Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต

แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต

Published by Pakamas Chanmanee, 2023-06-29 06:38:37

Description: แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต

Search

Read the Text Version

แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรยี นร ู้ 6.4 ตัวแทนแตล่ ะกลุ่มนำเสนอเรื่องทอี่ ่านและข้อคิดท่ไี ด้จากเร่อื งท่อี า่ น 6.5 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำหนังสือท่ีคัดเลือกจัดแสดงไว้ที่โต๊ะและเขียนสรุปไว้ให้น่าสนใจ เป็นแผ่นพับหนังสือหน้าเดียว E-book ฯลฯ พร้อมทั้งโฆษณาเชิญชวนให้เพื่อน ๆ มาฟัง มาศึกษา หนงั สอื ซ่ึงต้องโฆษณาใหน้ ่าสนใจทสี่ ดุ มเี พื่อนมาดูและมาสนใจมากทีส่ ดุ 6.6 สนทนาด้วยเทคนิคคำถาม R - C - A เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิตการจัดการกับ อารมณแ์ ละความเครยี ด คำถามเพอื่ การสะทอ้ น (R) - เม่ือได้รับมอบหมายให้ไปอ่านหนังสือนอกเวลามาคนละ 1 เร่ือง นักเรียน มคี วามรู้สึกอยา่ งไร - ปัจจัยหรือส่ิงใดท่ีส่งผลให้นักเรียนเกิดความกดดันมากที่สุด หรือเครียดมาก ทส่ี ุด (การหาหนังสอื การเลอื กหนังสือ การหาเวลาอา่ น การวเิ คราะห์หนงั สือ เวลา ฯลฯ) คำถามเพ่ือการเช่ือมโยง (C) - นักเรียนจดั การกับความกดดันน้นั อยา่ งไร - ทำอย่างไรทำให้จิตใจสงบและได้งานตามท่ีได้รับมอบหมายจนสำเร็จหรือ อาจไมส่ ำเรจ็ - ที่ผ่านมาใครเคยเครียดหรือมีความกดดันเร่ืองอะไรบ้าง ทำอย่างไรจึง คลายเครียดหรอื หลดุ พน้ จากความกดดนั คำถามเพ่ือการปรบั ใช้ (A) - มวี ธิ กี ารใดบา้ งท่ีสามารถผอ่ นคลายตนเองไมใ่ ห้เครียด - หากเราเกิดความเครียดจะเลือกใช้วิธีการไหนท่ีเหมาะกับตนเองและ คลายเครียดได้จรงิ - หากไมอ่ ยากเกดิ ความเครยี ดจะป้องกนั อยา่ งไร 40

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 7. ส่อื การเรียนร ู้ 7.1 หนังสืออา่ นเพิม่ เตมิ เรื่องแมงมุมเพอื่ นรกั นกิ กับพิมพ์ มอม แว่นแก้ว กะทิ หลายชีวติ ฯลฯ 7.2 ประเดน็ คำถาม R - C - A 8. การประเมินผล สังเกตพฤติกรรม ลักษณะการคิด การแสดงความคิดเห็น การส่ือความคิด การส่ือสาร ทโี่ น้มน้าวโฆษณาให้ผู้อื่นคลอ้ ยตาม ตลอดจนการทำงานร่วมกนั กบั ผ้อู ื่นไดร้ าบรื่น ไม่เกิดความขัดแยง้ ฯลฯ 41

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชวี ติ บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กลุ่มสาระการเรียนร ู้ แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้บรู ณาการทกั ษะชวี ติ ในกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย รายวิชา ภาษาไทย ช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 เรอ่ื ง การใชภ้ าษาสภุ าพ เวลา 2 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ - ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ พลงั ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา 2. สาระ/ตัวชวี้ ัด - ใชภ้ าษาเหมาะสมแก่โอกาสกาลเทศะและบคุ คลรวมท้งั คำราชาศัพท์อย่างเหมาะสม 3. วตั ถุประสงค์ - เพ่อื ใหน้ ักเรียนใช้ภาษาเหมาะสมกับกาลเทศะ 4. องค์ประกอบทักษะชีวติ : การสรา้ งสมั พันธภาพทด่ี กี บั ผู้อ่ืน - สร้างสัมพันธภาพที่ดีกบั ผูอ้ ่นื ด้วยการสือ่ สารเชิงบวก 5. สาระเนื้อหา 5.1 การใชภ้ าษาทถ่ี กู ตอ้ ง เหมาะสมกับกาลเทศะ 5.2 การส่ือสารเชิงบวก 6. กิจกรรมการเรยี นรู ้ 6.1 ครูสนทนากบั นักเรยี นเรอ่ื งภาษาที่ใชก้ บั บุคคลและโอกาสต่าง ๆ เช่น ภาษาพดู ภาษา ท่าทาง (ภาษากาย) และภาษาเขยี น 6.2 นักเรียนไปจดบันทึกพาดหัวข่าวที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง บุคคล และเหตุการณ ์ ทีก่ อ่ ใหเ้ กิดความโกรธ เกลียดชงั ยุแหย่ เป็นต้น 6.3 ตัวแทนนกั เรียนแตล่ ะกลุ่มนำเสนอขอ้ ความทพี่ าดหวั ขา่ วหนังสอื พิมพ์กลมุ่ ละ 1 เรื่อง 6.4 นกั เรยี นช่วยกนั วเิ คราะห์การใชภ้ าษาที่พาดหัวข่าว คำ ประโยคใดทีใ่ ชภ้ าษาไมเ่ หมาะสม 6.5 นักเรียนและครูรว่ มกันสรุป คำ ประโยค จากหัวขอ้ ขา่ วทีพ่ บในหน้าหนงั สือพมิ พแ์ ละ มคี วามเหมาะสมเพียงใด 42

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 6.6 นักเรียนร่วมกันแก้ไขคำ ประโยค จากภาษาหนังสือพิมพ์ให้เป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง ตามหลักการใช้ภาษาและเหมาะสมกับวัฒนธรรมภาษาไทย แล้วนำไปติดบอร์ดให้นักเรียนอ่ืน ๆ ศกึ ษาเรียนร ู้ 6.7 สนทนาด้วยเทคนคิ คำถาม R - C - A เพือ่ พฒั นาทักษะชีวติ การสอ่ื สารท่ีสรา้ ง สมั พันธภาพและการสือ่ สารเชงิ บวก คำถามเพอ่ื การสะทอ้ น (R) - จากการที่นักเรียนได้ศึกษาคำหรือประโยคในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ไม่เหมาะสม นักเรยี นรู้สึกหรือคิดอยา่ งไร - นักเรียนเคยสังเกตหรือไม่ว่า การพูด การสื่อสารกันในระหว่างเพ่ือน พ่อแม่ท่ีทำให้ไม่เข้าใจกันหรือย่ิงพูดก็ยิ่งมีเรื่อง ย่ิงพูดก็ย่ิงเป็นปัญหา เป็นคำ พูดหรือการสอ่ื สารแบบใด คำถามเพื่อการเชอื่ มโยง (C) - ในประสบการณ์ของตัวนักเรียนเอง เคยมีบ้างไหมท่ีพูดโดยไม่คิดแต่ทำให้ เพ่ือนเสยี ใจ - นกั เรียนเคยเสียใจ น้อยใจ เจ็บใจ จากคำพดู ของเพ่ือนบ้างหรือไม่ เชน่ คำพดู ว่าอยา่ งไร - ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เพ่ือนเปลี่ยนคำพูดน้ันเสียใหม่ว่าอย่างไร เราจึงจะมี กำลังใจและชืน่ ใจ คำถามเพ่อื การปรับใช้ (A) - นกั เรยี นคดิ ว่าคำพูดที่สรา้ งมติ รควรเปน็ อยา่ งไร - นักเรียนยกตัวอย่างคำพูดหรือการสื่อสารทางกาย กิริยาท่าทางท่ีดีไม่ทำให้ เพ่ือนโกรธแต่ทำใหต้ ัวเองกับเพ่ือนรู้สึกดตี อ่ กัน ควรพดู หรือสื่อสารอย่างไร - การพูดใหเ้ หมาะกับบคุ คล เหมาะกบั เหตกุ ารณ์ควรเปน็ อย่างไร 43

แนวทางการพัฒนาทกั ษะชีวติ บรู ณาการการเรยี นการสอน 8 กลุ่มสาระการเรยี นร ู้ 7. สื่อการเรยี นร ู้ 7.1 หนงั สือพมิ พ์รายวัน/รายสปั ดาห์ 7.2 ประเดน็ คำถาม R - C - A 8. การประเมนิ ผล 8.1 สังเกตพฤตกิ รรมการแสดงออกของผูเ้ รยี น 8.2 สงั เกตการใช้ภาษา (การพูด ภาษากาย) เพอ่ื การสือ่ สารความคิดของตนต่อผอู้ ่นื ทางบวก 44

ตวั อย่าง การพฒั นาทกั ษะชีวติ บูรณาการการเรยี นการสอน กลมุ่ สาระการเรียนร ู้ คณติ ศาสตร์

แนวทางการพฒั นาทักษะชวี ิต บูรณาการการเรียนการสอน 8 กลุม่ สาระการเรียนร ู้ พฤติกรรมทกั ษะชีวติ ท่ีสอดคลอ้ งกับตัวช้วี ดั มาตรฐานการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร ์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (สาระท่ี 1 จำนวนและการดำเนินการ สาระท่ี 2 การวดั สาระที่ 3 เรขาคณติ สาระท่ี 4 พีชคณิต สาระที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมลู และความน่าจะเปน็ สาระท่ี 6 ทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร)์ องคป์ ระกอบ รายละเอยี ดองคป์ ระกอบทักษะชีวิต ทีส่ อดคลอ้ ง ทส่ี อดคล้องกับตวั ชี้วัด มาตรฐานการเรยี นรู้ ชั้น 1 2 3 4 1. ตระหนกั ร้แู ละ 2. คิดวเิ คราะห์ 3. การจดั การกับ 4. การสร้าง เหน็ คุณคา่ ตัดสินใจและ อารมณแ์ ละ สัมพันธภาพท่ดี ี ความเครียด ในตนเองและผ้อู ่ืน แก้ปัญหาอยา่ ง กบั ผู้อื่น สรา้ งสรรค ์ ป.1 - ✓ - - - วิเคราะ หค์ วาม - - นา่ เชอ่ื ถ อื ของขอ้ มลู ขา่ วสาร ไดส้ มเหต ุ ส1.ม ผจลำแ นกแยกแยะ ป.2 - ✓ - - ข้อมูลดว้ ยเหตุผล - - ที่เชอ่ื ถอื ได ้ 2. มีทกั ษะในการ สังเกตและมี แนวทาง หาคำตอบ 3. วเิ คราะห์สาเหตุ ของปัญหาและ แกไขปัญหา ด้วยวิธีการท่ีถกู ต้อง 4. สรา้ งและแสดง ผลงานทเ่ี กิดจาก การคิดเชือ่ มโยง และจนิ ตนาการ (เรขาคณติ ) 5. ใชเ้ หตุผล ประกอบการ ตัดสนิ ใจไดอ้ ย่าง เหมาะสม 46

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 องค์ประกอบ รายละเอยี ดองคป์ ระกอบทักษะชีวติ ท่ีสอดคลอ้ ง ทส่ี อดคลอ้ งกับตัวชี้วัด มาตรฐานการเรยี นร ู้ ชัน้ 1 2 3 4 1. ตระหนักรแู้ ละ 2. คิดวิเคราะห์ 3. การจัดการกบั 4. การสรา้ ง เหน็ คณุ ค่า ตดั สินใจและ อารมณแ์ ละ สมั พนั ธภาพทด่ี ี ความเครียด ในตนเองและผูอ้ น่ื แกป้ ัญหาอยา่ ง กบั ผอู้ น่ื สร้างสรรค ์ ป.3 - ✓ - - - วิเคราะ ห์ความ - - นา่ เชื่อถ อื ของขอ้ มลู ขา่ วสาร ได้สมเหต ุ ส1.ม ผจลำแ นกแยกแยะ ป.4 ✓ ✓ - - - แสดงความ - - สามารถใหผ้ ูอ้ ืน่ ข้อมลู และ รบั รู้ สถานการณต์ ่าง ๆ - บอกสิง่ ทีต่ นเอง ด้วยเหตผุ ล ชืน่ ชอบและ ทเี่ ช่ือถือได้ ภาคภมู ิใจ 2. วิเคราะห์สาเหตุ ของปญั หาและ แก้ไขปญั หาดว้ ย วิธีการท่ีเหมาะ - สมและถกู ต้อง 3. มที ักษะการสังเกต และมแี นวทาง หาคำตอบ 4. สร้างและแสดง ผลงานทเี่ กดิ จาก การคิดเชือ่ มโยง - และจินตนาการ ป.5 ✓ ✓ - - แสดงความสามารถ 1. วิเคราะห์จำแนก ให้ผ้อู น่ื รบั ร ู้ แยกแยะข้อมูล และสถานการณ์ ตา่ ง ๆ ดว้ ยเหตุผล ทีเ่ ช่อื ถือได ้ 2. มที กั ษะในการ สงั เกตและมี แนวทางหาคำตอบ 47

แนวทางการพฒั นาทักษะชีวติ บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กลุม่ สาระการเรียนร ู้ องค์ประกอบ รายละเอยี ดองค์ประกอบทกั ษะชวี ิต ท่ีสอดคลอ้ ง ที่สอดคลอ้ งกับตัวชีว้ ดั มาตรฐานการเรียนรู้ ช้ัน 1 2 3 4 1. ตระหนกั รู้และ 2. คดิ วเิ คราะห์ 3. การจดั การกบั 4. การสรา้ ง เหน็ คุณคา่ ตัดสนิ ใจและ อารมณ์และ สัมพนั ธภาพทดี่ ี ความเครยี ด ในตนเองและผู้อ่ืน แก้ปญั หาอยา่ ง กบั ผู้อ่นื สรา้ งสรรค ์ 3. วเิ คร าะหส์ าเหตุ ของ ปญั หา เลอื ก แก้ไข ปญั หาและ ดตดั้วยส วนิ ิธใจกี แารก ้ปัญหา ทถี่ ูกต้องและ สร้างสรรค์ 4. สรา้ งและแสดง ผลงานทเ่ี กดิ จาก การคิดเชอ่ื มโยง และจินตนาการ 5. คาดคะเนความ เส่ยี งจาก สถานการณ์ ที่เผชญิ ในชีวติ ประจำวันอย่าง มีเหตุผล ป.6 ✓ ✓ - - แสดงความ สามารถ 1. วิเคราะห์จำแนก - - ของตนเองใหผ้ ู้อ่ืน แยกแยะข้อมูล รบั ร ู้ และสถานการณ์ ต่าง ๆ ดว้ ยเหตุผล ทเ่ี ชือ่ ถือได ้ 2. มที ักษะในการ สังเกตและมี แนวทางหาคำตอบ 48

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 องค์ประกอบ รายละเอยี ดองคป์ ระกอบทกั ษะชีวิต ทสี่ อดคล้อง ทีส่ อดคลอ้ งกับตัวชว้ี ดั มาตรฐานการเรยี นรู้ ช้ัน 1 2 3 4 1. ตระหนักรแู้ ละ 2. คิดวิเคราะห์ 3. การจัดการกับ 4. การสร้าง เห็นคุณค่า ตัดสินใจและ อารมณ์และ สมั พันธภาพท่ีดี ความเครยี ด ในตนเองและผอู้ ืน่ แกป้ ญั หาอยา่ ง กบั ผู้อนื่ สร้างสรรค ์ - 3. วิเคร าะหส์ าเหตุ ของ ปัญหาเลอื ก แก้ไข ปญั หาและ ตปัดญั สห นิ าใดจว้แยกว้ ิธีการ ทีถ่ ูกตอ้ งและ สร้างสรรค์ 4. สร้างและแสดง ผลงานท่เี กดิ จาก การคิดเชือ่ มโยง และจินตนาการ 5. คาดคะเนความ เสี่ยงจาก สถานการณท์ ี่ เผชญิ ในชวี ิต ประจำวันอยา่ ง มีเหตผุ ล ม.1 - ✓ - - 1. ประเมิน - - สถานการณ์ต่าง ๆ ท่เี ผชิญด้วยข้อมูล และเหตผุ ล ทถ่ี กู ต้อง 2. แก้ปัญหาเมอ่ื เผชิญสถานการณ์ วกิ ฤตอยา่ ง ไตร่ตรองตาม ข้ันตอนและหลัก การแกป้ ัญหา 49

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชีวติ บรู ณาการการเรยี นการสอน 8 กล่มุ สาระการเรยี นร ู้ องค์ประกอบ รายละเอียดองค์ประกอบทกั ษะชวี ติ ท่สี อดคลอ้ ง ท่สี อดคลอ้ งกบั ตวั ชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ชัน้ 1 2 3 4 1. ตระหนกั รู้และ 2. คิดวิเคราะห์ 3. การจดั การกับ 4. การสรา้ ง เหน็ คณุ ค่า ตัดสินใจและ อารมณ์และ สัมพันธภาพท่ดี ี ความเครียด ในตนเองและผูอ้ นื่ แก้ปญั หาอยา่ ง กับผ้อู น่ื สรา้ งสรรค์ - 3. กลา้ แสดงความ คิดเ หน็ ของ ตนเ องตอ่ สอถยา่า นงมกีเาหรตณุผต์ ลา่ ง ๆ 4. สรา้ งสรรคผ์ ลงาน และแสดง พฤตกิ รรมไดเ้ ปน็ ทีย่ อมรับ 5. แสวงหาขอ้ มูล จากแหล่งเรยี นรู้ ต่าง ๆ ด้วยวิธกี าร ท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ และใชป้ ระโยชน์ กับตนเอง ม.2 - ✓ - - และผู้อน่ื - - 1. แก้ปัญหาเม่อื เผชิญสถานการณ์ วกิ ฤตอย่าง ไตรต่ รองตาม ข้ันตอนการ แกป้ ัญหา 2. ประเมิน สถานการณ์ตา่ ง ๆ ทีเ่ ผชิญดว้ ยขอ้ มูล และเหตุผล ท่ถี ูกต้อง 50

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 องค์ประกอบ รายละเอยี ดองคป์ ระกอบทกั ษะชวี ิต ทส่ี อดคล้อง ทสี่ อดคลอ้ งกบั ตัวชว้ี ัด มาตรฐานการเรียนรู้ ชนั้ 1 2 3 4 1. ตระหนกั รแู้ ละ 2. คิดวเิ คราะห์ 3. การจัดการกับ 4. การสร้าง เหน็ คณุ คา่ ตัดสนิ ใจและ อารมณ์และ สมั พนั ธภาพที่ด ี ความเครยี ด ในตนเองและผอู้ ่นื แกป้ ัญหาอย่าง กับผู้อ่นื สรา้ งสรรค ์ - 3. สร้า งสรรคผ์ ลงาน และ แสดง พฤต กิ รรมได้เปน็ ม.3 - ✓ - - 1. แทกีย่ ป้อ ญัมรหับา เมื่อ - - เผชญิ สถานการณ์ วกิ ฤตอย่าง ไตร่ตรองตาม หลักการข้นั ตอน การแกป้ ัญหา 2. ประเมนิ สถานการณต์ ่าง ๆ ที่เผชิญด้วยขอ้ มูล และเหตผุ ล ท่ถี ูกตอ้ ง 3. แสวงหาขอ้ มลู จากแหลง่ เรยี นรู้ - ตา่ ง ๆ ดว้ ยวิธี การทม่ี ี ประสิทธภิ าพและ ใชป้ ระโยชนก์ บั ม.4- - ✓ - - ตนเองและผอู้ ่นื - - ม.6 1. ประเมนิ สถานการณ์ตา่ ง ๆ ทีเ่ ผชิญด้วยขอ้ มูล และเหตุผล ทถี่ กู ต้อง 51

แนวทางการพัฒนาทักษะชวี ติ บรู ณาการการเรยี นการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรียนร ู้ องคป์ ระกอบ รายละเอียดองคป์ ระกอบทกั ษะชวี ติ ทสี่ อดคล้อง ทส่ี อดคล้องกบั ตวั ชี้วัด มาตรฐานการเรียนร ู้ ช้นั 1 2 3 4 1. ตระหนักรู้และ 2. คดิ วเิ คราะห์ 3. การจัดการกบั 4. การสร้าง เห็นคณุ ค่า ตัดสินใจและ อารมณ์และ สัมพนั ธภาพทด่ี ี ความเครยี ด ในตนเองและผ้อู ่ืน แกป้ ญั หาอย่าง กบั ผู้อน่ื สรา้ งสรรค ์ 2. แกป้ ัญหาเมือ่ เผชญิ สถานการณ์ วกิ ฤ ติอยา่ ง ไขตน้ั รตต่ อรนอกงตารา ม แก้ปัญหา 3. ประเมินและสรปุ ผลการกระทำ การตดั สนิ ใจและ การแกป้ ัญหา ในสถานการณ์ คบั ขันจาก ประสบการณท์ ่ีดี ของตนเองและ ผู้อืน่ เปน็ บทเรยี น ชวี ติ ของตนเอง 4. แสวงหาข้อมลู จากแหล่งเรียนรู้ ต่าง ๆ ด้วยวิธี การท่ีมี ประสิทธิภาพและ ใช้ประโยชน์กบั ตนเองและผ้อู ื่น 52

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรบู้ รู ณาการทกั ษะชวี ติ ในกล่มุ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 เร่อื ง การคูณ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 แผนการเรยี นร้ทู ี่ 5 การคณู ในรูปการบวก เวลา 1 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ - ค 1.2 เข้าใจถึงผลท่ีเกิดข้ึนจากการดำเนินการของจำนวนและความสัมพันธ์ระหว่าง การดำเนินการต่าง ๆ และใชก้ ารดำเนินการในการแกป้ ญั หา ตัวชีว้ ดั - มาตรฐาน ค 1.1 ป.2/1 บวก ลบ คูณ หารและบวก ลบ คณู หาร ระคนของจำนวนนับ ไมเ่ กนิ หนง่ึ พนั และศนู ย์ พรอ้ มทง้ั ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบ สาระสำคัญ 1. การหาผลคูณของจำนวนสองจำนวน อาจใช้วิธีเปล่ียนจากการคูณไปอยู่ในรูปการบวก จำนวนทเี่ ท่ากนั แล้วหาผลบวก 2. จำนวนทไี่ ด้จากการคณู จำนวนสองจำนวนเรียกวา่ ผลคณู 2. จดุ ประสงค์การเรยี นร ู้ - เมื่อกำหนดจำนวนสองจำนวนคูณกันให้ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปของการบวกจำนวน ทเี่ ทา่ กัน และหาคำตอบได้ 3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค ์ 3.1 มีความมุ่งมั่นพยายาม 3.2 ทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืนได ้ 4. สาระการเรยี นร้ ู - การคณู ในรูปการบวก 3 × 5 53

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชวี ติ บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรยี นร ู้ 5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 5.1 สนทนาเรื่องการเขียนประโยคสัญลักษณ์การคูณของจำนวนสองจำนวนที่มาจาก การบวกจำนวนทเี่ ท่า ๆ กัน โดยใหน้ ักเรียนดบู ตั รประโยคสัญลักษณ์ ดงั นี้ 4 + 4 + 4 + 4 + 4 = 5 × 4 8 + 8 + 8 + 8 = 4 × 8 10 + 10 + 10 = 3 × 10 5.2 สนทนาเร่ืองการเขียนประโยคสัญลักษณ์การคูณของจำนวนสองจำนวน ท่ีมาจาก การบวกจำนวนทีเ่ ทา่ ๆ กัน โดยใหน้ กั เรยี นดบู ัตรประโยคสัญลกั ษณ์ ดังน้ ี 4 + 4 + 4 + 4 + 4 = 5 × 4 8 + 8 + 8 + 8 = 4 × 8 10 + 10 + 10 = 3 × 10 5.3 แจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรใู้ หน้ ักเรยี นทราบ 5.4 ติดบัตรการคูณจำนวนสองจำนวนบนกระดาน ให้นักเรียนอ่านพร้อมกันและติดภาพ แอปเป้ิลทีจ่ ดั เปน็ กลมุ่ ติดบนกระดานดงั น้ ี 3 × 5 = 5 + 5 + 5 อธบิ ายพรอ้ มทง้ั ติดบตั รการคณู เขียนในรูปการบวก 3 × 5 = 5 + 5 + 5 54

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 5.5 นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างโจทย์การคูณจำนวนสองจำนวนท่ีไม่เกิน 10 บนกระดาน แล้วออกมาวาดภาพประกอบง่าย ๆ ทำกิจกรรมดังข้อ 4 ให้ตรงกับโจทย์ที่นักเรียนแต่งข้ึน 3-4 ตัวอยา่ ง 5.6 ให้นักเรียนเล่นเกมแข่งขัน เขียนรูปการคูณและการบวก โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลมุ่ แจกบตั รใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ เขียน ดงั น้ี 5.6.1 กลุ่มท่ี 1 เขยี นโจทยก์ ารคูณจำนวนสองจำนวน (ไม่เกนิ 10) เสรจ็ แลว้ แสดง ใหอ้ ีกกลุ่มหน่ึงด ู 5.6.2 กลุ่มที่ 2 เม่ือดูแล้วให้เขียนในรูปการบวกจากโจทย์การคูณนั้นเสร็จแล้ว แสดงให้เพือ่ นในกลุ่มที่ 1 ดู กลุ่มที่ 2 เป็นคนเขยี นโจทยก์ ารคณู จำนวนสองจำนวนให้กลมุ่ ที่ 1 ดูบ้าง 5.6.3 กลุ่มท่ี 2 เขียนในรูปการบวกให้ตรงกับโจทย์การคูณที่กลุ่ม 2 ให้ดูเสร็จแล้ว แสดงให้เพื่อนกลุ่มท่ี 2 ดูทำเช่นน้ีสลับกันไป 3-4 ข้อ โดยต้ังเวลาเป็นตัวเร่ง กลุ่มใดเขียนได้ถูกต้อง มากกว่าเร็วกวา่ เป็นผู้ชนะ ดงั นี้ กลมุ่ ท่ี 1 3 x 4 กลมุ่ ที่ 3 4 + 4 + 4 กลุม่ ท่ี 1 5 x 8 กล่มุ ท่ี 4 8 + 8 + 8 + 8 + 8 5.7 นักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงความสัมพันธ์ของการบวกจำนวนท่ีเท่ากันกับการคูณ จำนวนสองจำนวน เช่น 3 × 4 = 4 + 4 + 4 5.8 นักเรียนช่วยกันเขียนประโยคสัญลักษณ์การคูณของจำนวนสองจำนวน เขียนให้อยู่ ในรูปของการบวกอีก 3-4 ข้อ เช่น 3 × 4 = 4 + 4 + 4 5.9 นักเรียนชว่ ยกันสรปุ วา่ การเขยี นการคูณจำนวนสองจำนวนใหอ้ ยใู่ นรปู ของการบวก จำนวนแรก หมายถึง จำนวนกลุม่ จำนวนครง้ั จำนวนทสี่ อง หมายถงึ คา่ ของตัวเลขหรอื สมาชิกหรือจำนวนสิ่งของในกลมุ่ 5.10 ใหน้ กั เรียนทำแบบฝึกคณติ ศาสตร ์ 55

แนวทางการพัฒนาทักษะชวี ิต บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรยี นร ู้ 5.11 สนทนาด้วยเทคนิคคำถาม R - C - A เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิตการควบคุม อารมณ์ตนเอง คำถามเพื่อการสะท้อน (R) - นักเรียนมีความรสู้ กึ อยา่ งไรในการเรียนคณิตศาสตร์ในชัว่ โมงนี ้ - นักเรยี นคิดเลขหรอื ทำงานทนั เวลาหรือไม่ - นักเรยี นมีการทะเลาะขดั แย้งในการทำงานรว่ มกนั ในกลุม่ หรือไม ่ คำถามเพื่อการเชือ่ มโยง (C) - นักเรยี นทำอยา่ งไรจึงทำงานเสร็จทนั เวลา - นกั เรียนทำอย่างไรจึงหยดุ ทะเลาะกนั ได้ - ยังมคี วามข้องใจ ไมพ่ อใจ อารมณไ์ มด่ เี รื่องอะไรอกี ไหม - ชว่ ยกันคิดและบอกซิวา่ ตัวเราจะตอ้ งทำอยา่ งไร จงึ จะหายจากอารมณไ์ ม่ดี คำถามเพื่อการปรบั ใช้ (A) - ถ้าทำงานกลมุ่ ครง้ั ตอ่ ไปเกดิ การไม่พอใจกันอกี นักเรยี นจะทำอย่างไร - ถ้าเกิดความกังวลใจ อารมณ์ไม่ดี ทำงานไม่เสร็จในชั่วโมงต่อไป นกั เรยี นจะทำอย่างไร จึงจะไมม่ ีปัญหา 56

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 6. ส่ือ/แหล่งเรียนร้ ู 6.1 แถบโจทยป์ ญั หาการคณู 6.2 ภาพผลไม้ 6.3 เกมการแข่งขันโจทยก์ ารคณู และรปู การบวก 6.4 แบบฝกึ คณิตศาสตร ์ 7. กระบวนการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นร้ ู การวัดผล 7.1 วธิ ีการวัดผล 7.1.1 สงั เกตพฤติกรรมระหว่างเรยี น 7.1.2 ตรวจแบบฝึกคณติ ศาสตร ์ 7.2 เครอ่ื งมือวัดผล 7.2.1 แบบบันทกึ การสังเกตพฤติกรรมระหว่างเรยี น 7.2.2 แบบฝึกคณิตศาสตร์ 8. การประเมินผล 8.1 โดยถือเกณฑผ์ า่ นจากการสังเกตพฤติกรรมระหวา่ งเรียน สำหรับผ้ทู ่ไี ด้คะแนนคดิ เปน็ ร้อยละ 70 ข้นึ ไป 8.2 โดยถือเกณฑ์ผ่านจากการตรวจแบบฝึกคณิตศาสตร์ สำหรับผู้ท่ีได้คะแนนร้อยละ 70 ขึน้ ไป 57

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชีวติ บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรียนร ู้ แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรบู้ ูรณาการทกั ษะชีวติ ในกลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร ์ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 9 เรอ่ื ง การบวก การลบ การคณู ทศนิยม ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 1 เรือ่ ง การบวกทศนยิ มไม่เกินสองตำแหนง่ เวลา 1 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ - ค 1.2 เข้าใจถึงผลท่ีเกิดขึ้นจากการดำเนินการของจำนวนและความสัมพันธ์ระหว่าง การดำเนนิ การต่าง ๆ และสามารถใชก้ ารดำเนนิ การในการแกป้ ญั หา - ตัวช้ีวัด ป.5.1/2 บวก ลบ คูณ และบวก ลบ คูณระคนของทศนิยมท่ีคำตอบเป็น ทศนิยมไม่เกินสองตำแหน่ง พร้อมทัง้ ตระหนกั ถงึ ความสมเหตสุ มผลของคำตอบ - ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การส่ือสาร การสื่อความหมาย ทางคณิตศาสตร์และการนำเสนอ การเช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยง คณิตศาสตรก์ บั ศาสตร์อนื่ ๆ และมีความคิดริเริม่ สร้างสรรค์ - ตวั ชวี้ ดั ป.4-6.1/3 ใช้เหตุผลประกอบในการตดั สินใจและสรปุ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - การบวกทศนยิ มไมเ่ กินสองตำแหน่ง 3. สาระสำคญั - การบวกทศนิยม ใช้หลักการเดียวกับการบวกจำนวนนับ คือ นำจำนวนที่อยู่ในหลัก เดียวกันมาบวกกัน ถ้าผลบวกในหลักใดเป็นสองหลักให้ทดจำนวนท่ีครบสิบไปรวมกับผลบวกของ จำนวนในหลักถดั ไปทางซา้ ยมือ 4. สาระการเรยี นร้ ู - การบวกทศนิยมไม่เกินสองตำแหน่งที่ไม่มีการทด สามารถหาผลลัพธ์ของการบวกได้ โดยการบวกดว้ ยภาพหรอื ใช้วธิ ีการตง้ั บวกเหมอื นการบวกจำนวนนบั 58

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ตวั อยา่ ง การบวกทศนยิ มที่ไมม่ ีตวั ทด วธิ ีท่ี 1 การบวกโดยใชแ้ ผนภาพ 0.2 + 0.4 = 0.2 0.4 ตอบ 0.2 + 0.4 = 0.6 จากภาพส่วนของภาพท่แี รเงา คอื 0.2 ของรูป ส่วนของภาพท่ีแรเงา คือ 0.4 ของรปู นับท้งั สองส่วนรวมกนั ได้ 0.6 ของรูป ดงั นัน้ 0.2 + 0.4 = 0.6 วธิ ที ่ี 2 การบวกโดยใชว้ ิธกี ารตั้งบวกเหมอื นจำนวนนบั 0.2 + 0.4 = วิธที ำ 0. 2 + 0.4 0.6 ตอบ 0.6 5. จุดประสงคก์ ารเรียนรขู้ องแผน ความรู้ เม่ือกำหนดโจทย์การบวกทศนิยมไม่เกินสองตำแหน่งให้ สามารถหาคำตอบ พร้อมทั้งตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบท่ีได้ และแสดงวธิ ที ำได้ ทักษะกระบวนการ ใชเ้ หตผุ ลประกอบในการตัดสินใจและสรปุ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 59

แนวทางการพฒั นาทักษะชวี ติ บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กล่มุ สาระการเรยี นร ู้ 6. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ - มคี วามรว่ มมือ ตัง้ ใจและรับผดิ ชอบในงานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย 7. ขอ้ ปฏิบัติและตกลงร่วมกัน 7.1 นักเรียนนั่งตามกลุ่ม ๆ ละ 4 คน สมาชิกแต่ละกลุ่มจะถูกแบ่งไว้โดยการจัดลำดับ คะแนนตามรูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือ โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วยนักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ตัง้ ชื่อกลุม่ ประธาน สมาชกิ และเลขานุการกลมุ่ 7.2 บทบาทและหน้าทข่ี องนกั เรียน 7.2.1 สมาชิกในกลุ่มจะจับคู่และทำงานร่วมกัน โดยนักเรียนท่ีเก่งจับคู่กับนักเรียน ท่อี ่อน และนักเรยี นปานกลางจบั คกู่ ัน 7.2.2 สมาชิกในแตล่ ะคตู่ อ้ งช่วยเหลือซึ่งกันและกนั 7.2.3 สมาชกิ ในแต่ละคตู่ ้องอธิบาย หรอื ชว่ ยเหลอื เพ่ือนจนกว่าเพื่อนจะเขา้ ใจและ ทำแบบฝกึ ทักษะผา่ น 75% ขนึ้ ไป 7.2.4 ในการทำแบบทดสอบ ไมอ่ นญุ าตใหน้ กั เรยี นชว่ ยเหลอื กัน 7.2.5 ความสำเรจ็ ของตนเอง คอื ความสำเรจ็ ของกลมุ่ 8. กจิ กรรมการเรียนรู้ 8.1 ขนั้ นำ 8.1.1 แจ้งจุดประสงค์การเรียนร้ใู ห้นักเรยี นทราบ 8.1.2 ทบทวนความหมายของทศนิยมหน่ึงตำแหน่ง และทศนิยมสองตำแหน่ง พรอ้ มทั้งการอ่าน โดยครเู ขยี นรูปที่แสดงทศนิยมหนงึ่ ตำแหน่ง และทศนยิ มสองตำแหนง่ ใหน้ กั เรียน เขียนทศนยิ มและอ่านทศนยิ มนนั้ ดังนี ้ มีค่าเท่ากับ 0.3 อ่านว่า ศนู ย์จดุ สาม 60

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 มีค่าเท่ากบั 0.73 อ่านว่าศูนยจ์ ดุ เจด็ สาม 8.2 ขัน้ สอน 8.2.1 ครูแจกแผ่นตารางสิบซ่ึงเป็นรูปสี่เหล่ียมมุมฉากที่แบ่งออกเป็น 10 ส่วน เท่า ๆ กนั ใหน้ ักเรยี นระบายสสี ว่ นแบ่งตามทคี่ รกู ำหนดให้ ดังนี ้ - ให้ระบายสีหรอื แรเงาแสดงความหมายของ 0.3 ดังรูป 0.3 - ต่อไปใหใ้ ช้สีทต่ี ่างกนั ระบายสีเพิ่มอีกเพ่ือแสดงความหมายของ 0.5 ดงั รูป 0.3 0.5 - ให้นักเรียนพิจารณาว่าส่วนที่ระบายสีทั้งสองสีรวมกันเขียนแทนด้วยทศนิยมอะไร (0.8) 0.8 0.3 0.5 ครูแนะนำว่า 0.8 เป็นผลบวกของ 0.3 และ 0.5 ซ่ึงเขียนเป็นประโยคสัญลักษณ ์ ได้เปน็ 0.3 + 0.5 = 0.8 61

แนวทางการพฒั นาทักษะชีวิต บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลุ่มสาระการเรียนร ู้ 8.2.2 ครูแจกแผ่นตารางร้อยซึ่งเป็นรูปส่ีเหลี่ยมมุมฉากท่ีแบ่งออกเป็น 100 ส่วน เทา่ ๆ กัน ใหน้ กั เรยี นหาผลบวกของ 0.73 + 0.11 โดยใช้กิจกรรมทำนองเดยี วกนั กบั ตวั อยา่ งแรก จากแผนภาพ 0.73 + 0.11 = 0.84 เขยี นเป็นประโยคสญั ลกั ษณซ์ ง่ึ จะได้ 0.73 + 0.11 = 0.84 8.2.3 ครูสอนการบวกทศนิยมที่ไม่เกินสองตำแหน่ง โดยใช้วิธีการต้ังหลักและ จุดทศนิยมให้ตรงกัน แล้วบวกกันเหมือนการบวกจำนวนนับ ให้นักเรียนเปรียบเทียบการหาผลบวก ของทศนิยมสองจำนวนโดยใช้รูปภาพกับการหาผลบวก โดยใช้วิธีการต้ังหลักและจุดทศนิยมให้ตรงกัน แลว้ บวกกันเหมอื นการบวกจำนวนนับ ตามขนั้ ตอน ดงั น ้ี - ให้นักเรยี นนำแถบท่แี สดงผลบวกของ 0.2 + 0.7 มาพจิ ารณาในการตอบคำถาม 0.9 0.2 0.7 - ใหน้ ักเรยี นบอกคำตอบของ 0.2 + 0.7 จากภาพ (0.9) - ให้นักเรียนบอกวิธีคิดหาคำตอบ (นับส่วนแบ่งที่ระบายสีทั้งหมดรวมเป็น 9 ส่วน จากสว่ นแบ่งทั้งหมด 10 สว่ น) 62

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 - ให้นักเรียนพจิ ารณาการบวกทศนิยม ต่อไปนี้ ข้ันท่ี 1 ตง้ั หลักและจดุ ทศนยิ มให้ตรงกนั ดงั นี้ 0.2 0.7 + ขั้นท่ี 2 บวกจำนวนที่อยู่ในหลักเดียวกันเข้าด้วยกันและใส่จุดทศนิยมให้ตรงกับ ตำแหนง่ ในแนวเดมิ ดงั นี้ 0.2 0.7 + จะได้คำตอบ 0.9 0.9 - ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทียบคำตอบทีไ่ ดจ้ ากภาพท่นี กั เรียนระบายสี กับคำตอบทีค่ รูทำ โดยการตั้งหลักและจุดทศนยิ มใหต้ รงกัน (เทา่ กัน) 8.2.4 ครูแนะนำว่า การบวกโดยการต้ังหลักและจุดทศนิยมให้ตรงกันเป็นการบวก โดยอาศัยหลักการของการบวกจำนวนนับท่ีนักเรียนเคยเรียนมาแล้ว คือ บวกจำนวนท่ีอยู่ในหลัก เดียวกนั เข้าดว้ ยกันจากนัน้ ใหใ้ สจ่ ุดทศนิยมทผี่ ลลัพธ์ตรงกับจุดทศนิยมของตวั ตั้งและตัวบวก 8.2.5 ครกู ำหนดโจทย์การบวกทศนิยมใหน้ กั เรยี นช่วยกันหาคำตอบ ดังน ี้ (1) 2.3 + 4.6 = ขน้ั ที่ 1 ต้ังหลักและจุดทศนยิ มให้ตรงกันดงั นี้ 2.3 4.6 + ขน้ั ที่ 2 บวกจำนวนทอ่ี ยู่ในหลกั เดียวกันเขา้ ดว้ ยกันและใสจ่ ดุ ทศนยิ มใหต้ รง กับตำแหน่งในแนวเดิมดังนี้ 2.3 4.6 + จะไดค้ ำตอบ 6.9 6.9 (2) 0.41 + 0.58 = ขนั้ ท่ี 1 ตง้ั หลักและจดุ ทศนยิ มให้ตรงกนั ดังนี้ 00..5481 + 63

แนวทางการพัฒนาทกั ษะชวี ิต บรู ณาการการเรยี นการสอน 8 กลุ่มสาระการเรียนร ู้ ขั้นท่ี 2 บวกจำนวนท่ีอยู่ในหลักเดียวกันเข้าด้วยกันและใส่จุดทศนิยมให้ตรง กับตำแหน่งในแนวเดมิ ดงั น ี้ 0.41 0.58 + จะไดค้ ำตอบ 0.99 0.99 (3) 1.74 + 2.13 = ขน้ั ที่ 1 ตงั้ หลักและจุดทศนยิ มให้ตรงกนั ดังน้ ี 1.74 2.13 + ข้ันท่ี 2 บวกจำนวนทีอ่ ยใู่ นหลักเดียวกันเขา้ ด้วยกันและใส่จุดทศนิยม ใหต้ รงกบั ตำแหน่งในแนวเดิมดงั น้ ี 1.74 2.13 + จะไดค้ ำตอบ 3.87 3.87 ในการหาผลบวก ครูเน้นให้นักเรียนให้ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบ เช่น การหาคำตอบของ 1.74 + 2.13 โดยครูแนะนำนักเรียนว่า 1.74 มากกว่า 1 แต่น้อยกว่า 2 และ 2.13 มากกวา่ 2 แตน่ อ้ ยกว่า 3 ดงั นน้ั 1.74 + 2.13 ควรมากกวา่ 3 แต่น้อยกวา่ 5 ครูใหน้ ักเรียนหาผลบวกโดยใช้การพิจารณาความสมเหตุสมผลของคำตอบ ดังนี ้ 1. 1.57 + 2.42 = 1.57 มากกว่า 1 แต่น้อยกว่า 2 และ 2.42 มากกว่า 2 แต่นอ้ ยกวา่ 3 ดังนั้น 1.57 + 2.42 คำตอบมคี ่ามากกวา่ 3 แตน่ ้อยกวา่ 5 2. 3.66 + 7.22 = 3.66 มากกว่า 3 แต่นอ้ ยกว่า 4 และ 7.22 มากกว่า 7 แต่น้อยกว่า 8 ดงั นน้ั 3.66 + 7.22 คำตอบมคี ่ามากกวา่ 10 แต่นอ้ ยกวา่ 12 3. 12.81 + 10.11 = 12.81 มากกว่า 12 แตน่ ้อยกว่า 13 และ 10.11 มากกวา่ 10 แต่น้อยกวา่ 11 ดังนั้น 12.81 + 10.11 คำตอบมีคา่ มากกวา่ 22 แต่น้อยกวา่ 24 64

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 8.3 ขั้นสรปุ นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการบวกทศนิยมไม่เกินสองตำแหน่งที่ไม่มีการทดว่า ให้ตั้งหลักและจุดทศนิยมให้ตรงกัน แล้วบวกกันเหมือนการบวกจำนวนนับ แล้วใส่จุดทศนิยม ที่ผลลัพธต์ รงกับจุดทศนยิ มของตวั ต้ังและตวั บวก 8.4 ข้นั ฝกึ ทักษะ 8.4.1 ให้นักเรียนรับแบบฝกึ ทักษะชดุ ที่ 1 เร่อื ง การบวกทศนยิ มไม่เกนิ สองตำแหนง่ ท่ีไมม่ ีการทด คนละ 1 ชดุ โดยใหน้ ักเรยี นจบั คเู่ พอื่ การเรยี นร้รู ่วมกนั จากใบความรู้ และนกั เรยี นต้อง ลงมือทำแบบฝึกทักษะด้วยตนเองเป็นรายบุคคล ถ้ามีข้อสงสัยในการทำแบบฝึกทักษะให้ปรึกษากัน ได้ โดยครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และทำหน้าท่ีให้การสนับสนุนการทำงาน การช่วยเหลือกันภายใน กลุ่ม ให้คำแนะนำ หรืออธิบายเพิ่มเติมเม่ือนักเรียนมีปัญหาและไม่สามารถหาคำตอบได้ภายในกลุ่ม ของตนเอง อกี ท้ังส่งเสรมิ ให้แต่ละกล่มุ ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยกระตุน้ ให้นกั เรยี นท่ีเกง่ หรือนักเรยี นทีเ่ ขา้ ใจเนอ้ื หา ช่วยอธิบายและทบทวนใหเ้ พื่อนสมาชิกท่ยี งั ไมเ่ ข้าใจให้เข้าใจทุกคน 8.4.2 เมื่อทำแบบฝึกทักษะชุดที่ 1 เสร็จแล้ว ให้เปลี่ยนกันตรวจคำตอบจากเฉลย ในการตรวจแบบฝึกทักษะจากเฉลย ครูเน้นให้นักเรียนต้องมีความซ่ือสัตย์ต่อตนเอง เม่ือรวมคะแนน แล้ว ถ้าคะแนนของนักเรียนไม่ผ่าน 75% คือ ต่ำกว่า 8 คะแนน ให้นักเรียนพิจารณาข้อท่ีผิด โดยเรยี นรรู้ ว่ มกันกับเพือ่ น แลว้ แสดงวธิ ีทำอกี ครัง้ หนง่ึ แล้วใหน้ ักเรียนแก้ดว้ ยปากกาหมึกสีแดงเขียน ลงในที่วา่ งขา้ งวธิ ีทำเดิม 8.5 ข้นั ทดสอบ 8.5.1 เม่ือนักเรียนแก้ไขแบบฝึกทักษะผ่านเกณฑ์ที่กำหนดให้เรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบชุดที่ 1 เร่ือง การบวกทศนิยมไม่เกินสองตำแหน่งที่ไม่มีการทดเป็น รายบคุ คล โดยไมซ่ ักถามกนั เสร็จแลว้ ส่งครผู ู้สอนเพื่อตรวจ 8.5.2 ครูแจ้งผลคะแนนการทดสอบย่อยของแต่ละคน นำมารวมกันเป็นคะแนนเฉล่ีย ของกลุ่ม กลุ่มท่ีได้คะแนนสูงสุด ครูประกาศยกย่องชมเชย ส่วนกลุ่มท่ีได้คะแนนน้อย ครูกล่าว ใหก้ ำลงั ใจและใหเ้ พือ่ นปรบมือให้กำลังใจ 65

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชวี ิต บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลุม่ สาระการเรยี นร ู้ 8.6 สนทนาด้วยเทคนิคคำถาม R - C - A เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การใช้ภาษาและ กิริยาท่เี หมาะสมในการสือ่ สารไม่กอ่ ให้เกดิ ความขดั แย้ง คำถามเพ่ือการสะท้อน (R) - นักเรยี นมีความรู้สกึ อย่างไรต่อคะแนนผลการทดสอบครั้งนี้ - กลุ่มที่ได้คะแนนมากที่สุด มีวิธีการอย่างไรเพ่ือนในกลุ่มจึงเข้าใจตรงกัน มีการปรกึ ษากนั อยา่ งไร คำถามเพื่อการเชื่อมโยง (C) - การทำงานที่ผ่านมามีการส่ือสารบอกเพื่อนอย่างไรให้เข้าใจในการทำชุด ฝึกทักษะ - การพดู หรือแสดงกริ ิยาแบบไหนทท่ี ำให้นักเรียนไมพ่ อใจหรือไม่ชอบ คำถามเพอื่ การปรบั ใช้ (A) - นักเรียนแต่ละคนคิดว่าจะปรับปรุงการใช้กิริยาท่าทางและคำพูดของ ตนเองอยา่ งไร เพอ่ื ไม่ใหเ้ กิดผิดพ้องหมองใจกัน 9. ส่อื การเรียน 9.1 แผน่ ตารางสบิ และตารางรอ้ ย 9.2 แบบฝึกทักษะชุดที่ 1 66

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 10. การวดั และประเมินผล ส่งิ ทต่ี ้องการวดั วิธีการวัด เครื่องมอื เกณฑ์การผ่าน ความร้ ู 1. แบบฝกึ ทักษะชดุ ท่ี 1 1. การตรวจแบบ แแบบ บบทฝึกดทสักอษบชะชดุ ุดทที่ 1ี่ 1 ไดค้ ะแนน 8 คะแนนขนึ้ ไป ฝกึ ทกั ษะ 2. การตรวจแบบ (คะแนน 75% ขน้ึ ไป) ทดสอบชุดที่ 1 2. แบบทดสอบชดุ ท่ี 1 ได้คะแนน 4 คะแนนขน้ึ ไป ทักษะกระบวนการ 1. การตอบคำถาม โจทยก์ ารบวกทศนิยม (คะแนน 60% ขึน้ ไป) ระหว่างเรียน แบบฝกึ ทกั ษะชดุ ที่ 1 1. แบบฝกึ ทกั ษะชดุ ท่ี 1 แบบทดสอบชุดท่ี 1 ไดค้ ะแนน 8 คะแนนขึน้ ไป 2. การตรวจแบบ ฝกึ ทักษะ (คะแนน 75% ขึ้นไป) คุณลักษณะ 3. การตรวจแบบทดสอบ 2. แบบทดสอบชุดที่ 1 ชดุ ท่ี 1 ได้คะแนน 4 คะแนนขน้ึ ไป สังเกตพฤตกิ รรมการเรยี น แบบสงั เกตพฤติกรรม การเรียนของนักเรียน (คะแนน 60% ขึ้นไป) ไดร้ ะดบั คณุ ภาพ 2 ขึ้นไป 67

แนวทางการพฒั นาทักษะชีวิต บูรณาการการเรียนการสอน 8 กลุม่ สาระการเรียนร ู้ แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรบู้ ูรณาการทักษะชีวิตในกล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 12 เรอื่ ง รปู สามเหลีย่ ม ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 เรือ่ ง ความยาวรอบรปู ของรปู สามเหล่ียม เวลา 1 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรยี นร้ ู ค 6.1 มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหา ค 6.2 มีความสามารถในการใหเ้ หตุผล ค 6.3 มีความสามารถในการส่ือสารความสามารถทางคณิตศาสตรแ์ ละการนำเสนอ ค 6.4 มีความสามารถในการเช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และเช่ือมโยง คณิตศาสตรก์ ับศาสตรอ์ ืน่ ๆ ได ้ 2. ตัวชวี้ ัดช้นั ป ี ค 3.1/3 สรา้ งรูปเรขาคณติ สองมติ ิและประดษิ ฐ์รูปเรขาคณติ สามมิตไิ ด้ ค 4.1/1 อธิบายรูปแบบและความสัมพนั ธ์และนำความรูไ้ ปใช้ได้ ค 6.1/1 ใชว้ ธิ ีการทห่ี ลากหลายแกป้ ัญหาได ้ ค 6.2.1 ให้เหตผุ ลประกอบการตัดสินใจและสรุปผลไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ค 6.3/1 ใชภ้ าษาและสัญลักษณ์ทางคณติ ศาสตร์ในการส่ือสาร สอื่ ความหมายและนำเสนอ ได้อย่างถกู ตอ้ งและเหมาะสม ค 6.4/1 นำความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปเชื่อมโยงการเรียนรู้เนอื้ หาตา่ ง ๆ ในวชิ าคณิตศาสตร์ และเชอ่ื มโยงวชิ าคณิตศาสตรก์ ับวชิ าอ่ืนได ้ 3. สาระสำคัญ - ความยาวรอบรูปของรูปสามเหลย่ี ม เป็นผลรวมของความยาวทกุ ด้านของรูปสามเหลี่ยมนนั้ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร ู้ 4.1 ความรู้ - อธิบายการหาความยาวรอบรปู ของรปู สามเหลย่ี มได้ 4.2 ทกั ษะ/กระบวนการ 68

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 4.2.1 เมื่อกำหนดรูปสามเหลี่ยมให้สามารถหาความยาวรอบรูปของรูปสามเหลยี่ มน้ันได ้ 4.2.2 ใหเ้ หตุผลประกอบการตัดสินใจและสรุปผลได้อย่างเหมาะสม 4.2.3 ใชภ้ าษาและสัญลกั ษณท์ างคณติ ศาสตรใ์ นการสื่อสาร การส่อื ความหมายและ การนำเสนอไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม 4.3 คุณลกั ษณะ 4.3.1 มีทกั ษะการส่ือสารสอื่ ความหมายทางคณิตศาสตร์และการนำเสนอ 4.3.2 มที ักษะการแกป้ ัญหา 4.3.3 มคี วามรับผิดชอบ 4.3.4 มีความรอบคอบ 5. สาระการเรียนร้ ู - ความยาวรอบรปู ของรปู สามเหลีย่ ม 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 6.1 ขัน้ นำเข้าสูบ่ ทเรยี น สนทนากับนักเรียนเก่ียวกับเรื่องที่เรียนผ่านมาเกี่ยวกับการหาสมมาตรว่า การจะหา แกนสมมาตรได้น้ันต้องหาจากการพับและการพับแล้วทำให้ทับกันสนิท แล้วเกิดแกนสมมาตรขึ้นน้ัน ด้านท่ีอยู่ตรงข้ามจะต้องยาวเท่ากัน และด้านแต่ละด้านท่ีจะยาวเท่ากันก็ต้องใช้การวัด เม่ือ วัดความยาวด้านทุกด้านก็จะทราบความยาวด้านแต่ละด้านและก็จะสามารถหาความยาวรอบ รปู สามเหลี่ยมได้โดยนำความยาวดา้ นทกุ ดา้ นมารวมกนั ก็จะไดค้ วามยาวรอบรปู ของรปู สามเหล่ียม 6.2 ขนั้ พัฒนาการเรยี นร ู้ 6.2.1 ทบทวนเร่ืองความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมโดยวาดรูปสี่เหล่ียมผืนผ้าและ รูปสเ่ี หลย่ี มจัตุรสั โดยกำหนดความยาวของด้านไวใ้ ห้ 6.2.2 เขียนรูปบนกระดานน้ี แล้วใช้เชือกขดไปตามด้านเพียง 2 ด้านของรูป สามเหลยี่ ม ซกั ถามเพ่อื ใหน้ ักเรียนเห็นว่าความยาวของเชอื กส่วนทใ่ี ชข้ ดยงั ไมใ่ ชค่ วามยาวรอบรูปของ รปู สามเหลีย่ ม 69

แนวทางการพฒั นาทักษะชีวติ บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลุ่มสาระการเรยี นร ู้ 6.2.3 ให้นักเรียนออกมาใช้เชือกแสดงความยาวรอบรูปของรูปสามเหล่ียม ซ่ึงจะ ต้องทำโดยนำเชือกขดไปตามด้านท้ัง 3 ของรูปสามเหล่ียม แล้วให้วนกลับมาท่ีจุดเดิม วัดความยาว ของเชือกส่วนที่ใช้ขดความยาวนี้ก็จะเป็นความยาวรอบรูปของรูปสามเหล่ียม ซึ่งความยาวน้ีก็คือ ผล บวกของความยาวของด้านทัง้ 3 ของรปู สามเหลีย่ มนนั่ เอง 6.2.4 ตรวจสอบความเท่ากันโดยออกมาวัดความยาวของด้านแต่ละด้าน แล้วหา ผลบวกซงึ่ จะได้เท่ากับความยาวของเชือกสว่ นทใี่ ช้ขด 6.2.5 แจกแบบรูปสามเหลี่ยมชนิดต่าง ๆ พร้อมทั้งตารางสำหรับบันทึกให้นักเรียน วัดความยาวของด้านของรปู สามเหล่ียม คำนวณความยาวรอบรูป แลว้ บันทึกผลลงในตาราง เช่น รูปท ่ี ความยาว (ซม.) ด้านที่ 3 ความยาวรอบรูป (ซม.) ด้านท่ี 1 ดา้ นท่ี 2 1 2.5 1.5 2 2.5 + 1.5 + 2 = 6 2 7.5 7.5 7.5 7.5 + 7.5 + 7.52 = 22.5 3 9.2 9.2 6 9.2 + 9.2 + 6 = 24.4 6.2.6 นำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน และอภิปรายร่วมกันเพ่ือให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง และแก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง 6.2.7 พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างด้าน 2 ด้านใด ๆ ของรูปสามเหลี่ยมกับด้าน ที่ 3 โดยนำความยาวของด้าน 2 ดา้ นใด ๆ รวมกัน จะพบวา่ มากกว่าความยาวของด้านที่ 3 เสมอ ซ่ึงครูอาจแสดงความสัมพันธ์โดยใช้อุปกรณ์ เช่น แท่งดินสอประกอบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมแบบ ตา่ ง ๆ แล้วเปรียบเทยี บใหเ้ หน็ วา่ ดินสอ 2 แทง่ ต่อกนั แลว้ ยาวกว่าแท่งท่ีเหลือเสมอ 6.3 ขนั้ สรปุ ผู้สอนและนักเรียนร่วมกันสรุปว่า การหาความยาวรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมน้ันหา ได้จากการนำความยาวของด้านทั้งสามด้านมารวมกันหรือนำมาบวกกันน่ันเอง ก็จะได้ความยาวโดย หน่วยยงั คงเดิม 70

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ให้นกั เรียนทำแบบฝกึ ทักษะการเรยี นร้เู รือ่ ง ความยาวรอบรปู ของรปู สามเหลย่ี ม 6.4 สนทนาดว้ ยเทคนิคคำถาม R - C - A เพ่ือพัฒนาทักษะชวี ิตดา้ น การจดั การ กบั อารมณ์และความเครียด คำถามเพื่อการสะทอ้ น (R) - ขณะปฏิบัติกิจกรรมการวัดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสด้วย เชือกและการคำนวนความยาวรอบรูปสามเหล่ียม (ยาก-ง่าย, เครียด- ไมเ่ ครียด, สนุก-น่าเบอ่ื ฯลฯ) คำถามเพอ่ื การเช่อื มโยง (C) - เวลาเรียนหรือทำงานอ่ืน ๆ ท่ียาก ๆ นักเรียนมีความรู้สึกเช่นเดียวกับ คร้ังน้ีหรอื ไม ่ - นักเรียนทำอย่างไรจึงไม่เครียดหรือทำให้ความเครียดหายไป (เช่น หายใจลึก ๆ ดูเพ่อื น ๆ ถามเพือ่ น ตัง้ ใจทำ ต้ังใจฟงั ครู ฯลฯ) - วิธผี ่อนคลายตนเองท่ีดีที่สุด เหมาะกับตนเองเปน็ อยา่ งไร คำถามเพอื่ การปรับใช้ (A) - การทำงานในโอกาสต่อไปนักเรียนจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความเครียด หรือมอี ารมณข์ ุ่นมวั กดดนั - ถ้าเกดิ ความเครียดหรือความกังวลจะผ่อนคลายไดอ้ ย่างไร 7. สื่อการเรยี นรูแ้ ละแหล่งเรยี นรู้ 7.1 แบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้ เร่ือง ความยาวรอบรูปของรปู สามเหลยี่ ม 7.2 บัตรรปู สามเหลี่ยมขนาดตา่ ง ๆ กัน 7.3 เชือก 7.4 ตารางบันทึกความยาวรอบรปู ของรูปสามเหลย่ี ม 71

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชวี ติ บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลุ่มสาระการเรยี นร ู้ 8. การวดั ผลและการประเมนิ ผล ด้านความรู้ (K) วธิ ีการวดั ผลและประเมนิ ผล เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล เกณฑก์ ารวัด ผา่ นเกณฑ์เฉลยี่ 3 ขึ้นไป ตรวจผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมความ ใบกจิ กรรม ความ ยาวรอบรปู ยาวรอบรปู ของรปู สามเหลีย่ ม ของรปู สามเหล่ยี ม ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นิยม (A) วธิ กี ารวดั ผลและประเมินผล เครื่องมือวดั และประเมนิ ผล เกณฑ์การวัด 1. สังเกตพฤติกรรมขณะทำงานร่วม แบบประเมินพฤต กิ รรมขณะ ผ่านเกณฑ์เฉล่ยี 3 ข้นึ ไป กบั กลุม่ ทำงานรว่ มกับกล่มุ ผา่ นเกณฑ์เฉลย่ี 3 ขึน้ ไป 2. ประเมินพฤตกิ รรมตามรายการ แบบประเมนิ ด้านคุณธรรม ประเมนิ ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยม ผา่ นเกณฑ์เฉล่ีย 3 ขึ้นไป และค่านิยม แบบประเมินพฤตกิ รรม 3. สังเกตพฤติกรรมขณะปฏบิ ัติงาน ขณะปฏิบตั ิงานคณติ ศาสตร ์ คณิตศาสตร์ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) วธิ กี ารวดั ผลและประเมินผล เครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล เกณฑก์ ารวดั ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป 1. สงั เกตพฤติกรรมการสอ่ื สาร แบบประเมนิ ดา้ น ทักษะ/ การเชื่อมโยงหลักการความรู้ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ผ่านเกณฑเ์ ฉลย่ี 3 ขึน้ ไป ทางคณิตศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมตามรายการ ผ่านเกณฑ์เฉลยี่ 3 ข้นึ ไป ประเมนิ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ 3. สังเกตขณะปฏบิ ตั ิตามใบกิจกรรม ใบกจิ กรรมความยาวรอบรปู ของ ความยาวรอบรูปของรูป รปู สามเหล่ียม สามเหล่ยี ม 72

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 การประเมินผล 1. การผา่ นเกณฑ์จากการสังเกตพฤติกรรม คือ ไดค้ ะแนนคิดเป็นรอ้ ยละ 70 ขึน้ ไป 2. การผ่านเกณฑ์การตรวจแบบฝึกทักษะการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ทำแบบฝกึ หัดทกั ษะคณิตศาสตร์ไดค้ ะแนนคดิ เปน็ รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป 73

แนวทางการพฒั นาทักษะชีวิต บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กลุม่ สาระการเรียนร ู้ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้บรู ณาการทกั ษะชวี ติ ในกลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 5 เรือ่ ง พนื้ ท่ีผิวและปริมาตร ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 แผนการเรยี นรทู้ ่ี 5 ปรมิ าตรของทรงกระบอก เวลา 4 ช่ัวโมง 1. มาตรฐาน/ตัวช้ีวัด - มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพน้ื ฐานเกี่ยวกับการวดั วัดและคาดคะเนขนาดของสง่ิ ทีต่ อ้ งการวดั 1.1 หาพ้ืนที่ผวิ ของปรซิ ึมและทรงกระบอก 1.2 หาปริมาตรของปริซมึ ทรงกระบอก พรี ะมดิ กรวย และทรงกลม 1.3 เปรียบเทียบหน่วยความจุ หรือหน่วยปริมาตรในระบบเดียวกันหรือต่างระบบ และเลือกใช้หน่วยการวดั ไดอ้ ย่างเหมาะสม 1.4 ใชก้ ารคาดคะเนเกี่ยวกับการวัดในสถานการณต์ ่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม - มาตรฐาน ค 2.2 แกป้ ัญหาเก่ยี วกบั การวดั ใช้ความรู้เก่ียวกบั พืน้ ที่ พ้ืนท่ผี ิว และปริมาตรในการแก้ปญั หาในสถานการณต์ า่ ง ๆ - มาตรฐาน ค 3.1 อธบิ ายและวิเคราะหร์ ูปเรขาคณิตสองมติ ิและสามมติ ิ ตวั ชว้ี ัด อธิบายลกั ษณะและคุณสมบัติของปริซึม พีระมดิ ทรงกระบอก กรวย และทรงกลม - มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การส่ือสาร การสื่อ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และ เช่อื มโยงคณติ ศาสตรก์ บั ศาสตร์อ่นื ๆ และมีความคิดรเิ ร่มิ สร้างสรรค์ ตัวชีว้ ัด 1. ใช้วิธีการทหี่ ลากหลายแกป้ ัญหา 2. ใช้ความรู้ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหา ในสถานการณต์ ่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. ใหเ้ หตุผลประกอบการตัดสนิ ใจและสรปุ ผลได้อยา่ งเหมาะสม 4. ใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการส่ือสาร การสื่อความหมาย และการ นำเสนอไดอ้ ย่างถูกต้อง และชดั เจน 5. เช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ในคณิตศาสตร์ และนำความรู้ หลักการ กระบวนการทาง คณิตศาสตรไ์ ปเช่อื มโยงกบั ศาสตร์อื่น ๆ 6. มคี วามคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค ์ 74

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 2. แนวความคิดหลกั = พ้นื ทฐ่ี าน × สูง ปริมาตรของทรงกระบอก หรือ ปรมิ าตรของทรงกระบอก = πr2h เมอ่ื r แทนรศั มขี องวงกลมทเ่ี ปน็ ฐาน H แทนความสูงของทรงกระบอก 3. เนื้อหาสาระ ปริมาตรของทรงกระบอก = พน้ื ท่ีฐาน × สงู หรือ ปรมิ าตรของทรงกระบอก = πr 2h เมอ่ื r แทนรศั มขี องวงกลมท่เี ปน็ ฐาน H แทนความสงู ของทรงกระบอก 3.1 สระน้ำพุกลางสวนสาธารณะแห่งหน่ึงมีลักษณะเป็นทรงกระบอก วัดเส้นผ่า ศนู ย์กลางภายในได้ 4 เมตร และวดั ความลกึ จากก้นสระถงึ ขอบสระได้ 80 เซนตเิ มตร สระนี้จะจุนำ้ เตม็ ทใี่ นวนั ฝนตกหนักได้เท่าใด (กำหนดให้ π≈3.14) 3.2 ถังเก็บน้ำมันทรงกระบอกขนาดใหญ่มีรัศมียาว 19 เมตร เก็บน้ำมันได้ 200,000 บารเ์ รล ถังนำ้ มนั นีส้ งู เทา่ ใด (กำหนดให้ 1 บารเ์ รล ≈ 159 ลิตร และ π≈3.14) แบบฝึกหัดแต่ละข้อต่อไปน้ี ให้นักเรียนเลือกใช้ค่า ประมาณ 272 หรือ 3.14 ตามความเหมาะสม π 3.2.1 จงหาพ้ืนท่ีฐานและปริมาตรของทรงกระบอก ซึ่งมีรัศมีของฐานและความสูง ตามที่กำหนดใหต้ ่อไปนี้ แลว้ เติมลงในชอ่ งวางใหส้ มบูรณ์ ขอ้ รัศมี (r) สูง (h) พ้ืนท่ีฐาน ปรมิ าตร (1) 0.5 เซนติเมต ร 2 เมตร (2) 1.2 เมตร 3.4 เมตร (3) 15 เซนตเิ มตร 21 เซนติเมตร (4) 0.75 เมตร 1.5 เมตร 75

แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กล่มุ สาระการเรียนร ู้ 3.2.2 แก้วน้ำทรงกระบอกใบหน่ึงวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในได้ 8 เซนติเมตร แกว้ น้ำลกึ 10 เซนติเมตร จะจนุ ำ้ ได้เทา่ ไร 3.2.3 ถังเก็บน้ำฝนทรงกระบอกของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งสูง 4 เมตร วดั เส้นรอบวงภายในของถังได้เทา่ กบั 3.14 เมตร ถงั ใบน้เี กบ็ น้ำฝนไว้ไดม้ ากทีส่ ดุ เทา่ ใด 3.2.4 ปลากระป๋องบรรจุในกระป๋องทรงกระบอกสองชนิดท่ีมีความจุเท่ากัน และ มขี นาดดงั รูป จงหาความสงู (h) ของกระปอ๋ งใบเตย้ี (ความยาวทก่ี ำหนดใหม้ หี นว่ ยเปน็ เซนตเิ มตร) 3.2.5 เค้กชิ้นหน่งึ ตดั แบ่งออกมาจากเคก้ วงกลมทม่ี รี ัศมี 10.5 เซนตเิ มตร ทำใหเ้ กิด มุมที่จุดศูนย์กลาง ขนาด 60 องศา เค้กหนา 5 เซนติเมตร จงหาว่าเค้กช้ินท่ีตัดแบ่งออกมานี้มี ปรมิ าตรเทา่ ใด 3.2.6 ท่อระบายน้ำท่อหน่ึงยาว 45 เซนติเมตร วัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในและ ภายนอกได้ 8 เซนตเิ มตร และ 11 เซนติเมตร ตามลำดับ จงหาปริมาตรของวัสดทุ ่ใี ช้ทำทอ่ ระบายนำ้ ทอ่ น้ี 3.2.7 บ้านในชนบทหลังหน่ึงใช้น้ำโดยเฉลี่ยวันละ ½ ลูกบาศก์เมตร ต้องการสร้าง ถังเก็บน้ำฝนทรงกระบอก 4 ใบที่มีขนาดเท่ากัน เพ่ือเก็บน้ำไว้ในช่วงเวลา 88 วัน ถ้าต้องการให้ถัง เก็บนำ้ มคี วามสงู 3 1/2 เมตร จะต้องสรา้ งถงั เกบ็ นำ้ ให้มเี ส้นผา่ ศนู ยก์ ลางภายในยาวเทา่ ไร 3.2.8 น้ำพริกเผาชนิดหน่ึงบรรจุในขวดทรงกระบอกสองใบ ใบหนึ่งสูงเป็นสองเท่า ของอีกใบหน่ึง แต่เส้นผ่าศูนย์กลางของปากขวดใบสงู ยาวเพียงคร่ึงหน่ึงของเส้นผา่ ศูนย์กลางของปาก ขวดใบเตี้ย ถ้าผู้ขายติดราคาน้ำพริกเผาขวดสูงไว้ท่ี 16 บาท และขวดเต้ีย 30 บาท ซื้อน้ำพริกเผา ขวดใดจึงจะถูกกว่า 3.2.9 โคมลอยมีลักษณะเป็นทรงกระบอกฐานเปิดด้านหนึ่ง การปล่อยโคมลอยใน ภาคเหนือนิยมเล่นหรือแข่งขันกันในเทศกาลงานประเพณีสำคัญของหมู่บ้าน เช่น วันเข้าพรรษา วนั ออกพรรษา หรอื ประเพณยี ่เี ปง็ (ลอยกระทง) ตามหลักการวทิ ยาศาสตร์ เมือ่ อณุ หภูมขิ องอากาศ ในโคมลอยขนึ้ อากาศจะมีความหนาแน่นนอ้ ยกว่าอากาศเย็นท่อี ยดู่ า้ นนอกโดยรอบ จงึ ดนั ให้โคมลอย ขึ้นสู่อากาศได้ อยากทราบว่าปริมาตรของอากาศร้อนที่อยู่ภายในโคมลอยที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 1 เมตร และสูง 120 เซนตเิ มตร เปน็ เท่าใด 3.2.10 การทำข้าวหลามโดยทั่วไปจะใส่ข้าวที่ผสมพร้อมแล้วลงกระบอกไม้ไผ่ ประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวภายในที่ใช้บรรจุ แม่ค้าต้องการทำข้าวหลามสูตรพิเศษ โดยใช ้ ขา้ วเหนียวขาว 1 ส่วน ผสมกับขา้ วเหนยี วดำ 4 สว่ น จำนวน 100 กระบอก ถ้าปากกระบอกไม้ไผม่ ี เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 5 เซนติเมตร และแต่ละกระบอกมีความยาวภายในที่ใช้บรรจุ 30 เซนติเมตร อยากทราบว่าแมค่ า้ ต้องใชข้ า้ วเหนยี วขาวและข้าวเหนยี วดำท่ีผสมพรอ้ มแลว้ อยา่ งละกี่ลิตร 76

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 4. ทกั ษะกระบวนการ ใช้วิธีการที่หลากหลายแก้ปัญหา ใช้ความรู้ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และ เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และสรปุ ผลได้อย่างเหมาะสม ใชภ้ าษาและสัญลกั ษณ์ทางคณิตศาสตรใ์ นการสื่อสาร การส่ือความหมาย และการนำเสนอได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน เช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ในคณิตศาสตร์ และนำความรู้ หลักการ กระบวนการทางคณติ ศาสตรไ์ ปเชอื่ มโยงกบั ศาสตรอ์ ืน่ ๆ และมคี วามคิดริเร่ิมสร้างสรรค ์ 5. คุณลักษณะ ทำงานอยา่ งมรี ะบบ มีระเบยี บ มีความรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มวี จิ ารณญาณ มคี วาม เชอ่ื มั่นในตอนเอง มีความคิดริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ ตระหนักในคุณค่าของคณติ ศาสตร์ และมีเจตคตทิ ่ีดีตอ่ คณติ ศาสตร์ 6. ภาระงาน 6.1 สบื คน้ ขอ้ มลู จากใบความรู้ สอื่ และแหล่งเรียนรู้ 6.2 อภปิ รายประเด็นสำคัญในสาระสำคัญ 6.3 นำเสนอผลการเรียนรู้ 6.4 สรปุ ผลการเรียนร้ ู 6.5 บันทกึ ผลการเรียนรู้ 6.6 แกป้ ัญหาโจทยแ์ บบฝึกหัดในใบงาน 6.7 ประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องตนเองจากตัวช้วี ัด 7. กิจกรรมการเรยี นร ู้ กจิ กรรมนำส่กู ารเรยี น 7.1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (30 นาท)ี 7.1.1 ให้นักเรียนดูส่งิ ของรปู ทรงปริซึมและรปู ทรงกระบอก 7.1.2 ให้นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายวา่ ปรมิ าตรของปรมิ าตรทรงกระบอก หาไดอ้ ยา่ งไร 7.1.3 ให้นักเรียนร่วมกันตั้งคำถามเก่ียวกับส่ิงท่ีต้องการรู้ จากเน้ือหาที่เกี่ยวกับ เรอ่ื งปริมาตรของปริมาตรทรงกระบอก 77

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชีวติ บูรณาการการเรียนการสอน 8 กล่มุ สาระการเรียนร ู้ กจิ กรรมพัฒนาการเรยี นรู้ 7.2 ข้ันสำรวจและค้นหา (60 นาท)ี 7.2.1 แบ่งนกั เรยี นเปน็ กล่มุ กล่มุ ละ 4 คน 7.2.2 ให้นักเรียนยกตวั อย่างการหาปริมาตรของปริมาตรทรงกระบอกของสิง่ ตา่ ง ๆ 7.2.3 ใหน้ กั เรียนวิเคราะห์การหาปริมาตรของปริมาตรทรงกระบอก 7.2.4 ใหน้ กั เรยี นหาปริมาตรของปริมาตรทรงกระบอกจากวัสดงุ า่ ย ๆ 7.3 สนทนาด้วยเทคนิคคำถาม R - C - A เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การกำหนด เป้าหมายของการเรียน คำถามเพอ่ื การสะท้อน (R) - นกั เรียนมคี วามรู้สึกอยา่ งไรต่อการหาปริมาตรรูปทรงกระบอก - การหาปริมาตรแบบน้มี ีประโยชน์ตอ่ นกั เรียนหรอื ไม ่ - การหาปริมาตรมีความสำคญั ตอ่ ชวี ติ ประจำวนั อยา่ งไร คำถามเพือ่ การเชื่อมโยง (C) - การเรียนคณิตศาสตร์ที่ผ่านมานักเรียนเคยคิดตั้งคำถามหรือไม่ว่า เรยี นไปเพอื่ อะไร และนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร คำถามเพื่อการปรบั ใช้ (A) - ในการเรียนรู้ครั้งต่อไปนักเรียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเร่ืองนั้นมีประโยชน์และ นำไปใช้ในชีวิตไดอ้ ยา่ งไร - การรู้ว่าเร่ืองท่ีเรียนมีประโยชน์ต่อชีวิตจะทำให้นักเรียนสนใจการเรียน มากกว่าเดิม หรือรู้สึกว่ามันง่ายกว่าเดิมหรือไม่ นักเรียนคิดจะพิสูจน์ ความเปลย่ี นแปลงหรือไม ่ 78

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 7.4 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (60 นาท)ี 7.4.1 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ นำเสนอการหาปรมิ าตรของปรมิ าตรทรงกระบอก 7.4.2 ครตู ัง้ คำถามวา่ - นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ไดผ้ ลการศึกษาเหมือนกันหรอื ต่างกันอยา่ งไร เพราะเหตุใด 7.3.3 นกั เรียนทงั้ หมดร่วมกันสรปุ ผลการหาปรมิ าตรของปรมิ าตรทรงกระบอก กิจกรรมรวบยอด 7.5 ขัน้ ขยายความรู้ (60 นาท)ี 7.5.1 ให้นกั เรียนร่วมกนั ทำแบบฝกึ หดั ปรมิ าตรของปริมาตรทรงกระบอกเพม่ิ เตมิ 7.5.2 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายถึงการนำปริมาตรของปริมาตรทรงกระบอก ไปใชป้ ระโยชน์ 7.6 ขนั้ ประเมนิ ผล (30 นาที) 7.6.1 ให้นักเรยี นทบทวนคำตอบในใบงาน 7.6.2 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่าน ส่ิงท่ีต้องการรู้แล้วตรวจสอบว่าได้เรียน รู้ครบถ้วนหรือไม่เพยี งใด 7.6.3 ครใู ห้คะแนนตามตวั ชวี้ ดั 7.7 สนทนาดว้ ยเทคนิคคำถาม R - C - A เพื่อพฒั นาทกั ษะ การรูจ้ ักรับรแู้ ละควบคุม อารมณ์ของตนเอง คำถามเพื่อการสะทอ้ น (R) - นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไรขณะทำข้อสอบ ความรู้สึกน้ันส่งผลต่อ ร่างกายของนักเรียนหรอื ไม่ เชน่ ขมวดค้วิ มือสัน่ คิดอะไรไม่ออก กงั วล เครียด คำถามเพื่อการเชื่อมโยง (C) - นักเรียนเคยสงั เกตไหมว่า นกั เรียนจะเกดิ อาการแบบนใ้ี นสถานการณใ์ ดบ้าง ที่ผ่านมา - นักเรียนผา่ นพน้ อาการนนั้ มาไดอ้ ยา่ งไร - วธิ ใี ดที่จะทำใหน้ กั เรยี นไม่ต่นื เต้น ไม่กังวล ไม่ตงึ ไม่เครยี ด 79

แนวทางการพัฒนาทกั ษะชีวติ บรู ณาการการเรียนการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรียนร ู้ คำถามเพื่อการปรบั ใช้ (A) - ถ้านักเรียนเผชิญสถานการณ์ท่ีก่อให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึกและมีการ เปลี่ยนแปลงทางกายเช่นนี้ จะมีวิธีการควบคุมตนเองไม่ไห้เกิดอาการ เชน่ น้ไี ด้อย่างไร การวดั และประเมินผล 1. วธิ วี ัดและประเมินผล 1.1 ประเมินจากการทำกิจกรรมและการตอบคำถามในใบงาน 1.2 ครูให้คะแนนตามตัวชี้วดั จากเกณฑ์การใหค้ ะแนน 2. เครื่องมอื วดั และประเมินผล 2.1 คำถามในใบงาน 2.2 แบบประเมนิ 3. เกณฑ์การประเมิน 3.1 การทำกิจกรรมและการตอบคำถามในใบงาน ได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 75 3.2 แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 75 3.3 แบบประเมนิ คุณลักษณะได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 สือ่ และแหล่งการเรียนรู ้ 1. สิง่ ของต่าง ๆ 2. หอ้ งสมดุ 3. ชุมชน 4. ฐานขอ้ มลู อินเทอรเ์ น็ต บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ 1. ดา้ นการบรรลตุ ัวชีว้ ัด 1.1 ดา้ นความรู้ ความคิด 1.2 ด้านทกั ษะกระบวนการทางคณิตศาสตร ์ 1.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ 2. ปญั หาทพี่ บจากการจดั การเรียนรแุ้ ละแนวทางแกไ้ ข 3. แนวทางในการพฒั นาตอ่ ไป 80

ตวั อยา่ ง การพฒั นาทกั ษะชีวติ บูรณาการการเรยี นการสอน กลมุ่ สาระการเรยี นร ู้ วิทยาศาสตร ์

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชีวติ บูรณาการการเรียนการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรยี นร ู้ พฤติกรรมทกั ษะชวี ิตท่ีสอดคลอ้ งกบั ตวั ชว้ี ัด มาตรฐานการเรยี นรกู้ ล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร ์ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ สาระท่ี 2 การวดั สาระที่ 3 เรขาคณติ สาระที่ 4 พชื คณิต สาระท่ี 5 การวเิ คราะหข์ ้อมูลและความนา่ จะเปน็ สาระท่ี 6 ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร)์ องคป์ ระกอบ รายละเอียดองคป์ ระกอบทกั ษะชวี ิต ทีส่ อดคล้อง ทีส่ อดคลอ้ งกับตวั ชวี้ ัด มาตรฐานการเรียนรู ้ ช้ัน 1 2 3 4 1. ตระหนักรู้และ 2. คิดวิเคราะห์ 3. การจดั การกบั 4. การสรา้ ง เหน็ คณุ คา่ ตัดสินใจและ อารมณแ์ ละ สัมพันธภาพที่ดี ความเครียด ในตนเองและผู้อ่ืน แกป้ ัญหาอยา่ ง กับผูอ้ น่ื สรา้ งสรรค์ ป.1 - ✓ - - - รจู้ กั สงั เ กต ตั้งคำถาม - - และแส วงหาคำตอบ ป.2 ✓ ✓ - - รจู้ กั ความถนัดและ ร้จู กั สงั เ กต ต้ังคำถาม - - ความสามารถของ แ ละแส วงหาคำตอบ ตนเอง ป.3 - ✓ - ✓ - วเิ คราะหค์ วาม - 1. ใช้ภาษาและกริ ิยา นา่ เชอื่ ถอื ของขอ้ มลู ท่ีเหมาะสมในการ ขา่ วสารได้สมเหตุ สอ่ื สาร สมผล 2. ทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ่ืน บนพื้นฐานความ เป็ประชาธิปไตย ป.4 - ✓ - - - มจี นิ ตนาการและ - - สามารถคิดไดอ้ ยา่ ง เช่ือมโยง (แสดงผลงาน ทีเ่ กดิ จากการคิด จินตนาการและ การคดิ เชื่อมโยง) ป.5 - ✓ - - - 1. วพิ ากษ์วิจารณ์ บนพื้นฐานของ ขอ้ มูลสารสนเทศ ท่ีถูกต้อง 82

หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 องค์ประกอบ รายละเอยี ดองคป์ ระกอบทักษะชวี ติ ที่สอดคล้อง ทีส่ อดคลอ้ งกบั ตวั ชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ชน้ั 1 2 3 4 1. ตระหนกั รแู้ ละ 2. คดิ วเิ คราะห์ 3. การจดั การกบั 4. การสร้าง เห็นคณุ คา่ ตดั สินใจและ อารมณ์และ สมั พนั ธภาพทด่ี ี ความเครยี ด ในตนเองและผู้อนื่ แกป้ ญั หาอยา่ ง กบั ผูอ้ ่ืน สรา้ งสรรค์ 2. มที กั ษะการ แสว งหาข้อมลู และ ใชใ้ ห้เปน็ รับรป้ปู รัญะ โหยาชแนล์ ะ ป.6 - ✓ - ✓ - - ทำงานรว่ มกบั ผอู้ ื่น สาเหตขุ องปญั หา บนพ้ืนฐานความเป็น หาทางเลือกและ ประชาธปิ ไตยและให้ ตัดสนิ ใจในการแก้ ความรว่ มมอื กบั ผ้อู ื่น ปญั หาด้วยวิธกี าร อย่างสรา้ งสรรค ์ ที่ถกู ตอ้ งเหมาะสม ม.1 - ✓ - ✓ - 1. เลอื กตดั สนิ ใจ - กล้าแสดงความคิดเหน็ และปัญหา อยา่ งสร้างสรรค์ ในสถานการณ ์ ท่เี ผชญิ อยา่ งมี เหตุผล 2. เลอื กรับขอ้ มลู ข่าวสารอย่าง ไตรต่ รองและ ร้เู ทา่ ทนั ม.2 - ✓ - - - วิเคราะหผ์ ลกระทบ - - และหาทางป้องกนั หรือแกไ้ ขปัญหา ในสถานการณ์ ต่าง ๆ ได ้ ม.3 - ✓ - ✓ - 1. มที ักษะในการ - ทำงานรว่ มกบั ผ้อู ื่น แสวงหาขอ้ มลู ตามวถิ ีประชาธปิ ไตย และใช้ข้อมูลให้ เปน็ ประโยชนต์ ่อ ตนเองและผอู้ ืน่ 83

แนวทางการพฒั นาทกั ษะชวี ิต บูรณาการการเรียนการสอน 8 กลุ่มสาระการเรียนร ู้ องคป์ ระกอบ รายละเอยี ดองคป์ ระกอบทกั ษะชวี ติ ท่สี อดคล้อง ทส่ี อดคล้องกับตวั ช้วี ดั มาตรฐานการเรยี นรู ้ ชนั้ 1 2 3 4 1. ตระหนักรูแ้ ละ 2. คิดวเิ คราะห์ 3. การจัดการกบั 4. การสร้าง เห็นคณุ คา่ ตดั สินใจและ อารมณ์และ สมั พันธภาพทดี่ ี ความเครียด ในตนเองและผอู้ นื่ แก้ปญั หาอยา่ ง กบั ผอู้ ืน่ สร้างสรรค ์ 2. มีคว ามยืดหยุ่น ทาง ความคิด ม.4- ✓ ✓ ✓ - มที ักษะการกำหนด 1. มีทกั ษะในการ ร้จู กั สรา้ งความสุขใหก้ บั - ม.6 เป้าหมายและ แแลสะว งใชหข้ าอ้ขม้อูลมใลู ห้ ตนเองและผ้อู ื่น ทศิ ทางการดำเนนิ ชีวติ สคู่ วามสำเรจ็ เป็นประโยชนต์ ่อ ตนเองและผอู้ นื่ 2. ประเมินและสรา้ ง ข้อสรุปบทเรยี น ชีวิตของตนเอง 3. มีความยดื หย่นุ ทางความคดิ 4. วางตวั และ กำหนดทา่ ทีได้ เหมาะสมกบั สถานการณ ์ จะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์มีทักษะชีวิตด้านการคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจและแก้ไขปัญหา เป็นทักษะแกนและสามารถพัฒนาให้เกิดข้ึนโดยตรงในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ทุกช้ันปี ส่วนที่ ขาดหายไป ไดแ้ ก่ การจดั การกบั อารมณแ์ ละความเครยี ด การตระหนกั รูแ้ ละเห็นคุณคา่ ในตนเองและ ผอู้ ่ืน การพัฒนาโดยใช้คำถาม R - C - A จะช่วยเติมเต็มบูรณาการให้เกิดข้ึนได้ในทุกครั้งท่ีจัด การเรียนรู้ท่ีผเู้ รยี นเป็นสำคญั ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน ้ี 84

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรบู้ ูรณาการทกั ษะชีวติ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร ์ รายวิชา วิทยาศาสตร์ ช้ัน ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 เร่ือง วัสดุทน่ี ำมาทำของเล่น เวลา 1 ชัว่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวช้วี ดั - ว 3.1 เข้าใจคุณสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติของสารกับโครงสร้าง และแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนภุ าค มกี ระบวนการสบื เสาะ หาความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สอื่ สารสง่ิ ที่ เรยี นรู้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน ์ ตวั ช้ีวดั ป1/1 สังเกตและระบุลักษณะท่ีปรากฏหรือคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ทำของเล่น ของใช ้ ในชีวติ ประจำวนั ป1/2 จำแนกวสั ดทุ ่ีใชท้ ำของเล่น ของใช้ในชีวติ ประจำวัน รวมท้ังระบุเกณฑ์ท่ีใช้จำแนก - ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหา ความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดข้ึนส่วนใหญ่มีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถ อธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเคร่ืองมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดลอ้ มมคี วามเกี่ยวข้องสัมพนั ธ์กนั ตวั ชว้ี ดั ป1/5 แสดงความคิดเห็นในการสำรวจ ตรวจสอบ ป1/6 นำเสนอผลงานด้วยวาจาใหผ้ ู้อื่นเข้าใจ องค์ประกอบทักษะชีวติ : การสร้างสัมพนั ธภาพท่ดี ีกบั ผอู้ ่นื - ใช้ภาษาพดู ภาษากายทที่ ำให้ผ้อู ื่นผอ่ นคลาย สบายใจ ไมก่ ่อใหเ้ กิดความขัดแยง้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด 2.1 วสั ดุทีใ่ ชท้ ำของเลน่ ของใช้ในชีวติ ประจำวัน อาจมีรปู รา่ ง สี ขนาด พนื้ ผิว ความแข็ง เหมอื นกนั หรอื แตกต่างกนั 2.2 ลักษณะหรอื คณุ สมบตั ิต่าง ๆ ของวสั ดุ สามารถนำมาใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการจำแนกวัสด ุ ทใ่ี ชท้ ำของเลน่ ของใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั 85

แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต บูรณาการการเรยี นการสอน 8 กลุม่ สาระการเรียนร ู้ 3. สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง 3.1 วสั ดทุ ่ีนำมาทำของเลน่ ในชีวติ ประจำวัน 3.2 การจำแนกลักษณะวสั ดทุ ใี่ ช้ทำของเล่น 4. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น - ความสามารถในการคดิ 4.1 ทกั ษะการจำแนกวสั ดุทน่ี ำมาทำของเล่น 4.2 ทกั ษะการสงั เกตสี ขนาด ผิว ความแขง็ ของวสั ดุท่นี ำมาทำของเล่น 5. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ - การรว่ มแสดงความคดิ เห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น 6. ชนิ้ งาน/ภาระงาน 6.1 สำรวจตรวจสอบ จำแนกวัสดทุ ่ีใชท้ ำของเลน่ จรงิ 6.2 พดู อธบิ ายสิ่งที่พบจากการสำรวจใหเ้ พ่อื น ๆ ฟงั 7. การวัดและประเมินผล 7.1 การประเมินระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรยี นร ู้ 7.1.1 สังเกตการเลน่ ของเลน่ 7.1.2 ประเมนิ จากการตอบคำถาม 7.2 การประเมนิ เม่อื สน้ิ สุดกจิ กรรมการเรียนร ู้ 7.2.1 ตรวจภาพวาดของเล่น 7.2.2 ประเมินจากการตอบคำถาม 86

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 8. กจิ กรรมการเรียนร ู้ 8.1 ครูใชค้ ำถามของเลน่ ทบ่ี า้ นนกั เรยี นมีอะไรบา้ ง 8.2 ครูเขียนคำตอบนกั เรียนบนกระดาน 8.3 ครูสุ่มของเล่นบนกระดานแล้วถามเจ้าของว่า ของเล่นชนิดนี้เคล่ือนไหวได้ไหม มีลักษณะเป็นอยา่ งไร เลน่ เม่ือใด เกบ็ อย่างไร 8.4 ครูนำของเล่นมาให้นักเรียนดูอย่างละไม่ต่ำกว่า 2 ชนิด เช่น ของเล่นที่ทำจาก พลาสตกิ ไม้ ผ้า ดิน โลหะ /ภาพถา่ ยของเลน่ ตา่ ง ๆ 8.5 แบ่งนกั เรียน กลมุ่ ละ 4 คน 8.6 ให้กลุ่มรว่ มกนั อภปิ รายว่าของเล่นทำจากอะไร มสี ีอะไร ขนาด ผิว ความแข็งของวสั ด ุ ทีน่ ำมาทำของเล่นเป็นอยา่ งไร 8.7 ครูถามทีละกลุ่ม 8.8 นักเรียน ครูอภิปรายและสรุปจากของเล่นในแต่ละกลุ่ม ของเล่นทำมาจากอะไรบ้าง มีสอี ะไรบา้ ง มีขนาดใดบา้ ง มีความแขง็ ในระดับไหน 8.9 ครใู หด้ ูภาพของเลน่ นกั เรียน ครรู ว่ มกนั สรปุ ในประเด็น 8.9.1 ของเลน่ ทำมาจากอะไรบา้ ง มีสีอะไรบ้าง มีขนาดใดบา้ ง มีความแขง็ ในระดบั ไหน มวี ิธกี ารระวังอย่างไรเวลาเล่น รักษาอยา่ งไร เก็บอย่างไร 8.9.2 นักเรียนจะมีวธิ ีเลือกของเล่นสำหรบั ตนเองไดอ้ ยา่ งไรบ้าง 8.10 สนทนาดว้ ยเทคนิคคำถาม R - C - A เพอ่ื พฒั นาทกั ษะชวี ติ การสร้างสัมพันธภาพ ที่ดีกบั ผอู้ ่นื (ใช้ภาษาพดู ภาษากายท่ีทำใหผ้ ู้อื่นผอ่ นคลาย สบายใจ ไม่ก่อใหเ้ กิดความขัดแยง้ ) คำถามเพ่ือการสะทอ้ น (R) - ถ้าของเล่นที่นักเรียนรักมากและหวงมาก ถูกเพื่อนทำให้ชำรุด เสียหาย นักเรียนจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้านักเรียนเป็นคนทำของเล่นของเพื่อนชำรุด เสียหาย นักเรยี นมคี วามรูส้ ึกอยา่ งไร - เม่ือเล่นของเล่นแล้ว ทำของเล่นชำรุดนักเรียนทำอย่างไร พูดกับเพ่ือนว่า อย่างไร 87

แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต บรู ณาการการเรยี นการสอน 8 กลมุ่ สาระการเรยี นร ู้ คำถามเพ่อื การเชื่อมโยง (C) - ท่ีผ่านมาเม่ือนักเรียนนำของเล่นของเพ่ือนมาเล่นเคยบอกขออนุญาตก่อน หรอื ไม่ เพราะอะไร - เม่ือเล่นของเล่นแล้วทำของเล่นชำรุด นักเรียนทำอย่างไร พูดกับเพ่ือนว่า อย่างไร คำถามเพ่ือการปรบั ใช้ (A) - ในโอกาสต่อไปถ้านักเรียนอยากจะเล่นของเล่นของเพ่ือนจะพูดว่าอย่างไร หรือเม่ือเพื่อนมาขอเล่นของเล่นที่นักเรียนรักและหวงนักเรียนจะพูดอย่างไร กับเพื่อน หรืออยากเข้าร่วมวงเล่นของเล่นร่วมกับเพื่อน นักเรียนจะพูดหรือ สอื่ สารอย่างไร ทีจ่ ะทำให้เพอ่ื นเห็นใจให้เล่นด้วย 9. สือ่ การเรียน 9.1 ตัวอย่างของเล่น ของจรงิ หลาย ๆ ชนดิ 9.2 ภาพของเลน่ หลาย ๆ ชนดิ 88

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการทักษะชีวิตในกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร ์ รายวชิ า วิทยาศาสตร ์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 เรอื่ ง การเกิดดิน เวลา 2 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวัด - ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ ์ ของกระบวนการต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรูแ้ ละจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารส่งิ ทีเ่ รยี นร้แู ละนำความร้ไู ปใช้ประโยชน ์ ตวั ชี้วดั - ป4/1 สำรวจและอธิบายการเกิดดนิ - ป4/2 ระบุชนิดและคณุ สมบัตขิ องดนิ ทใ่ี ชป้ ลูกพชื ในท้องถิ่น - ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบาย และตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเคร่ืองมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดลอ้ มมีความเกยี่ วข้องสมั พนั ธก์ นั ตัวชวี้ ัด - ป4/2 วางแผนการสังเกต เสนอวธิ ีสำรวจตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้า และคาดการณ ์ สิง่ ทจ่ี ะพบจากการสำรวจตรวจสอบ - ป4/4 บันทึกขอ้ มูลในเชงิ ปรมิ าณ นำเสนอผล สรุปผล - ป 4/6 แสดงความคิดเห็นและสรุปสงิ่ ท่ีไดเ้ รยี นรู้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด 2.1 ดนิ เกิดจากหินทผี่ พุ งั ผสมกับซากพชื ซากสตั ว์ 2.2 ดินมีส่วนประกอบของเศษหิน อินทรียวัตถุ น้ำ และอากาศในสัดส่วนท่ีแตกต่างกัน ทำให้เกิดดินหลายชนิด พืชแต่ละชนิดเจริญเติบโตได้ดีในดินที่แตกต่างกัน ดังน้ัน การปลูกพืชจึงควร เลือกใช้ดินให้เหมาะสม 89


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook