ยาท่ใี ชบ้ ่อย Acetazolamide(Diamox) เป็นยำขับปัสสำวะกลุ่มที่ขัดขวำงกำรทำ้ งำนของ carbonic anhydrase enzyme ออกฤทธิ์ยบั ยัง้ กำรท้ำงำนท่ี Proximal tubule cells อาการขา้ งเคยี ง : ง่วง ซมึ สบั สน ชำ ถ่ำยปัสสำวะมำก เบ่อื อำหำร คลื่นไส้ อำเจียน รำ่ งกำยเกดิ ภำวะ กรดจำกเมตำบอลิซึม ภำวะโปแตสเซียมในกระแสเลอื ดต้่ำ ตับท้ำงำนน้อยลง
การพยาบาล 1) ไม่ควรฉีดยาเขา้ กลา้ มเน้ือ เน่ืองจากยามีภาวะความเป็นด่างสูง จะ ทาใหเ้ จบ็ ปวดบริเวณที่ฉีดยา 2) บนั ทึกปริมาณสารน้าเขา้ – ออกในร่างกาย 3) วดั เสน้ รอบศีรษะ สงั เกตอาการโป่ งตึงของกระหม่อมและชงั่ น้าหนกั ทุกวนั เพื่อประเมินผลการรักษา 4) แนะนาอาหารท่ีเพมิ่ โปแตสเซียม เช่น กลว้ ย สม้ ลูกพรุน 5) ติดตามผลระดบั อีเลค็ โทรไลทใ์ นเลือด 6) เกบ็ ยาในภาชนะที่ป้ องกนั แสง
Manitol เป็นยาขบั ปัสสาวะประเภท Osmotic diuretic ทาใหเ้ กิด Osmotic gradient ระหวา่ งเน้ือสมองและบริเวณเน้ือสมองที่ปกติ ทาใหเ้ กิดการดึงน้าจากเน้ือสมองเขา้ สู่หลอดเลือด จึงสามารถลดอาการ สมองบวมและลดภาวะความดนั ในกะโหลกศีรษะสูง Furosemide (Lasix) เป็นยาขบั ปัสสาวะที่ออกฤทธ์ิที่ไต ทาใหป้ ริมาณเลือดลดลง จึงลดปริมาณเลือดในสมองทาใหค้ วามดนั ในกะโหลกศีรษะลดลงได้
ยาประเภท Steroid ใชร้ ักษาความดนั ในกะโหลกศีรษะสูง เชื่อวา่ สามารถลด ภาวะสมองบวม และป้ องกนั การเกิดการทาลายของเน้ือเยอื่ สมอง จากการขาดเลือดมาเล้ียง Babiturate ใหเ้ พ่อื ลดอตั ราเมตาบอลิซึมของสมองและป้ องกนั อาการชกั
การประเมนิ ผลการพยาบาล 1. มีระดบั การรู้สติดีข้ึน 2. มีการเคลื่อนไหวและการรับความรู้สึกดีข้ึน 3. ไม่มีการอาเจียน 4. การเคล่ือนไหวของลูกตาปกติ 5. ขนาดรูม่านตาและปฏิกิริยาต่อแสงปกติ 6. ไม่ปวดศีรษะ ไม่ชกั 7. สญั ญาณชีพปกติ 8. ความดนั ในกะโหลกศีรษะลดลงสู่ระดบั ปกติ
2. ข้อวนิ ิจฉัยการพยาบาล เส่ียงต่อความสมบูรณ์ของเน้ือเยอ่ื บริเวณศีรษะเสียไป เนื่องจาก - ศีรษะมีการขยายขนาดใหญ่และผวิ หุม้ ศีรษะบางลง - มีแรงกดมาก - ผปู้ ่ วยไม่สามารถเคลื่อนไหวศีรษะได้ เป้ าหมายการพยาบาล คงไวเ้ พื่อความสมบรู ณ์ของเน้ือเยอื่ บริเวณศีรษะของผปู้ ่ วย
กจิ กรรมการพยาบาล 1. ใชผ้ า้ นิ่มๆรองศีรษะและคอของผปู้ ่ วยไว้ 2. ขณะยกหรือตะแคงตวั ผปู้ ่ วย ใหป้ ระคองคอและศีรษะของผปู้ ่ วย ดว้ ยอุง้ มือ ไม่ใช่ปลายนิ้วเพราะอาจเพ่มิ แรงกดเฉพาะที่ต่อศีรษะ ของผปู้ ่ วยโดยตรง 3. ดูแลใหผ้ า้ ปูท่ีนอนและปลอกหมอนเรียบตึง ไม่เปี ยกแฉะ 4. สงั เกตอาการเปล่ียนแปลงของผวิ หนงั ของศีรษะเป็นระยะๆเช่น อาการบวม แดง ซีด 5. เปล่ียนท่าใหผ้ ปู้ ่ วยบ่อยๆเช่น อุม้ นง่ั นอนตะแคง เพือ่ ป้ องกนั การเกิดแผลกดทบั
6. รักษาความสะอาดของผมและหนงั ศีรษะ 7. ระวงั การเกิดอุบตั ิเหตุ ยกราวขา้ งเตียงข้ึนท้งั สองขา้ ง ดูแลสิ่งแวดลอ้ มภายในเตียง ใหป้ ราศจากส่ิงแหลมคม 8. ดูแลใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ ับสารน้าและสารอาหารท่ีเพยี งพอแก่ความ ตอ้ งการของร่างกาย การประเมนิ ผลการพยาบาล 1. ไม่มีบาดแผลเกิดข้ึนบริเวณหนงั ศีรษะ 2. ไม่เกิดอุบตั ิเหตุใดๆต่อบริเวณคอและศีรษะของผปู้ ่ วย
3. ข้อวินิจฉัยการพยาบาล มีความไม่สุขสบายเน่ืองจากมีน้าหล่อสมองไขสนั หลงั คง่ั อยใู่ น โพรงสมองทาใหเ้ น้ือสมองและหลอดเลือดถูกเบียดดึงร้ัง เกิดอาการ ปวดศีรษะ เป้ าหมายการพยาบาล ผปู้ ่ วยมีความสุขสบายข้ึน กจิ กรรมการพยาบาล 1. ประเมินอาการเพื่อหาสาเหตุและสาเหตุส่งเสริมของการปวดศรีษะ 2. ควบคุมสาเหตุและสาเหตุส่งเสริมที่ทาใหเ้ กิดอาการปวดศรีษะ
3. ตรวจสอบและบนั ทึกสญั ญาณชีพ รวมท้งั ประเมินอาการทาง สมองเป็ นระยะๆ 4. จดั ท่าใหน้ อนเพ่อื คลายจากอาการปวดศีรษะใหม้ ากท่ีสุดและ ปลอดภยั จากภาวะแทรกซอ้ น 5. ใหย้ าระงบั ปวดตามแผนการรักษา 6. จดั สิ่งแวดลอ้ มใหเ้ งียบสงบ เพื่อลดการกระตุน้ ประสาทรับรู้และ ใหผ้ ปู้ ่ วยไดพ้ กั ผอ่ นมากท่ีสุด การประเมินผลการพยาบาล 1. อาการปวดศีรษะบรรเทาลง 2. ผปู้ ่ วยพกั ผอ่ นได้
4. ข้อวินิจฉัยการพยาบาล เส่ียงต่อการเกิดอุบตั ิเหตุ เน่ืองจากการรับความรู้สึกและการรับรู้ เปล่ียนแปลงขณะชกั หรือจากการท่ีมีความดนั ในกะโหลกศีรษะสูง เป้ าหมายการพยาบาล 1. ป้ องกนั และลดการเกิดภาวะชกั 2. ผปู้ ่ วยปลอดภยั จากอุบตั ิเหตุขณะอยใู่ นโรงพยาบาล กจิ กรรมการพยาบาล 1. ติดตามและสงั เกตอาการของผปู้ ่ วยอยา่ งใกลช้ ิด เพื่อใหก้ ารช่วย เหลืออยา่ งทนั ท่วงทีเม่ือชกั
2. ดูแลใหย้ ากนั ชกั ตามแผนการรักษา เพอ่ื ป้ องกนั และลดอาการชกั เช่น พร้อมท้งั ติดตามอาการขา้ งเคียงของยาต่อผปู้ ่ วยดว้ ย 3. จดั ใหผ้ ปู้ ่ วยนอนในหอ้ งท่ีสงบเงียบ เพอื่ ลดส่ิงกระตุน้ ต่อการชกั 4. ถา้ ผปู้ ่ วยมีไข้ ใหย้ าลดไขแ้ ละเช็ดตวั ลดไข้ เพ่อื ป้ องกนั การชกั จากไขส้ ูง 5. ดูแลทางเดินหายใจใหโ้ ล่ง หายใจสะดวก เพอื่ ป้ องกนั ไม่ใหผ้ ปู้ ่ วย สาลกั น้าลายและเสมหะ 6. จดั เตรียมออกซิเจนและอุปกรณ์การให้ ไวใ้ หพ้ ร้อมเสมอ หากผปู้ ่ วย หายใจขดั หนา้ เขียว รีบใหอ้ อกซิเจนแก่ผปู้ ่ วยทนั ที 7. ยกไมก้ ้นั เตียงข้ึนไวต้ ลอดเวลา ป้ องกนั ผปู้ ่ วยตกเตียงขณะชกั
8. ขณะที่ผปู้ ่ วยเดก็ ชกั ควรป้ องกนั อนั ตรายท่ีอาจเกิดข้ึนกบั เดก็ และ ขณะชกั ไม่ควรตรึงผปู้ ่ วยโดยการผกู แขน ขา ซ่ึงอาจทาใหข้ อ้ เคล่ือนหรือกระดูกหกั ได้ 9. สงั เกตและบนั ทึกอาการชกั วา่ เป็นชนิดใด พร้อมท้งั สงั เกต ระยะเวลาของการชกั แต่ละคร้ังวา่ นานเท่าใด มีส่วนใดบา้ งท่ีชกั เกร็งกระตุกและระดบั ความรู้สึกเลวลงหรือไม่ เพือ่ ใชเ้ ป็นขอ้ มลู ในการรักษาต่อไป การประเมินผลการพยาบาล 1. ผปู้ ่ วยไม่เกิดอาการชกั 2. ไม่เกิดอุบตั ิเหตุเป็นผลมาจากการท่ีผปู้ ่ วยชกั
5. ขอ้ วนิ จิ ฉัยการพยาบาล เส่ียงตอ่ กำรได้รบั สำรน้ำสำรอำหำรไม่เพียงพอแกค่ วำม ตอ้ งกำรของร่ำงกำย เนอื่ งจำกภำวะควำมดนั ในกะโหลกศรี ษะสูง ท้ำให้อำเจียน เป้าหมายการพยาบาล ผูป้ ่วยไดร้ บั สำรน้ำสำรอำหำรเพยี งพอแกค่ วำมตอ้ งกำรของรำ่ งกำย กิจกรรมการพยาบาล 1. ทำ้ กิจกรรมกำรพยำบำลตำ่ งๆควรท้ำให้แกผ่ ปู้ ว่ ยก่อนกำรใหอ้ ำหำร เพื่อป้องกันกำรอำเจียน
2. ดแู ลให้น้ำและอำหำรให้ทลี ะน้อยแต่บอ่ ยคร้ัง 3. ให้นำ้ และอำหำรแก่ผูป้ ่วยชำ้ ๆไม่เร่งรีบ 4. หลังรบั ประทำนอำหำร จัดให้ผู้ป่วยนอนตะแคงขวำและศรี ษะสงู เพื่อใหอ้ ำหำรไหลลงส่ลู ้ำไส้เลก็ ส่วนตน้ ไดด้ ีและป้องกนั กำรส้ำลัก 5. ช่ังน้ำหนกั ตัวผู้ปว่ ยทุกวันในเวลำเดยี วกนั และเคร่ืองชง่ั เดยี วกนั 6. บนั ทึกปรมิ ำณสำรน้ำเข้ำและปรมิ ำณสำรน้ำออกทกุ วัน และประเมิน อำกำรขำดน้ำ เชน่ รมิ ฝีปำกแหง้ มไี ข้ ออ่ นเพลยี 7. ใหย้ ำระงบั กำรอำเจยี นตำมแผนกำรรกั ษำ และตดิ ตำมอำกำรของ ผปู้ ่วยภำยหลังได้รับยำวำ่ ได้ผลดมี ำกน้อยเพียงใด
8. จดั บรรยำกำศและส่ิงแวดล้อมใหเ้ งยี บสงบ เพ่อื ให้ผปู้ ่วยได้พกั ผ่อนให้ มำกทส่ี ุด 9. ขณะท่ผี ู้ป่วยอำเจยี น ใหอ้ ยู่ช่วยเหลอื อยำ่ งใกล้ชิด ระวังกำรสำ้ ลกั การประเมนิ ผลการพยาบาล 1. ผูป้ ่วยไมแ่ สดงอำกำรออ่ นเพลยี 2. ปริมำณสำรน้ำเข้ำ-ออกสมดุลและผลกำรตรวจอเิ ล็กโทรไลทใ์ น กระแสเลอื ดปกติ 3. ไม่มีอำกำรขำดน้ำ 4. น้ำหนกั ตัวไม่ลด
6. ขอ้ วินจิ ฉัยการพยาบาล สมำชกิ ในครอบครวั ไม่สำมำรถปรับตัวเพื่อช่วยเหลือผปู้ ว่ ยได้ เน่อื งจำก - อำกำรและอำกำรแสดงของโรคอย่ใู นระยะรุนแรง - เดก็ ปว่ ยอยู่ในโรงพยำบำล - รูปลกั ษณข์ องเด็กเสยี ไป - ขำดควำมรู้เกี่ยวกบั โรคและกำรดูแลผปู้ ว่ ย เป้าหมายการพยาบาล สง่ เสรมิ กำรปรับตัวของสมำชิกในครอบครวั ต่อภำวะ ควำมเจบ็ ป่วยของเดก็
กิจกรรมการพยาบาล 1. พดู คุยกบั บิดำมำรดำเพื่อประเมินหำสำเหตทุ ข่ี ดั ขวำงกำรปรับตัวของ ครอบครวั ต่อผู้ป่วย 2. ประเมินควำมรคู้ วำมเข้ำใจ ควำมเชื่อ และควำมคำดหวังของ ครอบครวั เกย่ี วกบั ควำมเจ็บปว่ ยของเด็กตลอดจนแผนกำร รักษำพยำบำล 3. กระตุ้นใหบ้ ิดำมำรดำพูดระบำยแสดงควำมวิตกกงั วล ห่วงใย และ ถำมค้ำถำมเก่ยี วกบั กำรเจ็บปว่ ยของบุตร
4. ตอบคำ้ ถำม ปลอบโยน ให้ก้ำลงั ใจ และใหค้ ้ำแนะน้ำตลอดจนข้อมูล ตำ่ งๆเก่ียวกับกำรเจบ็ ป่วย แผนกำรรักษำและกำรพยำบำล โดยเฉพำะ จดุ ประสงคแ์ ละประโยชน์ทจ่ี ะไดร้ บั จำกำรเจำะหลงั กำรผำ่ ตัดใสท่ อ่ ระบำย และกำรพยำกรณโ์ รค 5. กระตนุ้ ใหบ้ ิดำมำรดำ ไดม้ สี ว่ นรว่ มในกำรวำงแผนกำรพยำบำลและกำร ดแู ลบุตรขณะอยโู่ รงพยำบำล 6. กระตนุ้ ใหบ้ ดิ ำมำรดำแสดงควำมรัก ใหค้ วำมอบอุน่ แก่บุตร ดว้ ยกำรอุ้ม กำรสมั ผัส อ่ำนหนงั สือนิทำนใหฟ้ ัง 7. ชมเชยบดิ ำมำรดำส้ำหรับกำรดแู ลเด็กป่วย เพื่อเปน็ ก้ำลงั ใจและสรำ้ ง ควำมม่ันใจให้แกบ่ ิดำมำรดำ ในควำมสำมำรถในกำรดูแลบตุ ร
8. กระตนุ้ ให้สมำชกิ ในครอบครวั มำเย่ยี มผปู้ ่วยบ่อยๆ การประเมินผลการพยาบาล 1. บดิ ำมำรดำสำมำรถอธบิ ำยภำวะควำมเจ็บป่วยของบตุ ร แผนกำร รกั ษำพยำบำล และให้เหตุผลได้ 2. บดิ ำมำรดำให้ควำมรว่ มมอื ในกำรให้กำรพยำบำล 3. บิดำมำรดำคลำยควำมวิตกกงั วล 4. ผปู้ ว่ ยเด็กยังคงมสี มั พนั ธภำพท่ีดตี ่อครอบครวั
Spina bifida ภาวะกระดกู สันหลงั มชี ่องกว้างกวา่ ปกติ เป็นความผดิ ปกตทิ ี่มกั เป็นมาแต่กาเนิด ซ่ึงเกิดข้นึ จากแนวโค้งของ vertebral arches ทง้ั สองดา้ นไม่เชื่อมต่อกัน ระหว่างการเจริญในครรภ์ ตาแหนง่ ทีพ่ บ ได้บ่อยทส่ี ดุ คือ บรเิ วณรอยต่อระหวา่ ง กระดูกสนั หลังส่วนเอวและกระดกู สนั หลัง ส่วนก้น แบ่งออกเป็น 3 ชนดิ คอื
อาการและอาการแสดง 1. ความผิดปกตชิ นดิ สไปนา ไบฟดิ า ออคคลั ตา (Spina bifida occulta) ส่วนใหญไ่ มพ่ บอาการผดิ ปกติใหเ้ หน็ ภายนอกแต่จะเห็น ความผดิ ปกติของผิวหนังและระบบประสาท เชน่ มีรอยบุ๋ม ปานแดง หรอื ก้อนไขมันบรเิ วณทผี่ ดิ ปกติ อาการและอาการแสดง : อาการทางระบบประสาทและกลา้ มเนอื้ พบวา่ กล้ามเน้ืออ่อนแรง และการควบคุมการขบั ถา่ ยผดิ ปกติ
2. ความผดิ ปกติของไขสนั หลงั ชนิดเมนิงโกลซีล( Meninggocele ) จะ พบวา่ เป็นถุงน้าลกั ษณะใส และนิ่มยน่ื ออกมากลางกระดูกสนั หลงั บริเวณตาแหน่ง Spinal canal 3. ความผดิ ปกติของไขสนั หลงั ชนิดเมนิงโกมยั อีโลซิล (Meningomyelocele) จะพบวา่ เป็นถุงน้าและเน้ือเยอ่ื ไขสนั หลงั ยน่ื ออกมากลางกระดูกสนั หลงั อาการและอาการแสดง: ขึน้ อย่กู บั ตาแหน่งความผิดปกติ และมกั พบอาการ ระบบประสาทร่ วมด้วย อาการแสดง : ที่พบบ่อยคือ มี Lesion ที่ L2 :พบความผดิ ปกติของการเคล่ือนไหว อมั พาต ของขา
มี Lesion ที่ L2 : ผปู้ ่ วยจะมีปัสสาวะเลด็ มี Lesion ท่ี sacral ที่ 3: ผปู้ ่ วยมกั จะมีParalysis ของ Bladder and analsphincter ความผดิ ปกติท่ีอาจพบร่วมดว้ ย 1. เทา้ ปุก (Club feet) 2. ภาวะศีรษะบวมน้า (Hydrocephalus) 3. เยอ่ื หุม้ สมองอกั เสบ(Meningitis)
การรกั ษาโดยการผ่าตดั - ถา้ พบ Lipoma ทีม่ ีขนาดใหญ่ ซ่งึ อาจจะมอี าการทเ่ี กิด กับไขสนั หลงั หรือ Cauda Equina ถกู กด ควรรีบผ่าตัด เอาออก - ถ้าเปน็ ความผดิ ปกติของไขสันหลังชนดิ Meninggocele ควรผา่ ตัดทารกในอายุ 2-3 วนั แรก
การรักษาโดยการผ่าตดั - การผ่าตัดใส่ท่อระบายน้าไขสันหลงั ในรายทม่ี ีภาวะนา้ ค่ังในกะโหลกศีรษะเพอื่ ลดความดันในกะโหลกศีรษะ -การรกั ษาทางกระดูก(Orthopedics) ไดแ้ ก่ ศัลยกรรม แก้ไขการผดิ รปู ของกระดูก
- ถา้ เปน็ ความผิดปกตขิ องไขสนั หลังชนิด Meningomyelocele มักมปี ญั หายุ่งยาก ถงึ แมผ้ ่าตัด แล้วกม็ ักมีชีวิตอยไู่ ดไ้ มน่ าน เนอ่ื งจากเกินกวา่ รอ้ ยละ 80 ของผ้ปู ่วยจะมี Hydrocephalus นอกจากนนั้ กระเพาะ ปัสสาวะมกั ไมท่ างานมีปสั สาวะไหลหยดตลอดเวลา จงึ มี การติดเช้ือของทางเดนิ ปสั สาวะไดง้ ่าย กับมีอัมพาตของ ขาทัง้ สองขา้ ง ซงึ สว่ นมากรนุ แรงและไม่คอ่ ยดขี น้ึ เพราะ นั้นสว่ นใหญ่จะรักษาโดยวธิ ี Conservative ตามอาการ เทา่ น้นั
- ถ้ารอยบมุ๋ มชี อ่ งทางตอ่ กับชน้ั Subarachnoid แพทย์ จะเย็บปดิ เพื่อปอ้ งกนั การติดเช้ือได้ การผา่ ตัดเย็บปดิ ถุงท่ี ยน่ื ออกมาภายใน 24-28 ชว่ั โมงหลังคลอด จะช่วยลดการ ติดเชอ้ื ไดด้ ี แตก่ ารเย็บปดิ ถงุ เรว็ จะทาใหเ้ กิดภาวะน้าไขสนั หลงั คง่ั ในกะโหลกศีรษะ (Hydrocephalus) ได้ เนอ่ื งจาก เนอื้ ทีใ่ นการดูดซมึ น้าไขสันหลังลดนอ้ ยลง กายภาพบาบดั มีความสาคญั สาหรบั การรักษาทกุ ระยะ
ปัญหาการพยาบาล : เสี่ยงต่อการแตกของถุงนา้ จากการถูก กระทบกระเทอื น กจิ กรรมการพยาบาล 1. จัดใหน้ อนคว่้ำ หรอื ตะแคงตวั ไปทำงด้ำนใด ด้ำนหน่งึ และไม่สวม ใสผ่ ้ำออ้ ม เพอ่ื ปอ้ งกนั กำรกระทบกระเทอื น หรอื กำรระคำยเคอื ง และกำรปนเปอ้ื นอุจจำระปัสสำวะ 2. ถำ้ ถุงนำ้ แตกท้ำควำมสะอำดแผลโดยใชห้ ลกั ปลอดเช้อื เชด็ ท้ำ ควำมสะอำดแผลด้วย N.S.S ปิดแผลดว้ ย Bactacin gauze และ เปลยี่ นแผลทกุ ครั้งทแ่ี ผลแฉะ และไม่ตอ้ งใสผ่ ำ้ ออ้ ม 3. ตรวจสอบบริเวณถุงน้ำ และผิวหนังรอบๆ ถำ้ มกี ำรระคำยเคอื ง กำรฉีกขำด หรือมีกำรติดเชอ้ื รำยงำนแพทย์ทนั ที
2. ข้อวนิ ิจฉยั การพยาบาล อำจเกิดกำรติดเชอื้ ของระบบทำงเดนิ ปัสสำวะ เนื่องจำก ปสั สำวะเล็ด เป้าหมายการพยาบาล เพอื่ ปอ้ งกนั กำรตดิ เช้ือของระบบทำงเดนิ ปสั สำวะ กจิ กรรมการพยาบาล • 1. หลังปัสสำวะทุกครัง้ ท้ำ Crede medthod (ยกขำเด็กขนึ้ ทั้ง 2 ขำ้ ง ใหต้ งั้ ฉำกกบั ลำ้ ตวั ใชผ้ ่ำมือกดท้องบรเิ วณ Symphysis pubis เบำๆ) และ/หรือทกุ 2-3 ชัว่ โมง เพอ่ื ปอ้ งกันกำรคงั่ ของปสั สำวะและ ปัสสำวะเลด็
2. หลังปัสสำวะทุกครง้ั เชด็ ท้ำควำมสะอำดขำหนีบ และบรเิ วณ Perineum ใหส้ ะอำดและแห้งอยูเ่ สมอ 3. ใหย้ ำปฏิชวี นะตำมแผนกำรรักษำ การประเมินผลการพยาบาล ไมม่ กี ำรติดเช้ือของระบบทำงเดินปัสสำวะและผวิ หนัง บรเิ วณ Perineum
3. ขอ้ วนิ จิ ฉยั การพยาบาล อำจเกิดควำมพกิ ำรของขำทั้ง สองขำ้ ง จำกกำรที่มี Lesion ท่ีบริเวณ Lumbar ทำ้ ใหก้ ลำ้ มเนื้อขำอ่อนแรง และขอ้ ตดิ แขง็ ( Weakness and Stiffness) เป้าหมายการพยาบาล เพือ่ ปอ้ งกนั ควำมพกิ ำรของขำทง้ั สองขำ้ ง กิจกรรมการพยาบาล 1. ท้ำ Passive exercise ให้ เพือ่ ปอ้ งกันข้อติดแข็ง
3. จัดท่ำใหเ้ หมำะสม ใช้ผ้ำรองขำทงั้ สองข้ำง 4. พลกิ ตะแคงตวั ใหท้ ุก 2 ชั่งโมง เพื่อให้เลือดไหลเวยี นได้ สะดวก และป้องกันกำรเกิดแผลกดทับ การประเมนิ ผลการพยาบาล ไม่มอี ำกำรข้อติดแข็ง หรอื ขำพกิ ำร
4. ขอ้ วนิ จิ ฉยั การพยาบาล มโี อกำสเกิดภำวะแทรกซอ้ นทำงระบบประสำท เป้าหมายการพยาบาล เพ่ือปอ้ งกันกำรเกิดภำวะแทรกซ้อนทำงระบบประสำท เชน่ เย่อื หุ้มสมองอกั เสบ กจิ กรรมการพยาบาล 1. บนั ทกึ สัญญำณชีพ และคอยสงั เกตอำกำรและอำกำรแทรกซอ้ น ทำงระบบประสำท เช่น มีไข้ ซึม อำกำรเกร็ง ชักกระตกุ อำเจยี น 2. วัดรอบศีรษะทกุ วนั เพ่ือประเมินควำมก้ำวหนำ้ ของโรค การประเมนิ ผลการพยาบาล ไม่มีไข้ และ/หรือ อำกำรเกรง็ กระตุก
5. ขอ้ วินิจฉยั การพยาบาล บดิ ำมำรดำมีควำมวิตกกังวล เก่ียวกับควำมผิดปกติของบุตร กำรรกั ษำ และควำมก้ำวหน้ำของโรค เปา้ หมายการพยาบาล เพ่อื ลดควำมวิตกกงั วลของบดิ ำมำรดำ กจิ กรรมการพยาบาล 1. อธิบำยใหบ้ ดิ ำมำรดำเข้ำใจถงึ ผลกำรรกั ษำและใหค้ ้ำแนะน้ำเก่ียวกบั ควำม ผิดปกติ ตลอดจนกำรดแู ลบุตรกอ่ นและหลังผ่ำตัด 2. กระตุ้นให้บิดำมำรดำมสี ่วนรว่ มในกำรดูแลบตุ ร โดยกำรอุ้มสมั ผัส และ สงั เกต สิง่ ผิดปกติ การประเมนิ ผลการพยาบาล บิดำมำรดำคลำยควำมวิตกกังวลและให้ควำมรว่ มมอื ในกำรรักษำ
การพยาบาลหลังการผ่าตดั (post-operetive care) 1. ข้อวนิ จิ ฉัยการพยาบาล มโี อกำสเกิดภำวะแทรกซ้อนหลงั ผ่ำตัด เช่น เยอ่ื หุ้มสมองอกั เสบ ปอดอกั เสบ และขอ้ ติดแข็ง เป้าหมายการพยาบาล เพ่อื ป้องกนั ไม่ให้เกิดภำวะแทรกซอ้ นขนึ้ กิจกรรมการพยาบาล 1. วดั และบนั ทึกสญั ญำณชีพทุก 4 ชว่ั โมง เพ่ือประเมนิ ภำวะไข้ 2. ประเมินอำกำรทำงระบบประสำททุก 2-4 ชวั่ โมง 3. ท้ำ Passive exercise ให้ เพือ่ ปอ้ งกันขอ้ ติดแข็ง
4. สงั เกตอำกำรและอำกำรแสดงของภำวะแทรกซ้อนดังตอ่ ไปนี้ สังเกตอำกำรและอำกำรแสดงของภำวะเย่ือหุ้มสมองอักเสบ เช่น มี ไข้ คอแขง็ เกร็ง กระตกุ สงั เกตอำกำรและอำกำรแสดงของภำวะ Hydrocephalus และควำมดัน ในกะโหลกศีรษะสูง เช่น กระหมอ่ มโปง่ ตงึ ซึม อำเจยี น ร้องเสียง แหลม วัดรอบศรี ษะทกุ วัน เพ่ือประเมินภำวะมีนำ้ คงั่ ในศรี ษะ พลิกตะแคงตวั ให้ทกุ 2 ชั่งโมง เพ่ือให้เลอื ดไหลเวียนดขี ึน้ และ ป้องกนั กำรเกิดปอดอักเสบ การประเมินผลการพยาบาล ไม่มภี ำวะปอดอกั เสบ และกำรเกิดข้อตดิ แข็ง
การพยาบาลหลงั การผา่ ตดั (post-operetive care) 2. ขอ้ วินิจฉัยการพยาบาล อำจเกดิ กำรตดิ เช้ือบริเวณแผลผ่ำตดั เป้าหมายการพยาบาล เพ่อื ป้องกันกำรตดิ เชอ้ื บรเิ วณแผลผำ่ ตัด กิจกรรมการพยาบาล 1. ลำ้ งมือก่อนและหลงั ใหก้ ำรพยำบำลทุกคร้ัง 2. ดแู ลรักษำควำมสะอำดของแผลผำ่ ตดั ดว้ ยวิธีกำรปลอดเช้อื
3. ถ้ำแผลอยู่บรเิ วณหลัง และ/หรอื กน้ กบ ให้นอนตะแคงหรอื นอน คว่ำ้ เพอ่ื ปอ้ งกัน ปสั สำวะ อุจจำระมำเป้อื นแผล 4. ใหย้ ำปฏิชวี นะตำมแผนกำรรักษำ การประเมนิ ผลการพยาบาล แผลผำ่ ตัดไมม่ ีกำรติดเชอื้ และไมม่ ีอำกำรแพย้ ำ
3. ข้อวนิ ิจฉยั การพยาบาล บิดำ มำรดำมคี วำมวิตกกังวล เกี่ยวกบั กำรดูแลบุตร ต่อทีบ่ ้ำน เปา้ หมายการพยาบาล เพอื่ ลดควำมวติ กกังวลของบิดำมำรดำ กจิ กรรมการพยาบาล 1. เปิดโอกำสใหบ้ ิดำมำรดำได้ซักถำมและพดู คยุ 2. อธบิ ำยถึงผลกำรรักษำ ควำมก้ำวหน้ำของโรค และค้ำแนะน้ำในกำรไป ดูแลบุตรต่อท่ีบำ้ น 3. แนะนำ้ ให้มำเย่ยี มอย่เู สมอ และกระตุ้นให้มีส่วนร่วมในกำรดูแลบตุ ร การประเมินผลการพยาบาล บิดำมำรดำคลำยควำมวติ กกังวล ใหค้ วำมสนใจดูแลบตุ ร และให้ ควำมรว่ มมอื ในกำรรกั ษำ
ชกั จากไขส้ ูง (Febrile convulsion)
ความหมาย ชักจากไขส้ ูง หมายถึง อาการท่เี กดิ ขึ้นขณะมไี ข้สูง เน่ืองจาก เปน็ โรคติดเชือ้ ชนิดใดชนดิ หนึง่ โดยไม่รวมถงึ การตดิ เช้อื ของสมอง และเยือ้ หุ้มสมอง พบเป็นสาเหตอุ ันดบั แรกๆ ของอาการชักท่มี ีไขร้ ่วมดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเด็กท่ีมอี ายุต่ากว่า 5 ปี พบได้ประมาณร้อย ละ 3-5 ของเด็กในวยั น้ี และร้อยละ 50-70 ของเดก็ เหลา่ นี้ จะมี อาการชักร่วมกับไขเ้ พียงคร้งั เดยี ว
เดก็ เลก็ ท่ีเคยชักจากไข้สงู มาคร้งั หนึง่ แล้วประมาณ ร้อยละ 30-50 อาจมอี าการชกั ซ้าไดอ้ ีก เมอ่ื มไี ขส้ งู แต่ อยา่ งไรกต็ าม ถา้ มกี ารดูแลรกั ษาอย่าถกู ต้องกส็ ามารถ ปอ้ งกนั มิให้ชักซ้าได้ โดยทั่วไปเม่อื เด็กมอี ายุมากกว่า 5 ปี โอกาสท่ีจะเกดิ อาการชักจากไข้สงู ก็นบั วา่ นอ้ ยลงมาก ทง้ั น้ี เน่อื งจากสมองเจรญิ เติบโตมากขึ้น จงึ ไวต่อการกระตุ้น น้อยลง เดก็ ท่ีเป็นโรคนม้ี กั มปี ระวัติวา่ มีพี่น้องในครอบครัว เดยี วกัน เคยชักจากไข้สูงดว้ ย
สาเหตุ 1. การติดเชือ้ ท่ีระบบใดระบบหนงึ่ ของรา่ งกาย เชน่ ไขห้ วดั ทอนซิลอักเสบ หลอดคออกั เสบ หชู ั้นกลางอกั เสบ ปอดอกั เสบ ท้องเดิน เปน็ ตน้ เชื่อที่พบมากที่สดุ คอื ไวรสั การตดิ เช้อื เฉียบพลนั ของทางเดิน หายใจสว่ นบนพบมากทส่ี ุด 2.มีหรอื ไมอ่ าการผดิ ปกตขิ องสมองมากอ่ น 3.หลังฉดี วัคซีนปอ้ งกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก เชอ่ื วา่ วัคซนี ปอ้ งกนั โรคไอกรนมผี ลโดยตรงตอ่ สมอง ทาให้ชักนอกเหนือจากอาการไข้ การชกั ซา้ จากไขส้ งู มีปัจจยั เสยี่ งไดแ้ ก่ ชักครั้งแรกเม่อื อายุนอ้ ย มี ความผิดปกตขิ องสมอง ครอบครัวมปี ระวัตโิ รคลมชกั บิดามารดามี ประวตั ชิ กั จากไขส้ งู เมือ่ วยั เดก็
อาการและอาการแสดง มีไข้สูงประมาณ 39.5-40.5 ซ. ร่วมกับอาการของ โรคท่ีเป็น สาเหตุ เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ ไอ ท้องเดิน เป็นบิด เป็นต้น แล้วต่อมามี อาการชักแบบกระตุกท้ังตัว ตาค้าง กัดฟัน กัดลิ้น นานคร้ังละ 2-3 นาที โดยมากจะชักเพียง 1-2 ครั้ง ขณะท่ีตวั ร้อนจัด พอไข้ลงกจ็ ะไม่ชักซ้าอกี เด็กจะมีอาการท่ัวๆ ไปดี ไม่ซึมไม่มีอาการคอแข็ง หรือกระหม่อมโป่งตึง ในรายท่ีเป็นรนุ แรง มกั จะชักนานเกนิ 15 นาท่ี หรือชักเกนิ 1 คร้ัง ใน 24 ชั่วโมง หรือมอี าการชกั เพยี งซีกใดซีกหน่ึงของรา่ งกาย
อาการและอาการแสดง เด็กจะมีประวัติกำรเจริญเติบโตที่ปกติมำก่อน ไม่มีอำกำรหรืออำกำร แสดงให้เห็นว่ำมีควำมผิดปกติทำงสมอง และอำกำรชักจะสัมพันธ์กับกำรมี อุณหภูมิเพ่ิมข้ึนอย่ำงรวดเร็ว ซ่ึงบ่อยคร้ังพบว่ำมักถึง 39 องศำเซลเซียสหรือ มำกกว่ำน้ัน ลักษณะกำรชักจะเป็นแบบชักเกร็งกระตุกท้ังตัว( generalized tonic clonic seizures ) มีน้อยรำยท่ีมีอำกำรแบบเฉพำะที่ (focal motor หรือ tonic ) เด็กจะมีอำกำรชักนำนตั้งแต่ไม่กี่วินำที จนถึง 10 วินำที ระยะ หลังชักเด็กจะมีอำกำรมึนงงแล้วก็จะเป็นปกตเิ หมือนก่อนเกิดอำกำร โดยไม่พบ ควำมผิดปกติทำงระบบประสำทแต่อย่ำงใดเลย แต่ก็มีเด็กท่ีมีอำกำรชักจำกไข้ บำงคนมอี ำกำรชักรุนแรงกว่ำที่กลำ่ วมำข้ำงตน้
อาการและอาการแสดง คืออาจมอี าการชักติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกิน 15 นาทีขึ้นไป หรือเวลาชักมีกระตุกเกร็งเฉพาะซีกของร่างกายและหลังจาก หยดุ ชักมกี ระตุกเกรง็ เฉพาะซกี ของร่างกาย หรือหลังหยุดชักแล้ว อาจมอี ัมพาตของแขนและขาด้านน้ัน ( Todd’s paralysis ) หรือมีอาการชักซ้าติดต่อกันหลาย ๆ ครั้งในการเจ็บป่วยคร้ัง เดียวกัน อาการชักตามลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า complex หรอื complicated febrile convulsion
พยาธสิ ภาพ กำรมไี ข้อำจเกิดกำรเปล่ียนแปลงของเมตำบอลซิ มึ ของเซลลป์ ระสำท ทำ้ ใหเ้ ซลลป์ ระสำทต่อกำรท่จี ะเกิดอำกำรชักได้มำกขน้ึ ขน้ึ อยู่กบั อำยุและ ควำมเจรญิ ของสมองด้วยสมองทีเ่ จริญมำกข้นึ มีกำรเปลี่ยนแปลงหลังจำก เกิดไขน้ ้อยลง โอกำสทจี่ ะเกดิ อำกำรชกั กน็ ้อยลง นอกจำกน้คี วำมสูงของไข้ กเ็ ปน็ ปัจจัยสำ้ คัญในกำรกระตนุ้ ให้เกิดอำกำรชักซง่ึ ยังไม่มขี อ้ สรุปแน่นอนว่ำ เทำ่ ไรถึงจะชกั แต่ยอมรับกันวำ่ ที่ 38 องศำเซลเซยี ส เป็นจดุ ต้ำ่ สุดทีเ่ ด็ก เริ่มมอี ำกำรชกั ได้ ถงึ แมว้ ่ำบอ่ ยครั้งท่เี ดก็ มอี ำกำรชักขณะมีอำกำรชักมี อุณหภมู สิ งู ๆ โดยเฉลย่ี ประมำณรอ้ ยละ 75 ของเดก็ ท่ชี ักจะมอี ุณหภมู ิสูง เกนิ 39 องศำเซลเซยี ส
การรกั ษา 1. ขณะที่มอี ำกำรชกั ให้ถอดเส้อื ผำ้ เดก็ ออก แล้วใช้ผ้ำชบุ น้ำก๊อกโปะท้งั ตัว เปลย่ี นผ้ำชุบน้ำใหม่ทุก ๆ 2 นำที ถำ้ ไม่หยุดชกั ให้ diazepam ฉดี เข้ำทำง หลอดเลอื ดดำ้ หรอื เหน็บทำงทวำรหนัก ถำ้ ไม่ไดผ้ ลหรือสงสัยเปน็ โรคทำง สมอง ให้สง่ โรงพยำบำลด่วนและอำจตอ้ งเจำะหลงั เพ่อื พิสูจน์ 2. หลังหยุดชักแล้วให้ค้นหำสำเหตุ แล้วให้ยำรักษำโรคท่ีเปน็ ร่วมพร้อมกับใช้ ยำลดไขแ้ ละยำกันชัก 3. ต้องแยกให้ได้ก่อนว่ำ เป็นอำกำรชักจำกไข้ท่ีไม่ได้มีควำมผิดปกติของโรค ทำงระบบประสำท แนวทำงกำรรกั ษำเดก็ ท่มี อี ำกำรชักจำกไข้ มดี ังนี้
การรักษา(ตอ่ ) 3.1 ในระยะเฉียบพลันขณะมีอำกำรชัก ควรให้กำรรักษำโดยใช้เวลำ สัน้ ท่สี ดุ ท่จี ะทำ้ ให้หยดุ ชัก โดยกำรให้ - ลอรำซีแพม ( lorazepam ) จะหยุดอำกำรชกั ได้ภำยใน 2 – 3 นำที แต่ อำจกดกำรหำยใจ - ไดอำซีแพม (diazepam ) มีฤทธใ์ิ นกำรระงับอำกำรชกั ไดเ้ ร็ว แตอ่ ำจมี อำกำรชักกลับมำได้อีก 15 นำที จึงต้องให้ร่วมกับยำตัวอ่ืน เช่น Phenobarbital, dilantin - ไดแลนตนิ ( dilantin )จะออกฤทธ์ิช้ำกว่ำ lorazepam , diazepam และตอ้ งเสียเวลำในกำรเจอื จำง จงึ มกั เปน็ ยำตวั ที่สองหรอื สำม - ฟีโนบำร์บทิ ำล (Phenobarbital ) เป็นยำที่มีระยะเวลำท่ียำลดระดับลง ครง่ึ หนงึ่ จำกระดบั เดมิ ในเลือด ( half life ) นำนมำก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131