Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore sunday gospel program (1)

sunday gospel program (1)

Published by 121ธิดารัตน์, 2022-04-11 06:54:04

Description: sunday gospel program (1)

Search

Read the Text Version

การเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับครูภาษาไทย เล่าเลื่อง รู้กันกระฉ่อนทั่วไป ประพันธ์โดย ธิดารัตน์ สะนะศุก

การเขียนเชิงสร้างสรรค์สำหรับครูภาษาไทย (๒๑๕๔๓๒๐๕) ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประพันธ์โดย นางสาวธิดารัตน์ สะนะศุก รหัสนักศึกษา ๖๒๑๑๕๒๔๕๑๒๑ หมู่ ๑ ชั้นปีที่ ๓

ก คำนำ หนังสือ เล่าเลื่อง ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับครูภาษาไทย รหัสวิชา ๒๑๕๔๓๒๐๕ จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนองานการเขียน เชิงสร้างสรรค์ทั้งหมด 4 เรื่อง ได้แก่ แมวดำกับหมาด่าง เจ้าหญิงดวงดาวกับ เจ้าชายดวงจันทร์ ราชาล่องลอย และวนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ความสนุกสนานเพลิดเพลินในเนื้อเรื่อง เกิดแรงบรรดาลใจ สามารถนำคติแนวทาง หรือแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และหากผู้ใดสนใจเรื่องนี้ สามารถนำไปอ่านให้ นักเรียนหรือลูกหลานฟัง ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กอยากอ่านหนังสือด้วยตนเอง และมีนิสัยรักการอ่านในที่สุด ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มาก ก็น้อย หากผิดพลาดประการใดก้ขออภัย ณ โอกาสนี้ด้วย นางสาวธิดารัตน์ สะนะศุก ผู้จัดทำ

สารบัญ หน้า บทที่ ๑ ๖ แมวดำกับหมาด่าง ๑๑ เจ้าหญิงดวงดาวกับเจ้าชายดวงจันทร์ ๒๒ ราชาล่องลอย วนเวียน



แมวดำกับหมาด่าง \" \"แม้ทั้งคู่จะมีนิสัยที่ต่างกันมาก แต่พวกมันก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด

-๓- หมู่บ้านแห่งหนึ่งอันแสนสดใส มีแมวดำกับหมาด่างเป็นเพื่อนรักที่คบหากัน มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กเล็ก หมาด่างมีนิสัยกล้าหาญชาญชัย ส่วนแมวดำมีนิสัย ขี้ขลาด แม้ทั้งคู่จะมีนิสัยที่ต่างกันมาก แต่พวกมันก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด หมาด่างมักจะคอยปกป้องแมวดำอยู่เสมอ เมื่อแมวดำตกอยู่ในอันตราย หมาด่างจะคอยช่วยเหลือตลอด ส่วนแมวดำก็หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะได้ ทำอะไรเพื่อตอบแทนความใจดีของเจ้าหมาด่างบ้าง วันหนึ่งเจ้าหมาด่างตกหลุมรักแม่สาวเต้าหู้เข้า ซึ่งได้ยินจากเจ้าของมันเรียกว่า เต้าหู้ เป็นหมาของข้างบ้าน แต่แม่สาวเต้าหู้กลับไม่ไยดีหมาด่างเลย เธอหาว่า หมาด่างไม่ทันสมัย แต่งตัวเชยมาก หมาด่างจึงเศร้าใจที่แม่สาวเต้าหู้ไม่รับรัก แมวดำจึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วย เพราะเห็นหมาด่างเศร้าโศกเสียใจ และพบความผิดหวัง แมวด่างพิจารณาการแต่งตัวของหมาด่าง จึงเห็นด้วยกับแม่สาวเต้าหู้ว่า แต่งตัวเชย ดังนั้น มันจึงไปขอร้องให้คุณไก่ช่วยตัดชุดสวยให้หมาด่างผู้ผิดหวัง ในรัก คุณไก่บรรจงตัดชุดสุดเท่ให้หมาด่างหนึ่งชุด แต่ลืมถอดเข็มในชุดออก พอหมาด้างได้ลอง คมเข็มจึงจิ้มก้นของหมาด่างจนร้อง โอ้ย! ทันไดนั้น หมาด่าง จึงเตะเจ้าไก่อย่างแรง ด้วยความโมโห คุณไก่จึงลอยโด่งไปติดอยู่ยอดต้นมะพร้าว เจ้าแมวด่างตกใจที่หมาด่างโมโหโทสะ จึงร้องไห้แง ๆ อย่างหนัก จนหมาด่าง ได้สติ จึงรีบปลอบแมวดำ เมื่อแมวดำหายจากการตื่นตระหนก ก็ดั้นด้นไปขอให้คุณเม่นช่วยตัดชุดสวย ให้หมาด่าง ซึ่งมีฝีมือในการตัดเย็บผ้าอย่างประณีตงดงามไม่แพ้คุณไก่ คุณเม่น ตั้งใจตัดชุดให้คุณหมาด่างสุดฝีมือ แตคุนเม่นลืมเอาขนตัวเองออกที่ใช้แทนเข็ม แมวดำกับหมาด่าง

-๔- เมื่อหมาด่างได้ลองชุดสุดเก๋ไก๋ ขนเม่นก็เผลอจิ้มขาเจ้าหมาด่าง ทันใดนั้นเอง หมาด่างก็เตะคุณเม่น ด้วยความโมโหโทสะ คุณเม่นกระเด็นไปค้างอยู่หลังคาบ้าน เจ้าแมวดำจึงตกใจที่เห็นหมาด่างโมโห ร้องไห้แง ๆ ไม่หยุดสักที หมาด่างได้สติ จึงรีบมาปลอบแมวดำ เมื่อแมวดำหยุดร้องไห้ หายตกใจ จึงตัดสินใจขอให้คุณลุงกระต่ายช่วยตัด ชุดให้ ลุงกระต่ายตัดชุดมาหลายปีมีความชำนาญ ชุดคุณลุงจึงเป็นชุดที่เท่ที่สุด แต่เนื่องจากเจ้าแมวดำไม่อยากให้ลุงกระต่ายโดนลูกหลงถูกเจ้าหมาด่างเตะ ไปอยู่ปลายยอดต้นมะพร้าว จึงอาสาไปส่งชุดเจ้าหมาด่างเอง เจ้าแมวดำไปหาเจ้าหมาด่างอยู่บ้านแต่ไม่มีใครอยู่จึงทดลองใส่ชุด เจ้าหมาด่าง ว่ามีหนามหรือเข็มอยู่ในชุดหรือไม่ ในขณะที่แมวด่างผู้หวังดีลองชุด จู่ ๆ เจ้าหมาด่าง จะเอ๋ เจ้าแมวดำจึงตกใจพลาดเล็บไปข่วนชุดตรงก้นขาด ทำให้ เจ้าแมวดำเสียใจหนักมาก เพราะทำชุดเพื่อนขาดเป็นรูโบ๋ มิหนำซ้ำมันรู้ว่า เจ้าหมาด่างมีนัดกับแม่สาวเต้าหู้วันนี้ ยิ่งรู้สึกผิดและเสียใจร้องไห้ หนักกว่าเดิม หมาด่างสงสารและเห็นใจจึงปลอบใจเจ้าแมวดำว่า ชมว่า ชุดที่เป็นรูโบ๋เท่ที่สุดเท่าที่เคยลองมา เมาะกับมันและล้ำสมัยมาก จึงขอให้ แมวดำถอดออกมาแล้วหมาด่างก็ใส่ไปหาแม่สาวเต้าหู้ หมาด่างใส่ชุดด้วยความเคอะเขิน แม้การใส่กางเกงที่ก้นขาดเป็นรู จนหางโผล่ออกมาได้เช่นนี้อาจจะไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจแม่เสือคนสวยนัก แต่หมาด่างคิดว่าอย่างน้อยมันก็เป็นวิธีที่พอจะช่วยบรรเทาความเศร้าของ เพื่อนรักให้ค่อยคลายลงไปได้บ้าง แมวดำกับหมาด่าง

-๕- เมื่อหมาด่างไปตามนัดของแม่สาวเต้าหู้ ทันทีที่แม่สาวเต้าหู้เห็นหมาด่าง ใส่ชุดที่หางโผล่ก็ถูกใจ ร้องกรี๊ดกร๊าดกับการแต่งตัวแนวใหม่ของเจ้าหมาด่าง หนุ่มสุดหล่อเท่ ทำให้แม่สาวเต้าหู้หลงเสน่ห์ ทั้งสองร่วมตกลงปลงใจแต่งงาน กัน และแมวดำก็ร่วมยินดีในงานของเขาทั้งสอง แมวดำกับหมาด่าง





เจ้าหญิงดวงดาวกับเจ้าชายดวงจันทร์ \" \"เจ้าชายคะ เป็นไปได้ไหมถ้าหากโลกนี้ไม่มีเวลากลางวัน ฉันอยากอยู่ในห้วงเวลากลางคืนตลอดเวลา

-๘- กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… ท่ามกลางหมู่ดวงดาวหลายดวง มีดาวดวงหนึ่ง มีสีสันสดใส ส่องแสงหลากสีโดยไม่ซ้ำสีเขียว ชมพู ส้ม เหลือง ม่วง สายรุ้ง อ่อนโยนละมุนตา เธอเป็นเจ้าหญิงแห่งดวงดาว เมื่อเธอส่องแสง หมู่ดาว น้อยใหญ่ต่างพร้อมใจกันส่องแสงระยิบระยับ เจ้าหญิงแห่งดวงดาวยิ้มแย้ม เมื่อได้เจอกับเจ้าชายดวงจันทร์ด้วยความ รู้สึกดีที่เรียกว่าความรัก ทุกวันแบบนี้มาเนิ่นนาน จนเกิดเป็นกาลครั้งหนึ่ง…. เจ้าหญิงหลงรักความมืดที่ปรากฎขึ้นด้วยแสงแห่งดวงจันทร์จากเจ้าชาย ดวงจันทร์ เจ้าหญิงรู้สึกเศร้าทุกครั้ง เมื่อถึงเวลารุ่งเช้า ดวงดาวและดวงตะวัน จะลาลับไป เธอไม่ชอบให้เป็นแบบนั้น… เมื่อเวลากลางคืนหวนมา เธอจึง ขอร้องกับเจ้าชาย “เจ้าชายคะ เป็นไปได้ไหมถ้าหากโลกนี้ไม่มีเวลากลางวัน ฉันอยากอยู่ ในห้วงเวลากลางคืนตลอดเวลา” เจ้าชายดวงจันทร์อมยิ้ม อมยิ้มกับความคิดของเจ้าหญิง แล้วบอกกับเธอ “เจ้าหญิงดวงดาวของฉัน เธอก็รู้ว่าเราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราเองก็ต่างมีหน้าที่” เจ้าหญิงทำจมูกย่นนิดนึง “ก็ฉันไม่ชอบเวลาที่เราจะต้องไกลกัน” เจ้าชายยิ้มเล็ก ๆ แล้วถามเจ้าหญิง “ยังจำได้ไหมทำไมเธอถึงรักฉัน” เจ้าหญิงดวงดาวกับเจ้าชายดวงจันทร์

-๙- เจ้าหญิงยิ้มแววตาประกาย มันช่างอุ่นหวานเมื่อนึกถึงวันนั้น เธอตอบด้วย น้ำเสียงสดใสว่า “ฉันรักคุณเพราะเมื่อมีความมืดหม่นในยามกลางคืนบนท้องฟ้า ยังมีแสงจากดวงจันทร์หนึ่งดวงที่คอยส่องแสงสว่างในยามกลางคืน เพราะเธอ ทำให้ฉันเป็นดวงดาวในยามกลางคืน รวมถึงหมู่ดาวดวงอื่น ๆ ด้วย” อีกครั้งที่เจ้าชายอมยิ้ม แล้วตอบว่า “เหมือนฉันที่รักเธอ เพราะเธอ คือ ดวงดาวที่เป็นแสงระยิบระยับ ให้ความเพลิดเพลินเมื่อมองมาที่เธอ ทั้งยัง เติมเต็มความสุขให้กับผู้คน เมื่อแหงนขึ้นมองเธอ เห็นไหม เราต่างมีหน้าที่ ของตนเอง” “สำหรับฉัน…ฉันมีหน้าที่ ในบางครั้งเราจำเป็นต้องห่างกันบ้าง ดวงจันทร์ มาพร้อมกับความมืดในยามกลางคืน เมื่อพื้นโลกมีความมืดตลอดเวลา อาจจะ ทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนลำบากยิ่งขึ้น เมื่อเธออยู่ในเวลากลางคืนตลอดเวลา อาจไม่มีเวลาพัก เธอจะไม่เหนื่อยหรอ” “ยังมีสิ่งสวยงามในโลกใบนี้อีกมากมายให้เธอชื่นชม ในช่วงเวลา ที่เราต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ช่องว่างระหว่างเรา คือ สิ่งที่จะช่วยทำให้ เราเรียนรู้หัวใจเราเองได้มากขึ้น และเจ้าหญิงเธอรู้ใช่ไหมว่า ไม่ว่าฉันจะ ทำหน้าที่อยู่ที่ไหน ฉันก็จะกลับมาหาเธอเสมอ เพราะฉันคือดวงจันทร์” คราวนี้เจ้าหญิงแห่งดวงดาวเข้าใจแล้ว เธอจึงยิ้มกว้างให้กับเจ้าชาย ดวงจันทร์ เจ้สชายดวงจันทร์ยิ้มตอบพร้อมกับให้เจ้าหญิงเอียงหูมา เจ้าชาย กระซิบเบาๆ ว่า เจ้าหญิงดวงดาวกับเจ้าชายดวงจันทร์

-๑๐- “ฉันจะบอกความลับหนึ่งให้ สิ่งที่เธออาจไม่เคยรู้แม้ในเวลากลางวัน ที่เธอคิดว่าเราห่างไกลกัน เธอรู้ไหมว่าฉันไม่เคยไปไหน… เพราะฉันฝาก ความห่วงใยไว้กับท้องฟ้าอันแสนสดใส ส่องสว่างจากแสงหัวใจของฉัน เมือถึงเวลากลางวัน ฉันอยากให้เธอแอบมองท้องฟ้า เธอจะรู้ได้ด้วยหัวใจ ของเธอเอง ว่าท้องฟ้าอันสดใส คือท้องฟ้าของใคร ที่ดวงจันทร์ต้องการ มอบให้” คำตอบของเจ้าชายน่ารักจนเจ้าหญิงแห่งดวงดาวหัวใจพองโต เธอพยักหน้าและยิ้มให้กับเจ้าชาย เจ้าหญิงดวงดาวกับเจ้าชายดวงจันทร์





ราชาล่องลอย \" \"ช่วงเวลาการเป็นราชา มีขึ้นมีลงเหมือนดวงอาทิตย์

-๑๒- ท้องฟ้าแจ่มใส ป่าดงพงไพรเขียวขจี มีเหยี่ยวตัวผู้ ผู้เป็นเจ้าเวหา มีนามว่า เมฆินทร์ และภรรยาของเจ้าเวหา มีนามว่า บังอร ทั้งสองพระองค์ต่างบิน ถลาแล่นลมอย่างมีความสุข หยอกล้อกันเล่นกลางอากาศ ทั้งเที่ยวตรวจตรา แหล่งอาศัยประชากรของตน ภรรยาบินถลาเล่นไม่ถนัดนักเพราะกำลังจะมี พระโอรส นกหลายชนิดเมื่อบินผ่านต่างทักทายนอบน้อมแสดงความเคารพ ต่อเหยี่ยวทั้งสองตัว ขณะที่บินว่อนไปแห่งใดสัตว์ทุกตัวต่างให้ความเคารพ นับถือ ในขณะบินว่อนไปว่อนมาอยู่นั้น ภรรยาของเจ้าเวหามีอาการปวดท้อง ลักษณะเมือนใกล้คลอดพระราชโอรส เมฆินทร์ ต่างเรียก ข้าราชบริพาร ของพระองค์ มาเฝ้าทำหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันภัยอันตรายมาใกล้ ขณะที่ภรรยา ของตนกำลังจะคลอดลูก ในที่สุดก็มีเสียงร้อง แชว้น.. แชว้น..เหยี่ยวทารก ตัวผู้ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของเจ้าเวหา พระนามว่า อินทัช เกิดมาจาก ผู้ยิ่งใหญ่ พระราชากับพระมเหสีต่างดีอกดีใจ พร้อมทั้งข้าราชบริพาร แสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม ลิงผู้เฒ่าตนหนึ่ง มองไปบนฟ้า มีปรากฏการณ์บางอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เทพเจ้าส่งผู้เป็นใหญ่ลงมาสู่โลกของเรา จึงจับแมลงและหนอน นานาชนิด มารวมกัน แล้วเป่าฝุ่นใส่แมลงและหนอนที่รวมตัวกัน จากนั้นเมื่อแมลง และหนอนหนีกระจายออกไป รอยฝุ่นที่คงเหลือ กลับกลายเป็บภาพของเหยี่ยว ลักษณะเหมือน อินทัช แสดงให้เห็นว่า ผู้สืบราชบัลลังก์ ปกป้องครองเมือง ให้สงบสุขร่มเย็น ต่อไป คือ เจ้าเวหาน้อย อินทัช เกิดมาจากผู้ยิ่งใหญ่ และเกิดมาเพื่อความยิ่งใหญ่ ราชาล่องลอย

-๑๓- พระราชากับพระราชโอรสบินว่อนสำรวจที่อยู่อาศัยของประชากรของตน พร้อมทั้งให้เจ้าอินทัชบินเปิดหูเปิดตาข้างนอก พาชื่นชมป้าดงพงไพรต่าง ๆ นานา พระราชาพาเจ้าอินทัชบินมาถึง ณ ยอดต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่าใหญ่ ทั้งสองพระองค์ยืนอยู่ยอดต้นไม้ต้นนั้น อินทัชมีอาการกลัว เพราะไม่เคยบินขึ้นมาบนยอดต้นไม้สูงเพียงนี้ “พ่อฮะ ผมไม่ควรบินมาบนนี้” พระราชากวาดสายตามองอย่างปราบปลื้มใจ “ลูกดูสิ ทุกสิ่งที่มีสีฟ้าเหนือพื้นโลก คือ อาณาจักรของเรา” อินทัชถามอย่างประหลาดใจ “พ่อปกครองนั่นหมดเลยหรอ” พระราชาตอบอย่างมั่นใจ “ใช่ อินทัช แต่ช่วงเวลาการเป็นราชา มีขึ้นมีลง เหมือนดวงอาทิตย์ สักวัน อินทัช ดวงอาทิตย์ก็จะดับแสงพ่อลง แล้วลูกจะ ขึ้นทอแสงราชันแทน” อินทัชกล่าวอย่างประหลาดใจ “ทั้งหมดนี่จะเป็นของผมใช่ไหมฮะ” พระราชากล่าวด้วยความเมตตา “ไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น แต่ลูกจะต้อง ปกป้องมัน ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่” อินทัชกล่าวด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง “ก้อนเมฆด้วยหรอ ท้องฟ้าทั้งหมด เลยหรอพ่อ แล้วเงามืดหลังก้อนเมฆที่อยู่ไกลโพ้นตรงนั้นด้วยหรอ” พระราชาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างน่าเกรงขามว่า “เจ้าอย่าไปตรงนั้นเด็ดขาดนะ อินทัช” ราชาล่องลอย

-๑๔- “ผมคิดว่าการเป็นเจ้าเวหาจะทำอะไรก็ได้ซะอีก ยึดดินแดนไหนก็ได้” อินทัชกล่าว พระราชากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “บางชีวิตค้นหาช่วงชิง ต้องการเป็น เจ้าเวหา ราชาที่แท้จริงค้นหาเพื่อเป็นฝ่ายให้ ทุกสิ่งที่เจ้าเห็น อยู่ร่วมกัน ภายใต้สมดุลที่ละเอียดอ่อน ในฐานะราชา เจ้าต้องเข้าใจสมดุลนั้น และต้องเข้าใจ ทุกชีวิต” สักพักพระราชาสอน วิธีการซุ่มโจมตี เหยี่ยวเป็นนักย่องเบา และเดินได้ไว อย่างน่าประหลาดเมื่อต้องเคลื่อนที่บนพื้น มันใช้คุณสมบัติดังกล่าว เคลื่อนตัวอย่างเงียบกริบจากพุ่มไม้หนึ่งไปอีกพุ่มหนึ่ง เมื่อเข้าถึงเหยื่อใกล้พอ มันจะพุ่งเข้าใส่และตะครุบเหยื่อทันที มีกลยุทธ์โอบล้อม หากเหยื่อเป็นนก หรือกระต่ายฝูงเล็กๆ เหยี่ยวจะบินเข้าโอบล้อม หลอกไล้ต้อนให้เหยื่อตกใจ หนีไปตามทิศทางที่มีผู้ล่าตัวจริงดักรออยู่ เหยี่ยวเล็งเป้าเหยื่อ แล้วบินวนรอบ เหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบหลอก ในขณะที่เหยี่ยวตัวอื่นปิดกั้นทิศทางไม่ให้หนี เหยื่อกลัวจนวิ่งเตลิดไปเข้าทางกรงเล็บของเหยี่ยวที่ดักฆ่าอยู่ “สายตา อันแหลมคมของเราทำให้ส่องหาเป้าหมายได้ง่ายดาย และขา ของเราค่อนข้างยาว ซึ่งใช้ได้ดีทั้งวิ่งและเดิน เหมาะสำหรับการลอบเข้าจับเหยื่อ” พระราชาฝึกฝนและสอนให้เข้าใจทุกชีวิต กลยุทธ์นี้เรียนรู้ไว้เมื่อมีศัตรู จ้องจะทำลายเราก่อน เพื่อป้องกันและปกป้องครอบครัวของเรา ราชาล่องลอย

-๑๕- ในระหว่างพระราชาฝึกฝนกลยุทธ์การซุ่มโจมตีก็มีนกพิราบรายงาน “ฝ่าบาท อิแร้งบุกแดนเวหาของเรา มันล่าเหยื่ออยู่พะยะค่ะ” พระราชาบอกกับอินทัชว่า “เจ้ารออยู่นี่นะ“ ลูกจึงตอบกลับว่า “ข้าไปด้วยท่านพ่อ ข้าอยากช่วยท่านพ่อ” แต่พระราชา ก็สั่งให้เจ้าอินทัช รออยู่ที่บ้าน ห้ามไปด้วยเด็ดขาดและกล่าวอย่างน่าเกรงขามว่า “เจ้ายังเด็กอยู่ไปด้วยไม่ได้หรอก” แต่อินทัชก็ไม่ฟัง พยายามจะบินตามพ่อไป พ่อจึงสั่งให้นกพิราบดูแลไม่ให้อินทัชมาด้วย อินทัชจึงผิดหวัง เพราะอยากไปช่วยพ่อ แต่ไม่ได้ไปด้วย สักพักขณะบินกลับบ้าน เจอคุณอา ซึ่งเป็นน้องของพระราชา ชื่อ เมฆี กล่าวกับอินทัชว่า “เจ้าเป็นเด็กไปสู้กับใครไม่ได้หรอก” เมฆีผู้ต้องการเป็นใหญ่ อยากเป็นเจ้าเวหาแทนพระราชาเมฆินทร์พี่ชายของตน อินทัช จึงตอบกลับอาของตนว่า “พ่อของข้าบอกว่า ข้าจะได้เป็นเจ้าเวหา ปกป้องที่แห่งนี้ สักวันข้าจะสู้กับะวกมันให้ได้” เมฆี นึกในใจ “เป็นเจ้าเวหาแห่งนี้งั้นเหรอ ข้าจะรอดูวันนั้นละกันนะ หลานรัก” เมฆี กล่าวกับกับอินทัชว่า “ถ้าเจ้าอยากพิสูจน์ตัวเอง เจ้าก็ลองไปที่เงามืด ตรงนู้นสิ ข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเจ้าเวหาแห่งนี้ เพราะไม่เคยมีเวหาน้อยตัวไหน กล้าเข้าไปในที่เงามืดตรงนั้นเลยนะ” หลังจากนั้นอาเมฆีก็บินไป และทิ้งคำพูดที่ตรึงในใจให้หลานรักคนนี้สงสัย ราชาล่องลอย

-๑๖- หลังจากที่อาเมฆีพูดกับหลานอินทัชจบ อินทัชก็บินเที่ยวเล่นกับเพื่อน คำพูดของอาก็ยังตราตรึงในใจ ด้วยความอยากรู้ว่ามันมีอะไรตรงนั้น และอยากพิสูจน์ตัวเองว่าตนสามารถเป็นเจ้าเวหาได้ ทั้งที่ตัวเองยังเด็ก อาจยังไม่ทันคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ก็ชวนเพื่อนอีกคนไปด้วยคือ นารินทร์ หมายถึง เหยี่ยวสตรีผู้เป็นใหญ่ เป็นลูกของอำมาตย์ ทั้งสองได้พากันวิ่งเล่น จนสุดท้าย อินทัช ชวนไปหลังก้อนเมฆที่ไกลโพ้นในเงามืด หลังภูเขาลูกใหญ่ ทั้งสองย่องตัวเบาที่สุด พบซากสิงสาราสัตว์มากมาย บรรยากาศราวกับ ความมืดท่ามกลางแสงตะวัน เงียบสงัดเหมือนป่าร้าง ที่ไม่มีต้นไม้สักต้น เดินไปเดินมา ทั้งสอง ถูกฝูงแร้วล้อมรอบโดยไม่รู้ตัว สักพักมีเสียงแร้ง แทรกขึ้นมาว่า “นี่เหรอ พระโอรสเจ้าแห่งเวหา ช่างน่าอร่อยยิ่งนัก คงจะหวานปาก ฉันแน่ ๆ “ ทั้งสองเริ่มกลัว ตัวเริ่มสั่น สิ้นหาทางกลับบ้านตัวเอง แต่ก็บินหนี จนสุดฤทธิ์ มิอาจบินพ้นฝูงแร้งไปได้ เพราะทั้งสองยังเป็นเด็ก บินได้ไม่ แข็งแรงนัก พญาแร้งสั่งบริวารล้อมอีกครั้ง อินทัชจึงกล่าวกับนางพญาแล้งว่า “เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ข้าเป็น ลูกเจ้าเวหานะ พ่อข้าดูแลแห่งนี้ ข้าจะเป็นเจ้าเวหาเหมือนพ่อข้า เข้ามาสิ ข้าไม่กลัว “ นางพญาแร้งจึงตอบกลับว่า “ข้าต่างหากคือเจ้าเวหาของพวกเจ้า ” อีกไม่นาน พระราชารู้ข่าว จึงรีบบินถลาอย่างว่องไว เพื่อมาช่วยลูกของ พระองค์ นางพญาแร้วและพวกจึง ถอยห่างจากอินทัชและนารินทร์ ด้วยความกลัว เพราะเคยพ่ายแพ้ต่อพระราชามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พระราชาจึงมาช่วยลูกได้ทัน และบินพากลับบ้านตัวเองไป ราชาล่องลอย

-๑๗- นางพญาแร้งไม่หยุดคิดที่จะเป็นเจ้าเวหา จึงกล่าวกับตัวเองว่า “สักวัน จะเป็นวันจองข้า” น้องของพระราชาบินมาหานางพญาแร้ง นางพญาแร้งได้กลิ่น คิดว่า ไม่ใช่กลิ่นของพระราชาแน่ ๆ “เจ้ามาที่นี่ทำไม พวกเจ้าต้องการอะไร” เมฆีตอบกลับว่า “ไม่ ๆ ๆ พวกเจ้าอย่าพึ่งเข้าใจข้าผิดสิ หากเจ้าอยาก รับประทานเนื้อหวานที่พวกเจ้าต้องการ ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า” วันต่อมา อาเมฆีพาหลานอินทัช บินเล่น บินจากอาณาจักรของตนไกล ลับตา กล่าวว่า “ถ้าหลานต้องการจะปกป้องอาณาจักรนี้ให้ได้ หลานก็ต้องฝึก กลยุทธ์ เข้าโจมตีศัตรู ฝึกบินให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้” ซึ่งเป็นไปตามแผน ของเมฆีที่ได้วางไว้ หลังจากที่เมฆีหลอกล่อให้หลานตัวเองออกจากอาณาจักร อินทัชบินถลาเล่นลมอย่างมีความสุข เมฆีค่อย ๆ บินหนีไป ปล่อยให้หลานรัก ของตนบินเล่นตามลำพัง หลังจากนั้นมีขบวนนกนานาชนิดนับได้ว่าพันหมื่นตัว บินว่อนแตกตื่นมาจากไหนไม่รู้ กำลังบินเข้ามาทางเจ้าอินทัช ทำให้อินทัช ตื่นตกใจ บินหนีไร่เรี่ยกับฝูงนกนานาชนิด หลบซ้ายขวา เกาะกิ่งไม้ แต่ไม่มี ท่าทีว่าจะปลอดภัย จากขบวนนกที่แห่แตกตื่นว่อนมาสักพักมีเสียงเรียก “อินทัช… ลูกพ่อ พ่อมาช่วยแล้ว “ พระราชารีบบินไปช่วยลูกของตน ด้วยความห่วงใยยิ่งนัก พระราชาใช้เท้าสองข้าง หนีบตัวอินทัช หลบหลีก อย่างชำนาญ ปล่อยลูกหลบภัยในโพรงไม้จนได้ แต่พระราชากลับพลาดโดน ฝูงนกบินชนจนเสียหลัก ทำให้ปลีกหัก เกาะกับกิ่งไม้ ไม่สามารถบินได้ เพราะปลีกได้รับความบาดเจ็บสาหัส มีเพียงน้องชายของตนที่สามารถช่วยได้ ราชาล่องลอย

-๑๘- เมฆี หลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ บินออกไปเข้าใกล้พระราชา แต่คาดไม่ถึง คำสุดท้ายของน้องชายกล่าวว่า “ลาก่อนฝ่าบาท” แล้วปล่อยให้พระราชา ตกลงจากต้นไม้สูง เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ “พ่อ พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะ พ่อต้องอยู่ปกป้องอาณาจักรของเรา พ่อต้องเจ้าเวหาที่แข็งแกร่งสิพ่อ ฮือ ๆ “ อินทัชกล่าวด้วยความรู้สึกผิด เพราะคิดว่าตนเป็นสาเหตุทำให้พ่อต้องเสียชีวิต “ถ้าพี่เมฆินทร์ไม่มาช่วยเจ้า คงไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นกับพี่เมฆินทร์ เจ้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นสาเหตุทำให้ต้องสูญเสียเจ้าเวหาเหรอ หนีไปสะ ก่อนที่จะสูญเสียอะไรไปกว่านี้แม่เจ้าคงผิดหวังในตัวเจ้าสินะ” เป็นไป ตามแผนที่เมฆีวางไว้ เมื่ออินทัชบินหนีไป เมฆีสั่งให้ฝูงเหยี่ยวไล่ตาม เก็บไม่ให้เหลือซาก แต่สุดท้ายอินทัชก็รอดตัวไป ฝูงแร้งตามไม่ทัน เพราะอินทัชหลบซ่อนอย่างเชี่ยวชาญ ฝูงแร้งจึงโกหกพญาแร้งว่าฆ่า อินทัชแล้ว จากนั้นผู้ครอบครองอาณาจักรนี้ เมฆี ได้แต่งตั้งตนเองเป็น เจ้าเวหา และข้าทาสบริวารเป็นอีแร้งมาอยู่อาศัยร่วมกับนกชนิดอื่น ๆ เมื่อเมฆีเป็นเจ้าเวหา ทำให้แผ่นฟ้า ภูเขาที่เคยเขียวขจี ท้องฟ้าสดใส กลับกลายเป็นความมืดหม่น อีแร้งต่างกินนกพวกเดียวกัน ใครขัดขืน มันจับกินให้หมดเหลือแต่ซาก นกนานาชนิดเริ่มลดหายไป บ้างบินหนีอาศัย ที่อื่น บ้างถูกจับเป็นอาหารของอีแร้ง ของราชาตนใหม่ ราชาล่องลอย

-๑๙- ...หลายปีผ่านไป หมู่นกเริ่มเติบโตแข็งแกร่ง รุ่นราวคราวเดียวกับ อินทัชต่างเติบโตกันหมด นารินทร์ ลูกของบริวารพระราชาเมฆินทร์ ทนไม่ได้ ต้องการให้อาณาจักรกลับมาสวยงาม สดใสเช่นเดิมเหมือนก่อน จึงหนีออกจากอาณาจักรเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าป่า จนสุดท้าย เดินทางมาพบกับอินทัช และสหายของเขาอีกสองตัว คือนกหัวขวาน และแมลงวันทอง อินทัชเรียกสหายสองตัวนี้ว่า ไอ้ขวานกับไอ้ทอง ละเล่นกันอย่างมีความสุข นารินทร์ยืนมองห่าง ๆ จากนั้นจึงตะโกนว่า “อินทัช….” อินทัชตกใจ เหมือนได้ยินเสียงร้องเรียก แต่คิดว่าตนคงหูแว่ว นารินทร์จึงเดินมาหาทั้งสามแล้วถามว่า “เจ้าจำข้าได้ไหม ข้าเพื่อนเจ้าสมัยเด็กไง” อินทัชครุ่นคิดในใจ แล้วสักพักพูดขึ้นว่า “นารินทร์” ทั้งสอง ต่างโอบกอดกัน นารินทร์ได้เล่าถึงความหายนะของอาณาจักร เมื่อเมฆี ไ ด้ เ ป็ น เ จ้ า เ ว ห า แ ล ะ ใ ห้ พ ว ก อี แ ร้ ง ม า อ า ศั ย แ ต่ อิ น ทั ช ก ล่ า ว ด้ ว ย ความเศร้าโศกเสียใจ มัวโทษตนที่ทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้ แต่สุดท้าย นารินทร์ก็สามารถโน้มน้าวให้อินทัชสู้เพื่อประชากรและอาณาจักรของเรา เสียงของพ่อดังก้องในใจ “อินทัชจะต้องเป็นผู้ปกป้องอาณาจักรแห่งนี้ ให้ร่มเย็นเป็นสุข” เมฆีกล่าวกับพญาอีแร้งว่า “ข้าขอบใจพวกเจ้าที่ช่วยให้ข้าเป็น ใหญ่แห่งเวหานี้” แต่พญาอีแร้งค้านว่า “ข้าต่างหากที่เป็นที่หนึ่ง ณ อาณาจักรแห่งนี้ “ เมฆีจึงตอบกลับว่า “ถ้าข้าไม่วางแผนคิดจะฆ่าเมฆินทร์ พวกเจ้าคงไม่ได้มาสุขสบายเยี่ยงนี้ ไม่ใช่รึ” ราชาล่องลอย

-๒๐- อินทัชและสหายสองตัวพร้อมทั้งนารินทร์ต่างบินว่อนมาถึง เมื่อได้ยินเข้า เมฆีมีอาการตกใจ พร้อมทั้งบริวารอีแร้งว่ายังไม่ตายอีกเหรอ เมฆีจึงแก้ตัว “ไม่ใช่ข้านะหลานรัก แต่เป็นเจ้าพวกอีแร้งกินซากเน่า ต่ำช้าต่างหาก เป็นเพราะมันบังคับให้อาฆ่าพ่อเจ้า” ขณะนั้นมีไฟลุกไหม้ ในผืนป่าจากความมืดหม่น มีแสงไฟลุกโซนส่องขึ้นบนฟ้า อินทัชได้ยินว่าเมฆีวางแผนฆ่าพ่อตัวเอง เกิดความแค้นสู้จนสุดใจ สหายต่างสู้กับฝูงแร้ง และนารินทร์สู้กับนางพญาแร้งจ้าละหวั่น ฝุ่นตลบ มองไม่เห็นฟ้า มีแต่รัศมีแสงสาดขึ้นไปจากด้านล่าง เมื่อพวกอีแร้งได้ยิน ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าพวกอีแร้งกินซากเน่าต่ำช้า ต่างแค้นเมฆี ต่อสู้โดยไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายเมฆีและพญาอีแร้ง พร้อมบริวาร บาดเจ็บสาหัส พลาดตกลงกองไฟ กลายเป็นขี้เฒ่าสลาย ไปกับพื้นดิน หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสดใสฝนตกชุ่มฉ่ำ ผืนป่ากลับมา เขียวขจี “ฟ้าหลังฝนชั่งงดงามเหลือเกิน” พระราชาองค์ใหม่แห่งเวหา กล่าว อาณาจักรเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา เหล่าประชากรที่เหือดหายไป ต่างกลับมาพักอาศัยอาณาจักรแห่งนี้ กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ราชาล่องลอย





วนเวียน ห่างหาย หากสิ้น \" ในชีวาหลุดพ้น \"วัฏจักร อีกแล นับหนึ่งใหม่สลาย หนีพ้นรึเวียนว่าย อยู่ใช้กรรมเก่า เหนืออื่นใดสุดดิ้น

-๒๓- เด็กประพฤติอ่อนน้อม ในตน เด็กหยั่งรู้คุณคน เลิศล้ำ เด็กชอบผิดนำผล ตามส่ง แน่แท้ เด็กดั่งผ้าขาวค้ำ หากแต้มผิดผสม แข็งกร้าว เติบโตข่มแกร่งกล้า สุดสู้ เติบใหญ่ปัญหาเร้า หาแหล่ง เติมเต็ม เติบรักให้ยืนยาว พบได้เคียงกาย เติบทุกข์สุขอยู่คู่ ชนชอบ ชื่นหมื้น ถูกใจไหนใคร่รู้ ควรไม่ ลือนา ถูกปากไหนใคร่ตอบ ไม่เที่ยงดั่งน้ำ ถูกต้องผิดประกอบ ในอก ถูกคู่แต่มีคลื่น หลั่งเข้า ในร่าง ทุกข์ดุจถ้ำแบกไว้ สุขได้บางครา ทุกข์ท่วมดุจอุทก ทุกข์เกิดก่อดุจพก ทุกข์ไม่หายสุดเศร้า วนเวียน

-๒๔- แก่กายชราเหี่ยวแห้ง ผุนผง กายเจ็บบ่ยืนยง ใช่แท้ กายปวดเลี่ยงประสงค์ บ่ต้อง คิดแฮ กายเกิดทุกชีพแหน้ สุดต้องเตรียมใจ ชีวา จะกล่าวไว้เปรียบเทียบ ทั่วทิศ ดุจตะวันส่องหล้า ทิศเปลี่ยน แล้วนา ดวงจันทร์ส่องมิดฟ้า ย่ำรุ่งโผล่ผุด ดาวสว่างที่มืดมิด พลางสี เด่นแจ้ง ยามเย็นหลุดค่ำฟ้า ชัดสว่าง ยามดับแสงทวี ส่องฟ้าแลเห็น ยามมืดแจ่มอัคคี ทอแสง ยามดื่นดาวบ่จาง เมื่อพบ ผันผ่าน รู้เร่งเป็นย่ำเช้า เพิ่มเข้าชีวี รู้เหล่าสายลมแล้ง รู้รสบ่คิดแย้ง รู้ดั่งผู้คนคบ วนเวียน

-๒๕- ลบวิถีบั่นทอน จิตใจ ลดค่าคนคิดให้ เหยียบย่ำ หลุดพ้นเถิดผลักไส ร้ายกล่าว เลิกเหลื่อมทำการล้ำ เหยียดคนลอยล่อง แสงสอดส่องรุ่งเช้า ยามตื่น แสงสาดใส่ทั่วผืน แผ่นฟ้า แสงสีอยู่ยงยืน ย่ำรุ่ง แสงสดเรืองรองฟุ้ง หลี่ลดลิบลิ่ว สายลมพริ้วสดชื่น เบิกบาน สายหมอกกลั่นเป็นลาน โอบล้อม สายฟ้าเริ่มแรกกาล ฟ้าหม่น สุดแต่สายอ้อมค้อม เบิกฟ้าสู่แสง วันวานแปลงเปลี่ยนไซร้ ล่วงโรย หวังคร่ำครวญหวนโหย เหล่าเชื้อ ว่ายเวียนสวรรค์โปรย โลกอื่น แล้วแฮ วอนสุดสิ้นเลือดเนื้อ ล่วงลับมลาย วนเวียน

-๒๖- ประวัติผู้แต่ง ชื่อ-สกุล : นางสาวธิดารัตน์ สะนะศุก รหัสนักศึกษา : ๖๒๑๑๕๒๔๕๑๒๑ ชั้นปีที่ ๓ หมู่เรียน ๑ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การเขียนเชิงสร้างสรรค์สำหรับครูภาษาไทย (๒๑๕๔๓๒๐๕) ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ช่องทางการติดต่อ thida7492 PO IZ [email protected] qpo_iiz

สิ่งที่อยู่ตรงหน้า มีค่ากว่าสิ่งที่ผ่านมาเสมอ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook