Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Book

Book

Published by sommari_094, 2020-07-13 22:31:04

Description: Book

Search

Read the Text Version

140 กกกกกกกกข้นั ตอนการย่ืนคาขอจดสทิ ธิบตั รท่เี ก่ียวขอ้ งกับกญั ชา มีดังนี้ กกกกกกกกขั้นตอนท่ี 1 กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะพิจารณาว่าขัดต่อพระราชบัญญัติสิทธิบัตรใน มาตรา 9 (1) ซ่ึงกาหนดว่า สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืชไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญตั ิหรอื หากขดั กบั มาตราดงั กล่าวจะไมส่ ามารถยื่นจดสิทธบิ ัตรได้ เชน่ สารสกดั จากกัญชา ไมส่ ามารถจดได้ก กกกกกกกกขั้นตอนที่ 2 หากการยื่นคาขอไม่ขัดกับมาตรา 9 (1) เช่น ตารับยาจากกัญชาสาหรับใช้ รกั ษาโรคต่าง ๆ กรมทรัพยส์ ินทางปญั ญาจะเป็นผตู้ รวจสอบว่าสามารถจดไดห้ รือไม่ โดยพจิ ารณาตาม หลักการ คือ ต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ มีขั้นตอนการประดิษฐ์ท่ีสูงข้ึน และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ ในการผลิตอตุ สาหกรรม หัตถกรรม เกษตรกรรม และพาณชิ ยกรรมได้ กกกกกกกกขั้นตอนที่ 3 เมื่อผ่านการพิจารณาในขั้นตอนท่ี 2 จะประกาศโฆษณาให้ผู้มีส่วนได้ส่วน เสียสามารถคัดค้านหรือให้ข้อเสนอแนะได้ เม่ือประกาศโฆษณาแล้วผู้ขอต้องย่ืนขอให้ตรวจสอบการ ประดิษฐ์ เจ้าหน้าท่ีจะนาข้อคัดค้านหรือข้อเสนอแนะมาประกอบการพิจารณาร่วมกับการตรวจสอบ การประดษิ ฐอ์ ีกครงั้ กอ่ นจะพจิ ารณาวา่ สามารถจดสิทธิบัตรไดห้ รอื ไม่ ดังภาพ ภาพท่ี 51 ข้นั ตอนการดาเนินการขอรับสิทธิบตั ร

141 ตวั อยา่ ง “สิทธิบตั ร” กกกกกก ภาพที่ 52 ตวั อย่างสิทธิบัตรการประดิษฐ์ กกกกกกกกปจั จบุ ันนม้ี ีผูข้ อจดสทิ ธบิ ตั รทีเ่ กยี่ วข้องกับกญั ชากบั กรมทรัพย์สนิ ทางปัญญา มจี านวน 3 บริษทั โดยมจี านวน 10 คาขอ ซึ่งอยใู่ นขั้นตอนการดาเนินการ และการขอจดสิทธิบตั ร ดังภาพ

142 ภาพท่ี 53 คาขอสิทธบิ ัตรกญั ชา ทก่ี รมทรัพย์สินทางปญั ญายงั ไม่ยกเลิก กกกกกกกกกล่าวโดยสรุป ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ให้ความหมาย “สิทธิบัตร” หมายถึง หนังสือสาคัญที่รัฐออก ให้เพ่ือคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ท่ีมีลักษณะตามท่ีกฎหมายกาหนด ท้ังน้ี ข้ันตอนการยื่นคาขอจดสิทธิบัตรท่ีเกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชง มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะพิจารณาว่าขัดต่อพระราชบัญญัติสิทธิบัตรในมาตรา 9 (1) ซึ่งกาหนดว่า สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืชไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติหรือ หากขัดกับ มาตราดังกล่าวจะไม่สามารถย่ืนจดสิทธิบัตรได้ เช่น สารสกัดจากกัญชาไม่สามารถจดได้.ข้ันตอนท่ี 2

143 หากการยื่นคาขอไม่ขัดกับมาตรา 9 (1) เช่น ตารับยาจากกัญชาสาหรับใช้รักษาโรคต่าง ๆ กรม ทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าสามารถจดได้หรือไม่ โดยพิจารณาตามหลักการ คือ ต้อง เป็นส่ิงประดิษฐ์ใหม่ มีขั้นตอนการประดิษฐ์ท่ีสูงขึ้น และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการผลิต อตุ สาหกรรม หตั ถกรรม เกษตรกรรม และพาณิชยกรรมได้ และข้นั ตอนที่ 3 เมอื่ ผา่ นการพิจารณาใน ขั้นตอนท่ี 2 จะประกาศโฆษณาให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถคัดค้านหรือให้ข้อเสนอแนะได้ เมื่อประกาศโฆษณาแล้วผู้ขอต้องยื่นขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ เจ้าหน้าท่ีจะนาข้อคัดค้านหรือ ข้อเสนอแนะมาประกอบการพิจารณาร่วมกับการตรวจสอบการประดิษฐ์อีกครั้ง ก่อนจะพิจารณาว่า สามารถจดสิทธิบัตรได้หรือไม่ ปัจจุบันน้ีมีผู้ขอจดสิทธิบัตรท่ีเก่ียวข้องกับกัญชากับกรมทรัพย์สินทาง ปัญญา มีจานวน 3 บริษัท โดยมีจานวน 10 คาขอ ซ่ึงอยู่ในขั้นตอนการดาเนินการ และการขอ จดสิทธิบตั ร เรื่องท่ี 7 ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ีต่ ้องทาตามกฎหมายทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับกญั ชาและกญั ชง กกกกกกกกกัญชาทางการแพทย์ ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางตลอดหลายปีท่ีผ่านมา สาหรับ ประเทศไทยได้มีการปรับเปล่ียนกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถศึกษาวิจัยตลอดจนการ นากัญชามาใชป้ ระโยชน์ได้ ในกระแสของการเปลยี่ นแปลงดงั กล่าวบุคลากรทางการแพทย์ ผูป้ ่วยและ ประชาชนท่ัวไปจาเป็นต้องได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งประโยชน์และข้อควรระวังของการใช้กัญชา ทางการแพทย์ และความเส่ียงหรืออันตรายจากการใช้กัญชา รวมถึงข้อปฏิบัติที่ควรระวังต้องทาตาม กฎหมายกัญชาและกัญชง ดงั ภาพ ภาพท่ี 54 โทษของการโพสต์ภาพ หรอื ขอ้ ความ เพอื่ โฆษณายาเสพติด

144 กกกกกกกกนอกเหนือจากน้ี โทษอาญาของการฝ่าฝืนกฎหมาย ในเร่ืองของการใช้อุบายหลอกลวง ข่เู ข็ญ ใช้กาลงั ประทุษร้าย ขม่ ขนื ใจใหผ้ อู้ น่ื เสพ ยยุ งส่งเสริมใหผ้ ู้อ่ืนเสพ ผลิต นาเขา้ ส่งออก จาหนา่ ย หรือครอบครองเพ่ือจาหน่าย ดงั ตาราง ขอ้ หา ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา ฝิ่น เห็ดขี้ควาย) ใชอ้ บุ ายหลอกลวง  จาคกุ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 บาท ขเู่ ข็ญ ใชก้ าลงั  ถ้าทาโดยมีอาวุธหรือรว่ มกัน 2 คนขึ้นไป จาคกุ 2 - 15 ปี และ ประทุษร้าย ขม่ ขนื ใจให้ ปรับตั้งแต่ 200,000 - 1,500,000 บาท ผู้อื่นเสพ  ถา้ กระทาตอ่ หญงิ หรือผู้ยังไมบ่ รรลุนิติภาวะ หรอื เพอื่ จูงใจให้ผอู้ ื่น ทาผดิ อาญา หรือเพ่อื ประโยชน์แกต่ นเองหรือผู้อนื่ ในการทาผิดอาญา จาคกุ 3 ปี ถงึ ตลอดชวี ติ และปรับ 300,000 - 5,000,000 บาท ยยุ งส่งเสรมิ ใหผ้ ้อู ่ืนเสพ  จาคุกไมเ่ กิน 1 ปี หรอื ปรับไมเ่ กิน 20,000 บาท หรอื ทั้งจาทง้ั ปรบั ใชอ้ ุบายหลอกลวง  โทษเป็น 2 เท่าของโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้สาหรับความผิด ขู่เขญ็ ใชก้ าลัง น้นั ๆ ประทษุ รา้ ย ข่มขนื ใจ ให้ผอู้ ่นื ผลติ นาเข้า ส่งออก จาหน่าย ครอบครองเพอ่ื จาหนา่ ย กกกกกกกกปัจจุบันประเทศไทยมีผู้เข้าไปเก่ียวข้องกับยาเสพติดเป็นจานวนมากซ่ึงกระทรวงยุตธิ รรม ได้กาหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้เสพยาเสพติดแนวใหม่ ภายใต้กรอบความคิด “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” ที่จะตอ้ งได้รบั การบาบดั รกั ษาอยา่ งถูกต้อง โดยแพทย์และพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐทกุ แห่งท่ัว ประเทศ และหลังจากทีผ่ เู้ สพได้รับการบาบัดรักษาแลว้ กส็ ามารถกลบั ไปใช้ชวี ิตในสังคมอย่างปกติสุข โดยรัฐบาลจะให้การติดตามช่วยเหลือส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อให้ผู้เสพได้เร่ิมต้นชีวิตใหม่ “เปลีย่ นเพอ่ื ครอบครวั เพื่ออนาคตที่ดีกวา่ ”

145 ภาพท่ี 55 นโยบายการแก้ไขปญั หายาเสพติดแนวใหม่ กกกกกกกกกล่าวโดยสรปุ ขอ้ ปฏิบตั ทิ ่สี าคัญตามกฎหมายกัญชาและกัญชง มีขอ้ ทค่ี วรปฏบิ ตั ดิ งั น้ี กกกกกกกกขอ้ 1 โพสตภ์ าพ หรือขอ้ ความ เพอ่ื โฆษณายาเสพตดิ มีโทษจาคกุ ไม่เกิน 2 ปี ปรบั ไมเ่ กิน 200,000 บาท กกกกกกกกขอ้ 2 ใชอ้ ุบายหลอกลวง ขูเ่ ข็ญ ใช้กาลงั ประทษุ ร้าย ข่มขนื ใจให้ผอู้ ่นื เสพ มีโทษดงั น้ี กกกกกกกกกกก 2.1 จาคกุ 1 - 10 ปี และปรับตง้ั แต่ 100,000 - 1,000,000 บาท กกกกกกกกกกก 2.2 ถ้าทาโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน 2 คนข้ึนไป จาคุก 2 - 15 ปี และปรับต้ังแต่ 200,000 - 1,500,000 บาท กกกกกกกกกกก 2.3 ถ้ากระทาต่อหญิงหรอื ผู้ยังไม่บรรลนุ ิตภิ าวะ หรือเพื่อจูงใจใหผ้ ู้อ่ืนทาผิดอาญา หรือเพือ่ ประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อ่ืนในการทาผิดอาญา จาคกุ 3 ปี ถงึ ตลอดชีวิต และปรบั 300,000 - 5,000,000 บาท

146 กกกกกกกกขอ้ 3 ยยุ งส่งเสรมิ ให้ผ้อู ่นื เสพ มีโทษจาคุกไมเ่ กิน 1 ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กิน 20,000 บาท หรอื ทงั้ จาทั้งปรับ กกกกกกกกข้อ 4 ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เขญ็ ใชก้ าลังประทุษรา้ ย ขม่ ขืนใจให้ผูอ้ น่ื ผลิต นาเข้า ส่งออก จาหน่าย ครอบครองเพื่อจาหน่าย มีโทษเป็นสองเท่าของโทษท่ีกฎหมายบัญญัติไว้สาหรับความผิด นั้น ๆ กกกกกกกกปัจจุบันประเทศไทยมผี ูเ้ ข้าไปเก่ียวข้องกับยาเสพตดิ เป็นจานวนมาก ซึ่งกระทรวงยุติธรรม ได้กาหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้เสพยาเสพติดแนวใหม่ ภายใต้กรอบความคิด “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” ทจี่ ะตอ้ งได้รบั การบาบดั รักษาอย่างถกู ต้อง โดยแพทย์และพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐทกุ แห่งท่ัว ประเทศ และหลังจากที่ผู้เสพได้รับการบาบัดรักษาแลว้ กส็ ามารถกลบั ไปใชช้ วี ติ ในสังคมอย่างปกติสุข โดยรัฐบาลจะให้การติดตามช่วยเหลือส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อให้ผู้เสพได้เร่ิมต้นชีวิตใหม่ “เปลย่ี นเพ่ือครอบครวั เพื่ออนาคตท่ีดกี ว่า” เร่อื งที่ 8 โทษของการฝ่าฝนื กฎหมายที่เก่ยี วขอ้ งกับกัญชาและกญั ชง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ท่ีใช้เป็นหลักอยู่ และได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติม มาหลายคร้งั จนกระทั่งลา่ สดุ จึงมี พระราชบญั ญตั ยิ าเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 กาหนดการ กระทาความผิด และบทลงโทษทางอาญาของผู้เสพ ผลิต นาเข้า ส่งออก ครอบครองหรือจาหน่าย กญั ชา ดงั ภาพ

147 บทลงโทษการฝ่าฝนื กฎหมายท่ีเกยี่ วขอ้ งกับกัญชา ภาพที่ 56 บทลงโทษการฝา่ ฝืนกฎหมายทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั กัญชา ขอ้ ควรรู้ : การผลิต เสพ นาเขา้ สง่ ออก ครอบครองหรอื จาหนา่ ยกญั ชา หมายรวมถงึ ทกุ ส่วนของพืชกญั ชา ยกเว้นตามท่ีกฎหมายกาหนด ยังไม่มี การแยกฐานความผิดในการแยก ใบ ดอก ยอด ผล ลาตน้ รวมถงึ ยาง และน้ามัน ผใู้ ดกระทาความผิดดงั กล่าวถือว่ามีความผิด

148 ถาม การตรวจหาสารกัญชาในปสั สาวะสามารถตรวจพบหลงั จาก ใชก้ ญั ชาไปแลว้ นานถงึ 2 สัปดาห์ จริงหรือไม่ ตอบ จรงิ การตรวจหาสารกญั ชาจากปัสสาวะ สามารถตรวจหาหลังจากใช้ 2-5 ช่วั โมง และในผูใ้ ชบ้ อ่ ยๆ หรอื ใชใ้ นปริมาณสงู ๆ จะสามารถ ตรวจพบไดห้ ลงั จากใช้ไปแล้ว 15-30 วนั หลังจากหยุดใช้หรือจนกว่า ร่างกายจะขับออกหมด นอกจากน้ี ถ้านากัญชามาโฆษณาชวนเช่ือ บิดเบือนฉลากอาหาร - ฉลากยา มีความผิด ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หากเข้าข่ายเป็นอาหารท่ีมีการแสดงฉลากเพ่ือลวง หรือ พยายามลวงให้เข้าใจผิดเร่ืองคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ สถานท่ีผลิต จัดเป็นอาหารปลอม ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ตั้งแต่ 6 เดือน - 10 ปี และปรับตัง้ แต่ 5,000 - 100,000 บาท ดงั ภาพ ภาพท่ี 57 บิดเบือนฉลากอาหาร ฉลากยา มคี วามผดิ

149 กกกกกกกการนริ โทษกรรมผู้ครอบครองกัญชา กกกกกกกหลังจากมีประกาศพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี 7) พ.ศ. 2562 ต่อมาประกาศ กระทรวงสาธารณสุข ซ่ึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ . 2562 มสี าระสาคัญเกี่ยวกบั การนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชา จานวน 3 ฉบับ ดงั นี้ กกกกกกกฉบับที่ 1 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่อื ง การกาหนดใหย้ าเสพติดใหโ้ ทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชาตกเป็นของกระทรวงสาธารณสุข หรือให้ทาลายกัญชาท่ีได้รับมอบจากบุคคล ซึ่งไม่ต้อง รับโทษ ตามมาตรา 22 แห่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 โดยรายละเอียดผู้ท่ีได้รับการนิรโทษกรรม หรือการครอบครองก่อนหน้าน้ีไม่ผิด และให้มาแจ้งภายใน 90 วัน กกกกกกกฉบับที่ 2 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการครอบครองยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกญั ชา สาหรบั ผปู้ ่วยทีม่ ีความจาเป็นต้องใชเ้ พ่ือรักษาโรคเฉพาะตัวก่อน พระราชบัญญตั ิยาเสพ ติดให้โทษ (ฉบับท่ี 7) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับให้ไม่ต้องรับโทษ ซ่ึงในกรณีน้ีผู้ป่วยที่มีความจาเป็นต้องใช้ กัญชารักษาตัว และมีครอบครองก่อนกฎหมายใช้บังคับ ให้แสดงเอกสารหลักฐานท่ีแสดงอาการ เจบ็ ป่วยจากแพทย์ ภายใน 90 วนั กกกกกกกฉบบั ที่ 3 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรอ่ื ง การแจ้งการมีไว้ในครอบครองกญั ชา สาหรับ ผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 26/5 และบุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ป่วยตามมาตรา 22 (2) ก่อน พระราชบัญญัติยา เสพติดให้โ ทษ (ฉบับท่ี 7) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับให้ไม่ต้องรับโ ทษ กล่าว คือ บุคคล ท่ไี มใ่ ชก่ ลุม่ ที่ 1 และกลมุ่ ท่ี 2 โดยในฉบับนี้ ให้หน่วยงานหรือบุคคลผู้ครอบครองกญั ชาก่อนกฎหมายมี ผลใช้บังคับ เพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือการ ศึกษาวิจัย ดังต่อไปนี้ต้องแจ้งลักษณะและปริมาณกัญชาที่มีไว้ในครอบครองภายใน 90 วันนับต้ังแต่ พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ อาทิหน่วยงานของรัฐที่สอนทางการแพทย์ แพทย์ ทันตแพทย์ แพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัย เกษตรกรรม ที่เป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนภายใต้ความร่วมมือ และกับกับ ดแู ลของผ้ขู ออนุญาตตามหนว่ ยงานของรัฐ หรือ สถาบนั อดุ มศึกษา เช่น หน่วยงานรฐั หรือแพทย์ และ ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศ ผู้ป่วยเดินทาง และผู้ขออนุญาตตามที่รัฐมนตรี เห็นชอบ กกกกกกกสาหรับการแจ้งครอบครองกัญชาของทั้ง 3 กลุ่ม สามารถไปแจ้งได้ดังนี้ กรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) สานักงานคณะกรรมการอาหารและยาพ้ืนท่ี ต่างจังหวัด สามารถแจ้งได้ท่ีสานกั งานสาธารณสุขจังหวัด หรือ สสจ. ท่ัวประเทศ หรือหากมีข้อสงสยั สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วน 1556 กด 3 ในวันและเวลาราชการ ซ่ึงให้บริการตอบข้อ ซกั ถามในประเด็นทเ่ี ก่ยี วข้องกับกัญชาโดยตรง กกกกกกกกล่าวโดยสรุป บทลงโทษของการฝ่าฝนื กฎหมายท่เี กี่ยวขอ้ งกัญชาและกญั ชง มี 5 กลมุ่ ดังนี้

150 กกกกกกกกลุ่มท่ี 1 กลุ่มผู้เสพ (นอกเหนือเพ่ือรักษาตามคาสั่งแพทย์) มีบทลงโทษ จาคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกนิ 20,000 บาท หรือทงั้ จาท้งั ปรบั กกกกกกกลุ่มที่ 2 กลุ่มครอบครอง หรือจาหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต (ไม่ถึง 10 กิโลกรัม) มบี ทลงโทษ จาคุกไมเ่ กิน 5 ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กิน 100,000 บาท หรอื ท้งั จาทัง้ ปรับ กกกกกกกกลมุ่ ที่ 3 กล่มุ จาหน่ายโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต (ปริมาณ 10 กโิ ลกรมั ขน้ึ ไป) มบี ทลงโทษ จาคกุ ตง้ั แต่ 1 - 15 ปี และปรบั 100,000 - 1,500,000 บาท กกกกกกกกลุ่มท่ี 4 กลุ่มผู้ฝ่าฝืนผลิต นาเข้า หรือส่งออก มีบทลงโทษ จาคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่ เกนิ 500,000 บาท กกกกกกกกลุ่มท่ี 5 กลุ่มกรณีเพื่อจาหน่าย มีบทลงโทษ จาคุกไม่เกิน 1 - 15 ปี และปรับ 100,000 - 1,500,000 บาท กกกกกกกในส่วนผู้ขออนุญาตตามมาตรา 26/5 มีสิทธิท่ีจะขอใบอนุญาตให้ผลิต นาเข้า ส่งออก จาหนา่ ยหรอื มีไว้ในครอบครองซึง่ ผูข้ ออนุญาตตามขอ้ 2,3,4 และ 7 มอี ยู่ 2 กลุ่ม ดังน้ี กกกกกกกกล่มุ ท่ี 1 กรณีบคุ คลธรรมดา สญั ชาติไทย มีถนิ่ ที่อยใู่ นไทย กกกกกกกลุ่มที่ 2 กรณีนิติบุคคล จดทะเบียนตามกฎหมายไทย 2 ใน 3 กรรมการ หุ้นส่วน ผู้ถือหนุ้ มีสัญชาตไิ ทย มสี านกั งานในไทย กกกกกกกนอกจากนี้การนากัญชามาโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนฉลากอาหาร - ฉลากยา มีความผิด ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หากเข้าข่ายเป็นอาหารที่มีการแสดงฉลากเพ่ือลวง หรือ พยายามลวงให้เข้าใจผิดเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ สถานที่ผลิต จัดเป็นอาหารปลอม ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่ 6 เดือน - 10 ปี และปรับตง้ั แต่ 5,000 - 100,000 บาท กกกกกกกต่อมาได้มกี ารนิรโทษกรรม โดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข 3 ฉบับ ซง่ึ ประกาศใช้ในราช กจิ จานเุ บกษา ลงวนั ที่ 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2562 ดงั น้ี ฉบับท่ี 1 เร่ือง การกาหนดให้ยาเสพตดิ ให้โทษ ในประเภท 5 เฉพาะกัญชาตกเป็นของกระทรวงสาธารณสุข หรือให้ทาลายกัญชาท่ีได้รับมอบจาก บุคคล ซ่ึงไมต่ ้องรับโทษ ตามมาตรา 22 แหง่ พระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี 7) พ.ศ. 2562 โดยรายละเอียดผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม หรือการครอบครองก่อนหน้านไ้ี ม่ผิด และให้มาแจ้งภายใน 90 วัน ฉบับท่ี 2 เร่ืองการครอบครองยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา สาหรับผู้ป่วยที่มี ความจาเป็นต้องใช้เพื่อรักษาโรคเฉพาะตัว ก่อนพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี 7) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับให้ไม่ต้องรับโทษ ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยที่มีความจาเป็นต้องใช้กัญชารักษาตัว และมี ครอบครองกอ่ นกฎหมายใช้บังคบั และฉบบั ที่ 3 เรื่อง การแจ้งการมีไวใ้ นครอบครองกญั ชา สาหรบั ผู้มี คุณสมบัติตามมาตรา 26/5 และบุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ป่วยตามมาตรา 22 (2) ก่อนพระราชบัญญัติยาเสพ ติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับให้ไม่ต้องรับโทษ กล่าวคือ บุคคลท่ีไม่ใช่กลุ่มที่ 1 และ

151 กล่มุ ท่ี 2 โดยในฉบับนี้ ใหห้ นว่ ยงานหรอื บุคคลผู้ครอบครองกัญชาก่อนกฎหมายมผี ลใชบ้ ังคับเพ่ือประ โยชน์ทางการแพทย์การรักษาผู้ปว่ ย การใชร้ กั ษาโรคเฉพาะตวั หรอื การศกึ ษาวิจัย เรือ่ งที่ 9 กฎหมายระหว่างประเทศเกย่ี วกบั กญั ชาและกัญชง กกกกกกก ปัจจุบันสถานการณ์ยาเสพติดของโลกยังรุนแรงและต้องการหาแนวทางในการแก้ปัญหา โดยเน้นท่ีการป้องกันการใช้ยาเสพติดที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะในเยาวชน ด้วยความตระหนักดีว่าปัญหายาเสพติดอาจมีส่วนชกั นาใหเ้ กิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาวัยรุ่น ปัญหาโสเภณี ซ่องโจร และการพนัน เป็นต้น ซ่ึงปัญหาที่กล่าวมามีผลกระทบกระเทือน ต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตลอดจนถึงด้าน เศรษฐกิจด้วย จึงได้มีความร่วมมือระหว่างประเทศเพ่ือยับย้ังการแพร่ระบาดยาเสพติด ดังนั้น ในเวที ระหว่างประเทศจึงได้มีความตกลงเพ่ือเป็นการหยุดย้ังการแพร่ระบาดของยาเสพติด ด้วยเหตุน้ี องคก์ ารสนั นิบาตชาติ และองคก์ ารสหประชาชาติ ไดม้ ีกฎหมายระหวา่ งประเทศท่เี กย่ี วกับการควบคุม ยาเสพติดหลายฉบับ สาหรับประเทศไทยในมิติด้านความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น ประเทศไทย ได้เข้าเป็นรัฐภาคี จานวน 4 ฉบับด้วยกัน คือ ฉบับที่ 1 อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 ฉบับที่ 2 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ฉบับท่ี 3 อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุท่ีออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 และ ฉบับที่ 4 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติท่ีจัดตั้งในลักษณะองค์กร ค.ศ. 2000 กกกกกกก ตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ได้บัญญัติ สารสกัดจากกัญชา จัดให้อยู่ในตารางการควบคุมในบัญชีเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทท่ี 1 และยางกัญชาเป็นยาเสพ ติดให้โทษในประเภท 4 โดยห้ามปลูก ผลิต ส่งออก นาเข้า ค้าขาย ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ เว้นแต่เพื่อใช้ทางการแพทย์หรือการศึกษาวิจัยเท่านั้น ภาคีประเทศต้องกาหนดมาตรการควบคุม ป้องกันมใิ ห้มีการนาใบของพชื กัญชาไปในทางท่ีผิด หรือทาการคา้ ทีผ่ ดิ กฎหมาย กกกกกกก อนุสญั ญาของสหประชาชาติ (United Nation, UN) กกกกกกก อนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสากลขององค์การสหประชาชาติเป็นข้อตกลงสากลสงู สุด ในเรื่องการควบคุมยาเสพติดอย่างเช่น กัญชา อนุสัญญาดังกล่าวกาหนดความรับผิดชอบร่วมกันใน ระดบั สากล สาหรับการควบคุมการผลิต การคา้ และการใช้ยาควบคมุ กกกกกกก โดยท่วั ไปแล้วแต่ละประเทศจะกาหนดกฎหมายว่าด้วยยาซึง่ สัมพันธ์กบั การออกกฎหมาย และข้อบังคับเก่ียวกับยารักษาโรค สาหรับกัญชาทางการแพทย์ อานาจและมาตรการควบคุมของ ประเทศอ่ืน ๆ มีเปา้ หมาย 3 ประการ ดงั นี้

152 กกกกกกก ประการท่ี 1 ควบคุมการเข้าถึงและการใชก้ ญั ชาทางการแพทย์ที่ชอบด้วยกฎหมาย กกกกกกก ประการท่ี 2 เปิดโอกาสให้สามารถเขา้ ถึงกัญชาทมี่ าจากวิธีการทางเภสชั กรรมเพ่ือ วัตถปุ ระสงค์ทางการแพทย์บางกรณีในปริมาณที่เพยี งพอ กกกกกกก ประการที่ 3 อนุญาตใหส้ ามารถมีการเพาะปลูก และผลิตกัญชาเพ่ือวตั ถปุ ระสงค์ ดงั กลา่ ว กกกกกกก ประเทศที่ลงนามในอนุสัญญามีภาระหน้าท่ีในการควบคุมการส่งออก นาเข้า และ การขายส่งกญั ชา และยาเตรียมจากกัญชาอย่างระมดั ระวงั ซึ่งสว่ นมากแลว้ มักจะเป็นหน้าทร่ี ับผดิ ชอบ ของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ ซ่ึงร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการควบคุมสารเสพติด นานาชาติ (INCB) ในกรงุ เวยี นนา กกกกกกก ทุกชาติต่างจาเป็นต้องทางานร่วมกันกับ INCB ซึ่งเป็นผู้ควบคุมการหมุนเวียนของกัญชา และยาควบคุมชนิดอ่ืน ๆ ท่ีมีเจตนาเพ่ือการใช้ทางการแพทย์ทั่วโลกแต่ละประเทศจะเสนอจานวน คาดการณ์ของความจาเปน็ สาหรับกัญชาทางการแพทย์ในระดับชาติเปน็ รายปี การคาดการณ์ดงั กล่าว น้ีจะจากัดปริมาณของกัญชาที่จะสามารถเข้าถึงได้ในแต่ละปี ซ่ึงเป็นการสร้างความมั่นใจว่าการผลิต การคา้ และการใช้กัญชาโดยชอบดว้ ยกฎหมายจะเพยี งพอสาหรบั ความจาเป็นทางการแพทย์ และทาง วิทยาศาสตร์ของชาติ โดยไม่จาเป็นตอ้ งหนั ไปอาศยั ตลาดมดื กกกกกกก ข้อกาหนดดังกล่าวท่ีมีผลผูกมัด ให้ประเทศที่ลงนามอนุสัญญาน้ีต้องควบคุมการส่งออก นาเข้า และขายส่งกัญชาและยาท่ีผลิตจากกัญชาอย่างระมัดระวัง แต่สาหรับประเทศไทยเรายังไม่มี ความพร้อมเรื่องระบบการควบคุม ถึงเราจะมีความพร้อมด้านการปลูกกัญชา แต่องค์การ สหประชาชาติ มีข้อกาหนดเร่ืององคก์ รกลางในการกากับดูแลการใชก้ ัญชาทางการแพทย์ กลา่ วคือ ใน กรณที มี่ กี ารเพาะปลกู กญั ชา หน่วยงานของรฐั จะตอ้ งจัดตั้งองคก์ รกลาง หรอื หน่วยงานกัญชาแห่งชาติ ขึ้นมากากับดูแลเขตพื้นที่และที่ดินท่ีจะปลูกกัญชาและจัดตั้งระบบการออกใบอนุญาต ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยมสี านักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปน็ องคก์ รกลางทรี่ บั ผิดชอบอยู่ แตป่ ญั หา ที่เกิดขึ้นภายหลังจากท่ีกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว คือประเทศไทยมีการเปิดเสรีให้ใช้กัญชาทาง การแพทย์เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี 7) พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันท่ี 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ปัญหาที่เกิดข้ึนมาตามคือ ไม่มีกัญชาในปริมาณที่เพียงพอสาหรับรกั ษาผู้ป่วยท่ีมีความจาเป็นต้องใช้กัญชาเพ่ือการรักษาโรคต้อง ไปหากัญชามาจากแหล่งท่ีไม่อาจเปิดเผยได้ หรือตลาดมืดทาให้เกิดความสับสนแยกไม่ออกระหว่าง พวกธุรกิจท่ีถูกและผิดกฎหมาย พวกท่ีเสพเพื่อนันทนาการสนุกสนาน หรือผู้ป่วยที่มีความจาเป็นต้อง ใช้ในการรักษา คือ แยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นผู้ป่วยหรือพวกแอบแฝงเป็นผู้ป่วย ปัญหาตามมาคือ สานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จะดาเนินการปราบปรามก็ทาได้ไม่ค่อยถนดั นกั เพราะเป็นเรื่องของจริยธรรม มนุษยธรรม และยากท่ีจะแยกแยะออกได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้เสพ

153 บุคคลใดเป็นผู้ครอบครอง และบุคคลใดเป็นผู้จาหน่ายได้ มีระบบกากับควบคุมสง่ ออก ขายส่ง กัญชา และยาท่ีผลิตจากกัญชา ที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นส่ิงท่ีรัฐต้องดาเนินการให้ชัดเจน เข้มงวด กวดขัน และทั่วถึง ให้มีประสิทธิภาพโดยทาให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้จริง และ ต้องแยกแยะผู้ป่วยกับผู้ท่ีแอบแฝงเป็นผู้ป่วยให้ได้ เม่ือถึงจุดน้ันการป้องกันและปราบปรามยาเสพตดิ ก็จะสามารถทาได้อยา่ งประสบผลสาเรจ็ กกกกกกก กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยในมิติด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้เข้าเป็นรัฐภาคี จานวน 4 ฉบับดว้ ยกัน คอื ฉบับที่ 1 อนุสญั ญาเดี่ยววา่ ด้วยยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไข อนุสัญญาเด่ียววา่ ด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 ฉบับท่ี 2 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออก ฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ฉบับที่ 3 อนุสัญญาสหประชาชาติวา่ ด้วยการต่อต้านการลักลอบ ค้ายาเสพตดิ และวตั ถุที่ออกฤทธติ์ อ่ จิตและประสาท ค.ศ. 1988 และฉบับที่ 4 อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมขา้ มชาติทจ่ี ัดตง้ั ในลักษณะองค์กร ค.ศ. 2000 กกกกกกก ตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ได้บัญญัติกัญชา สารสกัดจาก กัญชา จัดให้อยู่ในตารางการควบคุมในบัญชเี ป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และยางกัญชาเปน็ ยา เสพติดให้โทษในประเภท 4 โดยห้ามปลูก ผลิต ส่งออก นาเข้า ค้าขาย ครอบครองหรือใช้ ประโยชน์ เว้นแต่เพ่ือใช้ทางการแพทย์หรือการศึกษาวิจัยเท่านั้น ภาคีประเทศต้องกาหนดมาตรการ ควบคุมป้องกนั มใิ ห้มกี ารนาใบของพืชกัญชาไปในทางท่ผี ดิ หรือทาการค้าท่ีผิดกฎหมาย กกกกกกก นอกจากนี้อนุสัญญาของสหประชาชาติ (United Nation, UN) เป็นข้อตกลงสากลสูงสุด ในเรื่องการควบคุมยาเสพติดอย่างเช่น กัญชา อนุสัญญาดังกล่าวกาหนดความรับผิดชอบร่วมกันใน ระดบั สากล สาหรับการควบคุมการผลติ การคา้ และการใชย้ าควบคมุ โดยท่วั ไปแลว้ แตล่ ะประเทศจะ กาหนดกฎหมายว่าด้วยยาซ่ึงสัมพันธ์กับการออกกฎหมายและข้อบังคับเก่ียวกับยารักษาโรค สาหรับ กัญชาทางการแพทย์ อานาจและมาตรการควบคุมของประเทศอ่ืน ๆ มีเป้าหมาย 3 ประการ ดังน้ี ประการท่ี 1 ควบคุมการเข้าถึงและการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ประการ ที่ 2 เปดิ โอกาสให้สามารถเขา้ ถึงกัญชาที่มาจากวิธีการทางเภสัชกรรมเพ่ือวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ บางกรณีในปริมาณท่ีเพียงพอ ประการท่ี 3 อนุญาตให้สามารถมีการเพาะปลูก และผลิตกัญชาเพื่อ วตั ถุประสงคด์ งั กลา่ ว โดยประเทศทีล่ งนามในอนุสัญญามีภาระหน้าที่ในการควบคุมการสง่ ออก นาเขา้ และการขายสง่ กัญชา และยาเตรียมจากกญั ชาอยา่ งระมดั ระวงั กกกกกกก กกกกกกก ข้อกาหนดดังกล่าวท่ีมีผลผูกมัด ให้ประเทศที่ลงนามอนุสัญญาน้ีต้องควบคุมการส่งออก นาเข้า และขายส่งกัญชาและยาท่ีผลิตจากกัญชาอย่างระมัดระวัง แต่สาหรับประเทศไทยเรายังไม่มี ความพร้อมเร่ืองระบบการควบคุม ถึงเราจะมีความพร้อมด้านการปลูกกัญชา แต่องค์การ สหประชาชาติ มีข้อกาหนดเรื่ององค์กรกลางในการกากับดูแลการใช้กัญชาทางการแพทย์ ซ่ึงขณะนี้ ประเทศไทยมีสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นองค์กรกลางที่รับผิดชอบอยู่

154 แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่กฎหมายมีผลใช้บังคับแลว้ คือประเทศไทยมีการเปิดเสรีให้ใช้กัญชา ทางการแพทย์เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทาให้ไม่มีกัญชาในปริมาณที่ เพียงพอสาหรับรักษาผู้ป่วยท่ีมีความจาเป็นต้องใช้กัญชาเพ่ือการรักษาโรคต้องไปหากัญชามาจาก แหล่งท่ีไมอ่ าจเปดิ เผยได้ หรอื ตลาดมืดทาให้เกิดความสบั สนแยกไม่ออกระหว่างพวกธุรกิจท่ีถกู และผิด กฎหมาย พวกที่เสพเพ่ือนันทนาการสนุกสนาน หรือผู้ป่วยที่มีความจาเป็นต้องใช้ในการรักษา ซึ่ง สานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จะดาเนินการปราบปรามก็ทาได้ไม่ค่อยถนดั นกั เพราะเป็นเรื่องของจริยธรรม มนุษยธรรม และยากที่จะแยกแยะออกได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้เสพ บุคคล ใดเป็นผ้คู รอบครอง และบคุ คลใดเป็นผู้จาหน่ายได้ มรี ะบบกากับควบคุมส่งออก ขายสง่ กัญชาและยา ท่ผี ลิตจากกญั ชา ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ จงึ เป็นส่ิงที่รัฐต้องดาเนนิ การใหช้ ดั เจน เขม้ งวด กวดขัน และท่ัวถึง ให้มีประสิทธิภาพโดยทาให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้จริง และต้อง แยกแยะผู้ป่วยกับผู้ท่ีแอบแฝงเป็นผู้ป่วยใหไ้ ด้ เมื่อถึงจุดน้ันการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดก็จะ สามารถทาไดอ้ ย่างประสบผลสาเร็จ กจิ กรรมท้ายบท กกกกกกก1. กิจกรรมที่ 1 กกกกกกกกก คาชี้แจง : โปรดเลอื กตัวอักษรหน้าขอ้ ท่ผี ูเ้ รียนคดิ ว่าข้อนัน้ เป็นคาตอบที่ถูกต้องที่สุด เพียงข้อเดียว แลว้ เขียนคาตอบลงในกระดาษของผเู้ รียน กกกกกกกกก ข้อ 1 นายวิทยามีความรู้เรื่องพชื สมุนไพร จึงปลุกระดมใหช้ าวบ้านปลูกพชื กัญชาผสม กบั พชื สมนุ ไพรอ่ืน ๆ และกล่าวอา้ งสรรพคุณพืชกญั ชาว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ทาใหช้ าวบ้าน หลงเช่อื และปฏิบตั ติ าม เม่ือเจ้าหนา้ ท่ีตารวจมาตรวจพบ จึงดาเนินคดีตามกฎหมาย ถือว่าชาวบ้านมี ความผิดหรือไม่ เพราะเหตใุ ด ก. มคี วามผดิ เพราะเปน็ ผู้ผลิตและมีไวใ้ นครอบครอง ข. ไม่มีความผดิ เพราะใช้รักษาโรค และไม่มีเจตนาทาผดิ ค. มคี วามผิด เพราะเปน็ ผผู้ ลติ ผู้บรโิ ภค และผู้จาหน่าย ง. ไม่มีความผิด เพราะไมม่ ีความรู้เรื่องของยาเสพตดิ ให้โทษ กกกกกกกกก ข้อ 2 ปจั จยั ใดเป็นสาเหตุที่ทาให้มีการแก้ไขกฎหมายเก่ยี วกบั พชื กัญชาและพืชกัญชง ของ พระราชบญั ญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบบั ที่ 7) พ.ศ. 2562 ก. เพื่อนากญั ชามาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ ข. เพอื่ ใหส้ อดคล้องตามกฎหมายสากล ค. เพอ่ื ให้เหมาะสมกบั สถานการณป์ ัจจุบนั ง. เพอ่ื การนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชา

155 กกกกกกกกก ข้อ 3 ถ้านักศึกษาพบเหน็ ผจู้ าหน่ายยาเสพตดิ นักศึกษาควรทาอย่างไร ก. แจ้งตารวจให้ทราบ ข. ไมย่ ุ่งเก่ียวจะทาใหต้ นเองเดอื ดร้อน ค. แนะนาผ้เู สพให้ไปบาบดั รักษาการตดิ ยาเสพติด ง. วา่ กลา่ วตักเตอื นผเู้ สพไมใ่ ห้เสพยาเสพยาเสพตดิ กกกกกกกกก ข้อ 4 ในทางกฎหมายไดจ้ าแนกความแตกตา่ งของพืชกัญชา และพชื กญั ชงจากสว่ นประกอบใด ก. จาแนกตามปริมาณสาร CBD ข. จาแนกตามปริมาณสาร THC ค. จาแนกตามปรมิ าณสาร TCB ง. จาแนกตามปรมิ าณสาร CDB กกกกกกกกก ข้อ 5 ข้อใดเปน็ ความหมายของคาว่า “กญั ชา” ตามท่บี ญั ญตั ิไว้ในกฎหมายที่ถูกตอ้ งทส่ี ดุ ก. ทุกส่วนของพชื กัญชา ยกเว้นเปลือกแห้ง แกนลาต้นแห้ง เสน้ ใยแหง้ ข. ส่วนทีเ่ ป็นใบของพืชกญั ชา ยกเวน้ เปลอื กแหง้ แกนลาตน้ แห้ง เส้นใยแห้ง ค. ส่วนทเ่ี ปน็ ดอกของพืชกัญชา ยกเวน้ เปลอื กแห้ง แกนลาตน้ แห้ง เสน้ ใยแหง้ ง. ส่วนทเ่ี ปน็ กะหลขี่ องพชื กัญชา ยกเวน้ เปลือกแห้ง แกนลาต้นแห้ง เส้นใยแห้ง กกกกกกก2. กิจกรรมที่ 2 คาช้ีแจง : โปรดจับคูข่ อ้ มูลทอ่ี ย่ขู ้างหลังตัวอักษรทีต่ รงกบั ตวั เลขของข้อนั้น ๆ ให้ถูกตอ้ ง แล้วนาตัวอักษรของหนา้ ข้อมูลมาใส่หน้าตวั เลขตรงกับข้อน้ัน ๆ .......... 1. นโยบายการแก้ไขปญั หา “ยาเสพตดิ ก. แคนนาบไิ ดออล (canabidiol, CBD) แนวใหม่” ข. เตตราไฮโดรแคนนาบินอล .......... 2. กัญชา (tetrahydrocannabinol, THC) .......... 3. สารวตั ถอุ อกฤทธิ์ประเภท 1 ค. สารเคมีหรือวตั ถใุ ด ๆ ทีน่ าเข้าสรู่ า่ งกายแลว้ .......... 4. ยาเสพติดให้โทษ ทาใหร้ ่างกาย จติ ใจทรุดโทรม .......... 5. หนงั สือสาคัญทร่ี ฐั ออกให้เพ่ือคุ้มครอง ง. กระตนุ้ ประสาท ทาให้ประสาทหลอน นึกคดิ สง่ิ ประดษิ ฐ์หรือออกแบบผลิตภัณฑ์ สับสน จ. สมศักด์ิตดิ สารเสพติดและอยากจะเลิก ฉ. ลิขสทิ ธ์ิ ช. สทิ ธิบัตร ซ. พชื สมนุ ไพรท่ีนามาปรุงอาหารและผลิต เครื่องสาอาง กกกกกกก

156 3. กิจกรรมท่ี 3 คาช้ีแจง : โปรดทาเครื่องหมายถูก () หรือเครื่องหมายผิด () ลงหน้าข้อตัวเลขที่ ผู้เรียนอ่านข้อมูล แล้วคิดว่าคาตอบน้ีถูก ให้ทาเคร่ืองหมาย () ถ้าคิดว่าข้อมูลที่อ่านเป็นคาตอบ ทผี่ ิดให้ทาเครือ่ งหมาย () .......... 1. นายขาวใชอ้ ุบายหลอกลวงขม่ ขนื ใจผู้อน่ื ผลิต นาเขา้ ครอบครองเพื่อจาหน่ายไดร้ ับโทษ เปน็ 2 เทา่ ท่ีกฎหมายกาหนดไว้ .......... 2. นายเขียวนากญั ชามาสกัดเปน็ น้ามันกญั ชา สามารถนามายน่ื ขอจดสิทธบิ ตั รการประดิษฐไ์ ด้ .......... 3. อนุสัญญาของสหประชาชาติ (United Nation : UN) อนุญาตใหส้ ามารถเพาะปลูกกญั ชา ไดเ้ สรี และผลิตกัญชาเพ่ือจดั จาหน่ายได้ .......... 4. ผู้กระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติดให้โทษจะได้รับโทษมากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของ ยาเสพติด .......... 5. นายแดงประกอบอาชพี เกษตรกร สามารถปลกู กญั ชา เพื่อประโยชน์ทางการเกษตรกรรมได้

บทท่ี 5 กญั ชาและกัญชงกบั การแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก สาระสาคัญ กกกกกกก1. ประวตั ิความเปน็ มาการใช้กัญชาเป็นยาทางการแพทย์ในต่างประเทศ กกกกกกก1. ในต่างประเทศ พบหลักฐานบันทึกไว้ว่า มีการใช้กัญชาเปน็ ยารักษา หรือควบคุมอาการของ โรคต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ได้แก่ โปรตุเกส สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศจีน อินเดีย และอิหร่าน มาอยา่ งช้านาน ในบางประเทศมีหลกั ฐานวา่ เคยมีการใชก้ ญั ชามานานกวา่ 4,700 ปี กกกกกกก2. ประวัติความเป็นมาการใช้กัญชาในการแพทย์ทางเลือกของไทย กกกกกกก1. ในประเทศไทยมีหลักฐานการใช้กัญชาในการรักษา หรือควบคุมอาการของโรคต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีการรวบรวมไว้เป็นตารายาหลายเล่ม และสูตรยา หลายขนาน เช่น ตาราพระโอสถพระนารายณ์ ตาราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ พระคัมภีร์ปฐมจินดา พระคัมภีร์มหาโชตรัต พระคัมภีร์ชวดาร และพระคัมภีร์กษัย เป็นต้น มีการระบุตารับยาท่ีใช้กัญชา หรือมีกญั ชาเปน็ ส่วนประกอบทีใ่ ชใ้ นการรักษา นับแต่ในอดตี สืบเนื่องกันมา กกกกกก3. ตารับยาที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบที่ได้มีการคัดเลือก และรับรองโดยกระทรวงสาธารณสุข ในปัจจุบัน พ.ศ. 2562ประกาศใช้ท้ังหมด 16 ตารับ ได้แก่(1) ยาอัคคินีวคณะ (2) ยาศุขไสยาศน์(3) ยา แก้ลมเนาวนารีวาโย (4) ยาน้ามันสน่ันไตรภพ (5) ยาแก้ลมขึ้นเบ้ืองสูง (6) ยาไฟอาวุธ(7) ยาแก้นอนไม่ หลับหรือยาแก้ไข้ผอมเหลือง (8) ยาแก้สัณฑฆาต กล่อนแห้ง(9) ยาอัมฤตย์โอสถ (10) ยาอไภยสาลี (11) ยาแก้ลมแก้เส้น(12) ยาแก้โรคจิต (13) ยาไพสาลี(14) ยาทาริดสีดวงทวารหนักและโรคผิวหนัง (15) ยาทาลายพระสุเมรุและ (16) ยาทัพยาธิคณุ กกกกกก4. ภูมิภเู บศรรวบรวมและเผยแพร่ภูมิปัญญาไทย กกกกกก4.ภูมิภูเบศรศูนย์การเรียนรสู้ มุนไพรครบวงจร ภายใต้แนวคิดการพึ่งพาตนเอง เกี่ยวกับการ ดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร ประกอบด้วย (1) เรือนหมอพลอย (2) สวนสมุนไพรภูมิภูเบศร และ (3) อภัยภเู บศรโมเดล กกกกกกก5. ภมู ปิ ัญญาหมอพื้นบา้ นนายเดชา ศริ ภิ ทั ร กกกกกกก4.นายเดชา ศิริภัทร หมอพ้ืนบ้าน ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เป็นผู้ที่ได้นากัญชามารักษา โรคตามตารับยาพ้ืนบ้านไทยจากกระแสความนิยมที่มาจากตะวันตก ได้เริ่มทดลองใช้กัญชารักษา ตัวเอง โดยนาความรู้พ้ืนฐานในการสกัดท่ีเผยแพร่โดย ริค ซิมป์สัน (Rick Simpson) ชาวอเมริกันท่ี

158 ป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้วสกัดกัญชารักษาโรคมะเร็งที่ตัวเองเป็นมาผสมผสานกับความรู้พ้ืนบ้าน เป็น น้ามันเดชา (Decha Oil) นามาใช้กับตนเองในการช่วยให้นอนหลับได้ลึกขึ้น หลงลืมง่าย และต้อเนื้อ ในตาในช่วง 4-5 ปี ท่ีผ่านมา จึงขยายผลเผยแพร่ ทายาแจกให้ผู้ป่วยโรคต่าง ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นจานวนมากกว่า 4,000 ราย ปัจจุบัน น้ามันเดชาได้รับการรับรองให้เป็นตารับยาพ้ืนบ้าน ของ กระทรวงสาธารณสุข ซ่ึงหมอพ้ืนบ้านผู้เป็นเจ้าของตารับยาสามารถจ่ายให้กับผู้ป่วยของตนเองได้ และ กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างทาการวิจัยเพ่ือวิจัยพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสูตร การรกั ษาดงั กล่าว ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวัง 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาการใช้กัญชาเป็นยา ทางการแพทย์ในต่างประเทศ และในการแพทย์ทางเลือกของไทย ตารับยาท่ีมีกัญชาเป็น ส่วนประกอบท่ีได้มีการคัดเลือกและรับรองโดยกระทรวงสาธารณสุข ภูมิภูเบศรรวบรวมและ เผยแพร่ภูมิปัญญาไทย และภมู ิปัญญาหมอพื้นบา้ น นายเดชา ศริ ภิ ทั ร 2. เพอ่ื ให้ผู้เรียนมีทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งสามารถ นาความรู้ที่ได้จากการศึกษากัญชากับการแพทย์ทางเลือกไปแนะนาบุคคลในครอบครัว หรือ เพ่ือน หรอื ชมุ ชน 3. ตระหนักถึงคุณค่า ความสาคัญ ของกัญชากับการแพทย์ทางเลือก โดยเฉพาะภูมิปัญญา ภูมิภูเบศรรวบรวมและเผยแพร่ภูมิปัญญาไทยและตระหนักถึงภูมิปัญญาหมอพ้ืนบ้านนายเดชา ศิริภัทร กบั การใช้กญั ชาเปน็ ยา ขอบขา่ ยเนื้อหา กกกกกกกบทที่ 5 กัญชงและกญั ชากบั การแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือกมีขอบข่ายเน้อื หาดงั น้ี กกกกกกกบทที่ 5เรอื่ งท่ี 1 ประวตั คิ วามเปน็ มาการใช้กัญชาเปน็ ยาทางการแพทย์ในตา่ งประเทศ กกกกกกกบทที่ 5เรอื่ งที่ 2ประวัติความเป็นมาการใช้กัญชาในการแพทย์ทางเลือกของไทย กกกกกกกบทที่ 5เรือ่ งท่ี 3 ตารบั ยาทม่ี ีกัญชาเป็นสว่ นประกอบท่ีไดม้ ีการคัดเลอื ก และรับรองโดย กกกกกกกบทที่ 5 เร่ืองท่ี 3 กระทรวงสาธารณสขุ กกกกกกกบทที่ 5เรอ่ื งท่ี 4 ภูมิภูเบศรรวบรวมและเผยแพร่ภมู ปิ ัญญาไทย กกกกกกกบทที่ 5เร่ืองท่ี 5 ภมู ปิ ญั ญาหมอพื้นบา้ นนายเดชา ศิรภิ ทั ร

159 สือ่ ประกอบการเรยี น กกกกกกก1. ช่อื หนังสือ สาระทกั ษะการดาเนนิ ชีวิต รายวชิ า ทช33098กญั ชาศกึ ษาใช้เปน็ ยาอย่าง ชาญฉลาด ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ผู้เขียนสานักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศยั กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์ เอกพิมพไ์ ทย ปีทีพ่ ิมพ์ 2562 กกกกกกก2. ชือ่ หนังสือสุริยันกัญชา อัมฤตย์โอสถแห่งความหวัง ผู้เขียน ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สานกั พมิ พ์บา้ นพระอาทิตย์ ปที ีพ่ ิมพ์ 2562 กกกกกกก3. ชื่อหนังสอื กญั ชารักษามะเรง็ ผู้เขียน สมยศ ศุภกจิ ไพบลู ย์ สานักพิมพป์ ญั ญาชน ปที ่ีพมิ พ์2562 กกกกกกก4. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง กาหนดตารับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ท่ีมีกัญชา ปรงุ ผสมอยู่ ทใ่ี ห้เสพเพ่อื รักษาโรคหรือการศกึ ษาวิจัยได้ ปีท่ีประกาศ2562 กกกกกกก5. ภูมิปัญญานายเดชาศริ ิภทั รทีอ่ ยู่ 13/1 หมูท่ ่ี 3 ถนนเทศบาลทา่ เสดจ็ 1 ซอย 6 ตาบล สระแก้ว อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบรุ ี กกกกกกก6. ภมู ิภูเบศรตาบลบางเดชะ อาเภอเมืองปราจีนบุรี จงั หวดั ปราจีนบุรี 25000หมายเลข โทรศพั ท์ 0970973582 เรือ่ งท่ี 1 ประวตั คิ วามเปน็ มาการใชก้ ญั ชาเป็นยาในทางการแพทย์ในต่างประเทศ ประวัติศาสตร์กับการใช้กัญชาทางการแพทย์ในอดีต กัญชาถูกบันทึกว่ามีการใช้เพ่ือบาบัดรักษา อาการของโรคต่าง ๆ มาต้ังแต่สมัยโบราณ โดยพบหลักฐานบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดย้อนไปเมื่อ 4,700 ปี ก่อน และได้มีการบันทึกไว้ว่ากัญชาสามารถใช้รักษาโรคได้มากกวา่ 100 ชนิด ในประเทศอินเดียเมื่อ 4,000 ปี ก่อนในคัมภีร์ของศาสนาฮินดูว่า กัญชาเป็น 1 ใน 5 สมุนไพรที่ สาคญั ท่ใี ช้ในการบูชาพระศิวะ มสี รรพคณุ สร้างความสุขและอสิ รภาพ 2,737 ปี ก่อนคริสต์ศักราช (BCE)กัญชาถูกใช้เป็นยาโดยจักรพรรดิ เซ็น นึง (Shen Nung) แห่ง ราชอาณาจักรจีน บันทึกในตารายาเก่าแก่ของจีน ใช้กัญชาเป็นยารักษาข้ออักเสบ มาลาเรีย เหน็บชา ท้องผูก อาการเหม่อลอย ค.ศ. 70 หรือ พ.ศ. 613 ไดออสคอรีตส์ (Dioscorides) แพทย์ทหารผู้เขียนหนังสือเรื่อง เดอ มะที เรียะ เมด-อิค (De Materia Medica) ตาราพืชสมุนไพรในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ท่ีถือเป็นตารา ทางด้านสมุนไพรรักษาโรคทด่ี ที ส่ี ุดในยคุ นน้ั ไดบ้ รรจกุ ญั ชาเป็นสว่ นหนง่ึ ในตารบั ยาของเขา ค.ศ. 1000 หรือ พ.ศ.1543ในดินแดนที่เรียกว่าเปอร์เซีย หรือบริเวณประเทศอิหร่านในปัจจุบัน หมอ อวิเซนน่า (Avicenna) เขียนในตาราแพทย์สมัยนั้นระบุว่า กัญชาใช้เป็นยารักษาโรคเก๊าต์ อาการบวม แผลติดเชื้อ และอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงไดผ้ ลดี

160 ค.ศ. 1563 หรือ พ.ศ. 2106 การ์ซีอา ดือ ออร์ตา (Garcua da Orta) แพทย์ชาวโปรตุเกสรายงานเกี่ยวกับ คณุ ประโยชน์ทางดา้ นยาของกญั ชา ค.ศ.1621 หรือ พ.ศ. 2164หนังสือชื่อ The Anatomy of Melancholy เขียนโดย โรเบิร์ต เบอร์ ตัน (Robert Burton)ผู้เช่ียวชาญด้านโรคซึมเศร้าจากมหาวิทยาลัย Oxford ระบุว่ากัญชาอาจช่วย รกั ษาอาการของโรคซมึ เศรา้ ได้ ค.ศ. 1764 หรือ พ.ศ. 2307 การใช้กัญชาทางการแพทย์ เริ่มเกิดข้ึนในสหรัฐอเมริกา โดยรัฐแรกที่มี การใชน้ า่ จะเป็น New Englandปรากฏมกี ารขายยาท่มี ีกญั ชาเป็นสว่ นผสม ค.ศ. 1851 หรือ พ.ศ. 2394 กัญชาได้รับการบรรจุอยู่ในตารายาของสหรัฐอเมริกา แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1942 ไดถ้ ูกถอดถอนออกไป นายแพทย์ เจ.รัสเซล เรโนลส์ (John Russell Reynolds) แพทย์ประจาราชสานักอังกฤษ ได้บันทึก ประสบการณ์การใช้กัญชารักษาโรคในระยะเวลา 30 ปีของตน ตีพิมพ์ในวารสารแลนเซต ปี ค.ศ. 1890 หรือเม่อื ประมาณ 130 ปมี าแลว้ โดยได้บรรยายการใช้กัญชารักษาโรคตา่ ง ๆในรูปแบบทงิ เจอร์ ขนาด 15-20 มิลลิกรัม พบว่า ได้ผลดีในโรคความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่อาการนอนไม่หลับ กระสับกระสา่ ย ภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ความเจ็บปวดและอาการชา ไดแ้ ก่อาการปวดทุก ชนิด โดยเฉพาะอาการปวดจากระบบประสาท อาการปวดเร้ือรัง ปวดไมเกรน ปวดข้อ อาการชาแขน ขา ปวดประจาเดือน โรคกล้ามเน้ือกระตุกเกร็ง อาการชักบางชนิด กล้ามเนื้อขาเป็นตะคริวเวลา กลางคืน และสามารถใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้ด้วย ได้แก่ หอบหืด แต่การใช้กัญชาทางการแพทย์ก็ต้อง ยตุ ลิ งเชน่ เดยี วกับสหรฐั อเมรกิ า กกกกกกกกล่าวโดยสรุปในต่างประเทศ พบหลักฐานบันทึกไว้ว่า มีการใชก้ ัญชาเป็นยารักษา หรอื ควบคุม อาการของโรคต่าง ๆ ในทวีปยโุ รป ได้แก่ โปรตุเกส สหรฐั อเมริกา องั กฤษ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศจีน อนิ เดียและอิหรา่ นมาอยา่ งช้านาน ในบางประเทศมีหลกั ฐานวา่ เคยมกี ารใชก้ ญั ชามานานกว่า 4,700 ปี เรือ่ งท่ี 2 ประวัติความเป็นมาการใช้กัญชาในการแพทย์ทางเลือกของไทย เร่ืองท่ี 2การใช้กัญชาเป็นยาในประเทศไทย มีทั้งหลักฐานท่ีมีการบันทึกในตาราทางการแพทย์แผนไทย และการใช้ของชาวบ้าน ในส่วนที่บันทึกในตาราทางการแพทย์แผนไทย กัญชามักเป็นหน่ึงในน้ัน โดย ตารับยากัญชาท่ีชาวบ้านใช้จะใช้รักษาโรคและอาการง่าย ๆมักจะใช้ตัวเดียวหรือมีสมุนไพรอื่นเป็น ส่วนประกอบเพียงไม่กี่ชนิด ตารับยาที่เข้ากัญชาในทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน มักจะใช้การทาเป็นยาผง ยาต้ม ยาภายนอกมียาพอก ยาน้ามัน ไม่พบยาเคี่ยวน้ามันที่นามากินหรือ หยดใต้ล้นิ ตารับยาทีม่ กี ัญชาเปน็ สว่ นประกอบมีความเปน็ มาและรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี

161 1. สมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2174 - 2231) ประเทศไทยมีการใช้กัญชาเพ่ือการรักษาโรคมาเป็นเวลานานโดยมีหลักฐานเป็นตา รับย า สืบค้นกันไปได้ถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังปรากฏในคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ ฉบับ ใบลาน (ตาราพระโอสถพระนารายณ์) เน่ืองจากเป็นต้นสาแหรกของตาราการแพทย์แผนไทย และ เภสัชตารับฉบับแรกของประเทศไทย เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพชนได้สะสมองค์ความรู้ พัฒนา และถา่ ยทอดสบื เนอ่ื งกันมา ตั้งแต่สมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สะท้อนคณุ ค่าท้ังทางด้าน ประวัติศาสตร์ สังคม และการแพทย์แผนไทยในสมัยอยุธยาตอนปลาย รวมท้ังมีการอธิบายถึงทฤษฎี การแพทย์แผนไทย สมมุติฐานของโรค ความผิดปกติของธาตุทั้ง 4 วิธีการและข้ันตอนในการรักษาของ ผคู้ นในสงั คมในสมัยอยุธยาการปรุงยา และสตู รตารับที่ใช้สมุนไพรไทย และสมุนไพรจากต่างประเทศ จานวน 81 ตารับ ในสมยั อยุธยาเรียก “กญั ชา” วา่ “การชา” ภาพท่ี 58 ชุดตาราภมู ปิ ญั ญาการแพทย์แผนไทยฉบบั อนรุ ักษไ์ ทยคัมภีร์ธาตพุ ระนารายณ์ ฉบับใบลาน(ตาราพระโอสถพระนารายณ)์ “หมอสยามไม่พยายามที่จะศึกษาสรรพคุณของตัวยาแต่ละชนิด นอกจาก จะ ถือเอาตามตารับที่ปู่ย่าตายายส่ังสอนต่อ ๆ กันมาเท่าน้ัน และเขาจะไม่ปรับปรุงแก้ไขตารับนั้นแต่ ประการใดเลย หมอสยามมิพักพะวงถึงลักษณะอาการเฉพาะโรคแต่ละโรค แม้กระนั้นก็ยังบาบัด ให้หายไปไดม้ ิใชน่ ้อย ท้ังน้ี กเ็ พราะชาวสยามไมค่ ่อยด่ืมเคร่ืองของดองของเมามากนัก จึงเป็นเคร่ืองให้ พน้ ภยั จากโรคทรี่ ักษาใหห้ ายยากเปน็ อนั มาก”

162 ข้อความข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนจดหมายเหตุพระราชพงศาวดารสยามคร้ังกรุง ศรีอยุธยา โดย ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) เอกอัครราชทูตจากราชสานักสมเด็จ พระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 แห่งฝร่ังเศส ซ่ึงเข้ามาในกรุงสยามประมาณ 3 เดือน ระหว่าง พ.ศ. 2230-พ.ศ. 2231 ท้ังนี้ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีหลักฐานสาคัญชิ้นหนึ่งท่ีจัดเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นแรกท่ี บันทึกภูมิปัญญาไทยในการใช้ยาสมุนไพรไว้อย่างเป็นระบบ คือ “ตาราพระโอสถพระนารายณ์” ซึ่ง ตารานี้สืบทอดมาถึงปัจจุบนั ได้อย่างเกือบสมบูรณ์จะมีคลาดเคลอ่ื นไปบ้างกใ็ นการคัดลอกช่ือสมนุ ไพร ช่ือโรค หรอื อาการของโรค หรอื ศัพทบ์ างคาผดิ เพ้ยี นไปบ้างเท่านน้ั ตาราพระโอสถพระนารายณ์ ได้มีการสรุปทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในยุคนั้นไว้อย่าง กระชบั และไดใ้ จความใน 1 ย่อหน้า พรอ้ มกับระบุตาราอ้างอิงไว้อีกอย่างน้อย 2 เล่ม คอื “คัมภีรม์ หา โชตริ ัต” อนั เป็นตาราเก่ียวกับโรคสตรี และ “คมั ภีร์โรคนิทาน” อันเป็นตาราเก่ียวกับเรื่องราวของโรค หรือเหตุแห่งโรค โดยเฉพาะตารายาไทยท่ีมีการใช้ “กัญชา” เขา้ ไปเป็นองคป์ ระกอบดว้ ยนั้นมีท้ังส้ิน4 ขนาน จากจานวนตารับยาทั้งส้ิน 81 ขนาน ดังนี้ คือตารับยาขนานที่ 11 อัคคินีวคณะ ตารับยาขนานที่ 43 ยาทิพากาศ ตารับยาขนานท่ี 44 ยาศุขไสยาศน์ และตารับยาขนานที่ 55 ยามหาวัฒนะโดยมี รายละเอียดดังน้ี ตารับยาขนานที่ 11 ชอื่ อัคคินีวคณะ ให้นาส่วนผสม “กัญชา ยงิ สม ส่งิ ละสว่ น เปลือกอบเชย ใบกระวาน กานพลู สค้าน ส่งิ ละ 2 ส่วน กระทาเป็นจุณ น้าผึ้งรวงเป็นกระสายยา ดีปลี ส่ิงละ 4 ส่วน น้าตาลกรวด 6 ส่วน กระทาเป็นจุณน้าผ้ึงรวงเป็นกระสายยา บดเสวยหนักสลึง 1 แก้อาเจียน 4 ประการ ด้วยติกกะขาคินีกาเริบ และวิสมามันทาคินีอันทุพล จึง คลื่นเหียนอาเจียน มิให้เสวยพระกระยาหาร เสวยมีรศชูกาลังย่ิงนัก”ข้าพระพุทธเจ้า ขุนประสิทธิโอสถจีน ประกอบทลู เกลา้ ฯ ถวาย คร้งั สมเดจ็ พระนารายณ์เป็นเจา้ เมืองลพบุรี เสวยเพลาเขา้ อตั รา ดนี กั แลฯ สาหรับยา “อัคคินีวคณะ” น้ีได้มีการวิเคราะห์ในคาอธิบายตาราพระโอสถพระนารายณ์ ฉบับ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชา5 ธันวาคม พุทธศักราช 2542 ความตอนหนึ่งว่า“กัญชาที่ใช้ใน ปริมาณนอ้ ย ๆ เช่นทใี่ ชใ้ นตารบั นี้ คนไทยรจู้ ักใช้ในการปรุงแต่งอาหารมาแตโ่ บราณ” เพอ่ื ช่วยให้กินอาหาร ได้อร่อยข้ึน กินข้าวได้มากขึ้น เป็นยาเจริญอาหาร ปัจจุบันพิสูจน์ได้ในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วว่า ในกัญชามี สารท่ีช่วยให้กินอาหารได้มีรสชาติมากข้ึน และกินได้ในปริมาณมากภูมิปัญญาการใช้ “อัคคินีวคณะ” ใน สมัยสมเด็จพระนารายณ์น้ัน น่าจะถูกสืบทอดต่อกันมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้สาเร็จเพราะตารับยา ขนานน้ียังมีความคล้ายคลึงกับยาขนานหนึ่งในตารายาท่ีปรากฏในศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลา ราม (วัดโพธ์ิ) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ ัว (รัชกาลท่ี 3 แห่งราชวงศ์จกั รี) ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าโปรดกระหมอ่ ม ให้จารึกไวเ้ ม่ือพ.ศ. 2375 นอกจากนั้นวิชาความรู้ดังกล่าวยังสืบทอดต่อกันมาจนปรากฏในคัมภีร์แพทย์แผนไทย โบราณเลม่ 3 เขียนโดยขุนโสภติ บรรณลักษณ์ (อาพัน กิตตขิ จร) ความว่า

163 “ยาเจริญธาตุ เอากัญชา โสม อบเชยญวณ เอาสิ่งละ 1 สลึง ใบกระวาน กานพลู สะค้าน เอาส่ิงละ 2 สลึง ขิงแห้ง 3 สลึง เจ็ตมูลเพลิง ดีปลี ส่ิงละ 1 บาท น้าตาลกรวด 6 สลึง บดละลายนา้ ผง้ึ กิน แกก้ ินขา้ วไมไ่ ด้ นอนไม่หลับ” ตารับยา“อัคคินีวคณะ” นอกจากจะสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาไทยที่มีความชาญฉลาดรู้จัก “ประยุกต์และบูรณาการ” สมุนไพรจากชาติอ่ืนแล้ว ยังมีเร่ืองท่ีน่ายินดีว่าตารับยาน้ีน่าจะสืบทอด จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ไดโ้ ดยถกู นามาบันทกึ ใช้ในตาราแพทยแ์ ผนไทยอีกหลายยคุ หลายสมยั ตารบั ยาขนานที่ 43 ชอื่ “ทิพากาศ”ใหน้ าสว่ นผสม “ ทิพากาศ เอายาดา เทียนดา ลูกจันทน์ ดอกจันทร์ กระวาน พิมเสน สิ่งละส่วน การบูร 4 ส่วน ฝ่ิน 8 ส่วน ใบกัญชา 16 ส่วน สุราเป็นกระสายบดทาแท่ง น้ากระสายใช้ให้ชอบโรคร้อน และ เย็น กินพอควร แกส้ ารพัดทงั้ หลายอันให้ระสา่ ระสาย กินขา้ วมิได้ นอนมิหลบั ตกบุพโพโลหิต ลงแดง หายแลฯ ” สาหรับ “ยาทิพากาศ” น้ีได้ปรากฏมีการวิเคราะห์ในคาอธิบายตาราพระโอสถพระนารายณ์ฉบับ เฉลมิ พระเกยี รติ 72 พรรษามหาราชา 5 ธนั วาคม พทุ ธศักราช 2542 ความตอนหนงึ่ ว่า“ยาทพิ ากาศเปน็ ยา ขนานท่ี 43 ท่ีบันทึกไว้ในตาราพระโอสถพระนารายณ์ ใช้แก้ “สารพัดท้ังหลายอันให้ระส่าระสาย” คือ ใช้แก้ความไม่สบายทุกอย่าง โดยเฉพาะท่ีทาให้ “กินเข้า (กินข้าว)” ไม่ได้ นอนไม่หลับ ตกเลือด ตก หนอง ลงแดง ตามท่บี นั ทกึ ไว้ ทั้งน้ี กัญชาและฝ่ิน เป็นยาท่ีทาให้กินข้าวได้ นอนหลับ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมาน ยาดาท่ีใช้ใน ตารับน้ีเป็นยาถ่าย โดยโบราณเช่ือว่าเมื่อถ่ายได้ ก็จะกินได้ ผู้ป่วยก็จะแข็งแรงและรู้สึกดีข้ึนเอง ส่วน เทียนดา ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน พิมเสน และการบูร เป็นยาขับลม และอาจแสดงฤทธ์ิอื่น ๆ ตาราพระโอสถพระนารายณ์ให้เอาเครื่องยาทั้งหมดบด ทาเป็นแท่ง โดยใช้สุรา (เหล้า) เป็นกระสาย เมื่อจะกินก็ใหล้ ะลายน้ากระสาย โดยใหเ้ ลือกน้ากระสายให้ถูกกบั โรควา่ รอ้ นหรอื เยน็ ” ตารับยาขนานที่ 44 ชือ่ “สุขไสยาศน์”(ปัจจบุ นั ใช้คาวา่ ศุขไสยาศน)์ ใหน้ าส่วนผสม สขุ ไสยาศน์ เอาการบรู 1 ส่วน ใบสะเดา 2 ส่วน สหัศคณุ เทศ 3 ส่วน สมลุ แว้ง 4 ส่วน เทยี นดา 5 ส่วน โกฏกระดูก 6 สว่ น ลูกจันทร์ 7 สว่ น ดอกบุนนาค 8 สว่ น พริกไทย 9 ส่วน ขิงแหง้ 10 สว่ น ดปี ลี 11 สว่ น ใบกัญชา 12 สว่ น ทาเป็นจุณ ละลายนา้ ผ้ึง เมอื่ จะกนิ เสกดว้ ยสัพพตี ิโย 3 จบแลว้ กนิ พอควร แก้สรรพโรคทั้งปวงหายส้ิน มกี าลังกินเขา้ ได้นอนเป็นศขุ นักแลฯ ” สาหรับ “สุขไสยาศน์” น้ีได้ปรากฏการวิเคราะห์ในคาอธิบายตาราพระโอสถพระนารายณ์ ฉบับเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2542 ความตอนหน่ึงว่า “ยาศุข ไสยาศน์ เป็นยาขนานท่ี 44 ท่ีบันทึกไว้ในตาราพระโอสถพระนารายณ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล แก้ได้ “สรรพโรค” กินแล้วจะทาให้มีกาลัง กินข้าวได้ นอนหลับสบาย นอกจากจะนาเครื่องยามาบดให้ ละเอียด ละลายน้าผ้ึงแล้ว เมื่อจะกินก็ให้เสกด้วย “สัพพีติโย” 3 จบ โดยยาขนานน้ีเป็นยาที่ทาให้

164 สบายตัว นอนหลับสบาย และเจรญิ อาหารท้ังน้ี “สัพพีติโย” เป็นบทสวดอนุโมทนา พระใชส้ วดให้พร ญาตโิ ยมในโอกาสต่าง ๆ บทสวดนีม้ เี น้ือความดงั น้ี “สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสันตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อภิวาทะนะสีสีสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธรรมาวัฑฒันติ อายุ วณั โณ สุขัง พะลัง” แปลได้ว่า “ความจัญไรท้ังปวงจงบาราศไป โรคท้ังปวงของท่านจงหาย อันตรายจงอย่ามีแก่ท่าน ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขและมีอายุยืน พร 4 ประการ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเกิดแก่ท่านซ่ึง เป็นบุคคลผกู้ ราบไวแ้ ละออ่ นน้อมต่อผใู้ หญ่เป็นนจิ ” ตารบั ยาขนานที่ 55“ยามหาวัฒนะ” ให้นาส่วนผสม เทียนสตั บุษ เทียนเยาวภานี โกฏสอ โกฏเขมา โกฏกัตรา โกฏพงุ ปลา บรเพ็ดใบกันชา สหัส คุณท้ัง 2 ลูกพิลังกาสา รากไคร้เครือ แห้วหมูใหญ่ ขมิ้นอ้อย พริกหอม พริกหาง สิ่งละ 2 ส่วน ดีปลี เท่ายาทั้งน้ัน จึงเอาใบกระเพราแห้ง 2 เท่าดีปลี จึงจะรู้จักคุณยาเห็นประจักษ์อันวิเศษแก้ฉันนวุตติ โรค 96 ประการให้กับพยาธทิ ้งั หลายทุกประการดีนักแลฯ” สาหรับยา “ยามหาวัฒนะ” น้ีได้ปรากฏมีการวิเคราะห์ในคาอธิบายตาราพระโอสถพระ นารายณ์ ฉบับเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2542 ความตอนหนึ่ง ว่ายามหาวฒั นะเป็นยาขนานที่ 55 ที่บันทึกไวใ้ นตาราพระโอสถพระนารายณ์ ยาขนานนี้เข้าเคร่ืองยา 25 สิ่ง ตามที่ระบุเอาไว้ โดยมีดีปลีเท่ายาท้ังหลายคือ 42 ส่วน และใบกระเพราแห้งปริมาณ 2 เท่า ของดีปลี คือ 84 ส่วน ผสมกัน บดให้ละเอียด ผสมน้าผ้ึงรวง ป้ันเป็นลูกกลอน กินครั้งละ 1 สลึง ทุก วันให้ครบ 1 เดือน ก็จะเห็นผลอันวิเศษของยานี้ ซึ่งตาราพระโอสถพระนารายณ์บันทึกไว้ว่าใช้แก้ ฉันนวุตตโิ รค 96 ประการ กบั ความไม่สบายทั้งหลายทุกอยา่ ง 2. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั (รัชกาลท่ี 2 พ.ศ. 2352 - 2367) ทรงมีบทบาทสาคัญอย่างย่ิง ดังจะเห็นได้ว่า หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ 2 เป็นต้นมา ตารับตาราแพทย์แผนไทยจานวนมากถูกเผา สูญหาย กระจัดกระจาย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีใคร สามารถรวบรวมตาราพระโอสถพระนารายณ์สืบทอดกลับมาได้อีกแต่เดชะบุญของวงการแพทย์แผน ไทย ท่ีรัชกาลที่ 2 ทรงให้รวบรวมคัมภีร์แพทย์ท่ีกระจัดกระจายมารวบรวมไว้ ณ โรงพระโอสถ โดยมี พระราชโองการให้ผู้มีความรู้ ผู้ชานาญการรักษาโรค ผู้ท่ีมีความรู้ด้านการปรุงยา หมอหลวง หมอ เชลยศักด์ิ และราษฎรท่ีมีตารายาช่วยกันรวบรวมข้อมูลเป็นตาราหลวงสาหรับโรงพระโอสถซ่ึงตารา ทั้งหมดท่ีทาการรวบรวมมา แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2355 และมีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อความถูกต้อง อย่างละเอียด ต่อมาในปี พ.ศ. 2359 ได้มีการตั้งกฎหมายที่ช่ือว่า “กฎหมายพนักงานพระโอสถ ถวาย” ภายหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค หรือเรียกว่าโรคห่า คร้ังรุนแรงในระหว่างปี พ.ศ. 2363 - 2365 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานตารับยาบางส่วน จารึกลงบนหินอ่อนเป็นรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัส บริเวณผนังด้านนอกของ

165 กาแพงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร กรงุ เทพมหานคร โดยในคร้ังนน้ั พระ เจ้าลูกยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาทรงข้ึนครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3) ได้เป็นผู้ทรงเลือกตารายาบางส่วนจากคร้ังน้ันมาจารึกบนหินอ่อนและประดับไว้ ท่ีวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร อันเป็นท่ีสาธารณะ เพ่ือเป็นวิทยาทานแก่ราษฎรโดยทั่วไป แม้ว่าหลักฐาน ตารับยาจะสูญหายไปบางส่วน แต่จากการตรวจสอบ “ตาราพระโอสถ คร้ังรัชกาลที่ 2” เท่าท่ีเหลืออยู่ ซ่ึงมีจานวน 61ตารับ พบว่าการใช้กัญชาเข้าในตารายาน้ันมี 2 ขนานปรากฏใน “ตาราพระโอสถ” ว่าเป็นตารับยา 2 ใน 3 ขนาน ของหลวงทิพย์รักษา ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายในขนานที่ 1 “แก้ลมเบ้ืองสูง” และ ขนานที่ 3 “แก้อุทธังคมาวาตา” ซึ่งล้วนแต่เป็นโรคเก่ียวกับธาตุลมในแพทย์แผน ไทยทั้งส้นิ 3. สมยั พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลที่ 3 พ.ศ. 2367 - 2394) 3. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามวัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม (วดั โพธ)ิ์ คร้งั ใหญ่ พรอ้ มทงั้ ขยายอาณาเขตพระอาราม ใช้เวลานาน 16 ปี 7 เดอื น 3. สาหรับวิชาการแพทย์แผนไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สืบเสาะหาตาราท่ีศักด์ิสิทธ์ิ ตาราลักษณะโรคท้ังปวง ตามพระราชาคณะ ข้าราชการ ตลอดจนราษฎร มาจารึกในแผ่นศิลา โดยผู้ถวายตารายาต้องสาบาน ว่า ยาขนานนั้นตนเองได้ใช้เป็นผลดีและไม่ปิดบัง แล้วให้พระยาบาเรอราชแพทย์ตรวจอีกทีก่อนจะ นาไปจารึก ย่อมแสดงให้เห็นว่ากว่าที่จะมีการลงบันทึกในศิลาจารึกนั้น นอกจากจะมีการเสาะหา ตาราการแพทย์ มีการตรวจสอบความถูกต้องแล้วยังต้องให้มีการสาบานอีก ซึ่งในยุคสมัยนั้นการ สาบานย่อมมีความสาคัญย่ิงกว่าสัญญาใด ๆ โดยเฉพาะอย่ายิ่งหากเป็นโครงการที่ดาเนินไปตาม พระราชดาริของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทย ภาพที่ 59 ตารบั ยาท่อี ยู่ในแผ่นศลิ าวดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม

166 3. สาหรับตารับยาท่ีอยู่ในแผ่นศิลาท่ีเข้ากัญชา อันเป็นภูมิปัญญาท่ีได้รับพระราชทานในสมัย รัชกาลท่ี 3 น้ัน มีมากถึง 17 ตารับ ซ่ึงกัญชาในตารับยาส่วนใหญ่ในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่ทั้งยาตรง ไม่ใช่ยา รอง แตอ่ ย่ใู นสถานภาพยาเสริมและยาแตง่ รส 3. ยาเสริม หรือตัวยาเสริม หรือตัวยาคุม เพื่อช่วยควบคุมความแรงของตัวยาสาคัญ หรอื ช่วยออกฤทธ์ิให้ดียิ่งขึ้น หรือในบางกรณีเป็นตวั ยาเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน หรือยาบารุง แต่ถึง กระนั้นยาหลายขนานซ่ึงมีความน่าสนใจ กลายเปน็ สงิ่ ที่ต้องห้ามเพราะมีการเข้ากัญชาผสมอยู่ด้วย แต่หลายโรคที่มีการรักษาน้ันก็เป็นโรคท่ีมีความรุนแรง หรือน่าจะเป็นโรคท่ีน่าจะยากแก่การรักษา อย่างไรกต็ าม การทต่ี ารบั ยาเหลา่ นป้ี รากฏเป็นตวั อักษรในศลิ าจารึก ในวดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม นัน้ ก็สะทอ้ นให้เหน็ ถึงความสาคญั 3 ประการ ดงั น้ี 3. ประการที่หน่ึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเห็นว่าการศึกสงครามท่ี ผ่านมาทาให้องค์ความรู้ตารับ ตารา ทั้งหลายสูญหายกระจัดกระจายไป จึงทรงมีพระราชประสงค์ท่ี จะใหม้ ีการรวบรวมเอาไว้อย่างเปน็ ระบบและยากแก่การสูญหาย โดยการจารึกเอาไวใ้ นแผ่นศิลา จึงมี ความคงทนถาวรกว่าการบันทึกในรูปแบบอื่น และเป็นผลทาให้องค์ความรู้ดังกล่าวน้ีเป็นมรดกตกทอด จนมาถึงปัจจุบันได้ แม้เวลาจะผ่านมานานกว่ารอ้ ยปีแล้วก็ตาม แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่จารึกนั้นย่อมต้อง มีคณุ ค่าเพยี งพอท่ีจะกลายเป็นมรดกให้กับคนรุน่ ต่อ ๆ ไปได้ 3. ประการที่สอง การท่ีองค์ความรู้เหล่านี้อยู่บนศิลาจารึก ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม โดยพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ ัว ในขณะท่ียังมีการปกครองในระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ การทจ่ี ะตัดสินพระราชหฤทัยว่าควรจะบันทกึ สง่ิ ใดให้มีความคงทนในแผน่ ศลิ า ย่อมมีการตรวจสอบคัดกรองความถูกต้องโดยบุคลากรผู้เช่ียวชาญในราชสานัก จึงถือว่าเป็นองค์ความรู้ ในระดับตาราหลวง ดงั ตัวอยา่ งปรากฏในทางการแพทยน์ น้ั แม้จะมีการตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ก็ยงั ให้เจ้าขององค์ความร้นู นั้ สาบานความถกู ต้องนนั้ เอาไว้ดว้ ย 3. ประการท่ีสาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น การเล่าเรียนส่วน สามัญศึกษาที่มีเรียนอยู่ตามวัดทั่วไป แต่ส่วนวิสามัญศึกษาเพื่อวิชาชีพน้ันยังศึกษาแต่ในราชสกุล พลเมืองสามัญไม่มีโอกาสที่จะเรียนได้ แต่การท่ีได้นาความรู้ที่เป็นระดับวิสามัญมาจารึกในแผ่นศิลา ประดับไว้ที่วัดนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีพระราชประสงค์ให้ความรู้วิชาชีพข้ันสูงน้ี เป็นของมหาชน ท้ังหลายโดยไมเ่ ลอื กช้นั บรรดาศักด์ิ หรือชั้นวรรณะ และทสี่ าคัญไม่ต้องการให้องค์ความร้นู ี้ผูกขาดอยู่ กับราชสานกั รฐั บาล ภาครฐั หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 3. สาหรบั ตารบั ยาทเ่ี ข้ากญั ชาปรากฏในศิลาจารึกของวดั มที ง้ั ส้ิน 14 ตารบั โดยจะขอนาเสนอ ภาษาตามตัวอักษรโบราณทป่ี รากฏในศลิ าจารกึ เพ่อื บันทึกเปน็ หลักฐานเอาไว้วา่ เปน็ ส่ิงท่ีมีคณุ ค่าตาม ประวตั ศิ าสตร์ ดังน้ี

167 3. ตารบั ที่ 1 สันนิบาตทวุ นั โทษ 3. เป็นความเจ็บป่วยอันเกิดจากกองสมุฎฐานปิตตะ(ระบบความร้อนและการย่อย) วาตะ (ระบบการเคลื่อนไหวในร่างกาย) และเสมหะ (ระบบของเหลว) ร่วมกันกระทาให้เกิดโทษ รักษาขนานหนึ่ง เอาสมอทั้งสาม มะขามปอ้ ม รากกญั ชา สงิ่ ละส่วน เบญ็ กลู ส่งิ ละ 2 สว่ น ต้มตามวิธใี ห้กนิ แก้มหาสรรนบิ าตทุ วันโทษ ซ่ึงกระทาให้เสโทตก ให้นา้ ปะสาวะเหลืองนนั้ หายดนี กั ฯ 3. ตารบั ที่ 2 มันทธาตุ 3. เป็นธาตุหย่อน ตาราการแพทย์แผนไทยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ มนั ทอาโป (ธาตุน้าหย่อน) มันทเตโช (ธาตุไฟหย่อน) มันทปัทวี (ธาตุดินหย่อน) แลมันทวาโย (ธาตุลมหย่อน) ลักษณะมันทธาตุนั้นย่ิงไปด้วยเสมหะมีกาลัง คือไฟธาตุหย่อนเผาอาหารมิได้ย่อย ถ้าจะแก้ให้เอายิ่งโสม กัญชา อบเชย ใบกระวาร กานพลู สะค้าน ขิงแห้ง เจตมูล ดีปลี น้าตาลกรวด เอาเสมอภาคทาเป็น จณุ บดละลายนา้ ผึง้ กิน แก้มนั ทะธาตุ ยิ่งไปดว้ ยกองเสมหะ กลา่ วคือ อาโปธาตุอันวปิ ริต นัน้ หายฯ 3. ตารบั ท่ี 3 มุศกายธาตุอดสิ าร 3. เป็นโรคร้ายแรงของธาตุน้า อันเป็นหนึ่งในลักษณะโบราณกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตารา การแพทย์แผนไทยว่า เกิดจากธาตุน้า หรอื เกิดจากการกนิ อาหารแสลง ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายอจุ จาระ เป็นเสมหะและเลือดเน่ามีกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ รักษาโดย เอากัญชา ใบสะเดา ใบทองหลางใบมน ใบคนทีสอ ใบมะตูม เสมอภาค ทาเป็นจุณบดทาแท่งไว้ ละลายน้ากระสายอันควรแก่โรค กินแก้มมุศ กายธาตอุ ตสิ ารวเิ สศนักฯ 3. ตารับท่ี 4 ป่วงหิว 3. เป็นชื่อโรคชนิดหน่ึง เกิดเพราะธาตุในร่างกายไม่ปกติ พิษของโรคทาให้เกิดอาการตัวเย็น เปน็ เหน็บ เหงื่อตกมาก ลงท้อง อาเจียน ใจหวิว และสั่น เป็นต้น รักษาให้เอาลูกเบญจกานี ลูกกล้วย ตีบออ่ น ลูกทับทิมอ่อน ใบทับทิม ใบสะแสดินกิน กรดท้ัง 5 ใบสะเดา ใบทองหลางใบมน ใบมะตูม ใบกัญชา ใบกะเม็ง ส่ิงละส่วน ใบกระท่อม 2 ส่วน ขมิ้นอ้อย 3 ส่วน ไพร 4 ส่วน เทียนดา 5 ส่วน ทาเป็นจุณบดทาแท่งไวก้ นิ แก้ป่วงหวิ หายดนี กั ฯ 3. ตารบั ที่ 5 ป่วงนา้ 3. เป็นโรคชนดิ หนึง่ เกิดเพราะธาตุในร่างกายผิดปกติ ผปู้ ว่ ยมีอาการ คล่ืนไส้ อาเจียนรุนแรง ผวิ กายซีดเผอื ด สะบัดร้อนสะท้านหนาว รักษาให้เอา เปลือกสนุ่น เปลือกมะมว่ งพรวน เปลอื กกระทุ่ม ขหี้ มู เปลือกกระท่อม กานชา เทยี นดา โกฏสอ โกฏเขมา โกฏพงุ ปลา โกฏจุฬาลัมพา โกฏหวั บวั กระดอง เตา่ เหลอื งเผา กระดูกปูนาเผา รากนางแย้ม รากมะนาว รากมะปรางต้มด้วยนา้ ปูนใสแทรกพิมเสน แทรกดงี ู กนิ แกป้ ่วงนา้ ถา้ หิวนกั เอาน้าตาลกรวด น้าตาลทราย น้าตาลหมอ้ แทรกลงกนิ หายฯ

168 3. ตารบั ท่ี 6 ฤศดวงบงั เกิดในทางปะสาวะ 3. อ่านในปจั จบุ นั ว่ารดิ สีดวงบงั เกดิ ในทางปัสสาวะ อนั หมายถึงโรคกลมุ่ หน่งึ ทเ่ี กิดขน้ึ ใน ทางเดินปัสสาวะ ขนานน้ี เอาบุกรอ ดีปลี ขิงแห้ง อุตพิต กลอย กระดาดแดง ขอบชะนางขาว ลูกจันทน์ โกฏสอ โกฏเขมา กระวาน การพลู เทียนดา เทียนขาว เทียนเยาวพาณี สมุลแว้ง กัญชา ส่ิงละส่วน พริกล่อน 2 สว่ น ทาเป็นจุณ บดละลายน้ารอ้ นกินหนัก 1 สลงึ แกฤ้ ศดวงอันบังเกิดในทางปะสาวะน้ัน หายดีนักฯ 3. ตารบั ที่ 7 ลมวาระยกั ขวาโย 3. เปน็ โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองอชิณวาต ผู้ป่วยจะอยากกินอาหารคาวหวาน เนื้อปู ปลา และหอย ซึ่งเมือ่ กินแล้วทาใหม้ ีอาการเสียดชายโครงทั้งสองข้าง จุกแน่นบริเวณหน้าอก แล้วลาม ไปถงึ องคชาต มือเท้าตายไม่มแี รง ขนานหนึ่งเอาโกฏท้ังห้า เทียนท้ังห้า ลกู จันทร์ ดอกจันทร์ กานพลู ผักแพวแดง ส่ิงละส่วน ดองดึง น้าประสานทอง กานชา การบูร รากจิงจ้อ มหาหิง ส่ิงละ 2 ส่วน พริกไทย ขงิ แห้ง ดีปลี รากส้มกุ้งทั้งสอง ส่ิงละ 10 ส่วน กระเทียม ผิวมะกรูด เทพทาโร เปลา้ น้อย ส่ิงละ 12 ส่วน สมอพิเภก 16 ส่วน มะขามป้อง 32 ส่วน สมอไทย 48 ส่วน ทาเป็นจุณละลายน้ากระสายอันควร แก่โรคกินหนัก 1 สลึง แก้ลมวาระยกั ขวาโย อนั เกดิ แตก่ องอชิณะนัน้ หายวเิ สศนกั ฯ 3. ตารับที่ 8 ลมอตั พังคีวาโย 3. เป็นลักษณะของโรคลมชนิดหน่ึง หมายถึงระบบการเคลื่อนไหวที่เป็นลมพัดเบ้ืองล่าง ตั้งแต่ใตส้ ะดอื จนถึงเท้าเกิดกาเรบิ ดันขึ้นมาด้านบนทาใหป้ วดศีรษะ รักษายาน้ามันชื่อละลอกพระสมุทร เอาบอระเพ็ด เปลอื กมะรุม ตูมกาแดง รากเสนยี ด รากองั กาบ รากขดั มอน กลอย ลูกข้ีกาแดง พนั งูแดง ไครห้ างนาค แหว้ หมู ขม้ินอ้อย ใบบวบขม ข่าลงิ แสนประสะตน้ ช้าเกลอื ใบกะเมง็ หัวบอนแดง สันพรา้ นางแอ จอกใหญ่ กานชา เอานา้ สิ่งละทะนาน น้ามันงาทะนาน 1 หงุ ให้คงแต่น้ามันแลว้ จงึ เอาลูกจันทร์ ดอกจันทร์ กระวาน กานพลู เทียรเยาวภานี เทียรดา เทียรขาวสิ่ง ละ 1 สลึง ทาเป็นจุณปรุงลงในน้ามันท้ังกินทั้งทา แกล้ มอัตพังควี าโยนน้ั หายวิเสศนกั ฯ 3. ตารับที่ 9 ลมสติ มัควาโย 3. เป็นโรคเก่ียวกับธาตุลมชนิดหน่ึง โรคนี้จะทาให้มือเท้าเย็นก่อนหมดแรง เป็นได้ถึง อมั พาต ทาให้ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ถ้าเทียบในยุคปัจจุบันคือการเกิดเกี่ยวกับความผิดปกติเส้นโลหิตของ สมองตีบ ใครเป็นมักอายุไม่ยืน จึงพระฤาษีภัตสรรณได้แต่งยาท่ีแก้ เอาลูกจันทน์ ดีปลี พริกไทย ขิงแห้ง หอมแดง ส่ิงละ 8 ส่วน ฝิ่น กานชา น้าตาลทราย น้ามันเนย ส่ิงละ 16 ส่วน ทาเป็นจุณ แล้วเอาน้า มะพร้าวนาฬิเกเป็นกระสาย เค่ียวเป็นยางมะตูม แล้วจึงเอาผลสมอไทยปอกผิวเสีย 108 ผล ใส่ลง เค่ียวไปให้ซาบในผลสมอให้กินวันละ 36 ผล ท่ีจะกินในเวลาใดมิได้บังคับ ให้ส้ินแต่ในวันเดียวนั้น โดยนัยท่านกล่าวบังคับไว้ให้กินในเวลาใดมิได้บังคับ ให้ส้ินแต่ในวันเดียวน้ันโดยนัยท่านกล่าวบังคับ ให้กนิ 3 วัน ให้สน้ิ ผลสมอ แก้ลมสิตมัควาโยนั้น หายวิเสศนักฯ

169 3. ตารับท่ี 10 กระไสยเหล็ก เป็นโรคกษัยอันเกดิ จากอปุ ปาติกะโรคชนิดหน่ึง เกิดจากลมอัดแน่นแข็งเปน็ ดานอยู่ใน ท้องน้อย ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องแข็งลามขึ้นไปถึงยอดอก กินอาหารไม่ได้อนึ่ง เอาใบกระเพรา ใบแมงลัก ใบเส้ียนผี กระชาย กานชา พริกไทย หอมแดงหญ้าไซ เกลือ ลกู คัดเค้า ยาทั้งน้ีตาเอาน้าส่ิง ละทะนาน 1 น้ามันงาทะนาน 1 หุงให้คงแต่น้ามันแล้วจึงเอาลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพลู เทียนดา เทียนขาวการบูร สิ่งละ 1 สลึง ทาเป็นจุณปรุงลงในน้ามันนั้น แล้วจึงเอามาทาท้อง รดี เสียให้ได้ 3 วันก่อน แล้วจึงกินน้ามันน้ีอีก 3 วัน หายวิเสศนัก ยาน้ามันขนานน้ี ช่ือสน่ันไตรภพแก้ กล่อนกระไสยทั้งปวงหายดีนกั ฯ 3. ตารับที่ 11 กระไสยท้น 3. เป็นโรคกษยั ทเ่ี กดิ จากการรบั ประทานอาหารผิดสาแดง ทาให้มีอาการแน่นขึน้ มาจาก ท้องน้อย หายใจไมส่ ะดวก อาเจียน รับประทานอาหารไมไ่ ด้ อนึ่ง อน่ึงเอาโกฎทั้งห้า เทยี นทั้งหา้ ลูกจันทน์ กระวาน กานพลู พริกหอม พริกหาง บอระเพ็ด เปล้าท้ังสอง สิ่งละส่วน กานชา 2 ส่วน ขม้ินอ้อย แห้วหมู ผลพิลังกาสาไคร้เครือ สิ่งละ 4 ส่วน ดีปลี หัสคุณ สิ่งละ 16 ส่วน ใบกระเพราแห้ง 32 ส่วน ทาเปน็ จุณบดละลายน้ารอ้ นกนิ แกก้ ระไสยทน้ แลกระไสยเสียดน้ันหายดีนักฯ 3. ตารับท่ี 12 ยาแกฤ้ ศดวง 3. เป็นตารายาวิเสศสัพคุณสาเหรจ์ อันอาจารยิ ะเจ้าในก่อนประมวนไว้ ให้แก่สัพโรคท้งั ปวง สืบต่อกันมา ในที่นี้จะว่าแต่วเิ สศสัพคุณคือขะณะสัพยาซ่ึงจะแกโ้ รคสมมติว่าหฤศโรค คือสัพฤศดวงน้ัน โดยนัย ยาชื่อนาดธิจร เอาโกฎสอ โกฏเขมา เทียนขาว ผลจันทน์ กานพลู สิ่งละส่วนรากทนดี รากซิงซ่ี รากจิงจ้อ เปลือกทองหลางใบมน เปลือกมะรุม เปลือกกุ่มท้ังสองบุกรอ กลอย อุตพิด ตรีกฎุก กระเทียม มะตูมอ่อน แห้วหมู กานชา ส่ิงละ 2 ส่วนหอยขมเผา เบ้ียจั่นเผา ส่ิงละ 5 ส่วน พริกไทย 34 ส่วน ทาเป็น จณุ บดดว้ ยนา้ ผง้ึ ให้กินหนกั 1 สลึง แก้ฤศดวง หืด ไอ มองคร่อ หายดีนัก ฯ 3. ตารับที่ 13 ยาแก้ลมข้นึ เบอื้ งสูง 3. เป็นตารายาวเิ สศสัพคุณสาเหรจ์ อนั อาจาริยะเจ้าในก่อนประมวนไว้ ให้แก้สัพโรคทั้งปวง สืบต่อกันมา ในท่ีน้ีจะว่าแต่วิเสศสัพคุณคือขะณะสัพยาซึ่งจะแก้โรคสรรพลมท้ังปวงอันกาเริบพัดข้ึน เบอ้ื งบนนนั้ โดยนยั ดงั นย้ี าแก้ลมขึน้ เบ้ืองสูง เอายาดา กานชา อุตพิด ดองดึง สิ่งละ 4 สว่ น กระเทยี ม 6สว่ น กระเทียม 6 ส่วน ว่านน้า ชะเอมเทศ โกฎน้าเต้า โกฎพุงปลา มะหาหิงค์ุ สิ่งละ 8 ส่วน ว่านเปราะ ผลผักชี ดีปลี สิ่งละ 12 ส่วน ขิงแห้ง แก่นแสมทเล รากส้มกุ้งสะค้าน สิ่งละ 16 ส่วน พริกไทยเปลือก กนั เกรา สิง่ ละ 24 สว่ น ทาเป็นจณุ บดละลายนา้ ผง้ึ รวงให้กินหนกั 1 สลึง แกล้ มขนึ้ สูงหายดีนกั ฯ

170 3. ตารบั ท่ี 14 สณั มฆาตเพ่ือกาฬ 3. เป็นโรคเกี่ยวกบั การเกิดเมด็ ฝีตามอวัยวะตา่ ง ๆ ทาให้เกิดเลือดและหนองเป่ือยลาม จัดอยู่ในโรคในกลุ่มอาโปหรือเสมหะ เป็นหน่ึงในคัมภีร์มุจฉาปักขันธิกา หรือระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธ์ุ ซ้ารั่ว 4 ประการ กล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ ว่าด้วยลักษณะสันทฆาตอันบังเกิดเพื่อ กาฬ เกิดขึ้นภายในดี ตับ ปอด และในหัวใจเป็นเคารบ 2 สัณฐานดุจเมล็ดข้าวสารหักบางทีข้ึนใน ไสอ้ ่อนไส้แก่ ถ้าขึ้นในดใี ห้คลั่งใหเ้ พ้อ ถ้าข้ึนในตบั ให้ตับหย่อน ให้ตกโลหติ มีอาการดุจปศี าจเขา้ สิง อัน น้ีแจ้งอยู่ในคัมภีร์อติสารวรรคโน้นแล้ว ถ้าขึ้นในปอดให้กระหายน้าเป็นกาลัง ถ้าข้ึนในหัวใจให้นิ่งไป เจรจามิได้ ถ้าขึ้นในไส้อ่อนไส้แก่ ให้จุกโลหิตท้องข้ึนท้องพองดังมานกระไสยถ้าผู้ใดเป็นดังกล่าวน้ี ท่านกาหนดไว้ใน 7 - 8-9 วัน โลหิตจะแตกออกทวารท้ัง 9 เรียกรัตบีตโรค เป็นต้น แห่งสันฑฆาต เป็นอติสัยโรค ยามิได้เลย ถ้าจะรักษาให้รักษาแต่โลหิตมิทันแตก ได้บ้างเสียบ้างดุจอาจารย์ท่านกล่าว ไว้ดังน้ีถ้าจะแก้เอา โกฎจุฬาลมั พา โกฎพุงปลา โกฏสอ สะคา้ น ผักแพวแดง ดองดึง ว่านน้า มหาหิงคุ์ ยาดา กัญชา อุตพิด ชะเอม สิ่งละส่วน ขิงแห้ง ดีปลี ส่ิงละ 2 ส่วนพริกไทย แก่นแสมทเล ส่ิงละ 15 สว่ น ทาเปน็ จณุ บดละลายนา้ ผึง้ รวงกนิ 1 สลงึ แก้สนั ทฆาตอนั บังเกดิ เพอ่ื กาฬนน้ั วิเสศนกั ฯ กกกก ภาพท่ี 60จารกึ ตารายา วดั ราชโอรสารามราชวรวิหาร 3. นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสมัยนั้นเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จารึกตารายาลงบนแผ่นหินอ่อนสีเทา

171 รปู สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างยาวด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดทางมุมแหลม จานวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดประดับอยู่ตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ และ ผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถ วัดโอรสารามราชวรวิหาร ปัจจุบันมีเหลืออยู่ท้ังสิ้น 50 แผ่น จากเดิม ซ่ึงเช่ือกันว่าน่าจะมีอยู่ 92 แผ่น เชื่อว่าตารับยาดังกล่าวได้จากตารับยาซึ่งรวบรวมจากท่ัวประเทศ และผ่านการตรวจสอบจากหมอหลวง และผู้ใช้ในราชสานักมาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย ดังภาพต่อไปนี้ ภาพที่ 61 จารึกแผ่นสูญหาย แผ่นท่ี 4 3. คาอา่ นจารึกแผน่ สูญหาย แผ่นที่ 4 3. “สทิ ธกิ ารยิ ะ” ยาแก้กล่อนแห้งซ่ึงกระทาให้จุกเสียดแลเป็นพรรดึก ให้เปน็ ก้อนในท้อง ให้เจบ็ ทั่วสรรพางคใ์ หม้ ือกระด้าง ให้เมือ่ ยขบขัดเข่าแลน่องคู้ ให้ตามืดหูหนกั ใหเ้ สียงแหบแห้ง ให้ขดั ออก ให้ท้องขึ้นกนิ อาหารมิได้ เปน็ เหตทุ ั้งน้เี พราะเสมหะแหง้ บังเกิดแต่บุรษุ สตรีก็ดจุ กันท่านจึงประกอบยา นี้ไว้ ให้แก้ เอาสะค้าน ผักแพวแดง ดองดึง มหาหิงค์ุ ว่านน้า โกษฐ์สอ โกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์พุงปลา กัญชา หัวอุตพิด ชะเอม ดีปลี แก่นแสมทะเล ยาดา เอาเสมอภาค พริกไทเท่ายาท้ังหลาย ทาเป็นจุณ ละลายน้าผ้งึ รวงกินหนัก 1 สลึง แกด้ งั กล่าวมาแตห่ ลงั วิเศษแลฯ

172 3. ยาแก้สรรพกล่อนท้ังปวง เอาใบมะตูม 1 ใบสะเดา 1 ใบคนทีสอ 1 ว่านน้า 1 บอระเพ็ด 1 ขมิ้นอ้อย 1 ท้ังนี้เอาส่ิงละ 1 บาท พริกเท่ายาท้ังหลาย ตาเป็นผงละลายน้าผ้ึงกินทีละ 1 สลึง แก้ลม กล่อนจกุ เสยี ดทงั้ ปวงเป็นมหาวิเศษแลฯ 3. ยาแก้ลมกล่อนสันดาน เอาหัสคณุ หนัก 1 ตาลึง 2 บาท หิงคุ์ 3 บาท ว่านนา้ 2 บาท ดปี ลี 2 บาท 1 สลงึ กระเทยี ม 1 ตาลึง ในมะกรูด 1 บาท 2 สลงึ แกน่ แสมทะเล 1 บาท แก่นข้ีเหลก็ 1 บาท แก่นปูนที่เผาไมส่ ุก 1 บาท รากพญามือเหล็ก 1 บาท หอยขม 1 บาท หอยแครง 1 บาท ดนิ ประ สวิ ขาว 2 บาท สารส้ม 1 บาท 2 สลึง ตาเปน็ ผงละลายน้ามะกรูดส้มซ่ากิน 1 สลึง ผายสองหนฯ 4. สมัยราชสกุลสนทิ วงศ์ 3. เป็นราชสกุลแพทย์ในพระองค์ท่ีมีการสืบทอดวิชาความรู้ภายในตระกลู จากรนุ่ ส่รู ุ่น โดยแพทย์ผู้เป็นต้นราชสกุล คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทพระราชบุตรลาดับที่ 49 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลท่ี 2) ด้วยเหตุที่ทรงชานาญวิชาแพทย์ทั้งใน และต่างประเทศจึงทรงสะสมตาราแพทย์ไว้มาก โดยทรงนิพนธ์ “ตาราสรรพคุณยาของกรมหลวง วงศาธิราชสนิท เล่ม 1 และ เล่ม 2” ท้ังนี้ ในตารายาพระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์ พบว่ามีตารับยาท่ีเข้า กัญชาท้ังส้ิน 3 ขนาน คือตารับยาขนานท่ี 5 ช่ือวาตาประสิทธิ์ ขนานที่ 8 แก้เหนื่อยหอบเพราะเสมหะ มากทาให้เจริญอาหาร และขนานที่ 12 คือกระสายในตารับยาวิสัมพยาใหญ่ แม้ว่าตารับยาที่เข้ากัญชา ทป่ี รากฏในตารายาพระองค์เจา้ สายสนิทวงษ์จะมเี พียง 3 ตารับ หากแต่ว่าคุณค่าของยาตารับเหล่าน้ี มีความลึกซึ้งในภูมิปัญญาความรู้ และให้ความสาคัญในการอธิบายการใช้น้ากระสาย (หรือตัวช่วยใน การทาละลายสาระสาคญั ของสมนุ ไพร)เพื่อให้ออกฤทธิ์ของยาท่ีแตกตา่ งกนั เช่น นา้ ตม้ แอลกอฮอล์ น้าปูนใส เปน็ ตน้ 5. สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว (รชั กาลท่ี 5 พ.ศ.2413) 3. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้รวบรวมขึ้น เน่ืองจากเห็นว่าแพทย์แผน โบราณและตารายาพื้นบ้านเป็นสมบัติทางวฒั นธรรมทมี่ ีค่า และที่สืบทอดกันมานั้น มีผิดบ้าง สูญหายบ้าง จงึ รวบรวมไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา โดยเขียนลงสมุดไทยด้วยอักษรไทยเส้นหรดาล ปรากฏฉบับสมบูรณ์ เม่ือพระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช)อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของราชแพทยาลัยได้เริ่มพิมพ์เพ่ือ อนุรักษ์ตาราแพทย์แผนไทยไว้ให้คนรุ่นหลัง “กัญชา เป็นพืชสมุนไพร ตัวหนึ่งในพระคัมภีร์สรรพคุณ แลมหาพิกัด ท่ีระบุสรรพคุณของ กัญชา ไว้ว่า กัญชาแก้ไข้ผอมเหลืองหากาลังมิได้ ให้ตัวสั่น เสียงสั่น เป็นด้วยวาโยธาตุกาเริบ แก้นอนมิหลับ ” ทั้งน้ี ไม่มีข้อความใดท่ีระบุใน “ตาราแพทยศาสตร์ สงเคราะห์” ว่า “กัญชา”เป็นสมุนไพรมีพิษหรือมีโทษร้ายแรงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมี “กัญชา” ปรากฏอยใู่ นตารบั ยาหลายตารบั อันได้แก่

173 ภาพท่ี 62 ตาราเวชศาสตรฉ์ บับหลวง รัชกาลที่ 5 ภาพท่ี 63 คมั ภรี ป์ ฐมจนิ ดา 5.1 พระคัมภีร์ปฐมจินดา 2) เป็นตารากุมารเวชศาสตร์ของแพทยแ์ ผนไทย มียาเขา้ กัญชา 1 ตารับ คอื “ไฟอาวุธ” ซึ่ง ใช้รักษาโรคตานทราง ซ่ึงมีอาการเป็นไข้ละอองลิ้นขาว เป็นตุ่มเม็ดในปาก คอและตามร่างกายของ ทารกและเด็กเล็ก แก้โรคไอผอมเหลือง หืดหอบ โรคพุงโลก้นปอด แก้ไข้ อุจจาระเป็นโลหิต จุกเสียด แนน่ ท้อง ปรุงเป็นยาผงทาเปน็ เม็ดเทา่ เมด็ พริกไทยละลายกับนา้ มะนาวเป็นกระสายยา

174 ภาพท่ี 64 คัมภรี ม์ หาโชตรตั 5.2 พระคัมภีรม์ หาโชตรัต 2) เปน็ ตารานรีเวชศาสตรข์ องการแพทย์ แผนไทยมยี าเขา้ กัญชา 3 ตารับคือ 2) 5.2.1 ยาแก้ลมอทุ ธังคมาวาตะ 2) 5.2.2 ยาแกร้ ิดสีดวงมหากาฬ 2 25.2.3 ยาแก้อาการบดิ มวนทอ้ งและท้องเสยี ในสตรี ภาพท่ี 65คัมภรี ช์ วดาร 5.3 พระคัมภีรช์ วดาร 2) เป็นตาราว่าด้วยโรคลมและโรคเลือดของท้ังสตรีและบุรุษ มียา 1 ตารับ คือ ยาแก้โรค สาหรบั บุรุษและสตรี ใชร้ ักษากามโรค ปสั สาวะเปน็ โลหติ

175 ภาพที่ 66คัมภีรก์ ระษัย 5.4 พระคมั ภรี ก์ ษยั 2) เป็ น ต าราว่าด้ วยค วาม เสื่ อมของร่างกายท าให้ ผอมแห้ ง แรงน้ อย สุ ขภาพ ทรุดโทรมในพระคัมภรี ์น้ีมีกัญชาเปน็ ส่วนผสมถึง 5 ตารับ คือ 2) 5.4.1 ยาแก้กษัยเหล็ก 2) 5.4.2 ยาแก้กษัยกล่อน 2) 5.4.3 ยาแกก้ ษัยเสยี ด 2) 5.4.4 ยาพรหมภักตร์ 2) 5.4.5 ยาอัมฤตย์โอสถ กกกกกกกกล่าวโดยสรุปในประเทศไทยมีหลักฐานการใช้กัญชาในการรักษา หรือควบคุมอาการของ โรคต่าง ๆ ต้ังแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีการรวบรวมไว้เป็นตารายาหลายเล่ม และสูตร ยาหลายขนาน เช่น ตาราพระโอสถพระนารายณ์ ตาราแพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์ พระคัมภีร์ปฐมจินดา พระคัมภีร์มหาโชตรัต พระคัมภีร์ชวดาร และพระคัมภีร์กษัย เป็นต้น มีการระบุตารับยาท่ีใช้กัญชา หรือมีกญั ชาเป็นส่วนประกอบท่ใี ช้ในการรกั ษา นบั แต่ในอดตี สบื เนื่องกนั มา เรอ่ื งท่ี 3 ตารบั ยาที่มกี ัญชาเป็นสว่ นประกอบทไี่ ดม้ กี ารคดั เลือก และรบั รองโดย กระทรวงสาธารณสขุ สืบเน่ืองมาจากพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี 7) พ.ศ.2562กาหนดให้แพทย์ แผนไทย แผนแพทย์ไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้านได้รับการยกเว้นว่าให้สามารถปรุงยาเพ่ือ ประโยชน์ของคนไข้เฉพาะรายของตนได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่อนุญาตให้ปลูกเองได้ หากต้องการปลูก ตอ้ งร่วมมือกบั หน่วยงานของรัฐและขออนุญาตปลูกอย่างถูกต้อง

176 กภาพท่ี 67 กระทรวงสาธารณสขุ ด้วยการใช้กัญชาในประเทศไทยได้ขาดความต่อเน่ือง เนื่องจากกัญชาเป็นยาเสพติด ประเภท 5 ไม่สามารถนามาใช้ในการรักษาโรคได้ มาเป็นเวลาหลายสิบปี ทาให้แพทย์ส่วนใหญ่ ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ขาดประสบการณ์ในการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์มาเป็นเวลานาน ส่งผลทาให้ กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้รวบรวมตารับยาไทยที่มีกัญชา เปน็ สว่ นผสมมจี านวนท้งั สิ้น 90 ตารับ โดยแบ่งออกเปน็ 4 กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มท่ี 1 ตารับยาท่มี ีประสิทธิผล มีความปลอดภยั วิธีการผลติ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตัวยาหาไมย่ าก และมีกัญชาปรุงผสมอย่ทู ี่อนุญาตให้เสพเพ่ือรักษาโรคหรอื การศึกษาวจิ ัยได้ แนบทา้ ย ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง กาหนดตารับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ที่มีกัญชา ปรุงผสมอยู่ ท่ีใหเ้ สพเพอื่ รักษาโรคหรอื การศกึ ษาวิจัยได้ พ.ศ. 2562

177 บญั ชรี ายช่ือตารับยาแผนไทย กาหนดใหเ้ ปน็ ตารับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ที่มีกญั ชาปรงุ ผสมอยู่ทีอ่ นุญาตให้เสพเพือ่ รกั ษา โรคหรอื การศกึ ษาวจิ ยั ได้ แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรอ่ื งกาหนดตารับยาเสพติดให้ โทษในประเภท 5 ทม่ี กี ัญชาปรงุ ผสมอยู่ ท่ใี หเ้ สพเพอื่ รกั ษาโรคหรอื การศึกษาวิจัยได้ พ.ศ. 2562 จานวน 16 ตารับ ชอื่ ตารบั ยา ท่มี าของตารับยา 1. ยาอัคคินวี คณะ คัมภีร์ธาตุพระนารายน์ 2. ยาศขุ ไสยาศน์ คัมภีรธ์ าตพุ ระนารายน์ 3. ยาแกล้ มเนาวนารวี าโย ตารายาศลิ าจารึกในวดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม 4. ยานา้ มนั สนน่ั ไตรภพ ตารายาศลิ าจารึกในวัดพระเชตพุ นวิมลมังคลาราม, จารกึ ตารายา วัดราชโอรสารามวรวิหาร 5. ยาแกล้ มข้นึ เบื้องสูง ตารายาศลิ าจารกึ ในวัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม 6. ยาไฟอาวุธ แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์ เลม่ 1 พระยาพศิ ณปุ ระสาทเวช 7. ยาแกน้ อนไมห่ ลบั หรอื ยาแก้ไขผ้ อมหลือง แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์ เลม่ 1 พระยาพิศณุประสาทเวช 8. ยาแกส้ ัณฑฆาต กล่อนแหง้ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 2 พระยาพิศณปุ ระสาทเวช 9. ยาอัมฤตยโ์ อสถ แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์ เลม่ 2 พระยาพิศณปุ ระสาทเวช 10. ยาอไภยสาลี เวชศกึ ษา พระยาพศิ ณุประสาทเวช 11. ยาแกล้ มแก้เสน้ 12. ยาแก้โรคจิต เวชศาสตรว์ ณั ณนา 13. ยาไพสาลี อายรุ เวทศึกษา (ขุนนทิ เทสสขุ กจิ ) เล่ม 2 14. ยาทารดิ สีดวงทวารหนักและโรคผิวหนงั อายรุ เวทศึกษา (ขนุ นทิ เทสสขุ กจิ ) เลม่ 2 15. ยาทาลายพระสุเมรุ อายรุ เวทศกึ ษา (ขุนนทิ เทสสุขกจิ ) เล่ม 2 16. ยาทัพยาธิคณุ คมั ภรี แ์ พทยไ์ ทยแผนโบราณ เลม่ 2 ขนุ โสภิตบรรณลักษณ์ คมั ภีร์แพทยไ์ ทยแผนโบราณ เลม่ 2 ขนุ โสภติ บรรณลักษณ์ หมายเหตุจากเหตุผลดงั กล่าวข้างต้น จึงเป็นผลทาให้ 16 ตารับยาแพทย์แผนไทยในกลุ่มที่ 1 จะถูกนามาใช้ก่อนตารับยาขนานอ่ืน ในโอกาสน้ีจึงขอนารายการยา 16 ตารับยากลุ่มท่ี 1 มาเผยแพร่ โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี กกกก

178 1. ยาอคั คินวี คณะ ทีม่ าของตารบั ยาคัมภรี ์ธาตพุ ระนารายน์ “อัคคินีวคณะ ให้เอา กันชา ยิงสม สิ่งละส่วน เปลือกอบเชย ใบกระวาน กานพลู สะค้าน ส่ิงละ 2 ส่วน ขิงแห้ง 3 ส่วน รากเจตมูลเพลิง ดีปลี ส่ิงละ 4 ส่วน น้าตาลกรวด 6ส่วน กระทาเป็นจุณ น้าผ้ึงรวงเป็นกระสาย บดเสวยหนักสลึง 1 แก้อาเจียน 4 ประการ ด้วยติกกะขาคินีกาเริบ และวิสมามันทาคินีอันทุพล จึงคล่ืนเหียน อาเจยี น มใิ หเ้ สวยพระกระยาหารได้ ใหจ้ าเริญพระธาตุท้ัง 4 ให้เสวยพระกระยาหาร เสวยมรี สชกู าลงั ย่งิ นัก ข้าพระพุทธเจ้า ขุนประสิทธิโอสถจีน ประกอบทูลเกล้าฯถวาย ครั้งสมเด็จพระนารายณ์เปนเจ้าเมือง ลพบรุ ี เสวยเพลาเช้าอตั รา ดนี กั แล ฯ” สูตรตารับยา ประกอบดว้ ย ตวั ยา 10 ชนดิ รวมนา้ หนัก 27 ส่วน ดังนี้ ลาดับ ตวั ยา น้าหนักยา 1 กัญชา 1 สว่ น 2 ยิงสม (โสม) 1 ส่วน 3 เปลือกอบเชย 2 ส่วน 4 ใบกระวาน 2 ส่วน 5 กานพลู 2 สว่ น 6 สะค้าน 2 ส่วน 7 ขิงแห้ง 3 สว่ น 8 เจตมูลเพลิง 4 ส่วน 9 ดปี ลี 4 ส่วน 10 นา้ ตาลกรวด 6 สว่ น ข้อบ่งใช้ แกค้ ลน่ื เหยี นอาเจียน ทีเ่ กดิ จากไฟยอ่ ยอาหารผดิ ปกติ รูปแบบยา ยาผง, แคปซลู ขนาดและวธิ ีใช้ รับประทานคร้ังละ 3.75 กรมั วันละ 1 คร้งั กอ่ นอาหารเชา้ น้ากระสายยาท่ีใช้นา้ ผง้ึ รวงถ้าหานา้ กระสายยาไมไ่ ด้ ให้ใชน้ า้ สุกแทน ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในหญงิ ต้งั ครรภ์ ผู้ท่ีมไี ข้ และผู้ท่ีมีอายุตา่ กวา่ 18 ปี ข้อควรระวัง 1. ควรระวงั การรับประทานร่วมกบั ยาในกลุ่มสารกนั เลือดเป็นลมิ่ (anticoagulant) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets) 2. ควรระวังการใชใ้ นผ้ปู ่วยโรคความดนั โลหิตสูง โรคหัวใจ ผ้ปู ่วยโรคแผล เป่ือยเพปติก ผ้ปู ว่ ยโรคกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน เนื่องจากเป็น ตารับยารสร้อน

179 ขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ 1. ติกกะขาคนิ ี หมายถงึ ไฟยอ่ ยอาหารกาเรบิ ซ่งึ มักสมั พันธห์ รือเกิดจากปิตตะกาเริบ 2. วสิ มามันทาคินี อนั ทุพล หมายถงึ ไฟย่อยอาหารทมี่ ีลักษณะท่ีไม่ สม่าเสมอหรือไม่คงท่ี เชน่ บางมือ้ กนิ อาหารไดม้ ากเน่ืองจากไฟย่อย อาหารมีกาลังแรง แต่พอถงึ ม้ือต่อไปมีอาการเบือ่ หรือไมอ่ ยาก รบั ประทานอาหารเนื่องจากไฟยอ่ ยอาหารหรอื อคั นิอ่อนกาลงั ลง ลักษณะหรอื อาการขึ้น ๆ ลง ๆหรอื ไม่แน่นอนหรือไมส่ มา่ เสมอของไฟ ยอ่ ยอาหารเปน็ ผลจากความผิดปกตขิ อง“วาตะ” หรืออาจกลา่ วอีก อยา่ งวา่ “วาตะทาให้ไฟย่อยอาหารมลี ักษณะท่ีไม่แนน่ อน” 3. ยามรี สรอ้ น ผู้ป่วยที่มภี าวะโรคกระเพาะอาหารควรรบั ประทานหลัง อาหารและแบ่งรับประทานก่อนอาหารเช้าและเยน็ 4. ชอ่ื อนื่ ในตารายาเกร็ด เชน่ อัคควี ัชณะ, ยาชอ่ื อัคควี ฒั นะ, ยาชอ่ื อัคนี 2. ยาศุขไสยาศน์ ทมี่ าของตารบั ยา คัมภีรธ์ าตุพระนารายน์ “ยาศุขไสยาศน์ ให้เอา การบูร 1 ส่วน ใบสเดา 2 ส่วน สหัสคุณเทศ 3 ส่วน สมุลแว้ง 4 ส่วน เทียนดา 5 ส่วน โกฏกระดกู 6 ส่วน ลูกจันทน์ 7 ส่วน ดอกบุนนาค 8 ส่วน พริกไท 9 ส่วน ขิงแห้ง 10 สว่ น ดีปลี 11 ส่วน ใบกันชา 12 ส่วน ทาเปนจุณละลายน้าผ้ึงเมื่อจะกินเศกด้วยสัพพีติโย 3 จบ แล้วกินพอควร แก้สรรพโรคทัง้ ปวงหายสน้ิ มีกาลงั กินเขา้ ได้ นอนเป็นศขุ นักแลฯ” สูตรตารับยา ประกอบด้วย ตวั ยา 12 ชนดิ รวมนา้ หนกั 78 ส่วน ดงั นี้ ลาดับ ตวั ยา น้าหนักยา 1 การบรู 1 ส่วน 2 ใบสะเดา 2 ส่วน 3 หสั คณุ เทศ 3 ส่วน 4 สมุลแว้ง 4 สว่ น 5 เทยี นดา 5 สว่ น 6 โกฐกระดูก 6 สว่ น 7 ลกู จันทน์ 7 ส่วน 8 ดอกบุนนาค 8 ส่วน 9 พรกิ ไทย 9 สว่ น

180 ลาดบั ตัวยา น้าหนกั ยา 10 ขงิ แหง้ 10 สว่ น 11 ดปี ลี 11 ส่วน 12 ใบกญั ชา 12 ส่วน ขอ้ บ่งใช้ ช่วยให้นอนหลับเจริญอาหาร รูปแบบยา ยาผง , แคปซูล ขนาดและวิธใี ช้ รบั ประทานคร้ังละ 2 กรัม วนั ละ 1 คร้งั ก่อนนอน นา้ กระสายยาทใี่ ช้นา้ ผึ้งรวงถา้ หานา้ กระสายยาไม่ได้ ให้ใช้น้าสกุ แทน ข้อห้ามใช้ 1. หา้ มใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผทู้ ่มี ไี ข้ และผูท้ ่ีมีอายตุ ่ากวา่ 18 ปี 2. หา้ มใช้รว่ มกับยาที่มีฤทธกิ์ ดระบบประสาทสว่ นกลาง เช่น ยานอนหลับ และยาต้านการชัก รวมท้ังแอลกอฮอล์ หรอื สิง่ ที่มแี อลกอฮอลผ์ สมอยู่ ข้อควรระวัง 1. ควรระวังการรับประทานรว่ มกบั ยาในกลุ่มสารกนั เลือดเป็นลม่ิ (anticoagulant) และยาต้านการจับตวั ของเกล็ดเลือด (antiplatelets) 2. ควรระวังการใช้รว่ มกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin เนื่องจากตารับนม้ี ีพริกไทยในปริมาณสูง 3. ควรระวังการใชย้ าอย่างต่อเนอ่ื ง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในผ้ปู ่วยที่มคี วาม ผิดปกติของตับ ไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้ 4. ควรระวงั การใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สงู โรคหัวใจ ผู้ปว่ ยโรคแผล เป่อื ยเพปตกิ ผ้ปู ว่ ยโรคกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน เนื่องจาก เป็นตารับยารสรอ้ น 5. ยานี้อาจทาให้ง่วงซึมได้ ควรหลีกเล่ยี งการขบั ข่ียานพาหนะ หรอื ทางาน เกยี่ วกบั เคร่ืองจกั รกล ขอ้ มลู เพ่มิ เติม - 3. ยาแก้ลมเนาวนารีวาโย ทมี่ าของตารับยา ตารายาศิลาจารึกในวดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม “สิทธิการิยะ จะกล่าวลักษณะกาเนิดแห่งลม อันช่ือว่าเนาวนารีวาโย เป็นคารบ 18 นน้ั เกิดแต่ปลาย ปตั คาดปลายสนั ทฆาตเจือกันกล่าวคอื จบั ต้นคอเป็นตน้ ก็ดี ในลาคอกด็ ี เหตุว่าแล่นถึงกันมักบังเกดิ แก่ สตรีทรงครรภ์ กระทาใหป้ ลายมือปลายเทา้ ดุจปลาดุกยอก แลว้ ขึ้นมาจับเอาต้นคอให้คอแข็ง จะเบอื น คอก็ มิ ได้ สมมติ ว่ าคอแข็ งแล้ วกระท าพิ ษ ให้ ร้ อน เป็ น ก าลั ง จึ งพ ระฤาษี เพ ท ะกะ เท พ

181 ให้แต่งยาน้ีแก้ เอากัญชา1, ดีปลี 1, พริกไทย 1, ขิงแห้ง 1, ขอบชะนางท้ัง 2, ตานหม่อน 1, ลูกจันทน์ 1, ดอกจันทน์, สมุลแว้ง 1,อบเชย 1, กานพลู 1, เอาเสมอภาค ทาเป็นจุณบดละลายน้าผึ้งกินหนัก 1 สลงึ ให้กนิ เช้าเยน็ อาจารยท์ ่านกล่าวไว้ว่าให้กิน 7 วนั หายวิเศษนัก ฯ” สูตรตารบั ยา ประกอบดว้ ย ตัวยา 12 ชนดิ รวมน้าหนกั 12 ส่วน ดังน้ี ลาดับ ตวั ยา น้าหนกั ยา 1 กญั ชา 1 ส่วน 2 ดปี ลี 1 ส่วน 3 พริกไทย 1 ส่วน 4 ขิงแห้ง 1 ส่วน 5 ขอบชะนางแดง 1 ส่วน 6 ขอบชะนางขาว 1 สว่ น 7 ตานหมอ่ น 1 ส่วน 8 ลูกจันทน์ 1 ส่วน 9 ดอกจนั ทน์ 1 ส่วน 10 สมุลแว้ง 1 ส่วน 11 อบเชย 1 ส่วน 12 กานพลู 1 ส่วน ข้อบ่งใช้ แก้ลมเนาวนารวี าโย รูปแบบยา ยาผง, แคปซลู ขนาดและวธิ ใี ช้ รบั ประทานครั้งละ 2 กรัม วนั ละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าและเยน็ ข้อหา้ มใช้ นา้ กระสายยาที่ใช้น้าผ้ึงรวงถ้าหานา้ กระสายยาไม่ได้ ให้ใชน้ ้าสุกแทน ข้อควรระวงั ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ท่ีมไี ข้ และผู้ทีม่ ีอายตุ ่ากว่า 18 ปี ควรระวังการรับประทานรว่ มกบั ยาในกลุ่มสารกนั เลอื ดเป็นลมิ่ ขอ้ มูลเพิม่ เติม (anticoagulant)และยาตา้ นการจบั ตวั ของเกล็ดเลือด (antiplatelets) ลมเนาวนารีวาโยเป็นลมที่ทาให้มอี าการเจบ็ แปล๊บทปี่ ลายมือปลายเท้าคล้าย ปลาดุกยอก ตน้ คอตึงแขง็ เกร็ง หนั คอไม่ได้

182 4. ยาน้ามนั สนัน่ ไตรภพ ทมี่ าของตารบั ยา ตารายาศิลาจารกึ ในวดั พระเชตุพนวิมลมงั คลารามจารึกตารายา วัดราชโอรสา รามวรวหิ าร “สทิ ธกิ าริยะ จะกลา่ วลักษณะกระษัยโรคอันบงั เกิดขึ้นเปน็ อปุ ปาติก คอื กระษัยเหล็กน้ันเป็นคารบ 3 มีประเภทกระทาให้หนา้ เหน่าและท้องน้อยน้ันแขง็ ดุจดงั แผ่นศิลา และจะไหวตัวไปมากม็ ิได้ ครน้ั แก่ เขา้ แขง็ ลามขน้ึ ไปถึงยอดอก และให้บริโภคอาหารมไิ ด้ ให้ปวดขบดังจะขาดใจตายดังนี้ ฯ อน่ึง เอาใบกะเพรา ใบแมงลกั ใบเสยี้ นผี กระชาย กญั ชา พรกิ ไทย หอมแดง หญา้ ไซ เกลอื ลูกคัดเค้า ย าท้ั งน้ี เอ า น้ าสิ่ งล ะ ท ะ น าน 1 น้ ามั น งาท ะ น าน 1 หุ งให้ ค งแ ต่ น้ ามั น แ ล้ ว จึ งเอ า ลกู จันทน์ ดอกจนั ทน์ กระวาน กานพลู เทียนดา เทียนขาว การบรู สง่ิ ละ 1 สลงึ ทาเป็นจุณปรุงลงใน น้ามันน้ัน แล้วจึงเอามาทาท้องรีดเสียให้ได้ 3 วันก่อน แล้วจึงกินน้ามันนี้อีก 3 วันหายวิเศษนัก ยาน้ามนั ขนานน้ีชอ่ื สนน่ั ไตรภพ แกก้ ล่อนกระษัยทั้งปวงหายดนี กั ฯ” สตู รตารับยา ประกอบด้วย ตวั ยา 18 ชนิด ดงั น้ี ลาดบั ตวั ยา น้าหนักยา 1 ใบกะเพรา 1 กิโลกรมั (น้าหนักตวั ยาสด) 2 ใบแมงลกั 1 กิโลกรมั (น้าหนกั ตวั ยาสด) 3 ใบผกั เสย้ี นผี 1 กิโลกรัม (น้าหนกั ตวั ยาสด) 4 กระชาย 1 กิโลกรัม (นา้ หนักตัวยาสด) 5 กญั ชา 1 กโิ ลกรมั (นา้ หนักตัวยาสด) 6 พริกไทย 1 กโิ ลกรัม (น้าหนกั ตวั ยาสด) 7 หอมแดง 1 กิโลกรมั (นา้ หนักตวั ยาสด) 8 หญา้ ไซ 1 กิโลกรัม (นา้ หนกั ตวั ยาสด) 9 เกลอื 1 กิโลกรัม 10 ลูกคัดเคา้ 1 กิโลกรัม (นา้ หนกั ตัวยาสด) 11 ลกู จนั ทน์ 1 สลึง 12 ดอกจันทน์ 1 สลงึ 13 กระวาน 1 สลึง 14 กานพลู 1 สลึง 15 เทียนดา 1 สลงึ 16 เทียนขาว 1 สลึง 17 การบรู 1 สลึง

183 ลาดบั ตัวยา นา้ หนักยา 18 น้ามนั งา 1 ทะนาน ขอ้ บ่งใช้ แก้กษัยเหลก็ รปู แบบยา ยาน้ามนั ขนาดและวิธีใช้ 1. ใชน้ ้ามนั ทารดี ทอ้ ง นวดคลงึ บริเวณรอบสะดือถึงชายโครง ทิศตามเข็ม 1. นาฬิกา3 วันกอ่ น แลว้ จึงรับประทานน้ามนั 2. รบั ประทานครั้งละ 3 - 5 มลิ ลิลติ ร วนั ละ 1 คร้งั กอ่ นอาหารเช้าเปน็ เวลา 3 วนั ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในหญงิ ต้งั ครรภ์ ผ้ทู ม่ี ไี ข้ และผู้ทม่ี ีอายุตา่ กว่า 18 ปี ขอ้ ควรระวงั 1. ควรระวังการรบั ประทานร่วมกบั ยาในกลุ่มสารกนั เลอื ดเปน็ ลม่ิ (anticoagulant) และยาตา้ นการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets) 2. ควรระวังการใช้รว่ มกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และrifampicin เนื่องจากตารับนมี้ ีพริกไทยในปริมาณสงู 3. ควรระวงั การใชใ้ นผปู้ ่วยโรคความดนั โลหติ สงู โรคหัวใจ ผ้ปู ่วยโรคแผล เป่ือยเพปติก ผปู้ ่วยโรคกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน เนื่องจากเปน็ ตารับยารสรอ้ น 4. ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนือ่ ง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในผ้ปู ่วยท่มี ีความ ผิดปกติของตับ ไต เน่ืองจากอาจเกิดการสะสมของการบรู และเกิดพิษได้ 5. ควรระวงั ในการทาบรเิ วณผิวท่ีบอบบางหรือผวิ หนงั ท่ีแตกเนื่องจากอาจ ทาให้เกดิ การระคายเคืองได้ ข้อมูลเพิม่ เติม กษัยเหล็ก เปน็ กษัยอนั เกิดจากอปุ ปาติกะโรคชนิดหน่ึง เกิดจากลมอดั แน่น แข็งเป็นดานอยู่ในท้องน้อย ผู้ปว่ ยมอี าการเจ็บปวดท้องแขง็ ลามข้ึนไปถงึ อก กินอาหารไม่ได้ เป็นต้น 5. ยาแก้ลมขึ้นเบื้องสูง ทีม่ าของตารับยา ตารายาศิลาจารกึ ในวดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม “สิทธิการิยะ จะกล่าวด้วยตารายาคือวิเศษสรรพคุณสาเร็จ อันอาจารย์เจ้าในก่อนประมวลไว้ ให้แก้ สรรพโรคทง้ั ปวงต่าง ๆ สืบกนั มา ฯ ในท่ีน้ีจะว่าแต่สรรพคุณวิเศษ คือคณะสรรพยาท่ีจะแก้ซ่ึงโรคสรรพลมทั้งปวงอันกาเริบพัดขึ้นเบ้ืองบนนั้น โดยนัยดงั น้ี ฯ

184 ยาแก้ลมขึ้นสูง เอายาดา, กัญชา, อุตพิด, ดองดึง ส่ิงละ 4 ส่วน กระเทียม 6 ส่วน, ว่านน้า, ชะเอมเทศ, โกฐน้าเต้า, โกฐพุงปลา, มหาหงิ ค์ุ สิง่ ละ 8 ส่วน ว่านเปราะ, ผลผกั ชี สิ่งละ12 ส่วน ขิงแห้ง, แก่นแสม ทะเล, รากส้มกุ้ง, สะค้าน ส่ิงละ 16 ส่วน พริกไทย, เปลือกกันเกรา สิ่งละ 24 ส่วน ทาเป็นจุณบด ละลายนา้ ผง้ึ รวง ให้กนิ หนกั 1 สลึง แกล้ มข้นึ สูงหายดนี กั ฯ” สตู รตารบั ยา ประกอบดว้ ย ตวั ยา 18 ชนดิ รวมนา้ หนัก 198 ส่วน ดังนี้ ลาดับ ตัวยา นา้ หนักยา 1 ยาดา 4 สว่ น 2 กญั ชา 4 ส่วน 3 อุตพิด 4 ส่วน 4 ดองดงึ 4 สว่ น 5 กระเทยี ม 6 สว่ น 6 วา่ นน้า 8 สว่ น 7 ชะเอมเทศ 8 ส่วน 8 โกฐน้าเตา้ 8 สว่ น 9 โกฐพุงปลา 8 ส่วน 10 มหาหิงคุ์ 8 ส่วน 11 วา่ นเปราะ 12 ส่วน 12 ผลผกั ชี 12 ส่วน 13 ขิงแห้ง 16 ส่วน 14 แกน่ แสมทะเล 16 ส่วน 15 รากสม้ กุง้ 16 สว่ น 16 สะค้าน 16 สว่ น 17 พริกไทย 24 สว่ น 18 เปลอื กกนั เกรา 24 สว่ น ข้อบ่งใช้ แกล้ มขึ้นเบือ้ งสงู รูปแบบยา ยาผง, แคปซูล ขนาดและวิธีใช้ รับประทานครง้ั ละ 2 กรมั วันละ 2 ครงั้ ก่อนอาหาร เช้าและเยน็ นา้ กระสายยาทใี่ ช้น้าผ้ึงรวงถ้าหาน้ากระสายยาไม่ได้ ใหใ้ ชน้ ้าสุกแทน

185 ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผ้ทู มี่ ีไข้ และผูท้ ่ีมีอายุต่ากว่า 18 ปี ข้อควรระวงั 1. ควรระวงั การรับประทานรว่ มกับยาในกลุ่มสารกันเลือดเป็นลมิ่ (anticoagulant) และยาต้านการจับตวั ของเกลด็ เลือด (antiplatelets) 2. ควรระวงั การใชร้ ่วมกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และrifampicin เน่ืองจากตารับนมี้ ีพริกไทยในปริมาณสูง 3. ควรระวงั การใชใ้ นผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสูง โรคหวั ใจ ผปู้ ่วยโรคแผล เป่อื ยเพปติก ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน เน่ืองจาก เป็นตารับยารสรอ้ น ข้อมูลเพ่ิมเติม 1. ลมข้ึนเบ้ืองสูง เป็นโรคลมทที่ าให้มีอาการปวดศีรษะ ตาแดง หตู าฝ้าฟาง . หอู อื้ ออ่ นเพลีย สวงิ สวาย เป็นตน้ 2. ดองดึงจะต้องฆา่ ฤทธ์ติ ามกรรมวิธีก่อนนาไปปรงุ ยา 6. ยาไฟอาวธุ ที่มาของตารบั ยา แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ เล่ม 1 พระยาพศิ ณุประสาทเวช ร.ศ. 128 “อนั วา่ ลมที่กล้งิ ขน้ึ กล้งิ ลงแลลัน่ อยใู่ นท้องทเี่ ปนป้างคลนื่ ดุจดังลูกฟูกนัน้ กห็ าย ถ้าไมห่ ายทา่ นใหแ้ ต่ง ยาอันชื่อว่าอนิ ทจกั ร์นน้ั ให้กินต่อไป ถ้ามิฟงั ยาอนั ใดแลว้ ท่านใหแ้ ตง่ ยาอันชอื่ ว่าไฟอาวุธนั้นใหก้ ิน ตอ่ ไป ยาชื่อไฟอาวธุ ขนานน้ี เอาผลจันทน์ 1 ดอกจันทน์ 1 กระวาน 1 กานพลู 1 โกฐทั้ง5 เทียนทั้ง 5 ชะเอมเทศ 1กันชา 1 แก่นแสมทะเล 1 เอาสิ่งละ 1 ส่วน อุตพิด 1 เปลือกสมุลแว้ง 1 ดีปลี 1 ใบพิมเสน 1 เอาส่ิงละ 2 ส่วน รากจิงจ้อ 1 รากส้มกุ้ง 1 รากเปล้าน้อย 1 รากเปล้าใหญ่ 1 รากสะค้าน 1 รากพาชไหน 1 เอาส่ิงละ 3 ส่วน สหัศคุณเทศ 4 ส่วน บุกรอ 9 ส่วน พริกไทย 1 ขิง แห้ง 1 รากเจตมูล เอาส่ิงละ 16 ส่วน รวมยา 32 สิ่งนี้ทาเปนจุณ เอาน้ามะนาวเปนกระสายบดทา แท่งไว้ กินแก้ทราง 7 จาพวก แก้ตานโจรทั้ง 12 จาพวก แก้หืดน้านมทั้ง 7 จาพวก แก้ไอผอมเหลือง แลแก้ไส้พองท้องใหญ่ แก้พุงโรแลลมจุกเสียด แลแก้ป้างแก้ม้ามแก้ดานเสมหะให้ปวดมวนเสียดแทง แก้อุจจาระเปนเสมหะโลหิตระคนกันมักให้ถอยกาลงั มักให้เปนไข้ไม่รู้สึกตัวให้ลงเปนโลหิต แก้ไข้เพ่ือ เสมหะเพอื่ ลม” สตู รตารับยา ประกอบดว้ ย ตวั ยา 32 ชนิด รวมนา้ หนัก 104 สว่ น ดังนี้ ลาดบั ตัวยา นา้ หนักยา 1 ผลจนั ทน์ 1 สว่ น 2 ดอกจันทน์ 1 ส่วน 3 กระวาน 1 สว่ น 4 กานพลู 1 ส่วน

186 ลาดบั ตัวยา น้าหนกั ยา 5 โกฐสอ 1 สว่ น 6 โกฐเขมา 1 สว่ น 7 โกฐหวั บัว 1 สว่ น 8 โกฐจุฬาลมั พา 1 ส่วน 9 โกฐเชยี ง 1 ส่วน 10 เทียนดา 1 ส่วน 11 เทยี นแดง 1 ส่วน 12 เทยี นขาว 1 สว่ น 13 เทียนขา้ วเปลอื ก 1 สว่ น 14 เทยี นตาตั๊กแตน 1 สว่ น 15 ชะเอมเทศ 1 ส่วน 16 กัญชา 1 ส่วน 17 แกน่ แสมทะเล 1 ส่วน 18 อตุ พดิ 2 ส่วน 19 เปลอื กสมลุ แวง้ 2 ส่วน 20 ดีปลี 2 ส่วน 21 ใบพิมเสน 2 สว่ น 22 รากจงิ จ้อ 3 สว่ น 23 รากสม้ กุง้ 3 สว่ น 24 รากเปลา้ น้อย 3 สว่ น 25 รากเปลา้ ใหญ่ 3 สว่ น 26 รากสะคา้ น 3 สว่ น 27 รากพาชไหน 3 ส่วน 28 สหศั คุณเทศ 4 สว่ น 29 บุกรอ 9 ส่วน 30 พรกิ ไทย 16 ส่วน 31 ขงิ แห้ง 16 สว่ น 32 เจตมูลเพลิงแดง 16 ส่วน

187 ข้อบ่งใช้ แกล้ มจกุ เสยี ด ปวดมวนท้อง แก้ดานเสมหะ รูปแบบยา ยาผง, แคปซูล ขนาดและวธิ ีใช้ รับประทานคร้ังละ 2 กรัม วนั ละ 2 ครัง้ ก่อนอาหาร เช้าและเย็น น้ากระสายยาที่ใช้น้ามะนาวถ้าหานา้ กระสายยาไม่ได้ ให้ใช้น้าสุกแทน ข้อห้ามใช้ หา้ มใช้ในหญิงตง้ั ครรภ์ ผูท้ ม่ี ีไข้ และผทู้ ม่ี ีอายุต่ากวา่ 18 ปี ขอ้ ควรระวงั 1. ควรระวงั การรับประทานรว่ มกบั ยาในกลุ่มสารกันเลอื ดเป็นลม่ิ 1. (anticoagulant) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets) 2. ควรระวังการใช้รว่ มกับยา phenytoin, propranolol, theophylline 1. และrifampicin เน่ืองจากตารบั น้มี ีพริกไทยในปริมาณสูง 3. ควรระวังการใชใ้ นผปู้ ่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ผู้ปว่ ยโรคแผล 1. เป่ือยเพปตกิ ผ้ปู ่วยโรคกระเพาะอาหารและกรดไหลยอ้ น เนือ่ งจากเปน็ 1. ตารบั ยารสรอ้ น ข้อมูลเพม่ิ เติม ดานเสมหะ หมายถึง เสมหะทค่ี ง่ั ค้างในลาไส้ทาใหท้ ้องแข็งปวดมวน 7. ยาแกน้ อนไมห่ ลับ หรือ ยาแก้ไขผ้ อมเหลือง ท่มี าของตารับยา แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ เล่ม 1 พระยาพศิ ณุประสาทเวช ร.ศ. 128 “กัญชา แกไ้ ขผ้ อมเหลืองหากาลังมิได้ ใหต้ วั สน่ั เสยี งสนั่ เปนดว้ ยวาโยธาตุกาเรบิ แก้นอนมหิ ลับ เอาตรี กะฏุก 1 จันทน์ท้ัง 2 ใบสะเดา 1 ใบคนทีเขมา 1 พริกล่อนเสมอภาค ใบกันชาเท่ายาท้ังหลายทาผง เอา นา้ มะพร้าว น้าผึ้ง น้าสม้ ซา่ นา้ ตาลทราย กระทอื สด นา้ เบญ็ จทับทิมต้มละลายยากนิ หายแล” สตู รตารับยา ประกอบด้วย ตัวยา 8 ชนิด รวมน้าหนัก 16 ส่วน ดังนี้ ลาดบั ตัวยา น้าหนกั ยา 1 ขิงแห้ง 1 สว่ น 2 พรกิ ไทยล่อน 2 ส่วน 3 ดีปลี 1 สว่ น 4 จนั ทน์แดง 1 ส่วน 5 จนั ทนข์ าว 1 สว่ น 6 ใบสะเดา 1 สว่ น 7 ใบคนทเี ขมา 1 สว่ น 8 ใบกัญชา 8 ส่วน

188 ขอ้ บง่ ใช้ 1. แกน้ อนไมห่ ลับ 2. แก้ไข้ผอมเหลอื ง มอี าการตัวส่นั เสียงส่นั ออ่ นเพลีย ไม่มีกาลัง รูปแบบยา ยาผง, แคปซลู ขนาดและวธิ ใี ช้ รบั ประทานคร้ังละ 2 กรัม วนั ละ 2 ครง้ั ก่อนอาหาร เช้าและเย็น นา้ กระสายยาทใี่ ช้น้ามะพรา้ ว นา้ ผ้ึงรวง น้าส้มซ่า น้าตาลทราย กระทือสด น้าเบญจทับทิมตม้ อยา่ งใด อย่างหนง่ึ ถา้ หานา้ กระสายยาไม่ได้ ใหใ้ ช้น้า สุกแทน ข้อห้ามใช้ 1. หา้ มใชใ้ นหญงิ ตัง้ ครรภ์ และผู้ทมี่ อี ายุตา่ กวา่ 18 ปี 2. ห้ามใช้รว่ มกบั ยาทม่ี ีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยานอนหลับ และยาต้านการชกั รวมท้ังแอลกอฮอล์ หรอื สง่ิ ที่มแี อลกอฮอล์ผสมอยู่ ขอ้ ควรระวงั 1. ควรระวังการรับประทานรว่ มกับยาในกลุ่มสารกนั เลอื ดเปน็ ลม่ิ (anticoagulant) และยาตา้ นการจับตวั ของเกลด็ เลอื ด (antiplatelets) 2. ควรระวังการใช้รว่ มกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin เนื่องจากตารับน้มี ีพริกไทยเปน็ สว่ นประกอบ 3. ยานอ้ี าจทาใหง้ ว่ งซึมได้ ควรหลกี เลย่ี งการขับขย่ี านพาหนะ หรอื ทางาน เกย่ี วกับเคร่ืองจกั รกล 4. ควรระวังในผู้ทปี่ ระกอบอาชีพทางนา้ หรือผทู้ รี่ ่างกายตอ้ งสมั ผัสความ เยน็ เป็นเวลานาน เพราะจะทาใหเ้ ปน็ ตะครวิ ตรงบริเวณท้องได้ ขอ้ มูลเพมิ่ เติม 1. ไขผ้ อมเหลืองเกดิ จากธาตุลมกาเริบส่งผลให้นอนไม่คอ่ ยหลบั เบอ่ื อาหาร เม่ือเป็นเร้ือรงั รา่ งกายผา่ ยผอม ซีด เหลอื ง ออ่ นเพลยี และไม่มี กาลงั ซงึ่ อาจเกดิ จากหลายสาเหตุ เชน่ โรครดิ สดี วง 2. ริดสดี วง เปน็ โรคกลุ่มหนงึ่ เกดิ ได้กบั อวยั วะต่างๆ ของร่างกาย เชน่ ตา จมกู ลาไส้ ทวารหนัก ตาราการแพทย์แผนไทยว่า มี 18 ชนิด แตล่ ะชนดิ มอี าการและชอ่ื เรยี กแตกตา่ งกนั ไป บางชนิดอาจมีติ่งหรอื ก้อนเนื้อ เกิดข้ึนที่อวัยวะนั้น เชน่ ริดสีดวงตา รดิ สดี วงทวารหนกั 8. ยาแก้สันฑฆาต กล่อนแหง้ ที่มาของตารับยา แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์ เล่ม 2 พระยาพิศณปุ ระสาทเวช ร.ศ.126 “จะว่าด้วยโรคสาหรับบุรุษหรือสัตรีก็เหมือนกัน แต่จะว่าด้วยบุรุษนั้นก่อน ถ้าผู้ใดเปนโทษสัณฑฆาฏ แลกล่อนแห้ง มักให้ผูกพรรดึกแลลมเสียดแทง ให้เปนลูกเปนก้อนเปนดานในท้องให้เม่ือยขบทั่วสารพางค์ มั กให้ เจ็ บ บ้ั น เอว ให้ มื อเท้ าตายเป น เห น็ บ ช า มั กขั ด หั วเห น่ าน่ าตะโพ ก ตึ งสอง ร า ว

189 ข้างไปจนตลอดทวารหนัก ปสั สาวะเปนโลหิตใหป้ วดสสี ะวิงเวียนหน้าตา ปากเบย้ี วตาแหกเสยี งแห้งเจ ราไม่ไคร่ได้ยิน จักษุมืดหูหนัก แลจุกเสียดท้องข้ึนแน่นน่าอก เสพย์อาหารไม่มีรศ โรคทั้งนี้เปนเพื่อ วาตะ, เสมหะ, โลหิต, กาเริบ เม่ือจะเปนน้ันให้เหม็นเน้ือตัวแลอาหารถอย บางทีให้จับสะบัดร้อนส ท้านหนาว มักอยากของเปรี้ยวหวานแลเย็น เปนท้ังน้ีเพราะโลหิตแห้งติดกระดูกสันหลัง บุรุษแลสัต รีเปนเหมอื นกันจะแก้ทา่ นใหแ้ ตง่ ยาน้ี ยาแก้โรคสาหรับบุรุษขนานนี้ เอาเถาสะค้าน 1 ผักแพวแดง 1 หัวดองดึง 1 ว่านน้า 1 มหาหิงค์ุ 1 เน้ือในฝักราชพฤษ 1 โกฐสอ 1 โกฐพุงปลา 1 โกฐจุลาลาภา 1กันชา1 หัวอุตพิด 1ชะเอมเทศ 1 ดีปลี 1 แ ก่ น แ ส ม ท ะ เล 1 ย า ทั้ ง นี้ เอ า เส ม อ ภ า ค พ ริ ก ไท ย ก่ึ ง ย า แ ต่ ว่ า ผ่ อ น ต า ม ก า ลั ง ทาผงแลว้ เอาน้าใบกะเม็ง 1 น้าผลประคาดีควาย 1 เอาเท่ากันเคล้ายาให้ได้ 7 ครัง้ ผึ่งใหแ้ ห้งแล้วบด กับน้าผ้ึงรับประทาน หนัก 1 สลงึ แก้โรคดังกล่าวมาแลว้ แตห่ ลงั ” สตู รตารบั ยา ประกอบด้วย ตัวยา 15 ชนิด รวมนา้ หนัก 21 สว่ น ดงั น้ี ลาดบั ตวั ยา นา้ หนกั ยา 1 สะคา้ น 1 สว่ น 2 ผกั แพวแดง 1 ส่วน 3 ดองดงึ 1 สว่ น 4 วา่ นนา้ 1 สว่ น 5 มหาหิงคุ์ 1 ส่วน 6 เนอ้ื ในฝักราชพฤกษ์ 1 สว่ น 7 โกฐสอ 1 ส่วน 8 โกฐพงุ ปลา 1 ส่วน 9 โกฐจุฬาลัมพา 1 ส่วน 10 กญั ชา 1 สว่ น 11 อุตพดิ 1 สว่ น 12 ชะเอมเทศ 1 ส่วน 13 ดีปลี 1 ส่วน 14 แกน่ แสมทะเล 1 สว่ น 15 พรกิ ไทย 7 สว่ น สว่ นประกอบอ่ืนในตารบั ใบกะเม็ง ผลประคาดคี วาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook