Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีตกแต่งอาหารปวช2.

ทฤษฎีตกแต่งอาหารปวช2.

Published by daimond.dolly, 2017-05-04 03:23:14

Description: ทฤษฎีตกแต่งอาหารปวช2.

Search

Read the Text Version

51 2) ชนิดของสี จาํ แนกออกไดด้ งั น้ี (1) สีแท้ (Hue) เป็ นสีที่ไม่มีส่วนผสม เช่น แดง น้าํ เงิน หรือ สีท่ีมีส่วนผสมของสีอื่นเช่น ม่วงน้าํ เงิน (2) ระดบั ความเขม้ ของสีแท้ (Chroma) ที่อาจจะแตกต่างกนั ไป การใชค้ าํ ว่าโครม่า ก็คือ การบอกรายละเอียดว่าสีแทน้ ้ีมีความแตกต่างกนั ในความเขม้ ขน้ เช่น ระหว่างสีสว่างกบั สีหม่นของสีแท้(Hue) เดียวกนั (3) น้าํ หนกั ของสี (Value) ข้ึนอยกู่ บั ปริมาณของสีขาว สีดาํ และสีเทา ซ่ึงผสมอยู่กบั สีแท้ (Hue) (4) เฉดของสีเกิดจากการเพม่ิ สีดาํ ใหก้ บั สีแท้ (Shade) (5) การผสมหรือเพิ่มสีขาวเขา้ ไปในสีแท้ (Tint) (6) การผสมหรือเพ่ิมสีเทาเขา้ ไปในสีแท้ (Tone) 3) การใชส้ ีในการจดั ดอกไม้ การใชแ้ ม่สี สีระดบั ที่สอง และสีระดบั ท่ีสามมาจดั รวมกนั เราเรียกวา่ การจดั ตามความกลมกลืนของสี Colour Harmonies (1) สีเอกรงค์ (Monochromatic) การจดั แบบใชส้ ีเอกรงค์ เกิดข้ึนจากการใชด้ อกไมท้ ี่มีท้งั การผสมหรือเพ่ิมสีขาวเขา้ ไปในสีแท,้ การผสมหรือเพิ่มสีเทาเขา้ ไปในสีแทแ้ ละเฉดของสีเกิดจากการเพิ่มสีดาํ ใหก้ บั สีแทเ้ ดียวกนั เช่น เร่ิมดว้ ยการใชส้ ีส้ม เขม้ สุด, สีส้ม และสีครีม ซ่ึงเป็ นการใชส้ ี Tone (เพ่ิมสีขาวในสีส้ม) Tone Tint Shade ภาพท่ี 1.13 สีเอกรงค์ (Monochromatic) ที่มา : กีรตี ชนา. (2536).ทฤษฎกี ารจดั ดอกไม้แบบสากล ระดบั มอื อาชีพ. โรงพิมพเ์ วริ ์ค ออฟ อาร์ต, 25. (2) สีตรีรงค์ (Analogous Colour) ตรีรงค์ 90 องศา ในการแบ่งสีเป็ น 12 สี ในวงจรสีน้นั ตรีรงค์ คือสีสามช่องท่ีอยตู่ ิดกนั และทาํ มุมไดเ้ ป็ น 90 องศา แต่จะมีสีหน่ึงซ่ึงเป็ นแม่สี (Primary Colour) อยู่รวมกบั อีกสองสี การจดั แบบตรีรงค์ 90 องศา การใชส้ ีหน่ึงสีใดเป็ นสีนาํ และอนุโลมให้สามารถเพิ่มอีกสีหรือสองสี ถดั จากสีในตรีรงคน์ ้นั ได้

52 ภาพที่ 1.14 สีตรีรงค์ (Analogous Colour ) ท่ีมา : กีรตี ชนา. (2536).ทฤษฎกี ารจัดดอกไม้แบบสากล ระดบั มอื อาชีพ. โรงพมิ พเ์ วริ ์ค ออฟ อาร์ต, 26. (3) สีสามมุม (Triad) สีสามมุม เป็ นการจดั โดยใชส้ ีสามสี ซ่ึงห่างจากกนั และกนั เป็ นระยะทางเท่ากนั ในวงจรสี เช่นใชด้ อกกุหลาบสีแดง ดอกเบญจมาศสีเหลืองและดอกไอริสสีน้าํ เงิน สร้างการประสานดา้ นสีสามมุม Triadic Colour Harmony ภาพที่ 1.15 สีสามมุม (Triad) ท่ีมา : กีรตี ชนา. (2536).ทฤษฎกี ารจัดดอกไม้แบบสากล ระดบั มอื อาชีพ. โรงพมิ พเ์ วริ ์ค ออฟ อาร์ต, 27. (4) สีตรงกันข้าม (Complementary Colour) เมื่อเรานาํ สีแท้ (Hue) สองสี ซ่ึงอยู่ตรงกนั ขา้ มในวงจรสีมาใชใ้ นการจดั ดอกไม้ เช่น สีแดงกบั สีเขียว สีน้าํ เงินกบั สีส้ม ผลท่ีไดร้ ับก็คือ สีท้งั สองจะส่งเสริมกนั

53 ภาพที่ 1.16 สีตรงกนั ขา้ ม (Complementary Colour) ท่ีมา : กีรตี ชนา. (2536).ทฤษฎกี ารจัดดอกไม้แบบสากล ระดบั มืออาชีพ. โรงพมิ พเ์ วริ ์ค ออฟ อาร์ต, 28. (5) สีขนาบสีตรงกนั ขา้ ม (Split Complementary Colour) คือการใชส้ ีที่ขนาบกบั สีตรงขา้ ม เช่น สีน้าํ เงิน (Blue) มาจดั กบั สีเหลืองส้ม (Yellow-Orange) และสีแดงส้ม (Red-Orange) ภาพท่ี 1.17 สีขนาบสีตรงกนั ขา้ ม (Split Complementary Colour)ที่มา : กีรตี ชนา. (2536).ทฤษฎกี ารจัดดอกไม้แบบสากล ระดับมืออาชีพ. โรงพมิ พเ์ วริ ์ค ออฟ อาร์ต, 29.2.2 สดั ส่วนในการจดั ดอกไม้ (Proportion)สัดส่วน (Proportion) คือ ความแตกต่างท่ีสร้างความสัมพนั ธ์ท่ีเหมาะสมระหวา่ งดอกไมท้ ่ีใชใ้ นการจดั ความสัมพนั ธ์น้ี อาจจดั ไดจ้ ากประมาณของดอกไม,้ ความส้ันยาว ของกา้ นหรือจาํ นวนดอกไมท้ ี่ใชใ้ นการจดั การเตรียมสําหรับจดั ดอกไม้ ส่วนใหญ่จะเริ่มจากภาชนะท่ีใช้ สัดส่วน ท่ีเหมาะสมของแจกนัทรงสูงน้นั ตามหลกั 1 เท่าคร่ึง ถึง 2 เท่าคร่ึง ของความสูงของแจกนั ส่วนแจกนั ทรงนอนใชห้ ลกั เดียวกนั โดยใช้ความยาวของแจกนั เป็นเกณฑ์

54 2 ½ เท่าของความสูง ภาชนะ ความสูงของภาชนะ ภาพที่ 1.18 สัดส่วนในการจดั ดอกไม้ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 2.3 ความเป็นเอกภาพของการจดั ดอกไม้ (Unity) เอกภาพ (Unity) คือความเป็ นหน่ึงโดยส่วนรวมของการออกแบบการจดั ความสัมพนั ธ์ของส่วนประกอบแตล่ ะชิ้นในการออกแบบควรจะร่วมสร้าง ภาพรวมเป็ นหน่ึงเดียวกนั เช่น อาจใชส้ ีเดียวท้งั ภาชนะดอกไมแ้ ละส่วนประกอบอ่ืนๆ ทาํ ให้เกิดภาพเป็ นหน่ึงเดียว อย่างไรก็ตามการออกแบบจดั ทุกคร้ังไม่จาํ เป็ นจะตอ้ งมีส่วนประกอบสีเดียวกนั เพ่ือสร้างเอกภาพเสมอไป โดยอาจจะสร้างเอกภาพข้ึนได้ โดยการเลือกใชก้ ารผสมผสานของสีอ่ืน ๆ ขอ้ สาํ คญั คือสีเหล่าน้นั ตอ้ งกลมกลืนและมีผลให้การจดั วางดูเป็ นเอกภาพความเป็ นหน่ึงหรือ เอกภาพ อาจจะเป็ นการจดั โดยใช้ดอกไมท้ ่ีแตกต่างกนั วสั ดุอุปกรณ์ท่ีแปลก ๆ แตกต่าง หากนาํ มาจดัรวมกนั จะสร้างความเป็ นหน่ึงของงานไดเ้ ช่นกนั ดอกไม้ ใบไม้ ในภาพมีรูปลกั ษณ์ สี และลกั ษณะผวิ สัมผสั ท่ีแตกต่าง การจดั วางให้มองเห็นถึงความเป็ นหน่ึง โดยการจดั เป็ นกลุ่ม มีช่องว่างระหว่างกลุ่ม ทาํ ให้มองเห็นความแตกตา่ งของดอกไม้ แต่ละชนิด แต่ละกลุ่มไดอ้ ยา่ งชดั เจน

55 ภาพท่ี 1.19 ความเป็นเอกภาพของการจดั ดอกไม้ ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2.4 มาตราส่วนของการจดั ดอกไม้ (Scale) มาตราส่วนของการจดั ดอกไม้ มกั จะถูกนาํ มาใชพ้ ร้อมกบั คาํ วา่ Proportion แต่คาํ วา่ มาตราส่วนของการจดั ดกไมห้ รือสเกล มกั จะใชจ้ าํ เพาะเจาะจงกบั ขนาดของการจดั ดอกไม้ กบั การต้งั วาง การจดั ดอกไม้อย่างเหมาะสม โดยใช้สัดส่วนท่ีถูกตอ้ ง เช่น แจกนั เด่ียวสําหรับใส่ดอกไมด้ อกเดียว จะดูผิดสเกลบนโต๊ะอาหารยาว 25 ฟุต แต่หากจดั ดอกไมท้ รงแนวนอนหลาย ๆ ชิ้นวางบนโตะ๊ ยาว 25 ฟุต จะทาํ ให้ดูมีสัดส่วนท่ีดีกวา่ การใชแ้ จกนั ขนาดเล็กกบั ดอกไมข้ นาดใหญ่ซ่ึงทาํ ใหไ้ ม่ไดส้ ่วน ดงั น้นั เรื่องของสเกล จึงหมายถึง ขนาดของสิ่งที่เกี่ยวขอ้ งกนั วา่ ไดส้ ่วนเหมาะสมกนั หรือไม่ 2.5 ความสมดุลของการจดั ดอกไม้ (Balance) ความสมดุลของน้าํ หนกั เกิดข้ึนเม่ือการจดั วางส่วนประกอบต่าง ๆ สร้างความรู้สึกท่ีสมดุลทางสรีระภาพและทศั นียภาพ 2.5.1 ความมน่ั คงทางสรีระภาพ (Physical Stability) หมายถึงการจดั วางปักดอกไมแ้ ละใบไม้ เพื่อความสมดุลหากการจดั ดอกไม้ พลิกคว่าํ หรือตะแคงเอียง หรือหงาย ลม้ ลงเพราะการจดั ปักไม่ดีน้นั เป็ นผลของการขาดความมนั่ คงทางสรีระภาพ 2.5.2 ความมนั่ คงทางทศั นียภาพ (Visual Stability) เกิดข้ึนจากการใชส้ ีและสัดส่วนของดอกไม้ตวั อยา่ ง เช่น ดอกไมท้ ่ีมีสีเขม้ จะมองดูมีน้าํ หนกั มากกวา่ สีอ่อน และมกั ใชป้ ักที่ฐานของดีไซน์ ดอกไมส้ ีอ่อนซ่ึงดูเบากว่าจะใช้ที่ด้านบนของดีไซน์ ดอกไมส้ ีอ่อนซ่ึงดูเบากว่าจะใช้ที่ด้านบนของดีไซน์ดอกตูม จะดูเบากว่าดอกบาน เพราะมีสัดส่วนที่ใหญก่ วา่ จึงใชด้ อกตมู ทางดา้ นบนและดอกบานดา้ นล่าง ซ่ึงแบ่งออกเป็น 3 แบบคือ

56 1) สมดุลแบบสองขา้ งเท่ากนั (Symmetrical Balance) คือการจดั ท่ีมองเห็นว่าท้งั สองดา้ นของการจดั น้นั มีน้าํ หนกั เท่ากนั โดยมีแนวสูงสุดอยูต่ รงกลาง การจดั แบบน้ีไม่จาํ เป็ นตอ้ งใช้ดอกไมเ้ ท่ากนั ท้งัสองดา้ น แต่มองดว้ ยสายตากร็ ู้วา่ ท้งั สองดา้ นมีน้าํ หนกั เทา่ กนั ในขอบเขตของรูปสามเหล่ียมดา้ นเท่า ภาพที่ 1.20 สมดุลแบบสองขา้ งเทา่ กนั (Symmetrical Balance) ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2) สมดุลแบบสองขา้ งไม่เท่ากนั (Asymmetrical Balance) การจดั แบบน้ีเห็นไดเ้ ม่ือน้าํ หนกัของดอกไม้ หรือวสั ดุอื่นๆ ที่จดั วางสองดา้ นไม่เท่ากนั จากแนวท่ีสูงสุด จะเห็นไดว้ า่ ทางดา้ นซ้ายมีน้าํ หนกั กวา่ดา้ นขวามือ แต่แกโ้ ดยใชใ้ บไมย้ าวปักดา้ นขวามือจะช่วยเพิ่มน้าํ หนกั ให้สมดุล ภาพท่ี 1.21 สมดุลแบบสองขา้ งไม่เทา่ กนั (Asymmetrical Balance) ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 3) แบบเปิ ดกรอบ (Open Balance) คือ ลกั ษณะของการจดั ที่ไม่สามารถจาํ แนกไดว้ ่าเป็ นแบบที่สองดา้ นเท่ากนั หรือ สองดา้ นไมเ่ ท่ากนั การดีไซน์แบบใหม่ ๆ นบั วา่ เป็นการจดั แบบ เปิ ดกรอบ ปัญหาในการจดั ดอกไมท้ ่ีมกั จะเกิดข้ึนเก่ียวกบั ความสมดุล มีดงั น้ี

57 1. จดั ดอกไมท้ ่ีรู้สึกว่าหนา้ ดา้ นบน เพราะการตดั กา้ นดอกไมย้ าวเท่า ๆ กนั แลว้ ปักดอกไม้ยาว ส้ัน และปักลดหลน่ั กนั ลงมาให้เกิดความสมดุลชนิดเท่ากนั หรือไม่เทา่ กนั ท้งั สองขา้ งกไ็ ด้ ภาพที่ 1.22 ลกั ษณะของความสมดุลในการจดั ดอกไมท้ ี่ผิดและถูกตอ้ ง ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 2. จดั ดอกไมร้ ู้สึกวา่ หนกั ขา้ งใดขา้ งหน่ึง วิธีแกไ้ ข โดยการใชด้ อกไมก้ า้ นยาว ปักดอกไม้ชูสูง ดา้ นหน่ึงอีกดา้ นปักใบหรือดอกใหต้ ่าํ เพ่ือถ่วงน้าํ หนกั จะเกิดความสมดุล 3. จดั ดอกไมท้ ่ีรู้สึกวา่ หนกั ดา้ นล่าง เป็ นเพราะตดั กา้ นดอกไมส้ ้ันเกินไป และแซมใบหรือดอกเอนต่าํ วธิ ีแกไ้ ขน้นั ควรใชด้ อกไมก้ า้ นยาว การปักใหช้ ูสูงข้ึน 2.6 ความกลมกลืนของการจดั ดอกไม้ (Harmony) ความกลมกลืนมีความสาํ คญั เพราะสร้างความสบายตา อนั เกิดจากการต้งั ใจเลือกส่วนประกอบต่างๆเพ่ือสร้างองคป์ ระกอบของดีไซน์ ซ่ึงการผสานกนั ของความกลมกลืนน้นั เกิดข้ึนไดส้ องแบบคือ จากดอกไมท้ ี่คลา้ ยคลึงกนั และจากดอกไมท้ ่ีมีลกั ษณะไม่คลา้ ยคลึงกนั เลยการผสาน ท่ีสร้างความกลมกลืนไดเ้ ด่นชดั ท่ีสุดคือ การใหส้ ี นอกจากน้นั คือการเลือกใชร้ ูปทรง ลกั ษณะพ้ืนผวิ หรือขนาดของดอกไม้ การจดั ดอกไมใ้ หม้ ีความกลมกลืนควรคาํ นึงถึงส่ิงต่อไปน้ี 1. การเลือกสไตล์ (Style) ในการจดั ดอกไม้ ผูจ้ ดั ตอ้ งพิจารณาสไตล์ต่าง ๆ ในการจดั ดอกไม้ใหเ้ หมาะสมกบั สถานท่ี หรือสิ่งแวดลอ้ มหรือโอกาสที่จะจดั 1.1 การจดั ดอกไมแ้ บบเก่า 1.2 การจดั ดอกไมแ้ บบเป็ นพิธีการ 1.3 การจดั ดอกไมแ้ บบตะวนั ออก 1.4 การจดั ดอกไมแ้ บบใหม่

58 2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสไตล์ในการจดั ดอกไม้และความรู้สึก การจดั ดอกไม้นอกจากพิจารณาถึงความกลมกลืนของสไตล์ในการจดั แลว้ ควรพิจารณาถึงดอกไม้ และจิตใจของผจู้ ดั และผพู้ บเห็นเช่น การจดั ดอกไมใ้ นโบสถ์ดอกไมต้ อ้ งมีลกั ษณะเคร่งขรึมและทาํ ให้จิตใจดีข้ึน สําหรับการจดั ดอกไมใ้ นห้องพกั ผ่อน ดอกไมท้ ่ีจดั จะตอ้ งมีลกั ษณะรื่นเริงและเป็ นสุขและการจดั ดอกไมใ้ นห้องสําหรับบุคคลสําคญัดอกไมท้ ่ีจดั จะตอ้ งดูสง่าแสดงถึงรสนิยม 3. ความกลมกลืนระหวา่ งภาชนะที่ใชจ้ ดั ดอกไมก้ บั ใบไมแ้ ละการออกแบบ 3.1 การจดั ดอกไมท้ ่ีเป็ นพิธีการ ตอ้ งเลือกภาชนะที่บอกรสนิยมที่ดี เช่น แกว้ เจียระไนเคร่ืองเงิน เครื่องทอง หรือกระเบ้ือง ฯลฯ 3.2 การจดั ดอกไมล้ กั ษณะเรียบง่าย เช่น บริเวณสนาม กวา้ ง ฯลฯ ภาชนะท่ีใช้จดั ควรเป็นกระเบ้ืองดินเผา หรือภาชนะที่ทาํ ดว้ ยหวาย เคร่ืองไม้ เป็นตน้ 2.7 จงั หวะของการจดั ดอกไม้ (Rhythm) จงั หวะ คือการจดั วาง เกิดข้ึนไดโ้ ดยการจดั วางดอกไม้ ซ้าํ ในเส้นแนว (Line) รูปทรง (From) สี(Colour) ช่องไฟ (Space) ระหวา่ งดอก หรือการซ้าํ ของแนวโคง้ ในองคป์ ระกอบของดีไซน์ เราจดั ดอกไมใ้ ห้มีจงั หวะไดด้ งั น้ี 2.7.1 จดั ดอกไมโ้ ดยใชว้ สั ดุท่ีมีความคลา้ ยคลึงคลอ้ ยตามกนั เช่น ก่ิงท่ีโคง้ มกั จดั ในแจกนัรูปกลม ท่ีรองแจกนั ควรเป็ นรูปกลมหรือรูปไข่ 2.7.2 จดั ดอกไมใ้ หม้ ีความลดหลนั่ ไล่กนั ในดา้ นขนาดและสี ควรจะจดั ให้ดอกตูมอยดู่ า้ นบน ไล่ลงมาเป็ นดอกแยม้ และดอกบานอยู่ที่ฐาน ระยะห่างท่ีเท่ากนั ของดอกไมแ้ ต่ละดอกในแจกนั ก็ทาํ ใหเ้ กิดจงั หวะการจดั ดอกไมข้ นาดและสีอย่างเดียวกัน และปักดอกไมร้ ะยะไม่เท่ากันจะทาํ ให้ขาดจงั หวะ จึงทาํ ให้ไม่น่าสนใจ 2.7.3 จดั ดอกไมอ้ ยา่ งเรียบง่าย หมายถึงการจดั ดอกไม้ โดยใชด้ อกไมแ้ ละใบจาํ นวนนอ้ ย จะทาํ ให้ผลงานดูเรียบและมีจงั หวะกวา่ การใชด้ อกไมแ้ ละใบจาํ นวนมาก เพราะดอกและใบไมจ้ ะเบียดบงั ทาํ ให้ดูหนาทึบจนมองไมเ่ ห็นความงาม 2.7.4 การจดั ดอกไมใ้ นลกั ษณะการกระจายออกจากศนู ยก์ ลาง จะเห็นไดจ้ ากแบบจดั ดอกไมร้ ูปพดั(Fan Shape) เป็นการเนน้ จงั หวะของช่อดอกท่ีแผก่ ระจายไดร้ ะดบั เท่า ๆ กนั ภาพท่ี 1.23 การจดั ดอกไมแ้ บบรูปพดั (Fan Shape) ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ

59 สําหรับการจดั ให้เห็นจงั หวะการวางดอกคาร่าลิลลี่อยา่ งเด่นชดั เป็ นการวางซ้าํ ช่องวา่ งท่ีไม่เท่ากนั ระหว่างดอกและกลุ่มดอกสองกลุ่ม ดา้ นบนสองกลุ่มกลาง และหน่ึงกลุ่มท่ีฐานดา้ นล่าง เป็ นการจดั วางจงั หวะดอกตามแนวต้งั (Vertical Line) วิธีการจดั ดอกไมโ้ ดยการซ้าํ ของดอก ควรจดั ให้สวยงาม โดยเลือกรูปทรงของดอกไมใ้ นการจดั เพื่อใหเ้ ห็นจงั หวะการใชน้ ้นั ควรจะมีมากกวา่ รูปทรงเดียว เช่น ดอกแหลมกบั ดอกกลม จะทาํ ใหจ้ งั หวะของการจดั เป็นธรรมชาติ สวยงาม น่าดูข้ึน ภาพที่ 1.24 การจดั วางจงั หวะดอกตามแนวต้งั (Vertical Line) ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2.8 การเนน้ ของการจดั ดอกไม้ (Emphasis) การออกแบบที่ดีจะตอ้ งสร้างจุดเด่นข้ึนในที่ใดท่ีหน่ึง ซ่ึงไม่วา่ จะเป็ นศิลปะแขนงใดน้นั จะตอ้ งมีจุดเด่น เพราะเป็ นสิ่งดึงดูดความสนใจของผูช้ ม ดงั น้นั การจะเน้นให้งานน่าสนใจ ซ่ึงอาจจะเป็ นดอกไม้ใบไม้ แจกนั ที่รองแจกนั หรือเคร่ืองประดบั ตกแตง่ จะสร้างจุดเด่นในการจดั ดอกไมไ้ ดด้ งั น้ี 1. การสร้างจุดเด่นโดยใชด้ อกไมท้ ี่มีขนาดใหญก่ วา่ ดอกอ่ืน จะมองเห็นจุดเด่นไดช้ ดั เจน 2. การสร้างจุดเด่นโดยใชด้ อกไมท้ ี่มีลกั ษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากดอกอ่ืน ๆ จะเป็ นสิ่งเร้าความสนใจ และทาํ ใหก้ ารจดั ดอกไมม้ ีจุดเด่น 3. การสร้างจุดเด่น โดยนาํ ดอกไมส้ ีสดใสเพยี งดอกเดียวไปจดั รวมในการจดั แจกนั ดว้ ยดอกไม้สีออ่ นจะทาํ ใหเ้ กิดจุดเด่น 4. ตาํ แหน่งที่เนน้ ใหเ้ กิดจุดเด่น ควรจะอยตู่ รงกลางฐาน

60 ภาพที่ 1.25 ลกั ษณะการเนน้ ของการจดั ดอกไม้ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 3. การเลอื กใช้วสั ดุและอุปกรณ์ในการจัดดอกไม้ 3.1 วสั ดุที่ใชใ้ นการจดั ดอกไม้ 3.1.1 ดอกไม้ 1) ดอกไมท้ ี่มีลกั ษณะเป็ นช่อแนว หรือไลน์ ฟลาวเวอร์ (Line Flowers) คือ ดอกไมช้ ่อหน่ึงมีกา้ นดอกผลิออกมาหลายดอกเรียงข้ึนไปตามแนวความยาวของกา้ นดอก มกั จะมีรูปทรงท่ีดูเป็ นเส้นแนวซ่ึงรวมท้งั แนวตรงและแนวโคง้ เช่น กลาดิโอลสั ซ่อนกลิ่น ลิ้นมงั กร กลว้ ยไมเ้ ป็ นช่อ ไลอาทรีส เดลฟี เนียม อิลิมูรัส เป็ นตน้ นิยมใชเ้ ป็นส่วนกาํ หนดรูปทรง เช่น ความสูง ความกวา้ งของการจดั ดอกไมน้ ้นั ๆ 2) ดอกไมก้ ลีบซ้อน หรือ แมสฟลาวเวอร์ (Mass Flowers) คือ ดอกไมช้ ่อเดียว (หน่ึงกา้ นมีเพียงดอกเดียวเท่าน้นั ) มีกลีบดอกมาก ดูมีน้าํ หนกั เวลากลีบดอกหลุดหรือเสียหายยงั ใชไ้ ด้ เช่น คาร์เนชนั่ กุหลาบ เยอบีร่า เบญจมาศ และดอกไมก้ ลีบซ้อนสามารถนาํ มาจดั วางเพื่อสร้างความสมดุล พร้อมท้งั เมื่อนาํ มาจดั กลุ่มเพื่อเป็นการสร้างรูปทรงที่ใหญ่ข้ึนจะใชเ้ ป็ นจุดหยดุ สายตา หรือจุดเด่น (Focal Point) ของการจดั ดอกไมไ้ ด้ 3) ดอกไมร้ ูปทรงเด่นชดั หรือ ฟอร์ม ฟลาวเวอร์ (Form Flowers) เป็ นดอกไมท้ ี่มีรูปทรงไม่ธรรมดามกั จะมีกลีบนอ้ ย เห็นรูปร่างเด่นชดั (ถา้ เพยี งกลีบดอกเสียเพียงกลีบหน่ึง) ดอกจะใชไ้ ม่ได้ เช่น ลิลลี่ ไอริส ทิวลิปหนา้ ววั เบิร์ด-ออฟ-พาราไดซ์ กลว้ ยไมแ้ คทรียา แดฟโฟดิล พุทธรักษา เป็ นตน้ ส่วนมากเป็ นดอกไมท้ ่ีมีลกั ษณะใหญ่ มกั จะถูกจดั วางใหเ้ ป็ นดอกเด่น หรือจุดหยดุ สายตาของการจดั ดอกไม้ (Arrangement) 4) ดอกไมแ้ ต่งเติม หรือ ฟิ ลเลอร์ ฟลาวเวอร์ (Filler Flower) คือ ดอกไมท้ ี่มีลกั ษณะเป็ นดอกเล็ก ๆประปราย มีลกั ษณะเป็ นกลุ่มเป็ นช่อ เช่น จิบโซฟิ ลลา สแตติส แคสเปี ยร์ สร้อยทอง แพงพวย แอสเตอร์เดซี่

61เป็ นดอกไมท้ ่ีแต่งเติมนิยมใชส้ ําหรับแต่งเติม เพิ่มรายละเอียดในการจดั ดอกไมแ้ ต่หากมากเกินไป ก็จะทาํ ให้ดูรกรุงรัง 3.1.2 ใบไม้ 1) ใบไมล้ กั ษณะยาว (Line Leaf) คือใบไมท้ ่ีมีลกั ษณะเป็ นเส้นหรืออาจจะมีลกั ษณะรวมก็ได้ เช่น ใบเฟิ ร์นมะขาม ใบวา่ นหางจระเข้ ตน้ กวนอิม ใบยคู าลิปตสั ใบไมล้ กั ษณะยาวเหมาะสําหรับการนาํ ไปใชใ้ นการวางแนวการจดั รูปทรงและเป็ นตวั กาํ หนดรูปแบบการจดั ดว้ ย 2) ใบไมล้ กั ษณะเป็ นกลุ่มใบ (Mass Leaf) คือใบไมท้ วั่ ไปท่ีมีลกั ษณะใบเป็ นกระจุกอยทู่ ่ีปลายกา้ น เช่นใบเล็บครุฑ ใบแก้ว ใบกุหลาบ ใบเลเธอร์เฟิ ร์น (เฟิ ร์นหนงั ) ฯลฯ ใบไมท้ ี่เป็ นกลุ่มใบนิยมใช้เติมเพื่อเพิ่มน้าํ หนกั และลดช่องวา่ งระหวา่ งดอกไม้ มกั ใชเ้ ป็นจุดเด่นเพอื่ เนน้ ใหจ้ ุดเด่น ดูเด่นยง่ิ ข้ึน 3) ใบไมร้ ูปทรงเด่นชดั (Form Leaf) คือ ใบไมท้ ่ีมีลกั ษณะแตกต่างจากใบไมท้ ว่ั ไป มีรูปร่างพิเศษ เช่นใบฟิ โลเดนดรอน (Plilodendron) มอนสเตร่า ใบพลูด่าง ใบโกศล ใบบอนสี ใบที่มีรูปทรงเด่นชัดนิยมใช้ประกอบการจดั ทว่ั ไป เพื่อใหเ้ กิดความงามต่าง ๆ และมองดูแลว้ ทาํ ใหส้ บายตา 4) ใบไมล้ กั ษณะใบเล็ก (Filler Leaf) คือใบไมท้ ่ีมีขนาดเล็ก เช่น ใบโปร่งฟ้ า ใบปริก ใบแอสพาราก๊าสเป็ นตน้ ใบไมล้ กั ษณะเล็กมกั ใชแ้ ซมเพ่ือใหก้ ารจดั นุ่มนวลข้ึน เพื่อความหนาแน่นและปกปิ ดความไม่เรียบร้อยตา่ งๆ แต่ไมค่ วรแซมมากไปจะดูรกจนเกินไป 3.1.3 การเลือกซ้ือวสั ดุ ในการเลือกซ้ือดอกไมแ้ ละใบไม้ มีหลกั สังเกตเก่ียวกบั ขนาด อายุ เกสร กลีบดอก ใบและกา้ นไดด้ งั น้ี 1. ควรเลือกซ้ือดอกไมแ้ รกแยม้ ส่วนใหญ่ผปู้ ลูกจะตดั ส่งตลาดในขณะที่เป็ นช่อ ดอกตูมหรือแรกแยม้ ซ่ึงโดยธรรมชาติน้นั ดอกไมท้ ุกชนิดถึงแมจ้ ะตดั จากตน้ แลว้ สามารถยงั เจริญเติบโตต่อไป เช่นดอกกุหลาบ ดอกกลาดิโอลสั ดอกเบญจมาศ ดอกลิลล่ี ดอกทิวลิป ดอกแอสโตมีเรีย ดอกซ่อนกล่ินและดอกคาร์เนชนั่ 2. ควรเลือกซ้ือดอกไม้ที่เกสรยังเป็ นสี เหลืองอ่อนซ่ึงหมายถึงดอกไม้ท่ีเพิ่งบานถา้ เกสรสีเหลืองเขม้ จะหมายถึงดอกไมท้ ่ีบานนานแลว้ และใกลแ้ หง้ เหี่ยว เช่น ดอกเยอบีรา ดอกบวั หลวง ดอกเดซี่ชนิดต่าง ๆ 3. ควรเลือกซ้ือดอกไมท้ ่ีมีใบติดกา้ นสีเขียวสดใส ใบแหง้ หรือใบเหลืองเป็นดอกเก่าคา้ งอยใู่ นร้านซ่ึงสภาพของใบท่ีไมส่ ด ถึงแมจ้ ะพรมน้าํ กไ็ มส่ ามารถปิ ดบงั ได้ เช่น แอสโตรมีเรีย เบญจมาศ 4. ควรเลือกดอกไมท้ ี่มีกา้ นดอกไมม้ ีสีเขียวสดใส แข็งแรง ไม่บอบบาง จนพยุงดอกไมใ้ ห้อยกู่ บั ท่ีไมไ่ ด้ ท้งั ไมม่ ีรอยกระดาํ กระด่าง เป็นคราบสกปรกติดอยู่ โคนกา้ นไมแ่ หง้ และดาํ ช้าํ 5. หลกั ในการเลือกซ้ือดอกกลว้ ยไม้ 5.1 กลีบดอกต้งั ช้ีชนั ไมง่ อมว้ น มีสีสดใส

62 5.2 ดอกในช่อ เรียงเป็นระเบียบไดจ้ งั หวะ มีดอกบานแรกแยม้ และตูมไดส้ ัดส่วนท่ีดีในช่อเดียวกนั 5.3 ปลายช่อและปลายกลีบไมห่ กั ไมแ่ หวง่ ดว้ ยรอยแมลงกดั 5.4 ผวิ กา้ นดอกมีสีเขียวสดใส 5.5 อยา่ ซ้ือดอกไมท้ ี่มีจุดสีน้าํ ตาลท่ีไมใ่ ช่ส่วนของกลีบดอกตามธรรมชาติ 6. หลกั การเลือกซ้ือดอกแกลดิโอลสั 6.1 เลือกกา้ นยาว ช่อต้งั ตรง ปลายใบไมห่ ยกั 6.2 กา้ น ใบ กลีบเล้ียงหุม้ ดอก และดอกตมู มีสีเขียวสดใส 6.3 ดอกท่ีโคนช่อเพง่ิ จะแยม้ กลีบใหม้ องเห็นสีของดอก 7. หลกั การเลือกซ้ือเยอบีร่า 7.1 กลีบดอกใหญ่ และแขง็ แรง กลีบซอ้ นหนาเป็นระเบียบ 7.2 เกสรไมเ่ ป็นรา 7.3 กา้ นดอกอวบน้าํ ต้งั ตรงและแขง็ แรง ปลายกา้ นไม่เน่าเสีย 7.4 ไม่เป็นโรคและมีร่องรอยของแมลงรบกวน 3.1.4 การดูแลรักษาวสั ดุ 1) หลกั การรักษาคุณภาพของดอกไมส้ ด คือการชะลอการร่วงโรย การร่วงโรยน้นั นอกจากเกิดข้ึนตามธรรมชาติตามอายขุ ยั ของดอกไมน้ ้นั ๆ แลว้ ยงั มีตน้ เหตุสาํ คญั คือ 1.1) การขาดน้าํ ดอกไมห้ รือใบไมไ้ ม่ไดแ้ ช่น้าํ ทนั ทีท่ีตดั จากตน้ เพราะไม่สะดวกท่ีจะนาํ ภาชนะใส่น้าํ ใหถ้ ึงตน้ 1.2) การคายน้าํ เน้ือเย่ือของดอกไมอ้ าจขาดน้าํ อย่างรวดเร็ว เม่ือดอกไมค้ ายน้าํ มาก การคายน้าํ ของดอกไมเ้ กิดควบคู่กบั การหายใจไดต้ ลอดเวลา 1.3) กา้ นดอกไมไ้ ม่สามารถดูดน้าํ ได้ เมื่อท่อลาํ เลียงน้าํ ของดอกไมอ้ ุดตนั ท่อลาํ เลียงน้าํ ภายในกา้ นดอกไมก้ ็คลา้ ยกบั หลอดกาแฟเลก็ ๆ ท่ีเรียงตวั กนั อยู่ หากปล่อยท่อไม่เรียบ เช่น ถูกเด็ด หรือทุบ ดอกไมน้ ้นั ก็จะดูดน้าํ ข้ึนมาไม่สะดวก ทอ่ ลาํ เลียงอาจอุดตนั เมื่อมีฟองอากาศเขา้ ไปภายในทอ่ 1.4) ก๊าซเอซิลิน เป็นกา๊ ซชนิดหน่ึง ซ่ึงอาจมาจากการผลิตข้ึนเอง โดยดอกไมท้ ่ีเกิดบาดแผลจากการตดั เด็ด หรือถูกทาํ ใหช้ ้าํ หรือเน่า สารน้ีเป็นแก๊สชนิดเดียวกบั ที่เร่งการสุกของผลไม้ ดงั น้นั เม่ือเก็บดอกไมไ้ วใ้ กลม้ ะม่วง แอ๊ปเปิ้ ล หรือกลว้ ย ซ่ึงผลิตเอซิลิน ในอตั ราสูงมาก เมื่อเริ่มสุกจะทาํ ให้ดอกไมเ้ ห่ียวเฉาเร็ว นอกจากน้นั เอซิลินยงั เกิดข้ึนไดจ้ ากการเผาไหมจ้ ากไอเสียรถยนต์ รวมท้งัเคร่ืองยนตต์ ่าง ๆ 1.5) แบคทีเรีย น้าํ สกปรกเป็นอนั ตรายต่อดอกไม้ ทาํ ให้แบคทีเรียเจริญเติบโต มนั จะเขา้ ไปอยใู่ นก่ิงกา้ นและทาํ ใหก้ ิ่งดูดซึมน้าํ ไดย้ าก

63 1.6) อุณหภูมิ ดอกไม้เม่ือตดั จากต้น และถูกทิ้งอยู่ในที่ร้อน มีแสงไฟส่อง ได้รับความร้อนจดั โดยตรง อากาศร้อนอบอา้ วเกินไป ดอกไมแ้ ละใบไมส้ ูญเสียความช้ืนไปโดยเร็ว 1.7) ลมพดั บริเวณที่วางดอกไม้ มีลมโกรกพดั ผา่ นจะทาํ ใหด้ อกไมเ้ห่ียวเฉาเร็ว2) การเตรียมดอกไมแ้ ละใบไม้ 2.1) การตดั ดอกไม้ กา้ นดอกไมใ้ ห้ตดั เฉียง 45° ถา้ กา้ นอ่อนใหต้ ดั ตรง เวลาที่เหมาะสําหรับการตดั ดอกออกจากตน้ ถา้ อากาศร้อนใหต้ ดั ดอกไม้ ใบไม้ ในตอนใกลค้ ่าํ เพราะถา้ ตอนกลางวนั ความร้อนจากแสงแดดจะทาํ ให้กลีบดอกและใบสูญเสียความช้ืน ทาํ ให้ดอกเหี่ยวเร็ว แต่ถา้ อากาศมืดคร้ึมท้งั วนั จะตดั ดอกไมใ้ นเวลาใดก็ได้ เหตุผลที่ให้ตดั ดอกไมต้ อนค่าํ น้ันก็เพราะตลอดวนั ตน้ ไมไ้ ดแ้ สงแดด ปรุงอาหาร ก็เท่ากบั ว่าตน้ ไมส้ มบรู ณ์เตม็ ที่ในช่วงเวลากลางวนั เมื่อตดั แลว้ ให้นาํ กา้ นดอกไปแช่น้าํ ไวท้ ้งั คืน ดอกไมจ้ ะสด เตรียมที่จะใชจ้ ดั ในตอนเชา้ วนั รุ่งข้ึน 2.2) นาํ ดอกไม้ ใบไมแ้ ช่น้าํ ทนั ทีท่ีตดั ดอกไมจ้ ากตน้ โดยนาํ ถงั ท่ีบรรจุน้าํ ประมาณคร่ึงถงั มาแช่ดอกไม้ใบไมท้ ี่ตดั ออกมาจากตน้ เพื่อใหก้ า้ นดอกมีน้าํ หล่อเล้ียงตลอดเวลา เพราะถา้ หากไม่ไดแ้ ช่กา้ นทนั ที น้าํ ที่หล่อเล้ียงไมส่ ามารถเขา้ ไปในกา้ นเพื่อหล่อเล้ียงกลีบดอกไมไ้ ด้ ถา้ ปฏิบตั ิตามหลกั ขอ้ น้ี ดอกไม้ ใบไมท้ ่ีจะนาํ ไปจดั จะสดและอยไู่ ดน้ าน 2.3) ก่อนจดั ดอกไม้ ให้ตดั ก้านในน้ําทุกคร้ัง และตดั ให้สูงข้ึนจากรอยเดิมคร้ังละประมาณ 2 นิ้ว(หมายความวา่ ไม่ใหต้ ดั ตรงขนาดท่ีตอ้ งการคร้ังเดียวแตจ่ ะตดั หลายๆ คร้ังจนถึงจุดท่ีกะไว)้ 2.4) นาํ กา้ นดอกไมแ้ ช่ในน้าํ อุน่ จดั ประมาณ 2ชว่ั โมงจะทาํ ใหด้ อกไมส้ ดช่ืนข้ึน 2.5) ดอกไม้ ใบไม้ พืชทุกชนิด ควรตดั แต่งให้ดูเรียบร้อย สวยงาม สําหรับใบท่ีขาดแหว่ง กา้ นดอกที่เหี่ยวแห้งควรตดั ทิ้ง และใบท่ีมีขนาดใหญ่เกินไปควรตดั ตกแต่งให้เล็กลง สําหรับใบที่ดกเกินไปในช่อควรตดั ออกบา้ ง เพ่ือใหโ้ ปร่งและมีช่องวา่ ง 2.6) ใบไม้ ตอ้ งลา้ งทาํ ความสะอาดดว้ ยการจุ่มใบ และกา้ นในอ่างน้าํ อุ่น แกวง่ เบา ๆ ใหฝ้ ่ นุ ละอองหรือส่ิงสกปรกหลุดออกไป3) การดูแลรักษาดอกไมก้ ่อนจดั 3.1) เตรียมภาชนะ, น้าํ สาํ หรับแช่ดอกไมใ้ หส้ ะอาด 3.2) การดูแลรักษาดอกไม้ที่เร่ิมเหี่ยว โดยตัดก้านใต้น้ําอุ่น อุณหภูมิ 60° แล้วห่อกระดาษหนงั สือพมิ พแ์ ช่น้าํ เยน็ ใหท้ ว่ มกา้ นสูง เก็บไวใ้ นท่ีมืดและเยน็ หลาย ๆ ชวั่ โมง หรือตลอดท้งั คืน 3.3) ดอกไมท้ ่ีมียาง เช่น ยโ่ี ถ คริสตม์ าส ลนั่ ทม ฯลฯ เป็ นดอกไมท้ ่ีเม่ือตดั กิ่งแลว้ จะมียางสีขาวไหลออกมาตามรอยที่ตดั ควรพยายามบีบให้ยางออกจากกิ่งให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะมากได้ แลว้ ใชไ้ ฟลนเล็กนอ้ ย ที่ปลายกิ่งตรงรอยท่ีตดั หรือจุ่มลงน้าํ ร้อนเทา่ น้นั เพือ่ ป้ องกนั ไมใ่ หค้ วามร้อนกระทบส่วนอ่ืน ๆ ของดอกไม้ 3.4) ดอกไมก้ า้ นกลวง ใหใ้ ชส้ าํ ลีใส่ในกา้ น แลว้ แช่กา้ นในน้าํ ลึกในภาชนะปากแคบทิง้ ไวท้ ้งั คืน 3.5) ด อ ก ไ ม้ ป ร ะ เ ภ ท มี หั ว ใ ต้ ดิ น เ ช่ น ว่ า น ส่ี ทิ ศ ด อ ก ว่ า น เ ศ ร ษ ฐี ทิ ว ลิ ปแดฟโพดิว ไฮยาซิน ไอริส ฯลฯ ดอกไมป้ ระเภทน้ีจะตอ้ งตดั ตรงส่วนกา้ นท่ีเป็ นสีขาวที่อยเู่ หนือแนวพ้ืนดิน

64เพราะไม่เช่นน้ันดอกไมเ้ หล่าน้ีจะดูดน้าํ ไม่ได้ ยางใสๆ ท่ีไหลจากก้านออกจะตอ้ งให้ไหลออกให้หมดในทนั ที เพราะยางใสๆ น้นั จะปิ ดทางเดินของน้าํ ที่จะถูกดูดซึมไปเล้ียงดอกไม้ เมื่อเราแช่ดอกไมป้ ระเภทน้ีไว้ในน้าํ กา้ นดอกไมม้ กั จะโคง้ ทาํ ใหจ้ ดั ยาก และเม่ือใบโคง้ ลงถึงน้าํ จะมว้ นงอไดเ้ ร็วข้ึน และถา้ ตอ้ งการให้กา้ นดอกตรง ควรใชก้ ระดาษหนงั สือพมิ พเ์ ปี ยกๆ ห่อมว้ นหลายๆ ช้นั ต้งั แต่ปลายดอกจนมาถึงกา้ นดอก หรือไม่ก็ใชล้ วดเสียบ เป็นแกนกา้ นดอก ตรงปลายกา้ นดอกใชเ้ ชือกพนั ปลายกา้ น ไมค่ วรพนั แน่น แลว้ นาํ ไปแช่น้าํ ไว้ 3.6) ดอกไม้ก้านแข็ง ไดแ้ ก่ ก้านดอกไม้ประเภทมีแกนหุ้มไส้ของก้าน เช่น คาร์เนชั่น กุหลาบกลว้ ยไมป้ ระเภทหวาย หงอนไก่ ฯลฯ กา้ นดอกไมเ้ หล่าน้ีตอ้ งการเน้ือท่ี ที่จะดูดน้าํ ไปเล้ียงดอกให้มากที่สุดดงั น้นั จึงควรผา่ กา้ นใหส้ ูงประมาณ 1-2 นิ้ว ถา้ กา้ นโตมากกอ็ าจผา่ สี่แลว้ นาํ ไปแช่น้าํ 3.7) ดอกไมก้ า้ นไมเ้ น้ือแขง็ ไดแ้ ก่ เบญจมาศ ตะแบก พุซซ่ีวิลโล กา้ นเชอร่ี กา้ นประเภทท่ีมีแก่นไม้แข็งอยถู่ ดั เปลือกเขา้ ไป ยากแก่การดูดน้าํ ไดม้ ากจึงตอ้ งมีวธิ ีช่วยเพิ่ม บริเวณที่จะสัมผสั น้าํ ใหม้ าก ดว้ ยการปอกเปลือก ที่โคนกา้ นประมาณ 2 นิ้ว ใชม้ ีดผา่ หรือใชฆ้ อ้ นทุบใหก้ ่ิงแตก แลว้ แช่น้าํ ให้ท่วมรอยที่ปอกไว้ ก่อนแช่น้าํ ควรตดั ปลายก่ิงส่วนท่ีทุบออกเลก็ นอ้ ย 3.8) ดอกไมก้ า้ นอ่อนไดแ้ ก่ ซ่อนกล่ิน พทุ ธรักษา ขิงแดง แกลดิโอลสั เป็ นกา้ นดอกประเภทอวบน้าํไมต่ อ้ งดูแลเป็นพิเศษ เพยี งแต่ตดั กา้ นในน้าํ แลว้ แช่ในน้าํ เวลาจดั แจกนั กใ็ ส่น้าํ ในแจกนั เลก็ นอ้ ย 3.9) ดอกไม้ขนาดใหญ่ท่ีมีก้านเล็ก อ่อนและกลวง เช่น ดอกบานช่ืน รักเร่ เยอบีร่า ดาวเรือง เพ่ือป้ องกนั ไม่ใหค้ อดอกพบั อ่อน ควรดามดว้ ยไมเ้ ล็กๆ และลวด 3.10) รักษาความสะอาดของดอกไมใ้ นแจกนั ดว้ ยการใชก้ ระบอกฉีดยา ฉีดน้าํ ไปที่ข้วั ดอกในตอนเชา้ กบั ก่อนนอนตอนกลางคืนและทุกคร้ังท่ีเปล่ียนน้าํ ในแจกนั 3.11) ไม่ควรต้งั ดอกไมไ้ วใ้ กลพ้ ดั ลม เพราะกระแสลมจะพดั พาเอาความชุ่มช้ืนออกจากกลีบดอกไม้จะทาํ ใหด้ อกไมเ้ หี่ยวเร็วข้ึน 3.12) เพ่ือป้ องกนั มิให้กลีบดอกช้นั นอกของดอกไมบ้ างชนิด เช่น ดอกเบญจมาศร่วงเร็วเกินสมควร ใหใ้ ชน้ ้าํ ตาเทียนหยดรอบๆ ข้วั ดอกดา้ นล่าง 3.13) ตดั ใบไม้ ท่ีอยู่ใตร้ ะดบั น้าํ ในภาชนะ ออกเพ่ือป้ องกนั แบคทีเรียแล้วเติมสารป้ องกนั น้าํ เสียเช่น น้าํ ยาลา้ งจาน 3.14) เล็มดอกอ่อนที่อยปู่ ลายช่อออกเสียบา้ ง เพ่ือป้ องกนั การเหี่ยวเฉา 3.15) ในหอ้ งท่ีอากาศอบอา้ ว จะทาํ ใหด้ อกกุหลาบและดอกทิวลิปบานเร็วกวา่ ท่ีตอ้ งการควรชะลอให้บานช้าด้วยการใช้เทปสําหรับดอกไมพ้ นั รอบดอก หรือกระดาษทิชชู่ห่อ หรือถุงพลาสติกให้พอดีกบัขนาดของดอก สวมไวท้ ุกดอกและถอดออกเมื่อตอ้ งการใชง้ าน 3.16) ควรเช็ดใบไมข้ นาดใหญ่ดว้ ยผา้ ชุบน้าํ ยาสําหรับเช็ดใบไม้ ใช้ผา้ หมาดเช็ด จะทาํ ให้ใบไม้สดใสเป็นมนั ดูมีชีวติ ชีวา

65 3.17) ใชน้ ้าํ ร้อนหรือน้าํ ตม้ เดือด ในการแช่กา้ นดอกไม้ เพ่ือฆ่าเช้ือโรคหรือแบคทีเรีย เซลลท์ ่ีปลายกา้ นดอกไมท้ ี่ตายแลว้ ที่ไม่สามารถจะนาํ น้าํ และสารอาหารไปหล่อเล้ียงดอกไมแ้ ละไม่ฟ้ื นข้ึนมาอีก แต่จะปิ ดท่อทางเดินน้าํ ดงั น้นั แมจ้ ะจุ่มน้าํ ร้อนกจ็ ะตอ้ งนาํ ข้ึนมาตดั กา้ นในน้าํ เยน็ อีกคร้ัง 3.18) การเกบ็ รักษาดอกไมใ้ นอุณหภมู ิต่าํ จะช่วยชะลอการทาํ งานของแบคทีเรีย จะช่วยทาํ ให้ดอกไมม้ ีสภาพสดอยนู่ านกวา่ ปกติ โดยทว่ั ไปดอกไมจ้ ะสดอยู่ไดน้ านกวา่ ธรรมดา ในอุณหภูมิระหวา่ ง 40-50 องศาฟาเรนไฮ ถา้ เป็ นดอกไมก้ ลีบบางควรใชอ้ ุณหภูมิระหวา่ ง 40-50 องศาฟาเรนไฮ ดอกไมล้ ม้ ลุก เช่น ดอกผีเส้ือ ดอกลิ้นมงั กร ดอกหงอนไก่ ฯลฯ ควรเก็บในอุณหภูมิ 50 องศาฟาเรนไฮ ส่วนพวกกล้วยไมท้ วั่ ๆ ไปน้นั ควรใช้อุณหภูมิประมาณ 46-47 อาศาฟาเรนไฮ ในขณะท่ีเก็บดอกไมใ้ นตูเ้ ยน็ หรือหอ้ งเยน็ ควรใหก้ า้ นดอกไมแ้ ช่อยใู่ นน้าํ สําหรับในเมืองร้อน การเก็บดอกไมใ้ นอุณหภูมิต่าํ จะมีผลเสียหายอยู่อย่างหน่ึง คือ การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิ ขณะเอาดอกไมอ้ อกจากตเู้ ยน็ หรือห้องเยน็ มากระทบอุณหภูมิท่ีสูงกวา่ อยา่ งกะทนั หนั ภายนอกตูเ้ ยน็อาจทาํ ให้ดอกไมเ้ ห่ียวเฉาได้ ดงั น้นั ควรห่อดว้ ยกระดาษหรือพลาสติกให้มิดชิด อยา่ ใหด้ อกกระทบกระเทือนอุณหภูมิสูงเร็วเกินไป 3.2 อุปกรณ์ที่ใชใ้ นการจดั ดอกไม้ 3.2.1 ที่ยดึ ดอกไม้ ที่ยึดดอกไม้เป็ นอุปกรณ์การจัดดอกไม้ท่ีมีความสําคัญที่สุ ดในการจัดดอกไม้ผจู้ ดั ดอกไมจ้ ะตอ้ งเขา้ ใจการเลือกใช้ท่ียึดดอกไมท้ ่ีจะใชใ้ นการจดั รู้จกั วธิ ีท่ีจะใช้ที่ยึดเป็ นอย่างดี หรือทาํ ที่ยึดดอกไมใ้ ชด้ ว้ ยตวั เองดว้ ยวธิ ีง่ายๆ1) ความสาํ คญั ของท่ียดึ ดอกไม้ 1.1) สามารถบงั คบั ดอกไมใ้ หอ้ ยใู่ นท่ีที่ผจู้ ดั ตอ้ งการ 1.2) เวลาเคล่ือนยา้ ยดอกไมท้ ี่จดั แลว้ ดอกไมจ้ ะไม่เคล่ือนที่ รูปทรงจะคงเดิมที่จดั ไว้ 1.3) ช่วยใหก้ ารปักดอกไมส้ ะดวกและรวดเร็ว 1.4) ที่ยดึ ดอกไมท้ าํ ใหภ้ าชนะท่ีจดั มีน้าํ หนกั มากข้ึนและสามารถรับน้าํ หนกั ดอกไมไ้ วไ้ ด้ ในกรณีท่ีภาชนะเบา2) ประเภทของท่ียดึ ดอกไม้ 2.1) ตะปแู ผง (Pin Holders) ลกั ษณะรูปร่างของตะปูแผง มีลักษณะเป็ นตะก่ัวยึดตะปูทองเหลืองที่วางชิดกนั หันปลายแหลมข้ึนขา้ งบนมีหลายขนาดหลายรูปร่าง เช่น กลม ส่ีเหลี่ยมผืนผา้ ส่ีเหล่ียมจตั ุรัส คร่ึงวงกลม ตะปูแผงจาํ เป็ นสําหรับภาชนะกน้ ต้ืนและปากกวา้ ง เหมาะสาํ หรับจดั ดอกไมแ้ บบตะวนั ออก ที่ใชด้ อกไม้ ใบไมจ้ าํ นวนนอ้ ย 2.2) ที่ยดึ แบบตาขา่ ยกรงไก่ (Chicken ware) ลกั ษณะรูปร่างของตาข่ายกรงไก่ มีลกั ษณะเป็ นตาข่ายเป็ นช่องหกเหลี่ยมมีหลายขนาด ให้เลือกใชง้ านท้งั ขนาดตาเล็กประมาณ ½ นิ้ว ไปจนถึงขนาดใหญ่ประมาณ 2 นิ้ว มีท้งั ตาข่ายท่ีเป็ นลวดและพลาสติก ใช้จดั ดอกไมง้ ่ายกวา่ ที่ยดึ ดอกไมแ้ บบตะปูแผง

66 2.3) ฟลอรัลโฟม (Floral Foam) ลกั ษณะรูปร่างของฟลอรัลโฟม เป็ นฟองน้าํ วิทยาศาสตร์ มีช่ือทางการคา้ ว่า โอเอซีส (Oasis) หากใช้สําหรับจดั ดอกไมส้ ด แต่ถ้าเป็ นชนิดที่จดั ดอกไมแ้ ห้งหรือดอกไมป้ ระดิษฐ์ เรียกว่า ดรายโฟม (Dry Foam)หรือ ซาฮาร่า ฟลอรัลโฟมมีลกั ษณะเป็ นกอ้ นมีรูพรุนเล็กๆ คลา้ ยฟองน้าํ ขณะแหง้ บิดดูจะเป็ นผุยผง มีสีเขียวขนาดและรูปร่างมีหลายแบบ เช่น กอ้ นส่ีเหลี่ยม รูปทรงกลม รูปกรวยแหลม รูปวงกลม ฯลฯ 2.4) ผกั ตบชวา ลกั ษณะของผกั ตบชวา เป็ นวชั พืชน้าํ มีอยมู่ ากมายทว่ั ไปในทอ้ งถ่ินท่ีมีแหล่งน้าํ ลาํ ตน้ นาํ มาใชท้ าํ ที่ยึดได้ เพราะนิ่มอุม้ น้าํ ไดด้ ี3.2.2 ภาชนะสาํ หรับจดั ดอกไม้ 1) ความหมายของภาชนะที่ใชจ้ ดั ดอกไม้ ภาชนะ หมายถึง ที่รองรับปลายกา้ นดอกไมใ้ ส่น้าํ ได้ เช่น แจกนั แกว้ มีกา้ น ขวด กระป๋ อง ตะกร้า เชิงเทียน จานผลไม้ โถ อ่าง เครื่องชามถว้ ย เป็นตน้2) ประเภทของภาชนะจดั ดอกไม้ 2.1) เครื่องโลหะ เครื่องใชใ้ นบา้ นที่ทาํ ดว้ ยโลหะ มีมากมายหลายชนิด ท้งั โลหะมีค่าและโลหะราคาต่าํเช่น เคร่ืองทอง เคร่ืองเงิน เคร่ืองทองแดง นาค เครื่องถม ทองสัมฤทธ์ิ เหล็กไร้รสนิยม อะลูมิเนียม โลหะต่างๆนอกจากทาํ เครื่องใชใ้ นบา้ นยงั สามารถนาํ มาใชเ้ ป็นภาชนะจดั ดอกไมไ้ ด้ เช่น เชิงเทียน กระถางธูป หมอ้ น้าํ มนต์เหยอื ก โถ กาน้าํ กระป๋ อง พาน ขนั โตก ฯลฯ 2.2) เคร่ืองป้ันดินเผา 2.3) เคร่ืองแกว้ เครื่องแกว้ มีหลากหลายชนิด อาจเป็ นแกว้ ทนไฟและไม่ทนความร้อน รูปต่างๆ ท้งัโปรงแสงและทึบแสง เครื่องแกว้ เจียระไน มีลวดลายสวยงามจะมีประกายจบั แสงไฟในยามค่าํ คืน ใหบ้ รรยากาศหรูหรา เช่น ชามแกว้ แกว้ มีกา้ น 2.4) เคร่ืองจกั สาน 2.5) ผกั และผลไม้ การเลือกใชผ้ กั และผลไมเ้ ป็ นที่ปักดอกไม้ ควรดูขนาดและรูปทรงใหเ้ หมาะสม ผกัท่ีใชไ้ ดด้ ีไดแ้ ก่ น้าํ เตา้ ฝักเขียว ฝักทอง มะละกอ ฯลฯ ผลไม้ ไดแ้ ก่ แตงโม มะพร้าว เป็นตน้ 2.6) พลาสติก ภาชนะพลาสติกมีมากมาย เป็ นที่นิยมใช้เพราะเป็ นภาชนะที่มีราคาถูก ถา้ นาํ ภาชนะพลาสติกมาทาํ เป็ นท่ีจดั ดอกไม้ ผจู้ ดั ตอ้ งพิจารณารูปแบบและสีสัน หรือ ภาชนะพลาสติกท่ีออกแบบมาเพ่ือจดัดอกไมโ้ ดยเฉพาะ ภาชนะพวกน้ีจะมีน้าํ หนกั เบา มีท่ียดึ ฟลอรัลโฟมใหอ้ ยกู่ บั ท่ีดว้ ย3) หลกั การเลือกใชภ้ าชนะสาํ หรับจดั ดอกไม้ 3.1) ภาชนะท่ีใชจ้ ดั ดอกไมต้ อ้ งมีขนาดที่เหมาะสมที่สุดกบั การจดั ดอกไม้ 3.2) ภาชนะท่ีใช้จดั ดอกไมจ้ ะตอ้ งมีสัดส่วนท่ีมนั่ คง ไม่ล้มง่าย แข็งแรงทนทาน มีฐานรองรับท่ีมน่ั คง 3.3) รูปทรงของภาชนะท่ีใชจ้ ดั ดอกไมม้ ีรูปทรง

674) การเลือกใช้ภาชนะให้เหมาะสมกับส่ิงแวดล้อม ภาชนะท่ีใช้จัดดอกไมจ้ ะตอ้ งมีความกลมกลืนกับส่ิงแวดลอ้ ม 4.1) ภาชนะท่ีใชจ้ ดั ดอกไมใ้ นบรรยากาศที่เป็นพธิ ีการ ไดแ้ ก่ ภาชนะทองเหลือง 4.2) ภาชนะที่ใชจ้ ดั ดอกไมใ้ นลกั ษณะบรรยากาศลาํ ลองแสดงความยนิ ดี ไดแ้ ก่ ภาชนะเซรามิค 4.3) ภาชนะที่ใช้จดั ดอกไมใ้ นลกั ษณะบรรยากาศธรรมชาติชนบท ได้แก่ ภาชนะประเภทไมไ้ ผ่หวายเป็ นตน้ 4.4) ภาชนะท่ีใชจ้ ดั ดอกไม้ ในบรรยากาศท่ีหรูหรา สดใส ไดแ้ ก่ ภาชนะเคร่ืองแกว้ เจียระไน เป็นตน้5) การเลือกสีของภาชนะที่ใชจ้ ดั ดอกไม้ สีของภาชนะที่นาํ มาใชจ้ ดั ดอกไม้ ตอ้ งเป็ นสีที่ใหค้ วามรู้สึกกลมกลืนกบั ดอกไม้ ภาชนะสีดาํ สีขาว หรือสีเขียว สามารถหาดอกไมจ้ ดั ไดง้ ่าย 5.1) สีดาํ เป็ นสีท่ีไม่ดึงดูดความสนใจ เพราะฉะน้นั จะไม่ลดความสวยงามของดอกไม้ ที่นาํ มาจดั สีขาว เป็นสีที่ผสมกบั สีอ่ืนๆ ไดท้ ุกสี สามารถจดั กบั ภาชนะสีขาวได้ 5.2) สีเทา เป็นสีผสมระหวา่ งสีขาวกบั สีดาํ ซ่ึงเป็ นสีกลางๆ และเป็ นสีไม่ดึงดูดความสนใจจึงไม่ทาํใหค้ วามสวยงามของดอกไมล้ ดลง 5.3) สีเขียว เป็นสีกลางๆ ดอกไมท้ ุกสีสามารถนาํ มาจดั ในภาชนะไดอ้ ยา่ งดี เพราะก่ิงกา้ นดอกไมเ้ กือบทุกชนิดจะเป็นสีเขียว แจกนั สีเขียว หมน่ เช่น สีเขียวที่มีสีแดงผสมจะช่วยลดโทนของสีลง ถา้ ผจู้ ดั เลือกสีของภาชนะกบั สีดอกไมต้ รงขา้ มกนั ตามวงจรสี เช่น ดอกไมส้ ีส้มกบั ภาชนะสีน้าํ เงิน หรือจดั ดอกไมส้ ีแดง ลงในภาชนะสีเขียวแทๆ้ (Pure) ลกั ษณะภาชนะกบั ดอกไมท้ ่ีใชจ้ ดั จะมองดูท้งัสองแยกกนั ถา้ ตอ้ งการให้ดอกไมท้ ่ีจดั มองดูใหญ่ข้ึน ควรใช้ภาชนะสีเดียวกบั ดอกไม้ สรุปว่าการเลือกใช้สีภาชนะในการจดั ดอกไม้ ควรเลือกสีกลางๆ สีหมน่ ดีกวา่ ภาชนะสีสดใส6) การเลือกพ้นื ผวิ ของภาชนะที่ใชจ้ ดั ดอกไม้ พ้ืนผิว (Texture) ของภาชนะที่ใช้จดั ดอกไม้ มีลกั ษณะต่างๆ กนั มีลกั ษณะตดั กนั หรือมีลกั ษณะที่ทาํให้เกิดความรู้สึกร่วมกนั เช่น ถา้ จดั ดอกไมท้ ่ีมีรูปลกั ษณะ กลีบเรียบใบไมพ้ ้ืนผิวเรียบๆ ภาชนะที่ใช้มีพ้ืนผิวเรียบเกล้ียง จะทาํ ให้ดอกไมม้ ีลกั ษณะกลมกลืนกบั ภาชนะมองดูใหญ่ข้ึน ถา้ เลือกใชภ้ าชนะที่มีพ้ืนผวิ แตกต่างกบั ดอกไม้ ใบไม้ ก็จะทาํ ให้ดอกไมท้ ี่จดั ดูน่าสนใจและทาํ ให้ความรู้สึกกลมกลืมได้ เช่นเดียวกนั ข้ึนอยู่กบัวธิ ีการจดั7) การเลือกลกั ษณะรูปแบบของภาชนะจดั ดอกไม้ 7.1) เลือกภาชนะที่ใชไ้ ดห้ ลายโอกาส อาจใชเ้ ป็ นคร้ังคราวหรือประจาํ 7.2) เลือกภาชนะที่ปากกวา้ งพอท่ีจะจดั ดอกไมไ้ ดใ้ นจาํ นวนมาก 7.3) เลือกภาชนะที่ดูแลรักษาทาํ ความสะอาดง่าย 7.4) เลือกภาชนะที่ใส่น้าํ ไดม้ ากพอที่จะเล้ียงดอกไมไ้ ด้ 7.5) เลือกภาชนะท่ีแบบเรียบ เกล้ียง ไมม่ ีลวดลายมากมาย สบั สน เลอะเทอะ

68 3.3 เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการจดั ดอกไม้ 3.3.1 เคร่ืองมือตดั กา้ นดอกไม้ 1) กรรไกร 1.1) กรรไกรตดั กิ่งไม้ สําหรับตดั กิ่งไมเ้ น้ือแข็งใบมีดหนามีน้าํ หนกั พอดีเหมาะมือและมี ความคม หาซ้ือไดจ้ ากร้านขายอุปกรณ์เพาะปลูกเป็นอุปกรณ์ซ่ึงผจู้ ดั ดอกไมค้ วรหาไวใ้ ชป้ ระจาํ ตวั 1.2) กรรไกรตดั กา้ นดอกไมใ้ บไม้ 1.3) กรรไกรตดั ริบบิ้น ตดั กระดาษ หรือผา้ 2) มีดตดั กา้ นดอกไม้ มีลกั ษณะเป็ นมีดพบั เล็กๆ ซ่ึงมีความคมเป็ นพิเศษใชส้ ําหรับตดั ก่ิงหรือกา้ นดอกไมร้ อยตดั จะไม่ซ้าํ ไม่ทาํ ใหเ้ ยอื่ ของกิ่งกา้ นเสียไป นอกจากน้นั ยงั ใชต้ ดั หนั่ วสั ดุต่างๆ เช่น ฟลอรัลโฟม เป็ นตน้ 3) คีมสาํ หรับจดั ดอกไม้ 3.1) คีมปากยาว ใช้สําหรับอาํ นวยความสะดวกในการใชล้ วดในชนิดต่าง ๆ ใชด้ ดั หรืองอ ลวด ใหโ้ คง้ งอตามตอ้ งการ หรืออาจใชจ้ บั กา้ นดอกไมป้ ักในจดั ท่ีมือไม่สามารถสอดเขา้ ไปได้ 3.2) คีมปลิดหนามและใบ ใชป้ ลิดหนามกุหลาบไดส้ ะดวกรวดเร็ว3.3.2 ภาชนะใส่น้าํ แช่ดอกไม้ พน่ น้าํ ฯลฯ 1) ถงั แช่น้าํ ควรมีถงั หลายๆ ขนาดเพื่อไวแ้ ช่ตามขนาดส้ันยาวของกา้ นดอกไม้ เช่นถงั เต้ีย ถงั กลางและถงั ใหญ่ ตามลาํ ดบั 2) กาน้าํ พวยยาว ใชส้ าํ หรับเติมน้าํ ลงในภาชนะจดั ดอกไม้ เพือ่ ไม่ใหน้ ้าํ เลอะเทอะ 3) กระบอกฉีดน้าํ ใชพ้ น่ น้าํ ให้เป็ นละอองฝอย ควรให้ปากกระบอกห่างจากดอกไม้ ประมาณ 8-10 นิ้วดอกไมจ้ ะไมช่ ้าํ เพราะการพน่ น้าํ 4) กะละมงั ใส่น้าํ ใส่น้าํ เพ่ือตดั กา้ นใตน้ ้าํ ควรใชข้ นาดเล็กจะไม่เปลืองเน้ือที่3.3.3 ลวดที่ใชก้ บั ดอกไม้ 1) ไมพ้ นั ลวด (Wire Pick) ใชส้ าํ หรับพนั กา้ นดอกไมแ้ ละใบไมท้ ี่มีผวิ เรียบล่ืน ให้ยดึ แน่นกบั ฟลอรัลโฟม 2) ลวดฟลอยด์ (Twist-em) เป็นแถบกระดาษโลหะฟลอยดท์ ี่มีแกนเป็นเป็นลวด มีสีต่าง ๆ 3) ลวดเบอร์ 18 ถึงเบอร์ 30 พนั กา้ นสําเร็จสีเขียว ขาว ข้ึนอยกู่ บั การใชง้ าน เช่น ลวดใชส้ ําหรับทาํดอกไมต้ ิดเส้ือ ลวดมดั โบว์ หรือลวดใชด้ ามกา้ นดอกไม้3.3.4 เทป 1) ฟลอรัลเทป ดอกไมท้ ่ีดามดว้ ยลวดตอ้ งใชฟ้ ลอรัลเทป พนั ปิ ดทบั ลวด สีฟลอรัลเทปกลมกลืนกบักา้ นดอกไม้ 2) เทปกาวใส (สก๊อตเทป) ใชช้ ่วยติดกระดาษห่อช่อบเู ก้ 3) เทปกาวกนั น้าํ ช่วยยดึ ฟลอรัลโฟมกบั ภาชนะ

693.3.5 กาว 1) ปื นกาว (Glue gum) เป็นกาวชนิดแท่งใส่ในเครื่องละลายโดยใชค้ วามร้อน 2) กาวตุ๋น (Hot Melt Glue) กาวกระทะมีคุณสมบตั ิไม่หลุดเม่ือโดนน้าํ ใชต้ ิดกลีบดอกไมส้ ดและยดึ ฟลอรัลโฟมในการจดั ดอกไมบ้ นถาดที่มีน้าํ ทาํ ใหล้ ะลายโดยใชภ้ าชนะตุ๋นหรือต้งั บนไฟ 3) กาวหลอดสาํ หรับติดดอกไม้ (Floral Adhesive) กาวหลอดใชต้ ิดกลีบดอกไม้ ใบไม้3.3.6 หลอดน้าํ และวสั ดุตอ่ น้าํ 1) หลอดต่อน้าํ (Water Tube) หลอดน้าํ สําหรับปักกา้ นดอกไมท้ ่ีไม่ไดป้ ักลงในฟลอรัลโฟมโดยตรง 2) ไมเ้ หลากลมปลายแหลม ใชไ้ มไ้ ผ่เหลากลม สาํ หรับดามกา้ นดอกไม้ ใบไมต้ ่อกบั หลอดน้าํ เพ่ิมความยาวของกา้ นดอกไม้ 3) ถุงพลาสติกขนาดต่างๆ ตามความเหมาะสม ในการห่อช่อบูเก้ การใช้สําลีชุบน้าํ พนั ปลายกา้ นเพอ่ื เล้ียงน้าํ ช่อดอกไม้ ใชถ้ ุงพลาสติกสวมก่อนท่ีจะห่อกระดาษตอ่ ไป 4) ยางรัด ใชส้ าํ หรับรัดกา้ นดอกไมก้ บั ไม้3.3.7 พินฟลอ็ ก (Pin Grog) ใชย้ ดึ ฟลอรัลโฟม ติดกบั ฐานภาชนะ โดยใชเ้ ทปกนั น้าํ3.3.8 เขม็ กลดั ช่อดอกไม้ (Corsage Pin) เขม็ กลดั ดอกไมใ้ ชก้ ลดั บนเส้ือ3.3.9 อาหารเสริม (Flower Food) อาหารเสริมสาํ หรับดอกไม้ 1) สารเคมีป้ องกนั การเน่าเสียของกา้ นใตน้ ้าํ นาํ ปลายกา้ นดอกไมม้ าจุ่มก่อนนาํ ไปแช่น้าํ 2) สารเคมีที่เป็นอาหารของดอกไม้ ใชผ้ สมในน้าํ ที่แช่ดอกไม้ 3) สารเคมีท่ีเป็นอาหารของดอกไม้ ใชผ้ สมในน้าํ ฉีดพน่ กลีบดอกไม้ จะรักษาดอกไมใ้ หอ้ ยนู่ านกวา่ปกติ3.4 เคร่ืองประดบั ตกแต่ง เคร่ืองประดับตกแต่งสําหรับการจดั ดอกไม้ในภาชนะ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการจัดดอกไมใ้ นบางโอกาสควรหาเครื่องประดบั ตกแต่ง ไดแ้ ก่ นกประดิษฐ์ ใช้ประกอบการจดั ดอกไมใ้ นแนวธรรมชาติ มอส (Moss) สําหรับตกแต่งฐานภาชนะและปกปิ ดฟอลรัลโฟม ก่ิงไม้ ตอไม้ ผีเส้ือ แมลงประดิษฐ์เห็ดประดิษฐ์ เปลือกหอย ตุ๊กตา สัตวน์ ้าํ เช่น ปลา ช่วยเสริมบรรยากาศของชีวิตทะเล หิน กรวด จะสร้างบ ร ร ย า ก า ศ ข อ ง พื ช น้ํ า ต า ม ธ ร ร ม ช า ติ รู ป ป้ั น ต่ า ง ๆ รู ป แ ก ะ ส ลั ก ห รื อ รู ป บุ ค ค ล ใ นเทพนิยาย ตุก๊ ตาคน ตุก๊ ตาสตั วน์ ้าํ นาํ มาประกอบการจดั ช่วยเพิ่มบรรยากาศใหม้ ีความหมายข้ึน

701.การเตรียมการก่อนการจัดดอกไม้ 1.1 ตดั ฟลอรัลโฟมขนาด ½ กอ้ น ภาพที่ 1.1 การตดั ฟลอรัลโฟม ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.2 แช่ฟลอรัลโฟมในน้าํ โดยให้น้าํ ค่อยๆ ซึมเขา้ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จนกระท้งัฟลอรัลโฟมจมลงในน้าํ หา้ มกดจมลงในน้าํ หรือหา้ มสาดน้าํ 12 ภาพท่ี 1.2 การแช่ฟลอรัลโฟม ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.3 ขยากระดาษหนงั สือพิมพ์แลว้ ใส่ลงไปทีก่ น้ แจกนั เพื่อรองฟลอรัลโฟม ภาพท่ี 1.3 การใสก่ ระดาษหนังสอื พมิ พ์กน้ ภาชนะ ภาพโดย : สนุ ิสา ป่ินเจริญ

71 1.4 วางฟลอรลั โฟมลงในภาชนะให้สูงกวา่ ปากภาชนะ 1.5 นิ้ว ภาพท่ี 1.4 การวางฟลอรลั โฟมบนภาชนะ ภาพโดย : สนุ สิ า ปิน่ เจรญิ 1.5 แบ่งคร่ึงฟลอรัลโฟมท้ัง 4 ด้าน กาหนดให้เป็นเส้น A เส้น B ซ่ึงจุดท่ีเส้น A ตัดกับเส้น Bคอื จุด FP (Focus Point) โดยใช้ปลายกรรไกรวาดเสน้ บนฟลอรัลโฟม ภาพท่ี 1.5 การแบ่งเส้น A และเสน้ B บนฟลอรลั โฟม ภาพโดย : สุนิสา ปนิ่ เจรญิ

72การจัดดอกไม้รูปแบบต่างๆ ภาพที่ 2.1 การจดั ดอกไมท้ รงสามเหลี่ยมดา้ นไมเ่ ท่า ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ1. งานปักดอกไม้ทรงสามเหลยี่ มด้านไม่เท่า 1.1 ปักดอกที่ 1 ที่เส้น B ห่างจากจุด FP ไปดา้ นหลงั 1/2” ใหม้ ีความสูงตามลกั ษณะของรูปทรงสามเหล่ียม 12 1 ภาพที่ 2.2 การปักดอกท่ี 1 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 1.2 ปักดอกที่ 2 ที่เส้น A ทาํ มุมยกข้ึน 30o เป็ นเส้นกาํ หนดความกวา้ งทางดา้ นซ้ายของรูปทรง โดยตดั กา้ นใหม้ ีความยาว 1/3 ของความยาวของดอกท่ี 1

73 12 2 ภาพท่ี 1.3 การตดั กา้ นดอกและการปักดอกท่ี 2 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.3 ปักดอกท่ี 3 ที่เส้น A ทาํ มุมต่าํ กวา่ แนวราบ 30o เป็ นเส้นกาํ หนดความกวา้ งออกทางดา้ นขวา ตดั กา้ นใหม้ ีความยาว 2/3 ของความยาวของดอกท่ี 1 12 3 ภาพท่ี 1.4 การตดั กา้ นดอกและการปักดอกที่ 3 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.4 ปักดอกที่ 4 ท่ีเส้น B ขนานกบั แนวราบ กาํ หนดความหนาดา้ นหนา้ โดยตดั ให้กา้ นมีความยาว 1/3 ของความยาวของดอกที่ 1

74 12 4 ภาพท่ี 1.5 การตดั กา้ นดอกและปักดอกท่ี 4 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.5 ปักดอกที่ 5 และ 6 ให้อยใู่ นระหวา่ งดอกที่ 1 กบั 3 แบ่งช่องไฟให้เกือบเท่ากนั ปักบริเวณเส้น A 12 5 6 ภาพที่ 1.6 การปักดอกท่ี 5 และ 6 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.6 ปักดอกท่ี 7 ใหอ้ ยรู่ ะหวา่ งดอกที่ 1 กบั 2 แบง่ ช่องไฟใหใ้ กลเ้ คียงกนั ปักท่ีเส้น A

75 7 ภาพท่ี 1.7 การปักดอกท่ี 7 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 1.7 ปักดอกท่ี 8 ใหอ้ ยรู่ ะหวา่ งดอกที่ 4 กบั 3 แบ่งช่องไฟใหเ้ กือบเทา่ กนั 8 ภาพท่ี 1.8 การปักดอกท่ี 8 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 1.8 ปักดอกที่ 9-10-11-12 ปักวางตามแนวระดบั จากบนสู่ล่างจุดปักอยใู่ กลก้ บั FB หรืออยู่บริเวณโฟกสั แอเรีย พยายามให้จงั หวะของดอกไม่เท่ากนั จะดูเป็ นธรรมชาติกวา่ การวางช่องดอกเท่ากนั

76 9 ภาพที่ 1.9 การปักดอกท่ี 9ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 1 0ภาพที่ 1.10 การปักดอกที่ 10ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ

77 11 ภาพที่ 1.11 การปักดอกที่ 11 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 12 ภาพท่ี 1.12 การปักดอกท่ี 12 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 4.9 ปักใบเฟิ ร์นตามแนวเส้นดอกเยอบีร่า ให้ใบเฟิ ร์นอยใู่ ตด้ อก เสริมช่องไฟให้สมบูรณ์และปิ ดบงั ฟลอรัลโฟมใหเ้ รียบร้อย

78 ภาพที่ 1.13 การปักใบเฟิ ร์น ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ4.2 แตง่ เติมดว้ ยดอกยบิ โซ เพ่มิ ความอ่อนหวาน ภาพที่ 1.14 การปักดอกยบิ โซ ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ

79 ภาพที่ 2.1 การจดั ดอกไมร้ ูปทรงแนวนอน (Horizontal) ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ2. งานปักดอกไม้รูปทรงแนวนอน (Horizontal) 2.1 ปักกลาดิโอลสั 5 ช่อ ดงั น้ี ช่อที่ 1 ยาวประมาณ 50 ซม. ช่อท่ี 2 ยาวประมาณ 5/6 ของช่อท่ี 1 ช่อที่ 3 ยาวประมาณ ¾ ของช่อที่ 1 ช่อท่ี 4 ยาวประมาณ ½ ของช่อที่ 1 และช่อท่ี 5 ยาวประมาณ 1/3 ของช่อท่ี 1 โดยปักกลาดิโอลสั ช่อท่ี 1-5 ให้ปักตามแนวนอนขนานกบั พ้ืนบริเวณแนวเส้น A ดา้ นขา้ งซา้ ยและปักเป็นกลุ่มปลายเอียงบา้ งเล็กนอ้ ยเป็นบางช่อ 12 34

80 56 ภาพที่ 2.2 การปักดอกท่ี 1-2-3-4-5 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2.2 ปักดอกลิ้นมงั กร 8 ช่อ โดยแบ่งดอกลิ้นมงั กรเป็ น 2 กลุ่ม กลุ่มท่ี 1 จาํ นวน 5 ดอก และกลุ่มที่ 2 จาํ นวน 3 ดอก 1) กลุ่มท่ี 1 ปักในแนวเส้น A ขนานกบั พ้นื ตรงขา้ มกบั กลุ่มดอกกลาดิโอลสั ความยาวของกา้ นดอกลิ้นมงั กรมีขนาดเทา่ กบั ดอกกลาดิโอลสั ทุกช่อ 12 34 5 ภาพที่ 2.3 การปักดอกลิ้นมงั กรกลุ่มท่ี 1 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ

81 2) กลุ่มท่ี 2 ปักทางดา้ นขวาตามแนวเส้น B มาทางดา้ นหนา้ เล็กนอ้ ยจาํ นวน 3 ดอกความยาวประมาณ 20-25 ซม. เพ่อื เป็นบริเวณจุดศูนยก์ ลางของการจดั โดยใชด้ อกลิ้นมงั กรจาํ นวน 3ดอก ซ่ึงดอกที่ 1 ปักตรงเส้นดา้ นหนา้ เย้ืองไปทางดอกกลาดิโอลสั ส่วนดอกที่ 2 ปักตรงเส้น Bเอียงลงมาประมาณ 45o ดา้ นหนา้ ของงานเฉียงดอกไปแนวเดียวกบั ดอกที่ 1 ทางซา้ ยและดอกท่ี 3ปักตรงเส้น B สูงกวา่ 2 ดอกแรก ประมาณ 50o ดา้ นหนา้ ของงานเฉียงดอกไปทางเดียวกนั 12 3 ภาพที่ 2.4 การปักดอกลิ้นมงั กรกลุ่มที่ 2 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 2.3 ปักใบเฟิ ร์นขา้ หลวง จาํ นวน 8 ใบ โดยปักใบเฟิ ร์นขา้ หลวงเป็ นกลุ่มบริเวณเส้น A แนวเดียวกบั ดอกลิ้นมงั กร กลุ่ม 1 จาํ นวน 5 ใบ ปักบริเวณเส้น B ดา้ นขา้ งดา้ นขวา ตรงขา้ มกบั กลุ่มดอกกลาดิโอลสั โดยปักใหเ้ ป็นแนวเส้นยอ้ ยลงพ้ืนและขนานกบั พ้นื บา้ งเป็นบางกา้ น จาํ นวน 3 ใบ 12 ภาพท่ี 2.5 การปักใบเฟิ ร์นขา้ หลวง ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ

82 2.4 ปักใบเฟิ ร์นหนงั จาํ นวน 10 ใบ โดยปักตามแนวกลุ่มดอกลาดิโอลสั และรอบภาชนะของงานยอ้ ยลงเลก็ นอ้ ย ใบยาวควรปักดา้ นแนวเส้น A ใบส้ันควรปักดา้ นแนวส้ัน B 12 34 ภาพท่ี 2.6 การปักใบเฟิ ร์นหนงั ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2.5 ปักดอกกุหลาบ ประมาณ 20 ดอก การปักดอกกุหลาบเร่ิมตน้ ปัก โดยแบ่งกลุ่มการปักดงั น้ี กลุ่มที่ 1 บริเวณดา้ นหนา้ ซา้ ย กลุ่มท่ี 2 บริเวณดา้ นหนา้ ขวา กลุ่มที่ 3 บริเวณดา้ นบนและกลุ่มที่ 4 บริเวณดา้ นหลงั กาํ หนดความยาวของกุหลาบให้อยใู่ นรูปทรงของดอกไมท้ ่ีปักไปแลว้ ไดแ้ ก่ดอกกลาดิโอลสั และลิ้นมงั กร ความยาวของดอกกุหลาบแต่ละดอกไม่ควรเท่ากนั และการปักดอกกหุ ลาบตอ้ งเวน้ ช่องไฟใหเ้ หมาะสม อยา่ งปักติดกนั จนแน่น หรือห่างกนั จนไม่น่าดู 12 ภาพที่ 2.7 การปักดอกกุหลาบ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ

83 2.6 ปักแซมใบเฟิ ร์น ส่วนที่วา่ งหรือมองเห็นฟลอรัลโฟม หรือตาํ แหน่งวา่ ง ภาพที่ 2.8 การปักแซมใบเฟิ ร์น ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2.7 ปักดอกหนา้ ววั 3 ดอก เรียงจากดา้ นขวามายงั จุด FP12 ภาพที่ 2.9 การปักดอกหนา้ ววั ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 2.8 ปักดอกยบิ โซ เพอ่ื เพิ่มความน่ารัก ควรปักเป็นกลุ่มดอกยิบโซ โดยดูวา่ ณ จุดใดท่ียงั วา่ งและเรียบเกินไป ไม่ควรแซมดอกยบิ โซใหร้ กรุงรัง ภาพท่ี 2.10 การปักดอกยบิ โซ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ

84 ภาพที่ 3.1 การจดั ดอกไมร้ ูปทรงสูง (Vertical) ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ3. งานปักดอกไม้ทรงสูง 3.1 ปักดอกสูงสุดก่อน โดยใชด้ อกกา้ มปูปักท่ีจุด FP ความยาวของกา้ นประมาณ 2 ½ เท่าของความสูงของแจกนั หรือจะสูงกวา่ กไ็ ด้ ภาพท่ี 3.2 การปักดอกกา้ มปูดอกสูง ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 3.2 ปักดอกกา้ มปูดอกท่ี 2 ความยาวของกา้ นประมาณ ¾ ของกา้ นที่ 1

85 ภาพที่ 3.3 การปักดอกกา้ มปูดอกที่ 2 ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ3.3 ปักดอกหนา้ ววั ดอกที่ 1 ท่ีฐานฟลอรัลโฟมตามแนวปักอยทู่ ่ีเส้น B ปักดอกเอียงข้ึน ภาพท่ี 3.4 การปักดอกหนา้ ววั ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ3.4 ปักดอกหนา้ ววั ดอกท่ี 2 เหนือดอกที่ 1 เวน้ ช่องไฟประมาณ 2”

86 ภาพท่ี 3.5 การปักดอกหนา้ ววั ดอกท่ี 2 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 3.5 ปักกิ่งไมด้ า้ นซา้ ย เย้อื งไปดา้ นหลงั ของดอกกา้ มปดู อกที่ 1 ความสูงต่าํ กวา่ ดอกกา้ มปู ภาพที่ 3.6 การปักก่ิงไม้ ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 3.6 ปักดอกคาร์เนชนั่ 2 ดอกดา้ นขวา เย้อื งมาดา้ นหนา้ ดอกกา้ มปูดอกท่ี 1 ความสูงประมาณ½ และ ¼ ของดอกกา้ มปกู า้ นท่ี 1 ตามลาํ ดบั

87 ภาพที่ 3.7 การปักดอกคาร์เนชนั่ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ3.7 ปักดอกเยอบีร่า 5 ดอก ดา้ นซา้ ย เย้อื งมาดา้ นหนา้ ใกลก้ บั ฐานฟลอรัลโฟม 1 2

88 3 4 5 ภาพที่ 3.8 การปักดอกเยอบีร่า ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ3.8 ปักใบสนบริเวณรอบๆ จุดปักดอกไมแ้ ละขา้ งหลงั กิ่งไม้ ความสูงลดหลน่ั กนั

89 ภาพที่ 3.9 การปักในสน ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ3.9 ปักใบเฟิ ร์นหนงั ตกแตง่ ใหส้ มบรู ณ์ รอบแจกนั และปกปิ ดฐานฟลอรัลโฟมเรียบร้อย ภาพที่ 3.10 การปักใบเฟิ ร์นหนงั ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ

90 ภาพท่ี 4.1 การจดั ดอกไมท้ รงกลม ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ4. งานจัดดอกไม้ทรงกลม 4.1 ปักดอกกุหลาบดอกที่ 1 ใหส้ ูงโดยต้งั ฉากกบั ฐาน เพือ่ เป็นศนู ยก์ ลาง หรือ Center Point ภาพที่ 4.2 การปักดอกกุหลาบดอกที่ 1 ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 4.2 ปักดอกกุหลาบ 4 ดอก ตามแนวนอนขนานกบั พ้ืนให้มีช่องไฟกวา้ งเท่ากนั ซ่ึงมีความยาวของก้านใกล้เคียงกับความยาวของดอกท่ี 1 (Center) โดยปักตามทิศเหนือ ใต้ ตะวนั ออกตะวนั ตก

91 ภาพท่ี 4.3 การปักดอกกุหลาบตามทิศ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 4.3 ปักดอกกุหลาบอีก 4 ดอก ระหวา่ งช่องไฟของดอกที่เป็ น Center กบั ดอกในแนวทิศต่างๆ ของแต่ละดา้ นท้งั 4 ดา้ น โดยปักตามแนวเส้นเฉียงใหด้ อกอยรู่ ะหวา่ งกลาง รวมดอกกุหลาบเป็น 9 ดอก12 ภาพที่ 4.4 การปักดอกกหุ ลาบระหวา่ งช่องไฟ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 4.4 ปักดอกกุหลาบอีก 4 ดอก ระหวา่ งช่องไฟของดอกที่เป็น เหนือ ใต้ ตะวนั ออก ตะวนั ตกโดยปักตามจุดตะวนั ออกเฉียงเหนือ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ และตะวนั ตกเฉียงใต้ตามลาํ ดบั รวมดอกกหุ ลาบเป็น 13 ดอก 12 ภาพที่ 4.5 การปักดอกกหุ ลาบระหวา่ งช่องไฟตามทิศ ภาพโดย : สุนิสา ป่ิ นเจริญ 4.5 ปักใบเฟิ ร์นตามช่องวา่ ง เพ่อื ตกแต่งและปิ ดบงั ฟลอรัลโฟม12

92 ภาพที่ 4.6 การปักใบเฟิ ร์นตามช่องวา่ ง ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 4.6 ปักแซมยบิ โซ จะทาํ ใหก้ ารจดั ดอกไมน้ ้ีสมบรู ณ์ข้ึน 12 ภาพที่ 4.7 การปักแซมยบิ โซ ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญ 4.7 ตกแต่งใหส้ มบรู ณ์ รอบแจกนั และปกปิ ดฐานฟลอรัลโฟมเรียบร้อย ภาพท่ี 4.1 การจดั ดอกไมท้ รงกลม ภาพโดย : สุนิสา ปิ่ นเจริญการบารุงรักษาดอกไม้หลงั การจัด1. เลือกซ้ือดอกไมท้ ่ีสด เดด็ เอาใบท่ีอยใู่ ตร้ ะดบั น้าํ ออก2. ตดั กา้ นดอกเป็นแนวเฉียง 45 องศา นาํ กา้ นแช่ไวใ้ นน้าํ เพ่ือใหล้ าํ ตน้ ดูดซึมน้าํ ไดด้ ี3. ละลายสารอาหารสาํ หรับดอกไม้ ในน้าํ อุน่ นาํ ดอกไมล้ งในน้าํ อุ่นท่ีเตรียมไว้4. ควรตดั กา้ นดอกไมท้ ุกๆ 3 วนั และเปลี่ยนน้าํ ที่เติมสารอาหารไว้ เพ่ือให้ดอกไมด้ ูสดเสมอ ควรเติมน้าํ ให้ ดอกไมท้ ุกวนั และเปล่ียนน้าํ ทุกๆ 3 วนั5. ใชก้ ระบอกฉีดละอองน้าํ ใหด้ อกไมท้ ุกวนั โดยกระบอกท่ีใชต้ อ้ งสะอาดเสมอ6. จดั ดอกไมต้ ้งั ไวใ้ นท่ีร่ม อากาศโปร่ง อยา่ วางดอกไมใ้ หร้ ับแสงแดดโดยตรง เพราะจะทาํ ใหด้ อกไมเ้ ห่ียว เฉาเร็ว

937. หลงั การจดั ใชก้ ระบอกฉีดน้าํ พรมน้าํ เบาๆ อยา่ วางในที่ลมโกรก หมน่ั เติมน้าํ ในฟลอรัลโฟมจะทาํ ให้เกบ็ ไวห้ ลายวนั หน่วยท่ี 4 การเลอื กใช้วสั ดุอปุ กรณ์ในการตกแต่งอาหารหัวข้อเร่ือง 1. ประเภทของอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการจดั ตกแตง่ 2. ประเภทของอาหารท่ีนาํ มาจดั ตกแต่ง 3. อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ย 4. อาหารประเภทซุป 5. อาหารจานหลกั 6. อาหารประเภทของหวานเนือ้ หาสาระการเรียนรู้ การจดั ตกแต่งอาหาร เป็ นศิลปะอยา่ งหน่ึงท่ีทาํ ให้ผรู้ ับบริการพอใจ และความพอใจ ของผมู้ ารับบริการก็เป็ นหัวใจสําคญั ของห้องอาหาร เพราะจะทาํ ใหผ้ มู้ ารับบริการกลบั มาใช้บริการ ใหม่ ที่วา่ การจดัตกแตง่ อาหารเป็นศิลปะน้นั ไม่ไดห้ มายความวา่ จดั ตกแตง่ อาหารใหส้ วยงามจูงใจ ชวนกินเพียงอยา่ งเดียว แต่ตอ้ งคาํ นึงถึงวา่ ทาํ อยา่ งไรจึงจะถูกใจผมู้ ารับบริการ อาหารเขา้ ชุดกนั หรือไม่ สิ่งใดเป็ นเครื่องตกแต่งและสิ่งใด สามารถนาํ มารับประทานคู่กบั อาหารได้จุดประสงค์ 1. บอกประเภทของอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการจดั ตกแต่ง 2. บอกประเภทของอาหารที่นาํ มาจดั ตกแต่ง 3. สามารถอธิบายอาหารเรียกน้าํ ยอ่ ย 4. สามารถอธิบายอาหารประเภทซุป 5. สามารถอธิบายอาหารจานหลกั 6. สามารถอธิบายอาหารประเภทของหวาน อุปกรณ์เคร่ืองใชใ้ นการจดั ตกแต่งอาหาร การเลือกอุปกรณ์เครื่องใชใ้ นการจดั ตกแต่งอาหาร มีความสาํ คญั ต่อการทาํ งานมาก ท้งั น้ีเพราะการเลือกใชอ้ ุปกรณ์ท่ีเหมาะสมถูกตอ้ งจะทาํ ใหก้ ารทาํ งานเป็ นไปอยา่ งมีประสิทธเภาพ ประหยดั เวลา แรงงานและเงิน อุปกรณ์ที่ใชใ้ นการจดั ตกแต่งอาหารจะข้ึนอยกู่ บั ชนิด

94ของอาหาร น้นั ๆ เป็ นส่วนใหญ่ เช่น เมื่อตอ้ งการแกะสลกั ผกั หรือผลไมก้ ็จาํ เป็ นตอ้ งใชม้ ีดสําหรับแกะสลกัผกั ผลไมเ้ ทา่ น้นั เราสามารถจาํ แนกอุปกรณ์เครื่องใชใ้ นการจดั ตกแต่งอาหารได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั น้ี 1. ประเภทหน่ั ปอก และสบั (Slicing, Peeling and Chopping) - Vegetable Knife ใชส้ าํ หรับการหนั่ ผกั ให้เป็ นรูปแบบต่าง ๆ - Paltered Knife เป็ นมีดท่ีมีลาย เม่ือลงมือหนั่ ลายจะปรากฎข้ึนทนั ที ใชห้ น่ั ผกั ผลไมแ้ ละเนย - Fileting Knife เป็ นมีดท่ีสามารถใชไ้ ดท้ ้งั การหนั่ พวกเน้ือสัตว์ ประเภทเน้ือ และปลาท่ีไม่ ยากเกินไป - Serrated Knife เป็นมีดฟันเลื่อย ใบมีดยาว เหมาะสาํ หรับหนั่ มะเขือเทศ รวมท้งั ผกั และผลไม้ ท่ีมีลกั ษณะอ่อนนุ่ม - Boring Knife เป็นมีดเลก็ เหมาะสาํ หรับแล่หนงั และเลาะกระดูก - Chopping Blade ลกั ษณะมีดมีคม 2 อนั ใช้สําหรับสับพวกเครื่องเทศต่าง ๆ รวมท้งั หอมหวั ใหญ่ - Vegetable Peeler ใชส้ าํ หรับปอกมนั ฝรั่ง แตงกวา รวมท้งั ผกั ผลไมป้ ระเภทที่ มีเปลือกบาง - Butter Curler ใชส้ าํ หรับขดู เนยแขง็ ใหเ้ ป็นรูปกลม มีลวดลาย - Cannel Knife ใชส้ าํ หรับปอกผวิ ส้ม มะนาว หรือแตงกวา ซ่ึงจะเป็นร่อง ๆ - Apple Cover เป็นเครื่องมือสาํ หรับควา้ นเมด็ แอปเปิ้ ลหรือผลไมท้ ่ีมีลกั ษณะ ใกลเ้ คียงกนั - Apple Slicer ใชส้ าํ หรับผา่ แอปเปิ้ ลเป็นเส้ียว พร้อมท้งั นาํ เมด็ ออกใหเ้ รียบร้อย - Mandolin Cutter ใชส้ าํ หรับตกแต่งผกั หรือผลไมเ้ ปลือกแขง็ - Parisian Scoop (Large), Solferino Scoop (Small) เป็ นที่ตกั แตงโม มีท้งั ขนาด ใหญ่และเล็ก ใชต้ กั ผกั หรือผลไมใ้ หเ้ ป็นรูปกลม ภาพท่ี 1 อุปกรณ์เครื่องใชป้ ระเภทหนั่ ปอก และสบั ท่ีมา : Christa Schmedes : The Book of Garnishing 2. ประเภทเคร่ืองช่วยตกแต่งรูปทรงต่าง ๆ (Shaping, Piping and Cutting Out)

95 - Piping Bag เป็นถุงพบั และหวั เป็นรูปแบบตา่ ง ๆ เหมาะสําหรับการบีบครีม หรือคสั ตาร์ดเป็นรูปร่างตา่ ง ๆ ตามหวั บีบท่ีใส่ - Cornet Mould for Puff Pastry เป็ นพิมพต์ ดั รูปสี่เหลี่ยมและมีลายดา้ นขา้ ง เหมาะสําหรับทาํ ขนมประเภทพายตา่ ง ๆ - Round Pastry Cutters เป็ นพิมพต์ ดั รูปกลมมีหลายขนาด ใชส้ าํ หรับตดั พวก ขนมปัง ผกัเยลลี่ เป็นตน้ - Decorative Pastry Cutters เป็ นพิมพต์ ดั รูปทรงต่าง ๆ ขนาดเล็กเหมาะ สาํ หรับทาํ พาย ผกัและผลไมช้ ิ้นเลก็ - Palette Knives เป็นที่ตกั ขนมมีหลายขนาด เหมาะสําหรับตกั ขนมชิ้นที่มี ลกั ษณะอ่อนนุ่ม - Hand Mixer เครื่องผสมแบบมือถือ เหมาะสาํ หรับการผสมอาหารปริมาณนอ้ ย - Special Dual Sieve ท่ีกรองขนาดตา่ ง ๆ ภาพที่ 2 อุปกรณ์เครื่องใชป้ ระเภทเครื่องช่วยตกแต่งรูปทรงตา่ ง ที่มา : Christa Schmedes : The Book of Garnishing3.ประเภทพิมพต์ ่าง ๆ (Moulds of All Shapes and Sizes) นอกจากการทาํ เคก้ รูปทรงต่าง ๆ เรายงัสามารถนาํ ไปดดั แปลงใชง้ านอยา่ งอื่นได้ อีกมากมายเช่น กดขา้ วเป็นรูปทรงต่าง ๆ เป็นตน้

96 ภาพที่ 3 อุปกรณ์เคร่ืองใชป้ ระเภทพิมพต์ ่างๆ ท่ีมา : Christa Schmedes : The Book of Garnishing 3.1.2 ประเภทของอาหารที่นาํ มาจดั ตกแต่ง ในการจดั บริการอาหารน้นั ไดม้ ีการแบ่งประเภทของอาหารที่ใชใ้ นการบริการตาม ความสาํ คญั ไดเ้ ป็ น 4 ประเภท เพราะฉะน้นั ในการแบ่งประเภทของอาหารที่นาํ มาจดั ตกแต่ง จึง แบ่งตามที่ใชใ้ นการบริการเพอื่ จะไดเ้ กิดความต่อเนื่อง อาหารมี 4 ประเภท ประกอบดว้ ย 1. อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ย (Appetizer) Appetizer คือ อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยซ่ึงใชเ้ สิร์ฟตอนเร่ิมตน้ รับประทานอาหารหรือ เสิร์ฟก่อนเวลาค็อกเทลก็ได้ เป็ นอาหารท่ีช่วยกระตุน้ เตือนให้มีความอยากรับประทานอาหารข้ึน อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยอาจใชเ้ ป็ นอาหารชุดแรกในโตะ๊ อาหารแบบเป็ นพิธีการและแบบไม่เป็ นพิธีการ และอาหารในม้ือประจาํ วนัไดด้ ว้ ย สําหรับการจดั อาหารเรียกน้าํ ย่อยในโต๊ะอาหารแบบไม่เป็ น พิธีการน้นั อาจเลือกอาหารไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง แต่ในการเล้ียงอาหารแบบเป็ นพิธีการน้นั มีขอบเขต จาํ กดั อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประกอบดว้ ย คานาเป้ , ออร์เดิฟ, คอ็ กเทล และซุป คานาเป้ (Canapés) เป็นอาหารเรียกน้าํ ยอ่ ย จดั เสิร์ฟกบั เคร่ืองดื่ม ลกั ษณะคลา้ ย กบั แซนวชิเปิ ดหนา้ ซ่ึงมีรากฐานจากการทาํ ขนมปัง เอาขนมปังมาตดั เป็ นรูปต่าง ๆ เช่น วงกลม, จตั ุรัส, ทแยงมุม, โคง้ ,สี่เหล่ียมยาว ๆ และเป็ นรูปอยา่ งอื่นไดอ้ ีกมาก ขนมปังจะเป็ นขนมปัง ธรรมดาก็ไดแ้ ลว้ แต่จะ ปิ้ ง ทอด เนยหนา้ เดียวหรือทอดน้าํ มนั ท้งั แผน่ ก็ได้ แลว้ เอาขนมปังน้นั มา ป้ ายส่วนผสมซ่ึงมกั ประกอบดว้ ยไข่ เนยแข็งปลา เน้ือสตั ว์ และตกแตง่ ใหม้ ีสีสันเด่นชดั ข้ึน อาจใช้ เสิร์ฟเป็ นอาหารชุดแรกก็ได้ การเสิร์ฟคานาเป้ ในงานท่ีมีแขกมาก ๆ เช่น ตอนบ่ายและค่าํ เราจะ จดั คานาเป้ ลงในถาดใหญ่ แลว้ เสิร์ฟต่อ ๆ กนั ไป หรือจะวางบนโตะ๊ แบบบุฟเฟ่ ตก์ ็ได้

97 ภาพท่ี 4 อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประเภทคานาเป้ ที่มา : https://.cocktailthai.com ออร์เดิฟ (Hors D’oeuvres) เป็นอาหารจาํ พวกเรียกน้าํ ยอ่ ย ซ่ึงอาจเป็นคานาเป้ ออร์เดิฟประกอบดว้ ยผกั ดอง, โอลีฟ, สตฟั -เซลเลอร่ี, เดวลิ -เอก๊ , ปลา, ไส้กรอก หรือของ ดงั กล่าวรวมกนั หรืออาหารตา่ งๆ ในทาํ นองเดียวกนั อาจใชเ้ สิร์ฟในโตะ๊ เป็ นบุคคลเม่ือแขกเขา้ นงั่ โตะ๊ แลว้ หรือจดั ลงในถาดใหญ่หลายๆ ชนิดแลว้ เสิร์ฟตอ่ ๆ กนั ไป ผรู้ ับประทานอาจเลือกหยบิ เอาตามชอบ ภาพที่ 5 อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประเภทออร์เดิฟ ท่ีมา : http://www.ponglee.com คอ๊ กเทล (Cocktails) อาจประกอบดว้ ยผลไมห้ รือน้าํ ผลไม้ น้าํ ผกั หรืออาหาร ทะเลเช่น หอยนางรม กงุ้ ปู หรือกงุ้ ลอปสเตอร์ ซ่ึงเสิร์ฟดว้ ยน้าํ ซอสชนิดที่มีรสจดั ภาพที่ 6 อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประเภทค๊อกเทล

98 ท่ีมา : http://food.mthai.com/food..html.com ซุป (Soup) เป็นอาหารประเภทท่ีมีน้าํ มากกวา่ เน้ือ ส่วนใหญร่ ับประทานดว้ ยชอ้ น นอกจากซุปน้าํ ใส อาจมีถว้ ยหูสาํ หรับยกข้ึนดื่มได้ ซุปนอกจากจะใชเ้ ป็ นอาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยแลว้ ยงั เป็ นอาหารที่คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานกนั เพราะทานง่ายยอ่ ยง่าย มีคุณคา่ ทางอาหารสูง นอกจากน้ียงั ใชเ้ ป็นอาหารผู้ป่ วยและอาหารสาํ หรับเด็ก ผสู้ ูงอายุ แมแ้ ต่ผปู้ ่ วยที่รับประทานอาหาร ทางปากไม่ไดก้ ็ใชซ้ ุปเป็ นอาหารทางสายยางหรืออาหารเหลวใหผ้ ปู้ ่ วยได้ ภาพที่ 7 อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประเภทซุป ท่ีมา : http://www.wongnai.com/restaurants.html.com สลดั (Salad) สลดั สีสวยจดั เสิร์ฟขา้ งอาหารจานหลกั เป็น Side Dish หรือเสิร์ฟ เป็นอาหารม้ือเบา ๆ ซ่ึงจะอุดมไปดว้ ยคุณค่าทางอาหารรวมท้งั วติ ามินตา่ ง ๆ ในการจดั ตกแตง่ ทาํ เพียงแคเ่ ลือกผกั สีสดมาวางในจานก็สวยงามแลว้ และนอกเหนือจากการหน่ั หรือฉีกผกั ยงั สามารถนาํ ผกั หรือผลไมม้ าแกะสลกั แลว้นาํ มาจตั ตกแต่งได้ ภาพท่ี 8 อาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประเภทสลดั ที่มา : Food Stylist ในม้ืออาหารพิเศษทุกคร้ังจะมีการเริ่มตน้ รายการอาหารดว้ ยอาหารเรียกน้าํ ยอ่ ย และส่วนใหญ่ท่ีพบจะเป็ นประเภทออร์เดิฟหรือคานาเป้ ในการจดั ตกแต่งอาหารสามารถทาํ ใหม้ ี สีสันสวยงาม รูปทรงน่ารับประทาน สร้างความพึงพอใจ และความประทบั ใจแก่ผรู้ ับบริการ เพียงแต่การมองเห็นเท่าน้นั ซ่ึงเราเรียกวา่ เป็นอาหารตา

992. อาหารประเภทซุป (Soup) ซุป แบ่งตามลกั ษณะได้ 3 ชนิดคือ 1. ซุปน้าํ ใส (Clear Soup) มาจากน้าํ เศษเน้ือที่ตม้ แลว้ (น้าํ สตอ๊ ก) ปรุงแต่งรส และใส่ผกั ในน้าํตม้ เน้ือ ผกั ที่ใชอ้ าจใชเ้ พียงอยา่ งเดียวหรืออยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ซุปชนิดน้ีตอ้ งการ กลิ่นของผกั เพียงอยา่ งเดียวบางคร้ังอาจมีการดดั แปลงการเสิร์ฟโดยใส่ผกั ลงในน้าํ ซุป หั่นเป็ นรูป ต่าง ๆ เช่น ส่ีเหล่ียมลูกเต๋า ดอกจิกดาว ลงในถว้ ยซุป เรียกว่า ลูกซุป ซุปน้าํ ใสท่ีใชใ้ นครอบครัว มกั จะใส่ผกั หลาย ๆ อย่างในน้าํ ตม้ เน้ือ เวลาเสิร์ฟ อาจใส่แครอทหรือมนั ฝร่ังหน่ั สี่เหล่ียมลูกเต๋า ถวั่ แขกหน่ั เป็นท่อนส้นั ๆ เป็นตน้ 2. ซุปน้าํ ใส (Consume′) เป็ นซุปที่ใสจริง ๆ น้าํ ซุปตอ้ งใสเป็ นแกว้ มองเห็นกน้ ถว้ ย การ ตม้ น้าํ สตอ๊ กที่ใชเ้ ป็ นน้าํ ซุปตอ้ งใชเ้ วลาตม้ เค่ียวนาน เมื่อกรองไดแ้ ลว้ ตอ้ งตม้ อีกคร้ังโดย ใส่ไข่ขาวลง ไปในหมอ้ พอไข่ขาวแขง็ ตวั จึงกรองดว้ ยผา้ ขาวบางเพ่อื ใหไ้ ดน้ ้าํ ซุปที่ใส อาจแต่งหนา้ ดว้ ยแครอทหน่ั ส่ีเหลี่ยมลูกเต๋า 3. น้าํ ซุปขน้ (Thicken Soup or Cream Soup) ซุปขน้ อาจขน้ ดว้ ยแป้ ง ผกั หรือ เน้ือสัตว์ การทาํ ซุปชนิดน้ีน้าํ ซุปจะตอ้ งกรองก่อนเสมอ ลกั ษณะท่ีดีของซุปขน้ ควรจะขน้ กาํ ลงั ดี คือ ใชพ้ ายไมค้ นแลว้ ก็ยกข้ึน น้าํ ซุปจะไหลชา้ ๆ ถา้ ขน้ เกินไปจะแกไ้ ขโดยการเติมน้าํ สตอ๊ กหรือ น้าํ สตอ๊ กผสมนมสด การ ตกแตง่ ซุปใส (Clear Soup) ชนิดของวตั ถุดิบที่นาํ มาตกแตง่ ซุปใส - ไข่ โดยการผสมกบั ผกั โขมเป็ นสีเขียว มะเขือเทศเป็ นสีส้ม เป็ นตน้ โดยนาํ ไป น่ึงแลว้ นาํ มากดดว้ ยพิมพเ์ ป็นรูปแบบต่าง ๆ กนั - แป้ งเกี๊ยว โดยนาํ แผน่ เก๊ียว 2 แผน่ มาประกบกนั และสอดไส้ดว้ ยใบผกั เช่น ใบกระเพรา ใบโหระพา แลว้ ใชพ้ ิมพก์ ดเป็นรูปตา่ งๆ จึงนาํ ไปลวดในน้าํ เดือด - แพนเคก้ โดยนาํ แผน่ แพนเคก้ มามว้ นแลว้ หน่ั เป็นแวน่ ๆ เพือ่ นาํ ไปห่อเป็น รูปทรงตา่ ง ๆ แลว้ มดั ดว้ ยตน้ หอมลวก เป็นตน้ การตกแตง่ ซุปขน้ (Cream Soup) ลกั ษณะของซุปขน้ น้นั นอกจากสีที่สวยงามตาม ชนิดของซุปน้นั ๆแลว้ เราสามารถตกแต่งโดยใชค้ รีมหยอดเป็ นรูปหวั ใจหรือรูปกงั หันก็ได้ นอกจากน้นั ยงั สามารถใชใ้ บผกัชนิดต่าง ๆ มาตกแต่ง รวมท้งั เน้ือของผกั หรือผลไม้ แต่ตอ้ งดูให้ สอดคลอ้ งกบั ชนิดของซุปดว้ ย เช่น ซุปมะเขือเทศ กน็ าํ มะเขือเทศมาหนั่ ส่ีเหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ โรย หนา้ เป็นตน้

100 ภาพที่ 9 การตกแต่งอาหารเรียกน้าํ ยอ่ ยประเภทซุปขน้ ท่ีมา : Food Stylist เทคนิคการหน่ั ผกั แบบง่าย ๆ ลกั ษณะของผกั ที่นาํ มาใชห้ นั่ หรือตกแต่งควรเลือก ผกั ประเภทหวั ท่ีมีเน้ือแขง็ เพราะจะทาํ ใหร้ ูปทรงของผกั ไม่เปล่ียนแปลงเมื่อนาํ ไปประกอบอาหาร 1. รูปกลม โดยใชท้ ่ีตกั (Solferio Geogo หรือ Parisience Scoop) 2. รูปมะกอก โดยใชม้ ีดเกลาท่ีมีขนาดยาวประมาณ 5 ซม. 3. รูปดอกไม้ โดยใชม้ ีดแกะผกั ประเภทแตงกวาหรือแครอทแลว้ หน่ั เป็ นแวน่ ๆ 4. รูปโคง้ โดยนาํ แครอทมาหน่ั เป็นแผน่ ยาว บาง แลว้ มว้ นตามขนาดท่ีตอ้ งการ มดั ดว้ ยตน้ หอม 5. รูปทรงอ่ืน ๆ โดยใชพ้ มิ พร์ ูปต่าง ๆ กด3.อาหารจานหลกั (Main Course) อาหารจานสาํ คญั หรืออาหารจานหลกั (Main Dish or Main Course) คืออาหาร ท่ีประกอบดว้ ยอาหารประเภทโปรตีน แป้ ง ผกั อาหารจานน้ีจะมีปริมาณมากกว่าอาหารจานอ่ืน ๆ และผรู้ ับประทานจะรับประทานจนอิ่ม นบั เป็นอาหารคาวจานสุดทา้ ย อาหารประเภทโปรตีนอาจ เป็ นไก่ หมู เน้ือ ลูกววั เน้ือแกะเป็ ด ฯลฯ ประเภทแป้ งมกั เป็ นมนั ฝร่ังเช่น มนั ทอด (French Fried Potatoes) มนั บด (Mashed Potatoes) มนัอบ (Baked Potatoes) ฯลฯ รับประทานกบั ผกั ตม้ ชนิด ต่าง ๆ นอกจากน้ีอาหารหลกั น้ียงั มีสลดั ผกั สดเป็ นเคร่ืองเคียงดว้ ย เรียกวา่ Slide Dish อาหารจานสําคญั อาจใชเ้ น้ือหมู เน้ือววั ไก่ ปลา หรืออาหารทะเล ในการเลือก เน้ือสัตวช์ นิดใดเป็ นอาหารจานสาํ คญั ข้ึนอยกู่ บั ผมู้ าใชบ้ ริการ ตวั อยา่ งอาหารจานสาํ คญั 1. ประเภทปลา เช่น ปลาอบราดซอสเนยแขง็ ปลาทอดราดซอสเปร้ียว ปลาอบซอสมะเขือเทศ 2. ประเภทหมู เช่น สันในหมอู บไวน์และมะเขือเทศ หมูหมกั เบียร์ หมสู ามช้นั สอดไส้ 3. ประเภทเน้ือ เช่น เน้ือและหอมใหญ่หมกั เบียร์อบ เน้ือมว้ น เน้ือเอน็ น่อง อบหมอ้ ฯลฯ 4. ประเภทไก่ เช่น ไก่เชอรี่ ไก่จูเลียต ไก่ฮาวาย ตะโพกไก่อบเปร้ียวหวาน เน้ือสัตวเ์ ป็ นอาหารชุดหลกั ซ่ึงปกติเป็ นพวกอบ แต่อาจทาํ แบบอ่ืน ๆ ไดห้ ลายวธิ ี เน้ือโคอบและไก่งวงอบไม่คอ่ ยนิยมใชเ้ สิร์ฟในโตะ๊ อาหารดินเนอร์พิธีการ เน้ือแกะอบ ไก่ตอน เป็ ดอบ อกไก่อ่อนปิ้ ง และเน้ือสนั ในช้นั ดีอบ นบั วา่ เหมาะสมกบั การเล้ียงดินเนอร์พิธีการ เคร่ืองดื่มที่ผสมน้าํ ผลไมเ้ ช่น พนั ซ์ และเชอร์เบ็ทมกั จะใชเ้ สิร์ฟกบั อาหารพวกเน้ืออบ ถา้ หากหอ้ งครัวอยใู่ กลห้ ้องรับประทานและกลิ่นจากการปรุงอาหารฟ้ ุงเขา้ ไปใน ห้องอาหารแลว้ควรเลือกผกั ชนิดที่ไม่มีกล่ินฉุนเป็ นท่ีรบกวนแก่ผรู้ ับประทาน ผกั ชนิดท่ีเหมาะสม คือดอกคะนา้ ถว่ั ลนั เตาถว่ั ฝักยาว และยอดหน่อไม้ เป็นตน้ สลดั ท่ีจะเสิร์ฟ ควรเป็นพวกผกั กาดหอมและผกั สดอ่ืน ๆ ซ่ึงราดดว้ ยน้าํ สลดั ชนิด ท่ีมีรสดี อาหารประเภทอาหารทะเล เช่น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook