เอกสารเชิงวชิ าการประกอบการบรรยาย หลกั การปลูกสร้างสวน ยางแบบผสมผสาน ดร. วทิ ยา พรหมมี หัวหน้ากองวจิ ยั และพฒั นาการผลติ ยาง สถาบนั วจิ ัยยาง การยางแห่งประเทศไทย
การปลกู สร้างสวนยางแบบผสมผสาน คานา ยางพาราเป็นพืชที่มีความสาคญั ต่อภาคเศรษฐกิจเกือบจะทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซ่ึงยางพารา สามารถใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในการผลิตสินคา้ ระดบั โลก ต้งั แต่อุตสาหกรรมหนกั เช่น การผลิตยางยานพาหนะ อุตสาหกรรมเบา เช่น ผลิตภณั ฑย์ าง ถงุ มือยาง ยางยดื และยางรัดของ ไปจนถึงอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นครัวเรือน เป็น ตน้ สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่เศรษฐกิจชะลอตวั ลงทวั่ โลกส่งผลใหค้ วามตอ้ งการของโลกใน การใช้ยางลดลง ทาให้ราคายางตกต่า ปัญหาราคายางจึงกลายเป็ นปัญหาใหญ่มากของประเทศไทยใน ปัจจุบนั ในมุมมองการแก้ไขปัญหาเป็ นเรื่องท่ีนอกเหนือการควบคุมของประเทศไทย ดงั น้นั การแก้ไข เบ้ืองตน้ สามารถกระทาไดห้ ลายวิธี ไดแ้ ก่ การเกษตรแบบผสมผสานเพ่ือเปิ ดตลาดในเชิงรุก เกษตรทฤษฎี ใหม่ตามแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถ บพติ ร เกี่ยวกบั การจดั พ้ืนท่ีดินเพ่ือการอยู่อาศยั และมีชีวิตอยา่ งยง่ั ยืน นอกจากน้ีการยางแห่งประเทศไทยก็ได้ มีการวิจยั และพฒั นาพืชต่างๆเพื่อจะนามาปลูกแซมยาง เป็นการเพ่ิมรายไดใ้ ห้แก่เจา้ ของสวนในขณะที่ยาง ไม่ใหผ้ ลผลิต และมีการส่งเสริมใหป้ ลูกยางแบบ 5 หลงั โค่นยางพารา โดยเป็นการสร้างสวนยางผสมผสาน โดยนาหลกั เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลท่ี 9 เพื่อเป็นอีกทางเลือกหน่ึงของเกษตรกรชาวสวนยาง เป็นการใหค้ วามช่วยเหลือเกษตรกรในภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่า ชาวสวนสามารถมีรายไดเ้ สริมมาหล่อเล้ียง ครอบครัว เนื่องจากประเทศไทยส่วนใหญ่เป็ นเมืองเกษตรกรรม ซ่ึงคนไทยสืบทอดอาชีพน้ีกนั มายาวนาน ดงั น้นั การยางแห่งประเทศไทยเล็งเห็นถึงความสาคญั ในการแกว้ ิกฤตราคายางตกต่า จึงไดจ้ ดั ทาคู่มือแนว ทางการปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสาน เพื่อเป็นแนวทางใหเ้ กษตรกรชาวสวนยางสามารถมีรายไดก้ ่อนที่ ยางพารามีการเปิ ดหนา้ กรีด ตลอดจนการปลูกพืชเสริมรายไดร้ ่วมกบั ยางพารา วทิ ยา พรหมมี 2563
สารบญั เร่ือง หน้า บทนา ..............................................................................................................................................................1 หลกั การปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสาน.....................................................................................................3 ความสาคญั และประโยชน์การสร้างสวนยางแบบผสมผสาน..........................................................................5 ประเภทของการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน ...............................................................................................6 การปลูกยางร่วมกบั พืชชนิดอื่น...................................................................................................................6 การปลูกยางร่วมกบั การเล้ียงสตั ว์..............................................................................................................14 การปลูกยางร่วมกบั การทาประมง.............................................................................................................18 แนวทางการปลกู สร้างสวนยางแบบผสมผสาน.............................................................................................30 การปลูกพืชคลุมดินในสวนยาง.................................................................................................................30 การปลูกพชื แซมยาง..................................................................................................................................31 การปลูกพืชหมุนเวียนในสวนยาง .............................................................................................................37 การปลูกพชื ร่วมแบบผสมในสวนยาง.......................................................................................................38 การปลูกพชื เหลื่อมฤดูในสวนยาง .............................................................................................................41 การเล้ียงสตั วผ์ สมผสานในสวนยาง ..........................................................................................................41 เกษตรทฤษฎีใหม่......................................................................................................................................43 การสรา้ งสวนยางผสมผสานตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง...............................................................45 กรณตี วั อย่างเกษตรกรชาวสวนยางท่ปี ระสบความสาเร็จในการปลูกสร้างสวนยางผสมผสาน ....................47 ตวั อยา่ งการปลูกพชื ผสมผสานในสวนยาง ...............................................................................................47 ตวั อยา่ งการเล้ียงสตั วผ์ สมผสานในสวนยาง .............................................................................................62 ตวั อยา่ งการทาประมงผสมผสานในสวนยาง ............................................................................................64 ผลงานวจิ ัยของสถาบันวจิ ัยยาง.....................................................................................................................68 บทสรุปการทาสวนยางแบบผสมผสาน.........................................................................................................72 เอกสารอ้างองิ ................................................................................................................................................73
1 บทนา สถานการณ์โลกในปัจจุบนั น้ี ศาสตราจารยพ์ ิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพนั ธ์เลขาธิการสภาพฒั นาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงตวั เลขผลิตภณั ฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสท่ีสามของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 - 2563 โดยมีรายละเอียดดังน้ี เศรษฐกิจไทยในไตรมาสท่ีสามของปี 2562 ขยายตวั รอ้ ยละ 2.4 ปรบั ตวั ดีข้ึนจากการขยายตวั ร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหนา้ และเม่ือปรับผลของฤดูกาล ออกแลว้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2562 ขยายตวั จากไตรมาสท่ีสองของปี 2562 ร้อยละ 0.1 รวม 9 เดือนแรกของปี 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตวั ร้อยละ 2.5 ดา้ นการใชจ้ ่ายมีปัจจยั สนบั สนุนจากการขยายตวั ในเกณฑด์ ีของการบริโภคภาคเอกชนและการเร่งตวั ข้ึนของการลงทุนภาคเอกชน และการใชจ้ ่ายของรัฐบาล ในขณะท่ีปริมาณการส่งออกสินคา้ ลดลงตามการชะลอตวั ของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากมาตรการกีด กนั ทางการคา้ การบริโภคภาคเอกชนขยายตวั ในเกณฑด์ ี ร้อยละ 4.2 ต่อเนื่องจากการขยายตวั ร้อยละ 4.6 (ทศ พร, 2561) ในไตรมาสก่อนหนา้ โดยได้รับปัจจยั สนับสนุนจากอตั ราดอกเบ้ีย อตั ราเงินเฟ้อและอตั ราการ วา่ งงานที่ยงั อยู่ในระดบั ต่ารวมท้งั การปรับตวั ดีข้ึนของราคาสินคา้ เกษตรและการดาเนินมาตรการดูแลผูม้ ี รายไดน้ อ้ ยของภาครัฐการขยายตวั ของการใชจ้ ่ายภาคครัวเรือนในไตรมาสน้ีการลงทุนรวมเพิ่มข้ึนร้อยละ 2.8 เร่งข้ึนจากการขยายตวั ร้อยละ 1.9 ในไตรมาสก่อนหนา้ โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตวั ร้อยละ 2.4 เร่ง ข้ึนจากการขยายตวั ร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหนา้ เป็ นผลจากการลงทุนในเคร่ืองมือเครื่องจกั รที่ขยายตวั รอ้ ยละ 3.1 ในขณะท่ีการลงทุนในส่ิงก่อสร้างทรงตวั ส่วนการลงทุนภาครัฐเพิ่มข้ึนร้อยละ 3.7 เร่งข้ึนจากการ เพ่ิมข้ึนร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหนา้ โดยการลงทุนของรัฐบาลขยายตวั ร้อยละ 5.6 ขณะท่ีการลงทุนของ รัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 0.8 สาหรับอตั ราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสน้ีอยทู่ ่ีร้อยละ 21.6 เทียบกบั อตั ราเบิกจ่ายร้อยละ 16.8 ในไตรมาสก่อนหนา้ และร้อยละ 19.9 ในช่วงเดียวกนั ของปี ก่อน ใน ดา้ นภาคการคา้ ต่างประเทศการส่งออกสินคา้ มีมูลค่า 63,295 ลา้ นดอลลาร์ สรอ. ทรงตวั เทียบกบั การลดลง ร้อยละ 4.2 ในไตรมาสก่อนหนา้ โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 0.4 และราคาส่งออกเพิ่มข้ึนร้อยละ 0.4 กลุ่มสินคา้ ส่งออกที่มูลค่าขยายตวั เช่น น้าตาล (ร้อยละ 5.1) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ร้อยละ 0.3) รถกระบะและรถบรรทุก (ร้อยละ 0.5) รถจกั รยานยนต์ (ร้อยละ 19.5) เคร่ืองปรับอากาศ (ร้อยละ 4.0) และ ผลไม้ (ร้อยละ 41.4) เป็ นตน้ กลุ่มสินคา้ ส่งออกที่มูลค่าลดลงเช่น ขา้ ว (ลดลงร้อยละ 35.1) มนั สาปะหลงั (ลดลงร้อยละ 27.3) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 3.9) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ลดลงร้อยละ 8.4) เครื่องจกั ร และอุปกรณ์ (ลดลงร้อยละ 7.2) ผลิตภณั ฑย์ าง (ลดลงร้อยละ 14.2) รถยนตน์ ง่ั (ลดลงร้อยละ 4.4) ชิ้นส่วน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 10.6) ผลิตภณั ฑ์ปิ โตรเลียม (ลดลงร้อยละ 29.3) และเคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 18.8) เป็นตน้
2 ดงั น้นั แนวโนม้ เศรษฐกิจไทย ปี 2563 คาดวา่ จะขยายตวั ร้อยละ 2.7 – 3.7 โดยมีแรงสนบั สนุนสาคญั ประกอบดว้ ย (1) แนวโนม้ การขยายตวั ในเกณฑท์ ่ีน่าพอใจของอุปสงคภ์ ายในประเทศท้งั ในดา้ นการใชจ้ ่าย ภาคครัวเรือนและการลงทุนภาครัฐและเอกชน (2) การปรับตัวดีข้ึนอย่างช้า ๆของการส่งออกภายใต้ แนวโนม้ การปรับตวั ดีข้ึนอยา่ งชา้ ๆ ของเศรษฐกิจโลกและการปรับตวั ของภาคการส่งออกต่อมาตรการกีด กนั ทางการคา้ ที่จะมีความชดั เจนมากข้ึน (3) การดาเนินมาตรการขบั เคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ และ (4) การ ปรับตวั ดีข้ึนของภาคการท่องเที่ยว ท้งั น้ีคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินคา้ จะขยายตวั ร้อยละ 2.3 การบริโภค ภาคเอกชนและการลงทุนรวมขยายตวั ร้อยละ 3.7 และร้อยละ 4.8 ตามลาดบั อตั ราเงินเฟ้อทวั่ ไปเฉล่ียอยู่ ในช่วงร้อยละ 0.5 – 1.5 และบญั ชีเดินสะพดั เกินดุลร้อยละ 5.6 ของ GDP (สานกั งานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจ และสงั คมแห่งชาติ, 2562) ดงั น้นั ภาคเกษตรนบั ว่ามีความสาคญั ต่อเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศไทยอยา่ งมากเพราะมีการ จา้ งงานสูงถึงกว่าร้อยละ 30 ของกาลงั แรงงานท้งั ประเทศครอบคลุมถึง 6.4 ลา้ นครัวเรือน และท่ีดินทา การเกษตรครอบคลุมถึงร้อยละ 40 ของพ้ืนที่ทว่ั ประเทศแต่ภาคเกษตรกลบั มีสดั ส่วนในมูลค่าผลิตภณั ฑม์ วล รวมภายในประเทศเพียงร้อยละ 10 มีอตั ราการเติบโตชา้ และมีความเปราะบางสูงกวา่ ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ของ ประเทศและยงั เติบโตในอตั ราท่ีชา้ กวา่ ประเทศผผู้ ลิตสินคา้ เกษตรช้นั นาของโลก (โสมรัศม์ิและคณะ, 2560) จะเห็นไดว้ า่ ทางออกของเกษตรกรคือ การทาเกษตรแบบผสมผสาน การทาเกษตรทฤษฎีใหม่ การทาเกษตร ยดึ หลกั เศรษฐกิจพอเพียง เพอ่ื เป็นช่องทางในการเพ่ิมรายไดอ้ ีกทางหน่ึงของเกษตรกร จากสถานการณ์ราคายางพาราตกต่าจากความผันผวนของวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทาให้มีการ ประยกุ ตใ์ ชก้ ารเกษตรแบบผสมผสาน ซ่ึงหมายถึงระบบการเกษตรที่มีการปลูกพืชและการเล้ียงสัตว์ มีสัตว์ หลายชนิดในพ้ืนที่เดียวกนั โดยที่กิจกรรมการผลิตแต่ละชนิดจะตอ้ งสามารถเก้ือกลู ประโยชนป์ ระโยชนต์ ่อ กนั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เป็นการใชท้ รัพยากรที่มีอยู่ภายในไร่นาอยา่ งเหมาะสมเพ่ือก่อใหเ้ กิดประโยชน์ สูงสุดมีความสมดุลของสภาพแวดลอ้ ม และเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติโดยการทา การเกษตรหลากหลาย กิจกรรมนน่ั ตอ้ งทาในพ้ืนที่และระยะเวลาเดียวกนั เกิดความหลากหลายของชนิดพนั ธุ์ พืชและสตั วท์ ี่มีปฏิสัมพนั ธ์ในทางเก้ือกูลซ่ึงกนั และกนั ของกิจกรรมการผลิตโดยเฉพาะการใชท้ รัพยากรที่มี อยใู่ นไร่นา เช่น ดิน น้า แสงแดดและอากาศอยา่ งเหมาะสม เกิดความสมดุลของสภาพแวดลอ้ มอยา่ งต่อเนื่อง และยงั่ ยืน (กองนโยบายเทคโนโลยีเพ่ือการเกษตรและเกษตรกรรมยงั่ ยนื , 2559) นอกจากน้ีเกษตรกรชาวสวนยางยงั สามารถประยุกต์ใชห้ ลกั การพระราชดาริทฤษฎีใหม่ซ่ึงเป็ น แนวทางหรือหลกั การในการจดั การทรัพยากรระดบั ไร่นาคือท่ีดินและน้า เพ่ือการเกษตรในท่ีดินขนาดเล็กให้ เกิดประโยชน์สูงสุด ในการดาเนินการทฤษฎีใหม่มีวตั ถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพของการผลิต เสถียรภาพดา้ นอาหารประจาวนั ความมน่ั คงของรายได้ ความมน่ั คงของชีวิต และความมนั่ คงของชุมชน ชนบท เป็นเศรษฐกิจพ่ึงตนเองมากข้ึน มีการจดั สรรพ้ืนที่ทากินและท่ีอยู่อาศยั ใหแ้ บ่งพ้ืนท่ี ออกเป็น4 ส่วน ตามอตั ราส่วน 30:30:30:10 ซ่ึงหมายถึง พ้ืนท่ีส่วนที่หน่ึงประมาณ 30% ใหข้ ดุ สระเก็บกกั น้า เพ่ือใชเ้ ก็บกกั น้าฝนในฤดูฝนและ ใชเ้ สริมการปลูกพืชในฤดูแลง้ ตลอดจนการเล้ียงสัตวน์ ้าและพืชน้าต่าง ๆ เช่น สามารถ
3 เล้ียงปลา ปลูกพืชน้า เช่น ผกั บุง้ ผกั กะเฉดไดด้ ว้ ย พ้ืนท่ีส่วนท่ีสองประมาณ 30% ใหป้ ลูกขา้ วในฤดูฝนเพ่ือ ใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั ในครัวเรือนใหเ้ พียงพอตลอดปี เพื่อตดั ค่าใชจ้ ่ายและสามารถพ่ึงตนเองได้ พ้นื ท่ีส่วน ที่สามประมาณ 30% ใหป้ ลูกไมผ้ ล ไมย้ ืนตน้ พืชผกั พืชไร่ พชื สมนุ ไพร เป็นตน้ เพ่อื ใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั หากเหลือบริโภคก็นาไปจาหน่ายและพ้ืนที่ส่วนท่ีส่ีประมาณ 10% ใชเ้ ป็นท่ีอยอู่ าศยั เล้ียงสตั ว์ และโรงเรือน อ่ืน ๆเช่น ถนนคนั ดิน กองฟาง ลานตาก กองป๋ ุยหมกั โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไมด้ อกไมป้ ระดบั พืชผกั สวนครัวหลงั บา้ น เป็นตน้ (มูลนิธิชยั พฒั นา, 2550) ดงั น้นั ประโยชน์ของเกษตรทฤษฎีใหม่ไดแ้ ก่ ให้ ประชาชนพออยพู่ อกินสมควรแก่อตั ภาพในระดบั ที่ประหยดั ไมอ่ ดอยาก และเล้ียงตนเองไดใ้ นหนา้ แลง้ มีน้า นอ้ ยก็สามารถเอาน้าท่ีเก็บไวใ้ นสระ มาปลูกพืชผกั ต่าง ๆ ได้ แมแ้ ต่ขา้ วก็ยงั ปลูกได้ โดยไม่ตอ้ งเบียดเบียน ชลประทานในปี ที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้าดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่น้ีก็สามารถสร้างรายไดใ้ หร้ ่ารวยข้ึนไดใ้ น กรณีท่ีเกิดอุทกภยั กส็ ามารถที่จะฟ้ื นตวั และช่วยตวั เองไดใ้ นระดบั หน่ึง โดยทางราชการไม่ตอ้ งช่วยเหลือมาก เกินไปอนั เป็นการประหยดั งบประมาณดว้ ย (มูลนิธิชยั พฒั นา, 2560) จากการประยุกต์ใชก้ ารเกษตรแบบผสมผสานและทฤษฎีใหม่สามารถเช่ือมโยงไปสู่หลกั ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงเป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ิตนของประชาชนในทุกระดบั ต้งั แต่ระดบั ครอบครัว ระดบั ชุมชน จนถึงระดบั รัฐ ท้งั ในการพฒั นาและบริหารประเทศใหด้ าเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจ เพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความ พอประมาณ ความมเี หตุผล รวมถึงความจาเป็นท่ีจะตอ้ งมีระบบภูมิคุม้ กนั ในตวั ที่ดีพอสมควร ต่อผลกระทบ ใดๆ อนั เกิดจากการเปลี่ยนแปลงท้งั ภายในภายนอกสงั คม ท้งั น้ีจะตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ และ ความระมดั ระวงั อย่างย่ิงในการนาวิชาการต่างๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดาเนินการทุกข้นั ตอน และ ขณะเดียวกนั จะตอ้ งเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ รัฐวิสาหกิจ นัก ทฤษฎี นกั ธุรกิจ และเกษตรกร ในทุกระดบั ช้ันใหม้ ีสานึกในคุณธรรม ความซื่อสัตยส์ ุจริต และใหม้ ีความ รอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตดว้ ยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพ่อื ใหเ้ กิดสมดุล และความพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกวา้ งขวาง ท้งั ดา้ นวตั ถุ สงั คม สิ่งแวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ป็ นอย่างดี (โครงการเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่, 2555) ดงั น้นั จึงไดจ้ ดั ทาหนงั สือแนวทางการปลูกสร้างสวนยางผสมผสาน โดยอาศยั หลกั การเกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดาริ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการเพ่ิมแนวทางให้เกษตรกร ชาวสวนยางที่เผชิญกบั ปัญหาราคายางตกต่า และสามารถเป็ นทางเลือกในการเพิ่มรายไดใ้ ห้เกษตรกรอีก ทางเลือกหน่ึง หลกั การปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสาน การปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสานคือ การปลูกยางพนั ธุ์ดีเป็ นพืชหลกั และมีการปลูกพืชชนิด ต่างๆ และหรือเล้ียงสตั ว์ ทาประมงร่วมดว้ ยเพื่อลดตน้ ทุนในการผลิตเพ่ิมรายไดใ้ หแ้ ก่เจา้ ของสวนตลอดจน
4 การรักษาความสมดุลทางธรรมชาติและใชป้ ระโยชน์จากพ้ืนที่ใหค้ ุม้ ค่าท่ีสุด ท้งั น้ีกิจกรรมเหล่าน้ีตอ้ งไม่มี ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของตน้ ยางทุกระยะการเจริญเติบโตต้งั แต่ระยะตน้ กลา้ ยาง ระยะยางอ่อน และ ระยะยางแก่ และตอ้ งไม่มีผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตยางรวมถึงผลกระทบดา้ นอื่นๆ ทาง สิ่งแวดลอ้ มดงั น้นั การสร้างสวนยางแบบผสมผสานควรขยายระยะของการปลูกยางโดยขยายระยะระหว่าง แถวใหก้ วา้ งข้ึนเพื่อสามารถใชส้ อยพ้ืนที่ในการทากิจกรรมอ่ืนๆ ได้ และท่ีสาคญั ตอ้ งมีแหล่งน้าเพียงพอและ การคมนาคมสะดวก รูปแบบของการสร้างสวนยางแบบผสมผสานสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทคือ การปลูก ยางร่วมกบั พืชชนิดอ่ืน เช่น ปลกู เป็นพืชคลมุ ดินในสวนยาง พชื แซมยาง พืชร่วมยาง และปลกู ป่ าในสวนยาง การปลูกยางร่วมกบั การเล้ียงสัตวห์ รือทาการประมง และการปลูกยางร่วมกบั พืชชนิดอ่ืนและการเล้ียงสัตว์ หรือทาการประมง การสร้างสวนยางพาราในปัจจุบนั ส่วนใหญ่เป็ นการทาเกษตรกรรมแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยวโดยการ ปลูกพืชชนิดเดียวในบริเวณพ้ืนที่กวา้ งมีขอ้ ดีคือ สามารถจดั การสวนยางได้ง่ายท้งั ในเร่ืองของการกาจัด วชั พืช การป้องกนั การเกิดโรคตลอดจนการจดั การดินและป๋ ุยในสวนยาง โดยเกษตรกรจะมีรายไดจ้ ากน้ายาง หลงั ปลูก ประมาณ 7 ปี และจากไมย้ างหลงั ปลูกประมาณ 25-30 ปี ข้ึนอยู่กบั การจดั การสวนยางท่ีดีและ เหมาะสมแต่ขอ้ เสียของการปลูกยางพาราเพียงอยา่ งเดียวคือ มีความเส่ียงสูงต่อการขาดทุนไดง้ ่ายแมว้ ่าบาง ช่วงจะไดร้ าคาดีแต่ส่วนใหญ่แลว้ จะไดร้ าคาต่า เช่น เกิดโรคระบาดในยางพารา หรือเกิดภยั ธรรมชาติใน พ้ืนที่ปลูกยางพารา นอกจากน้นั ยงั เจอวิกฤตเศรษฐกิจผนั ผวนราคายางพลิกผนั ตกต่าลงมาก ซ่ึงเผชิญปัญหา ทั่วโลกส่งผลให้เกษตรกรเดือดร้อนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดารงชีพโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย เพราะฉะน้นั ทางออกท่ีดีคือ การเสริมรายไดใ้ นสวนยางซ่ึงเป็ นการใช้พ้ืนท่ีใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด การเพ่ิม รายไดแ้ ละลดความเสี่ยงของรายไดท้ ี่จะลดลงเนื่องจากการปลูกพืชเชิงเด่ียวของเกษตรกรสามารถทาไดโ้ ดย การปลูกพืชร่วมพืชแซมและการเล้ียงสัตวใ์ นสวนยาง การปลูกไมผ้ ลหรือไมป้ ่ าไมย้ ืนตน้ สาหรับใช้สอย ร่วมกบั ยาง หรือเรียกว่าการทาสวนยางแบบผสมผสาน จากรายงานการสารวจและงานวิจยั ท่ีผ่านมาไดม้ ี การศึกษาการเสริมรายไดใ้ นสวนยางพบว่าไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการใหผ้ ลผลิตน้ายางและ ยงั ทาให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายไดเ้ พิ่มข้ึนจากการจาหน่ายผลผลิตนอกจากยางตลอดจนช่วยลดตน้ ทุน ในการผลิตและเป็ นการอนุรักษ์ส่ิงแวดลอ้ มและสร้างระบบนิเวศวิทยาท่ีดีในสวนยางอีกด้วย หลกั การ คดั เลือกชนิดของพืชหรือกิจกรรมเสริมรายไดใ้ นสวนยาง คือ ตอ้ งเป็ นพืชท่ีตอ้ งการของตลาดและนิยม บริโภคในพ้ืนท่ีน้นั ตอ้ งมีสภาพพ้ืนท่ีเหมาะสมกบั ชนิดของพืช และ ความรู้ความสามารถในการจดั การของ เกษตรกรต่อพชื น้นั การปลูกสร้างสวนยางพาราแบบผสมผสานสามารถนามาใช้เป็ นเคร่ืองมือในการสนับสนุน เกษตรกรชาวสวนยางใหม้ ีรายไดเ้ สริมและรักษาเสถียรภาพของรายไดเ้ กษตรกร ดงั น้นั ปัจจุบนั รัฐบาลไดม้ ี นโยบายส่งเสริมและสนบั สนุนเกษตรกรใหป้ ลูกยางควบคู่กบั การปลูกพืชแซมยางและพืชร่วมยางเพื่อเป็ น รายไดร้ ะหวา่ งรอผลผลิตและเป็นรายไดห้ มุนเวียนใหเ้ กษตรกรนอกเหนือจากยางพารานอกจากน้นั ยงั มีการ ส่งเสริมให้เกษตรกรทาสวนยางแบบผสมผสาน ซ่ึงเกษตรกรชาวสวนยางที่ตอ้ งการโค่นยางเพ่ือปลูกแทน
5 หนั มาเลือกปลูกยางแบบผสมผสานตามหลกั เกณฑท์ ี่กาหนดของการขอทุนปลูกแทนแบบผสมผสาน (การ ปลูกแทนแบบ 5) (การยางแห่งประเทศไทย, 2558) โดยลดจานวนตน้ ยางต่อพ้ืนที่ลงจากเดิมท่ีปลูกลกั ษณะ พืชเชิงเด่ียว ตอ้ งมีตน้ ยาง 60-70 ตน้ /ไร่ ปรับเหลือไม่นอ้ ยกวา่ 40 ตน้ /ไร่ โดยรับทุนปลูกแทนอตั ราเดิม (ไร่ ละ 16,000 บาท/ปี ) เพิ่มระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 10 เมตร เพื่อใหเ้ กษตรกรมีพ้ืนท่ีวา่ งระหว่างตน้ ยาง ไวส้ าหรับปลูกพืชหรือทากิจกรรมทางการเกษตรอื่นมากข้ึนไม่ว่าจะเป็ นประมงหรือปศุสัตว์ ซ่ึงปัจจุบนั มี เกษตรกรเลือกปลูกแทนแบบผสมผสานแลว้ รวม 1,776 ราย คิดเป็ นพ้ืนที่จานวนรวมเกือบ 18,000 ไร่ ใน กรณีสวนยางท่ีมีอายมุ ากกว่า 7 ปี ซ่ึงเลยระยะเวลาของการไดร้ ับเงินสงเคราะห์แลว้ ถา้ สนใจทาสวนยางแบบ เกษตรผสมผสานสามารถยื่นเรื่องขอกูห้ รือปรึกษากบั การยางแห่งประเทศไทยไดไ้ มย้ ืนตน้ ที่มีความสาคญั ทางเศรษฐกิจท่ีส่งเสริมและสนบั สนุนใหป้ ลูกแทนมี 3 ประเภท (1) ไมผ้ ลไดแ้ ก่ ทุเรียน เงาะ มงั คุด ละมุด ลาไย ลิ้นจ่ี มะขาม มะม่วง มะพร้าว มะนาว สม้ โอ สม้ โอในกลุ่มเปลือกล่อน Mandarins (เช่น สม้ เขียวหวาน สม้ โชกุน สม้ สายน้าผ้ึง) ลองกอง ลางสาด ระกา สละ ฝร่ัง ขนุน จาปาดะ มะม่วงหิมพานต์ ชมพู่ หมาก สาลี่ สะตอ กาแฟ มะปราง มะยงชิด อินทผลมั (2) ไมย้ ืนตน้ ปลูกเพื่อแปรรูป ไดแ้ ก่ พะยงู สัก ยางนา สะเดาเทียม ประดู่ กระถินเทพา (3) ไมช้ นิดอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ ปาลม์ น้ามนั กฤษณา และไผ่ (การยางแห่งประเทศไทย, 2558) ความสาคญั และประโยชน์การสร้างสวนยางแบบผสมผสาน การปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสานสามารถจัดการสวนยางได้อย่างง่าย ท้ังน้ีจะต้องไม่มี ผลกระทบผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของยางและการใหผ้ ลผลิตน้ายาง เป็นผลทาใหเ้ กษตรกรชาวสวน ยางมีรายไดเ้ พ่ิมมากข้ึนสิ่งสาคญั อีกประการหน่ึงคือ เกษตรกรเชิงเด่ียวมีความเส่ียงสูงต่อการขาดทุนไดง้ ่าย เกิดภาวะชาวสวนขาดรายไดอ้ ยา่ งง่ายดายในยุคน้ี ท้งั ยงั เจอวกิ ฤตเศรษฐกิจผนั ผวนราคายางพลิกผนั ตกต่าลง มากซ่ึงเผชิญปัญหาทว่ั โลก ดงั น้นั เกษตรกรอาจจะชาวสวนเจอกบั ปัญหาราคายางตกต่าอยู่บ่อยคร้ัง จึงมี ความจาเป็นตอ้ งวางแผนในการลดตน้ ทุนการผลิต เช่น การกาจดั วชั พืช การป้องกนั การเกิดโรค การใส่ป๋ ุย การใชย้ าฆา่ แมลง ตลอดจนการจดั การดินและพืชที่ปลูกในสวนยาง สามารถทาประโยชนใ์ หก้ บั สวนยางโดย มีการเพ่ิมธาตุอาหารในดิน ไดแ้ ก่ พืชตระกูลถว่ั มีแบคทีเรียที่ปมรากน้ีอาศยั อยู่อยา่ งเป็ นอิสระในดินหรือ สิ่งแวดลอ้ มอ่ืนๆ สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศไดโ้ ดยไม่ตอ้ งอาศยั คาร์โบไฮเดรตหรือแหล่งพลงั งาน จากพืช การสร้างแนวทางการปลูกยางพาราแบบผสมผสานสามารถเป็นเคร่ืองมือในการสนบั สนุนชาวสวน ยางให้มีรายไดเ้ สริม ท้งั น้ีโดยสามารถบริโภคพืชผกั ในครัวเรือน บริโภคสัตวเ์ ล้ียงตลอดจนวางจาหน่าย ทอดตลาดเพ่ือเพิ่มรายได้หล่อเล้ียงครอบครัวและเพื่อเป็ นแนวทางในการรักษาเสถียรภาพของรายได้ เกษตรกร (สถาบนั วิจยั ยาง, 2562) นอกจากน้ีการปลูกไมใ้ ชส้ อยหรือไมย้ ืนตน้ ต่างๆ ผสมผสานเป็นการเพ่ิมสมดุลใหก้ บั ในสวนยางอีก ท้งั เป็นการรักษาธรรมชาติใหก้ บั ตน้ ยางอีกดว้ ย และมีประโยชน์ทางออ้ มคือ นาผลผลิตมาใชบ้ ริโภคใชส้ อย จาหน่าย และเพ่ิมความอุดมสมบูรณ์ของดิน รักษาความชุ่มช้ืนใหก้ บั หนา้ ดิน ลดการเกิดไฟไหมใ้ นสวนยาง
6 ตลอดจนเป็ นการใช้ประโยชน์จากพ้ืนท่ีดินให้มากที่สุด เพื่อหารายได้พิเศษชดเชยการเสียโอกาสกว่า ยางพาราจะสามารถเปิ ดกรีดได้ หรือในยางพาราที่เปิ ดกรีดไดแ้ ต่ราคายางตกต่า (สถาบนั วิจยั ยาง, 2562) ประเภทของการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน การปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสานเป็ นการปลูกยางพนั ธุ์ดีเป็ นพืชหลกั และมีการปลูกพืชชนิด ต่างๆ และหรือเล้ียงสัตว์ ทาการประมง ร่วมดว้ ยเพื่อลดตน้ ทุนในการผลิตเพิ่มรายได้ให้แก่เจา้ ของสวน ตลอดจนการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติและใชป้ ระโยชน์จากพ้ืนท่ีใหค้ ุม้ ค่าท่ีสุด ระยะของการปลูกยาง ควรขยายระยะระหว่างแถวใหก้ วา้ งข้ึนเพื่อสามารถใชส้ อยพ้ืนท่ีในการทากิจกรรมอื่นๆ ได้ และท่ีสาคญั ตอ้ ง มีแหล่งน้าเพียงพอและการคมนาคมสะดวก ดงั น้นั สามารถจดั รูปแบบของการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน ได้ 3 ประเภทดงั น้ี 1. การปลูกยางร่วมกบั พืชชนิดอ่ืน 2. การปลูกยางร่วมกบั การเล้ียงสตั วห์ รือทาการประมง 3. การปลูกยางร่วมกบั พืชชนิดอ่ืนและการเล้ียงสตั วห์ รือทาการประมง การปลูกยางร่วมกบั พืชชนิดอ่ืน การปลูกยางร่วมกบั พืชชนิดอ่ืนเป็นการปลูกตน้ ยางพนั ธุด์ ีไม่นอ้ ยกวา่ 40 ตน้ ต่อไร่ โดยใชร้ ะยะปลูก ที่สามารถปลูกพืชร่วมชนิดอื่น ๆ ไดโ้ ดยไม่มีผลกระทบต่อพืชหลกั เช่น การใชร้ ะยะปลูก 2.5X7 เมตร หรือ 3x7 เมตร หรือ 3X10 เมตร พืชชนิดอื่นๆ ที่สามารถปลูกร่วมกบั ยาง ไดแ้ ก่ พืชลม้ ลุก ไมพ้ มุ่ ไมผ้ ลไมย้ ืนตน้ และไมม้ ีค่าทางเศรษฐกิจ สามารถปลูกเป็ นพืชคลุมดินในสวนยาง พืชแซมยาง พืชร่วมยาง และปลูกป่ าใน สวนยางโดยพืชเหล่าน้นั จะตอ้ งไม่มีผลกระทบต่อพืชหลกั เช่น ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการใหผ้ ล ผลิตของตน้ ยาง การระบาดของโรค และการปฏิบตั ิงานในสวนยางจนทาใหเ้ กิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ได้ ไมท้ ่ีมีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่ปลูกร่วมกบั ยาง 58 ชนิด เพื่อเป็นมรดกและค้าประกนั เงินกูไ้ ด้ ไดแ้ ก่ ไมส้ ัก มะขาม กระพ้ีเขาควาย พฤกษ์ พะยูง ชิงชนั กระซิก หลุมพอ ไมส้ กุลทุเรียน กนั เกรา กฤษณา สุพรรณิการ์ กะทงั ใบใหญ่ เตง็ นนทรี ยมหอม ตะกู พะยอม ปี บ เสลา นากบุด แคนา รัง หวา้ จามจุรี ตะแบกนา ตะเทียน ทอง ฝาง สาธร เทพทาโร ประดู่บา้ น เหลืองปรีดียาธร ไมห้ อม ไมส้ กุลยาง สะเดา ยมหิน แดง ราชพฤกษ์ พลับพลา มะค่าแต้ ไผ่ทุกชนิด ไมส้ กุลจาปี นางพญาเสือโคร่ง ประดู่ป่ า ไมส้ กุลมะม่วง อินทนิลน้า กลั ปพฤกษ์ มะหาด มะขามป้อมตีนเป็ดทะเล ตะแบกเลือด สตั ตบรรณ ตะเคียนหิน เค่ียมคะนอง การปลูกพืชคลมุ ดินในสวนยาง พืชคลุมดิน คือ พืชลม้ ลุกประเภทเล้ือยปลูกคลุมดินในสวนยางหลงั จากปลูกยางเพื่อช่วยควบคุม วชั พืชในสวนยาง ในระยะยางอ่อน ปัญหาสาคญั คือ วชั พืชมีการเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว และส่งผลกระทบ
7 ต่อการเจริญเติบโตของตน้ ยาง การปลูกพืชคลุมดินเป็นวิธีหน่ึงที่ควบคุมการเจริญเติบโตของวชั พืชได้ รักษา ความชืน้ ในดินและช่วยลดการชะลา้ งและพงั ทลายของหนา้ ดิน ตลอดจนสามารถปรบั ปรุงโครงสรา้ งและ เพ่มิ ธาตอุ าหารในดนิ อีกดว้ ย จะเหน็ ไดว้ า่ การปลกู พืชคลมุ ดนิ ในสวนยางมีประโยชนม์ ากมาย ไดแ้ ก่ ปอ้ งกนั การชะลา้ งพังทลายของดิน รกั ษาความชุ่มชืน้ ในดิน เพ่ิมอินทรียวตั ถุในดิน เพ่ิมธาตุอาหารโดยเฉพาะ ไนโตรเจนในดนิ และเพ่มิ การหมนุ เวียนธาตอุ าหารในดิน ควบคมุ วชั พืช ชว่ ยลดระยะเวลาการปลกู ยางอ่อน เน่ืองจากตน้ ยางโตเร็ว และผลตกคา้ งของพืชคลมุ ดินทาใหผ้ ลผลิตยางเพ่ิมมากขึน้ เช่น พืชตระกูลถ่ัวมี แบคทีเรียท่ีปมรากนีอ้ าศยั อย่อู ยา่ งเป็นอิสระในดินหรือส่ิงแวดลอ้ มอ่ืนๆ สามารถตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศ ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งอาศยั คารโ์ บไฮเดรตหรือแหล่งพลงั งานจากพืช ทงั้ นีจ้ ากการสารวจไม่พบผลกระทบต่อการ เจริญเติบโตของยางและการใหผ้ ลผลิตนา้ ยาง และยังทาใหเ้ กษตรกรชาวสวนยางมีรายไดเ้ พ่ิมมากขึน้ (สถาบนั วจิ ยั ยาง, 2561) อยา่ งไรก็ตามขอ้ เสียเปรยี บท่ีตามมาคือเป็นแหลง่ อาศยั ของโรคและแมลง เป็นเหตุ ใหเ้ กิดไฟไหมใ้ นสวนยางไดง้ ่ายเน่ืองจากเศษใบไมใ้ บหญา้ เป็นการเพ่ิมโรครากใหแ้ ก่ตน้ ยาง วชั พืชอาจจะ ขึน้ พนั ตน้ ยางทาใหต้ น้ ยางอาจจะหกั ลม้ ง่ายและเกิดความเสียหาย ชนิดของพืชคลมุ ดินตระกลู ถ่วั ท่ีนิยม ปลกู ในสวนยาง มี 4 ชนดิ คือ 1. คาโลโปโกเนียม (Calopgonium mucunoides) เป็นพืชคลุมดินท่ีเจริญเติบโต ไดร้ วดเร็ว สามารถ คลุมพ้ืนท่ีท้งั หมดภายหลงั ปลูกภายใน 2–3 เดือน แต่จะตายภายใน 18–24 เดือน มีเมล็ดเล็กแบน สีน้าตาล อ่อนเกือบเหลือง มีเมลด็ ประมาณ 65,000 เมลด็ ต่อกิโลกรัม 2. เพอราเรีย (Pueraria phaseoloides) เป็นพืชคลุมดินท่ีเจริญเติบโตค่อนขา้ ง เร็วสามารถคลุมพ้ืนที่ ท้งั หมดหลงั ปลูกภายใน 5–6 เดือน คลุมดินไดด้ ีเม่ืออายุเกิน 2 ปี ควบคุมวชั พืชไดด้ ีกว่าพืชคลุมดินอ่ืนอยู่ ภายใตร้ ่มเงาไดด้ ี ใบใหญ่หนา เมล็ดเล็กค่อนขา้ งกลม ยาว สีน้าตามแก่มีเมล็ดประมาณ 76,000 เมล็ดต่อ กิโลกรัม 3. เซ็นโตรซีมา (Centrosema pubescens) เป็นพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตชา้ แต่ หนาทึบ และอยู่ได้ นานข้ึนไดด้ ีภายใตร้ ่มเงา ใบเลก็ เมลด็ เลก็ แบนมีลาย และมีเมลด็ ประมาณ 40,000 เมลด็ ต่อกิโลกรัม 4. ซีรูเลียม (Calopogonium caeruleum) เป็ นพืชคลุมดินท่ีเจริญเติบโตในระยะแรกชา้ สามารคลุม พ้ืนท่ีไดห้ นาแน่นภายใน 4–6 เดือน ทนทานต่อร่มเงาไดด้ ี ไม่ตายในหนา้ แลง้ ใบสีเขียวเขม้ ค่อนขา้ งหนาและ เป็นมนั แผ่นใบมีขน เมลด็ มีสีเขียวอ่อนจนถึงน้าตาลแก่ ผิวเมลด็ เรียบเป็ นมนั วาวมีเมลด็ ประมาณ 26,200 เมลด็ ต่อกิโลกรัม เน่ืองจากลกั ษณะและการเจริญเติบโตของพืชคลุมดินแต่ละชนิดแตกต่างกนั การปลูกพืช คลมุ ดินใหค้ ลุมตลอดอายตุ น้ ยางออ่ น ควรปลกู หลายชนิดรวมกนั ตามสัดส่วน และเมลด็ พนั ธุ์พืชคลุมดินควร มีความงอกมากกว่าร้อยละ 80 ปลูกโดยวิธีหว่าน สัดส่วนของการผสมเมล็ดพนั ธุ์พืชคลุมดิน (ภทั ธาวุธ, 2562)
8 การปลูกพืชแซมยาง พืชแซมยาง หมายถึง พืชที่ปลูกระหวา่ งแถวยางในขณะที่ตน้ ยางมีอายุ 1-3 ปี แต่ไม่เกิน 4 ปี ก่อนท่ี ร่มเงาทรงพุ่มของตน้ ยางทึบเกินไปจึงหยุดปลูกพืชแซมยางพืชที่ปลูกควรเป็ นพืชลม้ ลุกท่ีไม่กระทบต่อการ เจริญเติบโตของตน้ ยางและเป็นที่ตอ้ งการของตลาด มีแหล่งน้าเพียงพอ ระยะปลูกยางควรใชร้ ะยะปลูกไม่ นอ้ ยกวา่ 2.5X7 เมตร หรือ 3x7 เมตร เน่ืองจากพุ่มใบระหวา่ งแถวยางใชเ้ วลานานกวา่ จึงจะชิดติดกนั และการ ปลูกพืชไร่ทวั่ ๆ ไปเป็ นพืชแซมจะทาให้ไดพ้ ้ืนที่ปลูกมากกว่า การปลูกพืชแซมตอ้ งปลูกห่างจากแถวยาง อย่างน้อย 1 เมตร บวกกับคร่ึงของระยะปลูกระหว่างแถวของพืชแซม เช่น ถา้ ระยะปลูกข้าวโพดคือ 0.75x0.75 เมตร ฉะน้นั ควรปลูกขา้ วโพดห่างแถวยางเท่ากบั 1+(0.5x0.5) ซ่ึงเท่ากบั 1.375 เมตร เป็นตน้ การ บารุงรักษาพืชแซมตามวิธีการของพืชน้นั ๆถา้ ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่า ควรปลูกพืชคลุมดินตระกูลถวั่ หรือใชป้ ๋ ุยอินทรียร์ ่วม ควรปลูกพืชคลุมดินตระกูลถวั่ ทนั ทีเม่ือเลิกปลูกพืชแซม ชนิดของพืชแซมยางท่ี แนะนาใหป้ ลูก คือ พืชไร่ซ่ึงมีหลายชนิดที่เหมาะสมสาหรับการปลูกเป็ นพืชแซม เช่น ถวั่ ลิสง ถวั่ เขียว ถว่ั เหลือง ขา้ วโพดเล้ียงสตั ว์ ขา้ วโพดหวาน ขา้ วไร่ ขา้ วฟ่ าง ฝ้าย ถวั่ แดง งา หม่อน สับปะรด หญา้ อาหารสัตว์ และออ้ ยค้นั น้า แต่ไมแ่ นะนาให้ปลูกออ้ ยโรงงาน เน่ืองจากออ้ ยโรงงานเป็ นพืชท่ีตอ้ งการธาตุอาหารสูงและ ระยะเวลาเก็บเก่ียวออ้ ยเป็ นช่วงฤดูแลง้ ใบออ้ ยแห้งอาจเป็ นเช้ือไฟไดง้ ่าย และไม่ควรปลูกมนั สาปะหลงั เน่ืองจากมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของตน้ ยาง หากเกษตรกรตอ้ งการปลูกมนั สาปะหลงั ระหว่างแถว ยาง ควรปลูกห่างจากแถวยางไม่นอ้ ยกวา่ 2 เมตร ลดจานวนแถวของมนั สาปะหลงั และไม่ควรปลูกพนั ธุ์ท่ีมี ลาตน้ สูง การปลูกพืชไร่มกั จะนิยมปลูกกนั เป็ นระบบ ระบบการปลูกพืชแต่ละแห่งอาจจะแตกต่างกนั ตาม สภาพนิเวศน์เกษตร นอกจากน้ันพืช สวน เช่น พริก แตงกวา เผือก แตงโม ถว่ั ฝักยาว ถวั่ ลิสง ชะอม และ กลว้ ย เป็นตน้ พชื แซมยางในระยะก่อนยางใหผ้ ลผลิต คือ ในช่วง 3 ปี แรก สามารถปลูกพชื แซมยางไดห้ ลาย ชนิด ไดแ้ ก่ 1. พืชลม้ ลุกและเป็นพืชอายสุ ้นั เช่น สบั ปะรด ขา้ วโพด ขา้ วไร่ ถว่ั ลิสง ถว่ั เขียว ถวั่ หรั่ง ถว่ั เหลือง แตงโม และ พชื ผกั ต่างๆ เป็นตน้ โดยพชื เหลา่ น้ีควรปลกู ห่างแถวยางประมาณ 1 เมตร 2. กลว้ ย เช่น กลว้ ยน้าวา้ กลว้ ยไข่ กลว้ ยหอม กลว้ ยเลบ็ มือนาง และมะละกอ ควรปลกู แถวเดียว บริเวณก่ึงกลางระหวา่ งแถวยาง 3. หญา้ อาหารสตั ว์ เช่น หญา้ รูซี่ หญา้ กินนีสีม่วง หญา้ ขน ควรปลูกห่างแถวยางประมาณ 1.5-2 เมตร หญา้ อาหารสตั วช์ นิดอื่นๆ จะไม่แนะนาใหป้ ลูกแซมยางเพราะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของตน้ ยาง 4. มนั สาปะหลงั ควรปลูกในปี ท่ี 2 หรือปี ท่ี 3 โดยปลูกห่างแถวยางดา้ นละ 2 เมตร และ ไถตดั รากมนั สาปะหลงั ปี ละคร้ัง ห่างจากแถวมนั สาปะหลงั 50 เซนติเมตร เพ่ือป้องกนั ระบบรากมนั สาปะหลงั เขา้ มาอยใู่ น แถวของตน้ ยาง
9 5. ออ้ ยค้นั น้า ควรปลูกระหว่างแถวยาง ใหห้ ่างแถวยาง 2.2 เมตร ปลูกคร้ังเดียวไวต้ อ 2 คร้ัง เกบ็ เกี่ยว 3 คร้ัง ในเวลา 3 ปี ไม่แนะนาใหป้ ลูกออ้ ยอุตสาหกรรมแซมยางในเขตแหง้ แลง้ และในพ้ืนท่ีที่มีความ อุดมสมบูรณ์ต่า ซ่ึงอาจจะทาใหม้ ีปัญหาดา้ นไฟไหมต้ ามมา (สานกั วิจยั และพฒั นาการเกษตร, 2553)
1 ตารางท่ี 1 ชนิดพืชทเี่ หมาะสมในการปลกู เป็ นพืชแซมในสวนยางพารา ชนดิ พืช พนั ธ์ุทแี่ นะนา ระยะปลูก สบั ปะรด ปัตตาเวยี ภูเกต็ - แถวเด่ียว 70x50 เซนติเมตรหรือแถวคู่ 100x50x30 เซนติเมตร ขา้ วไร่ - กเู้ มืองหลวง - แถวคู่ 120x30x30 เซนติเมตร - ดอกพยอม - หวา่ นแลว้ คราดกลบ - หยอดเมลด็ ในหลุม ใชเ้ มลด็ 5-8 เมลด็ /หล ขา้ วโพดหวาน ซุปเปอร์สวที 75x25 เซนติเมตร กลว้ ย กลว้ ยน้าวา้ - ปลกู ก่ึงกลางแถวยางระยะระหวา่ งตน้ 2.5 เมตร หญา้ อาหารสตั ว์ หญา้ รูซี - ปลกู 2 แถว ระยะระหวา่ งแถว 2 เมตรระย ระหวา่ งตน้ 2.5-3 เมตร - ปลูก 2 แถวห่างกนั 2 เมตรระยะระหวา่ งต 2-2.5 เมตร - ปลกู 3 แถวห่างกนั 2 เมตรระยะระหวา่ งต 2.5 เมตร 40x40 เซนติเมตร หรือ 50x50 เซนติเมตร ออ้ ยค้นั น้า สุพรรณบุรี 50 - ปลูกแถวระหวา่ งแถวยางระยะระหวา่ งแถ 1.3 เมตรระยะระหวา่ งตน้ 0.5 เมตรระยะห จากแถวยาง 2.2 เมตร - ระยะปลูกยาง 3x7 เมตร
10 ผลผลติ หมายเหตุ 2,400 ผล/ไร่/ปี -ควรปลูกตน้ ฤดูฝน - ระมดั ระวงั โรคยอดเน่าและโรครากเน่า - 240 กิโลกรัม/ไร่ - ผลผลิตข้ึนอยกู่ บั ฤดูกาล ถา้ ปี ใดแลง้ จะใหผ้ ลผลิตลดลง ลมุ - 250 กิโลกรัม/ไร่ - ปลกู ไดใ้ นดินท่ีมีการระบายน้าดี 12,000 ฝัก/ไร่ ควรไวห้ น่อไมเ่ กิน 3หน่อ/หลมุ เพอ่ื ไม่ใหแ้ ยง่ อาหารจากตน้ 5-3 1,250 หว/ี ไร่/ปี เดิม - ไวห้ น่อ 2 หน่อ/หลุม ยะ ตน้ ตน้ 600-3,000 กิโลกรัม/ไร่/ - ควรระมดั ระวงั ไมใ่ หเ้ ป็ นอปุ สรรคต่อการปฏิบตั ิงานใน ปี (น้าหนกั แหง้ ) สวนยาง ถว 4,348 กิโลกรัม/ไร่ - ปลกู คร้ังเดียวไวต้ อ 2 คร้ังเกบ็ เก่ียว 3 คร้ัง ในเวลา 3 ปี ห่าง - ระมดั ระวงั ไฟไหมส้ วนยางหลงั การเกบ็ เก่ียว
11 การปลูกพืชร่วมยาง พืชร่วมยาง หมายถึง พืชท่ีปลูกระหว่างแถวยาง สามารถปลูกพร้อมตน้ ยางหรือหลงั ปลูกยางพารา และอยู่ร่วมกับต้นยางเป็ นระยะเวลายาวนาน โดยอาศัยร่มเงาของตน้ ยางจะตอ้ งไม่มีผลกระทบต่อการ เจริญเติบโต และการใหผ้ ลผลิตของตน้ ยางหรือการปฏิบตั ิงานในสวนยาง อาจเป็นพืชท่ีชอบแสงแดดน้อย สามารถปลูกภายในร่มเงาของตน้ ยางพาราได้ และเป็นพืชท่ีสามารถข้ึนไดด้ ีในสภาพร่มเงา การปลูกพืชร่วม ยางควรเลือกปลูกพืชตามความตอ้ งการของตลาด และพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกพืชร่วมยาง แต่ละชนิด ชนิดของพืชร่วมยางท่ีแนะนาใหป้ ลูก ไดแ้ ก่ ระกาหวาน สละ หวาย กระวาน กาแฟ และไมด้ อก เช่น หนา้ ววั เปลวเทียน ขิงแดง สะเดาเทียม นอกจากน้นั มีการเพาะเห็ดในสวนยางซ่ึงมีท้งั แบบกองและ แบบในโรงเรือน สามารถจาแนกชนิดพืชร่วมยางไดด้ งั น้ี 1. พืชร่วมยางท่ีสามารถเจริญเติบโตไดด้ ีภายใตร้ ่มเงาของยาง เมื่อตน้ ยางมีอายุ 3 ปี ข้ึนไปหลงั ปลูก เช่น ขิง ข่า ขมิ้น ผกั พ้ืนบา้ น และพืชสมุนไพรบางชนิด โดยปลกู ระหวา่ งแถว ห่างแถวยาง 1.5 เมตร 2. พชื ร่วมยางท่ีทนต่อสภาพร่มเงาเมื่อยางอายปุ ระมาณ 10 ปี ข้ึนไป เช่น พืชสมุนไพร ไดแ้ ก่ ข่า ขมิ้น ขิง ผกั พ้ืนบา้ น เช่น ผกั เหลียง หรือ ไมส้ กุลหนา้ ววั ไมด้ อกวงศข์ ิง เช่น ขิงแดง ดาหลา หงส์เหิน กระเจียว พงั งา กระเจียวสม้ บวั ไมส้ กลุ เฮลิโกเนีย และไมป้ ระดบั บางชนิด โดยปลูกระหวา่ งแถวยาง ห่างแถวยาง 1.5 เมตร 3. พืชร่วมยางที่ทนต่อสภาพร่มเงาเม่ือยางอายุ 15 ปี ข้ึนไป สามารถปลูกพืชสกุลระกา เช่น ระกา หวาน สละเนินวง สละหมอ้ หวายตะคา้ ทอง กระวาน กาแฟ โกโก้ กระวานจะปลูกก่ึงกลางแถวยาง สาหรับ หวายตะคา้ ทองอาจเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบตั ิงานในสวนยาง แนะนาใหป้ ลูกเป็ นพืชเสริมรายไดก้ ่อนการ โค่นยาง การปลูกไม้ป่ าในสวนยาง มีไมป้ ่ าบางชนิดที่ทนต่อสภาพร่มเงาของตน้ ยางขนาดใหญ่โดยปลูกผสมผสานก่ึงกลางระหวา่ งแถว ยางและทดแทนการปลูกซ่อมตน้ ยาง เช่น ในวงศ์ของไมย้ ืนตน้ ไดแ้ ก่ กระถินเทพา กระถินณรงค์ สะเดา เทียม ทงั พะยอม มะฮอกกานี ตะเคียนทอง ยางนา ยมหิน ตาเสา พะยงู เคี่ยม ยมพิน สะเดาไทย สาธร และ ประดู่ป่ า ในสวนยางทางภาคใต้ และในสวนยางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ กระถินเทพา กระถินณรงค์ สะเดาไทย ยางนา ตะเคียนทอง ยมหิน พะยงู สาธร และประดู่ป่ า (กรมวชิ าการเกษตร, 2559) การปลูกไม้บังลม เน่ืองจากในเขตปลูกยางใหม่ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือบางจงั หวดั มกั พบปัญหา ลมแรงความเร็วลมมากกว่า 60 กิโลเมตร/ชวั่ โมง ทาให้ตน้ ยางฉีกหักโค่นลม้ หรือชะงกั การเจริญเติบโต ดงั น้นั น่าจะปลูกไมบ้ ังลมรอบสวนยาง แต่ต้องมีการจัดการที่ดี เพราะต้นไมบ้ งั ลมเหล่าน้ีมีผลต่อการ เจริญเติบโตของตน้ ยาง โดยเฉพาะพ้ืนที่โล่งเตียนอาจจะปลูกไมบ้ งั ลมก่อนการปลูกยาง 1-2 ปี ชนิดของไม้ บงั ลมรอบสวนยางจะเป็ นไมผ้ ลบางชนิด ไมป้ ่ าหรือไมใ้ ชส้ อยอื่นๆ เช่น มะขาม ขนุน กระทอ้ น มะม่วง ไม้
12 สกั กระถินเทพา ไมไ้ ผ่ สะเดาบา้ น สะเดาเทียม ไมห้ อม ไมย้ อ้ มสี เป็นตน้ การปลูกไมย้ ืนตน้ เหล่าน้ี รอบสวน ยางควรปลูกห่างเท่ากบั ระยะแถวยาง คือ 7 เมตรและมีการจดั ไถพรวนเพ่ือป้องกนั รากไมเ้ ขา้ ไปรบกวนตน้ ยางและเป็ นการทาแนวป้องกันไฟไหมใ้ นตวั การปลูกไมใ้ ช้สอยท่ีโตเร็วกว่าตน้ ยาง เช่น ยูคาลิปตสั สน ปฏิพทั ธ์ กระถินยกั ษ์ นอกจากปลูกใหห้ ่างจากตน้ ยาง 7 เมตร แลว้ ควรปลูกหลงั จากปลูกยางไปแลว้ 2 ปี แต่ ควรระวงั การลุกล้าพ้ืนที่ของผอู้ ื่น (สถาบนั วจิ ยั ยาง, 2562) การปลกู ไม้ผลไม้ยืนและไม้มคี ่าทางเศรษฐกจิ ร่วมยาง ไมม้ ีค่าทางเศรษฐกิจ หมายถึง ไมย้ ืนตน้ ทุกชนิด รวมถึงไมไ้ ผ่ท่ีปลูกหรือข้ึนเองตามธรรมชาติและ อยู่นอกเขตป่ าอนุรักษ์ที่มีการใช้ประโยชน์เน้ือไม้ หรือผลิตผลอื่นๆท่ีไม่ใช่เน้ือไมเ้ พ่ือการค้า (คณะวน ศาสตร์, 2560) ดงั น้นั อาจกล่าวรวมถึงไมม้ ีค่าทางเศรษฐกิจ เป็นไมท้ ่ีสามารถสร้างมูลค่า หรือแปรรูปเป็ น ผลิตภณั ฑอ์ ่ืนๆ รวมท้งั ใหป้ ระโยชนโ์ ดยท้งั ทางตรงและทางออ้ มแก่ผปู้ ลกู เช่น ไมฟ้ ื น ไมใ้ ชส้ อย ไมก้ ่อสร้าง ไมเ้ พ่ือพืชอาหาร หรือไมเ้ พื่อน้ายาง หรือสารหอมระเหย เป็นตน้ ไมย้ ืนตน้ ท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจท่ี ส่งเสริมและสนบั สนุนให้ปลูกแทนมี 3 ประเภท (1) ไมผ้ ล ไดแ้ ก่ ทุเรียน เงาะ มงั คุด ละมุด ลาไย ลิ้นจี่ มะขาม มะม่วง มะพร้าว มะนาว สม้ โอ ส้มโอในกลุ่มเปลือกล่อน Mandarins (เช่น สม้ เขียวหวาน สม้ โชกุน ส้มสายน้าผ้ึง) ลองกอง ลางสาด ระกา สละ ฝรั่ง ขนุน จาปาดะ มะม่วงหิมพานต์ชมพู่ หมาก สาล่ี สะตอ กาแฟ มะปราง มะยงชิด อินทผลมั (2) ไมย้ ืนตน้ ปลูกเพื่อแปรรูป ไดแ้ ก่ พะยงู สัก ยางนา สะเดาเทียม ประดู่ กระถินเทพา (3) ไมช้ นิดอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ ปาลม์ น้ามนั กฤษณา และไผ่ (การยางแห่งประเทศไทย, 2558) การจาแนกกลุ่มไม้มคี ่าทางเศรษฐกจิ ตามการเจริญเติบโต ในท่ีน้ีแบ่งไมม้ ีค่าทางเศรษฐกิจตามการเจริญเติบโตออกเป็น 3 กลุ่ม เพ่ือความสะดวกในการส่ือสาร กบั ภาคประชาชน ดงั น้ี 1. ไมโ้ ตเร็ว มีอตั ราการเติบโตของเส้นผ่าศูนยก์ ลางเพียงอก มากกวา่ 1.5 เซนติเมตร/ปี อายสุ าหรับ ตดั ฟันไมป้ ระมาณ 5-15 ปี เช่น สะเดาเทียม กระถินเทพา กระถินณรงค์ ยูคาลิปตสั เล่ียน สะเดา ข้ีเหล็ก โกงกาง สนทะเล สนประดิพทั ธ์ รวมถึงไผช่ นิดต่างๆ เป็นตน้ 2. ไมโ้ ตปานกลาง มีอตั ราการเจริญเติบโตของเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง ประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร/ปี อายุ สาหรบั ตดั ฟันไมป้ ระมาณ 15-20 ปี ไดแ้ ก่ สกั ประดู่ ยางนา แดง สนสองใบ สนสามใบ กระบาก สะตอ เป็น ตน้ 3. ไมโ้ ตช้า มีอตั ราการเติบโตของเส้นผ่าศูนย์กลาง น้อยกว่า 0.8 เซนติเมตร/ปี รอบตัดฟันไม้ ประมาณ 20-30 ปี ไดแ้ ก่ ตะเคียนทอง พะยงู ชิงชนั มะค่าโมง เต็ง รัง จนั ทร์หอม กนั เกรา เป็นตน้ (กรมป่ า ไม,้ 2562)
1 ตารางท่ี 2 ชนิดของพืชทเ่ี หมาะสมปลูกร่วมในสวนยางพารา ชนิดพืชร่วมยาง พนั ธ์ุทแี่ นะนา ระยะปลูก ผ ระกาหวาน ระกาพ้ืนเมือง ปลูกก่ึงกลางแถวยางระยะระหวา่ ง ไม หลมุ 5 เมตร(ระยะปลกู ยาง 2.5x8 ก สละ สละเนินวง เมตร) 6 เมตร(ระยะปลกู ยาง3x7 เมตร) ไม หวาย หวายตะคา้ ทอง ปลกู ก่ึงกลางแถวยางระยะระหวา่ ง ก หลมุ 5 เมตร(ระยะปลกู ยาง 2.5x8 40 สะเดาเทียม - เมตร) 6 เมตร(ระยะปลกู ยาง 3x7 เมตร) ต หนา้ ววั และเปลวเทียน หนา้ ววั ดวงสมร ปลกู ระหวา่ งแถวยางในสวนยางอายุ กระวาน เปลวเทียนภเู ก็ต มากกวา่ 15 ปี โดยกาจดั วชั พชื และไม้ 8- กระวาน ยนื ตน้ ระหวา่ งแถวยาง นครศรีธรรมราช (หน่อแดง) ปลกู ระหวา่ งแถวยางอตั รา 20 ตน้ / พ้นื ท่ีปลูกยาง 1 ไร่ 50x50x100 เซนติเมตร(ปลูกแถวคู่) 2x2 เมตร 18 ขิงแดงเฮลิโกเนีย 2x2 เมตร 10
13 ผลผลติ หมายเหตุ ม่ต่ากวา่ 10 กิโลกรัม/ กอ/ปี - ตอ้ งจดั การใหต้ น้ ตวั ผแู้ ละตวั เมียอยใู่ น อตั รา 1: 6-8 อยกู่ ระจายทว่ั แปลงปลกู - อาจตอ้ งช่วยผสมเกสร ม่ต่ากวา่ 10 กิโลกรัม/ - ตอ้ งปลูกพืชสกลุ ระกา เช่น ระกา สะ กอ/ปี กา เพ่ือนาเกสรจากดอกตวั ผไู้ ปผสมกบั เกสรของดอกตวั เมียสละ 00 ลา/ไร่ - ปลกู พืชเพือ่ เสริมรายไดก้ ่อนการโค่น ยาง ตดั ท้งั ตน้ - ปลกู เม่ือยางอายุ 1-2 ½ ปี - ปลูกใหก้ ระจายหลายแหลง่ ไมค่ วร -10 ดอก/ตน้ ปลกู เกินแห่งละ 6 ไร่ 80-800 กิโลกรัม/ไร่ -ควรใชก้ าบมะพร้าวสบั ผสมอิฐหกั เป็ น วสั ดุสาหรับปลกู - ควรปลกู ระหวา่ งแถวยางท่ีมีร่มเงา 0-15 กา้ น/กอ
14 การปลูกยางร่วมกบั การเลยี้ งสัตว์ การเล้ียงสัตว์เป็ นอาชีพที่ได้รับความนิยมและมีความมั่นคง สามารถท่ีจะสร้างรายได้และ เจริญเติบโต กา้ วหนา้ ในเส้นทางอาชีพไดอ้ ย่างดี สาหรับการเล้ียงสัตว์ สัตวท์ ่ีเล้ียงจะตอ้ งสาหรับใชเ้ ป็ น อาหารหรือผลิตภณั ฑอ์ าหารท้งั น้ีไม่ครอบคลมุ ถึงสตั วป์ ่ าที่ไดจ้ าการล่าและสัตวน์ ้า (มาโนชญ,์ 2561) ดงั น้นั การเล้ียงสัตว์ในสวนยางเป็ นอีกช่องทางหน่ึงในการเสริมรายได้ให้กบั เกษตรกร สามารถแบ่งออกเป็ น ประเภทของสตั วไ์ ดด้ งั น้ี สตั วใ์ หญ่ สัตวเ์ ลก็ และสตั วป์ ี ก สตั วเ์ ศรษฐกิจที่นามาเล้ียงเช่น แกะ แพะ สุกร โค กระบือ ห่าน ไก่ ไก่งวง และ เป็ด เป็นตน้ สาหรับการประมงในสวนยางเช่น การเล้ียงกบ ปลาดุก ปลานิล และปลาสวาย เป็นตน้ การเล้ียงสัตวน์ ้นั จดั เป็ นอาชีพท่ีสร้างรายไดใ้ ห้แก่เกษตรกรเป็นอยา่ งดี สามารถที่จะ เล้ียงไดเ้ ป็ นจานวนมาก เป็ นอาชีพหลกั หรืออาชีพเสริมก็ไดต้ ามความสะดวกและตอ้ งการ (กรมปศุสัตว์, 2559) ในปัจจุบนั น้ีมีคนนิยมเล้ียงสตั วเ์ ศรษฐกิจเป็นจานวนมากท้งั เป็นงานหลกั หรืออาชีพเสริม ข้อดีของการเลยี้ งสัตว์ 1. การเลยี้ งปศุสัตว์เป็ นหลกั ประกนั รายได้ การเล้ียงปศุสตั วจ์ ดั วา่ เป็นหลกั ประกนั รายไดใ้ หแ้ ก่เกษตรกรที่จะมีรายไดใ้ ชจ้ ่าย ถึงแมว้ า่ ในบางคร้ัง จะเป็นเงินที่ไม่มากนกั แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและจุนเจือครอบครัวไดเ้ ป็นอยา่ งดี ในยามที่ เพาะปลูกไม่ไดผ้ ล มีปัญหาดา้ นการเกษตรหรือไดร้ ับความเสียหายจากน้าท่วมหรือภาวะแลง้ การเล้ียงปศุ สัตวก์ ็สามารถที่จะเขา้ มาเติมเต็มและช่วยเหลือครอบครัวได้ ถา้ หากเล้ียงปศุสัตวไ์ วจ้ านวนมากก็สามารถ สร้างรายไดไ้ ดอ้ ยา่ งดีในการประกอบอาชีพ 2. การเลยี้ งปศุสัตว์เสริมสร้างอาชีพทหี่ ลากหลาย การเล้ียงเป็นการช่วยเสริมสร้างอาชีพทางเลือกที่หลากหลาย เป็นตวั ช่วยใหแ้ ก่เกษตรกรไดม้ ีรายได้ หลายๆ ทางเพอ่ื ท่ีจะนามาสร้างฐานะและขยายกิจการใหม้ น่ั คงต่อยอดไปไดอ้ ยา่ งกา้ วไกล 3. การเลยี้ งปศุสัตว์บารุงดิน การเล้ียงปศุสัตวน์ ้นั เป็นอีกหน่ึงตวั ช่วยในการบารุงดิน โดยเฉพาะผทู้ ่ีทาไร่ทานาหรือเพาะปลูก มูล สตั วก์ ส็ ามารถท่ีจะใชเ้ ป็นป๋ ุยสาหรับบารุง เพอื่ ท่ีจะใหผ้ ลผลิตในการเพาะปลูกมีจานวนมากข้ึน โดยที่ไม่ตอ้ ง เสียเงินในการซ้ือป๋ ุยเคมีหรือป๋ ุยวิทยาศาสตร์มาใช้ ปัจจบุ นั น้ีไดม้ ีโครงการเกี่ยวกบั ปศุสตั วต์ ามพระราชดาริท่ี สาคญั เกิดข้ึนมากมาย เช่น โครงการโคนม โครงการเล้ียงแพะ โครงการธนาคารโคกระบือ เพื่อเกษตรกรตาม พระราชดาริ โครงการเล้ียงววั เน้ือ โครงการเล้ียงแกะ โครงการเล้ียงสุกร โครงการเล้ียงไก่ โครงการเล้ียงเป็ด และโครงการเล้ียงนกกระทา เป็นตน้ (กรมปศุสตั ว,์ 2559) การเล้ียงววั ไวก้ ินหญา้ ในร่องสวนยาง เป็นเหมือน เครื่องตดั หญา้ ที่มีชีวิต ไม่ตอ้ งใชเ้ ครื่องตดั หญา้ ใหเ้ สียเวลา ไก่บา้ นเล้ียงปล่อยในสวน การเลือกเล้ียงไก่บา้ น เน่ืองจากเล้ียงง่าย ทนต่อโรค และสามารถเอาไวก้ ินใชป้ ระกอบอาหารในครัวเรือนได้ เป็นการลดรายจ่ายใน ครอบครัว นอกจากน้ีสามารถจาหน่ายเน้ือไก่และข้ีไก่ยงั เป็ นป๋ ุยคอกเอาไวใ้ ส่พืชสวนได้ และข้ีไก่ใช้เล้ียง ปลาน้าจืดต่างๆ เป็ นการเล้ียงไวใ้ นบ่อดินธรรมชาติ พนั ธุ์ปลาที่เล้ียงไดแ้ ก่ ปลานิล ปลาสวาย ปลาดุก โดย
15 อาจจะเล้ียงรวมในบ่อเดียวกนั อนั ดบั แรกก่อนลงเล้ียงปลาตอ้ งเอาข้ีววั แหง้ ลงในบอ่ เพ่อื เพิ่มจานวนประชากร ไรแดงใหม้ ากข้ึน จากน้นั จึงปล่อยปลาลงเล้ียง การปลูกยางร่วมกบั ปศุสัตว์ หรือประมงซ่ึงเกษตรกรอาจจะ ใช้พ้ืนท่ีว่างระหว่างตน้ ยางในการทาแปลงหญา้ หรือทาคอกเล้ียงปศุสัตว์ เช่น ววั แกะ แพะ หรือทาบ่อ พลาสติก เล้ียงปลา เล้ียงกบ เป็นตน้ หญา้ ที่ปลูกสามารถนามาใชเ้ ป็นอาหารของปศุสตั วท์ ่ีเล้ียง หรืออาจจะ ขายก็ไดเ้ ช่นกนั เป็ นการลดค่าใชจ้ ่ายและเพ่ิมรายไดอ้ ีกทางหน่ึง (สานกั งานกองทุนสงเคราะห์การทาสวน ยาง, 2558) แนวทางการเลยี้ งสัตว์ในสวนยางของประเทศต่าง ๆ การเลยี้ งสัตว์ในสวนยางของประเทศมาเลเซีย หลกั การปลูกพืชแซมยางท่ีเป็นแบบเกษตรเชิงเดี่ยวปกติใชร้ ะยะห่างระหวา่ งตน้ ยาง 7.3x2.4 เมตร หรือ 570 ตน้ ต่อเฮกตาร์ซ่ึงมีการเล้ียงสตั วใ์ นสวนยางร่วมดว้ ยและจะปลกู กลว้ ย ขา้ วโพด พืชตระกลู ถวั่ ไม้ พ่มุ เต้ีย หลงั ยางพาราอายุ 3 ปี เพ่ือสตั วแ์ ทะเลม็ และเป็นการควบคุมวชั พืชภายใตก้ ารเล้ียงสตั วค์ ือ วชั พืชเป็ น อาหารของสตั ว์ เช่น แกะ เป็นตน้ โดยมีหลกั การดงั น้ี 1. เพื่อเพ่มิ ผลผลิตโปรตีนเน้ือสตั วใ์ นทางเศรษฐกิจ โดยปราศจากการเปิ ดพ้ืนที่ใหม่ของการเล้ียง สตั ว์ ใชพ้ ้ืนท่ีเดิม 2. เพ่ือลดปริมาณค่าใชจ้ ่ายในการกาจดั โดยปล่อยพ้ืนที่ใหส้ ัตวแ์ ทะเลม็ วชั พืช โดยภายใตร้ สชาติท่ี สตั วช์ อบและสตั วไ์ มช่ อบ ร่วมในสวนยาง 3. เพ่ือลดการชะลา้ งพงั ทลายของหนา้ ดินผา่ นระบบควบคุมการแทะเลม็ 4. ประสบความสาเร็จในดา้ นการกาจดั วชั พืช ซ่ึงไม่มีขอ้ ติเตียนดา้ นความตอ้ งการอาหารของสัตว์ โดยสามารถรักษาระดบั การกินไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง 5. เป็นการใชป้ ระโยชนป์ ๋ ุยคอก เช่น การทาป๋ ุยใชใ้ นสวนยาง (Tajuddin, 1986) การเลยี้ งววั ในสวนยางของประเทศอนิ เดีย ระบบเกษตรท่ีมีการปลูกพืชและมีการเล้ียงสตั วห์ ลากหลายชนิดในพ้ืนท่ีเดียวกนั โดยที่กิจกรรมการ ผลิตแต่ละชนิดเก้ือกูลประโยชน์ต่อกนั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ มีการใชท้ รัพยากรท่ีมีอยู่ในสวนยางอย่าง เหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุดมีความสมดุลต่อสิ่งแวดลอ้ มอย่างต่อเน่ือง และเกิดการเพ่ิมพูนความอุดม สมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ มีการเก้ือกลู กนั ระหวา่ งพืชและสัตว์ เศษซากและผลพลอยไดจ้ ากการปลูก พืชจะเป็ นประโยชน์ต่อกิจกรรมการเล้ียงสัตว์ ในทางตรงกันข้าม ผลที่ได้จากการเล้ียงสัตว์ก็จะเป็ น ประโยชน์ต่อพืชดว้ ยเช่นกนั ในขณะเดียวกันการปลูกพืชแซมในสวนยางและใชร้ ะบบการเล้ียงสัตว์ร่วม ไดแ้ ก่ประเทศ ไทย เวยี ดนาม จีน อินโดนีเซียและมาเลเซีย (Viswanathan and Shivakoti, 2008)
16 ภาพการทาเกษตรผสมผสานร่วมการเลยี้ งสัตว์ หรือการเลยี้ งสัตว์ต่างชนิดกนั โดยมีการเล้ียงสัตวใ์ นพ้ืนที่ปลูกยางใหม่เป็ นการประยุกต์วิธีการเกษตรแบบผสมผสานและรักษา เสถียรภาพเพ่ิมความยงั่ ยืนของระบบใหเ้ ป็นท่ีรู้จกั มากข้ึนยกตวั อยา่ งที่เห็นไดช้ ดั คือรัฐเกรละทางตอนใตแ้ ละ ทางทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียมีการทาปศุสตั วร์ ่วมกบั การปลูกยางพาราต้งั แต่ปี ค.ศ. 1980 มีการขยายพ้ืนที่ปลูกยางจาก 1.6% ไปถึง 10% ในช่วงเวลาน้นั อาทิ รัฐเกรละ เป็นพ้ืนที่ด้งั เดิม และพ้ืนท่ีใหม่ เช่น รัฐทมิฬนาฑุ และรัฐกรณาฏกะ เป็นตน้ มีขอ้ จากดั คือไม่มีพ้ืนที่เกษตรและสภาพภูมิอากาศท่ีเหมาะสม ส า หรั บ ก า รข ย า ย พ้ื น ท่ี ป ลู ก ย า ง เ ชิ ง พ า ณิ ช ย์ต่ อ ไ ป ดัง แ ส ด ง จ า ก ภ า พ แ ผ น ท่ี แ ส ด ง ก า ร ป ลู ก ย าง ท า ง ทิ ศ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของอินเดีย (วงกลมด้านบน) และรัฐเกรละ (วงกลมด้านล่าง) (Viswanathan and Shivakoti, 2008) ภาพแผนท่แี สดงการปลกู ยางร่วมกบั ปศุสัตว์บริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (วงกลม ด้านบน) และรัฐเกรละภาคใต้ของประเทศอนิ เดีย (วงกลมด้านล่าง)
17 หลกั การพ้ืนฐานของระบบเกษตรกรรมแบบผสมผสานมีอยู่อย่างน้อย 2 ประการสาคัญๆ คือ 1) ตอ้ งมีกิจกรรมการเกษตรต้งั แต่ 2 กิจกรรมเป็นตน้ ไป โดยการทาการเกษตรท้งั สองกิจกรรมน้นั ตอ้ งทาในพ้ืนที่และระยะเวลาเดียวกนั ซ่ึงกิจกรรมเหล่าน้นั ควรประกอบไปดว้ ยการปลูกพืชและการเล้ียง สตั ว์ และสามารถผสมผสานระหวา่ งการปลูกพชื ต่างชนิดหรือการเล้ียงสตั วต์ ่างชนิดกนั ได้ 2) การเก้ือกลู ประโยชนร์ ะหว่างกิจกรรมเกษตรต่างๆ และการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรในระบบ เกษตรแบบผสมผสานน้ัน เกิดข้ึนท้งั จากวงจรการใช้แร่ธาตุอาหารรวมท้งั อากาศ และพลงั งาน เช่น การ หมุนเวียนใช้ประโยชน์จากมูลสัตว์ให้เป็ นประโยชน์กับพืช และให้เศษพืชเป็ นอาหารสัตว์ โดยท่ี กระบวนการใชป้ ระโยชนจ์ ะเป็นไปท้งั โดยตรงหรือโดยออ้ มเช่น ผา่ นการหมกั ของจุลินทรียเ์ สียก่อน (มูลนิธิ เกษตรกรรมยงั่ ยนื , 2557) การเลยี้ งแพะในสวนยางของประเทศไทย การเล้ียงแพะมานานกว่า 20 ปี โดยใช้แพะสายพนั ธุ์แองโกลนูเบียนซ่ึงเป็ นแพะเน้ือ เพราะตลาด ตอ้ งการมาก วิธีการเล้ียงจะแยกออกเป็ นคอก คอกละ 30-40 ตวั โดยมีตวั ผูเ้ พียงตวั เดียวไวค้ อยควบคุมฝูง ช่วงลูกแพะเกิดใหม่ๆ จะเล้ียงด้วยอาหารเสริมประมาณ 1-2 เดือนเพ่ือขุนให้แพะเติบโตอย่างรวดเร็ว หลงั จากน้นั กป็ ล่อยใหอ้ อกหากินเองในสวนยางพาราส่วนใหญ่มกั เป็นวชั พชื และแพะเป็นสตั วท์ ี่สามารถกิน ไดท้ ุกอยา่ ง สามารถกินพืชไดท้ ุกชนิด แต่ส่ิงท่ีตอ้ งคอยระวงั กค็ ือพลาสติก หรือส่ิงแปลกปลอมที่อาจจะมีการ ปลิวมากบั ลมหรือมีคนเอามาทิ้งไวเ้ พราะว่าแพะกินท้งั หมด การเล้ียงแพะตอ้ งศึกษาระยะเวลาของแพะท่ี เจริญเติบโต หากยงั เลก็ ๆ อยกู่ ค็ วรให้ฉีดวคั ซีนป้องกนั โรค เมือ่ โตข้ึนแพะจะกินอาหารมากข้ึน จึงอาจจะเกิด อาการทอ้ งผูก ถ่ายไม่คล่อง ส่งผลใหต้ ิดเช้ือ และตายได้ อาจจะทานใหส้ มุนไพร เช่น วา่ นผสมกบั น้ามนั พืช ใหก้ ิน จากน้นั แพะจะถ่ายอุจจาระออกมา และตอ้ งคอยควบคุมในเรื่องความสะอาดถือวา่ เป็นปัจจยั หลกั ใน การเล้ียงแพะใหร้ อดชีวิต การเล้ียงแพะใชเ้ วลาเพียง 6 เดือน ก็สามารถขายแพะไดใ้ นราคาประมาณกิโลกรัม ละ 200-300 บาท คิดคานวณแลว้ จากการขายไปได้ 1,000 บาท มีกาไรถึง 700 บาท แต่สิ่งท่ีไดป้ ระโยชน์ เพิ่มข้ึนคือ การลดค่าใชจ้ ่ายในการจา้ งแรงงานมาถากถางวชั พืชในสวนยาง โดยที่ตอ้ งเสียเงินถึงไร่ละ 200- 300 บาท หากมี 10 ไร่กต็ อ้ งจ่ายเงิน 3,000 บาท ปี ละ 2 คร้งั ในช่วงหลงั หนา้ ฝนกบั ช่วงใส่ป๋ ุยบารุงตน้ ยาง ทา ใหเ้ ป็นผลพลอยไดท้ ี่ชดั เจนมาก อีกท้งั ยงั สามารถลดตน้ ทุนการผลิต โดยใชม้ ูลแพะมาทาเป็ นป๋ ุยหมกั ใส่พืช เกษตร เช่น สวนปาล์ม ยางพารา ไดอ้ ีกด้วย นอกจากน้ีทางปศุสัตวแ์ ต่ละจงั หวดั ยงั สนับสนุนพนั ธุ์แพะ รวมท้งั ยงั ช่วยพฒั นาสายพนั ธุ์ใหแ้ ข็งแรง โดยมีสตั วแพทยม์ าคอยตรวจเยย่ี มตามฟาร์มเสมอ จึงไม่ตอ้ งกงั วล เร่ืองโรคระบาด ทาให้อาชีพเล้ียงแพะในสวนยางพารา จึงเป็ นอีกทางเลือกหน่ึงในการเพ่ิมรายได้ให้แก่ ชาวสวนยางพาราอยา่ งยง่ั ยืนและมนั่ คง (ไชยรตั น,์ 2557)
18 ภาพตัวอย่างการเลยี้ งแพะในสวนยางพารา จ.พทั ลงุ ประเทศไทย การปลูกยางร่วมกบั การทาประมง การทาเกษตรแบบผสมผสานอาจจะมีการประมงร่วมด้วย โดยเป็ นการพ่ึงพารายไดใ้ นหลายๆ ทางเลือก ท้งั น้ีข้ึนอยู่กบั สภาพแวดลอ้ มและพ้ืนท่ีที่เหมาะสมในการทาประมง เช่น การเล้ียงกบ การเล้ียงปลา ดุก การเล้ียงปลานิล และการเล้ียงปลาสวาย เป็นตน้ ในพ้ืนท่ีสวนยาง การเลยี้ งกบในสวนยาง การเล้ียงกบใชต้ น้ ทุนต่า ใชร้ ะยะเวลาเล้ียงเพียงแค่ 2-3 เดือนก็สามารถใหผ้ ลผลิตได้ หากจะเล้ียงกบ ใหไ้ ดร้ าคาที่สูง ควรเล้ียงในช่วงเดือนธนั วาคม เน่ืองจากเดือนมีนาคมเป็นเดือนที่กบราคาข้ึนสูงสุดในแต่ละ ปี เพราะเป็นช่วงท่ีกบขาดตลาด เน่ืองจากไม่สามารถหาลูกพนั ธุ์มาเล้ียงในช่วงฤดูหนาวได้ ฟาร์มที่ผลิตไดม้ ี นอ้ ยมาก การทาบ่อเพาะพนั ธุ์กบ มีบ่อปูน บ่อดิน แตกต่างกนั บ่อปูนขนาด 4x4 เมตร ธรรมชาติของกบจะมี ไข่อีกคร้ังในช่วงเดือนกุมภาพนั ธ์ และเม่ือไดพ้ ่อแม่พนั ธุ์ตามที่ตอ้ งการแลว้ จะนาปล่อยสู่บ่อปูนท่ีเตรียมน้า ไว้ 10 เซนติเมตร ในช่วงฤดูหนาวตอ้ งใส่พ่อแม่พนั ธุ์เยอะกวา่ ช่วงฤดูปกติ ซ่ึงใส่อยทู่ ่ีอตั ราส่วน ผู:้ เมีย คือ 100:50 เพราะเน่ืองจากไม่ใช่ฤดูผสมพนั ธุ์ ตวั ผบู้ างตวั กจ็ ะไม่รัดตวั เมียเป็ นสาเหตุใหต้ อ้ งใส่มากกวา่ ปกติ แต่ ถา้ ในช่วงฤดูกาลท่ีกบผสมพนั ธุ์น้นั ใส่เพียง 20 คู่กเ็ พียงพอแลว้ (วารสารพลงั เกษตร, 2560)
19 ภาพการเลยี้ งกบ การเลยี้ งปลาดุก การเล้ียงปลาดุกสามารถเล้ียงไดท้ ้งั ในบ่อดิน บ่อซีเมนต์และในกระชงั แต่ส่วนมากนิยมเล้ียงในบ่อ ดินซ่ึงขนาดบ่อดินที่เหมาะสมควรมีขนาดไม่เกิน 1 ไร่ การเลือกสถานที่ปัจจยั ที่ควรนามาพิจารณาในการ เลือกสถานท่ีสร้างบ่อเล้ียงปลามีดงั น้ี 1. สถานที่ไมเ่ ป็นที่ลุ่มหรือท่ีดอนเกินไป สามารถจดั ระบบน้าระบายน้าเขา้ -ออกไดด้ ี 2. สภาพดินควรเป็นดินเหนียวสามารถทาเป็นคนั บ่อเกบ็ กกั น้าไดด้ ี 3. สภาพน้าตอ้ งเป็นน้าสะอาดปราศจากสารพิษของโลหะหนกั หรือยาฆา่ แมลง หรือของเสียจาก โรงงานอุตสาหกรรม 4. ทางคมนาคมสะดวก การเตรียมบ่อเลยี้ งปลาดุก มีวธิ ีการเตรียมบ่อดังนี้ บ่อใหม่ 1. ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินในอตั รา 60-100 กิโลกรัม/ไร่ โดยใหท้ ว่ั พ้ืนบ่อ 2. ใส่ป๋ ุยคอกอตั รา 200 กิโลกรัม/ไร่ โดยโรยใหท้ ว่ั บ่อ 3. เติมน้าใหไ้ ดร้ ะดบั 40-50 เซนติเมตร ทิ้งไว้ 3-5 วนั จนน้าเริ่มเป็นสีเขียวระวงั อยา่ ใหเ้ กิดแมลง หรือศตั รูปลา บ่อเก่า 1. ทาความสะอาดบอ่ ลอกเลนใหม้ ากที่สุด 2. ใส่ปูนขาวอตั รา 60-100 กิโลกรัม/ไร่ 3. ตากบ่อใหแ้ หง้ ประมาณ 7-15 วนั
20 4. นาป๋ ุยคอกใส่ถุงแขวนไวต้ ามมุมบ่อประมาณ 60-100 กิโลกรัม/ไร่ เพื่อเพ่ิมอาหาร ธรรมชาติ 5. เติมน้า 40-50 เซนติเมตร ทิ้งไว้ 3-5 วนั จนน้าเป็นสีเขียว ก่อนปลอ่ ยปลาควรตรวจวดั ความเป็น กรด-ด่างของน้าอีกคร้ังถา้ ไมถ่ ึง 7.5-8.5 ควรน้าปูนขาวละลายน้าสาดใหท้ วั่ บ่อ เพ่ือปรับความเป็น กรด-ด่างใหไ้ ด้ 7.5-8.5 การเตรียมพันธ์ุปลาดุก การเลือกซ้ือลูกปลาดกุ ควรพิจารณาปัจจยั ต่าง ๆ ดงั น้ี 1. แหล่งพนั ธุห์ รือบ่อเพาะฟักควรดูจาก - ความน่าเช่ือถือและไวว้ างใจไดใ้ นเรื่องคณุ ภาพ - มีการคดั เลือกพ่อแม่พนั ธุ์ เพ่ือใหไ้ ดพ้ นั ธุ์ที่มีคุณภาพ - มีความชานาญในการขนส่งลกู ปลา 2. ลกั ษณะภายนอกของลูกปลาตอ้ งปกติสมบูรณ์ ซ่ึงสงั เกตจาก - การวา่ ยน้าตอ้ งปราดเปรียวไม่วา่ ยควงสวา่ นหรือลอยตวั ต้งั ฉากพ้ืนบ่อ - ลาตวั สมบูรณ์หนวดหางครีบไม่กร่อนไม่มีบาดแผลไมม่ ีจุดหรือปุยขาวเกาะ - ขนาดลูกปลาตอ้ งเสมอกนั การปล่อยลูกปลาในบ่อเล้ียง เมื่อขนส่งลูกปลามาถึงบ่อที่เตรียมไวค้ วรแช่ถุงปลาไวใ้ นบ่อ ประมาณ 10-15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิระหว่างน้าในถุงกบั น้าในบ่อเพื่อป้องกนั ลูกปลาช็อค ก่อน ปล่อยลูกปลาควรมีการทาร่มเงาไวใ้ นบ่อให้ลูกปลาได้ใช้เป็ นท่ีอยู่อาศัย อตั ราการปล่อยของ เกษตรกรรายใหม่ควรปล่อยลูกปลาขนาดปลานิ้วจะทาให้อตั ราการรอดสูงอตั ราการปล่อยปลา ขนาด 2-3 เซนติเมตร ปล่อย 80,000-100,000 ตวั /ไร่ ก่อนปล่อยควรสุ่มนบั จานวนเพ่ือตรวจสอบให้ รู้จานวนจริงอาหารและการใหอ้ าหารตน้ ทุนการผลิตปลาประมาณ 80% เป็นค่าอาหารเพราะฉะน้นั การเล้ียงใชอ้ าหารเป็นส่ิงท่ีตอ้ งใหค้ วามสาคญั เป็นพิเศษ การเลือกซื้ออาหารลกั ษณะของอาหาร 1. สีสนั ดี 2. กลิ่นดี ไมเ่ หมน็ หืน 3. ขนาดเมด็ สม่าเสมอ ไม่เป็นฝ่ ุน 4. การลอยตวั ของอาหารในน้าอยไู่ ดน้ าน 5. อาหารไม่เปี ยกช้ืน ไม่จบั ตวั เป็นกอ้ น ไม่ข้ึนรา ประเภทของอาหารสาเร็จรูป 1. อาหารสาหรับลกู ปลาวยั อ่อนใชส้ าหรับลูกปลาขนาด 1–4 เซนติเมตร 2. อาหารปลาดุกเลก็ พิเศษใชส้ าหรับลูกปลาขนาด 3 เซนติเมตรอายแุ รกเกิดถึง 1 เดือน 3. อาหารปลาดุกเลก็ ใชส้ าหรับปลาอายุ 1-3 เดือน
21 4. อาหารปลาดุกใหญ่ใชส้ าหรับปลาอายุ 3 เดือนถึงส่งตลาด วธิ ีการให้อาหารปลา เมื่อปล่อยลูกปลาวนั แรกไม่ตอ้ งใหอ้ าหารจะเร่ิมใหอ้ าหารวนั ถดั ไปอาหารที่ใหเ้ ป็ นอาหารลูกปลาวยั อ่อน พรมน้าแลว้ นวดจนเหนียวป้ันเป็ นกอ้ นแลว้ เสียบกบั ไมป้ ักไวร้ อบบ่อปริมาณที่ใหต้ อ้ งใหป้ ลากินหมด ภายในเวลา 30-60นาทีโดยให้อาหารประมาณ 1สัปดาห์ หลงั จากน้ันอาจจะให้อาหารปลาดุกเล็กพิเศษแช่ น้าใหน้ ิ้มแลว้ ป่ันรวมกบั อาหารลูกปลาวยั อ่อนใหป้ ลากิน เมื่อปลาโตพอกินอาหารเมด็ ไดก้ เ็ ร่ิมใหอ้ าหารปลา ดุกเลก็ พิเศษอยา่ งเดียวหวา่ นใหก้ ินกระจายทว่ั บ่อปริมาณท่ีใหก้ ะหมดภายใน 30 นาที ใหก้ ินจนลูกปลาอายุ 1 เดือน ใหอ้ าหารปลาดุกเล็กโดยใหใ้ นแต่ละม้ือควรให้ปลากินหมดภายใน 30 นาที ช่วงน้ีควรเร่ิมฝึ กให้ปลา กินอาหารเป็นท่ีโดยใหอ้ าหารจุดเดิมประจาปละเคาะหลกั ไมท้ ุกคร้ังเม่ือมีการใหอ้ าหาร การใหอ้ าหารปลาจะ ให้ 2 ม้ือ ต่อวนั ใหอ้ าหารปลาดุกเลก็ จนลูกปลามีอายุ 2 เดือน ใหอ้ าหารปลาดุกใหญ่ปริมาณที่ให้แต่ละม้ือ จะตอ้ งให้ปลากินหมดภายใน 30 นาที โดยให้อาหาร 2 ม้ือ ในกรณีปลาป่ วยหรือกินอาหารลดลงให้ลด ปริมาณอาหารลงคร่ึงหน่ึงของปริมาณท่ีใหป้ กติในกรณีเกิดจากสภาพน้าหรือการเปลี่ยนแปลงของอากาศให้ ปรบั สภาพน้าโดยทาการเปล่ียนถ่ายน้าหรือใส่เกลือหรือปูนขาว ถา้ พบวา่ ปลาที่เกิดจากเช้ือแบคทีเรียให้ผสม ยาปฏิชีวนะ 3-5 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ใหก้ ินติดต่อกนั 7 วนั เช่น อาออกชีเตตร้าซยั คลินถา้ เกิดจากพยาธิ ภายนอกใหร้ ักษาตามลกั ษณะของพยาธิน้นั ๆ เช่น ถา้ พบปลิงใสเห็บระฆงั เกาะจานวนมากหรือเริ่มทยอยตาย ใหใ้ ชฟ้ อร์มาลินเขม้ ขน้ 30-40 ซีซี/น้า 1,000 ลิตร ฉีดพน่ หรือสาดลงในบ่อแช่ทิ้งตลอด (สานกั งานเศรษฐกิจ การเกษตร, 2557) ภาพการเลยี้ งปลาดุก
22 การเลยี้ งปลานิล ปลานิล (Tilapia nilotica ) เป็นปลาน้าจืดชนิดหน่ึงซ่ึงมคี ุณค่าทางเศรษฐกิจนบั ต้งั แต่ปี 2508 เป็นตน้ มา สามารถเล้ียงไดใ้ นทุกสภาพ การเพาะเล้ียงระยะเวลา 1 ปี มีอตั ราการเติบโต ถึงขนาด 500 กรัม รสชาติดีมี ผูน้ ิยมบริโภคกนั อย่างกวา้ งขวาง ส่วนขนาดปลานิลท่ีตลาดตอ้ งการจะมีน้าหนักตวั ละ 200-300 กรัม จาก คุณสมบตั ิของปลานิลซ่ึงเล้ียงง่าย เจริญเติบโตเร็ว แต่ปัจจุบนั ปลานิลพนั ธุ์แทค้ ่อนขา้ งจะหายาก กรมประมง จึงไดด้ าเนินการปรับปรุงพนั ธุ์ปลาใหไ้ ดป้ ลานิลที่มีลกั ษณะสายพนั ธุ์ดี อาทิ การเจริญเติบโต ปริมาณความ ดกของไข่ ผลผลิตและ ความตา้ นทานโรค เป็นตน้ ดงั น้นั ผูเ้ ล้ียงปลานิล จะไดม้ ีความมนั่ ใจในการเล้ียงปลา นิล เพ่อื เพ่ิมผลผลิตสัตวน์ ้าใหเ้ พียงพอต่อการบริโภคต่อไป โดยท่ีปลาชนิดน้ีเป็นปลาจาพวกกินพืช เล้ียงง่าย มีรสดี ออกลูกดก เจริญเติบโตไดร้ วดเร็ว ในเวลา 1 ปี จะมีน้าหนักประมาณคร่ึงกิโลกรัม และมีความยาว ประมาณ 1 ฟุต ปลานิลเป็ นปลาน้าจืดชนิดหน่ึง อยู่ในตระกูลชิคลิดี (Cichlidae) มีถ่ินกาเนิดเดิมอยู่ในทวีป แอฟริกา พบทวั่ ไปตามหนอง บึง และทะเล สาบ ในประเทศซูดาน ยกู นั ดา แทนแกนยีกา โดยที่ปลาชนิดน้ี เจริญเติบโตเร็วและเล้ียงง่าย เหมาะสมที่จะนามาเพาะเล้ียงในบ่อไดเ้ ป็นอยา่ งดีจึงไดร้ ับความ นิยมและเล้ียง กัน ปลานิลมีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็ นฝูง (ยกเว้นเวลาสืบพันธุ์) มีความอดทนและปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดลอ้ มไดด้ ี จากการศึกษาพบวา่ ปลานิลทนต่อความเคม็ ไดถ้ ึง 20 ส่วนในหน่ึงพนั ทนต่อค่าความเป็ น กรด-ด่าง (pH) ไดด้ ีในช่วง 6.5-8.3 และสามารถทนต่ออุณหภูมิไดถ้ ึง 40 องศาเซลเซียส แต่ในอุณหภูมิท่ีต่า กว่า 10 องศาเซลเซียส พบวา่ ปลานิลปรับตวั และเจริญเติบโตไดไ้ ม่ดีนกั ท้งั น้ีเป็ นเพราะถิ่นกาเนิดเดิมของ ปลาชนิดน้ี อยใู่ นเขตรอ้ น การสืบพนั ธ์ุ การผสมพนั ธุ์และวางไข่ ปลานิลสามารถผสมพนั ธุ์ไดต้ ลอดปี โดยใชเ้ วลา 2-3 เดือน/คร้ัง แต่ถา้ อาหารเพียงพอและเหมาะสมใน ระยะเวลา 1 ปี จะผสมพนั ธุ์ได้ 5-6 คร้งั ขนาดอายแุ ละช่วงการสืบพนั ธุ์ของ ปลาแต่ละตวั จะแตกต่างกนั ไปตามสภาพแวดลอ้ ม และสภาพทางสรีรวิทยาของปลา การวิวฒั นาการของรัง ไข่และถุงน้าเช้ือของปลานิลพบวา่ ปลานิลจะมีไข่และน้าเช้ือเม่ือมีความยาว 6.5 เซนติเมตร โดยปกติปลานิล ที่ยงั โตไม่ไดข้ นาดผสมพนั ธุ์ หรือสภาพแวดลอ้ มไม่เหมาะสม เพ่ือการวางไข่ ปลาจะรวมกนั อยู่เป็ นฝูง แต่ ภายหลงั ท่ีปลามีขนาดท่ีจะสืบพนั ธุ์ได้ ปลาตวั ผูจ้ ะแยกออกจากฝูงแลว้ เร่ิมสร้าง รังโดยเลือกเอาบริเวณเชิง ลาดหรือกน้ บ่อที่มีระดบั น้าลึกระหว่าง 0.5-1 เมตร ตวั เมียจะวางไข่คร้ังละ 10-15 ฟอง ปริมาณไข่ที่วาง รวมกนั แต่ละคร้ังมีประมาณ 50-600 ฟอง ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ขนาดของแม่ปลาเม่ือปลาวางไข่แต่ละคร้ังปลาตวั ผู้ จะวา่ ยน้าไปเหนือไข่พร้อมกบั ปล่อยน้าเช้ือลงไปทาเช่นน้ีจนกว่าการผสมพนั ธุ์แลว้ เสร็จโดยใชเ้ วลา 1-2 ชว่ั โมง ปลาตวั เมียเก็บไข่ท่ีไดร้ ับการผสมแลว้ อมไวใ้ นปากและว่ายออกจากรัง ส่วนปลาตวั ผูก้ ็จะคอยหา โอกาส เคลา้ เคลียกบั ปลาตวั เมียอ่ืน ต่อไป
23 การเพาะพนั ธ์ุปลานิล การเพาะพนั ธุ์ปลานิลให้ไดผ้ ลดีและมีประสิทธิภาพ ตอ้ งไดร้ ับการเอาใจใส่และมีการปฏิบตั ิในดา้ น ต่างๆ เช่น การเตรียมบ่อการเล้ียงพ่อแม่พนั ธุ์ การตรวจสอบลูกปลา และการอนุบาลลูกปลา สาหรับการเพาะ ปลานิลอาจทาไดท้ ้งั ในบอ่ ดินและบ่อปูนซีเมนต์ หรือกระชงั ไนลอ่ นตาถ่ี ดงั วธิ ีการต่อไปน้ี 1. การเตรียมบ่อเพาะพนั ธ์ุ บ่อดิน บ่อเพาะปลานิลควรเป็นบ่อรูปสี่เหล่ียมผืนผา้ มีเน้ือที่ต้งั แต่ 50-1600 ตารางเมตร สามารถเก็บ กกั น้าไดร้ ะดบั สูง 1 เมตร บ่อควรมีเชิงลาดตามความเหมาะสมเพ่ือป้องกนั ดินพงั ทลายและมีชานบ่อกวา้ ง 1- 2 เมตร ถา้ เป็ นบ่อเก่าก็ควรวิดน้าและสาดเลนข้ึนตกแต่งภายในบ่อให้ดินแน่นใส่โล่ต๊ินกาจดั ศตั รูของปลา อตั ราส่วนใชโ้ ล่ต๊ินแห้ง 1 กิโลกรัม/ปริมาตรของน้า 100 ลูกบาศกเ์ มตร โรยปูนขาวให้ทวั่ บ่อ 1 กิโลกรัม/ พ้นื ท่ีบ่อ 10 ตารางเมตร ใส่ป๋ ุยคอกแหง้ 300 กิโลกรมั /ไร่ ตากบอ่ ทิ้งไวป้ ระมาณ 2-3 วนั จึงเปิ ดหรือสูบน้าเขา้ บ่อผา่ นผา้ กรองหรือตะแกรงตาถ่ีใหม้ ีระดบั สูงประมาณ 1 เมตร การใชบ้ ่อดินเพาะปลานิล จะมปี ระสิทธิภาพ ดีกว่าวิธีอื่น เพราะเป็นบ่อที่มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงตามธรรมชาติ และการผลิตลูกปลานิลจากบ่อดินจะไดผ้ ล ผลิตสูง ตน้ ทุนต่ากวา่ วิธีอื่น บ่อปูนซีเมนต์ กส็ ามารถใชผ้ ลิตลูกปลานิลได้ รูปร่างของบ่อจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผา้ หรือรูปกลมก็ได้ มีความลึกประมาณ 1 เมตร พ้ืนท่ีผิวน้า ต้งั แต่ 10 ตารางเมตร ข้ึนทาความสะอาดบ่อและเติมน้าที่กรองดว้ ยผา้ ไนล่อนหรือมุง้ ลวดตาถี่ ใหม้ ีระดบั น้าสูงประมาณ 80 เซนติเมตร ถา้ ใชเ้ ครื่องเป่ าลมช่วยเพ่ิม ออกซิเจนในน้า จะทาใหก้ ารเพาะปลานิลดว้ ยวธิ ีน้ีไดผ้ ลมากข้ึน อน่ึง การเพาะปลานิลดว้ ยบ่อซีเมนต์ ถา้ จะใหไ้ ดล้ ูกปลามาก กต็ อ้ งใชบ้ ่อขนาดใหญ่ ซ่ึงตอ้ งเสีย ค่าใชจ้ ่ายในการลงทุนสูง กระชงั ไนล่อนตาถี่ ขนาดของกระชงั ท่ีใชป้ ระมาณ 5x8x2 เมตร วางกระชงั ในบ่อดินหรือในหนองบึง อ่าง เกบ็ น้า ใหพ้ ้ืนกระชงั อยู่ ต่ากวา่ ระดบั น้า ประ มาณ 1 เมตร ใชห้ ลกั ไม้ 4 หลกั ผูกตรงมุม 4 มุม ยึดปากและ พ้ืนกระชงั ให้แน่น เพื่อใหก้ ระชังขึงตึง การเพาะปลานิลดว้ ยวิธีน้ีมีความ เหมาะสมท่ีจะใชผ้ ลิตลูกปลาใน กรณีซ่ึงเกษตรกรไม่มีพ้ืนที่ดินก็สามารถจะเล้ียงปลาได้ เช่น เล้ียงในอ่างเกบ็ น้าหนองบึงและลาน้าต่างๆ เป็น ตน้ 2. การให้อาหารและป๋ ยุ ในบ่อเพาะพนั ธ์ุ การเล้ียงปลานิลมีความจาเป็ นที่จะตอ้ งใหอ้ าหารสมทบหรืออาหารผสม ไดแ้ ก่ ปลายขา้ ว สาหร่าย ราละเอียดในอตั ราส่วน 1:2:3 โดยให้อาหารดงั กล่าวแก่พ่อแม่ปลานิลประมาณ 2% ของน้าหนกั ตวั ท้งั น้ี เพ่ือให้ปลานิลใช้เป็ นพลังงาน ซ่ึงต้องใช้มากกว่าในช่วงการผสมพันธุ์ส่วนป๋ ุยคอกแห้งก็ ต้องใส่ใน อตั ราส่วนประมาณ 100-200 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ท้งั น้ีเพื่อเพ่ิมพูนอาหารธรรมชาติในบ่อไดแ้ ก่ พืชน้าขนาด เลก็ ๆ ไร่น้าและตวั อ่อน อนั จะเป็นประโยชน์ ต่อลูกปลานิลวยั อ่อนที่หลงั จากถุงอาหารยบุ ตวั ลง และจะตอ้ ง ดารงชีวิตอยใู่ นบ่อเพาะดงั กล่าวประมาณ 1 สปั ดาห์ ก่อนท่ีจะยา้ ยไปเล้ียงในบ่ออนุบาล ถา้ ในบ่อ ขาดอาหาร ธรรมชาติดงั กล่าวผลผลิตลูกปลานิลจะไดน้ อ้ ย เพราะขาดอาหารที่จาเป็นเบ้ืองตน้ หลงั จากถุงอาหารไดย้ ุบตวั ลงใหมๆ่ ก่อนท่ีลูกปลานิลจะสามารถกินอาหารสมทบอื่นๆ ได้ อาหารสมทบที่หาไดง้ ่ายคือ ราขา้ ว ซ่ึงควร
24 ปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งข้ึนโดยใช้ปลาป่ น กากถวั่ และวิตามินเป็ นส่วนผสม นอกจากน้ีแหนเป็ ดและ สาหร่ายหลายชนิดก็สามารถจะใชเ้ ป็ นอาหารเสริมแก่พ่อแม่ปลานิลไดเ้ ป็ นอย่างดี ในกรณีท่ีใช้กระชังไน ลอ่ นตาถี่เพาะพนั ธุ์ปลานิลกค็ วรให้ อาหาร สมทบแก่พ่อแม่ปลาอยา่ งเดียว 3. การอนุบาลลูกปลานิล บ่อดินควรมีขนาดประมาณ 200 ตารางเมตร ถา้ เป็นบ่อรูปส่ีเหล่ียมผืนผา้ จะสะดวกในการจบั ยา้ ยลูก ปลา น้าในบ่อควรมีระดบั ความลึกประมาณ 1 เมตร บ่ออนุบาลปลานิลควรเตรียมไวใ้ ห้มีจานวนมากพอ เพื่อใหเ้ ล้ียงลูกปลาขนาดเดียวกนั ที่ยา้ ยมาจากบ่อเพาะการเตรียมบ่ออนุบาลควรจดั การล่วงหนา้ ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่นาลูกปลูกมาเล้ียง การเตรียมบ่ออนุบาลน้นั ปฏิบตั ิวิธีเดียวกนั กบั การเตรียมบ่อท่ีใชเ้ พาะปลา นิล บ่อขนาดดงั กล่าวน้ีจะใช้ อนุบาลลูกปลานิลขนาด 1-2 เซนติเมตร ไดค้ ร้ังละประมาณ 50,000 ตวั การ อนุบาลลูกปลานิล นอกจากใชป้ ๋ ุยเพาะอาหารธรรมชาติแลว้ จาเป็นตอ้ งใชอ้ าหารสมทบ เช่น ราละเอียด กาก ถว่ั อีกวนั ละ 2 คร้ัง พรอ้ มท้งั สงั เกตความอดุ มสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติ จากสีของน้าซ่ึงมีสีออ่ น หรือจะ ใช้ถุงลากแพลงก์ตอนตรวจ ดูปริมาณของไรน้าก็ได้ ถา้ มีปริมาณนอ้ ยก็ควรเติมป๋ ุยคอกลงเสริมในช่วง ระยะเวลา 5-6 สปั ดาห์ ลูกปลาจะโตมีขนาด 3-5 เซนติเมตร ซ่ึงเป็นขนาดท่ีเหมาะสมจะนาไปเล้ียงเป็ นปลา ขนาดใหญ่ บ่อซีเมนตเ์ ป็นบ่ออนุบาลลูกปลานิลและบ่อเพาะปลานิลจะใชข้ นาดเดียวกนั ก็ได้ ซ่ึงจะสามารถ ใชบ้ ่ออนุบาลลูกปลาวยั ออ่ นไดต้ ารางเมตรละประมาณ 300 ตวั ในเวลา 4-6 สปั ดาห์ โดยใชเ้ ครื่องเป่ าลมช่วย และเปลี่ยนถ่ายน้าประมาณ คร่ึงบ่อสัปดาห์ละคร้ังใหอ้ าหารสมทบวนั ละ 3 เวลา เมื่อลูกปลาที่เล้ียงโตข้ึนมี ขนาด 3-5 เซนติเมตร สาหรับกระชงั ไนล่อนตาถ่ีขนาด 3x3x2 เมตร ซ่ึงสามารถจะใชอ้ นุบาลลูกปลาวยั อ่อน ไดจ้ านวนคร้ังละ 3,000-5000 ตวั โดยใหไ้ ข่แดงตม้ บดใหล้ ะเอียดวนั ละ 3-4 คร้ัง หลงั จากถุงอาหารของลูก ปลายบุ ตวั ลงใหม่ๆ เป็นเวลาประมาณ 1 สปั ดาห์ หลงั จากน้นั จึงให้ราละเอียด 3 ส่วน ผสมกบั ปลาป่ นบดให้ ละเอียดอตั รา 1 ส่วนติดต่อกนั เป็ นระยะเวลาประมาณ 4-5 สปั ดาห์ ลูกปลาจะโตข้ึนมีขนาด 3-5 เซนติเมตร ซ่ึงสามารถนาไปเล้ียงให้เป็ นปลาขนาดใหญ่หรือจาหน่าย การอนุบาลลูกปลานิลอาจจะใชบ้ ่อเพาะพนั ธุ์ อนุบาลเลยก็ไดเ้ พ่ือเป็นการประหยดั การเล้ียงปลานิลร่วมกบั ปลาชนิดอ่ืน เช่น ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลา จีน ฯลฯ เพ่ือใช้ประโยชน์จากอาหาร หรือเล้ียงร่วมกับปลากิน เน้ือเพื่อกาจัดลูกปลาท่ีไม่ต้องการ ขณะเดียวกนั จะไดป้ ลากินเน้ือเป็ นผลพลอยได้ เช่น การเล้ียงปลานิลร่วมกบั ปลากราย และการเล้ียงปลานิล ร่วมกบั ปลาช่อน ข้นั ตอนการเลยี้ งปลานิลในบ่อดนิ 1. กาจดั วชั พืช และพนั ธุ์ไมน้ ้าต่าง ๆ เช่น กก หญา้ ผกั ตบชวาใหห้ มด โดยนามากองสุมไวแ้ หง้ แลว้ นามาใชเ้ ป็ นป๋ ุยหมกั ในขณะที่ปล่อย ปลาลงเล้ียง ถา้ ในบ่อเก่ามีเลนมากจาเป็ นตอ้ งสาดเลนข้ึนโดยนาไป เสริมคนั ดินท่ีชารุด หรือใชเ้ ป็ นป๋ ุยแก่พืช ผกั ผลไม้ บริเวณใกลเ้ คียงพร้อมท้งั ตกแต่งเชิง ลาดและคนั ดินให้ แน่นดว้ ย 2. กาจดั ศตั รู ศตั รูของปลานิล ไดแ้ ก่ ปลาจาพวกกินเน้ือ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาหมอ ปลาดุก นอกจากน้ีก็มีสตั วจ์ าพวก กบ เขียด งู เป็นตน้ ดงั น้นั ก่อนท่ีจะปล่อยปลานิลลงเล้ียงจึงจาเป็นตอ้ ง กาจดั ศตั รู
25 ดงั กล่าวเสียก่อนโดยวิธีระบายน้าออกใหเ้ หลือนอ้ ยที่สุด การกาจดั ศตั รูของปลาอาจใช้ โล่ต๊ินสดหรือแห้ง ประมาณ 1 กิโลกรัม ปริมาณของน้าในบ่อ 100 ลูกบาศกเ์ มตร คือทุบหรือบดโล่ติ๊นใหล้ ะเอียด นาลงแช่น้า ประมาณ 1-2 ป๊ี บ ขยาโล่ต๊ินเพ่ือ ใหน้ ้าสีขาวออกมาหลาย ๆ คร้งั จนหมดนาไปสาดใหท้ ว่ั บ่อศตั รูพวกปลาจะ ลอยหวั ข้ึนมาภายหลงั โล่ติ๊น ประมาณ 30 นาที ใชส้ วิงจบั ข้ึนมาใชบ้ ริโภคไดท้ ่ี เหลือ ตายพ้ืนบ่อจะลอยใน วนั รุ่งข้ึน ส่วนศตั รูจาพวกกบเขียดงู จะหนีออกจากบ่อไป และก่อนปล่อยปลาลงเล้ียงควรจะทิ้งระยะไว้ ประมาณ 7 วนั เพื่อใหฤ้ ทธ์ิ ของโลต่ ๊ินสลายตวั ไปหมดเสียก่อน 3. การใส่ป๋ ุย โดยปกติแลว้ อปุ นิสยั ในการกินอาหารของปลานิลจะกินอาหารจาพวกแพลงกต์ อนพืช และสัตว์ เศษวสั ดุเน่าเปื่ อยตามพ้ืนบ่อ แหน สาหร่าย ฯลฯ ดงั น้นั ในบ่อเล้ียงปลาควรใหอ้ าหารธรรมชาติ ดงั กลา่ วเกิดข้ึนอยเู่ สมอ จึงจาเป็ นตอ้ งใส่ป๋ ุยลงไปเพ่ือละลายเป็นธาตุอาหาร ซ่ึงพืชน้าขนาด เลก็ จาเป็นใชใ้ น การปรุงอาหารและเจริญเติบโตโดยกระบวนการสังเคราะห์แสง ซ่ึงเป็นโซ่อาหาร อนั ดบั ต่อไป คือ แพลงก์ ตอนสัตว์ ไดแ้ ก่ ไรน้า และตวั อ่อน ของแมลง ป๋ ุยท่ีใชไ้ ดแ้ ก่มูลววั ควาย หมู เป็ด ไก่ นอกจากป๋ ุยท่ีไดจ้ ากมูล สัตวแ์ ลว้ ก็อาจใชป้ ๋ ุยหมกั จาพวกหญา้ และฟางขา้ วป๋ ุยพืชสดต่างๆ ไดเ้ ช่นเดียวกนั อตั ราส่วนการใส่ป๋ ุยคอก ในระยะแรก ควรใส่ประมาณ 250-300 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ส่วนในระยะหลงั ควรลดลงเพียงคร่ึงหน่ึงหรือ สังเกตจากสีของน้าในบ่อ ถา้ ยงั มีสีเขียวอ่อนแสดงว่ามีอาหารธรรมชาติเพียงพอ ถา้ น้าใสปราศจากอาหาร ธรรมชาติก็เพ่ิมอตั ราส่วนใหม้ ากข้ึน และในกรณีที่หาป๋ ุยคอก ไม่ไดก้ ็อาจใชป้ ๋ ุยวิทยาศาสตร์ สูตร 15:15:15 ใส่ประมาณ 5 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ก็ได้ วิธีใส่ป๋ ุยถา้ เป็นป๋ ุยคอกควรตากบ่อให้แหง้ เสียก่อนเพราะป๋ ุยสดจะทา ใหน้ ้ามีแก๊สจาพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ามากเป็นอนั ตรายต่อปลา การใส่ป๋ ุยคอกใชว้ ิธีหว่านลงไปใน บ่อให้ละลายน้าทว่ั ๆ บ่อ ส่วนป๋ ุยหมกั หรือป๋ ุยสดน้ันควร กองสุมไวต้ ามมุมบ่อ 2-3 แห่ง โดยมีไมป้ ักลอ้ ม เป็นคอกรอบกองป๋ ุยเพอ่ื ป้องกนั มิใหส้ ่วนท่ียงั ไม่สลายตวั กระจดั กระจาย 4. อตั ราปล่อยปลาเล้ียง ในบ่อดินข้ึนอยู่กบั คุณภาพน้า อาหาร และการจดั การเป็นสาคญั โดยทว่ั ไป จะปลอ่ ยลกู ปลาขนาด 3-5 เซนติเมตร ลงเล้ียงในอตั รา 1-3 ตวั /ตารางเมตร หรือ 2,000-5000 ตวั /ไร่ 5. การใหอ้ าหาร การใส่ป๋ ุยเป็ นการให้อาหารแก่ปลานิลท่ีสาคญั มากวิธีหน่ึง เพราะจะไดอ้ าหาร ธรรมชาติท่ีมีโปรตีนสูงและราคาถูกแต่เพ่ือ เป็ นการเร่งให้ปลาที่เล้ียงเจริญเติบโตเร็วข้ึนหรือถูกตอ้ งตาม หลกั วิชาการ จึงควรให้อาหารจาพวกคาร์โบไฮเดรทเป็นอาหารสมบทดว้ ย เช่น รา ปลายขา้ ว กากมะพร้าว มนั สาปะหลงั หน่ั ตม้ ใหส้ ุกและเศษเหลือของอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น กากถวั่ เหลืองจากโรงทาเตา้ หูก้ ากถว่ั ลิสง อาหารผสมซ่ึงมีปลาป่ น ราขา้ ว ปลายขา้ วมีจานวนโปรตีนประมาณ 20% เศษอาหารที่เหลือจากโรงครัว หรือภตั ตาคาร อาหารประเภทพืชผกั เช่น แหนเป็ด สาหร่าย ผกั ตบชวาสบั ใหล้ ะเอียด เป็นตน้ อาหารสมทบ เหล่าน้ีควรเลือกชนิดท่ีมีราคาถูกและหาไดส้ ะดวก ส่วนปริมาณที่ใหก้ ไ็ ม่ควรเกิน 4% ของน้าหนกั ปลาที่เล้ียง หรือจะใชว้ ิธีสังเกตจาก ปลาที่ข้ึนมากินอาหารจากจุดท่ีใหเ้ ป็ นประจาคือ ถา้ ยงั มีปลานิลรวมตวั อยู่มากเพื่อรอ กินอาหารกเ็ พ่ิมจานวนอาหารมากข้ึนตามลาดบั ทุก 1-2 สปั ดาห์ ในการให้ อาหารสมทบมีขอ้ พึงควรระวงั คือ ถา้ ปลากินไม่หมด อาหารจมพ้ืนบ่อ หรือละลายน้ามากกจ็ ะทาใหเ้ กิดความเสียหายข้ึนหลายประการ เช่น เสีย
26 ค่าใชจ้ ่ายไป โดยเปล่าประโยชน์ ทาใหน้ ้าเน่าเสียเป็ นอนั ตรายต่อปลาท่ีเล้ียง และหรือตอ้ งเพ่ิมค่าใชจ้ ่ายใน การสูบถ่าย เปล่ียนน้าบ่อยๆ เป็นตน้ (กรมประมง, 2559) ภาพการเลยี้ งปลานิล การเลยี้ งปลาสวาย ปลาสวายเป็ นปลาน้าจืดขนาดใหญ่ซ่ึงพบเห็นอยู่ทั่วไปท้ังในประเทศไทย เขมร และเวียดนาม สาหรับประเทศไทยมีผนู้ ิยมเล้ียงปลาสวายท้งั ในบ่อและในกระชงั จงั หวดั ท่ีเล้ียงปลาสวายในกระชงั กนั อยา่ ง แพร่หลาย ไดแ้ ก่ จงั หวดั อุทยั ธานี และนครสวรรค์ นบั วา่ เป็ นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจท่ีสาคญั ชนิดหน่ึง เพราะเน้ือมีรสดี มีปริมาณมากสามารถปรุงแต่งเป็นอาหารไดห้ ลายแบบหลายรส ลกั ษณะเพศและการแพร่ขยายพนั ธ์ุ ลกั ษณะเพศ ปลาสวายตวั ผูม้ ีทอ้ งเรียบไม่นูน พ้ืนทอ้ งแข็งกวา่ ตวั เมีย ลกั ษณะช่องเพศเป็ นรูปวงรี แคบเลก็ มีสีแดงอ่อน เม่ือใชม้ ือบีบท่ีช่องเพศเบา ๆ จะมีน้าเช้ือสีขาวไหลออกมาใหเ้ ห็นไดช้ ดั ส่วนตวั เมียมี ลกั ษณะที่พอจะสังเกตไดช้ ดั คือบริเวณส่วนทอ้ งอูมเป่ ง กลมนูนออกมาเห็นไดถ้ นดั พ้ืนทอ้ งมีผิวเนียนน่ิม ลกั ษณะของช่องเพศ เป็ นรูปรีมีขนาดกวา้ งใหญ่กว่าของตวั ผู้ นอกจากน้ันตรงบริเวณช่องเพศยงั มีลกั ษณะ พองโป่ งปรากฏเป็นสีแดงเขม้ ฤดูและแหล่งวางไข่ ปลาสวายจะวางไข่ตามแหล่งน้าธรรมชาติในบริเวณที่มี น้าท่วมในฤดูน้ามาก ซ่ึงอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ไข่ปลาสวายจะฟักออกเป็ นตัวใน ระยะเวลา 27-33 ชวั่ โมงหลงั จากวางไข่ที่อุณหภูมิ 28-31 องศาเซลเซียส จากการสอบถามผูท้ ี่ไดเ้ คยทาการ ทดลองเล้ียงปลาสวายในกระชงั และไดท้ ดลองเล้ียงในบ่อ ปรากฏวา่ ท้งั ปลาสวายและปลาเทโพจะไม่วางไข่ แพร่พนั ธุ์ในบ่อหรือในกระชงั ท่ีเล้ียงไวเ้ ลย อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ ปลาสวายจะไม่วางไข่ในบ่อและในกระชัง แต่ก็มีผูน้ ิยมเล้ียงปลาสวายในบ่อและในกระชังกันมาก ท้งั น้ีเพราะเป็ นปลาท่ีเล้ียงง่าย กินง่าย โตเร็ว มี น้าหนกั มาก เน้ือมีรสอร่อย และในทอ้ งตลาดจะมีผูร้ ับซ้ือในราคาท่ีดีพอสมควร จะตอ้ งซ้ือหาลูกปลาสวาย ขนาดเลก็ ประมาณ 5-12 เซนติเมตร มาจากแหล่งขายลูกปลา ลูกปลาสวายท่ีนามาจาหน่าย ส่วนมากจะไดม้ า
27 จากแหล่งต่างๆ ในลุ่มน้าภาคกลาง เช่น ในทอ้ งที่จังหวดั พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี อุทยั ธานี อ่างทอง นครสวรรคแ์ ละพิษณุโลก การเลยี้ งปลาสวายในบ่อ การเล้ียงปลาสวายควรจะพิจารณาและปฏิบตั ิดงั ต่อไปน้ี 1. บ่อ เน่ืองจากปลาสวายเป็ นปลาท่ีมีขนาดใหญ่ ศตั รูท่ีเป็ นพวกปลาด้วยกันจึงมีน้อย เพราะ ส่วนมากปลาอื่น ๆ ท่ีมีอายไุ ล่เล่ียกนั จะมีขนาดของลาตวั เล็กกว่า ไม่อาจทาอนั ตรายปลาสวายได้ บ่อเล้ียง ปลาสวาย ควรเป็นบ่อขนาดใหญ่ มีระดบั น้าลึกประมาณ 2 เมตร ทาเลของบ่อเล้ียงควรใหอ้ ยู่ใกลห้ รือติดกบั แม่น้าลาคลอง หรือย่ใู นท่ีซ่ึงมีทางน้าไหลถ่ายเทไดใ้ นบางโอกาส เมื่อน้าเสียจะไดถ้ ่ายเทน้าไดส้ ะดวก บ่อ เล้ียงปลาสวายไม่จาเป็ นต้องมีชานบ่อ เพราะปลาสวยไม่วางไข่ในที่ต้ืนแต่ควรจะทาขอบบ่อให้เทลาด เล็กนอ้ ย และมีชานคอยรับคนั ดินขอบบ่อไว้ มิให้ดินพงั ทลายลง ซ่ึงจะเป็นเหตุทาให้บ่อต้ืนเขิน อยา่ งไรก็ ตามคนั ดินขอบบ่อน้นั จะไม่มีเลยกไ็ ดบ้ ่อที่ติดต่อกบั ทางน้าอ่ืนๆ ไดค้ วรสรา้ งบานประตูสอดตะแกรง เพ่ือให้ น้าไหลถ่ายเทไดส้ ะดวก บานประตูน้ีควรกวา้ งไม่นอ้ ยกว่าช่องละ 1 เมตร ส่วนบานตะแกรงที่สอดกบั บาน ประตูควรทาดว้ ยไมไ้ ผ่สานที่แน่นหนาแขง็ แรงบานตะแกรงที่ใชค้ วรมีตาตะแกรงขนาดเลก็ เพื่อป้องกนั มิให้ ลูกปลาเลด็ ลอดหนีออกไป และเป็นการป้องกนั ศตั รู คือปลาที่ใหญ่กวา่ มิใหเ้ ขา้ มาในบ่อ เมื่อปลาท่ีเล้ียงไวม้ ี ขนาดโตข้ึนแลว้ ควรเปล่ียนบานตะแกรงใหม่ให้ขนาดของตาตะแกรงใหญ่ข้ึน ปลาอื่นๆ ท่ีอาจจะลอดตา ตะแกรงเขา้ มาในบ่อในระยะน้ีนอกจากจะเป็ นอาหารของปลาสวายแลว้ ผูเ้ ล้ียงยงั อาจจะจบั ข้ึนมาจาหน่าย พร้อมปลาสวายไดอ้ ีกดว้ ย เพราะปลาอื่น ๆ ที่เขา้ มาอาศยั ต้งั แต่มีขนาดตวั เลก็ ๆ เช่น ปลาตะเพียนหรือปลาดุก ฯลฯ จะเจริญเติบโตไปพร้อมๆ กบั ปลาสวายท่ีเล้ียงไว้ 2. น้า น้าที่จะใชเ้ ล้ียงปลาสวายจะตอ้ งเป็ นน้าที่จืดสนิท ถา้ เป็ นน้ากร่อยหรือมีรสเฝื่ อน ปลาจะไม่ เติบโตเท่าท่ีควร 3. พนั ธ์ุปลา การเลือกพนั ธุ์ปลาที่จะนามาเพาะเล้ียง ควรคดั ปลาท่ีไม่มีแผล ตาไมบ่ อด ไม่เป็นปลาที่ แคระพิการ ปลาท่ีมีแผลน้นั หากปล่อยลงเล้ียงอาจจะทาใหเ้ กิดเช้ือโรคระบาดติดต่อตวั อ่ืนๆ ได้ ส่วนปลาที่ ตาบอด (สังเกตตรงตามีจุดฝ้าขาว) กจ็ ะมองไม่เห็นอาหารที่ผูเ้ ล้ียงให้ ปลาจะไดก้ ินบา้ ง ไม่ไดก้ ินบา้ ง ทาให้ ไม่เจริญเติบโต และอาจเจบ็ ตาย อีกประการหน่ึงคือ การคดั พนั ธุ์ปลาลงเล้ียงในบ่อตอ้ งคดั ปลาท่ีมีขนาดโต ไลเ่ ล่ียกนั ปลอ่ ยลงเล้ียงในบ่อเดียวกนั เพราะหากปลามีขนาดตวั แตกต่างกนั มาก ปลาท่ีมีขนาดโตกวา่ จะแย่ง กินอาหารจากปลาตัวเล็กเสมอ อน่ึง การเล้ียงปลาสวายในบ่อน้ี ผูเ้ ล้ียงสามารถท่ีจะเล้ียงปลาดุกในบ่อ เดียวกนั กบั ปลาสวายได้ เพราะไม่มีอนั ตรายต่อกนั อกจากน้ีปลาดุกยงั ช่วยกินเศษอาหารท่ีเหลือจากปลา สวายไดอ้ ีกดว้ ย แต่การเล้ยี งปลาดุกปนกบั ปลาสวาย จะตอ้ งกาหนดอตั รา คือปลาดุก 1 ตวั ต่อปลาสวาย 2 ตวั 4. อัตราการปล่อยปลา การเล้ียงปลาสวายในบ่อ ควรปล่อยปลาสวายอตั รา 1 ตวั ต่อเน้ือท่ีผิวน้า 1 ตารางเมตร
28 5. อาหาร ปลาสวายเป็นปลาท่ีไม่เลือกอาหาร กินอาหารง่าย กินไดท้ ้งั เน้ือสัตวแ์ ละพืชผกั จากการ สงั เกตของผเู้ ล้ียงหลายราย ปรากฏวา่ ปลาสวายชอบกินอาหารพวกเน้ือสตั วม์ ากวา่ พืชผกั อาหารท่ีวา่ น้ี ไดแ้ ก่ พวกปลาเล็กๆ เช่น ปลาสร้อย หรือปลาไส้ตนั ท้งั สดและท่ีตายแลว้ โดยวิธีสับหรือบดให้ละเอียดเสียก่อน นอกจากน้ี ปลาสวายยงั ชอบกินพวกราผสมปนกบั ผกั บุง้ อีกดว้ ย ชนิดอาหารของปลาสวายแยกไดด้ งั น้ี คือ (1) อาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อเล้ียงซ่ึงได้แก่ พวกพืชและสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ในน้าเช่น ตะไคร่น้า แหน ตวั ออ่ นของแมลง ตวั แมลงเลก็ ๆ ลกู หอย ไสเ้ ดือน หนอน เป็นตน้ (2) อาหารสมทบที่ควรใหเ้ พ่ิมเติมเนื่องจากอาหารธรรมชาติซ่ึงมีอยใู่ นบ่อไม่เพียงพอกบั จานวนปลา ท่ีเล้ียง และปลาเองก็เจริญเติบโตข้ึนเรื่อยๆ อตั ราการกินอาหารแต่ละตวั ก็เพิ่มข้ึน ฉะน้นั จึงจาเป็ นตอ้ งให้ อาหารสมทบเพ่ิมเติม เพอ่ื การเร่งใหป้ ลามีอตั ราการเจริญเติบโตเร็วข้ึนอาหารสมทบ ไดแ้ ก่ - พวกผกั ต่างๆ และแหนไดแ้ ก่ ผกั บุง้ ผกั กาดและเศษผกั ต่างๆ ใชโ้ ปรยใหก้ ินสดๆ ไมค่ วรตม้ ใหส้ ุก - ใบแค สบั ใหล้ ะเอียดแลว้ โปรยใหก้ ินสดๆ - รา ใชค้ ลุกปนกบั น้าขา้ วท่ีเยน็ แลว้ หรือจะปนกบั ผกั และปลาป่ นไดก้ ย็ งิ่ ดี คลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั ดีและ ป้ันเป็นกอ้ นแลว้ โยนใหก้ ิน - ปลายขา้ ว ใชต้ ม้ แลว้ ปนกบั ผกั หรือปลาป่ นกไ็ ด้ แต่ผกั และปลาป่ นน้นั ไม่ตอ้ งตม้ ป้ันเป็นกอ้ นโยน ใหก้ ิน - กากถวั่ เหลือง ทาใหล้ ะเอียดผสมกบั ราโปรยใหก้ ินดิบๆ - กากมะพร้าวโปรยใหก้ ินดิบๆ หรือจะคว่ั เก็บไวใ้ ชม้ ้ืออื่นที่ขาดแคลนอาหาร - เศษเน้ือสตั วต์ ดั เป็นชิ้นเลก็ ๆ แลว้ โยนใหก้ ินดิบๆ - พวกหอยตา่ งๆ ทุบเปลือกแลว้ แกะเอาแต่เน้ือใหก้ ินสดๆ - ปลาต่างๆ ถา้ เป็นปลาใหญ่ แกะเน้ือปลาสบั เป็นชิ้นๆ แต่ถา้ เป็นปลาเลก็ เช่น ปลาสร้อย ปลาแปบ ปลาซิว ก็ใหท้ ้งั ตวั (ระยะท่ีปลาสวายมีขนาดตวั โตข้ึนมากแลว้ ) ถา้ ยงั เป็ นระยะที่ปลาสวายยงั ตวั เล็กๆ หรือ ช่วงที่เร่ิมปล่อยลงเล้ียงแรกๆ น้นั อาหารพวกเน้ือปลาเหล่าน้ีตอ้ งสับหรือบดใหล้ ะเอียดพวกอาหารสมทบ ดงั ท่ีกล่าวมาแลว้ น้ี ไม่ควรนาไปตม้ หรือทาใหส้ ุกเพราะการตม้ หรือทาใหส้ ุกน้นั เป็นการทาลายคุณค่าทาง อาหารให้ลดนอ้ ยลงไปโดยใช่เหตุวิธีการให้อาหาร การให้อาหารปลาสวายควรใหเ้ ป็ นเวลา เพ่ือปลาจะได้ เคยชินและเชื่องเร็วข้ึน ควรใหอ้ าหารวนั ละ 2 คร้ัง ในเวลาเชา้ และเวลาเยน็ อาหารท่ีใหแ้ ต่ละม้ือ ตอ้ งสงั เกต วา่ เพียงพอหรือไม่ ควรสังเกตอาการฮุบอาหารของปลา ถา้ โยนอาหารลงไปตอนหลงั ๆ พบว่าปลาไม่โผล่ ข้ึนมาฮุบอีก ก็แสดงวา่ ปลาสวายเริ่มอิ่ม ไม่ตอ้ งใหอ้ าหารอีกต่อไปการให้อาหารปลาสวาย ตอ้ งใหป้ ริมาณ มากข้ึนตามลาดบั เพราะปลาต่างก็เติบโตข้ึนเรื่อยๆ และตอ้ งการปริมาณอาหารมากข้ึน ยงิ่ ในระยะเวลาที่ใกล้ จะจาหน่ายอาหารที่ให้ควรจะปนกับอาหารประเภทเน้ือสัตว์ ขา้ วสุก จะช่วยทาให้ปลาสวายอว้ นและมี น้าหนกั ดีกวา่ ใหอ้ าหารจาพวกผกั แต่อยา่ งเดียว
29 การเจริญเติบโต ปลาสวายท่ีเล้ียงในบ่อและในกระชังประมาณ 1 ปี จะได้ปลาท่ีมีน้าหนักตัวละประมาณ 1.3 กิโลกรัม ถา้ เล้ียงนาน 3 ปี อาจจะไดป้ ลาสวายขนาดความยาว 3 ฟตุ น้าหนกั ประมาณ 10 กิโลกรัม สาหรับผู้ เล้ียงปลาสวายในกระชัง ในกรณีท่ีผูเ้ ล้ียงสามารถลาเลียงปลาสวายดว้ ยกระชังออกสู่ตลาดไดเ้ ลย (กรม ประมง, 2562) ภาพการเลยี้ งปลาสวาย
30 แนวทางการปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสาน การปลูกพืชคลุมดนิ ในสวนยาง พชื คลมุ ดิน คือ พืชที่คอยช่วยเหลือในการปลูกคลุมดินที่ทาหนา้ ที่คอยปรับสภาพดินใหด้ ีข้ึน ช่วยให้ ดินอุม้ น้าไดด้ ีและมีความชุ่มช้ืนที่นานข้ึน ซ่ึงพืชคลุมดินน้นั ก็มีหลากหลายชนิดใหเ้ ลือกนามาใช้ อีกท้งั พืช คลมุ ดินเองยงั ช่วยทาใหพ้ ืชหลกั สามารถดูดซึมน้าในดินไปใชไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดีดว้ ย พืชคลมุ ดินเป็นพืชที่มีลาตน้ อ่อนเพียงชนิดเดียว หรือหลายชนิดรวมกนั เพ่ือให้คลุมดินตลอดปี หรือชว่ั ระยะเวลาใดเวลาหน่ึง ดงั น้นั อาจ ทิ้งพืชเหล่าน้ีไวเ้ พื่อยึดผิวดินกนั ดินพงั ทลายเวลาฝนตกหนกั น้าบ่า หรือมีลมแรงพดั เขา้ สู่ผิวดินบริเวณน้นั หรืออาจไถกลบลงในดินเพ่ือใชเ้ ป็ นป๋ ุยพืชสด พืชที่จะนามาปลูกเป็ นพืชคลุมดินน้นั ควรเป็ นพืชที่ข้ึนง่ายท้งั ในดินดี ดินเลว มีการเจริญเติบโตเร็วมีก่ิงกา้ นสาขามากและส่วนยอดอ่อนนุ่มมีน้ามาก (วารสารเกษตร กา้ วหนา้ , 2563) ปัจจุบนั พ้ืนที่ปลูกยางเดิมและพ้ืนท่ีปลูกยางใหม่เป็ นดินเส่ือมโทรมมีความสมบูรณ์ต่าอนั เกิดจากดินขาด อินทรี ยวัตถุเกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การสูญเสียธาตุอาหารพืชโดยติดไปกับผลผลิต สภาพแวดลอ้ มธรรมชาติท่ีเปลี่ยนแปลง สภาวะโลกร้อนทาใหฝ้ นไม่ตกตอ้ งตามฤดูกาล ส่ิงเหลา่ น้ีเป็นปัจจยั สาคญั ที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการใหผ้ ลผลิตทาใหต้ น้ ทุนในการผลิตยางพาราสูง การปลูกพืช คลมุ ดินในสวนยางเป็นวิธีการหน่ึงท่ีสามารถเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ในสวนยาง ท้งั น้ีเศษซากพืชคลุมดินเม่ือ ย่อยสลายกลายเป็ นอินทรี ยวตั ถุจะช่วยเพ่ิมธาตุอาหารในดิน ช่วยปรับโครงสร้างดินและช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพของการใชป้ ๋ ุยเคมี ส่งผลใหก้ ารเจริญเติบโตดีเปิ ดกรีดไดเ้ ร็วข้ึนและใหผ้ ลผลิตน้ายางเพ่ิมข้ึน ดว้ ย การปลูกพืชคลุมดินไมเ่ พียงแต่จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินเท่าน้นั แต่ยงั ช่วยป้องกนั การชะลา้ ง พงั ทลายของหนา้ ดินรักษาความช้ืนในดินควบคุมการเจริญเติบโตของวชั พืช ลดปริมาณการใชป้ ๋ ุยเคมีและ สารเคมีกาจดั วชั พืชตลอดจนเพ่ิมความหลากหลายทางชีวภาพในดินได้แก่ จุลินทรีย์ เช่น เช้ือรา และ แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ และสตั วท์ ี่อาศยั อยใู่ นดิน เช่น มด แมลง หนอน ซ่ึงทาหนา้ ท่ียอ่ ยสลายซากพืชซาก สตั วแ์ ละยงั ช่วยเพ่ิมฮิวมสั ใหแ้ ก่ดินอีกดว้ ย พืชคลุมดินท่ีนิยมปลูกในสวนยาง ไดแ้ ก่พืชคลุมดินตระกูลถว่ั เช่น คาโลโปโกเนียม เซ็นโตรซีมา และเพอราเรีย เป็นตน้ ประโยชนข์ องพืชคลุมดินแก่ตน้ ยางมีหลายประการ คือ เพิ่มธาตุอาหารใหแ้ ก่ดิน เม่ือ เศษก่ิงใบของพืชคลุมร่วงหล่นทบั ถมบนผิวดิน ในที่สุดจะผุพงั รวมตวั กบั ดินซ่ึงจะเป็ นแหล่งอาหารของตน้ ยางต่อไป นอกจากน้ีจะช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีทาให้ธาตุอาหารเป็นประโยชนต์ ่อพืช และเพิ่มจานวนไส้เดือน และจุลินทรียใ์ นดิน ป้องกนั การชะลา้ งของหนา้ ดิน พืชคลุมจะส่งรากลงไปในดินและยดึ เมด็ ดินไวท้ าใหผ้ ิว ดินไม่ถูกเซาะไดง้ ่ายเมื่อมีน้าไหลแรงหรือฝนตกหนกั การทาสวนยางบนเนินลาดจึงจาเป็นตอ้ งปลูกพืชคลุม โดยปลูกพืชคลุมไวต้ ามข้นั บนั ไดที่ทาไวจ้ ะช่วยยบั ย้งั ความแรงของกระแสน้าที่ไหลลงได้ จึงเป็นการป้องกนั
31 การพงั ทลายของดิน นอกจากน้ีใบหรือเถาพืชคลุมท่ีเจริญอย่างหนาแน่นจะช่วยป้องกนั ไม่ให้เม็ดฝนท่ีมี ขนาดโตๆ กระทบผิวดินโดยตรง อนั จะเป็ นการลดการชะลา้ งหนา้ ดินอีกทางหน่ึงดว้ ยทาให้โครงสร้างและ สภาพของดินดีข้ึน ดินท่ีมีพืชคลมุ ข้ึนอยจู่ ะไม่เกาะกนั แน่นเหมือนดินท่ีไม่มีพืชข้ึนเลย ถา้ เราเลือกพืชคลุมที่มี รากชอนไชไปในดินและเป็นพืชที่ใหอ้ ินทรียวตั ถุมากจะทาใหด้ ินบริเวณน้นั ร่วนซุย อากาศถา่ ยเทไดส้ ะดวก และอุม้ น้าไดด้ ีกจ็ ะทาใหด้ ินมีโครงสร้างเหมาะแก่การเจริญเติบโตของไมผ้ ล อินทรียวตั ถุจากพชื คลุมจะช่วย ทาใหเ้ มด็ ดินเหนียวติดกนั เป็นกอ้ นๆ มีขนาดโตกวา่ ปกติทาใหด้ ินร่วนข้ึน ท้งั น้ีเพราะสารท่ีมีลกั ษณะคลา้ ย วนุ้ ในอินทรียวตั ถุจะมาเคลือบเมด็ ดินเหนียวซ่ึงมีขนาดเลก็ มากใหเ้ ป็นกอ้ นโตข้ึน นอกจากน้ีสารน้ียงั ช่วยทา ใหเ้ มด็ ทรายในดินทรายใหต้ ิดกนั แน่น ทาใหเ้ หนียวข้ึนกวา่ เดิมเมื่อรวมกบั ซากพืชเขา้ แลว้ ดินทรายก็จะอุม้ น้า ไดด้ ีข้ึนช่วยเก็บความช้ืนให้กบั ดินการปล่อยให้พืชคลุมคลุมตามผิวดิน โดยเฉพาะพืชคลุมที่ปลูกในดินท่ี พรวนแลว้ อยา่ งดี หลงั จากฝนตกใหญ่คร้ังสุดทา้ ยจะช่วยใหด้ ินเก็บน้าไดด้ ีข้ึน และช่วยลดการระเหยของน้า เพราะพืชคลุมจะช่วยบงั แสงแดดไม่ให้โดนผิวดินโดยตรง นอกจากน้ีอินทรียวตั ถุที่หล่นปกคลุมผิวดินจะ เป็นวตั ถุคลุมดินที่ช่วยป้องกนั การระเหยของน้าเป็นอยา่ งดี พืชคลมุ จะช่วยดูดเอาน้าท่ีจะไหลผา่ นลงไปสู่ดิน ช้นั ล่างไว้ แทนท่ีจะปล่อยใหส้ ูญไปโดยเปล่าประโยชน์จึงทาใหผ้ ิวดินช้ืนอยู่เสมอช่วยกาจดั วชั พืชพืชคลุม ดินส่วนมาก จะมีใบเป็นจานวนมาก และหล่นทบั ถมบนผิวดินจนแสงสวา่ งส่องไม่ถึงผิวดิน ช่วยลดการเกิด ไฟไหมส้ วนยางอีกดว้ ย วชั พืชกไ็ ม่มีโอกาสงอกไดแ้ มแ้ ต่วชั พืชท่ีต้งั ตวั ไดแ้ ลว้ เช่น หญา้ คา ถา้ ปลูกพืชคลุม ดิน เช่น ถวั่ ลายข้ึนคลุมจะทาใหห้ ญา้ คาตายไดเ้ พราะถูกบงั แสงแดดจนไม่สามารถต่อการดารงชีพได้ (นวล ศรี, 2562) การปลูกพืชแซมยาง การปลูกพืชแซมคือระบบการปลูกพืชท่ีมากกวา่ 1 ชนิดบนแปลงเดียวกนั และเวลาเดียวกนั การปลูก พชื แซมมีขอ้ ดีมากมายสาหรับเกษตรกรรายย่อยในพ้ืนท่ีสูง เช่น ช่วยลดความเสี่ยงท่ีพืชใดพืชหน่ึงเสียหาย มี พืชอาหารหลายชนิดและมีอาหารบริโภคหรือขายเพ่ือสร้างรายไดต้ ลอดปี การปลูกพืชแซมจะช่วยให้ไดใ้ ช้ ประโยชนจ์ ากท่ีดินและแรงงานอยา่ งคุม้ ค่า และอาจจะช่วยลดปัญหาเร่ืองวชั พืช นอกจากน้ีพืชแซมอาจช่วย ตรึงไนโตรเจนและเพิ่มธาตุอาหารให้แก่หนา้ ดินและความเร็วของการเจริญเติบโตพืชแซมจะช่วยคลุมดิน และป้องกนั ฝนไม่ให้ตกกระทบดินโดยตรง เช่นก่อนท่ีตน้ มนั สาปะหลงั จะโตคลุมแปลงไดห้ มดจะช่วยลด ปัญหาการชะลา้ งพงั ทลายของดิน อยา่ งไรก็ตามการปลูกพืชแซมจะตอ้ งระมดั ระวงั เร่ืองการจดั การปัญหา การแข่งขนั แย่งแสง น้า และธาตุอาหารกบั พืชหลกั ดงั น้นั เพ่ือให้ไดผ้ ลผลิตสูงสุดจึงมกั จะใช้วิธีการปรับ ระยะปลูกรูปแบบการปลูกพืชหลกั และพืชแซม ปรับระยะเวลาปลูก และใหป้ ๋ ุยใหเ้ พียงพอท้งั พืชหลกั และ พืชแซมโดยทว่ั ไปเกษตรกรจะใชร้ ะบบการปลูกพืชแซมในกรณีที่มีพ้ืนที่จากดั และมีแรงงานเพียงพอแต่จะ ไม่ใชใ้ นกรณีเกษตรกรรายใหญ่และขาดแคลนแรงงานแมว้ า่ จะมีที่ดินผืนเล็กๆเกษตรกรรายยอ่ ยที่ใชว้ ิธีการ ปลูกพืชแซมเช่น มนั สาปะหลงั ก็อาจจะสามารถผลิตอาหารหลกั พวกอาหารท่ีให้พลงั งานโปรตีน เกลือแร่ และวิตามินเพียงพอสาหรับเล้ียงครอบครัว หวั มนั สาปะหลงั เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีท่ีใหพ้ ลงั งาน หรือ
32 พืชแซมดว้ ยพืชตระกูลถวั่ ต่างๆ เช่น ถวั่ แขก ถว่ั พุ่ม ถวั่ เขียวและถวั่ ลิสง พืชตระกูลถวั่ เหล่าน้ีจะเป็ นแหล่ง อาหารโปรตีนสาหรับครอบครัวและสตั วเ์ ล้ียงดว้ ย (กรมวชิ าการเกษตร, 2559) ซ่ึงอาจจะเป็นรูปแบบใดก็ได้ ใน 2 รูปแบบ ดงั น้ี การปลูกพืชแบบผสม (Mixed Intercropping) หมายถึง การปลูกพืชร่วมท่ีไมเ่ ป็นแถวเป็ น แนว แต่หากจะปลูกผสมกนั ไปตามความเหมาะสมของสภาพท่ีตอ้ งการตามธรรมชาติ อีกแบบหน่ึงคือการ ปลูกแบบเป็ นแถว (Row Intercropping) หมายถึง ระบบการปลูกพืชร่วมที่มีอย่างนอ้ ยหน่ึงชนิดท่ีปลูกเป็ น แถวสลบั กบั พืชแรกหรือปลูกไม่เป็ นแถวอยู่ในระหวา่ งแถวของพืชแรกก็ได้ (ดวงจนั ทร์, 2544) ในการปลูก พชื ร่วมยางท่ีชอบร่มเงาในระบบการปลูกพืชแบบต่างระดบั เช่น กาแฟ โกโก้ ปลูกที่ยางความสูงมากกวา่ 25 เมตร สาหรับต้นมะนาวกับถั่วโคล่าเป็ นพืชชอบแสงควรปลูกร่วมกับยางท่ีระดับความสูงยาง 4 เมตร (CIRAD, 2013) จากหลกั การปลูกพืชร่วมในระยะเวลาเดียวกนั ก็มีทฤษฎีของ Gomez (1983) ไดใ้ ห้คาจดั ความของเครื่องหมาย + หมายถึงแสดงการปลกู ร่วมของระบบพืช เช่น ขา้ วโพด + ถว่ั ลิสง หมายถึง การปลูก ขา้ วโพดร่วมกบั ถวั่ ลิสงในเวลาเดียวกนั (CIMMYT, 1989) วธิ กี ารปลกู พืชแซมผสมผสานในสวนยาง 1. ถ่วั เขยี ว การปลูกถว่ั เขียวปลูกในยางช่วงอายุ 1-3 ปี แรก ซ่ึงแต่ละหลุมห่างกนั 20 ซ.เมตรหยอดเมล็ด 3-4 เมลด็ แต่ละแถวห่างกนั 150 เซนติเมตร หรือทาเป็ นร่องลึก 4-5 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกนั 5-6 เซนติเมตร แลว้ เอาดินกลบ ส่วนการใชป้ ๋ ุย กรณีปลูกถว่ั ถา้ ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ใหใ้ ชแ้ อมโมเนียซลั เฟต อตั รา 15 กิโลกรัมป๋ ุยดบั เบิลซุปเปอร์ฟอตเฟต อตั รา16 กิโลกรัมป๋ ุยโปเตเซียมคลอไรค์ อตั รา10 กิโลกมั ต่อเน้ือที่ 1 ไร่ โดยใส่แบบโรยขา้ งถวั่ เขียว ถา้ แมลงเขา้ ทาลาย เช่นหนอนมว้ นใบใชย้ าคาบาริน 40-60 ซีซี ผสมกบั น้า 20 ลิตรส่วนโรคใบจุดและโรคใบร่วนแห้งถา้ ระบาดใชย้ าเบนเลตในอตั รา 10 กิโลกรัมผสมกบั น้า 20 ลิตร ฉีด พน่ ลงบนส่วนเป็นโรคส่วนอายุ การเกบ็ เก่ียวถว่ั เขียวประมาณ 70-80 วนั ใหผ้ ลผลิตประมาณ 1,500 กิโลกรัม 2. ถ่วั เหลือง การปลูกถวั่ เหลืองควรปลูกในยางช่วง 1-3 ปี แรก ปลูกไดใ้ นพ้ืนที่มีความอุดมสมบูรณ์มีปริมาณน้า เพียงพอ โดยหน่ึงปี สามารปลูกได้ 2 คร้ัง คือ ฤดูแลง้ และฤดูฝนโดยการเตรียมดินไถพรวนและทาร่องหยอด เมลด็ 3-5 เมลด็ /หลุม ปลกู ระยะ 30x30 เซนติเมตร เมื่อตน้ ถว่ั เหลืองอายุ 15-20 วนั ใส่ป๋ ุยสูตร 12-24-12 อตั รา 25 กิโลกรมั /ไร่ อายกุ ารเก็บเกี่ยว 85-90 วนั ใหผ้ ลผลิตเฉล่ียไร่ละ 225 กิโลกรัม 3. ข้าวโพด ขา้ วโพดเป็ นพืชท่ีปลูกก่อนยางใหผ้ ลผลิตในระยะ 3 ปี แรก ปลูกไดท้ ว่ั ไปในสภาพดินในการระบาย น้าดี ปลูกแบบหยอดเป็ นหลุมใชร้ ะยะปลูก 75x25 เซนติเมตร มีการกาจดั วชั พืชโดยแรงงานครอบครัว หรือ ใชส้ ารเคมี ใส่ป๋ ุยบารุงสูตร 16-16-16 อตั รา 50 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ป๋ ุยสองคร้ังอายุ 14 วนั และ 45 วนั
33 ขา้ วโพดตอ้ งการปริมาณน้าฝนช่วยในการเจริญเติบโตและให้ผลผลิต ถา้ สภาพการกระจ่ายของน้าฝนนอ้ ย หรือไมส่ ม่าเสมอผลผลิตจะลดลง 4. แตงโม แตงโมปลูกร่วมยางในช่วง 3 ปี แรก ปลูกโดยพรวนดินลึก 22-30 เซนติเมตร ใส่ป๋ ุยคอกคลุกเคลา้ ลง ในดิน ปลูกแถวเดียว 180-18 เซนติเมตร แถวคู่ 60-90 x 200-300 เซนติเมตร หยอดเมล็ด 3-4 เมลด็ /หลุม เมลด็ ควรแช่น้าก่อน 24 ชว่ั โมง เพื่อใหง้ อกไดเ้ ร็ว ใส่ป๋ ุยสูตร 13-13-21 อตั รา 100-150 กิโลกรัม/ไร่ ควรกาจดั วชั พืชบ่อยๆในระยะแรกของการปลูกแต่ตอ้ งระวงั อยา่ ใหก้ ระทบกระเทือนต่อตน้ ใชฟ้ างคลุมดินหนา 5-8 เซนติเมตร ช่วยรักษาความช้ืนของดินได้ แตงโมท่ีนิยมปลูกกนั มี 2 พนั ธุ์คือ พนั ธุ์เบาท่ีรู้จกั กนั โดยทว่ั ๆ ไป คือ พนั ธุ์ชูการ์เบบ้ี ผลกลมสีเขียวคล้า อายเุ ก็บเกี่ยว 65 วนั นบั จากวนั งอกอีกพนั ธุ์หน่ึงไดแ้ ก่พนั ธุ์หนกั คือ พนั ธุช์ าร์ลสตนั เกร ผลสีเขียวอ่อน มีลายท่ีผวิ ผล ผลกลมขนาดใหญ่ อายเุ กบ็ เกี่ยว 85 วนั นบั จากวนั งอก 5. ชะอม ชะอมปลูกในขณะท่ีตน้ ยางพารามีอายุต้งั แต่เร่ิมปลูกถึง 1 ปี จนถึงตน้ ยางมีอายุ 2.36 ปี (นดั ดาและ สุพตั รา, 2560) ใชก้ ่ิงพนั ธุ์ซ่ึงไดจ้ ากตอนปลูก ระยะปลูก 1x1 เมตร ควรปลูกในฤดูร้อนและควรมีการให้น้า ช่วยจะเจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ ปลูกในฤดูฝนควรใส่ป๋ ุยคอกปี ละคร้ัง ชะอมเกบ็ เก่ียวผลผลิตไดห้ ลงั จากการปลูก ก่ิงตอน 10-15 วนั ถา้ บารุงรักษาดีสามารถตดั ยอดชะอมไดท้ ุกๆ 2 วนั 6. มะเขือเทศ มะเขือเทศปลูกในยางช่วง 3 ปี แรก เป็นพืชที่สามารถทารายไดด้ ีในช่วงระยะปี แรกๆ ของการปลูก ยางปลูกไดท้ ว่ั ไปในพ้ืนที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้าไดด้ ี มะเขือเทศน้นั ใช้ระยะในการปลูก 1x1 เมตร บารุงรักษาใช้ป๋ ุยสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุ 100-150 วนั ขอ้ จากดั คือหา้ มสูบบุหรี่ในแปลงมะเขือเทศหา้ มปลูกพืชตระกูล ถวั่ พริก และไม่ปลูกมะเขือเทศซ้าในแปลง เดียวกนั ระหวา่ งปี 7. พริกขหี้ นู พริกข้ีหนูปลูกในยางช่วง 3 ปี แรก พริกข้ีหนูเป็ นพืชสมุนไพรลม้ ลุกมีอายุ 1-9 ปี ปลูกไดใ้ นดินทุก ชนิดปลูกพริกข้ีหนูห่างจากแถวยาง 1 เมตร ระยะปลูก 1x1 เมตร ใหน้ ้าในระยะแรก ใส่ป๋ ุยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21อตั รา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่เร่ิมเก็บเก่ียวผลผลิตได้เมื่ออายุ 3 เดือนให้ผลผลิต 350-470 กิโลกรัมต่อไร่ 8. แตงกวา แตงกวาปลูกร่วมยางในช่วง 3 ปี แรก เป็นผกั ท่ีปลูกง่ายปลูกไดต้ ลอดท้งั ปี โตเร็ว ปลูกไดท้ ุกสภาพ อากาศ ปลูกห่างจากแถวยาง 1 เมตร หลุมละ 3 ตน้ เม่ืออายุได้ 7-10 วนั ดูแลโดยการกาจดั วชั พืช และพรวน ดิน ใส่ป๋ ุยสูตร13-13-21 หรือสูตรใกลเ้ คียง 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 คร้งั ส่วนอายกุ ารเกบ็ เกี่ยวพนั ธุ์เบา เมื่ออายไุ ด้ 35 วนั พนั ธุห์ นกั เม่อื อายไุ ด้ 45 วนั
34 9. กล้วย กลว้ ยปลูกในช่วงก่อนยางให้ผลผลิต 3 ปี ปลูกกลว้ ยน้าวา้ ก่ึงกลางแถวยางระยะระหว่างตน้ 2.5-3 เมตร แต่ถา้ กลว้ ยไข่ใหป้ ลูก 2 แถว ระหวา่ งแถวยางระยะระหว่างแถว 2 เมตร ระยะระห่างตน้ 2.5-3 เมตร สาหรับกลว้ ยหอมแนะนาให้ปลูก 2 แถว ระหว่างแถวยาง ระยะระหว่างแถว 2 เมตร ระยะระหวา่ งตน้ 2-2.5 เมตร และกลว้ ยเลบ็ มือนาง แนะนาใหป้ ลูก 3 แถวระหวา่ งแถวยาง ระยะระหว่างแถว 2 เมตร ระยะระหว่าง ตน้ 2-2.5 เมตร ใชป้ ๋ ุยคอกหรือป๋ ุยหมกั รองกน้ หลุมและควรใส่ป๋ ุยอินทรียเ์ ป็ นประจา ถา้ กลว้ ยยงั ไม่สมบูรณ์ ควรใส่ป๋ ุยสูตร 13-13-21 อตั รา 1 กิโลกรัม/ตน้ /ปี โดยแบ่งใส่ 2 คร้ัง คร้ังแรกเมื่อกลว้ ยอายุได้ 3 เดือน และ คร้ังที่ 2 เม่ืออายไุ ดป้ ระมาณ 5 เดือน ควรไวห้ น่อไมเ่ กิน 3 หน่อ/หลุม เพอ่ื ไมใ่ หแ้ ยง่ อาหารจากตน้ สามารเก็บ เก่ียวผลผลิตเม่ืออายุ 1 ปี ใหผ้ ลผลิตประมาณ 1,250 หว/ี ไร่/ปี 10. สับปะรด สับปะรดควรปลูกก่อนยางให้ผลผลิตในช่วง 3 ปี แรกใช้บริโภคสดหรือส่งโรงงานเพ่ือบรรจุ กระป๋ อง พนั ธุ์ที่ปลูกไดผ้ ลดีคือ พนั ธุป์ ัตตาเวีย และพนั ธุ์ภูเกต็ ปลกู หน่อที่มีขนาดความสูง 50-70 เซนติเมตร ระยะปลูกแถวเด่ียว 70x50 เซนติเมตร หรือแถวคู่ 100x50x30 เซนติเมตร หรือ 120x30x30 เซนติเมตร การ บารุงรักษาถา้ ปลูกเป็ นจานวนมาก ควรใชส้ ารเคมีกาจดั วชั พืช เช่น โบรมาชิลอตั รา 360 กรัม ร่วมกบั ไดยู รอน อตั รา 360 ต่อน้า 80 ลิตรฉีดพ่นในพ้ืนที่ 1 ไร่ หลงั ปลูก หากมีวชั พืชงอกข้ึนมาอีกให้ฉีดซ้าอีกคร้ัง หลงั จากปลูกแลว้ 6 เดือน ในอตั ราเดิมหลงั จากปลูก 1 เดือน ใส่ป๋ ุยสูตร 12-12-15 อตั รา 15-20 กรัมต่อตน้ หลงั จากน้นั 6 เดือน ใหใ้ ส่ในอตั ราเดิมอีกคร้ัง ใหผ้ ลผลิตเม่ืออายไุ ด้ 16-18 เดือนประมาณ 2,400 ผล/ไร่/ปี 11. มะละกอ มะละกอควรปลูกร่วมยางพาราในช่วงก่อนใหผ้ ลผลิต 3 ปี ปลูกในดินร่วนปนทรายหรือดินเหนียว ปนดินร่วนและมีการระบายน้าดี หนา้ ดินลึกไม่นอ้ ยกวา่ 1 เมตร พนั ธุท์ ี่แนะนา ไดแ้ ก่ พนั ธุ์แขกดา แขกนวน โกโก้ สายน้าผ้ึงซ่ึงมีขนาดผลใหญ่ 1-2 กิโลกรัม ใช้ระยะปลูก 2.5x3 เมตร ใส่ป๋ ุยคอกในหลุมปลูก และ ป๋ ุยเคมีสูตร 15-15-15 โดยเฉพาะตน้ กลา้ ในถุงพลาสติกเม่ือตน้ กลา้ มีใบ 1-2 ใบ นาไปปลูกในหลุม ใหน้ ้า 2-3 วนั ต่อคร้ัง จนกวา่ จะต้งั ตวั ได้ เม่ือตน้ โตใหใ้ ส่ป๋ ุยคอกประมาณ 5 กิโลกรัม/ตน้ และช่วงติดผลใหใ้ ส่ป๋ ุยสูตร 15-15-15 ผสมป๋ ุยยูเรีย อตั รา 50 กรัมต่อตน้ เก็บผลผลิตเม่ืออายุ 7-8 เดือน ใหผ้ ลผลิต 3,000-4,000 กิโลกรัม/ ไร่ ไม่แนะนาปลูกให้พ้ืนท่ีที่มีโรคระบาดของโรคเส้นดา โรคใบร่วงและฝักเน่าจากเช้ือไฟทอปโทรา เนื่องจากเป็นพืชอาศยั ของเช้ือราโรคน้ี (จิรภาและคณะ, 2560) 12. ข้าวไร่ ขา้ วไร่ปลูกแซมในสวนยางพาราก่อนยางใหผ้ ลผลิต 3 ปี ในแปลงที่เริ่มปลูกพืชหลกั 3 เดือนแรก เป็นพชื ท่ีสาคญั ทารายไดใ้ หป้ ระเทศค่อนขา้ งสูงสามารปลูกไดใ้ นสภาพดินทวั่ ไปและพนั ธุ์ที่ทว่ั ไปคือ กเู้ มือง หลวง ดอกพะยอม ปลูกโดยใชไ้ มก้ ระทุง้ ดินทาหลุม 2-3 เซนติเมตร และระหวา่ งแถว 30 เซนติเมตร หยอด เมลด็ ลงในหลุม 5-8 ต่อหลุมแลว้ เอาดินกลบ เม่ืออายุ 25-30 วนั ใหก้ าจดั วชั พืช และอีกคร้ังเมื่ออายุ 50-60 วนั
35 ส่วนของการใส่ป๋ ุยน้ันแนะนาสูตร 16-20-0 อตั รา 15-20 กิโลกรัม/ไร่ เม่ืออายไุ ด้ 30 วนั ใส่แบบหว่านแลว้ คลาดกลบส่วนอายเุ กบ็ เก่ียวอยรู่ ะหวา่ ง 120-145 วนั ผลผลิตประมาณ 240-250 กิโลกรมั /ไร่
3 ภาพตัวอย่างพืชแซมทป่ี ลูกผสมผสานในสวนยาง
36
37 การปลูกพืชหมุนเวยี นในสวนยาง การปลกู พืชหมุนเวียน หมายถึง เป็นระบบการเกษตรกรรมท่ีใชก้ ารปลกู พืชหลายชนิดที่ต่างชนิดกนั ในบริเวณเดียวกนั ตามลาดบั ของฤดูเพื่อใหไ้ ดป้ ระโยชน์หลายอย่างเช่นเพ่ือเลี่ยงการสร้างสมของตวั กาเนิด โรคหรือศตั รูพืชท่ีมกั จะเกิดข้ึนถา้ ปลูกพืชชนิดเดียวต่อเนื่องกัน นอกจากน้นั ก็เพ่ือสร้างความสมดุลของ สารอาหารเน้ือดินท่ีไมถ่ ูกดูดออกไปจากการปลูกพืชชนิดเดียวเป็ นเวลานาน การปลูกพืชหมุนเวียนที่ทากนั มามกั จะเป็ นการปลูกพืชท่ีช่วยสร้างเสริมไนโตรเจนโดยการใชป้ ๋ ุยพืชสดพร้อมกบั การปลูกธญั พืชและพืช ชนิดอ่ืน ซ่ึงเป็ นองค์ประกอบของระบบการปลูกพืชหลากชนิดท่ีตรงกนั ขา้ มกบั ระบบการปลูกพืชชนิด เดียว นอกจากน้ันการปลูกพืชหมุนเวียนก็ยงั เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินและความสมบูรณ์ของดิน โดยการสลบั เปล่ียนระหวา่ งการปลูกพืชรากลึกกบั พืชรากต้ืนระบบการปลูกพืชหมุนเวียนเป็ นระบบท่ีใชก้ นั มานานต้งั แต่สมยั โบราณเช่นในสมยั โรมนั ท่ีใชร้ ะบบเกษตรกรรมสองแปลงท่ีเกษตรกรจะปลูกพืชในแปลง หน่ึงและไถอีกแปลงหน่ึงว่างไวส้ าหรับการเพาะปลูกในปี ต่อไป (วิกิพีเดีย, 2556) ปัจจุบนั เกษตรกรท่ีเร่ิม ปลูกยางใหม่มกั จะปล่อยพ้ืนที่ให้ว่างเปล่า อีกท้งั ยงั ตอ้ งเสียเงินค่าสารเคมีและค่าจา้ งแรงงานในการกาจดั หญา้ วชั พืช แต่พ้ืนท่ีว่างระหวา่ งแปลงเกษตรสามารถปลูกพืชหมุนเวยี นไดห้ ลายชนิดในช่วงอายุยาง 1-4 ปี โดยเฉพาะการปลูกหญา้ อาหารสัตวท์ ่ีช่วยให้เกษตรกรลดตน้ ทุนค่าสารเคมีและค่าจา้ งแรงงานกาจัดหญา้ วชั พืช อีกท้งั ยงั เสริมรายไดก้ ่อนเปิ ดกรีดยางอีกดว้ ย วธิ กี ารปลูกพืชหมุนเวยี นผสมผสานในสวนยาง การปลูกหญา้ อาหารสัตวใ์ นสวนยาง จะปลูกในช่วงอายยุ างพารา 1-4 ปี โดยเร่ิมปลูกภายหลงั จากตน้ ยางมีอายุต้งั แต่ 3-4 เดือนข้ึนไป (หรือตน้ ยางต้งั ตน้ ได)้ แต่ไมเ่ กิน 4-5 ปี มีวธิ ีการดงั น้ี เตรียมดินโดยไถดะดิน ห่างจากโคนตน้ ยางพารา 50-70 เซนติเมตร เพอ่ื ป้องกนั ผลกระทบท่ีอาจจะเกิดข้ึนกบั ระบบรากของยางพารา ตากดินทิ้งไว้ 2-3 สปั ดาห์ แลว้ โรยป๋ ุยคอกจากมูลสัตวแ์ หง้ (มลู โค-กระบือ) อตั รา 2,000 กิโลกรัม/ไร่ ทาการ ไถพรวนเพ่ือใหป้ ๋ ุยคอกกระจายตวั และผสมเขา้ กนั กบั ดินแลว้ พกั ดินไวอ้ ีก 1 สัปดาห์ จากน้นั หว่านป๋ ุยเคมี สูตร 15-15-15 ในช่วงพรวนดินก่อนปลูกอตั รา 50 กิโลกรัม/ไร่ เลือกในช่วงพรวนดินก่อนปลูกอตั รา 50 กิโลกรัม/ไร่ เลือกปลูกหญา้ พนั ธุ์กินนีสีม่วงซ่ึงเป็ นหญา้ ท่ีมีโภชนาการดา้ นอาหารสตั วส์ ูง โตเร็ว มีความน่า กิน สามารถเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลิตไดด้ ีในสภาพร่มเงา และเป็นท่ีตอ้ งการของตลาด การปลกู โดยวิธีการ หวา่ นใชเ้ มลด็ พนั ธุ์หญา้ กินนีสีม่วงอตั รา 1 กิโลกรัม/ไร่ การปลูกดว้ ยตน้ กลา้ จะตอ้ งเพาะตน้ กลา้ อายปุ ระมาณ 30-45 วนั ปลกู โดยใชร้ ะยะห่าง 50x50 เซนติเมตร จานวน 3-5 ตน้ /หลุม (เช่นเดียวกบั การปลกู ขา้ ว) ซ่ึงจะให้ ผลผลิตสูงกวา่ การปลูกดว้ ยวิธีการหว่านเมล็ด การดูแลรักษาและเก็บเกี่ยวมีดงั น้ี ให้น้าทนั ทีหลงั จากปลูก หญา้ โดยรดน้าใหช้ ุ่ม รากจะติดดินไดด้ ีและให้น้าทุกๆ 7 วนั ช่วงฤดูแลง้ แต่ถา้ หากเป็ นช่วงหลงั เก็บเก่ียว ผลผลิตไปแลว้ จะเปล่ียนให้น้า 10-14 วนั /คร้ัง (สวนยางอายปุ ระมาณ 3 ปี ข้ึนไป ระยะห่างของการให้น้าจะ มากกวา่ น้ี) การตดั หญา้ คร้ังแรกหลงั จากปลูก 50-60 วนั และคร้ังต่อไปทุกๆ 20 วนั ในฤดูฝนและ 25-30 วนั
38 ในช่วงฤดูแลง้ โดยตดั ใหส้ ูงจากระดบั พ้ืนดิน 5-10 เซนติเมตร แนะนาใหใ้ ชเ้ คียวเก่ียวเท่าน้นั จากน้นั ให้น้า ทนั ทีหลงั จากตดั หญา้ หรือใหน้ ้าก่อนตดั ประมาณ 5-7 วนั หญา้ จะงอกใหม่ไดเ้ ร็วข้ึน ใส่ป๋ ุยยเู รีย 46-0-0 อตั รา 10 กิโลกรัม/ไร่ หลงั จากตดั หญา้ แล้ว 1 สัปดาห์ โดยแบ่งใส่ 3-4 คร้ัง/ปี การดูแลรักษาสวนยางจะดูแล ตามปกติ เมื่อตน้ ยางมีร่มเงาหรืออายุ 4-5 ปี ใหง้ ดกิจกรรมการปลูกแลว้ บารุงรักษาตน้ ยางพาราตามปกติก่อน จะเปิ ดกรีดยางช่วงอายุ 7-8 ปี ต่อไป การจาหน่ายโดยมดั หญา้ เป็ นฟ่ อนขนาด 2 กิโลกรัม วางจาหน่ายตาม แหล่งชุมชน งานเทศกาลต่างๆ และตลาดนดั โค-กระบือราคาจาหน่าย 2-2.50 บาท/กิโลกรัม ดงั น้นั ขอ้ ดีของ ปลูกหญา้ อาหารสัตวใ์ นสวนยางพาราก่อนเปิ ดกรีดไดแ้ ก่ เกษตรกรไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากพ้ืนท่ีใหค้ ุม้ ค่าท่ีสุด เปลี่ยนพ้ืนท่ีหญา้ วชั พืชให้เป็ นพ้ืนท่ีปลูกหญา้ สัตว์เพื่อเสริมรายได้ให้เกษตรกรก่อนเปิ ดกรีดยาง การ บารุงรักษาหญา้ อาหารสตั วจ์ ะช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารใหก้ บั ตน้ ยางใหเ้ จริญเติบโตไดด้ ีข้ึน ลดปริมาณการ ใชส้ ารเคมีกาจดั หญา้ วชั พืช ลดตน้ ทุนและเพิ่มรายไดใ้ หแ้ ก่เกษตรกร (วารสารรักบา้ นเกิด, 2563) การปลูกพืชร่วมแบบผสมในสวนยาง การปลูกพืชร่วมแบบผสม (Mixed Cropping) เป็นวธิ ีการปลูกพืชสองชนิดหรือมากกวา่ สองชนิดใน แปลงเดียวกนั โดยไม่ตอ้ งปลูกเป็ นแถวเป็ นแนว เป็ นวิธีการปลูกแบบด้งั เดิมของเกษตรกรเมื่อคร้ังท่ีดินยงั อดุ มสมบูรณ์อยู่ โดยนาเมลด็ สองชนิดรวมกนั หวา่ นลงในแปลง ใหพ้ ชื หลกั มีจานวนมากกวา่ พืชรอง พชื ปลูก ควรมีคุณสมบตั ิที่เก้ือกลู กนั เช่น ช่วยลดการทาลายของศตั รูพืช ทาใหไ้ ม่ตอ้ งใชส้ ารเคมีกาจดั ศตั รูพืช ไดแ้ ก่ ปลูกพืชตระกูลถ่ัวคลุมดินอายุยาวในสวนยางพารา และมีสวนผลไม้ สวนปาล์มน้ามัน สวนมะพร้าว ประกอบในสวนยาง ในการไถกลบพืชพวกน้ีอาจจะทาไดย้ ากเพราะมีลกั ษณะเป็ นเถา และมีทางใบ ทาให้ เกิดความยากลาบากในการไถกลบ แต่อย่างไรก็ตามการปลูกพืชพวกน้ีทิ้งไวจ้ ะช่วยปรับปรุงบารุงดิน เพิ่ม ธาตุอาหารและอินทรียว์ ตั ถุใหเ้ พิ่มมากข้ึน และจะช่วยป้องกนั การชะลา้ งและการอดั แน่นของดินซ่ึงเกิดจาก ฝนไดด้ ี ตวั อยา่ งพืชคลุมท่ีใชอ้ ยใู่ นปัจจุบนั เช่น คาโลโบโกเนี่ยม เพอราเลีย เซ็นโตรซีมา ไมยราพไร้หนาม เป็นตน้ หรืออาจจะปลูกพืชตระกูลถว่ั ชนิดพุ่มและไมย้ ืนตน้ เช่น กระถิน แคฝร่ัง ถว่ั มะแฮะ คราม ข้ีเหล็ก เพื่อปรับปรุงบารุงดินแลว้ ยงั ไดป้ ระโยชน์ในการบงั ลม บงั แดด และเป็นอาหารของสตั วเ์ ล้ียง (ดวงจนั ทร์, 2544) วธิ ีการปลกู พืชร่วมผสมผสานในสวนยาง 1. ระกาหวาน ระกาหวานใชเ้ ป็ นพืชร่วมยางที่ทนต่อสภาพร่มเงาของตน้ ยางที่มีอายุ 15 ปี ข้ึนไป พนั ธุ์แนะนาคือ ระกาพ้ืนเมือง ปลูกก่ึงกลางแถวยางระหวา่ งตน้ 5 เมตร กรณีระยะปลูกยาง 2.5x8 เมตร หรือระยะระหวา่ งตน้ 6 เมตร กรณีระยะปลูกยาง 3x7 เมตร ผลผลิตไมต่ ่ากวา่ 10 กิโลกรัม/กอ/ปี ขอ้ พิจารณา ควรตอ้ งจดั การให้ตน้ ตวั ผตู้ วั เมียอยู่ในอตั รา 1:6-8 อยกู่ ระจายทว่ั แปลงปลกู อาจตอ้ งช่วยผสมเกสร
39 2. สละ สละพนั ธุ์ท่ีแนะนาคือ สละเนินวง เป็ นพืชเจริญเติบโตดีในสภาพร่มเงา และไม่มีผลกระทบต่อ ยางพาราแต่อยา่ งใดใหผ้ ลผลิตภายใน 3-5 ปี ควรปลูกในฤดูฝนตน้ ยางมีอายุ 3-4 ปี ระยะระหวา่ งปลูกระหวา่ ง ตน้ 5 เมตร กรณีปลูกยาง 2.5x8 เมตร หรือระหวา่ งตน้ 6 เมตร กรณีปลูกยาง 3x7 เมตร ผลผลิตไม่ต่ากวา่ 10 กิโลกรัม/กอ/ปี การใส่ป๋ ุยควรใส่ก่อนออกผลผลิตอตั รา 2-3 กิโลกรัม/กอ/คร้ัง จานวน 3 คร้ังต่อปี ใชป้ ๋ ุย 15- 15-15 หรือ 13-13-21 อตั รา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ/คร้ัง เมื่อใหผ้ ลผลิตใส่ใส่ป๋ ุยอินทรีย์ 10-15 กิโลกรัม/กอ/ปี ป๋ ุยเคมี 13-13-21 อตั รา 1-2 กิโลกรัม/กอ/ปี สละใหผ้ ลผลิตขอ้ พิจารณาตอ้ งปลูกพืชสกูลระกา เช่นระกา สะ กาเพ่ือนาเกสรจากดอกตวั ผูไ้ ปผสมกบั เกสรของดอกสละตวั เมีย 3. กระชาย พนั ธุ์กระชาย มีอยู่ 3 ชนิด คือ กระชายดา กระชายเหลือง (กระชายแกง) และกระชายแดง การเตรียม ดินปลูกไถดินตากประมาณ 7 วนั พรวนดินและไถยกร่อง ใส่ป๋ ุยคอกหรือป๋ ุยหมกั ประมาณ 1-2 ตนั /ไร่ ใช้ ระยะปลูกระหวา่ งตน้ 10-15 เซนติเมตร และระหวา่ งแถว 20 เซนติเมตร ใชห้ วั เหงา้ กระชายลงปลูกในหลุม 1 เหงา้ ต่อหลุมกลบดิน คลมุ ดว้ ยฟางขา้ วใหท้ วั่ ท้งั แปลงและรดน้า การใส่ป๋ ุยแบ่งใส่เป็น 2 คร้ัง คือเม่อื กระชาย อายไุ ด้ 1 เดือน ใส่ป๋ ุยเคมีสูตร 15-15-15 อตั รา 50 กิโลกรัม/ไร่ และเม่ือรากเร่ิมสะสมอาหารอายปุ ระมาณ 3-4 เดือน ควรใส่ป๋ ุยเคมีสูตร 13- 13-21 อตั รา 50-100 กิโลกรัม/ไร่ กระชายตอ้ งการน้าในระยะก่อนแตกหน่อ และระยะรากสะสมอาหารควรพิจารณาใหน้ ้าอยเู่ สมอ ควรเกบ็ เก่ียวเม่ือกระชายอายุได้ 7-12 เดือน สงั เกตที่ ใบจะมีสีเหลืองลาตน้ จะมีสีเหลืองและแหง้ ยบุ ลงมา 4. สะเดาเทยี ม แนะนาให้ปลูกระหว่างแถวยาง อตั รา 20 ตน้ ต่อพ้ืนที่ปลูกยาง 1 ไร่ ปลูกเม่ือยางอายุ 1-2 ½ ปี และ ปลกู ใหก้ ระจายหลายแหล่งและไม่ควรปลกู แห่งละ 6 ไร่ 5. กระวาน เป็นพชื พ้ืนเมืองร้อนท่ีมีหวั หรือเหงา้ อย่ใู นดินคลา้ ยขิงหรือข่า ใชป้ ระกอบอาหารใหม้ ีกล่ินหอม และ มีรสชาติ มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ พนั ธุ์แนะนาคือ กระวานนครศรีธรรมราช (หน่อแดง) โดยปลูก จากแถวยาง 1 เมตร ระยะปลกู 2x2 เมตร การเตรียมพนั ธ์ุกระวาน มี 2 วธิ ี คือ 1) ขยายพนั ธุ์โดยใชเ้ หงา้ แยกเหงา้ จากกอแมท่ ี่มีอายุ 18 เดือนถึง 2 ปี เหงา้ ท่ีแยกออกมาควรมีหน่อติดมาดว้ ย 2-3 หน่อ มีความ สูงประมาณ 1-2 ฟตุ ไม่ควรตดั ยอดออก เพราะจะทาใหเ้ ปอร์เซ็นตก์ ารตายสูง ถา้ ตอ้ งการปลูกจานวนไม่มาก นกั การแยกหน่อเป็ นวิธีที่ง่ายและสะดวก แต่ตน้ พนั ธุ์จากการแยกหน่อจากแปลง ไม่ควรห่างไกลการขนส่ง ไปแปลงปลูก
40 2) ขยายพนั ธุ์ดว้ ยเมลด็ ไม่นิยมเพราะเจริญเติบโตชา้ กว่า แต่หากว่าตอ้ งการปลูกในพ้ืนที่มาก การเพาะเมล็ดจะทาให้ได้ จานวนตน้ กลา้ กระวานในปริมาณมากในเวลาอนั ส้ันเพียงพอต่อความตอ้ งการใช้ขยายพ้ืนท่ีปลูกได้ ผล กระวานที่สมบูรณ์ดีจะมีเมล็ดจานวนมาก กระวานติดผลเป็ นช่อ ช่อหน่ึง ๆ มีประมาณ 10-20 ผล รูปทรง กลมมีเมล็ด 9-18 เมล็ด ต่อผล เมล็ดแก่เต็มท่ีมีสีดามีเย่ือหุ้มบาง ๆ การเพาะเมล็ดโดยน้าไปเพาะในที่ที่มี ความช้ืนสม่าเสมอ การปลกู และดูแลรักษากระวาน 1) วิธีปลูก คือขุดดินเป็นหลุมลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่ป๋ ุยคอกคลุกลงหลุมก่อนปลูก วางหน่อ พนั ธุ์กระวานในหลุมปลูกในลกั ษณะต้งั ตรง ฝังหน่อลึกประมาณ 3-4 นิ้ว กลบดินกดโคนใหแ้ น่นรดน้าให้ ชุ่มช้ืน 2) ระยะปลูก ระยะระหว่างกอ 2.5x2.5 เมตร ไม่นิยมปลูกชิดมาก ตอ้ งเวน้ ท่ีว่างไวใ้ หห้ น่อไดข้ ยาย เพ่มิ ข้ึนทุกปี 3) จานวนตน้ ประมาณ 100 กอ/ไร่ สาหรบั การดูแลรักษาไดแ้ ก่ การใส่ป๋ ุย หลีกเลี่ยงการใชป้ ๋ ุยเคมีใส่ ป๋ ุยคอกก่อนปี ละ 2 คร้ัง ช่วงตน้ และปลายฝน กอละ 3-5 กิโลกรัม จากน้นั ใหน้ ้าให้มีความชุ่มช้ืนอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงแลง้ การดูแลรักษาที่ตอ้ งทาเป็นประจาคือ ตดั ใบแก่ท่ีแหง้ และตน้ ที่แหง้ ทิ้ง ภาพตัวอย่างพืชร่วมในสวนยาง
41 การปลกู พืชเหล่ือมฤดใู นสวนยาง การปลูกพืชเหล่ือมฤดู (Delay Cropping) เป็นการจดั ระบบพืชโดยการปลูกพืชที่สอง ขณะที่พืชแรก ยงั ไม่ทนั ไดเ้ ก็บเกี่ยว วธิ ีน้ีเหมาะกบั กรณีที่มีพ้ืนที่นอ้ ยและตอ้ งการใชพ้ ้ืนท่ีดินและน้าท่ีมีอยอู่ ยา่ งคุม้ ค่า หรือ อยใู่ นเขตที่มีน้าฝนในการเพาะปลูกค่อนขา้ งจากดั หรือในปี ท่ีมีฝนมาล่าชา้ ปลูกพืชแรกล่าชา้ ทาใหก้ ารเก็บ เก่ียวล่าชา้ ทาใหก้ ารปลูกพืชที่สองตอ้ งล่าชา้ ออกไปและไม่ไดผ้ ลเพราะขาดน้า เช่น เกษตรกรควรปลูกพืชที่ สองลงไปในขณะที่ขา้ วโพดมีอายไุ ด้ 80 วนั ซ่ึงระยะน้ีใบขา้ วโพดเริ่มแหง้ ทาใหก้ ารบงั แสงต่อพืชที่สองน้นั ลดลง พืชท่ีสองก็จะไดอ้ าศยั ความช้ืนที่เหลืออยู่ในดิน สามารถเจริญเติบโตข้ึนมาได้ หรือปลูกพืชท่ีสองเมื่อ ขา้ วโพดอายุได้ 70 วนั โดยตดั ยอดขา้ วโพดเหนือระดบั ฝักเพื่อลดการบงั แสงลง แลว้ นายอดขา้ วโพดน้นั มา คลุมดิน เพอื่ ลดการระเหยของน้าในดิน หรือนายอดขา้ วโพดไปใชเ้ ล้ียงววั ไดอ้ ีกดว้ ย ระบบการปลูกพืชแบบ น้ีส่วนใหญ่จะปลูกขา้ วโพดเหล่ือมกบั มนั เทศหรือมนั แกว หรือปลูกฝ้ายเหล่ือมฤดูกบั ขา้ วโพดหรือถวั่ เหลือง การปลกู ขา้ วเหล่ือมกบั ถวั่ เขียวในนาธรรมชาติ เป็นตน้ (ดวงจนั ทร์, 2544) การเลยี้ งสัตว์ผสมผสานในสวนยาง การเลยี้ งแกะในสวนยาง การเล้ียงแกะ พบวา่ วชั พืชที่ข้ึนในส่วนยางเพียงพอทีจะจะปลอ่ ยใหแ้ กะแทะเลม็ เป็นอาหารหยาบใน อตั รา 1 ตวั ต่อไร่ แต่การเล้ียงแกะจะตอ้ งดูแลรักษา เช่น ฉีดวคั ซีนป้องกนั โรคปากเทา้ เป่ื อยและโรคอ่ืนๆ ปี ละ 2 คร้งั ถา่ ยพยาธิทุก 3 เดือน มีน้าสะอาดและกอ้ นเกลือแร่ตลอดเวลา (สถาบนั วิจยั ยาง, 2562) การเลยี้ งแพะในสวนยาง แพะเป็นสตั วท์ ่ีเล้ียงง่ายเหมาะสมกบั ภาวะปัจจุบนั เพราะการเล้ียงแพะมีจุดเด่นหลายประการ เช่น ผลตอบแทนเร็ว ใชร้ ะยะส้ันกวา่ เล้ียงโค แพะหากินเก่งกินพืชใบไมไ้ ดห้ ลายชนิด ทนต่อสภาพอากาศ แพะมี ขนาดตวั ใชพ้ ้ืนที่นอ้ ยเล้ียงงา่ ยใหผ้ ลผลิตคุม้ ค่าจากเล้ียงคลา้ ยกบั การเล้ียงแกะ ใชเ้ วลาเล้ียงขนุ แพะในสวนยาง ประมาณ 4 เดือน สามารถจาหน่ายในราคากิโลกรัมละ 200-300 บาท อีกท้งั ยงั เป็นการลดค่าใชจ้ ่ายในการจา้ ง แรงงานมาถากถางวชั พืชสวนยาง ปี ละ 2 คร้ัง ในช่วงหลงั หนา้ ฝนกบั ช่วงใส่ป๋ ุยบารุงตน้ ยาง (สถาบนั วจิ ยั ยาง , 2562) การเลยี้ งผงึ้ ในสวนยาง การเล้ียงผ้ึง มีประโยชนร์ ่วมกนั ระหวา่ งยางพารากบั เห็ด เพราะร่มเงาจากตน้ ยางมีแสงแดดราไร ช่วย ใหเ้ หด็ เจริญเติบโตไดด้ ี ในการปฏิบตั ิงานและวสั ดุอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการเพาะเห็ดไดแ้ ก่ทะลายปาลม์ น้ามนั เช้ือ เห็ดฟาง ผืนพลาสติกความยาว 70 เมตร ไมไ้ ผส่ าหรับข้ึนผา้ พลาสติกข้ึนตอนในการเพาะเห็ดฟาง โดยนา ทะลายปาลม์ มากองรวมลอ้ มกนั เป็นวงกลมโดยจะฉีดน้า 2 วนั ต่อ 1 คร้งั คลุมดว้ ยผา้ พลาสติกรอประมาณ 3-7 วนั เพื่อให้ทะลายปาล์มชุ่มน้าการวางทะลายปาล์มวางเป็ นร่องตามระหว่างแถวยางความยาวประมาณ 5 เมตร ฉีดน้าบนทะลายปาลม์ เพื่อชาระลา้ งส่ิงสกปรก หลงั จากน้นั โรยเช้ือเห็ดลงบนร่องท่ีเตรี่ยมไวโ้ ดย 1 ร่อง
42 ใชเ้ ช้ือเห็ด 3 กอ้ นโรยเช้ือกอ้ นละ 1 เมตร รอประมาณ 3 วนั ข้ึนโครงไมไ้ ผเ่ ป็นแนวไวส้ าหรับขึงผา้ พลาสติก ประมาณ 4-5 โครง ให้โคง้ เป็ นแนวยาวคลุมผา้ พลาสติกเป็ นแนวโครงไมไ้ ผ่ ประมาณ 7-9 วนั เห็ดจะงอก และสามารถเก็บไปขายได้ ส่วนการดูแลรักษาระบายความร้อนหลงั จากเพาะเห็ดแลว้ 4-5 วนั ใหเ้ ปิ ดชายผา้ พลาสติกเพื่อระบายความร้อนออกจากกองเห็ดเป็ นคร้ังคราว เพราะถา้ อากาศร้อนเกินไปเส้นใยเห็ดจะไม่ รวมตวั เป็ นดอกนอกจากน้ีช่วยระบายความร้อนแลว้ ยงั เป็ นการเพิ่มอากาศให้กบั เห็ดอีกดว้ ยโดยพยายามให้ ความช้ืนกบั เห็ดอยตู่ ลอดเวลา โดยเฉพาะในฤดูแลง้ พยายามพ่นน้าใหเ้ ป็ นฝอยลงบนกองเห็ดพอชุ่ม ในส่วน ของผลผลิตและผลตอบแทนของทะลายปาล์มน้ามนั 1 คนั รถบรรทุก 6 ลอ้ เพาะเห็ดได้ประมาณ 380 กิโลกรัมตน้ ทุนประมาณ 3,000 บาท สร้างรายไดใ้ หเ้ กษตรกร 19,000 บาท การเลยี้ งผงึ้ โพรงในสวนยาง การเล้ียงผ้ึงโพรงในสวนยาง ขอ้ พิจารณาคือผ้ึงเป็นกิจกรรมเสริมในสวนยางที่ใหผ้ ลผลิตและแหล่ง อาหารสมบูรณ์แลว้ เน่ืองจากจะมีแหล่งอาหารและมีสภาพร่มเงาที่เพียงพอต่อการอยอู่ าศยั ทารัง แหล่งเล้ียง ผ้ึงตอ้ งปราศจาก การใชส้ ารเคมีกาจดั ศตั รูพืช และควรมีพืชท่ีใหด้ อกและเป็ นแหล่งอาหารของ ผ้ึงชนิดอื่นๆ อยใู่ นบริเวณใกลเ้ คียง วิธีการการเล้ียงผ้ึงโพรงสามารถหาผ้ึงมาเล้ียงไดจ้ ากแหล่งธรรมชาติโดยจะตอ้ งเตรียม กล่อง เล้ียงผ้ึง คอน เคร่ืองพน่ ควนั กล่องขงั นางพญา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใหพ้ ร้อม การนาผ้ึงจากธรรมชาติมา เล้ียง ตอ้ งจบั ผ้งึ นางพญาและผ้ึงงานอายนุ อ้ ยๆ 3-5 ตวั มาพรอ้ มกบั ตดั เอารวงผ้งึ ท่ีมีน้าหวานใส่ลงไปในกล่อง ใหม่ดว้ ยเพ่ือเป็ นอาหารสารอง เมื่อนาเอาผ้ึงนางพญาที่ใส่ในกล่องขงั นางพญา มาผูกติดกบั คอนผ้ึงกล่อง ใหม่ 1 คืน ผ้ึงตวั อ่ืนๆจะบินเขา้ สู่รังใหม่เกือบท้งั หมดรุ่งข้ึนจึงเคล่ือนยา้ ยกล่องเล้ียงไปต้งั ยงั สถานที่ในสวน ยาง แลว้ รีบเปิ ดหนา้ รัง เพื่อใหผ้ ้ึงงานออกหากินตามปกติพร้อมปล่อยผ้ึงนางพญาใหด้ ารงชีวิตต่อไปตามปกติ จานวนกล่องเล้ียงผ้ึงในสวนยางจะข้ึนกบั ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารผ้ึงโดยทว่ั ไปจะวางกล่องเล้ียง ห่างกันประมาณ 20 เมตร ผลผลิตและผลตอบแทน ผลผลิต 8-10 ลิตรต่อกล่องเล้ียงต่อปี ราคาลิตรละ ประมาณ 300 บาท (สถาบนั วิจยั ยาง, 2562) ผ้งึ โพรงสามารถใหผ้ ลผลิตน้าผ้ึงประมาณ 2-6 กิโลกรัมต่อรังต่อ ปี ผ้ึงโพรงมีการดารงชีวิตอยู่ร่วมกนั เป็ นกลุ่ม มีระบบการแบ่งกลุ่มเป็ น 3 วรรณะ ไดแ้ ก่ นางพญา (queen bee) ผ้ึงตัวผู้ (drone) และผ้ึงงาน (worker bees) ผ้ึงแต่ละวรรณะมีความแตกต่างในด้านลักษณะการ เจริญเติบโต และหนา้ ที่และกิจกรรม ซ่ึงภายในหน่ึงรังจะมีผ้ึงนางพญาหน่ึงตวั ผ้ึงตวั ผหู้ ลายร้อยตวั และผ้ึง งานเป็นหม่ืน ๆ ตวั ผ้งึ โพรงท่ีพบในเมืองไทยจะสร้างรังในโพรงหิน หรือโพรงไมต้ ่างๆ ซ่ึงตอ่ มาเกษตรกร ผู้ เล้ียงไดท้ ากล่องไมใ้ หผ้ ้ึงอาศยั อยเู่ พอื่ สะดวกต่อการเกบ็ น้าผ้ึง ผ้งึ โพรงจะใหน้ ้าผ้ึงประมาณ 3-15 กิโลกรัม/รัง โดยเฉล่ียประมาณ 7 กิโลกรัม/ปี นอกจากน้ีพนั ธุ์ผ้ึง (Apis Mellifera) เป็นผ้ึงสายพนั ธุ์ท่ีทว่ั โลกนิยมเล้ียงกนั ในเชิงพาณิชยเ์ พราะสามารถเก็บผลผลิตน้าผ้ึงไดใ้ นปริมาณมากและมีคุณภาพสูง และยงั สามารถนามาผลิต นมผ้ึง (royal jelly) ไดเ้ ป็ นอย่างดี ลกั ษณะเด่นของผ้ึงพนั ธุ์คือ หากรังมีขนาดใหญ่และมีจานวนมากพอ จะ สามารถเก็บน้าผ้ึงท่ีมีคุณภาพไดเ้ ป็ นจานวนมากในประเทศไทยเคยมีผูเ้ ก็บน้าผ้ึงไดส้ ูงสุดถึงรังละประมาณ 100 กิโลกรัมต่อฤดูกาล (เฉพาะน้าผ้ึงลาไยระหว่างปลายเดือนกุมภาพนั ธ์ถึงกลางเดือนเมษายน) และที่สาคญั ผ้ึงพนั ธุ์เป็นผ้ึงท่ีทิ้งรังยากเมื่อเทียบกบั ผ้ึงโพรงไทย (Apis Cerana) มีความดุร้ายนอ้ ยกวา่ ใหผ้ ลผลิตน้าผ้ึงที่มี
43 ความช้ืนนอ้ ยกวา่ (เม่ือเปรียบเทียบในสภาพแวดลอ้ มแบบเดียวกนั ) (ศูนยฝ์ ึ กอบรมการเล้ียงผ้ึงพนั ธุ์ประเทศ ไทย, 2560) ภาพการเลยี้ งพนั ธ์ุผึง้ (Apis Mellifera) เป็ นผงึ้ สายพนั ธ์ุทท่ี ัว่ โลกนิยมเลยี้ งกนั ในเชิงพาณชิ ย์ เกษตรทฤษฎใี หม่ เกษตรทฤษฎีใหม่เป็ นแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุย เดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกบั การจดั สรรพ้ืนที่อยู่อาศยั และท่ีทากินให้แบ่งพ้ืนท่ี ออกเป็ น 4 ส่วน ตามอตั ราส่วน 30:30:30:10 ซ่ึงหมายถึงพ้ืนท่ีส่วนที่หน่ึง ประมาณ 30% ใหข้ ดุ สระเก็บกกั น้า เพ่ือใชเ้ ก็บกกั น้าฝนในฤดูฝนและ ใชเ้ สริมการปลูกพืชในฤดูแลง้ ตลอดจนการเล้ียงสัตวน์ ้าและพืชน้าต่าง ๆพ้ืนท่ีส่วนท่ี สอง ประมาณ 30% ใหป้ ลูกขา้ วในฤดูฝน เพ่ือใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั สาหรับครอบครัวใหเ้ พียงพอตลอดปี เพอ่ื ตดั ค่าใชจ้ ่ายและสามารถพ่ึงตนเองไดพ้ ้ืนที่ส่วนท่ีสาม ประมาณ 30% ใหป้ ลูกไมผ้ ล ไมย้ นื ตน้ พชื ผกั พชื ไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั หากเหลือบริโภคก็นาไปจาหน่ายพ้ืนที่ส่วนท่ีสี่ ประมาณ 10% เป็นที่อยู่อาศยั เล้ียงสตั วแ์ ละโรงเรือนอื่น ๆ (ภาพเกษตรทฤษฎีใหม่) (ศาสตร์พระราชา, 2562)
Search