Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook-28

ebook-28

Published by ju_sureerut, 2018-04-12 03:37:45

Description: ebook-28

Search

Read the Text Version

ปที ่ี 38 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มนี าคม 2560 ฉบบั อเิ ล็กทรอนิกส์ 28

ปีที่ 38 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มนี าคม 2560 ฉบับอิเล็กทรอนิกส์ 26 สารบัญบทความ2 การปลกู พืชคลมุ ตระกลู ถ่ัวในสวนยาง: ประโยชนท์ ถ่ี ูกมองข้าม21 มูคนู า แบรค็ เทียตา (Mucuna bracteata): ซเู ปอรพ์ ืชคลมุ ตระกูลถั่ว38 แนวทางส่งเสรมิ และพัฒนาการปลกู พชื คลมุ ในสวนยาง แบบย่งั ยนื

บทบรรณาธิการ วารสารยางพาราฉบับนี้ จัดเป็นฉบับพิเศษ ประหยดั ค่าใช้จ่ายในการปราบวชั พืชลงไดม้ ากเน่ืองจากเนื้อหาท้ังเล่มเป็นเร่ืองราวของพืชคลุมดิน เร่ิม พืชคลุมพันธุ์ใหม่ หรือ ถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตาตั้งแต่เร่ืองประโยชน์ของพืชคลุมท่ีถูกมองข้าม ท�ำให้การ นอกจากเป็นพืชที่ทนทานต่อร่มเงาได้ดีแล้ว ยังมีความปลูกพืชคลุมในสวนยางของเกษตรกรลดลงไปเร่ือยๆ จน ทนทานต่อความแห้งแล้งท่ียาวนานได้ดีอีกด้วยแทบจะสูญหายไปจากวงการยางของไทย เร่ืองถัดมา เนื่องจากมีรากทส่ี ามารถหยั่งลกึ ลงไปในดินได้ 2-3 เมตรเป็นเรื่องของพืชคลุมพันธุ์ใหม่ แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ใหม่ จึงเหมาะส�ำหรับแนะน�ำให้ปลูกได้ท้ังแหล่งปลูกยางเดิมส�ำหรับประเทศผู้ปลูกปาล์มน�้ำมันและยางพาราใน ที่อยู่ทางภาคใต้ และแหล่งปลูกยางใหม่ที่อยู่ทางภาคอินเดีย มาเลเซีย และอนิ โดนเี ซีย ไมต่ อ้ งกล่าวถงึ อินเดีย เหนอื และตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศไทยเนื่องจากเป็นถิ่นก�ำเนิดของพืชคลุมพันธุ์ใหม่นี้ ส�ำหรับ ในการส่งเสริมและพัฒนาให้เกษตรกรหันกลับมามาเลเซยี ได้น�ำเขา้ จากอินเดยี มาปลกู เปน็ พชื คลุมในสวน นิยมปลูกพืชคลุมในสวนยาง นอกจากจะต้องให้ความรู้ปาล์มต้ังแต่ปี พ.ศ. 2534 (ผ่านมา 25 ปีแล้ว) และ ความเข้าใจถึงประโยชน์ของการปลูกพืชคลุมแก่ตัวปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ เกษตรกรแล้ว การผลิตเมล็ดพันธุ์พืชคลุมชนิดต่างๆป้อนอย่างยง่ิ สวนยางหรอื สวนปาล์มน้ำ� มนั ท่มี ีขนาดใหญ่ แต่ ให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างย่ิง พืชคลุมชนิดใหม่ส�ำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันเกษตรกรยังไม่ค่อยเป็น ต้องรีบด�ำเนินการ เน่ืองจากปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตที่รู้จัก หรือมีการใช้ประโยชน์จากพืชคลุมชนิดนี้กันน้อย เองได้ ต้องน�ำเข้าจากต่างประเทศในราคาท่ีสูงมาก จนมาก เป็นอุปสรรคส�ำคัญประการหน่ึงที่ท�ำให้เกษตรกรไม่ พืชคลมุ พนั ธุใ์ หมท่ ีก่ ลา่ วถงึ คอื มคู ูนา แบร็คเทียตา สามารถปลูกพืชคลุมพันธ์ใุ หม่ได้(Mucuna bracteata) จัดได้ว่าเป็นพืชตระกูลถ่ัวท่ีมี ส�ำหรับพืชคลุมชนิดเดิมซ่ึงมีอยู่สองกลุ่มคือ ถ่ัวที่คุณสมบัติของการเป็นพืชคลุมดินในสวนยางที่เหนือกว่า มีอายุหลายปี ทสี่ �ำคัญไดแ้ ก่ เพอราเรยี และซรี ูเลยี ม ซง่ึพืชคลุมชนิดเดิมที่ปลูกกันมา เช่น สามารถให้ปริมาณ อาจเรยี กได้ว่าเปน็ พชื คลุมหลัก กบั อกี กล่มุ หนง่ึ คือ ถวั่ ท่ีชีวมวล (Biomass) และธาตุอาหารต่างๆมากกว่าพืช มอี ายสุ นั้ ไดแ้ ก่ ถวั่ คาโลโปโกเนยี ม มคู นู อยดสี และมคู นู าคลุมชนิดเดิมถึง 3 เท่า จุดเด่นอีกประการหนึ่งของพืช โคชินชิเนนซิส หรือเรียกได้ว่าเป็นพืชคลุมเสริม ยังคงมีคลุมพันธุ์ใหม่น้ีคือ สามารถใช้จ�ำนวนต้นปลูกต่อพื้นท่ีไม่ ประโยชน์ต่อการปลูกเป็นพืชคลุมดินในสวนยาง ถ้าหากเกิน 80 ต้นต่อไร่ แต่ยังสามารถคลุมพ้ืนที่ได้อย่างหนา มีการบริหารจดั การได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมแน่น ซ่ึงเป็นการลดการแก่งแย่งน�้ำและอาหารระหว่าง ไพรัตน์ ทรงพานิชต้นยางและพืชคลุมลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืชท่ีขึ้นในสวนยางได้เป็นอย่างดี บรรณาธิการเหนือกว่าพืชคลุมชนิดเดิม อย่างเช่น เพอราเรีย ท�ำให้เจา้ ของ: สถาบนั วจิ ัยยาง การยางแห่งประเทศไทย เขตจตุจักร กรงุ เทพมหานคร 10900บรรณาธิการบริหาร: นายพิเชฏฐ์ พรอ้ มมูล ผูอ้ ำ�นวยการสถาบนั วจิ ยั ยางบรรณาธกิ าร: นายไพรัตน์ ทรงพานชิกองบรรณาธกิ าร: ดร.กฤษดา สังข์สงิ ห,์ ดร.นภาวรรณ เลขะวพิ ัฒน,์ นางปรดี ิเ์ ปรม ทัศนกลุ ,นางอารมณ์ โรจนส์ จุ ิตร, นางสาวอธิวีณ์ แดงกนิษฐ,์ ดร.ฐติ าภรณ์ ภมู ไิ ชย์ผูจ้ ดั การสอื่ สิ่งพิมพ:์ นายไพรตั น์ ทรงพานชิ ผจู้ ดั การสอื่ อเิ ลก็ ทรอนิกส:์ นายสขุ ทัศน์ ตา่ งวริ ยิ กุลผู้ช่วยผ้จู ดั การสือ่ อิเล็กทรอนกิ ส์: นายจักรพงศ์ อมรทรพั ย์ พสิ จู นอ์ กั ษร: นางอบุ ลพรรณ แสงเดช

2 ฉบับอิเล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560การปลกู พชื คลมุ ตระกลู ถว่ั ในสวนยาง:ประโยชน์ที่ถกู มองข้ามภทั ธาวธุ จวิ ตระกลู *93/75 นิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ต. หาดใหญ่ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา 90110e-mail: [email protected] เม่ือมีการน�ำเข้ายางพารามาปลูกในประเทศทาง ภาพท่ี 1 การวางแนวคันคูดักตะกอนใช้ส�ำหรับสวนยางที่มีความลาดเทแถบตะวันออกไกลเป็นคร้ังแรกในปี ค.ศ. 1877 การท�ำ ประมาณ 5-15 องศา โดยใหม้ ีระยะระหวา่ งคหู ่างกัน 8 เมตร และแนวคูสวนยางในช่วงระยะแรกๆ มีความเข้าใจวา่ สวนยางตอ้ ง อยู่เหนือแนวปลูกยาง 1 เมตร คูมีลักษณะเป็นคูปลายปิด ยาวประมาณโล่งเตียน ปราศจากวัชพืชขึ้นแข่งขันกับต้นยาง ในส่วน 10 เมตร กวา้ ง 1 เมตร ลึก 40-50 ซม. (ท่มี า: เวท และคณะ, 2532)ของการป้องกันการกร่อนของดิน (Soil erosion) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ใช้วิธีขุดดินให้ ภาพที่ 2 หน้าตดั คดู ักตระกอนในทีล่ าดเท 15-35 องศา (ท่ีมา: เวท และเปน็ คูยาวเพ่ือดกั ตะกอนดนิ ทไี่ หลมากับน้ำ� หรอื เรยี กวธิ นี ี้ คณะ, 2532)วา่ Silt plitting (Dijkman, 1951) ดังแสดงไว้ในภาพที่ 1และ 2 อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ได้ถูกยกเลิกไปในช่วงปี ค.ศ. ปุ๋ยบ�ำรุงให้กับพืชคลุม ก�ำจัดศัตรูพืช และดูแลมิให้พืช1920 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต�่ำ เนื่องจากมีค่าใช้ คลุมเป็นอันตรายต่อตน้ ยางจ่ายสูงมากท้ังในเรือ่ งของการสรา้ งและดูแลรักษา ต่อมาจึงได้คิดค้นหาวิธีอ่ืนในการท่ีจะปกป้องหน้าดินมิให้ถูกท�ำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างท่ีต้นยางยังมีพุ่มใบไม่ชนกัน วิธีแรกเป็นการใช้ประโยชน์จากพืชท่ีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ เพียงแต่คัดเลือกให้เหลือไว้เฉพาะพืชที่ต้องการใช้ประโยน์ในแง่ของการเป็นพืชคลุมดิน เช่นหญ้าบางชนดิ พืชจ�ำพวกเฟริ น์ เป็นตน้ วิธีท่สี อง ปลกู พืชตระกูลถ่ัวประเภทเลื้อยพันและไม้พุ่มเป็นพืชคลุมดินในพื้นท่ีว่างในขช่วงที่ต้นยางยังเล็กอยู่ ทั้งนี้เน่ืองจากพืชตระกูลถ่ัวสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงสู่ดินได้และในการปลูก มีการดูแลและบ�ำรุงรักษาเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากพืชคลุมตระกลู ถ่ัวอยา่ งเตม็ ที่ เช่น มกี ารใส่* อดตี นกั วิชาการศนู ยว์ ิจัยการยาง และศนู ย์วจิ ยั ยางสงขลา อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา (ระหวา่ งปี 2517-2533)

3 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 จากการเก็บเก่ียวผลผลิตและน�ำส่วนต่างๆเกือบทั้งหมด ของต้นยางออกจากพื้นที่ การเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน ในการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับผลของการปลูก ส่วนใหญ่ยังคงใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งนับวันมีแต่ท�ำให้ดินเสื่อมลงพืชคลุมท่ีมีต่อการปรับปรุงดิน การเจริญเติบโตและการ ไปเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็คือการให้ผลิตยางในอนาคตจะให้ผลผลติ ของตน้ ยาง กล่าวได้ว่า มาเลเซีย เปน็ ประเทศ ลดลงเร่ือยๆ ดังน้ัน การปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วชนิดใดที่มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยในเร่ืองนี้มากท่ีสุด โดยเร่ิมต้น ชนิดหนึ่งให้เหมาะสมกับพื้นที่ เป็นวิธีการหน่ึงที่จะช่วยศึกษาวจิ ยั มาตั้งแตห่ ลังปี ค.ศ. 1930 เป็นตน้ มา (Haine, อนุรักษ์ดินและน�้ำเพื่อให้อาชีพการท�ำสวนยางมีความ1931, 1932; Sanderson and Haines, 1931; มั่นคงและยั่งยืน บทความนี้จึงได้รวบรวมผลงานท่ีแสดงAkhurst,1932; Eaton, 1935) แต่การศึกษาในช่วงดัง ให้เห็นถึงประโยชน์และคุณค่าของการปลูกคลุมตระกูลกล่าวยงั ไม่ได้ทำ� กันอย่างจรงิ จงั และต่อเนื่อง และยังคงมี ถั่วในหลายๆมติ ิ ซง่ึ ปัจจุบันไดถ้ ูกมองข้ามไป ท้ังนเ้ี พือ่ ให้ข้อโต้เถียงในบางประเด็นของประโยชน์ที่จะได้รับจาก ชาวสวนยางได้มีความรู้ความเข้าใจ และมองเห็นว่าการการปลูกพืชคลุมในสวนยาง ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1950- ปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วในสวนยางไม่ใช่ส่ิงท่ีเป็นภาระ1970 กล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มีการศึกษาวิจัยในเร่ืองพืช เสียเวลาและค่าใช้จ่าย แต่เป็นส่ิงท่ีควรกระท�ำเสียต้ังแต่คลุมในสวนยางอย่างจริงจังและต่อเน่ือง เพื่อให้ได้ข้อ วนั น้ีเพื่อประโยชน์ที่จะเกิดข้ึนในวนั ขา้ งหน้าสรุปถึงผลประโยชน์ของการปลูกพืชคลุม โดยเฉพาะ อน่ึง ข้อมูลหรือผลการทดลองที่น�ำเสนอในครั้งน้ีอย่างยิ่ง พชื คลมุ ตระกลู ถ่วั 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ คาโลโปโกเนยี ม เป็นการศึกษาวิจัยกับพืชคลุมคาโลโปโกเนียม มูคูนอยมูคูนอยดีส (Calopogonium mucunoides), เพอราเรีย ดีส, เพอราเรีย ฟาซีลอยดีส และ เซ็นโตรซีมา พิวเบสฟาซีลอยดีส (Pueraria plaseoloides) และเซ็นโตรซีมา เซนส์ อีกประการหน่ึง สถานท่ีทดลองก็เป็นประเทศพิวเบสเซนส์ (Centrosema pubescens) ผลงานวิจัยท่ี มาเลเซียซึ่งมีภูมิอากาศใกล้เคียงกับทางภาคใต้ของโดดเด่นเป็นของนักวิชาการ 3 กลุ่มหลักๆ สองกลุ่มแรก ประเทศไทย ดงั น้นั ผลการทดลองจงึ น่าจะน�ำมาใชไ้ ดก้ ับเป็นนักวิชาการของสถาบันวิจัยยางมาเลเซีย (Watson’s ทางภาคใต้ได้ แต่ในพ้ืนที่ที่มีภูมิอากาศแตกต่างออกไปและ Wycherley’s) อีกกลุ่มเป็นนักวชิ าของ Dunlop Re- เชน่ ภาคเหนอื และตะวนั ออกเฉียงเหนือ ผลการทดลองsearch Center (Mainstone’s) การศกึ ษาในระยะถัดมา อาจมีความแตกต่างออกไป เช่น ในกรณีของการจนถึงปัจุบัน มักจะเป็นไปในเร่ืองของการค้นหาพืช แก่งแย่งน�้ำในช่วงหน้าแล้งท่ีมีระยะเวลายาวนานตระกูลถั่วชนิดใหม่ท่ีมีคุณสมบัติดีกว่าพืชคลุมตระกูลถั่ว นอกจากน้ี ปัจจัยในเรื่องของชนิดของพืชคลุมก็มีความสามชนิดแรกที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น ในเรื่องของ ส�ำคัญ ถ้าสมมุติว่า ในการทดลองในช่วงปี ค.ศ. 1950-ความเร็วในการคลุมดิน ปริมาณของชีวมวล (Biomass) 1970 ได้ท�ำกับถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ภาพโดยรวมของและธาตอุ าหารท่ีมีอยู่ การทนทานตอ่ ความแหง้ แลง้ และ ผลประโยชน์ที่ได้ัจากการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วคงมองร่มเงาของต้นยาง พืชคลุมชนิดใหม่ที่ได้มีการศึกษามา เหน็ ได้ชดั เจนมากกวา่ นี้แล้วได้แก่ คาโลโปโกเนียม ซีรูเลียม (Calopogonium บทความน้ีจะแบ่งผลของการปลูกพืชตระกูลถั่วcaeruleum), มูคูนา โคชินชิเนน-ซิส (Mucuna cochin- ออกเป็นสองตอนคือ ผลที่มีต่อดิน และผลท่ีมีต่อการchinensis) และลา่ สดุ คอื มคู ูนา แบรค็ เทยี ตา (Mucuna เจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของต้นยาง ต่อท้ายด้วยbracteata) บทสรุปและวจิ ารณ์ ในสถานการณ์ปัจจุบันของการท�ำสวนยางของประเทศไทย นับต้ังแต่มีการน�ำต้นยางเข้ามาปลูกเป็น ผลท่ีมตี ่อดนิครั้งแรกเม่ือปี พ.ศ. 2441 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบจะครบ 120 ปีแล้ว หรือถ้านับรอบของการปลูกยางใน ช่วยลดการกรอ่ นของดินพ้ืนท่ีเดิม โดยเฉพาะในแหล่งปลูกยางเดิม มีการปลูกไม่ การกร่อนของดิน (Soil erosion) จะท�ำเสียหายต�่ำกวา่ 4-5 รอบ และในแตล่ ะรอบของการปลูกยาง ยอ่ ม อย่างมากให้กับพื้นท่ีการเกษตรท่ีมีฝนตกชุก ปริมาณมีการสูญเสียธาตุอาหารและอินทรียวัตถุจากดินออกไป

4 ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพท่ี 3 การเกดิ การกรอ่ นของดนิ (Soil erosion) อย่างรุนแรงโดยฝนท่ตี กหนักตดิ ตอ่ กันหลายวนั ในพ้นื ทล่ี าดชนั หลังจากเตรยี มพื้นท่เี พ่ือปลูกยางของดินท่ีสูญเสียโดยการกร่อนจะเพิ่มมากขึ้นตามระดับ ช่วยเพิม่ ไนโตรเจนให้กบั ดินความลาดชันของพ้ืนท่ี ฝนที่ตกหนักติดต่อกันจะเคลื่อน จุดเด่นประการหน่ึงของพืชตระกูลถั่วท่ีน�ำมาใช้ย้ายอนุภาคดินโดยน�้ำไหลบ่า (Runoff) ซ่ึงจะก่อให้เกิด เปน็ พชื คลมุ ดิน คือ สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงการสูญเสียหน้าดินที่มีธาตุอาหารอยู่เป็นจ�ำนวนมาก สดู่ นิ ได้ โดยอาศัยจลุ นิ ทรยี ์ทีอ่ ย่ใู นปมรากถวั่ ตา่ งจากพชื(ภาพที่ 3) ดังนั้น การหาวิธีป้องกันท่ีเหมาะสมและ คลุมชนิดอื่น ซ่ึงนอกจากไม่สามารถตรึงไนโตรเจนจากรวดเรว็ จงึ เปน็ ส่งิ จำ� เป็นอย่างย่ิง อากาศได้แล้ว ยังมีการแก่งแย่งธาตุไนโตรเจนท่ีมีอยู่ใน จากผลงานวิจัยที่กระท�ำในช่วงยางก่อนเปิดกรีด ดินกับต้นยางที่เจรญิ เตบิ โตรว่ มกันอกี ด้วยในพ้ืนที่ลาดชันและมีการท�ำคันดิน (Terrace) ดินมี จากการทดลองในไลซิมิเตอร์ (Lysimeter) กับถ่ัวลักษณะเป็นดนิ ทราย แถวยางห่างกัน 8 เมตร ในระหว่าง เซน็ โตรซมี า โดย Watson (1957) พบว่า ตลอดระยะเวลาแถวยางมพี ืชคลุมข้นึ ปกคลมุ ดินแตกต่างกัน 5 ชนิด จาก 5 เดือนของการเจริญเติบโต มีการสะสมปริมาณการวัดการทับถมของดินบนคันดินเป็นระยะเวลา 20 ไนโตรเจนมากถึง 39 กก./ไร่ เทียบกับต้นข้ีไก่ย่าน (Mi-เดือน ผลปรากฏว่าการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วประเภท kania micrantha) ซ่ึงไมใ่ ชพ่ ืชตระกูลถว่ั ตอ่ มา Josephเล้อื ยพัน ไดแ้ ก่ คาโลโปโกเนียม และเพอราเรีย สามารถ (1970) ได้ทดลองกบั ถั่วเพอราเรียซง่ึ ปลกู ในกระถาง พบลดการกร่อนของดินได้ดีกว่าพืชคลุมชนิดอ่ืน ส่วนดินท่ี ว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการเจริญเติบโต ถั่วไม่มีพืชข้ึนปกคลุม หรือดินว่างเปล่าจะเกิดการกร่อนของ สามารถตรึงไนโตรเจนได้ประมาณ 10 กก./ไร่ดินมากทีส่ ดุ (ตารางที่ 1) ผลการทดลองดงั กล่าวแสดงให้ จากการวัดปริมาณธาตุอาหารท้ังหมดที่มีอยู่ในเห็นประโยชน์ของการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วที่ช่วยลด พืชคลุมตระกูลถ่ัว ทั้งในส่วนท่ีเป็นสีเขียว (Arial parts)ความเสยี หายอนั เกดิ จากการกรอ่ นของดนิ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน และส่วนท่ีเป็นเศษซากพืช (Litter) ในแปลงทดลองหน่ึง จากจ�ำนวนหลายแปลงทดลองของ Watson et al.,

5 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ตารางที่ 1. ผลของพืชคลุมดินชนิดต่างๆตอ่ การลดการกร่อนของดนิ ชนิดของพชื คลมุ ดิน ความหนาของดินท่ีทับถม บนคันดิน (ซม.) ถั่วคาโลโป (Calopogonium mucunoides) 5.64 ถั่วเพอราเรีย (Pueraria phaseoloides) 11.07 ถ่วั โครโตราเรีย (Crotolaria) 15.69 ถ่ัวทีโฟรเซยี (Trephrosia) 14.02 หญ้า 12.67 ดนิ วา่ งเปลา่ (ไม่มีพชื ข้นึ ปกคลุม) 19.04 ที่มา: Chin (1977)(1963) ไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ว่า ในระหวา่ งปที ่ี 2 - 4 หลงั จาก ปลดปล่อยธาตุอาหารลงสู่ดินให้พืชน�ำไปใช้ประโยชน์ต่อปลูกยาง จะได้รับไนโตรเจนในปริมาณสุทธิเท่ากับ 18 - ไป ทั้งนี้เนอ่ื งจากเศษซากของพืชคลุมตระกลู ถัว่ มสี ัดส่วน28 กก./ไร่ นอกจากน้ี ยงั มีปรมิ าณไนโตรเจนท่ยี ังตกคา้ ง ระหวา่ งคาร์บอนตอ่ ไนโตรเจน (C/N ratio) ประมาณ 15ในส่วนท่ีเป็นสีเขียวและเศษซากพืชที่จะปลดปล่อยออก ในขณะท่ีเศษซากของขี้ไก่ย่าน อยู่ระหว่าง 20 และ 25มาในระยะเวลาต่อไปอีก 18 - 24 กก./ไร่ และในอีกแปลง สว่ นหญา้ มีคา่ สงู ถึง 40 (Watson, 1961)ทดลองหน่ึง (Watson et al.,1964a) พบวา่ ในระหวา่ งปี ชว่ ยเก็บรักษาความชน้ื ใหก้ ับดินท่ี 3 - 5 ของการปลูกยาง พืชคลุมตระกูลถั่วให้ปริมาณ จากการทดลองในสภาพภูมิอากาศของประเทศไนโตรเจนท้ังหมดประมาณ 38 กก./ไร่ และยังคงมี มาเลเซียซ่ึงมีช่วงแล้งที่ส้ันคล้ายๆกับทางภาคใต้ของไทยไนโตรเจนอยใู่ นตัวพชื คลมุ อกี 16 กก./ไร่ ในปีท่ี 5 จะเหน็ พบว่า การปลูกพืชคลุมตระกูลถ่ัวมีผลอย่างมากต่อการได้ว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พืชคลุมตระกูลถั่วจะเป็น เก็บกักน้�ำของดิน (Soil miosture storage) โดยเฉพาะแหล่งท่ีให้ไนโตรเจนสูงกว่าพืชคลุมชนิดอ่ืนๆที่ไม่ใช่พืช อย่างยิ่งในดินทรายซึ่งมีความจุอุ้มน�้ำ (Water holdingตระกูลถั่ว นอกจากจะเป็นแหล่งไนโตรเจนท่ีดีแล้ว ราก capacity) ต่�ำกวา่ ดนิ เหนียว Watson et al. (1964c) พบยางที่เจริญเติบโตตามบริเวณผิวดินจะเพิ่มจ�ำนวนให้เห็น วา่ ในสภาพของดนิ ทราย การปลกู พชื คลุมตระกูลถัว่ จะมีได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ปริมาณไนโตรเจนในใบยางสูง ผลในทางบวกต่อการเก็บกักน้�ำของดิน (ภาพท่ี 4)ข้ึน และเศษซากใบยางท่ีร่วงหล่นลงสู่พื้นดินก็มีปริมาณ ปริมาณความช้ืนในดินท่ีปกคลุมด้วยพืชคลุมตระกูลถั่วเพม่ิ ขึน้ ตามไปดว้ ย (ตารางที่ 2) จะมมี ากกว่าดนิ ทไ่ี ม่มอี ะไรปกคลมุ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ท่ี การทพ่ี ชื คลมุ ตระกลู ถวั่ สรา้ งอนิ ทรยี วตั ถุ (Organic ระดบั ความลึก 0 - 15 ซม. ส่วนดนิ ทป่ี กคลุมดว้ ยหญา้ ให้matter) ท่ีมีปริมาณไนโตรเจนสูงรวมถึงธาตุอ่ืนๆให้กับ ผลในการเก็บกกั น�ำ้ ไม่แตกตา่ งจากพืชคลุมตระกลู ถัว่ดิน และต้นยางสามารถน�ำไปใช้ได้ จึงเป็นเหตุผลหลัก ที่ระดบั ความลึก 30 - 45 ซม. ปริมาณความช้ืนในส�ำหรับค�ำถามที่ว่า ท�ำใมการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วจึงมี ดินมีความผันผวนน้อยกว่าดินชั้นบน พบความแตกต่างผลดตี อ่ การเจริญเตบิ โตและการให้ผลผลติ ของต้นยาง ระหว่างชนิดของพืชคลุมต่อการเก็บกักน้�ำน้อยกว่าดินช้ัน เศษซากของพืชคลุมที่ร่วงลงสู่พ้ืนดินจะอยู่ใน บน ในกรณีของดินว่างเปล่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ดินจะมีสภาพท่ีชื้น มีการผุผังและสลายตัวอย่างรวดเร็ว และ

ตารางที่ 2. การเปลยี่ นแปลงของปรมิ าณไนโตรเจนทัง้ หมด ตารตแาาลงรทะาผี่ ง2ลทผที่ 2ลม่ี ขผีตอล่องขสพอถืชงาพควะุมืชธคดาุมินตดชุอินาชดิ หนตาิดร่าขงตๆอ่าตงงยๆอ่ าตธงา่อพตธาอุ าร เป็นเปเวน็ ลเาวล4า, 6ตารางที่ 2 ผลของพืชคมุ ดินชน2ดิ ตเา่ ปง็นๆคตเตววา่ 2า่อลงมธา-สแา3ุทปริมาณไนโตรเจนทงั้ หมด (กก./ไร)่ 40.6 +13 ถวั่ 10.9 +0. หญ้า 18.3 -5.1 ข้ไี กย่ ่าน ถว่ั 38.4ไนโตรเจนทงั้ หมดท่ไี ดร้ ับกลับคืนตลอดระยะเวลา 3-5 ปี (กก./ไร่)ปรมิ าณไนโตรเจนของพืชคลุม (%) 2.60 2.83 สว่ นทเี่ ปน็ สีเขียว 3.46 เศษซากพืช 6,710ปรมิ าณไนโตรเจนของใบยาง (%) 99.3เศษซากใบยางทีร่ ่วง (กรัม/ต้น/ป)ี 1,221.3ปรมิ าณไนโตรเจนของเศษซากใบยาง (กรมั /ต้น)ปรมิ าณรากยางทีผ่ วิ ดนิ และทีค่ วามลึก 0-8 ซม. (กก./ไร่)ทีม่ า: Watson et al. (1964a); Watson (1989a)หมายเหตุ: ข้อมลู ปริมาณไนโตรเจนของพชื คลุมชนดิ ตา่ งๆ และของใบยาง เป็นค่าเฉลย่ี ของการเกบ็ ตัวอย่าง หลังจากตดิ ตา

ดทมี่ อี ยใู่ นสว่ นเหนือพนื้ ดนิ ของพชื คลมุ ชนิดต่างๆ 5อารตาาหุอแาาลรหใะานกราดใรนนิ เดจหินรลิญหงั จลเตางั กบิจโาโคตกน่ โขคปอน่ า่ งแปรลา่ากะแยมลากีะงามรกี ปาลรปกู ยลากู งยาง 64,แ6ละแล1ะ0 1ป0ี ปี ปที ห่ี ลงั จากปลกูแา3ท4ตตธ,กุอิ6าแหลาะรใ1น03ดปินี หลังคจตวาา่ 3ากงม-สโแค4ทุ ต่นธกปิ า่ และม4ีการปลูกคตยว่า4าางมง-สแ5ุทตธกิ3.6 54.2 -24.4 29.8 -14.0 15.8.5 11.4 -1.1 10.3 -2.5 7.81 13.2 -5.7 7.5 +0.5 8.0 ขไ้ี กย่ า่ น s.e.± หญา้ 5.3 3.61.22 1.17 0.0471.18 1.44 0.0813.27 3.12 0.0263,181 2,502 29346.7 32.9576.8 636.34 ครั้งต่อป;ี วเิ คราะห์เศษซากใบหลงั จากติดตา 4 ป;ี ช่ังนำ�้ หนกั รากในช่วงระหว่างปีท่ี 3 - ปที ่ี 4

7 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560 ¾ª× µÃСÅÙ ¶ÇÑè 0 - 15.24 «Á. (0 - 6 ¹éÇÔ ) ËÞŒÒ 24 ¾ª× µÒÁ¸ÃÃÁªÒµÔ 22 ´¹Ô Njҧà»Å‹Ò 20% ¤ÇÒÁªé×¹18 16 14 22 30.48 - 45.72 «Á. (12 - 18 ¹ÇéÔ ) ** * ** 20 18 ** * 16 6/4 8/5 5/6 6/7 193/681 8/9 6/10 3/11 8/12 8/1 9/2 5/3 2/4 7/6 13/7 3/8 4/9 9/10 Çѹ·ÕèÊÁØ‹ µÑÇÍÂÒ‹ § 1962ภาพที่ 4 ผลของพืชคลุมดนิ ชนิดต่างๆทมี่ ตี อ่ ปรมิ าณความช้ืนในดนิ (ทม่ี า: Watson et al.,1964c) หมายเหตุ: ท่ีระดบั ความลึก 0 - 6 น้ิว ค่าสูงสุดและต�ำ่ สุดในทกุ ช่วงเวลาท่ีเกบ็ ตัวอย่างมีความแตกต่างทางสถิติ (P<0.05 หรอื ดีกวา่ ) ท่ีระความลึก 12- - 18 น้ิว ค่าสงู สุดและคา่ ต่�ำสุดมคี วามแตกตา่ งทางสถติ ิเฉพาะตรงท่มี เี ครอื งหมายดอกจันเทา่ นน้ั : * P<0.05, ** P<0.01ปรมิ าณความชนื้ สงู สุดในหนา้ แล้ง แตม่ ีปริมาณความชืน้ และมีการกลับคืนมาของธาตุอาหารลงสู่ดินจากเศษซากต�่ำสดุ ในหน้าฝน ก่ิงก้านของต้นยาง หรือเศษซากใบยางที่ร่วงลงสู่ดินในช่วยลดการสญู เสยี ของธาตุอาหารในดิน ช่วงท่ีต้นยางผลัดใบ ระบบนิเวศวิทยาจะได้รับธาตุ ในวงจรธาตุอาหารของต้นยาง เม่ือมีการโค่นป่า อาหารเพิ่มขึ้นจากฝนที่ตกลงมาและจากการใส่ปุ๋ย และเพ่ือปลูกแทนด้วยต้นยางในคร้ังแรก สวนยางจะอยู่ใน จะสูญเสยี ไปเพียงเลก็ นอ้ ยกบั การชะละลาย (Leaching)สภาพแวดล้อมที่เข้ามาแทนท่ีป่าด่ังเดิม มีระบบ แต่จะสูญเสียไปอย่างมากกับน�้ำยางท่ีเก็บเก่ียวออกไปนิเวศวิทยาแบบปิด โดยที่วงจรของการน�ำธาตุอาหาร จากต้นยางและไม้ยางท่ีน�ำออกไปจากพื้นท่ี การรู้คุณค่าจากดินไปใช้ประโยชน์และการได้รับกลับคืนมาของธาตุ ของระบบท่ีว่าน้ี จะเป็นพ้ืนฐานต่อความเข้าใจในเรื่องอาหารลงสู่ดินจะค่อนข้างคงท่ี ถา้ หากมีการปลกู พืชคลุม ความตอ้ งการธาตุอาหารของสวนยางตระกูลถ่ัวหลังจากเตรียมพื้นท่ีเพ่ือปลูกยาง พืชคลุมจะ จากการทดลองในมาเลเซีย พบว่า หลังจากท่ีได้ช ่ ว ย ป ้ อ ง กั น ก า ร เ กิ ด ก า ร ก ร ่ อ น ข อ ง ดิ น แ ล ะ มี ก า ร โค่นป่าเพ่ือปลูกแทนด้วยยางพารา ในขณะพ้ืนดินยังว่างหมุนเวียนธาตุอาหารบริเวณผิวดินกลับมาใช้ใหม่ทันที เปลา่ และได้รับแสงแดด อนิ ทรยี วัตถทุ ี่สะสมไว้ในดินจะหลังจากนั้นเม่ือต้นยางมีพุ่มใบชนกันและพืชคลุมได้ทิ้ง มีการสลายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในดินช้ันบนจะพบเศษซากพืชไว้ รากของต้นยางที่หาอาหารจากบริเวณชั้น ปริมาณธาตุไนโตรเจนในรูปของไนเทรต (NO3-)ผิวดิน จะน�ำธาตุอาหารท่ีอยู่ในชีวมวลไปใช้ประโยชน์ เท่ากับ100 ppm (ส่วนในล้านส่วน) แม้ว่าเวลาจะผ่าน พ้นไป 2 - 3 ปี หลังจากเตรียมพ้ืนที่ ก็ยังพบไนเทรต-

8 ฉบับอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 ต้นยางในแปลงท่ีปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วจะใกล้เคียงกับ ต้นยางที่เจริญเติบโตร่วมกับพืชคลุมชนิดอ่ืนๆ ส่วนผลไนโตรเจน ในดินชัน้ บน สงู ถึง 44 ppm ภายใต้สภาพดิน ความแตกต่างของปริมาณไนโตรเจนในใบยางก็มีเฉพาะว่างเปล่า แต่ภายใต้สภาพท่ีดินถูกปกคลุมด้วยพืชคลุม ในแปลงขไ้ี กย่ า่ นทีม่ ีผลในทางลบเทา่ น้นัตระกูลถั่ว หรือแม้กระท่ังหญ้า พืชจ�ำพวกไม้พุ่ม และ ในปีท่ี 3 หลงั จากปลูก พืชคลุมตระกูลถ่วั เริม่ มีการเฟริ น์ จะพบไนเทรต-ไนโตรเจน นอ้ ยกว่า หรอื เท่ากบั 18 เจิญเติบโตลดลงและไม่หนาแน่นเท่ากับปีท่ีผ่านมา จากppm (Watson et al., 1964c) การน�ำธาตุไนโตรเจนจากเศษซากพืชคลุมตระกูลถ่ัวที่ ในปที ่ี 4 หลงั จากปลกู ยาง ลึกลงไปจากผวิ ดิน 100 เน่าเปื่อยไปใช้ประโชยน์ของต้นยาง มีผลท�ำให้ปริมาณซม. ภายใตส้ ภาพท่มี พี ืชคลุมดนิ ขนดิ ต่างๆขนึ้ ปกคลมุ ดิน ธาตุไนโตรเจนท่ีตรวจพบในใบยางมีค่าสูงกว่ากรรมวิธียังคงมีระดับระดับของไนเทรต-ไนโตรเจน ค่อนข้างคงที่ อ่ืนๆ และส่งผลให้ต้นยางมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้นเทา่ กบั 1 - 2 ppm แตใ่ นสภาพที่ดินวา่ งเปลา่ จะพบไน ต้นยางที่ปลูกร่วมกับพืชคลุมตระกูลถ่ัวยังคงมีปริมาณเทรต-ไนโตรเจน เท่ากับ 10 ppm ทร่ี ะดับความลกึ 0 - 15 ไนโตรเจนในใบทสี่ งู จนถงึ ปที ่ี 5 หลังจากปลูกซม. จากผิวดิน จนถงึ 35 - 44 ppm ทรี่ ะดับความลกึ 45 ช่วยปรับปรงุ ดนิ- 100 ซม. เมื่อเวลาผ่านไป การสลายตัวของอนิ ทรยี วตั ถุ ดินทรายมีสภาพและขนาดของการเกิดเม็ดดินยังคงด�ำเนินต่อไป พร้อมๆไปกับการเคล่ือนท่ีของไน (Aggregation) แย่กว่าดินเหนียว ดังน้ัน จึงง่ายต่อการเทรต-ไนโตรเจนลึกลงสู่ดินข้างล่างไปเรื่อยๆ และมีการ เกิดการกร่อนของดิน Soong และ Yap (1976) ได้มกี ารลดลงของค่า pH ในดิน ปริมาณอินทรียวัตถุ และเบส ศึกษาถึงผลตกค้างของพืชคลุมตระกูลถั่วที่ปลูกในช่วงแลกเปล่ยี นได้ (Exchangeable bases) (ตารางที่ 3) ซงึ่ ยางก่อนเปิดกรีดต่อสมบัติทางฟิสิกส์ของดินหลังจากยืนยันถึงการคงอยู่ของขบวนการชะละลาย (Leaching) ปลูกยางไปแล้ว 16 ปี พบว่า พืชคลุมตระกูลถ่ัวและพืชในการโค่นปา่ และเปดิ หนา้ ดนิ ในปที ี่ 6 และ 10 หลังจาก คลุมตามธรรมชาติท�ำให้ดินมีสภาพดีข้ึนมากกว่าการปลูกยาง ธาตุอาหารยังคงลดลงต่อไปในทุกกรรมวิธีของ คลุมดินด้วยหญ้าและขี้ไก่ย่าน โดยดินที่ปลูกพืชคลุมการคลุมดิน ตระกลู ถ่ัวมีความหนาแน่นรวม (Bulb density) ตำ่� กวา่ มี ปริมาตรช่อง (Pore space) สูงกว่า ซึ่งส่งผลให้เกิดการบทบาททมี่ ีตอ่ วัฏจกั รธาตอุ าหาร แทรกซมึ (Infiltration) ของน�ำ้ ดีขึน้ (ตารางที่ 4) อย่างไร ในการท�ำสวนยางเพ่ือหวังผลก�ำไร การปฏิบัติโดย ก็ตาม คณะผู้วิจัยได้ให้ข้อสรุปว่า ผลของพืชคลุมดินต่อท่ัวไปแล้ว จะปลูกพืชคลุมตระกูลถ่ัวทันทีหลังจากปลูก การปรับปรุงโครงสร้างของดนิ (Soil structure) ข้ึนอยูก่ ับยาง เพื่อเป็นการป้องกันการกร่อนของดิน และลดการ ปัจจัยที่มีความส�ำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปริมาณของสูญเสียธาตุอาหารดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น พืชคลุม อินทรยี วตั ถุทใ่ี ห้ไวก้ บั ดินตระกูลถวั่ ทีป่ ลกู โดยทว่ั ไปแล้วจะเจรญิ เติบโตได้ 3 หรอื4 บี หลงั จากนนั้ จะทยอยตายไปตามรม่ เงาของพ่มุ ใบตน้ ผลทีม่ ีตอ่ การเจญิ เตบิ โตและยางท่ีเพ่ิมขึ้น คงเหลือไว้เฉพาะพืชบางชนิดที่ยังเจริญ การใหผ้ ลผลิตของตน้ ยางเติบโตภายใตร้ ม่ เงาได้ดี แตก่ ็ไมห่ นาแนน่ การสะสมและปลดปล่อยธาตุไนโตรเจนในพืชคลุมตระกูลถ่ัว และพืช หน่ึงในงานทดลองในยุคบุกเบิกท่ีศึกษาผลของคลมุ ชนดิ อนื่ ๆ ในช่วง 5 ปี หลังจากปลกู ยาง เปรยี บเทยี บ การปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วต่อการเจริญเติบโตของต้นกบั ไนโตรเจนที่มีอยู่ในต้นยาง แสดงไวใ้ นภาพท่ี 5 ยางเริม่ ตน้ ขึน้ ในปี ค.ศ. 1951 ในสวนยางขนาดใหญข่ อง ในช่วง 2 ปแี รกหลงั จากปลกู พชื คลมุ ตระกูลถวั่ จะ บริษัท Dunlop ประเทศมาเลเซีย (Mainstone, 1963)มีการเก็บสะสมธาตุไนโตรเจนไว้เป็นจ�ำนวนมาก ทั้งได้ การทดลองครั้งน้ีใช้ถ่ัวเพอราเรียผสมกับถ่ัวเซ็นโตรซีมาจากขบวนการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ และจากทางดนิ เป็นพืชคลุมดิน เปรียบเทียบกับพืชคลุมตามธรรมชาติโดยตรง ไนโตรเจนเหลา่ นี้ทีม่ อี ย่ใู นพืชตระกลู ถวั่ ตน้ ยางจะน�ำไปใช้ได้น้อย ผลท่ีเห็นได้ก็คือ การเจริญเติบโตของ

ตารางที่ 3. ผลขอตงาพรตชื าาคงรทุมาี่ ดง2ทนิ ผ่ี ช2ลนขผดิ อลตงขา่ พองชืงๆพคตมุชื อ่ คดสมุนิ ถดชาินนชิดะธนตาิด่าตงตๆุอ่าาตงหๆ่อาตธราอ่ ใตธนอุ าด เปน็ เปเวน็ ลเาวล4า, 64 ระดบั ความลึก กรรมวธิ ี ผลปหขลล(ปอูกังีทงจยพา)่ีากงชื คุมคกดวรนิ(าดpมช-Hดเน)ป่าิดง็นตา่ คงาๆ(ร%ตบ์ ่อ)อธนาทเี่ ก็บตัวอยา่ งดนิ ในช่วง 2 ยางกอ่ นเปตดิ ากรราีดงที่ (ซม.)0 - 15 พชื คลมุ ตระกูลถั่ว 4 4.93 เปน็ 1เ.ว7ล4 า 4 6 4.50 1.55 10 4.63 1.39 หญ้า 4 4.98 1.68 6 4.62 1.47 10 4.65 1.44 พชื คลุมตามธรรมชาติ 4 4.93 1.68 6 4.62 1.35 10 4.63 1.20 ดนิ ว่างเปลา่ 4 4.53 1.26 6 4.50 1.32 10 4.57 1.16 ความแตกต่างทางสถิต1ิ 4 0.28 0.33 6 0.17 0.24 10 0.05 0.2030 - 46 พชื คลมุ ตระกูลถว่ั 4 4.83 0.85 หญ้า 4 4.88 0.85 พชื คลุมตามธรรมชาติ 4 4.80 0.77 ดินวา่ งเปลา่ 4 4.25 0.65 ความแตกตา่ งทางสถติ 1ิ 4 0.20 0.15ทม่ี า: watson et al. (1964c); Watson (1989b),1 คา่ ต่ำ� สุด ท่ีระดับความเชือ่ มนั่ 5%

อาดตานิ หุอหาาลรหใังานจราดใกนนิ โดหคินลน่ หงัปจลา่ าแงั กจลโาคะกม่นโกีคปา่น่ารแปปล่าละแูกมลยกีะาามงรเีกปาล็นรปกู เวยลลาูกางยา4ง, 6 และ 10 ปี64,แ6ละแล1ะ0 1ป0ี ปีาตไุอนาโ(ตห%รา)เรจในนดินทหี่แลแลงั(คกmจลเาeปเกซล%โยี ี่ยค)มน่นไปดา่ ้ แลทะโี่แพมลีกแ(กmาทเรeปสปล%เลซ่ยี )ียกู นยมไาดง้ แมงกานีส ทแี่ ลกเปลี่ยนได้ (me %)4, 6 แ0ล.1ะ4 10 ปี 0.32 0.11 0.150.14 0.13 0.07 0.090.12 0.09 0.06 0.070.12 0.56 0.11 0.190.12 0.20 0.06 0.100.12 1.10 0.06 0.600.12 0.60 0.14 0.260.12 0.17 0.09 0.150.11 0.11 0.05 0.070.10 0.18 0.05 0.040.11 0.10 0.05 0.080.09 0.07 0.04 0.050.02 0.25 0.05 0.120.03 0.18 0.04 0.100.02 0.04 0.01 0.010.07 0.12 0.05 0.060.07 0.15 0.05 0.070.07 0.14 0.06 0.080.06 0.07 0.04 0.040.02 0.10 0.03 0.06

10 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 µ¹Œ ÂÒ§ 72» ÔÃÁÒ³ä¹âµÃਹ (¡¡./ä ‹Ã) 54 36 ¶ÑÇè »ÃÐàÀ·àÅ×é;¹Ñ 18 ¾ª× µÒÁ¸ÃÃÁªÒµÔ ËÞÒŒ ÇѪ¾×ª (¢éäÕ ¡‹Â‹Ò¹) 00 1 2 3 4 5 »·‚ ÕËè Å§Ñ ¨Ò¡»ÅÙ¡ ˶ÞèÇÑ ŒÒ 33..8819 %ä¹âµÃਹã¹ãºÂÒ§ ¢éäÕ ¡Â‹ ‹Ò¹ 3.72 33..2252 33..4363 3.74 3.38 ¾×ª¸ÃÃÁªÒµÔ 3.83 3.49 3.28 2.98 3.17 3.58 3.36 3.19 3.05 3.57 3.27ภาพที่ 5 ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดทีม่ อี ย่ใู นตน้ ยาง และพชื คลุมชนิดต่างๆ ในช่วง 5 ปีแรกหลังจากปลูกยาง และเปอร์เซนตไ์ นโตรเจนในใบยาง(ทีม่ า: Watson, 1963; Watson 1989b)โดยท้ังสองกรรมวิธีได้รับปุ๋ยไนโตรเจนในช่วงยางก่อน ยางทปี่ ลกู รว่ มกบั พืชคลุมตามธรรมชาติถึง 8.2 ซม.เปิดกรีด 2 ระดับ คือ ระดบั สงู และระดบั ตำ่� ผลจากการ เนื่องจากต้นยางท่ีปลูกร่วมกับพืชคลุมตระกูลถ่ัวทดลองพบว่า ต้นยางท่ีปลูกร่วมกับพืชคลุมตระกูลถั่วมี สามารถเปิดกรีดได้เร็วกว่า ส่งผลให้ผลผลิตยางที่ได้รับการเจริญเติบโตดีกว่าต้นยางที่ปลูกร่วมกับพืชคลุมตาม ในช่วง 4 ปีกรีดแรกสูงกว่าต้นยางที่ปลูกร่วมกับพืชคลุมธรรมชาติ แม้กระทั่งในแปลงท่ีได้รับปุ๋ยไนโตรเจนใน ตามธรรมชาติถึง 74 เปอร์เซนต์ ในกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยระดับสูง ส่งผลให้สามารถเปิดกรีดต้นยางต้นแรกได้ใน ไนโตรเจนในระดบั ต�ำ่ และ 31 เปอรเ์ ซนต์ ในกรรมวธิ ีที่ใส่ระยะเวลา 67 เดือน หลังจากติดตา ส่วนต้นอื่นๆ จะ ปุ๋ยไนโตรเจนในระดับสูง (ตารางที่ 6) ในช่วงกรีด 10 ปีทยอยเปดิ กรดี ในทกุ ๆ 4 เดือน เป็นระยะเวลา 2 ปี ปรากฎ แรก ต้นยางที่ปลูกร่วมกับพืชตระกูลถ่ัวให้ผลผลิตสะสมว่า แปลงยางที่ปลูกร่วมกับพืชคลุมตามธรรมชาติและได้ เ ฉ ล่ี ย ม า ก ก ว ่ า ต ้ น ย า ง ท่ี ป ลู ก ร ่ ว ม กั บ พื ช ค ลุ ม ต า มรับปุ๋ยไนโตรเจนในระดับต่�ำ มีต้นยางท่ีเปิดกรีดได้หลัง ธรรมชาติ ประมาณ 20 เปอรเ์ ซนต์ แตถ่ า้ คดิ เฉพาะในปีกสดุ หรือใช้ระยะเวลาต้ังแต่ตดิ ตาจนถึงเปิดกรดี 91 เดือน รีดท่ี 10 ความเหนือกว่าของพืชตระ-กูลถั่วต่อพืชตาม(ตารางท่ี 5) และในช่วงเวลาน้นั ตน้ ยางท่ปี ลูกรว่ มกบั พชื ธรรมชาติจะลดลงเหลือแค่ 5 เปอร์เซนต์ โดยมีระดับคลุมตระกูลถ่ัวมีขนาดเส้นรอบวงล�ำต้นเฉลี่ยมากกว่าต้น ผลผลติ ยางทัง้ หมดอยู่ที่ 360 กก./ไร่ ส่วนความแตกตา่ ง

ตาตราารตงาทางร่ีท4า่ี .ง2ทผผี่ล2ลขขผออลงพงขพอชื ชืงคพคุมมุชื ดคดินุมินชดชนนิ ดิ ชดิ ตนต่าิดา่งๆงตๆตา่ ตงอ่ ๆอ่ สตธมาอ่ บตธตั อุ าิท เป็นเปเวน็ ลเาวล4า, 64 การทดลอง ชนิดของ คาร์บอนอนิ ทรีย์ ความหนาแนการทดลองที่ 1 พืชคลุม (%) (กรัม/มิลลลิ ตารางท่ี 2 ผลของพชื คุมดนิ ชนดิ ตา่ งๆตอ่ ธาการทดลองท่ี 2 เป็นเว1ล.0า44 พชื คลมุ ตระกูลถวั่ 1.34 1.11 หญ้า 1.35 ขี้ไกย่ ่าน 1.21 1.21 พืชคลมุ ตามธรรมชาติ 1.53 1.00 s.e. ± n.a. 0.02 หญ้า 1.42 1.07 เฟิรน์ 1.23 1.09 ดนิ ว่างเปล่า 1.19 1.21 s.e. ± n.a. 0.03ทมี่ า: Soong and Yap (1976); Watson (1989a)หมายเหตุ: ในการทดลองท่ี 1 กรรมวิธีตา่ งๆ (ชนดิ ของพืชคลุมดนิ ) กระท�ำในชว่ งยางกอ่ นเปดิ กรีด และเกบ็ ตวั อย ในการทดลองท่ี 2 กรรมวธิ ตี ่างๆ (ชนดิ ของพชื คลุมดิน) กระท�ำหลังจากปลูกยางไปแลว้ 6 ปี และเกบ็ ต *Mean weight diameter

อาทตาาหอุ งาาฟรหิสใานิกรดสในข์ินอดหงินลดหังนิ จลาัง(กทจโารี่ คกะน่ โดคปับน่ า่ คแปวลา่ าะแมมลลีกะึกามร0กี ป-า1ลร5ปกู ซยลมากู ง.ย) าง เสน้ ผ่าศนู ย์กลาง64,แ6ละแล1ะ0 1ป0ี ปี น้�ำหนกั เฉลย่ี * (มิลลเิ มตร)น่นรวม สภาพให้ซึมได้ การเกดิ เม็ดดิน 3.77ลติ ร) (ซม./ชว่ั โมง) (%) 2.67าตอุ าหารในดนิ หลงั จากโคน่ ป่าและมีการปลกู ยาง 2.994, 6 และ 10 ปี 90.0 3.22 65.0 93.9 0.085 91.1 2.07 52.5 88.3 1.76 105.0 90.0 1.8028 n.a. 1.30 0.0877 146 88.59 114 84.51 43 90.330 n.a. 0.64ยา่ งดินไปวิเคราะหห์ ลังจากปลกู ยาง 16 ปีตัวอยา่ งดินในอกี 7 ปี ตอ่ มา

12 ฉบับอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ตารางท่ี 5. จำ� นวนแปลงทีส่ ามารถเปิดกรดี ได้ ในแต่ละชว่ ง 4 เดือนชว่ ง 4 เดอื น ช่วงที่ 1 ช่วงท่ี 2 ชว่ งที่ 3 ชว่ งที่ 4 ช่วงที่ 5 ช่วงที่ 6 ช่วงที่ 7อายหุ ลังจากตดิ ตา (เดือน) 67 71 75 79 83 87 91จำ� นวนแปลงทเ่ี ปดิ กรีด -- - 122 3 ไนโตรเจนระดบั ต�่ำ: N.C. L.C. -7 - 1- - - ไนโตรเจนระดบั สงู : N.C. L.C. -- 2 33- -พชื คลมุ ตามธรรมชาติ (N.C.) 34 1 - - - -พืชคลมุ ตระกลู ถว่ั (L.C.)ไนโตรเจนระดบั ตำ�่ -- 2 452 3ไนโตรเจนระดับสงูจำ� นวนแปลง (Plots) ท้ังหมด 3 11 1 1-- -ทม่ี า: Mainstone (1963) -7 - 222 3 34 3 33 - - 3 11 3 5 5 2 3ในเร่ืองของการเพิ่มข้ึนของขนาดเส้นรอบวงล�ำต้นยังคง คลุมชนิดอื่นๆ ได้แก่ หญา้ (ผสมกนั ระหวา่ งหญ้าลกู เหบ็แสดงให้เห็นในช่วงดังกล่าว แต่ความแตกต่างจะลดลง และหญ้าใบไผ่) ขี้ไก่ย่าน และพืชจ�ำพวกไม้พุ่ม และในปีกรดี ท่ี 10 (Mainstone, 1969) เฟิร์นชนิดต่างๆท่ีเจริญเติบโตร่วมกัน (Watson et al., จากการน�ำงานทดลองข้างต้น และงานทดลอง 1964b; Ti et al., 1972) จากงานทดลองเหลา่ นี้ ในชว่ งของนักวิชาท่านอื่นๆ มาศึกษาทบทวน Broughton ระยะเวลา 2 ปีแรก หลงั จากปลูก เนื่องจากพืชคลมุ ชนดิ(1977) ได้รายงานผลจากการค�ำนวณโดยใช้สมการรีเก ต่างๆก�ำลังเจริญเติบโต และมีการแก่งแย่งน้�ำและธาตุรสชัน (Regression equation) ว่า ผลก�ำไรในรูปของ อาหาร ท�ำให้การเจริญเติบโตของต้นยางท่ีปลูกร่วมกับผลผลิตท่ีได้รับจากพืชตระกูลถั่วจะอยู่ได้นานถึง 18.6 ปี พืชคลุมดังกล่าวมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ในของการเก็บเก่ียวผลผลิต และถ้าหากน�ำข้อมูลผลผลิต แปลงทดลองจ�ำนวน 2 แปลง ซ่ึงดินมีความอดุ มสมบรณู ์ยางเฉพาะจากแปลงที่ไดัรับปุ๋ยไนโตรเจนในระดับตำ�่ มา โดยที่แปลงหนึ่งได้มาจากการโค่นป่า อีกแปลงหน่ึงเป็นค�ำนวณ ผลกำ� ไรดงั กล่าวจะยาวนานขน้ึ เปน็ 20.9 ปี ดินชายฝั่ง (Coastal alluvium) ผลของพืชคลุมในระยะ ผลของพืชคลุมตระกูลถ่ัวท่ีมีต่อการให้ผลผลิตยาง ยาวมีให้เห็นเพียงเล็กน้อย แต่ในแปลงปลูกแทนอีก 2ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วมาขา้ งต้น ก็ไดร้ ับการยนื ยันจากงานทดลอง แปลง ซึ่งดินมีความอุดมสมบรูณ์อยู่ในเกณฑ์ต�่ำถึงปานอื่นๆในมาเลเซีย (Warriar, 1969) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลาง ความแตกตา่ งจะปรากฏให้เหน็ อย่างชัดเจน กลา่ วจากงานทดลองหน่ึงท่ีท�ำเป็นชุดและใช้เวลาศึกษา คือ ต้นยางท่ีเจริญเติบโตร่วมกับพืชคลุมตระกูลถั่วยาวนานเพ่ือเปรียบเทียบผลของพืชคลุมตระกูลถั่ว ประเภทเลื้อยพันจะเจริญเติบโตได้เร็วกว่าและได้ขนาดประเภทเลื้อยพันที่มีต่อลักษณะดิน (Soil characteris- เปิดกรีดเร็วกว่าต้นยางท่ีปลูกร่วมกับพืชคลุมขนิดอ่ืนๆที่tics) การเจริญเติบและการให้ผลผลิตของต้นยาง กับพชื ไม่ใช่พืชตระกูลถ่ัวถึง 18 เดือน ผลการศึกษาดังกล่าวชี้

ตารางที่ ต6.าผรตาลางขรทาอ่ี งง2ทพผ่ี ืช2ลคขผุมอลตงขรพอะชืงกพคลู มุชื ถคด่ัวุมินแดลชินะกชิดานตรดิ่าใงสตๆป่ ่าตงยุ๋ ๆ่อไนตธโา่อตตธรอุ า เป็นเปเว็นลเาวล4า, 6 ระยะเวลา ตารางทกี่ 2ารผบลนั ขทอึกงขพอ้ ชื มคลู มุ ดินชนิดตา่ งๆตอ่ ธา4 ปีแรกของการกรดี เปน็ เวลา(67-116 เดือน คา่ เฉล่ยี จ�ำนวนเดือนของการกรดีหลังตดิ ตา) จำ� นวนตน้ ยางทก่ี รีดไดต้ อ่ ไร่ตลอดระยะเวลาทีก่ รีด ปที ี่ 10 ของการกรดี ผลผลิตทงั้ หมดในระยะเวลา 4 ปี (กก./ไร่)10 ปแี รกของการกรีด จำ� นวนต้นยางท่กี รีดได้ตอ่ ไร่เมือ่ ส้ินสุดระยะเวลา 4 ปี ผลผลิต (กก./ไร่) ผลผลติ สะสม (กก./ไร)่ทม่ี า: Mainstone (1969); Watson (1989a)หมายเหตุ: ปลูกแทนดว้ ยยางพันธ์ุ PB 86 ในดนิ ชุด Batu Anam/Malacca

รอาเตาจหุอนาาใรหนใาชนร่วดใงนินยดหางินลกหัง่อจลนางั เกจปโาคิดก่นกโครปดี น่ ่าตแป่อลา่ กะแามลรกีะใามหรกี ้ผปาลลรผปูกลยลิตาูกงยางแหง้64,แ6ละแล1ะ0 1ป0ี ปีไนโตรเจนระดบั ต�่ำ ไนโตรเจนระดับสูงพืชคลมุ พชื คลมุ พชื คลุม พชื คลมุ s.e. ±าตธุอรารหมชาราใตนิ ดนิ หตลระังกจูลาถกโ่วั คน่ ป่าธแรลระมมชกี าาตริ ปลกู ตยราะงกลู ถ่ัว 1.24, 628แ.ล5ะ 10 ปี 43.0 1.225 41 35.5 45.0 7.4 32 41 0.8374 651 502 658 10.248 49 50 49337 368 360 3781,992 2,561 2,306 2,587

14 ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 ปลูกร่วมกับพืชคลุมตระกูลถั่วประเภทเล้ือยพัน ต้องใส่ ปุ๋ยไนโตรเจนเพ่ิมข้ึนอกี 128, 31.2 และ 144 กก./ไร่ ตามให้เห็นว่าในแปลงท่ีดินมีความอุดมสมบรูณ์ โดยเฉพาะ ล�ำดับอย่างย่ิงแปลงท่ีได้มาจากการโค่นป่า ซึ่งดินมีอินทรีย- เพ่มิ ปรมิ าณรากยางวัตถุและธาตุไนโตรเจนสูง พืชคลุมตระกูลถ่ัวจะให้ผล จากการทดลองของ Watson et al. (1964a) ซ่ึงประโยชน์เหนือกว่าพืชคลุมตามธรรมชาติเพียงเล็กน้อย ทดลองกับพืชคลุมหลายชนิด พบว่า ต้นยางจะมีการแต่ในแปลงปลูกแทนซ่ึงดินมีความอุดมสมบรูณ์ต่�ำถึง พัฒนารากที่อยู่บริเวณผิวดินได้ดีภายใต้สภาพที่มีพืชปานกลาง ต้นยางท่ีปลูกร่วมกับพืชคลุมตระกูลถ่ัวจะให้ คลุมตระกูลถั่ว การท่ีเป็นเช่นน้ีเน่ืองจากมีการทับถมของผลิตได้เร็วและมากกว่า ซึ่งผลประโยชน์ท่ีได้รับนี้มี ใบถ่วั ท่ีแห้งตายจ�ำนวนมากบรเิ วณผิวดนิมากกว่าต้นทุนในการปลูกและดูแลรักษาพืชคลุมตระกูล ต่างจากสถาวะท่ีมีขี้ไก่ย่านขึ้นปกคลุม มีการถับถั่ว และให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสะสม (Cumula- ถมของใบท่ีผิวดินไม่มาก เนื่องจากใบที่แห้งเห่ียวมักติดtive discounted return) ที่สงู กวา่ (ตารางท่ี 7) อยกู่ บั ล�ำตน้ และในสว่ นของเศษซากพืชจะประกอบด้วย จากการติดตามผลการทดลองในแปลงปลูกแทน ล�ำต้นเป็นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน ข้ีไก่ย่านก็แตกซ่ึงดินมีความอุดมสมบรูณ์ปานกลางเป็นเวลา 14½ ปี รากฝอยท่ีแข็งแรงออกมาบริเวณผิวดินเป็นจ�ำนวนมากของการเก็บเก่ียวผลผลิต ต้นยางที่มีพืชคลุมตระกูลถั่ว ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตของรากยางตรงบริเวณผิวดินประเภทเลื้อยพันเจริญเติบโตในช่วงยางก่อนเปิดกรีด ให้ ได้น้อยผลผลติ ยางแหง้ ท้ังหมดเท่ากับ 3,147 กก./ไร่ ซ่งึ มากกวา่ ภายใต้สถาวะท่ีมีหญ้าขึ้นปกคลุม รากยางตรงผลผลติ สะสมของต้นยางทม่ี ีหญ้า, ขไี้ กย่ า่ น และพชื ตาม บริเวณผิวดินจะมีการเจริญเติบโตน้อย เนื่องจากหญ้าธรรมชาติ เป็นพืชคลุมดินในช่วงยางก่อนเปิดกรีด ถึง แตกรากออกมาเป็นจำ� นวนมากทบี่ รเิ วณผวิ ดนิ463, 235 และ 334 กก./ไร่ ตามล�ำดับ (Pushparajahand Wahab, 1978) และถา้ ต้องการให้ต้นยางทป่ี ลกู ร่วมกับพืชคลุม 3 ชนิดหลัง ได้รับผลผลิตเท่ากับต้นยางที่ตารางท่ี 7 ผลของพืชคลมุ ชนิดตา่ งๆต่อระยะเวลาตั้งแตป่ ลูกจนถึงเปิดกรดี , ผลผลติ ในระยะแรก และการไดร้ บั ผลตอบแทนแปลงทดลอง ระยะเวลาต้ังแต่ปลกู ผลผลติ สะสม ผลตอบแทนจากการชนดิ ของพชื คลมุ จนถึงเปดิ กรดี (เดอื น) (กก./ไร่) ลงทุนสะสมพชื ตระกลู ถวั่ ($M/ไร่)หญ้า BS BSข้ไี กย่ ่าน BSพชื ตามธรรมชาติ 61 56 1,455 1,699 322 448 68 59 1,179 1,499 227 365 80 63 1,018 1,538 160 366 68 67 1,263 1,444 256 326ท่มี า: Ti et al. (1972)หมายเหต:ุ แปลงทดลอง B เป็นดนิ ชุด Malacca (Petroplinthic Haplorthox), ปลูกยางพันธ์ุ RRIM 623, ผลผลิตสะสมไดจ้ ากการกรีด 7 ปี หลงั จากเปิดกรดี แปลงทดลอง S เป็นดนิ ชดุ Munchong ( Tropetic Haplorthox), ปลกู กล้ายางพันธ์ุ GG1, ผลผลติ สะสมได้จากการกรดี 8½ ปี หลงั จากเปิดกรดี

15 ฉบบั อิเล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 ต่อมาเมื่อมีการขยายพ้ืนท่ีปลูกยางไปยังเขตแห้ง แล้ง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่ึงมีภูมิอากาศแตก จากการสุ่มเก็บปริมาณรากของพืชคลุมและต้น ต่างไปจากประเทศมาเลเซียและทางภาคใต้ของไทยยางท่ีบริเวณผิวดิน (ตารางที่ 8) จะเห็นได้ว่าพืชคลุม งานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่ท�ำกับพืชคลุมดินก็ยังคงใช้ตระกูลถั่วมีปริมาณรากน้อยกว่าหญ้า และข้ีไก่ย่าน ใน วิชาการของประเทศมาเลเซีย เช่น ในเรื่องของพันธุ์ถ่ัวทางกลับกัน รากบริเวณผิวดินภายใต้พืชคลุมตระกูลถ่ัว ส่วนการศึกษาวิจัยที่ท�ำก็ยังคงคล้ายๆกับงานวิจัยที่เคยจะมีมากกว่าพืชคลุมอีกสองชนิด และเป็นท่ีน่าสังเกตุว่า ท�ำกับทางภาคใต้มาก่อน ผลงานวิจัยที่ดูเหมือนว่าการในกรรมวิธีท่ีปลูกพืชคลุมตระกูลถั่ว การใส่ปุ๋ยในแปลง ปลกู พืชคลุมตระกลู ถัว่ (คาโลโปโกเนียม ผสมกบั เซ็นโตรพืชคลุมตระกูลถ่ัวมีผลท�ำให้รากยางที่บริเวณผิวดินมี ซีมา ในอัตราส่วน 1:1) จะมีผลในทางลบต่อการเจริญปริมาณลดลง เม่อื เทยี บกบั การใส่ปยุ๋ ในแถวยาง เติบโตของต้นยางที่ปลูกในพ้ืนที่แห้งแล้ง (ไววิทย์ และ คณะ, 2533) เนื่องจากพืชคลุมที่เจริญเติบโตส่วนใหญ่ การศึกษาในประเทศไทย คือ เซ็นโตรซีมา ซ่ึงเป็นถั่วที่ทนแล้งและมีรากที่แข็งแรง จงึ สามารถแย่งน�ำ้ และอาหารจากตน้ ยางทีย่ งั มีขนาดเลก็ ประเทศไทยถึงแม้ว่าได้มีการปลูกยางมากว่าร้อย ได้ ผลจากการทดลองนอี้ าจชใ้ี หเ้ หน็ ไดว้ า่ ถว่ั เซน็ โตรซีมาปีแล้ว แต่การศึกษาค้นคว้าวิจัยเก่ียวกับยางพาราอย่าง ไม่เหมาะท่ีจะปลูกเป็นพืชคลุมในเขตพื้นท่ีแห้งแล้ง หรือจริงจัง ได้เกิดข้ึนเมื่อมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยการยาง ในปี อาจกล่าวได้ว่า พันธุ์ของพืชคลุมตระกูลถ่ัวมีผลต่อการพ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) ที่ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา ทง้ั น้ี เจริญเติบโตของต้นยาง ซ่ึงสมควรที่จะศึกษาค้นคว้าต่อโดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการพัฒนาแห่ง ไป และจากการทดลองเดียวกนั ยงั ไดพ้ บวา่ ในพื้นทแี่ หง้สหประชาชาติ (United Nations Development Pro- แล้ง การปลูกกลว้ ยในระหว่างแถวยาง ให้ผลในทางบวกgrame, UNDP) ท้ังในรูปของตัวเงินและผู้เช่ียวชาญซึ่ง ต่อการเจริญเติบโตของต้นยางในช่วงระยะเวลาก่อนเปิดส่วนใหญ่แล้วล้วนผ่านการศึกษาวิจัยท่ีสถาบันวิจัยยาง กรดีมาเลเซียมาก่อน ดังนั้น วิชาการเกี่ยวกับยางพาราท่ีมีใน ในเขตพ้ืนท่ีแห้งแล้งและดินขาดความอุดมสมประเทศมาเลเซียจึงได้ถูกถ่ายทอดมายังประเทศไทย ยก บรูณ์ การปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วในสวนยางยังเป็นสิ่งตัวอย่างเช่น ในเรื่องของพืชคลุมดิน การศึกษาค้นคว้า จำ� เป็นและมีประโยชน์ จากการให้ข้อมูลของวชิ ิต (ตดิ ต่อวิจัยก็ไม่มีความจ�ำเป็นต้องท�ำ เพราะหลังจากปี ค.ศ. ส่วนตัว) ท่ีกลา่ วถึงผลในทางบวกของการปลูกพืชคลุมใน1965 ซ่ึงเป็นปีที่ก่อต้ังศูนย์วิจัยการยาง ความรู้เก่ียวกับ สวนยางเอกชน ที่ จ. บรุ รี มั ย์ ว่า แปลงยาง (ปลูกด้วยยางพืชคลุมดินที่ท�ำในประเทศมาเลเซียก็แทบจะสมบรูณ์ พันธุ์สถาบันวิจัยยาง 251) ที่ปลูกพืชคลุมเพอราเรียแล้ว ดังนั้น การศึกษาถึงผลของการปลูกพืชคลุมต่อการ โดยที่ไม่มีการไถพรวนตลอดระยะเวลา 3 ปี ต้นยางเมื่อเติบโตและโดยเฉพาะต่อการให้ผลผลิตของต้นยางใน มีอายุ 4 ปี มีการเจริญเตบิ โตทางล�ำตน้ และทรงพุ่มดีกวา่ประเทศไทยจึงไม่ได้มีการศึกษาโดยตรง แต่จะศึกษาใน ต้นยางในอีกแปลงหน่ึง ซึ่งเป็นพันธุ์เดียวกัน และปลูกรูปของการน�ำมาใช้เป็นกรรมวิธีเปรียบเทียบ (Control) พร้อมกัน แต่มีการปฏิบัติในระหว่างแถวยางแตกต่างกันกับการศึกษาในเร่ืองพืชแซมยางและการปฏิบัติในแถว คือ มีการไถพรวนและปลูกมันส�ำปะหลังเป็นพืชแซมต่อยาง ซง่ึ เปน็ ระยะเวลาสน้ั ๆ ในชว่ งกอ่ นเปิดกรดี เท่านั้น ดัง เนอ่ื งกันทกุ ปี (ภาพที่ 6)เชน่ งานวิจัยของประวิตร และคณะ (2518) ทท่ี ำ� ในพื้นท่ีภาคใต้ตอนล่าง พบว่า การปลูกพืชแซมอาจจะไม่ดี สรปุ และวจิ ารณ์เท่ากับการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่ว ถ้าพืชแซมท่ีปลูกไม่มีการใส่ปุ๋ยและปลูกในระบบหมุนเวียนท่ีมีพืชตระกูลถ่ัว จากประโยชน์ของพืชคลุมตระกูลถั่วท่ีได้กล่าวมานอกจากน้ี ยังพบอีกว่า ในสภาพของสวนยางท่ีปล่อยท้ิง ท้ังหมด ถึงแม้ว่าผลการวิจัยจะผ่านมานานแล้วก็ตามไว้ตามธรรมชาติ และมีการไถพรวน จะท�ำต้นยางเจริญ แต่ข้อมูลท่ีได้มานับว่ามีประโยชน์ และยังคงสามารถน�ำเติบโตไม่ดี เมื่อเทียบกับการปลูกพืชคลุมตระกูลถ่ัว(ตารางที่ 9)

ตารางท่ี ต8า. รตผาาลงรขทาอ่ี ง2งทพผ่ี 2ชื ลคขผุมอลดงขพนิอืชงชพคนุมชื ดิ คดตุมนิ ่างดชๆินตชดิ ่อนตกดิ่าางตรๆ่าพตงัฒๆ่อตนธา่อาตรธาุอา เป็นเปเว็นลเาวล4า, 6 พืชตระกูลถว่ั ประเภทเลือ้ ยพนัชนดิ ของราก r ผลขอ9ง8cพ.3ืชคุมดินSช2(L.4นES.2ดิ .D3(ต.±0เ่า5)ปง)็นๆเตวอ่ ล3ธา1r 9ารากพืชคลุม ตารางท่ี 2(มลิ ลิกรัม/1000 ซม.3 ของดิน) (83.8) 93.9รากยาง 623.1 401.8 59.17 329(มลิ ลิกรมั /1000 ซม.3 ของดิน) (178.9)ทีม่ า: Watson et al. (1964a); Chin (1977)หมายเหต:ุ r = หวา่ นปุ่ยในแถวยาง; c = หว่านปุ๋ยในแปลงพืชคลมุ

าอากตาหหอุ าาาอรหาใานหรดาใรนินดห(Fินลeหังeจdลาeังกrจโrาคoกo่นโtคป) ่นข่าแปอลง่าตะแมน้ลีกะยามารงีกปทาลรบี่ ปูกรยลิเวาูกณงยาผงิวดิน 64,แ6ละแล1ะ0 1ป0ี ปีหญา้ ขีไ้ ก่ยา่ นc S.E. (±) r c S.E. (±)9า4.ต4, อุ 6าแหลา2ะร9ใ1น10.ด0ปินี หลงั จ2(L1าS.ก6Dโ3ค.0่น5 ป) ่าแล2ะ1ม5ีก.0ารปลูก2ย8า5ง.5 (LSD.05 ) (97.3)9.6 280.9 59.17 251.1 263.7 31.52 (178.9) (109.1) 59.17 (178.9)

17 ฉบบั อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560 ตารางที่ 9 ผลของการปลูกพชื แซมยาง การปลอ่ ยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ และการไถ เปรยี บเทียบกบั การปลูกพชื คลมุ ตระกูลถว่ัวธิ กี าร % การเพ่ิมข้ึนของ ค่าเฉลยี่ เสน้ รอบวงล�ำตน้ (ซม.) เส้นรอบวงล�ำตน้ เมื่อต้นยางมีอายปุ ระมาณ 3 ปี RRIM 600 GT 1 RRIM 600 GT 1พชื คลมุ ตระกลู ถ่วั a 100 100 23.2 25.4พืชแซมระบบท่ี 1b 108 96 24.5 24.4พืชแซมระบบที่ 2c 99 89 23.5 24.4พชื แซมระบบท่ี 3d 97 93 23.1 24.9พืชแซมระบบท่ี 4e 109 98 25.2 25.2เฉลย่ี การปลกู พชื แซม 4 วิธีการ 103 94 24.1 24.7ปล่อยทิง้ ไว้ตามธรรมชาติ 85 96 21.4 24.5ปลอ่ ยท้ิงไวต้ ามธรรมชาตแิ ละไถ 87 90 22.3 23.8ที่มา: ประวิตร และคณะ (2518)a สว่ นผสมของถัว่ คาโลโปโกเนยี ม, เพอราเรยี และเซ็นโตรซมี าb ปที ่ี 1 ปลูกถว่ั เขยี ว ครั้งเดยี ว, ปที ี่ 2 ปลูกถว่ั เขยี วตามดว้ ยถว่ั เขยี ว, ปีที่ 3 ปลูกถั่วลสิ งตามด้วยขา้ วไร่ มีการปลกู มะละกอแถว เดยี วตรงกลางระหว่างแถวยางตลอดทัง้ 3 ปีc ปที ่ี 1 ปลูกถัว่ ลิสงคร้งั เดยี ว, ปที ่ี 2 ปลกู ถั่วลิสงตามด้วยข้าวไร,่ ปีท่ี 3 ปลกู เหมอื นปีที่ 2d ปที ่ี 1 ปลกู ถั่วลิสงตามด้วยแตงโม, ปที ี่ 2 ปลกู ทานตะวนั ตามด้วยข้าวไร่, ปีท่ี 3 ปลกู เหมอื นปีที่ 2e ปที ี่ 1 ปลกู มนั เทศ 2 คร้งั , ปที ่ี 2 ปลูกข้าวโพดหวานตามดว้ ยขา้ วไร่, ป่ที ่ี 3 ปลูกเหมอื นปีที่ 2ม า ป ร ะ ยุ ก ต ์ ใ ช ้ ใ ห ้ เ ห ม า ะ ส ม ใ น แ ต ่ ล ะ พื้ น ท่ี ข อ ง ต้องการดินท่ีมีความอุดมสมบรูณ์มากกว่าสวนยาง แต่ประเทศไทยซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของภูมิอากาศ ส�ำหรับในประไทยยังปลูกกันน้อยมาก ทั้งๆท่ี ณ เวลานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกใช้ชนิดของพืชตระกูลถ่ัวท่ี อาจกล่าวได้ว่าถั่วชนิดน้ีเป็นพืชคลุมที่ดีที่สุด เน่ืองจากจะน�ำมาใช้เป็นพืชคลุมดินในสวนยาง ซึ่งปัจจุบันมีพันธุ์ เจริญเติบโตได้เร็วมาก ให้อินทรีย-วัตถุในปริมาณท่ีสูงถั่วให้เลือกใช้เพ่ิมข้ึนมาจากเดิมอีกสองชนิดคือ คาโลโป- อกี ทงั้ ยังทนทานต่อความแห้งแลง้ และร่มเงาไดด้ ีอีกดว้ ยโกเนยี ม ซรี เู ลยี ม (Calopogonium caeruleum) และมคู นู า ซ่ึงรายละเอียดของพืชคลุมชนิดนี้จะกล่าวถึงในบทความแบร็คเทียตา (Mucuna bracteata) ส�ำหรับถั่วซีรูเลียม ต่อไป และดังที่ได้เกริ่นไว้ในค�ำน�ำว่า ถ้าในยุคปี ค.ศ.เปน็ พนั ธ์ุทที่ นต่อร่มเงาได้ดกี วา่ พชื คลมุ ตระกูลถ่วั 4 ชนดิ 1950 - 1970 มกี ารใช้พชื คลมุ ชนิดนี้เปน็ พชื ทดลอง เพอื่ ดูเดิม อีกท้ังให้ปริมาณธาตุไนโตรเจนมากว่าพืชคลุม ผลของการปลูกพืชคลุมท่ีมีต่อการปรับปรุงดิน การเจริญตระกลู ถวั่ ชนดิ เดมิ ประมาณ 2 หรือ 3 เท่า (Tan et al., เติบโตและการให้ผลผลิตต่อต้นยางแล้ว ผลประโยชน์ท่ี1976) นับได้ว่าเป็นการพัฒนาในเรื่องพันธุ์ของพืชคลุม ได้รับจากการปลูกพืชคลุมคงมองเห็นได้ชัดเจนมากกว่าดิน ซึ่งย่อมส่งผลถึงปริมาณของผลประโยน์ที่จะได้รับ นี้อย่างแน่นอน และในอนาคตหวังว่าจะมีพัฒนาการในจากการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วในสวนยาง ส่วนถั่วอีก เร่ืองพันธุ์พืชคลุมที่มีประสิทธิภาพดีย่ิงๆข้ึนไป เพื่อช่วยชนิดคือ มูคูนา แบร็คเทียตา ปัจจุบันได้มีการปลูกกัน ใหก้ ารทำ� สวนยางมคี วามมั่นคงและยั่งยนื ตลอดไปอย่างแพร่หลายในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใมสวนปาล์มน้�ำมัน ซึ่ง

18 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560ภาพที่ 6 สภาพสวนยางที่ปลกู พชื คลมุ เพอราเรียในช่วง 3 ปแี รกหลังจากปลูกยาง และไม่มกี ารไถพรวน (ภาพบน) เปรียบเทยี บกบั สภาพสวนยางท่มี กี ารไถพรวนและปลูกมันสำ� ปะหลังตดิ ตอ่ กนั ทกุ ปี (ภาพลา่ ง)

19 ฉบบั อิเล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ตารางที่ 10 ผลของพชื คลุมซีรเู ลยี ม (Calopogonium caeruleum) ต่อธาตุไนโตรเจน พชื คลุม ปริมาณไนโตเจนท่ีกลบั คนื ลงสดู่ ิน ปรมิ าณไนโตรเจน (%)เพอราเรีย + เซน็ โตรซมี า ในใบยางเมื่อต้นยาง ระยะเวลา (ปี) (กก./ไร)่ มอี ายุ 11 ปี 1 - 5 46 3.41เพอราเรีย + ซีรูเลยี ม 3-8 111 3.75ท่ีมา: Tan et al. (1976) คำ� ขอบคณุ Akhurst, C. G. 1932. The carbon and nitrogen contents of some natural covers. J. Rubb. ผเู้ ขยี นขอขอบคุณ คณุ วชิ ติ ลี้ประเสรฐิ ทไ่ี ดก้ รณุ า Res. Inst. Malaya 4(2): 131-139.พาเยีย่ มชมสวนยางทงั้ ของคณุ วชิ ติ เอง และสวนยางของ Broughton, W. J. 1977. Effect of various covers onเกษตรกรใน จ. บุรีรัมย์ ตลอดจนได้ถ่ายทอด soil fertility under Hevea brasiliensis Muell.ประสบการณ์ในด้านต่างๆท่ีเก่ียวข้องกับการท�ำสวนยาง Arg. and growth of the tree. Agro - Ecosys-โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเรื่องของการปลูกพืชคลุมในสวน tems 3: 147-170.ยาง Chin, S. L. 1977. Leguminous cover crops for small- holding. Plrs' Bull. Rubb. Res. Inst. Malaya เอกสารอา้ งอิง 150: 83-97. Dijkman, M. J. 1951. Hevea Thirty Years ofประวติ ร วงศ์สคุ นธ,์ ไววิทย์ บูรณธรรม และ เจ. เค. เทม็ - Research in the Far East. University of เพิลตัน. 2518. ความสัมพันธ์ระหว่างการเจริญ Miami Press: Florida. เติบโตของต้นยางกับการปฏิบัติในแถวยาง. Eaton, B. J. 1935. The use of natural covers on rub- เอกสารฉบับที่ 56 ศูนย์วิจัยการยาง อ. หาดใหญ่ ber estates. J. Rubb. Res. Inst. Malaya 6(2): จ. สงขลา. 62-71.วชิ ติ ลปี้ ระเสรฐิ . 2560. ตดิ ตอ่ สว่ นตวั . 18 มกราคม 2560. Haine, W. B. 1931. Effect of covers and clearingเวท ไทยนกุ ลู , ชัยโรจน์ ธรรมรัตน์ และ จ�ำนงค์ คงศิลป์. methods on the growth of young rubber trees, 2532. การปลูกยางพาราในท่ีควนเขา. เอกสาร II. J. Rubb. Res. Inst. Malaya 3(1): 110-113. แนะน�ำ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร Haine, W. B. 1932. On the effect of covers and cul- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. tivation methods on the growth of youngไววิทย์ บูรณธรรม, อารักษ์ จันทุมา และ ปราโมทย์ rubber III. J. Rubb. Res. Inst. Malaya 4(2): สุวรรณมงคล. 2533. พืชคลุมดินในสวนยางเพ่ือ 123-130. อีสานเขียว ปัจจุบันและอนาคต. ว.ยางพารา Joseph, K. T. 1970. The effect of phosphorus on 10(3): 143-162.

20 ฉบบั อิเล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560 Watson, G. A. 1957. Nitrogen fixation by Centrose- ma pubescens. J. Rubb. Res. Inst. Malaya nitrogen fixation by cover crop Pueraria 15(3): 168-174. phaseoloides on a latosol. The Planter Watson, G. A. 1961. Cover plants and soil nutrient 46:153-156. cycle in Hevea cultivation. Proc. Nat. Rubb.Mainstone, B. J. 1963. Residual effects of ground Res. Conf. Kuala Lumpur 1960: 352-361. cover and duration of nitrogenous fertilizer Watson, G. A. 1963. Cover plants and tree growth, treatments applied before tapping on the Part II. Leguminous creeping covers and ma- growth and yield of Hevea brasiliensis. Plrs' nuring. Plrs' Bull. Rubb. Res. Inst. Malaya 68: Bull. Rubb. Res. Inst. Malaya 68: 130-138. 172-176.Mainstone, B. J. 1969. Residual effects of ground Watson, G. A., P.W. Wong and R. Narayanan. cover and nitrogen fertilization of Hevea prior 1964a. Effects of cover plants on soil nutrient to tapping. J. Rubb. Res. Inst. Malaya 21: status and on growth of Hevea III. A comparison 113-125. of leguminous creepers with grasses andPushparajah, E., M. A. W. Wahab. 1978. Manuring Mikania cordata. J. Rubb. Res. Inst. Malaya in relation to covers. Proc. Rubb. Res. Inst. 18(2): 80-95. Malaysia Plrs' Conf. Kuala Lumpur 1977: 150- Watson, G. A., P. W. Wong and R. Narayanan. 165. 1964b. Effects of cover plants on soil nutrientSanderson, A. R., W. B. Haines. 1931. Effect of status and on growth of Hevea IV. Legumi- covers and clearing methods on the growth of nous creepers compared with grass, Mikania young rubber. J. Rubb. Res. Inst. Malaya cordata and mixed indigenous covers on four 3(1): 28-35. soil types. J. Rubb. Res. Inst. Malaya 18(3):Soong, N. K., W. C. Yap. 1976. Effect of cover 123-145. management on physical properties of Watson, G. A., P. W. Wong and R. Narayanan. rubber-growing soils. J. Rubb. Res. Inst. 1964c. Effects of cover plants on soil nutrient Malaya 24: 145-159. status and on growth of Hevea V. Loss ofTan, K. H., E. Pushparajah, R. Shepherd and C. H. nitrate-nitrogen and cations under bare con- Teoh. 1976. Calopogonium caeruleum, a ditions. A progress report on results from a shade-tolerant leguminous cover for rubber. small scale trial. J. Rubb. Res. Inst.Malaya Proc. Rubb. Res. Inst. Malaysia Plrs' Conf. 18(4): 161-174. Kuala Lumpur 1976: 45-62. Watson, G. A. 1989a. Field maintenance. In: Webter,Ti, T., T. Y. Pee and E. Pushparajah. 1972. Eco- C.C. and W. J. Baulwill (ed.) Rubber. John nomic analysis of cover policies and fertilizer Wiley & Son. pp. 245- 290. use in rubber cultivation. Proc. Rubb. Res. Watson, G. A. 1989b. Nutrition. In: Webter, C.C. and Inst. Malaysia Plrs' Conf. Kuala Lumpur 1971: W. J. Baulwill (ed.) Rubber. John Wiley & Son. 214-233. pp. 291-348.Warriar, S. M. 1969. Cover plant trials. J. Rubb. Res. Inst. Malaya 21(2): 158-164.

21 ฉบับอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560มคู นู า แบรค็ เทียตา (Mucuna bracteata):ซเู ปอรพ์ ืชคลมุ ตระกลู ถ่ัวภัทธาวธุ จวิ ตระกูล*93/75 นิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ต. หาดใหญ่ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา 90110e-mail: [email protected] การปลูกพืชคลุมตระกูลถ่ัวพร้อมกับการปลูกยาง น่าจะเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เน่ืองจากการขาดแคลนหรือปาล์มน�้ำมันเป็นส่ิงที่ปฏิบัติกันท่ัวไปในประเทศ แรงงาน และมีปัญหาในเรื่องของวัชพืช ดังน้ัน การใช้พืชมาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย เป็นต้น แต่ส�ำหรับ คลุมตระกูลถั่วชนิดใหม่ที่คุณสมบัติของการเป็นพืชคลุมประเทศไทยยังปฏิบัติกันน้อยมาก บทบาทหลักของการ ดินท่ีดีกว่าพืชคลุมชนิดเดิม จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาในปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วคือ ช่วยปกป้องดินจากการกร่อน หลายๆเร่ืองดังที่กล่าวมาข้างต้น ส�ำหรับคุณสมบัติของของดิน (Soil erosion) ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน พืชคลมุ ท่เี ป็นท่ตี ้องการในเวลานแ้ี ละอนาคต คอื(Soil structure) โดยการเพมิ่ อินทรียวัตถุใหก้ ับดิน ซงึ่ จะ • มกี ารเจริญเตบิ โตท่ีแข็งแรงท�ำให้การถ่ายเทอากาศ การแทรกซึมของน้�ำ และการ • ใชอ้ ตั ราเมลด็ ที่ตำ่� และปลกู ง่ายเกบ็ กักนำ้� ในดนิ ดีขึน้ • สัตวจ์ �ำพวกวัวควาย ไม่ชอบกนิ พืชคลุมตระกูลถั่วยังช่วยลดการสูญเสียธาตุ • ทนต่อความแห้งแลง้ ได้ยาวนานอาหารที่เกิดจากชะละลาย (Leaching) และลดการ • ทนตอ่ รม่ เงาขยายตัวของวัชพืชท่ีร้ายแรง เช่น หญ้าคา หญ้าดอก • ใหผ้ ลผลิตชีวมวลที่สงู และผพุ งั ไดเ้ ร็วขจรจบ เป็นต้น นอกจากน้ี การท่ีเลือกปลูกพืชคลุม • ทนทานตอ่ โรคและแมลงตระกูลถั่ว เนอื่ งจากสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้ • ในการปลกู ใช้แรงงานตำ่� และสามารถพชื หลักน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ การปลูกพืชคลุมตระกูลถ่ัวในประเทศผู้ปลูกยาง ใช้สารเคมีกำ� จัดวชั พชื ได้สะดวกหรือปาล์มน�้ำมัน โดยทั่วไปแล้ว จะใช้ถ่ัวเพอราเรีย • มีประสทิ ธิภาพในการควบคุมการกร่อนซีรูเลียม และเซ็นโตรซีมา ซึ่งท่ีผ่านพบว่ายังมีปัญหาอยู่หลายประการ เช่น ไม่สามารถยับยั้งวัชพืชที่ร้ายแรงได้ ของดนิอย่างสมบรูณ์โดยท่ีไม่ใช้แรงคนหรือสารเคมีก�ำจัดวัชพืช จากคุณสมบัติข้างต้น พบว่ามีในถ่ัวมูคูนา แบร็ค-เข้าช่วย โดยเฉพาะในช่วงปีแรกหลังจากปลูก และเม่ือ เทียตา ซึ่งมีถ่ินก�ำเนิดทางตอนเหนือของประเทศอินเดียต้นยาง หรอื ตน้ ปาลม์ มรี ม่ เงามากข้นึ พืชคลุมดงั กลา่ วจะ และได้มีการน�ำเข้ามาปลูกในสวนปาล์มน�้ำมันเป็นครั้งไม่สามารถเจรญิ เตบิ โตไดต้ ่อไป (ยกเวน้ พืชคลุมซรี ูเลียม) แรกท่ีประเทศมาเลเซีย เมื่อปี ค.ศ. 1991 (Mathew, ที่ผ่านมา มีความคิดว่า การปลูกพืชคลุมต้องมี 1998) จากน้ันได้ขยายสู่ประเทศผู้ปลูกยางและปาล์มเฉพาะถ่ัวลว้ นๆ (Pure leguminous covers) แตป่ ัจจบุ ัน น�้ำมนั เช่น อนิ โดนเี ซีย เวยี ดนาม และไทย * อดตี นักวชิ าการศูนย์วิจัยการยาง และศูนยว์ ิจยั ยางสงขลา อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา (ระหว่างปี 2517-2533)

22 ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560 จะเกดิ อาการคัน ฝักสุกมสี นี ำ�้ ตาลคล้ำ� (ภาพท่ี 9) เมล็ดมีสีด�ำเป็นมัน รูปร่างคล้ายถั่วด�ำแต่มีขนาด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เล็กกว่าเล็กน้อย (ภาพที่ 10) มีเปลือกท่ีแข็งและหนา ท�ำให้น้�ำไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปข้างในเมล็ดได้ เมล็ด มูคูนา แบร็คเทียตา เป็นพืชตระกูลถ่ัวประเภท หนกั หน่งึ กิโลกรมั มีเมล็ดจ�ำนวน 5,000-6,000 เมลด็ ขน้ึเล้ือยพัน (Creeping and climbing) ท่ีมีอายุหลายปี อยู่กับความสมบรณู ์ของเมลด็หลังจากงอกได้ประมาณ 7-8 สัปดาห์ ล�ำต้นจะเร่ิมทอดยอดลงสู่พื้นดิน และจะแตกก่ิงก้านสาขาตามข้อ ลักษณะทางการเกษตรเพื่อคลุมพ้ืนที่หรือขึ้นพันหลักหรือพืชที่อยู่ใก้ลเคียงล�ำตน้ หรอื เถาเลอ้ื ย (Runner หรือ Creeper) เมือ่ ยังอ่อน สภาพอากาศและความต้องการนำ้�มีสีเขียว ไม่มีขนขึ้นปกคลุมทั้งส่วนล�ำต้นและยอดอ่อน ถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา เป็นพืชป่า มีถิ่นก�ำเนิดใน(ภาพท่ี 1) เม่ือมีขนาดโตข้ึน ล�ำต้นจะเปล่ียนเป็นสีน�ำ้ รัฐทิพูรา (Tripura) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตาล ข้อของล�ำต้นท่ีสัมผัสกับดินจะมีรากแตกออกมา แถบเทือกเขาหิมาลัย ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ระหว่างเส้นบ้าง แต่ไม่มากเหมือนเช่นพืชคลุมตระกูลถั่วท่ีปลูกกัน รงุ้ ที่ 21.5-29.5 องศาเหนอื และระหวา่ งเสน้ แวงที่ 85.5-ทวั่ ไป ถวั่ มคู ูนา แบรค็ เทยี ตา ทเ่ี จริญเติบโตเต็มที่ ล�ำต้น 97.5 องศาตะวันออก อณุ หภมู ิอยรู่ ะหวา่ ง 10 - 35 องศาหรอื เถาสามารถเลื้อยไปไดไ้ กลถึง 3-4 เมตร ภายในระยะ เซลเซยี ส ปรมิ าณฝนตกเฉลยี่ ต่อปอี ย่รู ะหวา่ ง 1,811 และเวลาเพยี ง 4 สปั ดาห์ (ภาพท่ี 2) 2,855 มิลลิเมตร ความยาวของช่วงกลางวันสูงสุด 13.6 รากของถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา มีรายงานว่า ชั่วโมง (Goh et al., 2007)สามารถหย่ังลกึ ลงไปในดินได้ 2-3 เมตร ปมที่รากมีขนาด ในสภาพภูมิอากาศที่เป็นแบบร้อนช้ืนและสภาพใหญ่ รูปร่างไม่สมำ่� เสมอ ขา้ งในปมทพ่ี บ มี 3 สี คือ ชมพู พ้ืนท่ีเป็นท่ีราบลุ่ม ปริมาณน้�ำฝนหรือความชื้นท่ีมีอยู่ในด�ำ และเขียว (Mathew, 1998) ดินจะมีผลต่อการเจิญเติบโตของถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ใบ จัดเป็นใบประกอบ (compound leaf) ที่มีใบ จากการศึกษาของ Lee et al. (2005) ในสวนปาล์มยอ่ ย (Leaflet) 3 ใบ (Trifoliate leaf) มสี ีเขยี วเข้ม และ น�้ำมันปลูกใหม่ ได้แสดงให้เห็นว่า ปริมาณน�้ำฝนในช่วงตรงบริเวณเสน้ ใบ อาจมลี ายด่าง แผน่ ใบมรี ูปร่างแบบรปู 2 เดือนแรกหลังจากปลูก และการกระจายของฝนหลังไข่ (Ovate) คือมีส่วนที่กว้างที่สุดอยู่ต่�ำกว่าจุดกึ่งกลาง จากน้ัน มีผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตของถ่ัวมูคูนาใบ ขอบใบโค้ง เรยี บ ผวิ ใบเกลีย้ ง (Glabrous) เนอ้ื ใบไม่ แบร็คเทียตา ภายใต้สภาพอากาศที่แห้งแล้งขณะปลูกหนาหรือบางมาก (Chartaceous) ใบเม่ือโตเต็มท่ีจะมี และมีช่วงแล้งติดต่อกันยาวนาน ถั่วจะชะงักการเจริญขนาด 14x10 ซม. (ภาพที่ 3 และ 4) เติบโต และต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 18 เดือน จึงจะ ดอกของถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา เกิดเป็นกลุ่ม สามารถคลุมดินไดห้ มด (ตารางท่ี 1) แต่ถ้าหากตอ้ งการเรียกว่า ชอ่ ดอก (Inflorescence) หรือเป็นกลุ่มของดอกท่ี คลุมดินให้เร็วข้ึนจ�ำเป็นต้องใช้จ�ำนวนต้นต่อพื้นที่สูงขึ้นอยู่บนก้านดอกเดียวกัน ยาวประมาณ 10-30 ซม. ดอก เช่น 48 ต้นตอ่ ไร่ แต่ก็ยังคลมุ พ้นื ที่ไดเ้ พยี ง 75 เปอรเ์ ซนต์แต่ละดอกที่อยู่บนก้านดอกเดียวกัน เรียกว่า ดอกย่อย เท่านั้น ในพื้นท่ีท่ีมีฝนตกชุก ความส�ำคัญในเรื่องของ(Floret) มกี ้านท่เี รียกว่า Pedicel สว่ นกา้ นใหญ่หรอื ก้าน จ�ำนวนต้นปลูกต่อพื้นท่ีจะมีความส�ำคัญลดลง โดยท่ีของช่อดอกเรียกวา่ Peduncle ซึง่ มีดอกย่อยแยกออกมา จ�ำนวนต้นต่อพื้นที่เท่ากับท่ีปลูกในเขตแห้งแล้ง ถั่วยังเรยี กวา่ Rachis ช่อดอกของมูคูนนา แบร็คเทียตา จัดอยู่ สามารถคลุมพื้นที่ได้มากกว่า 90% ภายในระยะเวลาในชนิด Raceme ซ่ึงเป็นช่อดอกที่มีดอกย่อยเกิดบน 7.5 ถึง 9 เดอื น หลงั จากปลกูRachis ดอกที่แก่ท่ีสุดอยู่ที่โคนช่อ ไล่ข้ึนไปเป็นล�ำดับ Ng et al. (อ้างตาม Goh et al., 2007) รายงานวา่ทางปลายช่อ หรือดอกท่ีอยู่ระดับล่างบานก่อนดอกท่ีอยู่ ถวั่ มคู ูนา แบรค็ เทยี ตา มคี วามทนทานต่อความแห้งแลง้สูงข้ึนไป ดอกมีสีม่วงเกือบด�ำ ขณะออกดอกจะส่งกล่ิน ได้ดีกว่าถั่วเพอราเรีย เนื่องจากในช่วงเดือนท่ีมีปริมาณเหม็น (ภาพที่ 5-8) ฝักมลี ักษณะกลม ยาว มขี นข้ึนปกคลุม เมื่อสมั ผสั

23 ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพท่ี 1 เถาเล้อื ยพนั ในขณะทย่ี ังออ่ น มสี ีเขียว ไม่มขี นขึน้ ปกคลมุ ภาพท่ี 2 ถั่วที่เจรญิ เตบิ โตเต็มที่ ลำ� ต้นหรือเถาสามารถเลอ้ื ยไปไดไ้ กลภาพที่ 3 ลกั ษณะของใบประกอบที่มใี บยอ่ ย 3 ใบ แผน่ ใบมรี ูปรา่ งแบบ่ไข่ ภาพท่ี 4 ในสภาพที่อยู่ใต้ร่มเงา ใบมีสีเข้มขึ้น รูปร่างใบเปล่ียนแปลงไปมีส่วนทีก่ ว้างท่สี ดุ อยู่ต่�ำกวา่ จุดก่ึงกลางใบ บา้ ง มรี อยดา่ งตรงบริเวณเสน้ ใบนำ้� ฝนน้อยกวา่ 25 มลิ ลเิ มตร (ช่วงระหว่างเดอื นที่ 15-18 เพราะมีการคลุมดินท่ีหนา และเป็นถั่วที่ระบบรากที่หลังจากปลูก) ถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ยังคงด�ำรงชีพอยู่ สามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้มาก ประกอบกับความได้ ในขณะท่ีถั่วเพอราเรียไม่สามารถด�ำรงชีพต่อไปได้ แตกต่างในเรื่องของการระเหยคายน้�ำ (Evapotranspi-Mathew (1998) ไดร้ ายงานไว้เช่นกนั วา่ ถั่วมคู ูนา แบรค็ ration) ระหว่างพืชตระกลู ถว่ั และหญ้าเทยี ตา สามารถด�ำรงชีพอยู่ไดโ้ ดยไม่แหง้ ตายในชว่ งแล้ง แสงและรม่ เงานานถึง 4 เดือน ถ่ัวมีการปรับตัวโดยท้ิงใบที่มีอายุมาก ถึงแม้ว่าจะไม่มีงานทดลองที่เกี่ยวข้องกับปริมาณและจะแตกใบออกมาใหม่ใน 30 วันต่อมา ความ ความต้องการแสงของถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา โดยตรงสามารถในการทนแล้งของ ถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา อาจ แต่ก็มีรายงานว่าถ่ัวชนิดน้ียังสามารถเจริญเติบโตได้หนาเน่ืองจากถั่วชนิดนี้ช่วยเก็บกักรักษาความชื้นในดินได้ดี ในสวนปาล์มน้�ำมันท่ีมีอายุ 9 ปี ในอินโดนีเซีย (Chiuตามที่ Kothandaraman et al. (อ้างตาม Goh et al., and Bisad, 2006) และในสวนยางที่มีอายุ 4 ปี ใน2007) ได้รายงานถึงผลการศึกษาความชื้นในดินที่ระดับ อินเดีย (Kothandaraman et al.,อ้างตาม Goh et al.,ความลึกต่างๆในช่วงหน้าแล้ง 3 เดือน ภายใด้การคลุม 2007)ดินของถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา เปรียบเทียบกับถั่ว จากการทดลองของ Chiu and Bisad (2006) ซงึ่เพอราเรยี และหญา้ (ตารางท่ี 2) คณะผวู้ ิจัยได้ให้เหตผุ ล ได้เกบ็ ตวั อยา่ ง ถว่ั มูคูนา แบร็คเทยี ตา ภายใตร้ ่มเงาของของความทนแล้งของถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ว่า เป็น

24 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพท่ี 5 ชอ่ ดอกอ่อนทเี่ กดิ ข้นึ บนเถาท่เี ลือ้ ยบนดนิ ภาพท่ี 6 ดอกท่เี กดิ จากเถาที่เลอ้ื ยบนดนิ เม่อื บานแล้วมีขอ่ ดอกสนั้ภาพที่ 7 ชอ่ ดอกออ่ นทเ่ี กดิ ขึน้ บนเถาทีเ่ ลอ้ื ยขึน้ ค้าง ภาพที่ 8 ช่อดอกที่เกดิ จากเถาทีเ่ ลือ้ ยขึ้นค้าง เมอ่ื บานแลว้ มชี ่อดอกยาวภาพที่ 9 ลักษณะของฝักที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ท่ี จ.สุราษฎร์ธานี ภาพท่ี 10 รปู รา่ ง และสขี องเมล็ดถว่ั มูคูนา แบรค็ เทยี ตา ทน่ี ำ� เข้าจากต่าง(เอื้อเฟือ้ ภาพโดยภรภทั ร สชุ าติกูล) ประเทศ

ตารางทตี่ 1ารอตาิทางรธทาพิ ี่ ง2ลทผข่ี 2ลอขผงปอลรงขมิพอาืชงณพคมุืชนคด�ำ้ ฝมุินนดชแินลชดิ ะนตกิดา่ างตรๆ่ากตงรๆะ่อจตธาา่อยตธขุอาอ เปน็ เปเว็นลเาวล4า, 64 จำ� นวนเดือน 2เใฉนผลชหล(ย่ี ่วมลขปงมังอร2จ.งิม/าเพเดากดืชณือปือคนลนนมุ )กู ำ้� แดฝรนินกชนจิด�ำตนเา่วปตงนน็่อๆตไเตน้รวอ่่ลปธาลากู 4ปรมิ าณน�้ำฝน ท่มี คี วามแหง้ แลง้ (มม./ปี) ติดต่อกตนั ารางท่ี1740 1 171 482075 24 4 102 48 24ทม่ี า: Lee et al. (2005)หมายเหตุ: เดือนที่มคี วามแหง้ แลง้ หมายถึงเดอื นทีม่ ีปรมิ าณน�ำ้ ฝนน้อยกว่า 100 มม. เกบ็ ตวั อยา่ งเพือ่ วดั ผลผลิตน้�ำหนกั แหง้ ในเดอื นที่ 12 และ 18 หลังจากปลกู สำ� หรบั ในสภาพท่ีชุ่ม

อาอตางหอุ ฝาานรหใตาน่อรดใกนนิารดหเินลจหงัรจิญลาังเกจตโาบิ คกโน่ โตคปข่น่าอแปงล่าถะแว่ั มลมกีะคู ามูนรีกปาาลรแปูกบยลรากู็คงยเทางียตา64,แ6ละแล1ะ0 1ป0ี ปีากตอุ าคหตลางั้ รมุ แระดใตยนิน่ปะดไเลดวินกู ลม้ หจาานลก(สเังกดจาวอื มา่ากนา9โร)0คถ%น่ ปา่ แสเลห่วะนนผมือลทีกดผอ่ี าลนิ รยปิตู่ นล้�ำกู เหศยนษางกัซแากหใ้งบ(ตนั /ไรร)่ วม 4, 6 และ 10 ปี7.5 0.97 0.64 1.619 0.94 0.37 1.31>18 0.73 1.14 1.87>18 0.77 0.92 1.69มช้ืน และแห้งแล้ง ตามล�ำดับ

26 ฉบบั อิเล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ตารางท่ี 2 ปริมาณความชื้นในดิน (%) ภายใตก้ ารปลูกพืชคลมุ ดินชนดิ ตา่ งๆระดบั ความลกึ ชนิดของพชื คลุม หญ้า ของดิน มูคูนา แบรค็ เทยี ตา เพอราเรีย 11.42 (ซม.) 12.58 13.330 - 15 15.78 14.9815 - 30 15.95 15.8330 - 60 16.50 16.32ทมี่ า: Kothandaraman et al. (อา้ งตาม Goh et al., 2007)ตารางที่ 3 ผลของร่มเงาของต้นปาลม์ น�ำ้ มนั ตอ่ ผลผลิตชวี มวลของถ่ัวมคู นู า แบร็คเทียตาสภาพแสง จ�ำนวนตัวอย่าง ผลผลติ น�้ำหนักแหง้ (กรัม/ตร.ม.)ไม่มีรม่ เงา 4 ใบ ล�ำตน้ เศษซากพืช รวมมีร่มเงา 60-70% 8 289 243 323 885% ความแตกตา่ ง 124 108 285 517 57 56 12 40ที่มา: Chiu and Bisad (2006)ต้นปาล์ม (ประมาณ 70%) จ�ำนวน 8 จุดๆละ 1 ตร.ม. จ�ำนวนต้นปลูกต่อพื้นที่น้อยมาก (16 ต้น/ไร่) ถ่ัวยังเปรียบเทียบกับสภาพที่ไม่มีร่มเงา จ�ำนวน 4 จุดๆละ 1 สามารถคลมุ พน้ื ท่ีลาดชนั ได้ 40 เปอร์เซนต์ ภายในระยะตร.ม. โดยท่ีถั่วที่ปลูกภายใต้ร่มเงามีอายุ 6 ปี ส่วนถ่ัวที่ เวลา 6 เดือน หลังจากปลูก ในขณะที่ในพื้นที่ราบ ถ่ัวปลูกในสภาพท่ีไม่มีร่มเงามีอายุ 4 ปี ผลปรากฏว่า สามารถคลุมพื้นท่ีได้เพียง 25 เปอร์เซนต์ และเม่ือใช้ผลผลิตน้�ำหนักแห้งของถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา ที่เจริญ จ�ำนวนต้นต่อพื้นที่เพ่ิมมากข้ึน ผลที่ได้ก็ยังออกมาในเติบโตภายใต้สภาพท่ีมีร่มเงาจะมีปริมาณน้อยกว่าที่ ท�ำนองเดียวกัน เพียงแต่ความแตกต่างของการคลุมดินเจริญเติบโตในสภาพที่ไม่มีร่มเงาประมาณ 40 ลดลงเหลอื 18 เปอร์เซนต์ ผลดังกล่าวแสดงให้เหน็ วา่ ถ่วัเปอร์เซนต์ (ตารางที่ 3) ทั้งๆที่ถ่ัวที่เจริญเติบโตภายใต้ มคู นู า แบร็คเทยี ตา ชอบท่ีจะเจริญเตบิ โตจากที่สงู ลงสู่ท่ีสภาพท่ีมีรม่ เงามีอายุมากกว่า 2 ปี ต�่ำดังเช่นในพ้ืนที่ลาดชันได้ดีกว่าในท่ีราบ ดังนั้น ใน ส ภ า พ ข อ ง พื้ น ที่ ล า ด ชั น ที่ มี ก า ร ท� ำ คั น ดิ น ข้ั น บั น ไ ดสภาพพ้ืนท่ี (Bench terrace) ถ้าต้องการให้ถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา จากงานทดลองของ Lee et al. (2005) มีขอ้ มูลที่ เจริญเติบโตคลุมพ้ืนที่ได้เร็ว เช่น ภายในระยะเวลา 6แสดงให้เห็นว่าถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา เจริญเติบโตใน เดอื นหลงั จากปลกู การใช้จ�ำนวนต้นปลูกระหวา่ ง 40 ถึงพ้ืนท่ีลาดชันได้ดีกว่าพ้ืนท่ีราบ กล่าวคือ ในกรณีที่ใช้ 48 ตน้ ต่อไร่ กน็ บั วา่ เพยี งพอ ถึงแม้วา่ ดนิ จะมีความอดุ ม

27 ฉบบั อิเล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพท่ี 11 สภาพพืชคลมุ มคู นู า แบรค็ เทียตา ที่เจริญเตบิ โตในสวนยางซงึ่ ยงั มีร่มเงานอ้ ย ณ ศนู ยว์ จิ ัยยางสุราษฎรธ์ านี (เดมิ )ภาพท่ี 12 สภาพพืชคลมุ มคู นู า แบรค็ เทียตา ท่เี จริญเตบิ โตในสวนยางซง่ึ มีร่มเงามาก (ยางกอ่ นเปดิ กรดี ) ณ จ. บรุ ีรมั ย์ (สวนยางคณุ วิชิต ลี้ประเสรฐิ )

28 ฉบับอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพที่ 13 สภาพพชื คลมุ มูคนู า แบร็คเทยี ตา ทีเ่ จริญเตบิ โตในสวนยางทก่ี รดี แลว้ ณ จ. บรุ รี ัมย์ (สวนยางคณุ วชิ ิต ลีป้ ระเสรฐิ )ภาพท่ี 14 พชื คลุมมูคนู า แบร็คเทยี ตา เจรญิ เติบโตได้ดีในพน้ื ทล่ี าดชนั ดงั นน้ั จึงสามารถลดความเสียหายจากการกร่อนของดินไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

29 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560สมบรูณ์ตำ่� ก็ตาม ร่วนปนทรายหยาบ (Coarse sandy loam soil) เป็น ระยะเวลา 3 ปี Chiu et al. (2001) พบวา่ สมบัติทางเคมีผลผลติ ชีวมวลและธาตอุ าหาร ของดินจะดีข้ึน กล่าวคือ อินทรียคาร์บอน โพแทสเซียม จากการรวบรวมผลผลิตชีวมวลของถ่ัว แลกเปลีย่ นได้ (Exchangeable potassium) และ ความมูคูนา แบร็คเทียตา ท่ีได้จากงานทดลองต่างๆ (Goh et จุแลก-เปล่ียนแคตไอออน (Cation exchange capaci-al., 2007) พบว่า ถั่วชนิดน้ีสามารถให้ผลผลิตน�้ำหนัก ty, CEC) ท่ีระดับความลึก 20-30 ซม. มีค่าสูงขึ้นเมื่อแหง้ ระหว่าง 2.7 ถึง 4.5 ตันต่อไร่ ทัง้ นีข้ ้นึ อยกู่ ันชนดิ ของ เทียบกับแปลงที่มีวัชพืชขึ้น (ตารางที่ 5) ทั้งนี้เน่ืองจากดนิ สภาพอากาศ การดแู ลรักษา ตลอดจนถงึ วธิ กี ารเก็บ ดินได้รับเศษซากใบของพืชคลุมเป็นจ�ำนวนมากตลอดข้อมูล ส่วน Shaharudin et al. (อ้างตาม Shaharudin ระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเศษซากใบของ ถว่ั มูคูนา แบร็คเทียตาand Jamaluddin, 2007) ไดเ้ ปรียบเทยี บการใหผ้ ลผลติ จะเน่าเปื่อยผุพังในเวลาอันรวดเร็วกว่าถั่วเพอราเรีย โดยชีวมวลของถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา กับพืชคลุมตระกูลถั่ว ภายใน 10 สัปดาห์ จะเหลือเศษซากพืชเพียง 24ที่ปลูกกันทั่วไปในมาเลเซีย ปรากฏว่า ถ่ัวมูคูนา แบร็ค เปอร์เซนต์ (Chiu, 2004) ที่เป็นเช่นน้ีเนื่องจาก ถ่ัวมูคูนาเทยี ตา ให้ผลผลติ น้ำ� หนกั แหง้ เท่ากับ 2.8 ตนั ต่อไร่ สว่ น แบร็คเทียตา มีค่าสัดส่วนระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจนพืชคลุมตระกูลถั่วท่ีปลูกกันท่ัวไปให้ผลผลิตน�้ำหนักแห้ง (C/N ratio) ต�่ำกว่าพืชคลุมตระกูลถั่วท่ีปลูกกันทั่วไปเพียง 0.9 ตันตอ่ ไร่ สำ� หรบั ธาตอุ าหารต่างๆทม่ี อี ยใู่ นสว่ น (13.8 กบั 17.9)ของเศษซากใบ (Leaf litter) และสว่ นที่ยังเป็นสีเขยี วของ ข้อมูลท่ีน่าสนใจท่ีได้จากการทดลองในครั้งนี้คือถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา จะมีปริมาณมากกว่าพืชคลุม ปริมาณธาตุอาหารท่ีมีอยู่ในดินช้ันบน (0-30 ซม.) ภายตระกูลถ่ัวท่ีปลูกกันท่ัวไป ซ่ึงเป็นส่วนผสมระหว่างเพ ใต้การปลูกพืชคลมุ ชนิดนจ้ี ะคอ่ นขา้ งสมำ่� เสมอ และแตกอราเรียและซรี ูเลยี ม ถึง 3 เทา่ (ตารางท่ี 4) ต่างอย่างชดั เจนกบั แปลงทีม่ วี ชั พืชขน้ึ โดยทป่ี ริมาณธาตุ อาหารมีแนวโน้มลดลง แสดงให้เห็นว่า ถ่ัวมูคูนา แบร็คการปรบั ปรุงดิน เทียตา มีความสามารถในการดึงธาตุอาหารจากดินท่ีอยู่ จากการทดลองปลกู ถั่วมคู นู า แบรค็ เทยี ตา ในดิน ลึกลงไปหรือส่วนอื่นๆของดินที่ต้นยางไม่สามารถน�ำมาตารางท่ี 4 ปริมาณธาตอุ าหารของถ่วั มูคนู า แบร็คเทียตา เปรียบเทยี บกับ พืชคลุมตระกูลถัว่ ท่ีปลูกกนั ทว่ั ไปธาตุอาหาร เศษซากใบ ส่วนท่ีเปน็ สีเขียว รวม (กก./ไร)่ (กก./ไร)่ (กก./ไร)่ CLC MB CLC MB CLC MBไนโตรเจน 4.5 24.3 21.6 59.2 26.1 83.5 (320)ฟอสฟอรสั 0.2 0.8 1.1 2.9 1.3 3.7 (285)โพแทสเซียม 0.6 5.4 14.2 25.4 14.8 30.8 (208)แมกนีเซียม 0.6 2.1 1.4 2.4 2.0 4.5 (225)แคลเซียม 2.7 7.0 4.5 6.6 7.2 13.6 (189)ที่มา: Shaharudin et al. (อ้างตาม Shaharudin and Jamaluddin, 2007)หมายเหตุ: CLC หมายถงึ พชื คลุมตระกูลถ่ัวทีป่ ลกู กนั ท่ัวไป ซึ่งเปน็ สว่ นผสมระหวา่ งถ่วั เพอราเรีย และซีรเู ลยี ม MB หมายถงึ ถว่ั มูคูนา แบร็คเทยี ตา (Mucuna bracteata) ค่าในวงเลบ็ หมายถงึ เปอรเ์ ซนต์เม่อื เทียบกับ CLC

30 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ตารางท่ี 5 สมบตั ิทางเคมขี องดนิ ภายใต้สภาพทปี่ ลูกถว่ั มูคนู า แบรค็ เทียตา เปน็ พชื คลุมดิน เปน็ ระยะเวลา 3 ปี เปรียบเทยี บกับพชื คลมุ ท่ีเปน็ วชั พชื aธาตอุ าหาร ระดบั ความลึกของดิน (ซม.) 0 - 10 10 - 20 20 - 30 มคู นู า วัชพืช มคู ูนา วชั พชื มคู นู า วชั พชือินทรียคาร์บอน (%)ไนโตรเจนท้งั หมด (%) 2.32 1.98 2.69 1.15 2.81 0.59 0.16 0.12 0.18 0.08 0.17 0.03ฟอสฟอรสั ทัง้ หมด (มก./กก.) 119 140 135 90 109 68Bray 2 - ฟอสฟอรสั (มก./กก.) 2.2 2.2 3.0 4.7 2.5 1.6โพแทสเซยี มทแี่ ลกเปล่ยี นได้ b 0.03 0.02 0.05 0.02 0.05 0.01แคลเซยี มทแี่ ลกเปล่ียนได้ b 0.18 0.09 0.21 0.06 0.19 0.07แมกนเี ซยี มทแ่ี ลกเปลยี่ นได้ b 0.05 0.03 0.05 0.02 0.04 0.02ความจุแลกเปล่ยี นแคตไอออน b 5.8 4.7 6.3 2.7 6.6 1.9ทม่ี า: Chiu et al. (2001)a ประกอบด้วยหญา้ ทีไ่ มเ่ ปน็ วชั พชื ที่รา้ ยแรง และ Nephrolepis biserratab มีหนว่ ยเปน็ cmol/kgภาพที่ 15 เศษซากใบ (Leaf litter) ของพืชคลมุ ท่ีจะสลายตัวและปลดปล่อยธาตอุ าหารลงส่ดู ินต่อไป

31 ฉบับอิเล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 เวลาขดั ดว้ ยเครื่องดังกลา่ วเปน็ เวลา 48 ช่วั โมง จะท�ำให้ เมล็ดซรี ูเลียม ซ่ึงมีเปลอื กหุ้มเมลด็ แข็งและหนาคล้ายกับใช้ประโยชน์หมุนเวียนน�ำมาใช้ประโยชน์ผ่านทางตัวของ เมล็ด ถ่ัวมูคูนา แบร็ค-เทียตา มีความงอกเพิ่มชึ้นเกือบพืชคลมุ และเศษซากใบ เท่าตัว(Chee and Tan, 1982) แต่ถ้าไม่มีเครื่องขัดผิว เมล็ด ก็ให้น�ำเมล็ดมาคลุกกับกรดซัลฟูริกเข้มข้นใน การปลูกและดูแลรักษา ภาชนะที่เป็นแก้ว หรือพลาสติก (ไม่ควรใช้ภาชนะที่ท�ำ จากโลหะ) นาน 30 นาที แลว้ ล้างกรดออก การลา้ งต้องวัสดุปลูก น�ำเมล็ดที่คลุกกับกรดเทใส่ในถังที่บรรจุน�้ำ เปล่ียนถ่าย การปลูกถัว่ มคู ูนา แบร็คเทียตา สามารถกระท�ำได้ น�้ำหลายครั้งจนแน่ใจว่าไม่มีกรดตกค้าง เมื่อน�ำเมล็ดท่ี2 วธิ ี คอื การปลูกดว้ ยเมลด็ และใช้ส่วนของลำ� ตน้ คลุกกับกรดแล้วไปแช่น้�ำและท้ิงไว้ข้ามคืน จะเห็นว่า การปลูกด้วยเมล็ด เน่ืองจากเมล็ดมีราคาแพง เมล็ดเกือบท้ังหมดมีการพองตัว หรือมีขนาดใหญ่ข้ึน แต่ประกอบกับจ�ำนวนต้นท่ีใช้ปลูกต่อไร่มีไม่มาก ดังนั้น วิธี ก็ยังพบว่ามีเมล็ดบ้างส่วนที่ยังคงไม่ยอมให้น�้ำซึมผ่านปฏบิ ตั ทิ ่นี ่าจะใหผ้ ลดี คอื นำ� เมล็ดมาเพาะในถุงพลาสติก เขา้ ไปได้ (ภาพที่ 18) วธิ นี ใ้ี ห้ผลใกล้เคียงกับการใช้เครื่องด�ำขนาด 5x7 หรือ 5x10 นิ้ว (ภาพที่ 16) ดินท่ีบรรจุถุง ขัดผิวเมล็ด แต่ผู้ใช้ต้องมีความระมัดระวัง เช่น ในขณะควรเป็นดนิ ดี และไม่แตกง่ายในขณะยา้ ยปลูก กอ่ นปลกู ปฏิบัติงาน ควรสวมถุงมือยาง และในข้ันตอนของการหน่ึงสัปดาห์ ควรรดน้�ำวันละครั้งเพ่ือให้ดินจับตัวกันแน่น ล้างกรดออกจากเมล็ด ห้ามเทน�้ำใส่ลงในเมล็ดที่คลุกกับและวางถุงไว้กลางแจ้ง เพ่ือให้ถั่วท่ีไดัรับแสงแดดเต็มที่ กรด เพราะอาจเกิดอันตรายได้จากปฏิกิริยาของน�้ำที่ท�ำมีความแข็งแรง และต้ังตัวได้เร็วหลังย้ายปลูกลงแปลง กับกรด เมล็ดหลังจากขัดผิวโดยใช้เครื่องขัด หรือคลุกอย่างไรก็ตาม การปลูกลงในแปลงโดยตรงก็สามารถ ด้วยกรด ควรรีบปลูก ไม่ควรเก็บไว้นานเพราะเมล็ดจะกระท�ำได้ แต่เมล็ดควรมีเปอร์เซนต์ความงอกเกิน 80 สญู เสียความงอกเร็วกวา่ เมลด็ ปกติเปอรเ์ ซนต์ เมล็ดหลงั ปลกู ลงในถุง จะงอกภายในหนง่ึ สปั ดาห์ การปลูกด้วยเมล็ด เน่ืองจากเมล็ดมีเปลือกหุ้ม หลังจากน้ันจะเจริญเติบโตแตกใบไปเรื่อยๆ จนถึงเมล็ดที่แข็งและหนา ท�ำให้น�้ำไม่สามารถซึมผ่านเปลือก สัปดาห์ที่ 7 (โดยประมาณ) ถ่ัวจะเริ่มมีเถาเล้ือย (Run-หุม้ เมล็ดได้ ส่งผลให้เมล็ดไมส่ ามารถงอกได้ ดงั นั้น ก่อน ner) และจะยาวเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ โดยในสัปดาห์ที่ 8 วัดปลูกต้องท�ำให้เปลือกหุ้มเมล็ดบางพอท่ีจะท�ำให้น�้ำซึม ความยาวของเถาได้ 65 ซม. ดงั น้นั การเพาะช�ำเมลด็ ในผ่านเข้าไปได้ โดยนำ� เมล็ดใส่ในเคร่ืองขัดผิวเมล็ด (ภาพ ถุง ควรย้ายปลูกหลังจากที่ถั่วเร่ิมแตกเถาเล้ือย หรือท่ี 17) ซึ่งประกอบด้วยกล่องไม้ทรงหกเหล่ียม ข้างในบุ ประมาณ 7-8 สัปดาห์หลังจากปลูก การย้ายปลูกหลังด้วยกระดาษทราย กล่องซ่ึงบรรจุเมล็ดจะถูกหมุนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดคร่ึงแรงม้า อัตรา 75 รอบต่อนาที(Rubber Research Institute of Malaya, 1960) การใช้ภาพที่ 16 เพาะเมล็ดในถุงพลาสติกด�ำ ขนาด 5x7 นิ้ว (ในภาพ ตน้ กลา้ ถว่ั ภาพที่ 17 เครอ่ื งขดั ผวิ เมลด็ ประกอบดว้ ยกลอ่ งไมห้ กเหลย่ี ม ขา้ งในบดุ ว้ ยหลังจากปลูก 7 สัปดาห์ เร่ิมมีเถาเล้อื ย ซง่ึ พร้อมท่จี ะยา้ ยปลกู ลงแปลง) กระดาษทราย หมนุ ดว้ ยมอเตอรไ์ ฟฟา้ ขนาดครง่ึ แรงมา้ อตั รา 75 รอบตอ่ นาที

32 ฉบบั อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพท่ี 18 เมล็ดหลงั จากคลุกด้ยกรดซัลฟรู กิ เขม้ ข้นนาน 30 นาที ลา้ งด้วยนำ้� ให้เมลด็ ปราศจากกรด จากน้นั น�ำไปแช่ในน้�ำ ท้งิ ไว้ขา้ มคืน จะพบว่าเมล็ดมีการพองตัว (เมล็ดตรงกลาง) และผิวเมล็ดจะไม่แววเป็นมันเหมือนกับเมล็ดก่อนคลุกกรด (เมล็ดด้านซ้ายมือ) อย่างไรก็ตาม มีเมล็ดจ�ำนวนหน่ึง (ส่วนน้อย) หลงั จากคลุกกรด และน�ำไปแชน่ ำ�้ ค้างคนื แล้ว เมลด็ ยงั ไมพ่ องตวั หรอื ไมย่ อมใหน้ ้ำ� ซมึ ผ่านเขา้ ไปได้ (เมลด็ ดา้ นขวามือ)จากท่ีถั่วทอดเถายาวและพันกันเองระหว่างถุงช�ำซ่ึงวาง 6. ช�ำท่อนพันธุ์ในกะบะทรายภายใต้สภาพข้อ 5ชดิ กันจะสร้างความย่งุ ยากตอ่ การยา้ ยปลกู อกี ท้งั ยังอาจ เปน็ เวลา 4 สปั ดาห์ จากน้นั ย้ายปลูกทอ่ นพนั ธท์ุ ี่แตกรากสรา้ งความเสียหายให้กับตน้ กลา้ ถว่ั ได้ ลงในถุงด�ำบรรจุดินขนาด 10x15 นิ้ว เล้ียงไว้ในเรือน ในกรณีที่ไม่สามารถหาซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ หรือ เพาะชำ� เป็นเวลา 4 สปั ดาห์ กอ่ นยา้ ยปลูกลงแปลง โดยท่ีต้องการวัสดุปลูกอย่างอ่ืนเข้ามาเสริม สามารถกระท�ำได้ 2 สัปดาห์หลังก่อนน�ำไปปลูกในแปลง ควรให้ใบที่แตกโดยน�ำล�ำต้นมาปักช�ำในกะบะทรายที่อยู่ในโรงเรือนท่ี ออกมาใหม่ได้รับแสงแดดมากข้ึนเพื่อเพ่ิมความแข็งแรงสามารถควบคุมความชนื้ ได้ วธิ ีน้ี จากรายงานของ Chiu ให้กบั ตน้ ถ่วั ท่ไี ดจ้ ากการช�ำล�ำตน้et al. (2001) พบว่าให้ผลส�ำเร็จถึง 80 เปอร์เซนต์ ราย วิธีการดังกล่าวเหมาะกับการปลูกในพ้ืนท่ีมากๆละเอียดของวธิ ดี ังกลา่ วมดี งั ตอ่ ไปน้ี และต้นถ่ัวที่ได้จากวิธีข้างต้น เมื่อน�ำไปปลูกในที่แจ้ง 1. เลอื กเถาทม่ี ีความแขง็ แรงและไม่แก่จดั แล้วตัด สามารถให้ผลผลิตชีวมวลเท่ากับ 4.5 ตันต่อไร่ แต่ในเถาออกเปน็ ทอ่ นๆ ใหต้ ิดขอ้ มาเพียง 1 ข้อ แตล่ ะท่อนยาว สภาพท่ีมีร่มเงาประมาณ 60-70 ผลผลิตจะลดลงเหลือประมาณ 20-25 ซม. ตัดล�ำต้นที่อยู่เหนือตาตรงข้อให้ 2.1 ตันต่อไร่เหลือ 2-3 ซม. ระยะปลูก 2. ลดพื้นที่ใบท่ีติดมาตรงข้อ โดยตัดส่วนบนของ Lee et al. (2005) ได้ศึกษาระยะปลูกท่เี หมาะสมทกุ ใบย่อยออกเหลือเพยี งครง่ึ หน่ึง ส�ำหรับถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ในสภาพที่ได้รับปริมาณ 3. นำ� ทอ่ นพันธ์ุแช่ในนำ�้ นาน 0.5-1 ชม. เพื่อเอาน�ำ้ นำ้� ฝนแตกตา่ งกัน 2 สภาพ คอื สภาพชมุ่ ชน้ื และสภาพเลีย้ งออกจากลำ� ตน้ แห้งแล้ง ผลการศึกษาพบว่า ถ้าต้องการให้ถ่ัวมูคูนา 4. จุ่มปลายท่อนพันธุ์ (ด้านที่ไม่มีข้อ) ลงใน แบร็คเทียตา คลุมพ้ืนที่ได้หมดในระยะเวลาอันส้ัน ในฮอร์โมนเร่งราก จากนั้นน�ำท่อนพันธุ์ทิ่มลงในทราย (ใช้ สภาพพน้ื ที่ช่มุ ช้นื แนะนำ� ให้ปลกู ห่างกัน 4 เมตร หรือใช้ทรายแม่น�ำ้ ) จ�ำนวนต้นปลูกในพ้ืนท่ีสวนปาล์มน�้ำมันหน่ึงไร่ เท่ากับ 5. ติดต้ังเคร่ืองพ่นหมอกเพื่อให้น�้ำแก่ท่อนพันธุ์ 48 ต้น แต่ในสภาพแห้งแล้งต้องใช้ระยะปลูกที่ถ่ีข้ึน (2-ภายใต้ร่มเงา 70 เปอร์เซนต์ ให้น�้ำตอนกลางวันๆละ 6 2.5 เมตร) หรือมีจ�ำนวนต้นปลูกต่อพื้นที่สูงขึ้น (80-96ครงั้ โดยทิ้งชว่ งหา่ งกัน 2 ชม. แตล่ ะครัง้ นาน 15 นาที

33 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 เตบิ โตค่อนข้างชา้ ในระยะแรกหลงั จากปลกู ประกอบกับ ปลูกเพียงแถวเดียวในระหว่างแถวยาง ซ่ึงรูปแบบการตน้ ต่อไร)่ ปลูกดังกล่าว ถ่ัวจะใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะคลุมพ้ืนท่ี ในกรณีของสวนยาง ยังไม่มีรายงานการศึกษาถึง ได้หมด ดังน้ัน ถ้าหากต้องการให้การคลุมดินเป็นไประยะปลูกที่เหมาะสมโดยมีวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกัน อย่างรวดเร็ว Shaharudin and Jamaluddin (2007)เช่น ต้องการแค่ให้ถั่วคลุมพื้นที่ให้ได้เร็วที่สุด หรือ แนะน�ำให้ปลูกถ่ัวเพอราเรียเสริมเข้าไปด้วย โดยใช้เมล็ดต้องการมองถึงผลระยะยาวท่ีมีต่อการเจริญเติบโตและ ในอัตรา 1 กก./ไร่ ชึ่งถ่ัวเพอราเรียจะมีการเจริญเติบโตการให้ผลผลิตของต้นยาง ค�ำแนะน�ำในเร่ืองระยะปลูก คอ่ นขา้ งรวดเร็ว และจะถูกแทนทโ่ี ดยถวั่ มูคนู า แบร็คเทยีหรอื จ�ำนวนตน้ ปลกู ตอ่ พืน้ ท่ีของถ่วั มูคนู า แบร็คเทียตา ที่ ตา ในอีก 8-9 เดือนถัดมาจะใช้ปลูกในสวนยาง คงต้องยึดหลักผลการศึกษาท่ีได้ อีกวิธีหน่ึงในการช่วยให้การคลุมดินเป็นไปอย่างจาก Lee et al. (2005) คือ ในสภาพพน้ื ทแี่ หง้ แลง้ เช่น รวดเร็ว และช่วยเพ่ิมปริมาณของชีวมวล ผู้เขียนเสนอในพื้นท่ีปลูกยางใหม่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ แนะให้ปลูกถ่ัวมูคูนา โคชินชิเนนซิส (Mucuna cochi-ประเทศไทย ควรใช้จ�ำนวนต้นปลูกต่อพื้นท่ีมากกว่าใน nchinensis) เสริมเข้าไปพร้อมกับการปลูกถ่ัวมูคูนาสภาพพ้ืนที่ชุ่มชื้น เช่น ในพ้ืนที่ปลูกยางเดิมทางภาคใต้ แบรค็ เทียตา ทง้ั นีเ้ น่ืองจากถว่ั มูคูนา โคชนิ ชเิ นนซิส เป็นส่วนรูปแบบและวิธีการปลูกถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา เป็น พืชอายสุ นั้ ประมาณ 8-9 เดอื น แต่มกี ารเจริญเดิบโตคลมุพืชคลุมในสวนยาง มีขอ้ เสนอแนะดังน้ี พ้ืนท่ีได้เร็วท่ีสุดเม่ือเทียบกับพืชคลุมตระกูลถ่ัวที่ปลูกกัน พื้นท่ีราบ ปลูกแถวเดียวระหว่างแถวยาง ถ้าเป็น ท่ัวไป (ภาพท่ี 19) อีกทั้งยังให้ปริมาณเศษซากพืชท่ีสูงพ้ืนที่ปลูกยางเดิม ปลูกห่างกันประมาณ 5 เมตร หรือใช้ และไม่มีปัญหาเก่ียวกับการให้เมล็ดในทุกพื้นท่ีปลูกยางจำ� นวนตน้ ต่อพน้ื ท่เี ทา่ กับ 46 ต้นต่อไร่ (คิดจากระยะห่าง เมล็ดมีขนาดใหญ่ (ประมาณ 1.2x1.7 ซม.) สีขาวขุ่นของแถวยาง 7 เมตร) แตถ่ า้ เป็นพ้นื ทป่ี ลกู ยางใหม่ ปลกู (ภาพท่ี 20) สามารถปลูกลงในแปลงไดโ้ ดยไม่ตอ้ งขัดผิวห่างกันประมาณ 3 เมตร หรือใช้จ�ำนวนต้นต่อพื้นที่ เมล็ด หรือคลุกกับกรดก่อนปลูก ระยะปลูกที่แนะน�ำคือเทา่ กบั 76 ตน้ ต่อไร่ โดยทั่วไปแล้วถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา มีการเจริญ100 80เปอรเซน ตการคลุม ิดน 60 40 Mucuna cochinchinensis Calopogonium caeruleum 20 CPueenrtarorisaepmhaaspeuobleosidceesns Calopogonium mucunoides 00 1 2 3 4 ระยะเวลาหลังจากปลกู (เดอื น)ภาพที่ 19 เปอร์เซนตก์ ารคลุมดินของพชื ตระกลู ถว่ั ชนิดตา่ งๆ (ที่มา: Rubber Research Institute of Malaysia, 1977)

34 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560ภาพท่ี 20 เมลด็ ถว่ั มูคูนา โคชินชเิ นนซิส (Mucuna cochinchinensis) = หลมุ ปลกู ยาง (หา งกนั 3 ม.) = หลุมปลูกถวั่ มูคนู า แบร็คเทียตา (หางกัน 4.5 ม.) ภาพท่ี 22 แผนผังการปลูกมูคนู า แบร็คเทยี ตา ในพนื้ ทีค่ วนเขาที่มกี ารทำ� คนั ดนิ ขนั้ บันได จะเกดิ ขน้ึ กค็ อื ในระยะ 4 เดอื นแรกหลงั จากปลกู ถว่ั มคู นู า โคชินชิเนนซิส จะเจริญเติบโตคลุมพ้ืนท่ีได้หมด และยัง คงอยู่ร่วมกับถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา จนกระทั่งเวลาผ่าน ไปประมาณ 8-9 เดือน หลังจากปลูก ถั่วมูคูนา โคชิน- ชิเนนซิส จะติดเมล็ดและแห้งตายไป คงเหลือเฉพาะถั่ว มูคนู า แบร็คเทยี ตา เพยี งอยา่ งเดียว ซ่ึง ณ เวลานนั้ ถัว่ มูคูนนา แบร็คเทียตาสามารถคลุมพ้ืนท่ีได้หมดแล้ว ตัวอย่างแผนผังหลุมปลูกของการปลูกร่วมระหว่างถั่วมูคู นา ทั้ง 2 ชนิด แสดงไว้ในภาพที่ 21 ซึ่งอาจมีการปรับ ระยะห่างของถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ไปบ้างเพื่อให้เข้า กบั ระยะปลกู ของถ่วั มคู ูนา โคชนิ ชเิ นนซสิ ท่ใี ช้ระยะปลกู 1.5 x1.5 ซม. พ้นื ท่คี วนเขาทม่ี กี ารท�ำคันดินขน้ั บันได จ�ำนวนตน้ ปลูกต่อพ้ืนท่ียังคงยึดหลักการเดียวกับพ้ืนท่ีราบ แต่อาจ ลดจ�ำนวนต้นปลูกต่อพ้ืนที่ หรือปลูกห่างข้ึนได้ เนื่องจาก ถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา เจริญเติบโตในท่ีลาดชันได้ดีกว่า ในที่ราบ วิธีปลูก ให้ปลูกตรงบริเวณขอบของข้ันบันได (ภาพที่ 22)ภาพท่ี 21 แผนผังการปลูกถ่ัวมคู นู า แบร็คเทียตา ในพ้ืนทรี่ าบ (แหลง่ ปลูก การดแู ลรกั ษายางใหม)่ ร่วมกบั ถั่วมูคูนา โคชนิ ชเิ นนซสิ สิ่งที่ต้องท�ำความเข้าใจกับเกษตรกรที่ต้องการ ปลูกถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา เป็นพืชคลุมในสวนยางเป็น1.5x1.5 เมตร ใน 1 ไร่ ใช้เมล็ดประมาณ 240 กรมั (Rub- อันดับแรกคือ พืชคลุมชนิดน้ี หลังจากท่ีต้ังตัวได้แล้วจะber Research institute of Malaysia, 1977) ดงั นน้ั ถ้า เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ใกล้ต้นยางท่ียังเล็กอยู่หาก มีการปลกู ผสมรว่ มกันของถว่ั มคู ูนาท้ัง 2 ชนิด สิง่ ท่ี จะป่ายปีนและคลุมต้นยาง (ภาพท่ี 23) ท�ำให้ต้นยาง ชะงักการเจริญเติบโตได้ ดังน้ัน เกษตรกรต้องให้เวลาใน

35 ฉบบั อิเลก็ ทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560 ที่อาจอาศัยอยใู่ นแปลงพชื คลมุ ส�ำหรับการดูแลพืชคลุมหลังจากปลูก โดยเฉพาะภาพที่ 23 การปลูกถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ต้องหมั่นเข้าไปดูแลสวนยาง ในช่วง 3 เดือนแรก หลังจากปลูก ต้องคอยหม่ันก�ำจัดมฉิ ะนนั้ พชื คลมุ จะเลื้อยพันขึน้ คลมุ ต้นยาง วัชพชื ให้กบั พืชคลุมในลกั ษณะเปน็ วงกลม โดยใช้แรงคน ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีประเภทดูดซึม เช่น ไกลโฟ- เสท (Glyphosate) เพราะถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา จะถูก ท�ำลายได้ง่ายกับสารเคมีประเภทนี้ ถ้าจะใช้ ควรฉีดพ่น ด้วยสารเคมีประเภทสมั ผัส เช่น กลูโฟซิเนท แอมโมเนียม (Glufosinate ammonium) เปน็ ต้น (Lee et al., 2005) ส�ำหรบั การใส่ปุย๋ ให้กับพืชคลุม เนอื่ งจากถวั่ มูคนู า แบรค็ เทยี ตา สามารถตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศได้ ดังนัน้ จึงไม่จ�ำเป็นต้องใส่ปุ๋ยไนโตรเจนให้กับพืชคลุม Shaha- rudin and Jamaluddin (2007) แนะน�ำใหใ้ สเ่ ฉพาะปยุ๋ ร็อคฟอสเฟต หลังจากปลูก 4, 8, 14 และ 20 เดือน ใน อัตรา 8 กก/ไร่ ถือว่าพอเพียงต่อเจริญเติบโตและการ สร้างปมท่รี ากของถัว่ มูคูนา แบรค็ เทยี ตาภาพท่ี 24 สภาพใบถัว่ ทถ่ี ูกแมลงทำ� ลายเปน็ รทู ั่วทั้งใบ ศตั รพู ชื ในสภาพแวดล้อมของสวนปาล์มน�้ำมัน เป็นท่ีภาพที่ 25 แมลงวางไข่ที่ใบ ยอมรับว่าถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา มีความทนทานต่อโรค และแมลง (Goh, 2007) ตั้งแต่ได้มีการน�ำถ่ัวชนิดนี้เข้าการดูแลมใิ ห้พชื คลมุ ป่ายปนี ต้นยาง จนกวา่ ต้นยางจะโต มาในประเทศมาเลเซีย ยังไม่มีการรายงานถึงการระบาดพอท่ีพืชคลุมไม่สามารถท�ำความเสียหายให้กับต้นยาง ของโรคและแมลงที่เข้าท�ำลาย ทั้งนี้เนื่องจากท่ีใบมีได้ ท้ังน้ีอาจใช้แรงคน เช่น ใช้มีดหวด หรือเหวี่ยงเถาให้ สารประกอบพวกปรีนอล (Phenolic compound)ออกหา่ งจากตน้ ยาง หรอื อาจใช้สารเคมีฉีดพน่ ท�ำลายพชื (Mathews, 1998) แต่ก็ยังไม่มีรายงานยืนยันในเร่ืองนี้คลุมท่ีเข้ามาใกล้ต้นยาง และที่มีความสำ� คัญอีกประการ โดยท่ัวๆไปแล้ว การเข้าท�ำลายของแมลงจะพบเห็นได้หนึ่งก็คือ ขณะลงท�ำงานในแปลงพืชคลุมควรสวมรอง ทั่วไปที่ใบ ซ่ึงจะถูกกัดเป็นรูเล็กๆท่ัวท้ังใบ (ภาพท่ี 24)เท้าบ็ูตที่มีความความสูงเกือบถึงหัวเข่า ท้ังเพ่ือป้องกันงู หรือพบการวางไข่ของแมลงโดยม้วนใบเข้าหากันเป็น วงกลม (ภาพที่ 25) ส�ำหรับความกงั วลวา่ ถวั่ มูคูนา แบรค็ เทียตา จะเป็นพืชอาศัยของโรครากขาวได้หรือไม่ จาก การทดลองปลูกเชื้อโรครากขาวกับต้นถ่ัวมูคูนา แบร็ค เทียตา เป็นเวลา 6 เดือน ก็ยังไม่พบอาการผิดปกติแต่ อยา่ งใด (พเยาว์, 2559) สรุปและข้อเสนอแนะ ปจั จบุ นั กล่าวได้วา่ ถว่ั มคู นู า แบรค็ เทียตา เปน็ พชื ที่เหมาะที่สุดส�ำหรับใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินในสวนยาง และสวนปาล์มน�้ำมัน เนื่องจากมีการเจริญเติบโตท่ี

36 ฉบับอิเลก็ ทรอนิกส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560 ประโยชนต์ อ่ การเขียนบทความในคร้งั น้ีรวดเร็วและแข็งแรง ทนทานต่อความแห้งแล้ง และร่ม เอกสารอา้ งองิเงา การปลูกไม่จ�ำเป็นต้องใช้จ�ำนวนต้นต่อพื้นท่ีมากท�ำใหล้ ดการแกง่ แย่งทงั้ ในเรือ่ งน้�ำและอาหารกับพชื หลกั พเยาว์ รม่ รื่นสุขารมย์. 2559. ศกั ยภาพการใช้มคู นู าเป็นลงได้ เป็นพืชคลุมที่ให้ปริมาณชีวมวลและธาตุอาหาร พืชคลุมในสวนยาง. รายงานความก้าวหน้าผลกลับคืนสู่ดินได้สูงกว่าพืชคลุมตระกูลถั่วชนิดเดิมถึง 3 งานวิจัยและพัฒนายาง ประจ�ำปี 2559.เทา่ ซึ่งยอ่ มหมายถงึ ประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ ับมากกว่าพืชคลมุ สถาบันวจิ ัยยาง การยางแห่งประเทศไทย.ชนิดเดิม ทั้งในเรื่องของการลดการกร่อนของดิน การ Chee, Y. K. and G. K. Tan. 1982. Pre-treatment ofปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ปริมาณธาตุอาหารต่างๆท่ีเพ่ิมขึ้นใน legume cover crop seeds. Plrs' Bull. Rubb.ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุไนโตรเจน ซ่ึงประโยชน์ดัง Res. Inst. Malaya 170: 10-13.กล่าวจะสะท้อนให้เห็นได้จากการเจริญเติบของต้นยาง Chiu, S. B. 2004. Mucuna bracteata - Dry matterหรอื ต้นปาลม์ ที่ดีข้นึ รวมถงึ ผลผลติ ท่ีจะไดร้ ับเพิ่มขน้ึ และ conversion and decay rate of litter. The Planterเป็นเวลานานข้ึน 80(940): 461-464. สำ� หรบั ประเทศไทยมกี ารปลกู ถวั่ มคู นู า แบรค็ เทยี ตา Chiu, S. B. and M. Bisad. 2006. Mucuna bracteataเป็นพืชคลุมดินในสวนยางนอ้ ยมาก เนือ่ งจากยงั ขาดการ - Biomass, litter and nutrient production. Theประชาสัมพันธ์ไปสู่เกษตรกร อีกท้ังงานศึกษาค้นคว้า planter 82(961): 247-254.วิจัยเกี่ยวกับถั่วชนิดนี้ยังมีน้อยมาก ที่ส�ำคัญคือยังไม่ Chiu, S. B., A. Siow and E. Farida. 2001. Mucunaสามารถผลิตเมล็ดเพื่อใช้ในประเทศได้ ซึ่งปัจจุบันต้อง bracteata - A super legume cover crop revi-น�ำเข้าจากต่างประเทศในราคากิโลกรัมละ 3,000 บาท sited. The Planter 77(907): 575-583.นอกจากนี้ การศึกษาในเร่อื งอ่ืนๆ เชน่ ผลของการปลกู ถ่ัว Goh, K. J., H. H. Gan and P. H. C. Ng. 2007. Agro-มูคูนา แบร็คเทียตา เป็นพืชคลุมดินในสวนยาง เพื่อน�ำ nomy of Mucuna bracteata under oil palm. In:ผลท่ีได้มาวิเคราะห์ถึงปริมาณปุ๋ยเคมีที่จะใส่ให้กับต้น Goh, K. J. and S. B. Chiu (ed.) Mucuna bracยาง ซ่ึงคาดว่าจะมปี ริมาณลดลง ท�ำให้เกษตรกรสามารถ teata A cover crop and living green manure.ลดค่าใช้จา่ ยในการใสป่ ุ๋ยให้กับตน้ ยางลงได้ Agricultural Crop Trust (ACT): Pataling Jaya, Selangor Darul Ehsan. pp 45-83. คำ� ขอบคุณ Lee, C. T., K. C. Chu, I. Afida and I, Hashim. 2005. Early results on the establishment of Mucuna ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณวีระ ตระกูลรัมย์ เจ้าของ bracteata at various planting densities underบริษัท ตรัง-มาเลเซีย เทคโนโลยีเกษตร ต. ทับเที่ยง อ. two rainfall regrimes. The Planter 81(952):เมือง จ. ตรงั ท่ีไดใ้ ห้เมลด็ ถวั่ มคู ูนา แบร็คเทยี ตา จ�ำนวน 445-459.1 กโิ ลกรมั ไวศ้ ึกษาคน้ คว้าทดลอง Mathews, C. 1998. The introduction and establish- ขอขอบคณุ คุณวิชิต ลีป้ ระเสรฐิ เจา้ ของสวนยางท่ี ment of a new leguminous cover crop,จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ได้ให้ข้อมูลและภาพถ่ายในด้านต่างๆ Mucuna bracteata under oil palm in Malaysia.ของถั่วมูคูนา แบร็คเทียตา ที่เจริญเติบโตในพื้นที่แห้ง The Planter 74(868): 359-368.แล้ง รวมทั้งพาเยี่ยมชมสวนยางที่ปลูกถั่วมูคูนา แบร็ค Rubber Research Institute of Malaya. 1960. Seedเทยี ตา และกิจกรรมต่างๆทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการทำ� สวนยาง treatment and sowing methods for cover crop สุดท้าย ขอขอบคณุ คณุ ภรภัทร สุชาติกูล ทอี่ ำ� นวย seeds. Plrs' Bull. Rubb. Res. Inst. Malaya 50:ความสะดวกพาเยี่ยมชมแปลงทดลองที่เก่ียวข้องกับถั่ว 94-98.มคู ูนา แบรค็ เทียตา ทศี่ นู ยว์ จิ ัยยางสรุ าษฎร์ธานี (เดิม) จ.สุราษฎร์ธานี รวมทั้งให้ข้อมูลและภาพถ่ายท่ีเป็น

37 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560 bracteata under oil palm. In: Goh, K. J. and S. B. Chiu (ed.) Mucuna bracteata A cover cropRubber Research Institute of Malaysia. 1977. and living green manure. Agricultural Crop Mucuna cochinchinensis-A potential short Trust (ACT): Pataling Jaya, Selangor Darul term legume cover plant. Plrs' Bull. Rubb. Ehsan. pp 97-109. Res. Inst. Malaysia 150: 78-82.Shaharudin, B. and N. Jamaluddin. 2007. Golden Hope's experiences with establishing Mucuna

38 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560แนวทางส่งเสรมิ และพัฒนาการปลกู พชื คลุมในสวนยางแบบย่ังยนืภัทธาวธุ จวิ ตระกูล*93/75 นิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ต. หาดใหญ่ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา 90110 หลังจากที่ส�ำนักงานกองสงเคราะห์การท�ำสวน ปลูกยางกันมา 4-5 รอบแลว้ ในแต่รอบของการปลกู ยางยาง (สกย.) ได้ก่อก�ำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2503 สวนยาง ดินย่อมสูญเสียธาตุอาหารออกไปจากดินไปเป็นจ�ำนวนของไทยซงึ่ เดมิ ปลกู ดว้ ยเมลด็ และเปน็ พนั ธท์ุ ใ่ี หผ้ ลผลติ ตำ�่ มาก สาเหตุเกิดจากการกร่อนของดิน (Soil erosion)ได้มีการปลูกแทนดว้ ยยางพนั ธ์ดุ ที ใี่ ห้ผลผลิตสงู กว่า และ และการสูญเสียไปกับผลผลิตในรูปของน้�ำยางและเน้ือมีการจัดการสวนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น ในเรื่อง ไม้ ดงั นน้ั การหวนกลบั มาทบทวนบทบาทและประโยชน์ของการอนุรักษ์ดินและน�้ำ สกย. เน้นความส�ำคัญการ ของการปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วในสวนยางจึงเป็นสิ่งท่ีจัดการพื้นที่อย่างเคร่งครัด สวนปลูกแทนทุกสวนต้อง สมควรท�ำเป็นอย่างยิ่ง และในปัจจุบัน พันธุ์ถั่วท่ีเหมาะปลูกพืชคลุมตระกูลถั่ว (ภาพที่ 1) และรับซ้ือเมล็ดพืช ต่อการส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชคลุมในสวนยางมีอยู่หลายคลุมจากผู้ได้รับการสงเคราะห์ ท�ำให้ชาวสวนสงเคราะห์ พันธ์ุ ท้ังพนั ธใ์ุ หมแ่ ละพนั ธท์ุ ่ปี ลกู กันอยู่เดิมมีรายได้เสริมจากการขายเมล็ดพืชคลุม ส่วน สกย. ก็ได้ การท่ีจะให้เกษตรกรชาวสวนยางหวนกลับมาปลูกเมล็ดไว้หมุนเวียนแจกจ่ายแก่ผู้รับการสงเคราะห์ราย พืชคลุมในสวนยางอีกคร้ัง ก่อนอื่นต้องท�ำความเข้าใจใหม่ (ส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง, ไม่ ปัญหาที่เป็นสาเหตุท�ำให้เกษตรกรไม่นิยมปลูกพืชคลุมระบุปี) ต่อมาเนื่องจากชาวสวนสงเคราะห์ไม่เก็บเมล็ด ในสวนยาง เมื่อทราบปํญหาแล้ว การวางแนวทางส่งมาขายคืนให้กับ สกย. ท�ำให้ สกย. เริ่มไม่เข้มงวดหรือ เสริมและพัฒนาการปลูกพืชคลุมในสวนยางย่อมบังคับให้สวนสงเคราะห์ทุกสวนต้องปลูกพืชคลุม และ สามารถกระท�ำได้ ซึ่งเนื้อหาท้ังหมดนี้จะน�ำเสนอในประกอบกับเหตุผลอื่นๆ เช่น เกษตรกรยังไม่เข้าใจถึงผล บทความน้ีประโยชน์ที่จะได้รับจากพืชคลุม จึงไม่กระตือรือล้นที่จะปลูกพืชคลุม แนวความคิดด้ังเดิมข้างต้นจึงได้ถูกยกเลิก ปัจจยั สำ� คัญที่เกษตรกรไปโดยปริยายจนถึงทุกวันน้ี นับว่าเป็นส่ิงท่ีน่าเสียดาย ไม่นิยมปลูกพืชคลุมเป็นอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ดินและน้�ำดังท่ี สกย. ได้เคยตง้ั ปฏิภาณไว้ ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจ เหตุท่ีต้องน�ำเร่ืองนี้มากล่าวถึงอีกคร้ัง เนื่องจาก การปลูกพืชคลุมดินต่างจากพืชแซมยาง ตรงที่พืชพื้นที่ปลูกยางของไทย โดยเฉพาะในแหล่งปลูกยางเดิม แซมยางสามารถมองเห็นถึงผลประโยชน์ได้ชัดเจนในรูปซึ่งอยู่ทางภาคใต้ ถ้านับเวลาตั้งแต่เริ่มปลูกยางกันมา ตัวเงิน ต่างจากพืชคลุม ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่าร้อยปี หรือในพ้ืนท่ีเดียวกัน เป็นการยากที่จะมองเห็นผลประโยชน์ของพืชคลุม เพราะพชื คลุมไม่ไดใ้ หผ้ ลประโยชนใ์ นรูปตัวเงนิ แตจ่ ะให้* อดีตนักวิชาการศนู ยว์ จิ ยั การยาง และศูนยว์ ิจยั ยางสงขลา อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา (ระหวา่ งปี 2517-2533)

39 ฉบับอิเล็กทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพที่ 1 ภาพเกา่ ในอดีตที่เจ้าหน้าทส่ี ำ� นักงานกองทุนสงเคราะหก์ ารท�ำสวนยาง หรือทเี่ รียกว่า “อศั วนิ เสอื้ สม้ ” ออกตรวจเย่ียมสวนยางของเกษตรกรที่ได้รบั ทุนสงเคราะห์ มกี ารเนน้ ใหท้ ุกสวนตอ้ งปลกู พืชคลุมดิน (ภาพจากหนงั สือ บอกกล่าว...เล่าขาน ตำ� นาน สกย.)ผลประโยชน์แบบแอบแฝง และใชเ้ วลา เชน่ บอกว่า พชื พชื คลมุ ดนิ ในสวนยางอยู่ 5 ชนดิ (ภาพที่ 2-5) ไดแ้ ก่ คาโล-คลุมช่วยลดความสูญเสียธาตุอาหาร เพิ่มอินทรียวัตถุ โปโกเนยี ม มคู นู อยดสี (Calopogonium mucunoides),และธาตุอาหารต่างๆให้กับดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุ คาโลโปโกเนยี ม ซีรเู ลียม (Calopogonium caeruleum),ไนโตรเจน ช่วยปรับปรุงสมบัติทางฟิสิกส์ให้กับดิน มูคนู า แบร็คเทยี ตา (Mucuna bracteata), มูคนู า โคชิน-เป็นต้น ซ่ึงที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นนามธรรม เกษตรกรจับ ชิเนนซิส (Mucuna cochinchinensis) และต้องไม่ได้ แต่เป็นเร่ืองราวท่ีเป็นจริงทั้งส้ิน และผลของ เพอราเรยี ฟาซลี อยดีส (Pueraria phseoloides) ทง้ั นไ้ี ม่การปลูกพืชคลุมจะมองไม่เห็นทันตา แต่จะค่อยๆทยอย นับรวมถั่วเซ็นโตรซีมา พิวเบสเซนส์ (Centrosemaออกมาให้เห็นทีละอย่างสองอย่าง ที่ส�ำคัญก็คือ ช่วย pubescens) ซึ่งจะให้เหตุผลในหัวข้อถัดไป ทุกพันธุ์ปรับปรุงดินให้ดีข้ึน และเม่ือดินดีข้ึน ต้นยางย่อมเจริญ สามารถใช้เมล็ดเป็นวัสดุปลูกได้ ราคาเมล็ดแตกต่างกันเติบโตดี และให้ผลผลิตสูงตามมา ซึ่งส่ิงต่างๆเหล่านีิ้ถ้า ข้ึนอยู่กับความต้องการของตลาดและความยากง่ายของเกษตรกรไม่สังเกตก็จะไม่ทราบ ต่างจากงานทดลองท่ี การผลติ เชน่ ปจั จบุ นั เมลด็ ทมี่ รี าคาแพงทสี่ ดุ คอื ถวั่ มคู นู าสามารถทราบได้ เพราะมีการวัด การชั่ง และตรวจ แบร็คเทียตา (ประมาณกิโลกรัมละ 3,000 บาท)​ ท้ังนี้วเิ คราะห์ เนื่องจากเป็นที่นิยมของตลาดและไม่สามารถผลิตเองได้วสั ดุปลกู ไม่พรอ้ ม ต้องนำ� เข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบัน มีพืชตระกูลถ่ัวที่เหมาะสมที่จะปลูกเป็น จากการท่ีหน่วยงานของรัฐที่เก่ียวข้องกับการปลูก แทนไม่สามารถจัดหาเมล็ดให้แก่เกษตรกรเหมือนกับท่ี

40 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ภาพท่ี 2 ถว่ั คาโลโปโกเนยี ม มคู ูนอยดีส ใบและเถามีขนขึน้ ปกคลมุ มาก ออกดอกเปน็ กระจุก มีอายสุ น้ั หลังจากออกดอกและติดฝักแล้วจะแห้งตาย แต่เมล็ดที่หล่นลงดิน เม่ือได้รับฝนก็จะงอกข้ึนมาใหม่ ส่วนเมล็ดท่ีไม่งอกสามารถพักตัวอยู่ในสวนยางได้เป็นเวลาหลายสิบปี กล่าวคือ หลังจากโค่นล้มต้นยางเก่าออกและมีการไถพรวนดนิ เมลด็ ท่ตี กคา้ งจะงอกขึน้ มาใหมเ่ ม่อื ดนิ มีความชืน้ เพียงพอภาพที่ 3 ถั่วคาโลโปโกเนียม ซรี เู ลยี ม ใบและเถาไม่มขี นข้นึ ปกคลุม ออกดอกเปน็ ช่อ มีอายุหลายปี คลุมดนิ ได้หนาแน่น ทนตอ่ ร่มเงาไดด้ ีเคยปฏิบัติมาในอดีต ท�ำให้เกษตรกร ที่ต้องการปลูกพืช มีเปลือกหุ้มเมล็ดที่หนาและแข็ง ถ้าหากน�ำไปปลูกโดยคลุมในสวนยางมีความยากล�ำบากมากขึ้นในการหาซื้อ ไม่ท�ำอะไรกบั เมล็ดกอ่ น เมลด็ จะมคี วามงอกต่ำ� ซง่ึ จะส่งเมล็ดพันธุ์ นอกจากหาซ้ือได้ยากแล้ว เมล็ดยังมีราคา ผลถึงความสำ� เร็จในการปลูกพชื คลุมเป็นอันดับแรก จากแพงอีกด้วย ส่วนคุณภาพก็ไม่มีการระบุถึงปีที่ผลิต และ การศึกษาของสถาบันวิจัยยางมาเลเซีย (Chee, 1982)เปอร์เซนต์ความงอก สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าเป็นอุปสรรค พบว่า การน�ำเมล็ดพืชคลุมไปแช่ในน�้ำอุ่นท่ี 65 องศาตอ่ การสง่ เสริมให้เกษตรกรปลูกพืชคลุมในสวนยาง เซลเซียส ตามด้วยแชใ่ นน�ำ้ ธรรมดาอกี 2 ช่วั โมง ใหผ้ ลดีวธิ ปี ลูกยงั ยุ่งยาก เสียเวลา และค่าใชจ้ า่ ย เฉพาะเมล็ดเพอราเรียเท่านั้น ส่วนเมล็ดพืชคลุมชนิดอื่น การปลูกพชื คลุมทีส่ ะดวกทีส่ ดุ คือการใชเ้ มล็ด แต่ ต้องน�ำไปคลุกกับกรดซัลฟูริกเข้มข้น หรือไม่ก็น�ำไปขัดเมลด็ ถว่ั ทงั้ หมดทก่ี ลา่ วมา (ยกเวน้ ถว่ั มคู นู า โคชนิ ชเิ นนซิส) ผิวเมล็ดให้บางลงโดยใช้เคร่ืองขัดจึงจะได้ผลดี หรือช่วย เพ่ิมความงอกของเมล็ดได้มากกว่าเท่าตัว (ตารางที่ 1)

41 ฉบบั อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 28 มกราคม-มนี าคม 2560ภาพท่ี 4 ถ่ัวเพอราเรีย ฟาซีลอยดีส ใบและเถามีขนขึ้นปกคลุม ออกดอกเป็นช่อ มีอายุหลายปี จัดเป็นพืชคลุมหลักท่ีเจริญเติบโตได้เร็ว และคลุมดินได้หนาแน่น แต่ไม่ทนต่อร่มเงา หรือมีชีวิตอยู่ในสวนยางสั้นกว่าถั่วซีรูเลียม ดังน้ัน จึงนิยมใช้ผสมกับถั่วซีรูเลียม เพราะหลังจากถ่ัวเพอราเรียเบาบางลงเน่อื งจากรม่ เงาของตน้ ยาง ถวั่ ซรี ูเลยี มจะเจรญิ เตบิ โตขน้ึ มาแทนที่ เมล็ดสามารถพกั ตวั อยูใ๋ นสวนยางไดน้ านเช่นเดียวกบั ถ่ัวคาโลโปโกเนียมภาพท่ี 5 ถว่ั เซน็ โตรซีมา พวิ เบสเซนส์ ใบและล�ำต้นมีขนาดเลก็ มอี ายหุ ลายปี คอ่ นข้างทนแลง้ และรม่ เงาซึ่งสองวิธีหลังเกษตรกรปฏิบัติได้ยาก นับว่าเป็นปัจจัย เกษตรกรยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ถึงแม้จะให้วัสดุหนึง่ ทม่ี ผี ลตอ่ การปลกู พืชคลุมของเกษตรกร อุปกรณ์ทุกอย่างโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เกษตรกรก็ยังคงไม่ นอกจากปัญหาในเร่ืองเมล็ดแล้ว หลังจากปลูก ปลูกอยู่ดี เพราะเกษตรกรยังคงมีความคิดว่า ปลูกไปก็ต้องคอยดูแลในเร่ืองของวัชพืชท่ีไปรบกวนพืชคลุม เสียเวลาเปล่าๆ สวนก็รกด้วย ดีไม่ดีอาจเป็นเชื้อเพลิงในจนกว่าพืชคลุมจะเจริญเติบโตคลุมพื้นท่ีได้หมด ในขณะ หน้าแลง้ ให้ไฟไหม้สวนได้เดียวกันก็ต้องดูแลมิให้พืชคลุมไปรบกวนต้นยาง จนกว่าต้นยางจะโตพอที่พืชคลุมไม่สามารถเป็นอันตรายต่อต้น แนวทางแกไ้ ข สง่ เสรมิ และพฒั นายางได้ ทั้งหมดนี้ถ้าเกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจถึงผลประโยชน์ท่ีพึงจะได้รับจากพืชคลุม ก็เป็นส่ิงท่ีเกษตรกร ใหค้ วามรู้ความเข้าใจยอมรับได้ ไม่ต้องบังคับให้ปลูก ในทางตรงกันข้ามถ้า ส่ิงส�ำคัญที่สุดที่จะท�ำให้เกษตรกรหันกลับมาปลูก พืชคลุมในสวนยาง โดยท่ไี มต่ ้องบงั คับ คอื การใหค้ วามรู้

42 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 28 มกราคม-มีนาคม 2560ตารางที่ 1 ผลของวิธีการตา่ งๆที่ช่วยให้เมลด็ พชื คลมุ มคี วามงอกเพ่มิ ขน้ึ ถ่วั % ความงอกที่เพมิ่ ขน้ึ เมือ่ เทยี บกบั เมล็ดทไ่ี มไ่ ด้ทำ� อะไรคาโลโปโกเนยี ม ซีรูเลยี มคาโลโปโกเนียม มคู นู อยดีส แช่ในน�ำ้ ร้อนa คลกุ กับกรด ใชเ้ ครื่องขัดเซน็ โตรซีมา พวิ เบสเซนส์ ซลั ฟวิ ริกเข้มขน้ b ผิวเมล็ดcเพอราเรยี ฟาซลี อยดีส 13 97 99 41 169 126 18 175 164 102 153 108ทมี่ า: Chee (1982)a ใชน้ ้�ำเดือด 2 สว่ น ผสมกับน�้ำธรรมดา 1 สว่ น ซ่งึ จะไดอ้ ณุ หภมู ิประมาณ 65 องศาเซลเซยี สb คลุกนาน 10 นาที แล้วล้างกรดออกc ขดั นาน 48 ช่ัวโมงความเข้าใจแก่เกษตรกรถึงบทบาทและผลประโยชน์ที่ ตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาพที่ 6) แต่เม่ือปลูกทางภาคใต้พึงจะได้รับจากการปลูกพืชคลุมในรูปแบบต่างๆ เช่น เช่นที่จังหวัดสงขลา ถั่วก็ยังสามารถออกดอกและติดฝักการจัดอบรมตามศูนย์เรียนรู้ต่างๆ ออกส่ือทางวิทยุ ได้ แต่มีปริมาณน้อย และยิ่งปลูกต่�ำลงไปจากภาคใต้โทรทศั น์ และสิ่งพิมพ์ สิง่ ทล่ี งทุนไป เม่อื มองในภาพรวม เช่น ประเทศมาเลเซีย ถ่ัวแทบจะไม่ออกดอกให้เห็นเลยนับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก เน่ืองจากจะเป็นการช่วยรักษา นอกจากช่วงแสงแล้ว ภูมิอากาศที่มีฤดูฝนแยกออกจากและปรับปรุงดินของพ้ืนท่ีปลูกยางกว่าสิบล้านไร่ของ ฤดูแล้งค่อนข้างชัดเจน ดังเช่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งปลูกยางเดิม หรือแหล่ง ก็เป็นอีกปัจจัยหน่ึงทีมีผลต่อการผลิต เน่ืองจากถั่วพืชปลูกยางใหม่ ให้ยงั คงอุดมสมบรณู ซ์ ง่ึ จะส่งผลดีต่ออาชพี คลุมแทบทุกชนิดมีระยะการเจริญเติบโตทางล�ำต้นและการท�ำสวนยางในระยะยาวตอ่ ไป ใบทับซ้อนกับระยะการสร้างดอกและผลิตเมล็ด ดังน้ันผลิตเมลด็ ป้อนให้เกษตรกรปลกู ในช่วงท่ีถั่วก�ำลังออกดอกและติดฝัก ถ้าหากมีฝนตกลง ปัจจุบัน ประเทศไทยสามารถผลิตเมล็ดถั่วพืช มา หรือดินมีความช้ืนมากเกินไป ถ่ัวก็จะมีการเจริญคลุมได้ทุกชนิด ยกเว้นถ่ัวมูคูนา แบร็คเทียตา ที่ยังไม่ เติบโตด้านล�ำต้นและใบ ท�ำให้อาหารส่วนใหญ่ท่ีควรจะสามารถผลิตเมล็ดในประเทศได้ และพ้ืนที่ที่เหมาะสม ส่งไปเลี้ยงฝักและเมล็ด กลับต้องถูกแบ่งไปเล้ียงการส�ำหรับการผลิตเมล็ดที่ดีที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียง เจริญเติบโตทางใบและล�ำต้น ส่งผลให้การติดฝักลดลงเหนือ เน่ืองจากมีช่วงกลางวันที่ส้ันเหมาะต่อการ แต่ในทางกลับกัน ถ้าในช่วงท่ีถั่วก�ำลังออกดอกและติดออกดอกของถ่ัวที่ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมซึ่งส่วนใหญ่แล้วจัด ฝัก ถ้าดินมีความช้ืนน้อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุให้การติดเป็นพืชวันสั้น อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อช่วงแสง ฝักและให้เมล็ดน้อยลงได้เช่นกัน หรืออาจไม่ให้ผลผลิตจะมากน้อยแค่ไหนข้ึนอยู่กับถั่วแต่ละพันธุ์ ยกตัวอย่าง เมล็ดเลย ดังน้ัน ในสถานการณเ์ ช่นน้ี การให้นำ้� แกถ่ ัว่ ในเช่น ถ่ัวซีรูเลียมจะออกดอกได้ก็ต่อเมื่อมีความยาวของ ระยะออกดอกและติดฝกั จงึ มีความจำ� เป็น กลางวนั ประมาณ 11.40 ช่วั โมง หรือนอ้ ยกว่า ดังน้นั จะ ที่กล่าวมาเพียงยกตัวอย่างถึงความรู้ท่ีได้มาจากเห็นไดว้ ่า ถั่วซีรูเลยี มออกดอกและตดิ ฝักไดด้ ีมากในภาค การศึกษาวิจัยในเร่ืองของการผลิตเมล็ดซีรูเลียมในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (ภัทธาวุธ, 2528: ภัทธาวุธ และ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook