การผสมเทียม คือ การปฏสิ นธิแบบไมต่ ้องมีการรว่ มเพศตามธรรมชาติ ซ่ึงเป็นการพัฒนา เทคโนโลยีเพอ่ื แก้ปัญหาให้แก่คสู่ มรสทมี่ ีบุตรยาก ปญั หาโรคทางพนั ธกุ รรมและการเลอื กเพศบุตร การผสมเทยี มเป็นวิธกี ารแกป้ ญั หาทเ่ี กิดข้ึนในเพศชายและเพศหญงิ ในกรณีต่างๆ ดังน้ี 1. มปี รมิ าณตัวอสุจนิ ้อยกว่าปกตหิ รือมตี ัวอสจุ ทิ ีไ่ มแ่ ขง็ แรง 2. มคี วามบกพรอ่ งของหน่วยพนั ธุกรรม กรณีน้ีอาจใชว้ ธิ ฉี ีดเซลล์อสจุ ิของเพศชายอ่นื เขา้ ไป ในโพรงมดลูกของภรรยาแทน 3. มีความบกพรอ่ งทางโครงสร้างและการทางานของระบบสืบพันธ์ุ จนทาให้ไมส่ ามารถมีลูก เองได้ เชน่ กรณีของเพศหญิงที่มีปัญหาเกดิ ข้ึนกบั โครงสรา้ งและระบบการทางานของระบบสบื พนั ธุ์ เชน่ ท่อนาไข่ตบี ไขไ่ ม่สามารถเดนิ ทางมาผสมกบั ตวั อสจุ ิได้ สามารถผสมเทียมได้โดยนาเซลล์ไขจ่ าก รงั ไข่มาผสมกับเซลลอ์ สจุ ิภายนอกรา่ งกาย เมอื่ เกิดการปฏสิ นธิแลว้ จึงนาเอม็ บริโอท่ีไดฉ้ ดี เข้าไปทาง ช่องคลอดของฝา่ ยหญงิ เพ่อื ให้เอ็มบริโอไปฝังตวั และเจรญิ เติบโตต่อไปในมดลูก เรยี กทารกท่ีกาเนดิ แบบนี้ว่า“ เดก็ หลอดแกว้ (test-tube baby)” การผสมเทยี มโดยวิธีทากฟิ ต์ (GIFT) ยอ่ มาจาก gamete intra-fallopian transferเป็น วธิ กี ารผสมเทยี มท่ที าโดยฉดี เซลล์ไขแ่ ละเซลล์อสจุ ิเขา้ ไปในท่อนาไข่ ให้ผสมกนั เองทบี่ รเิ วณทอ่ นาไข่ และเม่อื เกดิ การปฏิสนธิแลว้ เอม็ บริโอจะเคล่อื นมาฝงั ตัวในมดลกู ขน้ั ตอนการทากฟิ ต์ มดี งั น้ี 1. กระตุ้นใหเ้ กดิ การตกไขข่ องฝ่ายหญิงพร้อมกันหลายๆ เซลล์ โดยใหก้ ินยาร่วมกบั การฉีดยา ประเภทฮอร์โมน 2. เม่อื ไข่สุกเต็มที่กจ็ ะดดู ไขอ่ อกจากรงั ไข่ทางด้านหน้าทอ้ งและคดั ไข่ท่ีสมบูรณ์ 3-4 เซลล์ 3. นาเซลล์อสจุ ิจากฝา่ ยชายและเซลลไ์ ขท่ คี่ ดั ไว้ในอัตราส่วนเซลล์ไข่ตอ่ เซลล์อสุจิเท่ากับ 1:100,000 ฉีดเข้าไปในทอ่ นาไข่ของฝา่ ยหญงิ ท่ีหน้าทอ้ ง 4. หลังจากนน้ั ประมาณ 2 สปั ดาห์ ก็ทราบผลวา่ ตงั้ ครรภห์ รือไม่ การผสมเทยี มแบบซิฟท์ (ZIFT) ยอ่ มาจาก zygote intra-fallopian transfer เป็นวิธีการ ผสมเทยี มทน่ี าเซลลไ์ ขแ่ ละเซลล์อสจุ ิมาผสมในจานเพาะเชื้อจนไดเ้ ป็นไซโกต แล้วนา ไซโกตฉดี เขา้ ไป ในท่อนาไข่ ไซโกตจะแบง่ ตวั เป็นเอ็มบริโอและเคลื่อนไปฝังตัวท่มี ดลูก การผสมเทียมแบบกฟิ ต์และแบบซฟิ ท์จะมีอัตราการตัง้ ครรภ์สงู กว่าเดก็ หลอดแก้วถึง 2 เทา่ ในกรณที ่แี ม่มีความผิดปกตทิ างกายหรอื จิตใจจนไม่สามารถตงั้ ท้องเองไดอ้ าจผสมเทียมไดโ้ ดยวิธี ฝากเอม็ บริโอใหเ้ จริญเติบโตในมดลกู ของหญิงอ่ืน การให้กาเนดิ ทารกทีเ่ ปน็ เพศชายหรือเพศหญิงนัน้ ขึน้ อย่กู บั โครโมโซมเพศเพียงคเู่ ดยี ว ถา้ ทารกเปน็ เพศชายโครโมโซมจะเป็น XY ถ้าทารกเปน็ เพศหญิงโครโมโซมจะเปน็ XX เชน่ เดก็ หญิงพลอยมโี ครโมโซมร่างกาย ดงั นี้ โครโมโซมร่างกาย 22 คู่ + โครโมโซมเพศหญงิ 1 คู่ สามารถเขียนสัญลักษณไ์ ด้ดงั น้ี 22 คู่ + XX หรอื 44 อัน + XX 33
เดก็ ชายเพชรมีโครโมโซมรา่ งกาย ดังน้ี โครโมโซมรา่ งกาย 22 คู่ + โครโมโซมเพศชาย 1 คู่ สามารถเขยี นสัญลกั ษณ์ไดด้ งั น้ี 22 คู่ + XY หรือ 44 อัน + XY กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 11 จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1. นางปน่ิ ต้องการมบี ตุ ร แต่มปี ัญหาเรอื่ งทอ่ นาไขต่ บี ตนั ทาให้ไข่ไม่สามารถเดนิ ทางมาผสมกบั ตวั อสุจิ ได้ นางป่นิ ควรแก้ปญั หาอย่างไร ตอบ................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................... 2. จากการแกป้ ญั หาของนางป่ิน เรยี กวิธีน้ันวา่ อยา่ งไร ตอบ................................................................................................................................................ สารเสพติดและผลกระทบตอ่ ระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ส่ิงเสพติด คอื ยาประเภทหนึ่งเมื่อเข้าสรู่ ่างกายแลว้ จะทาให้ผูไ้ ด้รบั มคี วามต้องการมาก ขึ้นเร่อื ย โดยจะเขา้ สรู่ า่ งกายโดยการ กิน สบู ฉีด หรอื ดม ผลของสงิ่ เสพตดิ ตอ่ การทางานของ ระบบตา่ งๆ ของร่างกายของผ้เู สพจะเกิดโทษต่างๆ ชนดิ ของสารเสพตดิ ประเภทของสารเสพตดิ องคก์ ารอนามัยโลก จึงได้มกี ารจาแนกสารเสพติดตามกลมุ่ ของสารเสพติดทมี่ ีฤทธ์ิและ อนพุ นั ธ์ทค่ี ลายคลึงกนั ออกเป็น 9 ชนดิ ไดแ้ ก่ 3.1 ประเภทฝ่นิ หรอื มอรฟ์ ีน รวมทัง้ ยาที่มฤี ทธ์คิ ลา้ ยมอร์ฟีน เชน่ ฝนิ่ มอร์ฟีน เฮโรอีน เพ ทินดนี เป็นต้น 3.2 ประเภทบารบ์ ิทูเรตรวมทั้งยาที่มฤี ทธิใ์ นทานองเดียวกัน เชน่ เซโคบาร์บิทาล อะโมบาร์บิ ทาล พาราดไี ฮด์ ไดอะซแี พม เมโปรบาเมต คลอไดอะซิปอ๊ กไซด์ เป็นตน้ 3.3 ประเภทแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบยี ร์ วสิ ก้ี เปน็ ตน้ 3.4 ประเภทแอมเฟตามีน เช่น แอมเฟตามีน เด็กซ์แอมเฟตามนี เป็นตน้ 3.5 ประเภทโคเคน เชน่ ใบโคคา เป็นต้น 3.6 ประเภทกัญชา เช่น ยอดชอ่ ดอกกญั ชาตวั เมยี เปน็ ตน้ 3.7 ประเภทคทั เช่น ใบคทั ใบกระท่อม เปน็ ตน้ 3.8 ประเภทหลอนประสาท เชน่ แอลดี ดีเอม็ ที ลาโพง สารระเหย เหด็ เมา 3.9 ประเภทอืน่ ๆ ทไ่ี ม่สามารถจดั เข้าประเภทใดได้ เชน่ ทนิ เนอร์ เบนซิน นายาล้างเล็บ ยา แก้ปวด บหุ ร่ี เปน็ ต้น (พรมิ้ เพรา ผลเจรญิ สขุ .2545) 34
เน่อื งจากไอซ์มชี ่ือเรียกทเี่ ป็นทางการคือ เมทแอมเฟตามนี ไฮโดรคลอไรด์ (crystalline methamphetamine hydrochloride) เปน็ สารเสพติดสังเคราะหท์ เี่ ป็นอนพุ ันธ์ของแอมเฟตามีน (Amphetamine) จงึ จดั อยู่ในประเภททแอมเฟตามีนตามการจาแนกขององคก์ ารอนามัยโลก สาหรับองค์การสหประชาชาติ ได้จาแนกสารเสพติดเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) ประเภทยาเสพติดใหโ้ ทษ 2) ประเภทวัตถทุ ่อี อกฤทธต์ิ ่อจติ และประสาท และ 3) ประเภทยาควบคมุ ซึ่งการแบ่งในลักษณะนเี้ ปน็ ไปเพ่ือประโยชน์ในการกาหนดมาตรการควบคุมการผลติ และการ จาหนา่ ยเปน็ สาคัญ เปน็ การเอ้ือต่อผปู้ ฏบิ ตั ใิ หง้ ่ายขึ้น รวมถึงเพอ่ื การใช้ประโยชนท์ ่ียังคงมคี วามจา เปน็ อยู่อกี มากสาหรบั ในทางการแพทย์ เพยี งแต่ตอ้ งนาใช้ไปในทางทีถ่ กู ต้องตามหลกั วิชาการและตอ้ ง เพิ่มความระมดั ระวังขึน้ เป็นพเิ ศษดว้ ย ซ่ึงตามการแบง่ ประเภทตามขา้ งต้นน้ี เมทแอมเฟตามนี ไดถ้ ูก จัดไว้ในในประเภทท่ี 2 (ประเภทวัตถุทีอ่ อกฤทธต์ิ ่อจติ และประสาท) แตท่ งั้ นเ้ี มอื่ ถงึ คราวที่ผู้ใช้ยาหรือ สารเสพตดิ มคี วามต้ังใจที่จะตดั สินใจเลอื กมกั จะเลอื กจากลกั ษณะการออกฤทธ์ิทจ่ี ะส่งผลตอ่ ตวั เอง หลังการเสพเขา้ ไปแล้ว ซง่ึ การออกฤทธิด์ งั กล่าวนั้นจะแบง่ ออกได้เปน็ 4 กล่มุ คอื 1) กลมุ่ ออกฤทธ์ิกดประสาท (Depressants) ยาหรอื สารเสพติดกลุ่มนี้จะออกฤทธก์ิ ด ประสาทสมอง ศนู ยค์ วบคมุ การหายใจในสมอง และประสาททคี่ วบคมุ การทางานของอวัยวะบางอย่าง ของร่างกาย ยาพวกน้ไี ด้แก่ ฝิ่น มอรฟ์ นี เฮโรอีน และเซโคบาร์บทิ าล (Secobarbital) ซึง่ เรียกกนั ใน หมใู่ ช้วา่ \"ปีศาจแดง\" หรอื \"เหลา้ แหง้ \" ไดอะซีแพม ทนิ เนอร์ กาว ฯลฯ 2) กลุม่ ออกฤทธกิ์ ระตุน้ ประสาท (Stimulants) จะออกฤทธก์ิ ระตุ้นประสาทสมองสว่ นกลาง โดยตรง กระต้นุ การเต้นของหวั ใจ และอารมณด์ ว้ ย เชน่ แอมเฟตามนี เมทแอมเฟตามีน อเี ฟดรีน โคเคน ฯลฯ 3) กลุ่มออกฤทธิ์หลอนประสาท (Hallucinogen) จะออกฤทธิ์ตอ่ ประสาทสมอง ทาใหม้ ีการ รับรู้ความรู้สกึ (Perception)ผดิ ไป เกดิ อาการประสาทหลอน หรอื แปลส่งิ เร้าผดิ (illusion) ไดแ้ ก่ แอลเอสดี (Lysergicacid dietyhlamide) แกสโซลีน (Gasoline)เปลอื กกล้วย ยางมะละกอ และ แฟนไซคลิดนี (Phencylidine) ดเี อ็มที เห็ดข้ีควาย ฯลฯ 4) กลุม่ ออกฤทธท์ิ ่ีออกฤทธ์ิผสมผสาน คอื เมอื่ เสพเขา้ ไปแลว้ จะออกฤทธท์ิ ั้งกดประสาท กระตุน้ ประสาท และหลอนประสาท ได้แก่ กัญชา ใบกระท่อม เมอ่ื ใช้น้อยๆ จะกระตุ้นประสาท หาก ใช้มากขึ้นจะกดประสาท และถา้ ใชม้ ากข้ึนอีกกจ็ ะเกดิ ประสาทหลอนได้ เป็นต้น ดงั นัน้ เมทแอมเฟตามนี จงึ ถูกจัดอยู่ในกลมุ่ ที่ 2 กลุ่มออกฤทธก์ิ ระตุ้นประสาท ตามการออก ฤทธิ์ที่ไปกระต้นุ ประสาทสว่ นกลาง การป้องกันการติดยาเสพติด 1.ปอ้ งกนั ตนเอง - ไมท่ ดลองยาเสพติดทุกชนดิ - ถา้ มีปัญหาหรือไมส่ บายใจ อย่าเกบ็ ไว้คนเดียว ควรปรึกษาพ่อแม่ ครู ผ้ใู หญ่ - ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ เช่น อ่านหนงั สอื เล่นกฬี าหรอื ทางานอดเิ รกต่างๆตามความ สนใจ ความถนดั 35
- ระมัดระวัง การใชย้ าและศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจถงึ โทษภยั ของยาเสพตดิ 2.ปอ้ งกนั ครอบครวั - ควรสอดส่องดูแลเดก็ และบุคคลในครอบครวั อย่าให้เกีย่ วข้องกบั ยาเสพตดิ - อบรมส่ังสอนใหร้ ้ถู ึงโทษภัยของยาเสพติดดูแลเร่ืองการคบเพือ่ น - คอยส่งเสริมใหเ้ ขาร้จู ักการใช้เวลาในทางทเ่ี ป็นประโยชน์ เชน่ การทางานบ้าน เล่นกีฬา เพ่อื ป้องกนั มใิ ห้เดก็ หันเหไปสนใจในยาเสพติด - ส่งิ สาคญั ก็คอื ทุกคนในครอบครวั ควรสร้างความรกั ความเขา้ ใจและความสมั พนั ธ์อันดีต่อ กัน 3.ป้องกนั ชุมชน - หากพบผตู้ ิดยาเสพติดควรช่วยเหลือแนะนาให้เข้ารับการบาบดั รกั ษาโดยเรว็ โดยการสมคั รเข้าขอรบั การบาบัดรกั ษายาเสพติด ก่อนที่ความผดิ จะปรากฏต่อเจา้ หน้าทีก่ ฎหมาย ยกเว้นโทษให้ - เมอ่ื รูว้ ่าใครผดิ นาเขา้ สง่ ออก หรอื จาหนา่ ยยาเสพติด ควรแจ้งเจา้ หน้าที่ ตารวจเจ้าหนา้ ท่ี ศลุ กากรนายอาเภอ กานัน ผใู้ หญ่บา้ น ฯลฯหรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องสานกั งานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามยาเสพติด (สานกั งาน ป.ป.ส.) 36
แบบฝึกหัด เรอื่ ง ระบบร่างกายมนษุ ย์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 3 รหัสวิชา ว 22101 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ครูผสู้ อน ครูเมลดา ยมจินดา ครูสุภาพร สง่ สกุล และครอู ภญิ ญา กวดแก้ว คดิ วเิ คราะห์ แล้วตอบคาถามตอ่ ไปนีใ้ หถ้ กู ต้อง 1.อาหารประเภทใดไม่ตอ้ งผา่ นกระบวนการยอ่ ย สามารถซึมผ่านเข้าสู่เซลล์ได้เลย ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2.อวัยวะใดบา้ งที่เกยี่ วข้องกับการย่อยอาหาร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. เลือดแดง กบั เลอื ดดาตา่ งกนั อย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. การวัดความดันวัดที่ใด ค่าที่วดั ไดม้ ีความหมายอยา่ งไร ปจั จยั ใดทม่ี ผี ลตอ่ ความดนั ของรา่ งกาย ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. จงเขยี นแผนภาพแสดงการแลกเปลยี่ นแกส๊ CO2 กับแกส๊ O2 6.ของเสยี หมายถึงอะไร จงอธบิ ายพรอ้ มยกตวั อย่าง ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7.การหายใจเขา้ และหายใจออกเป็นการทางานของกระดกู สว่ นใดอย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8.เด็กหญงิ ออ้ ยเดินเหยียบตะปแู ลว้ ยกเท้าขน้ึ ทนั ที เปน็ การทางานของระบบใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 37
9.ทารกมวี ธิ กี ารถา่ ยเทอากาศ อาหาร นา้ และของเสยี ระหวา่ งท่ีอยู่ในครรภม์ ารดาทางใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10.นางปลายคลอดลูกเม่ืออายคุ รรภไ์ ด้ 27 สปั ดาห์ และนางปิ่นคลอดลกู เมือ่ อายุครรภไ์ ด้ 30 สปั ดาห์ และนางปอคลอดลกู เม่ืออายุครรภไ์ ด้ 38 สัปดาห์ การคลิดลูกของทั้ง 3 คนจดั เปน็ ลักษณะครรภท์ ่ี แตกต่างกนั อย่างไร จงอธิบาย ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 11. การนาเซลลอ์ สุจิและเซลลไ์ ขม่ าผสมกนั ในจานเพาะเชือ้ แล้วนาไซโกตทไ่ี ด้ฉีดเขา้ ไปในท่อนาไข่ เรียกวิธกี ารผสมเทียมแบบน้วี ่าอะไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12. ถ้าเขียนโครโมโซมของคนคนหนงึ่ ว่า 22+XY จะหมายความว่าอย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 13. เหตุใดขณะออกกาลงั กายหวั ใจจงึ เต้นแรง ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 14. ฝาแฝดท่ีเกิดจากไขห่ นง่ึ ใบผสมกับอสุจิ จะมีลักษณะอยา่ งไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 15. จงอธบิ ายอวยั วะใดในระบบยอ่ ยอาหารท่สี ามารถยอ่ ยสารอาหารได้หลายประเภท ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 38
ระบบรา่ งกายสตั ว์ สัตวต์ า่ ง ๆ เปน็ ส่ิงมีชีวิตที่อาศยั อยู่ในแหลง่ ทีอ่ ยู่ทแี่ ตกต่างกัน และสัตว์ต่าง ๆ เหล่าน้ีบาง ชนิดมเี นอื้ เยื่อหรอื อวยั วะทย่ี ังไม่มีการพัฒนาใหเ้ หน็ ไดช้ ดั เจน แตบ่ างชนดิ กม็ กี ารพฒั นาให้เหน็ ได้อยา่ ง ชัดเจน มคี วามซบั ซอ้ นของโครงสร้างของร่างกายทีแ่ ตกต่างกันออกไป ซึ่งมผี ลทาใหร้ ะบบตา่ ง ๆ มี สว่ นประกอบของโครงสรา้ งและหนา้ ที่การทางานทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไปดว้ ย 1. ระบบย่อยอาหารของสตั ว์ 1.1 การย่อยอาหารในสัตวม์ ีกระดกู สนั หลัง สตั ว์มีกระดกู สนั หลังทุกชนดิ เช่น ปลา กบ ก้งิ ก่า แมว จะมีระบบทางเดินอาหารสมบรู ณ์ ซึ่ง ทางเดนิ อาหารของสตั วม์ ีกระดกู สันหลงั ประกอบด้วย ปาก --> หลอดอาหาร --> กระเพาะอาหาร --> ลาไส้เล็ก --> ทวารหนกั รปู แสดงทางเดินอาหารของวัว 39
1.2 การย่อยอาหารในสตั ว์ไมม่ กี ระดูกสนั หลัง 1.2.1 การยอ่ ยอาหารในสัตวท์ ไ่ี มม่ ีกระดกู สนั หลังท่ีมที างเดินอาหารไม่สมบรู ณ์ รปู แสดงระบบย่อยอาหารของสัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลังทม่ี ที างเดนิ อาหารไมส่ มบรู ณ์ ชนิดของสตั ว์ ลักษณะทางเดินอาหารและการยอ่ ยอาหาร 1. ฟองนา้ - ยงั ไมม่ ีทางเดนิ อาหาร แตม่ ีเซลลพ์ เิ ศษอยู่ผนังดา้ นในของ ฟองน้า เรยี กวา่ เซลล์ปลอกคอ (Collar Cell) ทาหน้าทจ่ี ับ อาหาร แลว้ สร้างแวควิ โอลอาหาร (Food Vacuole) เพือ่ ยอ่ ย อาหาร 2. ไฮดรา แมงกะพรนุ ซีแอนนี - มีทางเดนอาหารไม่สมบรู ณ์ มีปาก แตไ่ ม่มีทวารหนัก อาหารจะ โมนี ผา่ นบรเิ วณปากเขา้ ไปในช่องลาตวั ทเี่ รยี กวา่ ช่องแกสโตรวาสคิว ลาร์ (Gastro vascular Cavity) ซึ่งจะยอ่ ยอาหารที่บริเวณชอ่ ง นี้ และกากอาหารจะถกู ขบั ออกทางเดมิ คือ ปาก 3. หนอนตัวแบน เช่น พลานา - มที างเดินอาหารไมส่ มบรู ณ์ มีชอ่ งเปดิ ทางเดยี วคือปาก ซง่ึ เรยี พยาธใิ บไม้ อาหารจะเข้าทางปาก และยอ่ ยในทางเดินอาหาร แลว้ ขบั กาก อาหารออกทางเดิมคือ ทางปาก 40
1.2.2 การยอ่ ยอาหารในสตั ว์ไมม่ กี ระดกู สนั หลงั ทม่ี ีทางเดินอาหารสมบรู ณ์ ชนิดของสตั ว์ ลักษณะทางเดินอาหารและการย่อยอาหาร 1. หนอนตวั กลม เชน่ พยาธิ - เป็นพวกแรกทีม่ ีทางเดนิ อาหารสมบูรณ์ คือ มชี อ่ งปากและ ไส้เดอื น พยาธเิ สน้ ด้าย ชอ่ งทวารหนกั แยกออกจากกัน 2. หนอนตวั กลมมีปลอ้ ง เชน่ - มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ และมโี ครงสรา้ งทางเดนอาหารทม่ี ี ไสเ้ ดอื นดนิ ปลิงนา้ จืด และแมลง ลักษณะเฉพาะแต่ละสว่ นมากข้นึ 2. ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดในสัตว์ ในสตั ว์ช้นั สูงมรี ะบบหมนุ เวยี นเลอื ดซ่งึ ประกอบด้วยหัวใจเป็นอวัยวะสาคัญ ทาหนา้ ที่สูบฉดี เลอื ดไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย และมหี ลอดเลือดเป็นทางลาเลียงเลือดไปทวั่ ทุกเซลลข์ องรา่ งกาย แตใ่ นสัตวบ์ างชนิดใชช้ อ่ งวา่ งระหวา่ งอวัยวะเป็นทางผ่านของเลอื ด ระบบหมุนเวยี นเลอื ดมี 2 แบบ ดงั น้ี 2.1 ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบวงจรปดิ (Closed Circulation System) ระบบนเ้ี ลือด จะไหลอยู่ภายในหลอดเลอื ดตลอดเวลา โดยเลอื ดจะไหลออกจาหวั ใจไปตามหลอดเลอื ดชนดิ ตา่ ง ๆ แลว้ ไหลกลบั เข้าสหู่ ัวใจใหมเ่ ชน่ น้ีเรือ่ ยไป พบในสตั ว์จาพวกหนอนตวั กลมมีปล้อง เชน่ ไส้เดอื นดิน ปลิงน้าจืด และสตั วม์ กี ระดูกสนั หลังทกุ ชนิด 41
รูปแสดงระบบหมนุ เวยี นเลอื ดแบบปิด รปู แสดงระบบหมนุ เวยี นเลอื ดแบบวงจรปิดของสตั ว์ชนดิ ต่าง ๆ 2.2 ระบบหมนุ เวียนเลอื ดแบบวงจรเปิด (Open Circulation System) ระบบน้เี ลือดท่ี ไหลออกจากหัวใจจะไมอ่ ยู่ในหลอดเลือดตลอดเวลาเหมอื นวงจรปิด โดยจะมเี ลอื ดไหลเขา้ ไปใน ชอ่ งว่างลาตัวและท่วี า่ งระหวา่ อวยั วะต่าง ๆ พบในสตั วจ์ าพวกแมลง กงุ้ ปู และหอย รปู แสดงระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบวงจรเปดิ 42
3. ระบบหายใจในสตั ว์ สัตวต์ า่ ง ๆ จะแลกเปลีย่ นก๊าซกบั ส่งิ แวดล้อมโดยกระบวนการแพร่ (Diffusion) โดยสัตว์แต่ ละชนิดจะมีโครงสร้างที่ใชใ้ นการแลกเปลีย่ นกา๊ ซทเี่ หมาะสมกับการดารงชีวติ และสิ่งแวดล้อมต่างกนั รปู แสดงระบบหายใจของสัตวช์ นิดต่าง ๆ 43
ชนิดของสตั ว์ โครงสรา้ งทีใ่ ชใ้ นการแลกเปลยี่ นกา๊ ซ 1. สตั ว์ชน้ั ต่า เชน่ ไฮดรา - ไม่มีอวัยวะในการหายใจโดยเฉพาะ การแลกเปลย่ี นก๊าซใช้เยื่อ แมงกะพรุน ฟองน้า พลานาเรีย หุ้มเซลล์หรอื ผิวหนังทช่ี ุ่มชนื้ 2. สัตว์นา้ ชัน้ สูง เช่น ปลา กงุ้ ปู - มเี หงอื ก (Gill) ซงึ่ มีความแตกต่างกนั ในด้านความซบั ซอ้ น แตท่ า หมกึ หอย ดาวทะเล หน้าท่เี ช่นเดยี วกัน (ยกเว้นสตั ว์คร่งึ บกครึง่ นา้ ในชว่ งทเี่ ป็นลกู อ๊อด ซ่ึงอาศัยอยใู่ นน้า จะหายใจดว้ ยเหงอื ก ตอ่ มาเม่ือโตเป็นตวั เตม็ วัย อยู่บนบก จึงจะหายใจด้วยปอด) 3. สัตว์บกชน้ั ต่า เชน่ ไส้เดอื นดนิ - มีผิวหนงั ท่ีเปียกช้นื และมรี ะบบหมุนเวียนเลอื ดเร่งอตั ราการ แลกเปลีย่ นกา๊ ซ 4. สตั วบ์ กชัน้ สูง มี 3 ประเภท คอื 4.1 แมงมุม - มแี ผงปอดหรอื ลงั บก (Lung Book) มลี ักษณะเป็นเส้น ๆ ยื่น ออกมานอกผิวรา่ งกาย ทาใหส้ ญู เสียความช้นื ได้งา่ ย 4.2 แมลงตา่ ง ๆ - มีท่อลม (Trachea) เปน็ ท่อท่ตี ิดต่อกบั ภายนอกรา่ งกายทางรู หายใจ และแตกแขนงแทรกไปยงั ทุกสว่ นของร่างกาย 4.3 สตั ว์มีกระดกู สนั หลัง - มปี อด (Lung) มลี กั ษณะเปน็ ถงุ และมีความสัมพันธ์กับระบบ หมนุ เวียนเลอื ด กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 12 จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. อวยั วะในระบบหมนุ เวยี นเลือดของสัตว์มกี ระดูกสันหลังประกอบดว้ ยอะไรบ้าง เหมือนหรอื ตา่ ง จากคนอยา่ งไร ตอบ................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................... 2. สัตวป์ ระเภทแมลง กงุ้ ปู และหอยมรี ะบบหมุนเวียนเลือดอย่างไร ตอบ................................................................................................................................................ 3. เลือดของปูมีสีอะไร เพราะเหตุใด ตอบ................................................................................................................................................ 4. อวยั วะทใ่ี ช้ในการแลกเปล่ียนแก๊สของสัตว์ต่อไปน้ี คืออะไร 4.1 ปลา..................................................4.2 นก.................................................... 4.3 ไสเ้ ดอื น.......................................... 4.4 ไฮดรา.................................................... 5. เลือดท่ีผา่ นหวั ใจของปลามอี อกซิเจนมากหรอื นอ้ ย ตอบ................................................................................................................................................ 44
4. ระบบขับถ่ายในสตั ว์ ในเซลล์หรอื ในรา่ งกายของสตั วต์ า่ ง ๆ จะมปี ฏกิ ริ ยิ าเคมจี านวนมากเกิดขนึ้ ตลอดเวลา และ ผลจากการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีเหลา่ นี้ จะทาใหเ้ กิดผลิตภัณฑ์ทม่ี ปี ระโยชน์ตอ่ สง่ิ มชี ีวิตและของเสยี ท่ตี ้อง กาจัดออกดว้ ยการขับถา่ ย สัตว์แต่ละชนดิ จะมีอวัยวะและกระบวนการกาจัดของเสยี ออกนอกร่างกาย แตกต่างกนั ออกไป สตั ว์ช้ันต่าท่มี โี ครงสร้างงา่ ย ๆ เซลลท์ ท่ี าหน้าท่ีกาจัดของเสยี จะสัมผสั กับ ส่งิ แวดลอ้ มโดยตรง ส่วนสตั ว์ชนั้ สงู ท่ีมีโครงสรา้ งซับซอ้ น การกาจดั ของเสยี จะมีอวัยวะทที่ าหน้าที่ เฉพาะระบบขับถา่ ยของสตั วช์ นิดต่าง ๆ มีดงั ตอ่ ไปน้ี รูปแสดงระบบขบั ถ่ายของสัตวช์ นดิ ต่าง ๆ ชนดิ ของสตั ว์ โครงสรา้ งหรืออวยั วะขับถา่ ย 1. ฟองนา้ 2. ไฮดรา แมงกะพรุน - เย่อื หุม้ เซลลเ์ ป็นบริเวณที่มกี ารแพร่ของเสียออกจากเซลล 3. พวกหนอนตัวแบน เช่น พลา - ใช้ปาก โดยของเสียจะแพรไ่ ปสะสมในช่องลาตวั แล้วขับออกทาง นาเรยี พยาธิใบไม้ ปากและของเสียบางชนิดจะแพรท่ างผนังลาตวั 4. พวกหนอนตัวกลมมปี ลอ้ ง - ใชเ้ ฟลมเซลล์ (Flame Cell) ซ่ึงกระจายอยทู่ ง้ั สองข้างตลอด เช่น ไส้เดือนดนิ ความยาวของลาตวั เปน็ ตวั กรองของเสียออกทางท่อซ่ึงมรี ูเปดิ 5. แมลง ออกขา้ งลาตวั - ใช้เนฟรเิ ดียม (Nephridium) รบั ของเสยี มาตามท่อ และเปิด ออกมาทางทอ่ ซึง่ มีรเู ปดิ ออกข้างลาตวั - ใช้ท่อมลั พิเกียน (Mulphigian Tubule) ซง่ึ เป็นท่อเลก็ ๆ 45
ชนดิ ของสัตว์ โครงสรา้ งหรอื อวยั วะขับถ่าย 6. สัตว์มีกระดูกสันหลัง จานวนมากอยู่ระหว่างกระเพาะกับลาไส้ ทาหนา้ ท่ดี ดู ซึมของเสยี จากเลือด และสง่ ตอ่ ไปทางเดินอาหาร และขับออกนอกลาตัวทาง ทวารหนักร่วมกับกากอาหาร - ใชไ้ ต 2 ขา้ งพรอ้ มดว้ ยทอ่ ไตและกระเพาะปัสสาวะเปน็ อวยั วะ ขบั ถ่าย กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 13 จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. ระบบขับถา่ ยของสตั วม์ กี ระดกู สันหลงั เชน่ ไก่ แมว ทางานรว่ มกบั ระบบใด ตอบ................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................... 2. อวยั วะทใ่ี ชใ้ นการขบั ถา่ ยของกบ ปลา คืออะไร และมีหนา้ ท่ีอยา่ งไร ตอบ................................................................................................................................................ 3. สตั ว์ใดทไ่ี ม่มีอวยั วะที่ใชใ้ นการขบั ถา่ ยของเสียและขับถ่ายของเสียไดโ้ ดยวธิ ใี ด ตอบ................................................................................................................................................ 4. หนอนตวั กลมขับถ่ายของเสียออกจากรา่ งกายทางใด ตอบ................................................................................................................................................ 5. ระบบประสาท ระบบประสาทเป็นระบบที่ทาหน้าที่เกย่ี วกับการส่ังงาน การตดิ ต่อเช่อื มโยงกบั สงิ่ แวดล้อม การรับคาสัง่ และการปรบั ระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายให้ทากจิ กรรมไดถ้ ูกต้องเม่อื อย่ใู นสภาพแวดล้อมที่ แตกตา่ งกนั ระบบประสาทของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ มีดงั ตอ่ ไปนี้ 46
รปู แสดงระบบประสาทของสตั ว์ชนดิ ตา่ ง ๆ ชนดิ ของสตั ว์ ระบบประสาท 1. ฟองน้า - ไมม่ รี ะบบประสาท 2. ไฮดรา แมงกะพรนุ - เปน็ พวกแรกทม่ี เี ซลลป์ ระสาท โดยเซลล์ประสาทเชือ่ มโยงกนั คล้ายรา่ งแห เรียกว่า รา่ งแหประสาท (Nerve Net) 3. หนอนตวั แบน เชน่ พลานา - เปน็ พวกแรกที่มีระบบประสาทเปน็ ศนู ยค์ วบคมุ อยบู่ ริเวณหวั เรีย และมีเสน้ ประสาทแยกออกไป ซง่ึ จะมรี ะบบประสาทแบบ ขนั้ บนั ได (Ladder Type System) 4. สัตว์ไม่มีกระดกู สนั หลังชัน้ สูง - มปี มประสาท (Nerve Ganglion) บรเิ วณส่วนหวั มากขึ้น และ เชน่ ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง หอย เรียงตอ่ กันเปน็ วงแหวนรอบคอหอยหรือหลอดอาหาร ทาหนา้ ที่ เปน็ ศูนยก์ ลางระบบประสาท และมีเสน้ ประสาททอดยาวตลอด ลาตัว 5. สตั วม์ กี ระดกู สันหลัง - มีสมองและไขสันหลังเปน็ ศนู ยค์ วบคมุ การทางานของร่างกาย มี เซลล์ประสาทและเสน้ ประสาทอยู่ทุกสว่ นของรา่ งกาย 6. ระบบสบื พนั ธ์ใุ นสัตว์ 6.1 ประเภทของการสืบพันธ์ุของสัตว์ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1. การสบื พันธ์แุ บบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction) เปน็ การสืบพันธ์ุโดยการ ผลิตหนว่ ยสง่ิ มชี ีวิตจากหน่วยสางมชี ีวติ เดมิ ดว้ ยวธิ กี ารต่าง ๆ ท่ไี ม่ใชจ่ ากการใช้เซลล์สบื พนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ การแตกหน่อ การงอกใหม่ การขาดออกเป็นทอ่ น และพารธ์ ีโนเจเนซสิ 2. การสบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual Reproduction) เปน็ การสืบพนั ธท์ุ ีเ่ กิดจากการ ผสมพันธ์ุระหว่างเซลลส์ บื พนั ธุ์เพศผแู้ ละเซลล์สืบพนั ธุ์เพศเมยี เกดิ เปน็ สิ่งมชี ีวิตใหม่ ไดแ้ ก่ การ สบื พันธข์ุ องสตั ว์ชัน้ ต่าบางพวก และสตั ว์ช้นั สงู ทกุ ชนดิ สัตว์บางชนดิ สามารถสืบพนั ธทุ์ ั้งแบบอาศัยเพศและแบบไมอ่ าศัยเพศ เช่น ไฮดรา การสืบพันธ์ุแบบไม่ อาศัยเพศของไฮดราจะใช้วิธกี ารแตกหนอ่ 6.2 ชนิดของการสบื พันธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศ มหี ลายชนดิ ดงั นี้ 1. การแตกหนอ่ (Budding) เป็นการสืบพันธ์ทุ ีห่ น่วยส่ิงมีชวี ิตใหมเ่ จรญิ ออกมาภายนอก ของตัวเดิมเรยี กว่า หน่อ (Bud) หนอ่ ท่ีเกิดขึน้ นีจ้ ะเจรญิ จนกระทง่ั ไดเ้ ป็นสง่ิ มชี ีวิตใหม่ ซงึ่ มลี ักษณะ เหมือนเดิม แตม่ ขี นาดเล็กว่า ซ่ึงต่อมาจะหลดุ ออกจากตัวเดมิ และเตบิ โตต่อไป หรืออาจจะติดอยกู่ บั ตวั เดมิ กไ็ ด้ สตั ว์ที่มกี ารสบื พนั ธลุ์ กั ษณะน้ไี ดแ้ ก่ ไฮดรา ฟองนา้ ปะการงั รปู แสดงการแตกหนอ่ ของไฮดรา 47
2. การงอกใหม่ (Regeneration) เปน็ การสืบพันธทุ์ มี่ กี ารสร้างส่วนของร่างกายท่ีหลุดออก หรอื สูญเสียไปใหเ้ ปน็ ส่ิงมชี วี ติ ตัวใหม่ ทาให้มีจานวนส่ิงมีชีวิตเพิม่ มากข้นึ สัตว์ที่มกี ารสบื พนั ธ์ลุ ักษณะ น้ี ได้แก่ พลานาเรยี ดาวทะเล ซแี อนนโี มนี ไสเ้ ดอื นดนิ ปลงิ นา้ จืด รปู แสดงการงอกใหมข่ องพลานาเรียและดาวทะเล 3. การขาดออกเปน็ ทอ่ น (Fragmentation) เป็นการสืบพนั ธโุ์ ดยการขาดออกเปน็ ทอ่ น ๆ จากตัวเดมิ แล้วแตล่ ะทอ่ นจะเจรญิ เติบโตเปน็ ตัวใหม่ได้ พบในพวกหนอนตวั แบน 4. พารธ์ ีโนเจเนซสี (Parthenogenesis) เปน็ การสืบพันธ์ุของแมลงบางชนดิ ซง่ึ ตัวเมยี สามารถผลติ ไขท่ ่ีฟกั เปน็ ตวั ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมกี ารปฏิสนธิ ในสภาวะปรกติ ไขจ่ ะฟักออกมาเป็นตวั เมีย เสมอ แต่ในสภาพะทไี่ ม่เหมาะสมกบั การดารงชวี ิต เชน่ เกิดความแห้งแลง้ หนาเย็น หรอื ขาดแคลน อาหาร ตวั เมยี จะผลิตไข่ที่ฟกั ออกมาเปน็ ท้งั ตวั ผู้และตวั เมีย จากนนั้ ตัวผแู้ ละตวั เมียเหล่านี้จะผสมพนั ธุ์ กนั แลว้ ตัวเมียจะออกไข่ทม่ี ีความคงทนตอ่ สภาวะท่ไี ม่เหมาะสมดังกล่าว แมลงท่ีมกี ารสืบพันธุ์ ลักษณะนี้ ได้แก่ ตั๊กแตนก่งิ ไม้ เพลย้ี ไรน้า ในพวกแมลงสังคม เช่น ผงึ้ มด ต่อ แตน กพ็ บว่ามีการ สืบพันธใุ์ นลกั ษณะนเ้ี หมอื นกนั แตใ่ นสภาวะปรกตไิ ข่ทฟ่ี ักออกมาจะไดต้ ัวผู้เสมอ 6.3 ชนิดของการสืบพันธ์แุ บบอาศยั เพสของสัตว์ มี 2 ชนิด ดังน้ี 1. การสบื พันธุ์ของสตั ว์ทีม่ ี 2 เพศในตัวเดียวกนั (Monoecious) โดยทัว่ ไปไมส่ ามารถ ผสมกันภายในตัว ตอ้ งผสมขา้ มตวั เน่อื งจากไข่และอสจุ จิ ะเจรญิ ไม่พร้อมกนั เช่น ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดือนดนิ 48
รปู แสดงการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของไฮดราตวั อ่อนหลดุ จากรังไข่ แลว้ เจรญิ เตบิ โตต่อไป 2. การสืบพนั ธข์ุ องสตั วท์ ีม่ ีเพศผแู้ ละเพศเมียแยกกันอยู่ตา่ งตัวกัน (Dioeciously) ในการ สืบพนั ธุข์ องสตั ว์ชนิดน้มี กี ารปฏสิ นธิ 2 แบบ คือ 2.1 การปฏสิ นธิภายใน (Internal Fertilization) คือ การผสมระหว่างตัวอสจุ ิกับไข่ท่ีอยู่ ภายในรา่ งกายของเพศเมีย สัตวท์ ี่มกี ารปฏสิ นธแิ บบรี้ ได้แก่ สัตวท์ วี่ างไข่บนบกทุกชนิด สัตว์ทีเ่ ล้ยี ง ลูกดว้ ยนา้ นม และปลาท่อี อกลูกเป็นตัว เช่น ปลาเขม็ ปลาหางนกยงู ปลาฉลาม 2.2 การปฏสิ นธภิ ายนอก (External fertilization) คอื การผสมระหวา่ งตวั อสุจิกบั ไข่ท่ีอยู่ ภายนอกรา่ งกายของสตั วเ์ พศเมีย การปฏิสนธแิ บบนต้ี อ้ งอาศยั นา้ เป็นตวั กลางให้ตวั อสุจเิ คลอื่ นท่ีเขา้ ไปผสมไข่ได้ สัตวท์ ่มี ีการปฏสิ นธิแบบน้ี ได้แก่ ปลาต่าง ๆ สตั วค์ รง่ึ บกคร่งึ นา้ และสัตว์ที่วางไขใ่ นน้า ทุกชนิด กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 14 จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. การปฏสิ นธิหมายถงึ ตอบ................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................... 2. การท่ตี ัวอสุจผิ สมกับไขภ่ ายนอกรา่ งกายของสัตวเ์ พศเมยี และต้องเกดิ ขึน้ ในนา้ เสมอ เป็นการ ปฏสิ นธแิ บบใดและเหตุใดจงึ เปน็ เชน่ นน้ั ตอบ................................................................................................................................................ 3. การที่จิ้งจกหางขาดแลว้ งอกออกมาใหม่ จดั เป็นการสืบพนั ธ์หุ รือไม่ เพราะเหตุใด ตอบ................................................................................................................................................ 4. ดาวทะเลถกู ตดั ออกเปน็ 2 ส่วน แต่ละส่วนจะงอกขน้ึ มาทดแทนส่วนทข่ี าดหายไป จดั เป็นการ สืบพันธ์ุ เพราะเหตใุ ด ตอบ................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................... 49
7. ระบบโครงกระดกู และการเจรญิ เตบิ โตของสัตว์ 7.1 ประเภทของโครงกระดูกหรอื โครงร่างแข็งของสตั ว์ แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คือ 1. โครงร่างแขง็ ทอี่ ยภู่ ายนอกร่างกาย (Exoskeleton) พบไดใ้ นแมลง เปลือกก้งุ ปู หอย เกล็ดและกระดองสตั วต์ ่าง ๆ มีหนา้ ที่ป้องกนั อนั ตรายที่อาจเกิดขึน้ กบั อวยั วะที่อยู่ภายใน รูปแสดงโครงร่างแข็งที่อยูภ่ ายนอกร่างกายของสัตวช์ นดิ ต่าง ๆ 2. โครงรา่ งแข็งท่อี ยภู่ ายในรา่ งกาย (Endoskeleton) ได้แก่ โครงกระดูกของสัตว์ทมี่ กี ระดูก สันหลงั ทงั้ หมด 7.2 การเจริญเติบโของสัตว์ สตั ว์ทมี่ โี ครงรา่ งหมุ้ นอกรา่ งกาย และมโี ครงร่างแขง้ อยู่ภายในรา่ งกาย จะมีแบบแผนของการ เจริญเติบโตแตกตา่ งกัน ดงั นี้ 50
Search