Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท

Published by อยุษกร งามชาติ, 2022-08-07 08:31:07

Description: ปฏิจจสมุปบาท เขียนและเรียบเรียงโดย
ผศ.(พิเศษ) ดร.อยุษกร งามชาติ

Search

Read the Text Version

~ ๔๓ ~ ๑. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน และภพ ในเบ้ืองตน้ ก่อนกล่าวถึงภวจกั ร ในคมั ภีร์สัมโมหวิ โนทนีไดน้ าประเดน็ เรื่องความโศกและความทุกขท์ ้งั ปวงข้ึนต้งั ตน้ โดยนาพทุ ธพจน์ท่ีตรัสไวว้ า่ ความโศกเกิดจากกาม๑๓๐ เพ่อื แสดงใหเ้ ขา้ ใจวา่ ในการพลดั พรากจากส่ิงอนั เป็ นท่ีรักยอ่ มนา ความโศก ความทุกขใ์ หเ้ กิด อนั เนื่องจากอาสวะอนั มีกามาสวะเป็น ตน้ น้นั เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดอวชิ ชา อวชิ ชายอ่ มเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสังขาร นอกจากน้ี ในอวชิ ชาสูตรและตณั หาสูตรมีพทุ ธพจน์ตรัสไวว้ า่ “อวชิ ชาท่ีบริบูรณ์ ยอ่ มยงั ตณั หาใหบ้ ริบูรณ์”๑๓๑ แสดงใหเ้ ห็นถึง ความสัมพนั ธ์อนั เกี่ยวเน่ืองกนั ระหวา่ งอวชิ ชากบั ตณั หา ใน ขณะเดียวกนั ตณั หายอ่ มเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดอุปาทาน อุปาทานยอ่ ม เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดภพ และในความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสังขารกบั ภพ น้นั สงั ขารถือเป็ นบุพภาคแห่งภพ๑๓๒ คือเป็นเจตนาท่ีเกิดก่อน เรียกวา่ อายหู นสังขาร ซ่ึงหากอธิบายในลกั ษณะปัจจุบนั ชาติ จะมี ๑๓๐ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๒๑๕/๙๙, อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๕. ๑๓๑ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑-๖๒/๑๓๗-๑๓๘. ๑๓๒ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๒.

~ ๔๔ ~ ลกั ษณะขณะจิต กล่าวคือชวนจิต ๖ เป็นอายหู นสังขาร ส่วนชวน จิตดวงท่ี ๗ เป็ นภพ๑๓๓ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอวชิ ชาและสังขาร กบั ตณั หา อุปาทานและภพ ในวงจรภวจกั รน้นั แสดงถึงอดีตเหตุคือ อวชิ ชา และสงั ขาร กบั ปัจจุบนั เหตุคือ ตณั หา อุปาทานและภพ อรรถกถา จารยไ์ ดอ้ ธิบายในประเดน็ น้ีวา่ บุคคลผมู้ ีอวชิ ชา ยอ่ มยดึ มน่ั เพราะ อุปาทานเป็ นปัจจยั ภพจึงเกิดแก่บุคคลผนู้ ้นั อวชิ ชา สังขาร ตณั หา อุปาทาน และกรรมภพในภพก่อนเป็นปัจจยั แก่ปฏิสนธิในภพ น้ี๑๓๔ ดงั น้นั องคธ์ รรมท้งั ๕ ประการน้ีจึงเวน้ ขาดจากกนั และกนั ไมไ่ ด๑้ ๓๕ ๒. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา กบั ชาติและชรามรณะ ความสัมพนั ธ์ระหว่างวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ และเวทนา ในวงจรภวจกั รแสดงถึงปัจจุบนั ผล ส่วนอนาคต ๑๓๓ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๐-๕๖๑, วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๕๔/ ๙๖๖. ๑๓๔ อภิ.ว.ิ อ. ๒/๑/๕๖๑-๕๖๒. ๑๓๕ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี, หนา้ ๑๕๖.

~ ๔๕ ~ ผลคือ ชาติ และชรามรณะ๑๓๖ จากการศึกษาความหมายและ ความสัมพนั ธ์แต่ละองค์ธรรมที่ปรากฏในพระคมั ภีร์จะเห็นว่า วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ และเวทนา เป็นกระบวนการท่ี สัมพนั ธ์กนั ในขณะเกิดการรับรู้ เช่น เม่ือมีอายตนะภายในคือตา กระทบกบั อายตนะภายนอกคือรูป เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดผสั สะ เกิดการ รับรู้ทางตาคือจกั ขุวิญญาณ เกิดความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉยๆคือ เวทนา ในการอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างองค์ธรรมน้ันหาก อธิบายตามพระอภิธรรมจะมีนยั ยะเป็นแบบขณะจิต คือเป็ นปัจจยั ท่ีเกิดพร้อมกนั ในลกั ษณะสหชาตปัจจยั ๑๓๗ การเกิดข้ึนขององค์ ธรรมเหล่าน้ีเป็ นวบิ ากที่ไดร้ ับในปัจจุบนั ผล และเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิด อนาคตผล คือชาติและชรามรณะซ่ึงอธิบายถึงลกั ษณะการขา้ มภพ ชาติถดั ไป ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมัชเฌนธรรมเทศนา ปฏิจจสมุปบาทเป็ นมชั เฌนธรรมเทศนา ดังปรากฏ ในกจั จานโคตตสูตรดงั พระบาลีวา่ “มชฺเฌน ตถาคโต ธมฺม เทเสติ ๑๓๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๑-๕๖๒. ๑๓๗ พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี, หนา้ ๕๗, ๖๓, ๖๘, ๗๒.

~ ๔๖ ~ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา ฯลฯ”๑๓๘ ซ่ึงเป็ นการแสดงพระธรรม เทศนาท่ีเป็ นสายกลางของพระพุทธศาสนา ระหว่างแนวคิดที่ สุดโต่ง ๒ ขา้ งเช่น สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ โดยพระพุทธองค์ ทรงแสดงถึงที่สุด ๒ อย่างคือ ๑ ความเห็นวา่ สิ่งท้งั ปวงมีอยู่ และ ๒ ความเห็นว่าส่ิงท้งั ปวงไม่มีอยู่๑๓๙ ซ่ึงพระพุทธองค์ตรัสไว้ ในทิฏฐิ ๖๒วา่ เป็ นมิจฉาทิฏฐิ๑๔๐ จ า ก น้ ั น ท ร ง แ ส ด ง แ ก่ พ ร ะ กั จ จ า น ะ ที่ ทู ล ถ า ม ถึ ง สมั มาทิฏฐิซ่ึงเป็นองคธ์ รรมหน่ึงแห่งมชั ฌิมาปฏิปทาวา่ อริยสาวกไมเ่ ขา้ ไปถือมน่ั อุบายและความยดึ มนั่ อนั เป็ นเหตุท่ีใจ เขา้ ไปต้งั มน่ั ถือมนั่ และนอนเนื่องว่า ‘อตั ตาของเรา’ ไม่เคลือบ แคลง ไมส่ งสยั วา่ ‘ทุกขน์ ้นั แล เมื่อเกิดข้ึน ยอ่ มเกิดข้ึน ทุกขเ์ มื่อดบั ย่อมดบั ไป’ อริยสาวกน้นั มีญาณหยงั่ รู้ในเรื่องน้ีโดยไม่ตอ้ งเชื่อ ผอู้ ่ืนเลย กจั จานะ ดว้ ยเหตุเพียงเท่าน้ี จดั เป็นสัมมาทิฏฐิ๑๔๑ พระองคแ์ สดงแก่พระกจั จานะวา่ เป็ นความพวั พนั ใน ความยดึ มนั่ ถือมนั่ และทรงแสดงธรรมสายกลางวา่ “เพราะอวิชชา ๑๓๘ ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๑๕/๑๘. ๑๓๙ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕/๒๔. ๑๔๐ ที.สี. (ไทย) ๙/๒๘-๑๐๔/๑๑-๔๐ , ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑/๒, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๑๓-๑๑๔/๒๕๘-๒๖๐, ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๒๓/๓๓. ๑๔๑ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕/๒๔.

~ ๔๗ ~ เป็ นปัจจยั สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็ นปัจจยั วิญญาณจึงมี ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ท้งั มวลน้ี มีดว้ ยประการฉะน้ี ฯลฯ เพราะ อวิชชาดบั ไปไม่เหลือดว้ ยวิราคะ สังขารจึงดบั เพราะสังขารดบั วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ท้ังมวลน้ี มีด้วย ประการฉะน้ี๑๔๒ จ า ก พ ร ะ สู ต ร น้ี พ ร ะ อ ง ค์ท ร ง แ ส ด ง ถึ ง ค ว า ม เ ห็ น ท่ี สุดโต่งสองอยา่ งคือ สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ ซ่ึงพระพุทธองค์ ทรงแสดงว่าเป็ นทิฏฐิที่นาไปสู่แนวทางการปฏิบตั ิท่ีผิดเรียกว่า มิจฉาปฏิปทาคือปฏิจจสมุปบาทสายสมุทยวารซ่ึงเป็ นไปเพ่ือ ความเกิดความทุกข์ท้ังมวล แล้วตรัสถึงแนวทางการปฏิบัติท่ี ถูกตอ้ งท่ีเรียกว่าสัมมาปฏิปทาคือปฏิจจสมุปบาทสายนิโรธวาร เพ่อื เป็ นไปแห่งความดบั ทุกขท์ ้งั มวล๑๔๓ ส่วนแนวทางการปฏิบตั ิที่เรียกว่าสัมมาปฏิปทาหรือ มชั ฌิมาปฏิปทาซ่ึงเป็ นแนวทางปฏิบตั ิท่ีเป็นสายกลางระหวา่ งกาม สุขลั ลิกานุโยคซ่ึงเป็ นการปฏิบตั ิสุดโต่งของบุคคลที่มีความเห็น ในลกั ษณะอุจเฉททิฏฐิ และอตั ตกิลมถานุโยคซ่ึงเป็ นการปฏิบตั ิ สุดโต่งของบุคคลท่ีมีความเห็นในลกั ษณะสัสสตทิฏฐิ โดยพระ ๑๔๒ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕/๒๕. ๑๔๓ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓/๙.

~ ๔๘ ~ พุทธองคท์ รงแสดงไวใ้ นธมั มจกั กปั วตั ตนสูตรกบั ภิกษุปัญจวคั คีย์ วา่ ภิกษุท้งั หลาย ที่สุด ๒ อยา่ งน้ี บรรพชิตไมพ่ งึ เสพ กล่าวคือ ๑. กามสุขลั ลิกานุโยค (การหมกมุน่ อยดู่ ว้ ยกามสุขในกาม ท้งั หลาย) เป็นธรรมอนั ทราม เป็นของชาวบา้ น เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ ๒. อตั ตกิลมถานุโยค (การประกอบความเดือดร้อนแก่ตน) เป็น ทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ มชั ฌิมาปฏิปทาไม่เอียงเขา้ ใกลท้ ่ีสุด ๒ ประการน้ีตถาคตไดต้ รัส รู้ เป็นปฏิปทาก่อใหเ้ กิดจกั ษุ ก่อใหเ้ กิดญาณ เป็นไปเพ่ือความสงบ เพ่อื รู้ยงิ่ เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน... คืออริยมรรคมีองค์ ๘ น้ีแล ไดแ้ ก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ๓. สมั มาวาจา ๔. สัมมากมั มนั ตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ ๗. สัมมาสติ ๘. สัมมาสมาธิ น้ีคือมชั ฌิมาปฏิปทาน้นั ท่ีตถาคตไดต้ รัสรู้แลว้ อนั เป็นปฏิปทาที่ ก่อใหเ้ กิดจกั ษุ ก่อใหเ้ กิดญาณ เป็ นไปเพ่ือความสงบ เพื่อรู้ยิง่ เพ่ือ ตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ๑๔๔ ๑๔๔ ดูใน ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๒ ,ข.ุ ป.๓๑/๓๐/๓๕๘.

~ ๔๙ ~ การเร่ิมตน้ ของมชั ฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางของ พระพุทธเจา้ น้ี เร่ิมตน้ ดว้ ยสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ หมายถึง การเห็นอริยสัจ ๔ เห็นไตรลกั ษณ์ เห็นปฏิจจสมุปบาท พจิ ารณาถึง เหตุที่ทาให้เกิดทุกข์ และความดับทุกข์ พิจารณาส่ิงต่างๆตาม สภาวะความเป็ นจริง ถึงความไม่เที่ยง ความไม่สามารถคงอยู่ สภาวะเดิมได้ เป็ นความทุกข์ และความไม่มีตวั ตนท่ีเที่ยงแท้ ถาวร๑๔๕ และแสดงปฏิจจสมุปบาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนา หลายแห่งอาทิ อเจลกสั สปสูตร๑๔๖ ติมพรุกขสูตร๑๔๗ และในกจั จานโคตรสูตร ดงั ท่ีพระพุทธองคท์ รงแสดงแก่พระกจั จานโคตร จ า ก พุ ท ธ พ จ น์ ดัง ก ล่ า ว ม า แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างปฏิจจสมุทปบาทในฐานะมชั เฌนธรรม เทศนากับมัชฌิ มาปฏิ ปทา ก ล่ าวคื อพระ พุทธ อง ค์ท ร ง แสดงปฏิจจสมุทปบาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนาให้เขา้ ใจถึง กระบวนการเกิดและดบั แห่งทุกขซ์ ่ึงเป็ นไปตามเหตุและปัจจยั ใน ๑๔๕ อายษุ กร งามชาติ, “ศึกษาวเิ คราะห์กระบวนการเกิดโยนิโส มนสิการในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท”, สารนพิ นธ์พุทธศาสตรดุษฎบี ัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๑๔-๑๕. ๑๔๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗/๒๖-๒๙. ๑๔๗ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๘/๓๐-๓๑.

~ ๕๐ ~ ลกั ษณะท่ีเป็ นสภาวธรรมที่เกิดข้ึนภายในจิตใจ และการพิจารณา เห็นปฏิจจสมุปบาทน้ีจัดเป็ นสัมมาทิฏฐิ ซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของ มชั ฌิมาปฏิปทา นนั่ คือเป็ นแนวทางการปฏิบตั ิเพ่ือนาไปสู่ความ ดบั แห่งทุกขท์ ้งั มวล ในประเด็นต่อไปขอนาเสนอปฏิจจสมุปบาท ในฐานะปัจจยาการทางสังคม ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสังคม หลักธ รรมปฏิ จจส มุ ปบาทท่ี ปรากฏ ในคัมภี ร์ พระพุทธศาสนาเถรวาทส่วนใหญ่น้นั พระพุทธองคท์ รงแสดงใน รูปแบบของหลักธรรมที่เป็ นกระบวนธรรมโดยทรงแสดงตาม สภาวะธรรมชาติของกระบวนการเกิดข้ึนแห่งความทุกข์และ กระบวนการดบั แห่งความทุกข์ ใ น บ า ง แ ห่ ง เ ช่ น น ค ร สู ต ร พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง น า หลักปฏิจจสมุปบาทเปรี ยบเทียบกับนครท่ีเจริ ญและนครท่ี เสื่อม๑๔๘ และบางแห่งทรงแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ของมนุษย์ อนั เกิดจากอวชิ ชาตณั หา จึงตรัสวา่ โลกพร่อง ไมร่ ู้จกั อ่ิม เป็นทาส แห่งตณั หา ฯลฯ โลกสันนิวาสมีความมืดคืออวชิ ชาปิ ดก้นั ไว้ ฯลฯ ถูกไฟคือราคะ โทสะ โมหะ ชาติ ชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ ๑๔๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๕/๑๒๖-๑๒๙.

~ ๕๑ ~ โทมนสั อุปยาสกระทบแลว้ ๑๔๙ มีเพียงพระองค์เท่าน้นั ที่จะช้ีทาง สวา่ งพน้ จากความทุกขด์ งั กล่าวน้นั ไดด้ ว้ ยสัพพญั ญุตญาณ เพราะ รู้สภาวะท่ีไม่เท่ียง รู้สภาวะท่ีเป็ นทุกข์ สภาวะท่ีเป็ นอนตั ตาตลอด ท้งั หมด๑๕๐ ในมหานิทานสูตรจะปรากฏชดั เจนที่สุดในการแสดง หลกั ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสังคมดงั ท่ีพระองค์ ตรัสกบั พระอานนท์ถึงตน้ เหตุและปัจจยั แห่งบาปอกุศลกรรมท่ี เกิดข้ึนจากการทะเลาะ วิวาท การแก่งแยง่ การถือศสั ตรา เริ่มตน้ วงจรจากตณั หา จึงเกิดการแสวงหา (ปริเยสนา) มีลาภะ (การได)้ มี วนิ ิจฉยะ (การระลึกดว้ ยการแสวงหา) มีฉนั ทราคะ (ความกาหนดั ดว้ ยอานาจความพอใจ) มีอชั โฌสานะ (ความหมกมุ่นใจ) มีปริคค หะ (ความถือครอบครองดว้ ยตณั หาและทิฏฐิ) มีมจั ฉริยะ (ความ หวงแหนว่าส่ิงน้ีเป็ นของเรา จงอย่าเป็ นของผูอ้ ื่น) จึงมีอารักขะ (ความหวงก้นั )๑๕๑ ดงั น้นั พระพุทธองคจ์ ึงตรัสกบั พระอานนท์วา่ เพราะอารักขะเป็นเหตุ บาปอกศุ ลกรรมเป็นอเนกยอ่ มเกิดข้ึน๑๕๒ ๑๔๙ ดูรายละเอียดใน ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๑๑๗-๑๑๘/๑๗๙-๑๘๒. ๑๕๐ ดูรายละเอียดใน ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๑๑๙-๑๒๑/๑๘๓-๑๘๗. ๑๕๑ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๐๓/๑๖๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/๒๐๙- ๒๑๑. ๑๕๒ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๐๔/๖๑.

~ ๕๒ ~ ในมหานิ ทานสู ตรน้ ี พระองค์ทรงเริ่ มต้นให้เข้าใจว่า ตณั หาเป็ นปัจจยั สาคญั ของปัจจยาการทางสังคม เพราะเวทนาเป็น ปัจจยั ตณั หาจึงมี ดงั ท่ีทรงอธิบายในรายละเอียดของอกุศลกรรม ต่างๆท่ีเกิดจากตณั หาดงั กล่าวน้ัน จากน้ันจึงทรงสรุปว่า เพราะ ผสั สะเป็ นปัจจยั เวทนาจึงมี และปัจจยั แห่งผสั สะก็คือนามรูป๑๕๓ ซ่ึงในท่ีน้ีมีนยั ยะถึงการอธิบายแบบขา้ มภพชาติ กล่าวคือเพราะมี การเวียนว่ายตายเกิดจึงทาให้กระบวนการทุกข์ต่างๆ รวมถึง อกุศลกรรมต่างๆท่ีเกิดข้ึน ดงั ปรากฏในสังคม ดงั น้นั ปฏิจจสมุป บาทในฐานะปัจจยาการทางสังคมน้นั พระพุทธองคท์ รงกล่าวถึง ในลกั ษณะภาพปรากฏการณ์เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นถึงกระบวนการ ทางานภายในจิตใจเป็ นประเด็นหลัก ต่อมาการอธิ บาย ปรากฏการณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนน้นั อรรถกถาจารยไ์ ดร้ วบรวมข้ึนเป็ น หลกั นิยาม ๕ ซ่ึงจะอธิบายใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายกวา่ ปฏิจจสมุปบาทในฐานะนิยาม ๕ ปฏิจจสมุปบาทน้ันเป็ นหลักธรรมที่สาคัญ และ ครอบคลุมธรรมท้งั หมด ดงั พุทธพจนท์ ่ีพระพุทธองคต์ รัสวา่ “ผใู้ ด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผูน้ ้นั ช่ือวา่ เห็นธรรม ผูใ้ ดเห็นธรรม ผนู้ ้นั ช่ือ ๑๕๓ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๔/๖๕.

~ ๕๓ ~ ว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท”๑๕๔ แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงจาแนก ปฏิจจสมุปบาทในในฐานะธรรมท่ีแตกตา่ งกนั ไว้ ดงั น้นั พระอรรถ กถาจารยจ์ ึงไดจ้ าแนกประเภทของปฏิจจสมุปบาทใหล้ ะเอียดและ ชดั เจนยิ่งข้ึนเรียกว่า “นิยาม ๕” เพื่ออธิบายความเป็ นเหตุและผล ของกฏเกณฑต์ ่างของธรรมชาติ ดงั น้ี ๑. กรรมนิยาม เป็ นการอธิบายการใหผ้ ลแห่งกุศลที่น่า ปรารถนาและการใหผ้ ลแห่งอกศุ ลท่ีไม่น่าปรารถนา ในคมั ภีร์สุมงั คลวลิ าสินีแสดงเรื่องของหญิงคนหน่ึงที่ทะเลาะกบั สามี ประสงค์ จะผกู คอตาย แมม้ ีคนมาหา้ มแตใ่ นท่ีสุดนางก็ตอ้ งตาย ดว้ ยผลแห่ง อกุศลกรรม ๒. อุตุนิยาม เป็ นการอธิบายกฏธรรมชาติที่เก่ียวกบั อุณหภูมิ และฤดูกาล ความเป็ นระเบียบของปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ในคมั ภีร์สุมงั คลวิลาสินียกตวั อย่างถึงการเก็บดอกไม้ ผลไม้ การท่ีมีลมพดั การที่แดดออก การท่ีฝนตก การท่ีดอกบวั บานกลางวนั หุบกลางคืน เหล่าน้ีเป็ นกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติที่ เรียกวา่ อุตุนิยาม ๓. พีชนิยาม เป็ นการอธิบายกฏเกณฑ์ธรรมชาติ เก่ียวกบั พืชผล ในคมั ภีร์สุมงั คลวลิ าสินียกตวั อยา่ งถึงการท่ีผลขา้ ว สาลี ย่อมเป็ นผลจากพืชขา้ วสาลีอยา่ งเดียว รสหวานย่อมเป็ นผล ๑๕๔ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๐๖/๓๓๘.

~ ๕๔ ~ จากน้าหวาน รสขมยอ่ มเป็นผลจากพชื ขม ในที่น้ีน่าจะอธิบายรวม ความถึงการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมดว้ ย ๔. จิตตนิยาม เป็ นการอธิบายถึงกฏเกณฑ์การทางาน ของจิต ในคมั ภีร์สุมงั คลวิลาสินียกตวั อย่างถึง การทางานของจิต และเจตสิก กล่าวคือจิตและเจตสิกท่ีเกิดก่อนย่อมเป็ นอุปนิสสย ปัจจยั แก่จิตและเจตสิกท่ีเกิดภายหลงั ๕. ธรรมนิยามเป็ นการอธิบายกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ต่างๆ ในคมั ภีร์สุมงั คลวิลาสินียกตวั อย่างถึงการสั่นสะเทือนของ โลกธาตุเม่ือคร้ังพระโพธิสัตวเ์ สด็จสู่ครรภพ์ ระมารดา๑๕๕ ซ่ึงพระ พุทธองค์ตรัสไวใ้ นมหาปทานสูตรว่า “โลกธาตุน้ีส่ันสะเทือน เลื่อนลน่ั ท้งั แสงสวา่ งหาประมาณมิได้ ก็เกิดข้ึนในโลก ล่วงเทวนุ ภาพของเหล่าเทพ ข้อน้ีเป็ นกฏธรรมดาในเร่ื องน้ี”๑๕๖ ซ่ึง ปรากฏการณ์ดงั กล่าวน้ีเป็นลกั ษณะทางธรณีวิทยา นนั่ หมายความ วา่ ไดว้ า่ ธรรมนิยามครอบคลุมปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดข้ึนในโลก จกั รวาล ใ น ก า ร จ า แ น ก นิ ย า ม ๕ น้ั น เ ป็ น ก า ร ข ย า ย ความปฏิจจสมุปบาทให้กวา้ งขวางและครอบคลุมกบั กฏเกณฑ์ ธรรมชาติต่างๆ แต่ผูว้ ิจยั เห็นวา่ การอธิบายความปฏิจจสมุปบาท ๑๕๕ ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/๑๐๐-๑๐๑. ๑๕๖ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๒/๑๕.

~ ๕๕ ~ ของพระพุทธองค์น้นั ประสงค์ที่จะเน้นในเร่ืองกรรมนิยามและ จิตตนิยามมากกวา่ เน่ืองจากกระบวนการเกิดและดบั แห่งทุกขน์ ้นั เป็ นกระบวนการแห่งวฏั ฏะที่หมุนวนอยใู่ นวงจรแห่งกิเลส กรรม และวิบาก และกลไกการทางานของจิตที่ประกอบดว้ ยกิเลส คือ อวิชชา ตณั หา อุปาทาน จึงทาใหก้ ระบวนการต่างๆหมุนวนไปสู่ ความทุกขต์ ่างๆ พัฒนาการการอธิบายปฏิจจสมุปบาทในคัมภีร์ พระพุทธศาสนา เถรวาท การอธิบายปฏิจจสมุปบาทในคมั ภีร์พระพุทธศาสนา เถรวาทมีพฒั นาการในการอธิบายขยายความเพิ่มเติมข้ึนเพื่อให้ เกิดความเขา้ ใจชดั เจนข้ึน โดยเร่ิมจากพระสุตตนั ตปิ ฎกซ่ึงส่วน ใหญ่จะเป็ นการอธิบายความในลกั ษณะท่ีส่ือนยั ยะแบบปัจจุบนั ชาติ แต่บางองคธ์ รรมเช่น องค์ธรรมวิญญาณ ท่ีปรากฏในวิภงั ค สูตรเป็นการอธิบายแบบปัจจุบนั ชาติ คือกล่าวถึงวญิ ญาณ ๖ แตใ่ น มหานิทานสูตรแสดงไวว้ ่า “ก็ถ้าวิญญาณจกั ไม่หยง่ั ลงในท้อง มารดา นามรูปจะก่อตวั ข้ึนในทอ้ งมารดาไดห้ รือ”๑๕๗ ซ่ึงวิญญาณ ในที่น้ีหมายถึงปฏิสนธิวญิ ญาณ เป็ นการอธิบายความในลกั ษณะ ๑๕๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๕/๖๕.

~ ๕๖ ~ ข้ามภพชาติ นอกจากน้ีในองค์ธรรมภพ ชาติ ชราและมรณะ ที่ ปรากฏในพระสุตตนั ตปิ ฎกมีการอธิบายในลกั ษณะขา้ มภพชาติ เช่นเดียวกนั ต่ อ ม า ใ น พ ร ะ อ ภิ ธ ร ร ม ปิ ฎ ก ก า ร อ ธิ บ า ย ความปฏิจจสมุปบาทเนน้ การอธิบายในลกั ษณะแบบขณะจิต แต่ก็ ปรากฏการอธิบายแบบขา้ มภพชาติดว้ ย อยา่ งไรก็ตาม การอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทที่ปรากฏในพระไตรปิ ฎกไม่ได้อธิบายให้เห็น ลกั ษณะอยา่ งแบ่งแยกกนั ชดั เจน แต่ที่มีการอธิบายปฏิจจสมุปบาท ที่ เห็ นลักษณะการอธิ บายแบบปั จจุ บันหรื อข้ามภพชาติ อย่าง ชดั เจนมาปรากฏในคมั ภีร์ช้นั อรรถกถา โดยเฉพาะอรรถกถาของ คมั ภีร์วภิ งั คแ์ ละวสิ ุทธิมรรค๑๕๘ ใ น คัม ภี ร์ ช้ ัน อ ร ร ถ ก ถ า แ ล ะ คัม ภี ร์ วิ สุ ท ธิ ม ร ร ค น้ี มี คาอธิบายหลายส่วนท่ีคลา้ ยกนั มาก เหตุผลหน่ึงท่ีเป็ นไปไดก้ ็คือ อรรถกถาจารยแ์ ละผูร้ จนาคมั ภีร์วิสุทธิมรรคคือบุคคลเดียวกนั ดังน้ันการนาเสนอจึงมีความคล้ายกัน โดยเฉพาะการอธิบาย ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรมในปฏิจจสมุปบาท ซ่ึงปรากฏใน รูปแบบภวจักร ซ่ึงเป็ นการอธิบายในลักษณะ ๓ กาล ในพระ สุตตนั ตปิ ฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มีปรากฏคาอธิบาย ๑๕๘ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา้ ๑๙๔.

~ ๕๗ ~ ลกั ษณะน้ี ท่ีอธิบายในลกั ษณะ ๓ กาลไว๑้ ๕๙แต่ในพระไตรปิ ฎก ส่วนอื่นๆไม่ปรากฏชดั เจน ๑๕๙ ข.ุ ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๔๗/๗๓.

~ ๕๘ ~ ๓ การอธิบายขยายความคาสอนปฏจิ จสมุปบาทของ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (พระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺ โต)) ได้ให้คาอธิ บายแนวคิดเรื่ องปฏิ จจสมุปบาทไว้ว่า หลกั ปฏิจจสมุปบาทเป็ นหลกั ธรรมหมวดหน่ึงที่พระพุทธเจา้ ทรง แสดงในรู ปของกฎธรรมชาติ เป็ นหลักความจริ งท่ีมีอยู่โดย ธรรมดา ไม่เกี่ยวกบั การอุบตั ิของพระศาสดาท้งั หลาย๑๖๐ ท้งั ทรง ตรัสเตือนไม่ให้ประมาทในหลักปฏิจจสมุปบาทว่าเป็ นหลัก เหตุผลที่เขา้ ใจง่ายไวใ้ นนิทานสูตร๑๖๑ ท้งั ยงั ทรงนอ้ มพระทยั ไป ๑๖๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม,พมิ พค์ ร้ัง ท่ี ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พบ์ ริษทั สหธรรมิกจากดั , ๒๕๔๙), หนา้ ๗๙. ๑๖๑ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๐/๑๑๓.

~ ๕๙ ~ ในทางที่จะไม่ประกาศพระสัทธรรมเมื่อคร้ังทรงตรัสรู้พระสัมมา สัมโพธิญาณใหม่ๆเน่ืองจากเป็ นหลกั ธรรมท่ีรู้ไดย้ าก เห็นไดย้ าก เขา้ ใจอย่างลึกซ้ึงไดย้ ากในพรหมยาจนกถาและปาสราสิสูตร๑๖๒ และไดใ้ หค้ าอธิบายการแปลความหมายของหลกั ปฏิจจสมุปบาท การอธิบายความหมายหลกั ปฏิจจสมุปบาทผ่านแนวคดิ ของท่าน เจ้าคุณสมเด็จ ฯ (พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไดอ้ ธิบายใหเ้ ขา้ ใจ ถึงการแปลความหลกั ปฏิจจสมุปบาทโดยนยั ตา่ งๆโดยสรุป๑๖๓ คือ ๑.การอธิบายแบบวิวฒั นาการของโลกและชีวิต โดย การตีความตามตวั อกั ษรในพทุ ธดารัส เรื่อง โลกสมุทยั ๑๖๔ เป็นตน้ ท่านกล่าวว่าการตีความหมายหลักปฏิจจสมุปบาทเป็ นทฤษฎี แสดงตน้ กาเนิดโลกน้นั ถือว่าผิดพลาดจากพุทธประสงค์ แมจ้ ะ แสดงวิวฒั นาการตามกระบวนการเป็ นไปของธรรมชาติเอง เน่ืองจากพระพุทธองค์ไม่ทรงสนับสนุนการถกเถียงตีความ หลกั ธรรมทางอภิปรัชญา เพราะมีคุณค่าทางจริยธรรมน้อย ไม่ ๑๖๒ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๗/๑๑, ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๑/๓๐๕. ๑๖๓ ท่านเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๘๔- ๘๖. ๑๖๔ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๔/๙๐, ส.สฬ. (ไทย) ๑๘/๑๐๗/๑๒๑.

~ ๖๐ ~ เป็ นไปเพ่ือความดบั ทุกขไ์ ดเ้ ลย แต่ก็พึงยอมรับได้วา่ การอธิบาย ความกวา้ งๆเก่ียวกบั โลกทศั น์และชีวทศั น์น้นั เป็ นไปตามกระแส แห่งเหตุผล ข้ึนต่อเหตุปัจจยั ในกระบวนการของธรรมชาติ ไม่มี ผสู้ ร้าง ผบู้ นั ดาล และเกิดข้ึนเองโดยบงั เอิญ แต่ตอ้ งสาเร็จดว้ ยการ ลงมือกระทาด้วยตนเอง ความสัมพันธ์ต่างๆท่ีเกี่ยวข้องใน กระบวนการของธรรมชาติน้ัน ต้องจัดการเก่ียวข้องกับส่ิ ง ท้งั หลายดว้ ยปัญญา และยงั คงเป็ นอิสระอยไู่ ดไ้ ม่ตกเป็ นทาสของ สิ่งท่ีเก่ียวขอ้ งน้นั ซ่ึงท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ กล่าวว่ายงั นบั เป็ นของ หยาบ แมจ้ ะถูกตอ้ งและมีคุณค่าตรงตามความมุ่งหมายของหลกั พุทธธรรม เพราะการอธิบายโลกทศั น์และชีวทศั น์ท่ีกล่าวน้ีไม่ หนกั แน่นพอที่จะใหเ้ กิดคุณค่าดงั กล่าวมา เป็นการมุง่ พจิ ารณาโลก ภายนอก คือมองออกไปขา้ งนอก ซ่ึงแตกต่างจากกระบวนการสืบ ตอ่ แห่งชีวติ และความทุกขข์ องบุคคลซ่ึงมองเขา้ ไปภายใน ๒.การอธิบายแบบแสดงกระบวนการเกิด-ดบั แห่งชีวิต และความทุกขข์ องบุคคล๑๖๕ ซ่ึงทา่ นจาแนกเป็ น ๒ นยั คือ ๑) แบบขา้ มภพขา้ มชาติ เป็ นการแสดงกระบวนการ ช่วงกวา้ งระหว่างชีวิตต่อชีวิต ซ่ึงส่วนใหญ่คมั ภีร์ช้ันอรรถกถา อธิบายทวั่ ไป มีการขยายความซับซ้อนและยากแก่การทาความ ๑๖๕ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๘๔, ๑๔๐-๑๔๒.

~ ๖๑ ~ เขา้ ใจต่อผูเ้ ริ่มตน้ ศึกษาผา่ นงานนิพนธ์ของพระพุทธโฆษาจารยผ์ ู้ รจนาในคมั ภีร์สัมโมหวโิ นทนี และคมั ภีร์วสิ ุทธิมรรค ซ่ึงในคมั ภีร์ วสิ ุทธิมรรคน้นั เนน้ การอธิบายแบบขา้ มภพชาติ ทา่ นเจา้ คุณสมเด็จ ฯ(ป.อ.ปยตุ ฺโต) ให้ทศั นะวา่ อาจเป็ นไปไดท้ ่ีในสมยั ของพระพุทธ โฆษาจารยผ์ ูร้ จนาคมั ภีร์วิสุทธิมรรคน้ันอธิบายเรื่องปฏิจจสมุป บาทแบบขา้ มภพขา้ มชาติ ท่านจึงสะดวกใจมากกว่าที่จะอธิบาย ความหมายในแง่ข้ามภพชาติ ส่วนในคัมภีร์สัมโมหวิโนทนีก็ อธิบายไม่ต่างจากวสิ ุทธิมรรค เพียงแต่ขยายความใหพ้ ิศดารไป ๒) แบบทุกขณะของการดารงชีวิต เป็ นการแสดง ก ร ะ บ ว น ก า ร ที่ ห มุ น เ วี ย น อ ยู่ ต ล อ ด เ ว ล า ใ น ทุ ก ข ณ ะ ข อ ง ก า ร ดารงชีวิต ซ่ึงมีความหมายแฝงอยูก่ บั คาอธิบายแบบขา้ มภพขา้ ม ชาติ และยนื ยนั วธิ ีการอธิบายตามนยั น้ีดว้ ยพทุ ธพจน์หลายแห่งใน พระสูตร เช่น เจตนาสูตร๑๖๖ ทุกขสูตร๑๖๗ (ทุกขนิโรธสูตร) และ โลกสูตร๑๖๘ (โลกนิโรธสูตร) เป็ นตน้ ในพระอภิธรรมอธิบายไว้ ในปัจจยั าการวภิ งั ค์ ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ใหท้ ศั นะวา่ ในการ อธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบขณะจิตเดียวน้ัน เป็ นเรื่องยาก และ ๑๖๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๘/๗๙-๘๐. ๑๖๗ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๓/๘๘-๘๙. ๑๖๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๔/๙๐-๙๑.

~ ๖๒ ~ ขาดตอนไปแลว้ ปรากฏเพียงร่องรอยท่ีเหลืออยเู่ ลก็ นอ้ ยจากอรรถ กถา แต่ท่านก็สนับสนุนว่าความหมายปฏิจจสมุปบาทแบบ ชีวิตประจาวนั น้ันเป็ นของมีมาแต่เดิมในพระไตรปิ ฎกเพียงแต่ เลือนรางและถูกหลงลืมไป ท่านไดย้ กอรรถาธิบายจากคมั ภีร์สัม โมหวโิ นทนีในตอนที่สองอธิบายแบบขณะจิตเดียวท่ีแสดงให้เห็น ถึงคาอธิบายท่ีเป็ นไปแบบขณะจิตเดียวในชีวิตประจาวนั เช่น “เพราะชาติเป็ นตน้ เป็ นความเกิดเป็ นตน้ ของอรูปธรรมท้งั หลาย ฉะน้นั จึงมิไดต้ รัสวา่ ภาวะท่ีฟันหัก ภาวะท่ีผมหงอก ภาวะท่ีหนงั เหี่ยวยน่ การจุติ กิริยาท่ีจุติ (จากภพ) ดงั น้ี”๑๖๙ จากการศึกษาในประเด็นเร่ื องการอธิ บายความหมาย หลกั ปฏิจจสมุปบาทผา่ นแนวคิดท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺ โต) น้ัน ผู้เขียนมีความเข้าใจถึงความห่วงใยท่ีท่านมีต่อการ ตีความหมายที่อาจผิดพลาดไปจากหลกั พุทธธรรม ดงั เช่น การ ตีความหมายเชิงโลกทศั น์และชีวทศั น์ซ่ึงท่านไม่สนบั สนุน แต่ก็ ไม่ไดป้ ฏิเสธในการตีความลกั ษณะน้ี เพียงแต่ท่านมีความเห็นวา่ ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย เ ชิ ง โ ล ก ทัศ น์ แ ล ะ ชี ว ทัศ น์ น้ ัน มี คุ ณ ค่ า ท า ง จริยธรรมน้อย นอกจากน้ี ท่านเนน้ ย้าเรื่องการไม่มีมูลการณ์ของ สิ่งท้งั หลาย (The First Cause) และเน้นว่าอวิชชาไม่ใช่มูลการณ์ใน วงจรปฏิจจสมุปบาท ท่านสร้างความเขา้ ใจให้เห็นอยา่ งชดั เจนว่า ๑๖๙ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๖๕๐.

~ ๖๓ ~ องคป์ ระกอบอนั เป็ นปัจจยั เนื่องอาศยั สืบต่อกนั น้นั ไม่มีตน้ ไม่มี ปลาย โดยเฉพาะอย่างย่ิง ท่านได้หยิบยกพุทธพจน์ซ่ึงเป็ นคา สรุปปฏิจจสมุปบาทที่ปรากฏในที่ตา่ งๆวา่ บ่งช้ีถึงกระบวนการเกิด และดบั แห่งความทุกข์ ซ่ึงท่านสนบั สนุนว่าเป็ นพุทธประสงคใ์ น การแสดงพุทธธรรมอยา่ งแทจ้ ริง การอธิบายความหมายของแต่ละองค์ธรรมในปฏจิ จสมุปบาทตาม แนวคดิ ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺ โต) ได้อธิ บาย ความหมายของแต่ละองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทโดยอธิบาย ความจากพระไตรปิ ฎกและคมั ภีร์ช้ันอรรถกถาโดยท่านใช้คาว่า คาอธิบายตามแบบ ส่วนคาอธิบายขยายความเพิ่มเติมในส่วนอ่ืนๆ น้ันเป็ นการอธิบายตามแนวคิดของท่านเอง ซ่ึงในท่ีน้ีจะนา คาอธิบายของท่านท้งั ความตามแบบและการอธิบายความหมาย ตามแนวคิดทา่ นมาเพื่อพจิ ารณาควบคู่กนั ไป ๑ อวชิ ชา คาอธิบายตามแบบ : อวิชชา คือ ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทยั (เหตุเกิดแห่งทุกข์) ความไม่รู้ในทุกขนิ

~ ๖๔ ~ โรธ (ความดบั แห่งทุกข์) ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ขอ้ ปฏิบตั ิท่ีให้ถึงความดบั แห่งทุกข์)๑๗๐ ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไมร่ ู้ในส่วนอนาคต ความไม่รู้ในส่วนอดีตและอนาคต ความ ไมร่ ู้ในปฏิจจสมุปบาทวา่ เพราะธรรมน้ีเป็นปัจจยั ธรรมน้ีจึงมี๑๗๑ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) : อวชิ ชา คือ ความไมร่ ู้ ไมเ่ ห็นตามความเป็นจริง ไมร่ ู้เท่า ทนั ตามสภาวะ หลงไปตามสมมติบญั ญตั ิ ความไม่รู้ที่แฝงอยู่กบั ความเช่ือถือต่างๆ ภาวะขาดปัญญา ความไม่เขา้ ใจเหตุผล การไม่ ใชป้ ัญญา หรือปัญญาไม่ทางานในขณะน้นั ๑๗๒ คาอธิบายตัวอย่าง : ทา่ นไดย้ กตวั อยา่ งกรณีท่ีเกิดข้ึนใน ชีวิตประจาวนั วา่ ก. กบั ข. เป็ นเพื่อนนกั เรียนท่ีสนิทสนมกนั มา โรงเรียนดว้ ยกนั ทุกวนั พบกนั ก็ยิม้ แยม้ ทกั ทาย วนั หน่ึง ก. เห็น ข. ก็ยิม้ ให้ และเขา้ ไปทกั ทายตามปกติ แต่ ข. หน้าบ้ึง ไม่ยิ้มดว้ ย ไม่ พดู ตอบ ก. จึงโกรธ ไมพ่ ดู กบั ข. ๑๗๐ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๓/๙๘, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๘, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๑๙. ๑๗๑ อภิ.ส.อ. (ไทย) ๑/๒/๔๑๓. ๑๗๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๑๐๙.

~ ๖๕ ~ ท่านแสดงกระบวนธรรมอนั เกิดจากอวิชชาว่า การที่ ก. โกรธ ข. เป็ นเพราะไม่รู้ความเป็ นจริงในเหตุผล และไม่ใช้ ปัญญาพจิ ารณาเพื่อหาขอ้ เทจ็ จริงวา่ ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ หรือ มีอารมณ์ใดคา้ งคาใจอยู่โดยไม่เก่ียวกบั ก. เลยก็ได๑้ ๗๓ เมื่อไม่ใช้ ปัญญา ก็จึงเกิดกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท อวิชชาจึงเป็ น ปัจจยั ใหเ้ กิดสังขาร สู่วงจรทุกขต์ ่อไป ๒ สังขาร คาอธิบายตามแบบ : สงั ขารวา่ มี ๓ ประการ คือ ๑. กาย สังขาร ๒. วจีสังขาร ๓. จิตตสังขาร๑๗๔ และเพ่ิมเติมสังขารอีก ๓ ประการตามนยั พระอภิธรรม คือ ๑. ปุญญาภิสังขาร (เจตนาที่เป็ น กุศลซ่ึงเป็ นกามาวจร) ๒. อปุญญาภิสังขาร (เจตนาที่เป็ นอกุศลซ่ึง เป็ นกามาวจร) ๓. อาเนญชาภิสังขาร (เจตนาท่ีเป็ นกุศลซ่ึงเป็ นอรู ปาวจร)๑๗๕ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง ความจงใจ มุ่งหมาย ๑๗๓ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙. ๑๗๔ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๘, ๓๓/๗๒. ๑๗๕ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๒๐.

~ ๖๖ ~ ตดั สินใจ และการที่จะแสดงเจตนาออกเป็นการกระทา การจดั สรร กระบวนความคิด และมองหาอารมณ์สนองความคิดโดย สอดคล้องกับพ้ืนนิสัย ความถนัด ความโน้มเอียง ความเช่ือถือ และทศั นคติ เป็ นตน้ ของตน ตามที่ไดส้ ั่งสมไว้ การปรุงแต่งจิต ปรุงแตง่ ความคิด หรือปรุงแตง่ กรรม ดว้ ยเคร่ืองปรุง คือคุณสมบตั ิ ต่างๆที่เป็ นความเคยชินหรือไดส้ ่ังสมไว๑้ ๗๖ คาอธิบายตัวอย่าง : ความหมายอธิบายตามตวั อย่างก็ คือ ก. นึกคิดปรุงแต่งสร้างภาพต่างๆในใจตามพ้ืนนิสัย ตาม ทศั นคติ หรือตามกระแสความคิดท่ีเคยชินของตนว่า ข. จะตอ้ ง รู้สึกนึกคิดต่อตนอย่างน้นั อย่างน้ี แลว้ เกิดความฟุ้งซ่าน โกรธ มี มานะ เป็ นตน้ ตามพ้ืนกิเลสของตน๑๗๗ สังขารจึงเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิด วญิ ญาณ เขา้ สู่กระบวนการทุกขต์ อ่ ไป ๑๗๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๐๙. ๑๗๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๑๙.

~ ๖๗ ~ ๓ วญิ ญาณ คาอธิบายตามแบบ : วิญญาณ คือ จกั ขุวิญญาณ โสต วิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ๑๗๘ โดย กระจายตามนยั พระอภิธรรม คือ โลกียวญิ ญาณ ๓๒ ไดแ้ ก่ กุศลวิ ปากวญิ ญาณ ๕ อกศุ ลวปิ ากวญิ ญาณ ๕ และมโนวญิ ญาณ ๒๒๑๗๙ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ความหมายในเชิงอธิบายว่า วิญญาณ คือ ความรู้ต่อ อารมณ์ต่างๆ คือ เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ลิ่น รู้รส รู้สมั ผสั รู้ตอ่ อารมณ์ท่ีมี ในใจ ตลอดจนสภาพพ้ืนเพของจิตใจในขณะน้นั ๆ๑๘๐ คาอธิบายตัวอย่าง : ตวั อยา่ งท่ียกมาว่า จิตของ ก. ขุ่น มัวไปตามกิเลสที่ฟุ้งข้ึนมาปรุงแต่ง คอยรับรู้การกระทาและ อากปั กิริยาของ ข. ตามความหมายที่จะมาป้อนความรู้สึกนึกคิดท่ี เป็ นอยใู่ นเวลาน้นั สีหนา้ ท่าทางของ ข. ดูเป็ นเร่ืองกระทบกระทง่ั ก. ท้งั สิ้น๑๘๑ ๑๗๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๗/๒๒๐. ๑๗๙ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๒๑/๙๑๒-๙๑๓, พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๙๘. ๑๘๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๐๙. ๑๘๑ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙.

~ ๖๘ ~ ๔ นามรูป คาอธิบายตามแบบ : ในการอธิบายตามแบบ นามรูป คือ นาม ไดแ้ ก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผสั สะ มนสิการ หรือตามนยั อภิธรรม ไดแ้ ก่ เวทนาขนั ธ์ สัญญาขนั ธ์ และสังขารขนั ธ์ ส่วน รูป ไดแ้ ก่ มหาภูตรูป ๔ และ รูปท่ีอาศยั มหาภูตรูป ๔๑๘๒ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) :ความหมายเชิงอธิบายว่า นามรูป คือ ความมีอยู่ของ รูปธรรมและนามธรรม ในความรับรู้ของบุคคล ภาวะท่ีร่างกาย และจิตใจทุกส่วนอยู่ในสภาพที่สอดคล้องและปฏิบตั ิหน้าท่ีเพ่ือ ตอบสนองในแนวทางของวิญญาณท่ีเกิดข้ึนน้ัน ส่วนต่างๆของ ร่างกายและจิตใจท่ีเจริญหรือเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพจิต๑๘๓เมื่อ วิญญาณถูกปรุงแต่ง (สังขาร)ให้มีคุณสมบตั ิอยา่ งไรและเกิดภาวะ น้นั ซ้าบ่อย นามธรรมและรูปธรรมท้งั หลายท่ีแสดงตวั ออกมาใน ๑๘๒ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗. ๑๘๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๐๙.

~ ๖๙ ~ ขณะน้นั ๆจะมีคุณสมบตั ิอยา่ งน้นั ไปดว้ ย และจะก่อเป็ นลกั ษณะ กายใจจาเพาะตวั ที่เรียกวา่ บุคลิกภาพ๑๘๔ คาอธิบายตัวอย่าง :ตวั อย่างท่ียกมาว่า ภาพที่คิด ภาวะ ต่างๆของจิตใจ สีหนา้ กิริยาท่าทาง คือท้งั กายและใจท้งั หมดของ ก. คลอ้ ยไปดว้ ยกนั ในทางที่จะแสดงออกมาเป็ นผลรวมคือ ภาวะ อาการของคนโกรธ คนป้ันป่ึ ง คนงอน เป็ นตน้ พร้อมท่ีจะทางาน ร่วมไปกบั วญิ ญาณน้นั เป็ นตน้ ๑๘๕ ๕ สฬายตนะ คาอธิบายตามแบบ :ในการอธิบายความตามแบบ สฬายตนะ คือ จกั ขุ-ตา โสตะ-หู ฆานะ-จมูก ชิวหา-ลิ้น กาย-กาย มโน-ใจ๑๘๖ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) :ความหมายเชิงอธิบายวา่ สฬายตนะ คือ ภาวะท่ีอายตนะ ๑๘๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๑๑๑. ๑๘๕ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙. ๑๘๖ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖-๗.

~ ๗๐ ~ ที่เกี่ยวขอ้ งปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยสอดคล้องกบั สถานการณ์น้ันๆ๑๘๗ เป็ นช่องทางดาเนินพฤติกรรม๑๘๘ คาอธิบายตัวอย่าง :ตวั อยา่ งวา่ อายตนะต่างๆ มี ตา หู เป็ นตน้ ของ ก. เฉพาะที่เกี่ยวขอ้ งจะตอ้ งใชร้ ับรู้เรื่องราวในกรณีน้ี ตื่นตวั พร้อมที่จะทาหนา้ ท่ีรับความรู้เตม็ ท่ี๑๘๙ ๖ ผสั สะ คาอธิบายตามแบบ :ในการอธิบายตามแบบ ผสั สะ คือ จกั ขุสัมผสั โสตสัมผสั ฆานสัมผสั ชิวหาสัมผสั กายสัมผสั และ มโนสัมผสั ๑๙๐ เป็ นการกระทบระหว่างอายตนะภายใน ภายนอก และวญิ ญาณทางอายตนะน้นั ๆ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) :ความหมายเชิงอธิบาย ผสั สะ คือ การเชื่อมต่อความรู้กบั โลกภายนอก การรับรู้อารมณ์ตา่ งๆ๑๙๑ ๑๘๗พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๑๐๙. ๑๘๘ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๑๑. ๑๘๙ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙. ๑๙๐ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๐/๒๒๑. ๑๙๑พระพรหมคณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, ๑๐๙.

~ ๗๑ ~ คาอธิบายตัวอย่าง :ยกตวั อย่างถึง สัมผสั กบั ลกั ษณะ อาการแสดงออกต่างๆของ ข. ท่ีเด่น น่าสนใจ เกี่ยวขอ้ งกบั กรณี น้นั เช่น ความบูดบ้ึง ความกระดา้ ง ท่าทางดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติ หรือเหยยี ดศกั ด์ิศรี เป็ นตน้ ๑๙๒ ๗ เวทนา คาอธิบายตามแบบ :ในการอธิบายตามแบบ เวทนา คือ เวทนาจากจกั ขสุ ัมผสั เวทนาจากโสตสมั ผสั เวทนาจากฆานสัมผสั เวทนาจากชิวหาสัมผสั เวทนาจากกายสัมผสั และเวทนาจากมโน สัมผสั หรือกล่าวโดยลกั ษณะเป็ น ๓ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขสุขเวทนา หรือ เวทนา ๕ คือ สุข (ทางกาย) ทุกข์ (ทาง กาย) โสมนสั (ทางใจ) โทมนสั (ทางใจ) และอุเบกขา๑๙๓ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) :ความหมายเชิงอธิบายวา่ เวทนา คือ ความรู้สึกสุขสบาย ถูกใจ หรือทุกข์ ไม่สบาย หรือเฉยๆ ไม่สุข ไมท่ ุกข๑์ ๙๔ ๑๙๒ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙. ๑๙๓ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/๖๕, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑, วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๓/๙๔๔ . ๑๙๔พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, ๑๐๙.

~ ๗๒ ~ คาอธิบายตัวอย่าง :ตวั อยา่ ง ก. รู้สึกไม่สบายใจ บีบค้นั ใจ เจบ็ ปวดรวดร้าว หรือเห่ียวใจ๑๙๕ ๘ ตณั หา คาอธิบายตามแบบ :ในการอธิบายตามแบบ ตณั หา คือ รูปตณั หา (ตณั หาในรูป) สัททตณั หา (ตณั หาในเสียง) คนั ธตณั หา (ตณั หาในกล่ิน) รสตณั หา (ตณั หาในรส) โผฏฐพั พตณั หา (ตณั หา ในสมั ผสั ทางกาย) และธมั มตณั หา (ตณั หาในธมั มารมณ์) และแบง่ โดยอาการเป็ น ๓ คือ กามตณั หา (ทะยานอยากในส่ิงสนองความ ตอ้ งการทางประสาทสมั ผสั ท้งั ๕) ภวตณั หา (ความอยากให้คงอยู่ นิรันดร) วิภวตัณหา (ความอยากให้ดับสูญ) หรือ กามตัณหา (อยากดว้ ยความยินดีในกาม) ภวตณั หา (อยากอยา่ งมีสัสสตทิฏฐิ) วภิ วตณั หา (อยากอยา่ งมีอุจเฉททิฏฐิ)๑๙๖ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) :ในการให้ความหมายเชิงอธิบาย ตณั หา คือ ความอยาก ทะยาน ร่านรนหาส่ิงอานวยสุขเวทนา หลีกหนีสิ่งที่ก่อทุกขเวทนา ๑๙๕ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙. ๑๙๖ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๓, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๑, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑.

~ ๗๓ ~ โดยอาการไดแ้ ก่ อยากได้ (กามตณั หา) อยากเป็น อยากคงอยอู่ ยา่ ง น้ันๆ ยงั่ ยืนตลอดไป (ภวตณั หา) อยากให้ดบั สูญ พินาศไปเสีย (วภิ วตณั หา)๑๙๗ คาอธิบายตัวอย่าง :จากตัวอย่างของ ก. ก็คือ เกิด วิภวตณั หา อยากให้ภาพที่บีบค้นั ทาให้ไม่สบายใจน้นั พน้ หาย อนั ตรธาน ถูกทาลายพนิ าศไป๑๙๘ ๙ อุปาทาน คาอธิบายตามแบบ :ในคาอธิบายตามแบบ อุปาทาน คือ กามุปาทาน (ความยึดมนั่ ในกาม คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผสั ต่างๆ) ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิ คือ ความเห็น ลัทธิ ทฤษฎีตา่ งๆ) สีลพั พตุปาทาน (ความยดึ มน่ั ในศีลและพรต วา่ จะทา ให้คนบริสุทธ์ิได้) และอตั ตวาทุปาทาน (ความยึดมนั่ ในอัตตา สร้างตวั ตนข้ึนยดึ ถือไวด้ ว้ ยความหลงผดิ )๑๙๙ ๑๙๗พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๑๐. ๑๙๘ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๑๙. ๑๙๙ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕.

~ ๗๔ ~ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) :ในการให้ความหมายเชิงอธิบาย อุปาทาน คือ ความยดึ ติดถือมนั่ ในเวทนาที่ชอบหรือชงั รวบร้ังเอาสิ่งต่างๆและภาวะ ชีวิตที่อานวยเวทนาน้นั เขา้ มาผูกพนั กบั ตวั ความยึดมนั่ ต่อสิ่งซ่ึง ทาให้เกิดเวทนาท่ีชอบหรือไม่ชอบ จนเกิดท่าทีหรือตีราคาต่อสิ่ง ต่างๆ ในแนวทางท่ีเสริมหรือสนองตณั หาของตน๒๐๐ คาอธิบายตัวอย่าง :จากตวั อยา่ งของ ก. คือ เกิดความ ยดึ ถือผกู ใจกบั พฤติกรรมของ ข. วา่ เป็นส่ิงเกี่ยวขอ้ งโดยเฉพาะกบั ตน กระทบต่อตน เป็ นคู่กรณีกบั ตน ซ่ึงจะตอ้ งจดั การเอากนั อยา่ ง ใดอยา่ งหน่ึง๒๐๑ ๑๐ ภพ คาอธิบายตามแบบ : ในคาอธิบายตามแบบ ภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ อีกนยั หน่ึงคือ กรรมภพ (ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร) กบั อุปปัตติภพ (กามภพ รูป ๒๐๐ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๑๐. ๒๐๑ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๒๐.

~ ๗๕ ~ ภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอก โวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ)๒๐๒ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ในการให้ความหมายเชิงอธิบาย ภพ คือ กระบวน พฤติกรรมท้งั หมดท่ีแสดงออก เพื่อสนองตณั หาอุปาทานน้ัน (กรรมภพ) และภาวะชีวติ ที่ปรากฏเป็นอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง (อุปปัตติ ภพ) โดยสอดคลอ้ งกบั อุปาทานและกระบวนพฤติกรรมน้นั ๒๐๓ คาอธิบายตัวอย่าง : ตัวอย่างกรณีของ ก. คือ เกิด พฤติกรรมสืบเนื่องต่อไปของ ก. ตกอยู่ใตอ้ ิทธิพลของอุปาทาน เกิดเป็ นพฤติกรรมจาเพาะอยา่ งใดอย่างหน่ึงที่สนองต่ออุปาทาน น้นั คือพฤติกรรมปฏิปักษก์ บั ข. (กรรมภพ) ภาวะชีวิตท้งั ทางกาย ทางใจที่รองรับกระบวนพฤติกรรมน้นั ก็สอดคล้องกนั ดว้ ย คือ เป็ นภาวะแห่งความเป็ นปฏิปักษก์ บั ข. (อุปปัตติภพ)๒๐๔ ๒๐๒ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๔/๒๒๑, อภิ. ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๔. ๒๐๓พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๑๐. ๒๐๔ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๒๐.

~ ๗๖ ~ ๑๑ ชาติ คาอธิบายตามแบบ : ในคาอธิบายตามแบบ ชาติ คือ ความปรากฏแห่งขนั ธ์ท้งั หลาย การไดม้ าซ่ึงอายตนะต่างๆ หรือ ความเกิด ความปรากฏข้ึนของธรรมตา่ งๆเหล่าน้นั ๆ๒๐๕ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ในการใหค้ วามหมายเชิงอธิบาย ชาติ คือ การเกิดความ ตระหนกั ในตวั ตนวา่ อยหู่ รือไม่ไดอ้ ยใู่ นภาวะชีวติ น้นั ๆ หรือไม่ได้ มีไม่ไดเ้ ป็ นอยา่ งน้นั ๆ การเขา้ ครอบครองภาวะชีวิตน้นั หรือเขา้ สวมเอากระบวนพฤติกรรมน้นั โดยการยอมรับตระหนกั ชดั ข้ึนมา วา่ เป็ นภาวะชีวติ ของตน เป็ นกระบวนพฤติกรรมของตน๒๐๖ คาอธิบายตัวอย่าง : จากตวั อยา่ งของ ก. ชาติ คือ การท่ี ก. สวมรับเอาภาวะชีวิตท่ีเป็ นปฏิปักษ์น้นั โดยมองเห็นความเป็ น ปฏิปักษ์ระหว่างตนกบั ข. ชัดเจนลงไป แยกออกเป็ นเรา-เขา มี ตวั ตนท่ีจะเขา้ ไปกระทาและถูกกระทบกระแทกกบั ข.๒๐๗ ๒๐๕ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๔, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๙๑/๑๖๓, ๒๔๙/ ๒๓๕. ๒๐๖พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๑๑๐. ๒๐๗ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๒๐.

~ ๗๗ ~ ๑๒ ชรามรณะ คาอธิบายตามแบบ : ในคาอธิบายตามแบบ ชรา คือ ความเส่ือมอายุ ความหง่อมอินทรีย์ กบั มรณะ คือ ความสลายแห่ง ขนั ธ์ ความขาดชีวิตินทรีย์ หรือ ความเสื่อมและความสลายแห่ง ธรรมตา่ งๆเหล่าน้นั ๆ๒๐๘ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ในการให้ความหมายเชิงอธิบาย ชรามรณะ คือ ความ สานึกในความขาด พลาด หรือพรากแห่งตวั ตนจากภาวะชีวิตอนั น้นั ความรู้สึกวา่ ตวั ตนถูกคุกคามดว้ ยความสูญสิ้นสลาย หรือพลดั พรากจากภาวะชีวติ น้นั ๆ หรือจากการไดม้ ี ไดเ้ ป็นอยา่ งน้นั ๆ๒๐๙ คาอธิบายตวั อย่าง : ตวั อยา่ งในกรณีของ ก. เม่ือมีตวั ตน เกิดข้ึน ซ่ึงหมายความถึง ความมีเกียรติ ความมีศกั ด์ิศรี เป็ นตน้ ตวั ตนน้นั ก็จะถูกคุกคามดว้ ยภาวะขาดหลกั ประกนั วา่ ตนจะไดเ้ ป็ น ๒๐๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๔, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๑๙๒/๑๖๔, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๖. ๒๐๙พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๑๑๐.

~ ๗๘ ~ อยา่ งท่ีตอ้ งการ ความเครียดความกระวนกระวาย ความทุกขต์ ่างๆ จึงเกิดแทรกอยตู่ ลอดเวลา๒๑๐ ใ น ก า ร อ ธิ บ า ย อ ง ค์ธ ร ร ม แ ต่ ล ะ อ ง ค์ธ ร ร ม ใ น กระบวนการปฏิจจสมุปบาทน้ัน ท่านเริ่มตน้ จากการสร้างความ เขา้ ใจหลักปฏิจจสมุปบาทด้วยการอธิบายตามแบบ คืออธิบาย ขอ้ มูลปรากฏในพระคมั ภีร์ ท้งั สุตตนั ตปิ ฎก พระอภิธรรมปิ ฎก และคมั ภีร์ช้ันอรรถกถา จากน้ันจึงอธิบายขยายความเพ่ือสร้าง ความเขา้ ใจในการนาหลกั ปฏิจจสมุปบาทมาใชใ้ นชีวิตของบุคคล กบั สถานการณ์ตา่ งๆในชีวติ เพอื่ เรียนรู้ถึงกระบวนการเกิดข้ึนของ ความทุกข์และวิธีที่จะทาให้กระบวนการดบั ทุกข์เกิดข้ึนไดใ้ น ที่สุด ซ่ึงผูเ้ ขียนมีความเห็นวา่ ท่านสามารถสื่อความหมายใหเ้ ขา้ ใจ และนาหลกั ปฏิจจสมุปบาทมาประยุกตใ์ ชก้ บั สถานการณ์ของแต่ ละบุคคลไดอ้ ยา่ งชดั เจน แต่ท้งั น้ีก็สืบเนื่องมาจากการตีความของ ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) ที่เน้นการให้ความหมายองค์ ธรรมแต่ละองคธ์ รรมในลกั ษณะปัจจุบนั และท่ีปรากฏชดั เจนซ่ึง ผเู้ ขียนพบกค็ ือ ภพ ชาติ และชรามรณะ ซ่ึงนาเสนอในบทตอ่ ไป ๒๑๐ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๒๐.

~ ๗๙ ~ การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาท ตามแนวคิดท่านเจ้าคุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) คาอธิบายตามแบบ : ในการอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทน้ัน ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ไดน้ าเสนอประเด็นที่ควรทาความเขา้ ใจเป็ นพิเศษ คือ ภวจกั ร ที่มีความคาบเก่ียวกนั ๓ ช่วงชีวติ คือ อวชิ ชากบั สงั ขาร ช่วงหน่ึง วิญญาณถึงภพ ช่วงหน่ึง และชาติกับชรามรณะ อีก ช่วงหน่ึง๒๑๑ จากน้ันจาแนกให้เข้าใจถึง ๓ ช่วงชีวิตน้ีจดั เป็ น ๓ กาล คือ ๑. อดีต = อวชิ ชา สังขาร ๒. ปัจจุบนั = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภพ ๓. อนาคต = ชาติ ชรามรณะ (โสกะ ฯลฯ) ท่านอธิบายไวโ้ ดยสรุปว่าใน ๓ ช่วงชีวิตน้ี ช่วงกาล ปัจจุบนั หรือชาติน้ีเป็ นช่วงหลกั ท่ีจะสืบสาวจากผลท่ีปรากฏใน ปัจจุบนั วา่ อะไรคือเหตุ และเชื่อมโยงจากเหตุปัจจุบนั วา่ จะไปสู่ผล ๒๑๑ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๐๒.

~ ๘๐ ~ อนาคตอยา่ งไร โดยนาคาอธิบายเรื่องสังเขป ๔ มาช้ีแจงให้เขา้ ใจ ดงั น้ี ๑. อดีตเหตุ = อวชิ ชา สงั ขาร ๒.ปัจจุบนั ผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ๓. ปัจจุบนั เหตุ= ตณั หา อุปาทาน ภพ ๔. อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (โสกะ ฯลฯ) ในความสัมพันธ์ของเหตุน้ัน ท่านได้เช่ือมโยง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคธ์ รรมใหเ้ ขา้ ใจดงั น้ี ๑. อวิชชา กบั ตณั หา อุปาทาน (อดีตเหตุ-ปัจจุบัน เหตุ) ๒. สังขาร กบั ภพ (อดีตเหตุ-ปัจจุบนั เหตุ) ๓. วิญญาณ ถึง เวทนา กบั ชาติ ชรามรณะ (โสกะ ฯลฯ) (ปัจจุบนั ผล-อนาคตผล) คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ในความสัมพนั ธ์ท้ัง ๓ ช่วงตอนน้ีสามารถอธิบาย เช่ือมโยงกบั วฏั ฏะ ๓ ไดเ้ ขา้ ใจอยา่ งชดั เจนดงั น้ีคือ ๑) อวิชชา ตณั หา อุปาทาน เป็ นกิเลส คือตวั สาเหตุ ผลกั ดนั ให้คิดปรุงแต่งกระทาการต่างๆ เรียกวา่ กิเลสวฏั ฏ์ ท่านให้ คาอธิบายวา่ อวชิ ชามีความหมายเช่ือมโยงกบั ตณั หา อุปาทานอยู่

~ ๘๑ ~ เสมอ เพราะเม่ือไม่รู้ชีวิตตามความเป็ นจริง ย่อมมีความอยาก (ตณั หา) เพ่ือตวั ตน และความยึดถือ (อุปาทาน) เพ่ือตวั ตนต่างๆ ท้งั น้ีเป็ นเพราะไม่รู้สิ่งท้งั หลายตามท่ีมนั เป็ น จึงเขา้ ไปอยากและ ยดึ ถือสิ่งเหล่าน้นั วา่ เป็ นเรา เป็นของเรา หรือเม่ือเกิดความอยากได้ เพื่อเรา และยึดถือเช่นน้ัน จนมองไม่เห็นส่ิงท้งั หลายตามสภาพ และละเลยการปฏิบตั ิดว้ ยสติปัญญาตามเหตุตามผล โดยเหตุน้ี เม่ือ กล่าวถึงตณั หา อุปาทาน จึงพว่ งอวชิ ชาเขา้ ไวด้ ว้ ย๒๑๒ ๒) สังขาร (กรรม)ภพ เป็ นกรรม คือกระบวนการ กระทาหรือกรรมท้งั หลายท่ีปรุงแต่งชีวิตให้เป็ นไปต่างๆ เรียกวา่ กรรมวฏั ฏ์ ท่านให้คาอธิบายว่า สังขารเป็ นช่วงชีวิตในฝ่ ายอดีต และภพเป็ นช่วงชีวติ ในฝ่ ายปัจจุบนั มีความหมายใกลเ้ คียงกนั มาก ตา่ งกนั แต่เพยี ง สังขารมุง่ ที่ตวั เจตนา แตภ่ พมีความหมายกวา้ งกวา่ ครอบคลุมท้งั กรรมภพและอุปปัตติภพดว้ ย๒๑๓ ๓) วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา (ชาติ ชรามรณะ) เป็นวบิ าก คือสภาพชีวติ ท่ีเป็นผลแห่งการปรุงแต่งของ กรรม และกลบั เป็ นปัจจยั เสริมสร้างกิเลสต่อไปได้อีก เรียกว่า วิ ปากวฏั ฏ์๒๑๔ ท่านให้คาอธิบายว่า วิญญาณถึงเวทนาน้ันเป็ นตวั ๒๑๒ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๐๒-๑๐๓. ๒๑๓ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๐๓. ๒๑๔ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๐๔.

~ ๘๒ ~ ชีวิตปัจจุบนั ซ่ึงเป็ นผลมาจากอดีต ส่วนชาติ ชรามรณะเป็ นผลใน อนาคต อธิบายโดยยอ่ คือ ชาติและชรามรณะ หมายถึงการเกิดดบั ของวิญญาณถึงเวทนา เพ่ือเนน้ ในแง่การเกิดของทุกขใ์ หเ้ ห็นจุดที่ จะเช่ือมเขา้ สู่วงจรดงั เดิม๒๑๕ จ า ก น้ ัน ท่ า น จึ ง ช้ ี แ จ ง ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง ป ม ข อ ง ปั ญ ห า ใ น กระบวนการเกิดทุกข์ ซ่ึงเป็ นจุดเริ่มต้นของการกระทาต่างๆ เรียกวา่ มูล ๒ คือ อวิชชา และตณั หา ซ่ึงเป็ นกิเลส เป็ นตวั มูลเหตุ แห่งวงจร โดยท่านอธิบายตามแบบไวว้ ่า หากอวิชชาเป็ นตวั เด่น จะทาให้สัตวไ์ ปเกิดทุคติ เพราะถูกอวชิ ชาครอบงาไวไ้ ม่รู้วา่ อะไร ดีอะไรชั่ว อะไรเป็ นประโยชน์ ไม่เป็ นประโยชน์ มีโอกาสทา กรรมที่ผิดพลาดไดม้ าก ในขณะที่หากภวตณั หาเป็ นตวั เด่น จะทา ใหส้ ัตวไ์ ปเกิดสุคติ คิดอยากไปเกิดในสวรรค์ ในพรหมโลก ยอ่ ม สร้างปัจจยั ท่ีเหมาะสมกบั ความปรารถนาน้นั จึงมีโอกาสทาความ ดีมากกวา่ ผอู้ ยดู่ ว้ ยอวชิ ชา๒๑๖ ๒๑๕ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๐๓. ๒๑๖ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๐๕.

~ ๘๓ ~ ปฏจิ จสมุปบาทในฐานะมัชเฌนธรรมเทศนาตามแนวคดิ ท่านเจ้า คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุต์โต) : ท่านไดอ้ ธิบายวา่ ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลกั ที่แสดงความ จริงไม่เอียงสุดขา้ ใดขา้ งหน่ึงน้นั เรียกวา่ มชั เฌนธรรมเทศนา เป็ น ความเห็นที่ถูกตอ้ ง เรียกวา่ เป็นสัมมาทิฏฐิ๒๑๗ โดยจาแนกลทั ธิและ ทฤษฎีท่ีเอียงสุดมาแสดงเปรียบเทียบ ๔ คู่ คือ คูท่ ่ี ๑ อตั ถิกวาทะ ลทั ธิวา่ สิ่งท้งั หลายมีอยจู่ ริง กบั นตั ถิ กวาทะ ลทั ธิวา่ ส่ิงท้งั หลายไมม่ ีจริง คู่ที่ ๒ สัสสตวาทะ ลทั ธิถือวา่ เที่ยง กบั อุจเฉทวาทะ ลทั ธิถือวา่ ขาดสูญ คู่ที่ ๓ อตั ตการวาทะ ลทั ธิที่ถือวา่ สุขทุกขเ์ ป็นตน้ ตน ทาเอง กบั ปรการวาทะ ลทั ธิท่ีถือวา่ สุขทุกขเ์ ป็นตน้ เกิดจากตวั การ ภายนอก คูท่ ่ี ๔ การกเวทกาทิเอกตั ตวาท การถือวา่ ผทู้ าและผู้ เสวยผลเป็นตน้ เป็นตวั การเดียวกนั กบั การกเวทกาทินานตั ตวาท การถือวา่ ผทู้ าและผเู้ สวยผลเป็นตน้ เป็นคนละอยา่ งขาดจากกนั ซ่ึง ๒๑๗ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๒๙-๑๓๐.

~ ๘๔ ~ คู่ที่ ๔ น้ีเป็นศพั ทท์ ี่ผกู ข้ึนมาใชใ้ หม่ เป็ นรูปหน่ึงของสสั สตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิตามลาดบั ๒๑๘ การนาเสนอเพื่ออธิบายให้เกิดความความเข้าใจใน หลกั ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนาน้นั ท่านแสดง ด้วยการนาพุทธพจน์ท่ีตรัสในกรณีต่างๆดังท่ีกล่าวมาท้งั ๔ คู่ เปรียบเทียบเพ่ือแสดงใหเ้ ห็นถึงความชดั เจน และสรุปใหเ้ ขา้ ใจถึง หลกั ปฏิจจสมุปบาทวา่ แสดงให้เห็นถึงความจริงของธรรมชาติว่า ส่ิงท้ังหลายมีลักษณะเป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็ นไปตาม กระบวนการแห่งเหตุปัจจยั ผูท้ ่ีเขา้ ใจหลกั ปฏิจจสมุปบาทยอ่ มพน้ จากความเขา้ ใจท่ีผดิ พลาดในแบบตา่ งๆดงั ที่แสดงมา๒๑๙ ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสังคมตามแนวคิดท่านเจ้า คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ท่านช้ีแจงในเบ้ืองตน้ วา่ ในหนงั สือพุทธธรรมน้นั ท่าน เน้นอธิบายถึงปัจจยาการภายในจิตใจของบุคคลเป็ นหลกั สาคญั และกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสงั คมไวเ้ พียง เล็กนอ้ ยเท่าน้นั ซ่ึงพระสูตรที่สาคญั มาก และเป็ นสูตรใหญ่ที่สุดท่ี ๒๑๘ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๓๓. ๒๑๙ ดูรายละเอียดใน เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๓๐-๑๓๖.

~ ๘๕ ~ แสดงถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมนุษย์ หรือในทางสังคม คือ มหา นิทานสูตร ทา่ นกล่าววา่ ปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกขห์ รือความชวั่ ร้าย ทางสังคม เริ่มแยกออกแสดงอาการท่ีเป็ นไปภายนอกต่อแต่ตณั หา เป็นตน้ ไป โดยท่านแสดงกระบวนธรรมแยกเป็น ๒ สาย ดงั น้ี อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นาม- รูป สฬายตนะ ผสั สะ อปุ าทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ฯลฯ = ทุกขข์ องชีวติ เวทนา ตณั หา ปริเยสนา ลาภะ วนิ ิจฉยั ฉนั ทราคะ อชั โฌสาน ปริคคหะ มัจฉริยะ อารักขะ การทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาท ส่อเสียด มสุ าวาท ฯลฯ = ทุกขข์ องสงั คม

~ ๘๖ ~ นอกจากน้ียงั มีสูตรท่ีกล่าวใกลเ้ คียงกนั คือ กลหวิวาท สูตร๒๒๐ ส่วนในอคั คญั ญสูตร จกั กวตั ติสูตร และวาเสฏฐสูตร น้นั กล่าวถึงสภาพแวดลอ้ มทางสังคมที่เกี่ยวขอ้ งกบั กิเลสภายใน จิตใจของมนุษย์ ท่านได้ให้ข้อสังเกตในการศึกษาประเด็น ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสงั คมไว้ ๒ ประการคือ ๑.การเขา้ ใจความหมายของความเป็ นปัจจยาการเป็ น สิ่งสาคญั เพื่อการทาลายวงจรปฏิจจสมุปบาท เช่น เพราะเวทนา เป็ นปัจจยั จึงมีตณั หา จุดที่เป็ นช่วงตอนสาคญั ในการตดั วฏั ฏะให้ ขาดตอนคือ การกล่าวถึงการเสวยเวทนาโดยไม่ให้เกิดตณั หา ซ่ึง อาศยั สติสัมปชญั ญะ และยอ่ มมีผลสืบเน่ืองออกมาทางพฤติกรรม ของมนุษย์ และววิ ฒั นาการของสังคม ๒. การเขา้ ใจว่ามนุษยแ์ ละสังคมเป็ นกระบวนธรรม แห่งการอาศยั ซ่ึงกนั และกนั มนุษยไ์ มใ่ ช่ผกู้ าหนดสภาพสังคมฝ่ าย เดียว และสภาพสังคมไม่ใช่ผูก้ าหนดมนุษยฝ์ ่ ายเดียวเช่นกนั แต่ การแสดงออกและการเป็ นไปต่างๆในสังคมมนุษย์ เช่น เรื่องช้นั วรรณะ เป็ นตน้ เป็ นผลแห่งความสัมพนั ธ์ต่อการกระทาต่อกัน ๒๒๐ ดูรายละเอียดใน ข.ุ สุ. (ไทย) ๒๕/๘๖๙-๘๘๔/๗๐๘- ๗๑๓.

~ ๘๗ ~ ของมนุษย์ เริ่มต้งั แตอ่ งคป์ ระกอบภายในจิตใจออกมาสู่สังคมและ สภาพแวดลอ้ ม๒๒๑ ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้รวบรวม หลกั ฐานในพระไตรปิ ฎกท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ปัจจยาการทางสังคมไว้ ให้เป็ นหมวดหมู่ ซ่ึงในประเด็นน้ีในพระคัมภีร์กล่าวถึงอย่าง กระจดั กระจาย ไมไ่ ดร้ วบรวมเป็นหมวดหมูเ่ ดียวกนั การอธิบายขยายความน้นั ไม่มีความแตกต่างจากพระ คมั ภีร์ สาหรับการแสดงธรรมปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการ ทางสังคม พระพุทธองค์ทรงเน้นที่การเกิดและดบั ทุกข์ซ่ึงเป็ น กระบวนการภายในทางจิตใจมากกว่าท่ีจะเนน้ ในเรื่องทางสังคม และเพียงช้ีให้เห็นภาพรวมกวา้ งๆของการเกิดปัญหาต่างๆทาง สังคมท่ีเกิดจากกลไกภายในจิตใจมากกวา่ ซ่ึงท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ กก็ ล่าวเช่นน้นั ดว้ ย ๒๒๑ ท่านเจา้ คุณสมเดจ็ ฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๑๓๘-๑๓๙.

~ ๘๘ ~ ปฏจิ จสมุปบาทในฐานะนิยาม ๕ ตามแนวคิดท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ ไดอ้ ธิบายปฏิจจสมุบาทในฐานะ นิยาม ๕ไวว้ ่า เป็ นการอธิบายกฎธรรมชาติคือ ความเป็ นไปตาม ธรรมดาแห่งเหตุและปัจจัย ซ่ึงจาแนกตามความสัมพันธ์ใน ลกั ษณะต่างๆ การพิจารณาปฏิจจสมุปบาทในแง่ของกระบวนการ ธรรมชาติน้ัน เป็ นการอธิบายตามกฎหรื อสภาวะ ส่วนการ พิจารณาในส่ วนความเป็ นไปของชี วิตสามารถจา แนก กระบวนการปฏิจจสมุปบาทในรูปแบบของวฏั ฏะ คือกิเลส กรรม และวิบาก ซ่ึงลกั ษณะเด่นที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวนั คือส่วนท่ี เรียกวา่ กรรม๒๒๒ ซ่ึงเป็ นเรื่องของการแสดงออกและปรากฏมาใน รูปของกฎแห่งกรรม ซ่ึงการอธิบายเร่ืองกฎแห่งกรรมน้ีสามารถ อธิบายได้ต้งั แต่ระดบั ผิวเผินจนถึงระดับลึกลงไปถึงกระบวน ธรรมภายในจิตใจซ่ึงตอ้ งใชป้ ฏิจจสมุปบาทอธิบายเตม็ รูปแบบ คาอธิบายขยายความของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) : ท่านอ้างถึงอรรถกถาจารยท์ ี่แสดงความเป็ นไปตาม ธรรมดาแห่งเหตุปัจจยั คือกฎธรรมชาติหรือนิยาม ไว้ ๕ อยา่ งคือ ๒๒๒ ดูรายละเอียดใน เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๕๑.

~ ๘๙ ~ ๑. อุ ตุ นิ ย าม อธิ บาย ถึ งก ฎธ รรมชาติ เกี่ ย วกับ ปรากฏการณ์ฝ่ ายวตั ถุ โดยเฉพาะความเป็ นไปของธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม ๒. พีชนิยาม อธิบายถึงกฎธรรมชาติเก่ียวกับการ สืบพนั ธุ์หรือท่ีเรียกวา่ พนั ธุกรรม ๓. จิตตนิยาม อธิบายถึงกฎธรรมชาติเก่ียวกับการ ทางานของจิต ๔. กรรมนิยาม อธิบายถึงกฎธรรมชาติเก่ียวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ คือกระบวนการก่อการกระทา การให้ผล ของการกระทา ๕. ธรรมนิยาม อธิบายถึงกฎธรรมชาติเกี่ยวกับ ความสัมพนั ธ์และอาการท่ีเป็ นเหตุเป็ นผลแก่กนั ของส่ิงท้งั หลาย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ท่ีเรียกกนั วา่ ความเป็ นไปตามธรรมดา๒๒๓ ในนิยามท้งั ๕ น้ี ท่านอธิบายขยายความตามอรรถกถา จารย์ แต่มีขยายความเพิ่มเติมในประเด็นเร่ืองของกรรมนิยาม โดย จาแนกเป็น ๒ ส่วนคือ ๑. กรรมนิยาม เป็นกฎธรรมชาติท่ีเก่ียวขอ้ ง กบั การกระทาของมนุษย์ และ๒. สังคมนิยมม์ เป็ นกฎของมนุษย์ ซ่ึงมนุษยบ์ ญั ญตั ิข้ึนเอง โดยมีความเก่ียวขอ้ งกบั กรรมนิยามในแง่ วา่ เป็ นส่ิงหน่ึงที่เก่ียวขอ้ งกบั การกระทาหรือกรรมของมนุษย์ ซ่ึง ๒๒๓ ดูรายละเอียดใน เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๕๒-๑๕๓.

~ ๙๐ ~ ท่านกล่าวว่าแตกต่างจากกรรมนิยามตรงที่ กรรมนิยามเป็ นกฎ ธ ร ร ม ช า ติ ท่ี ม นุ ษ ย์ต้อ ง รั บ ผิ ด ช อ บ ผ ล ข อ ง ก า ร ก ร ะ ท า ต า ม กระบวนการของธรรมชาติ แต่สังคมนิยมม์น้ันมนุษย์ต้อง รับผดิ ชอบผลของการกระทาตามกระบวนการที่มนุษยจ์ ดั วางข้ึน เอง๒๒๔ และอีกประเด็นหน่ึงคือเร่ืองของธรรมนิยาม ซ่ึงมีการ อธิบายขยายความบางประการ กล่าวคือ ท่านอธิบายในลกั ษณะ ของความสัมพนั ธ์ท่ีเป็นเหตุและผลของธรรมชาติ ในขณะท่ีอรรถ กถาอธิบายถึงปรากฏการณ์พิเศษของธรรมชาติวา่ เป็ นกฎธรรมดา ของการเกิดข้ึนของพระโพธิสัตวท์ ่ีพระพุทธเจา้ แสดงไวว้ า่ “ความ เป็ นไปแห่งความหวนั่ ไหวในหมื่นโลกธาตุ ในการเสด็จลงสู่พระ ครรภพ์ ระมารดาของพระโพธิสตั วท์ ้งั หลาย น้ีช่ือธรรมนิยาม”๒๒๕ พฒั นาการปฏิจจสมุปบาทผ่านการนาเสนอของท่านเจ้าคุณสมเด็จ ฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) หลกั คาสอนปฏิจจสมุปบาทน้นั เป็นหลกั ธรรมที่สาคญั ในพระพุทธศาสนา รวมท้งั มีเน้ือหาที่ลึกซ้ึงยากต่อการทาความ ๒๒๔ ดูรายละเอียดใน เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๕๔-๑๕๖. ๒๒๕ ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/๑๐๑.

~ ๙๑ ~ เขา้ ใจสาหรับพุทธศาสนิกชนผเู้ ป็ นเวไนยบุคคลทวั่ ไป การอธิบาย ความหมายหลกั คาสอนปฏิจจสมุปบาทท่ีปรากฏในพระไตรปิ ฎก น้นั พระพุทธองคท์ รงมุ่งเน้นแสดงกระบวนการเกิดและดบั แห่ง ความทุกข์ ซ่ึงวิธีการแสดงกระบวนการปฏิจจสมุปบาทปรากฏ หลายรูปแบบข้ึนอยกู่ บั พุทธประสงคใ์ นการแสดงธรรม ซ่ึงต่อมา ในสัมโมหสวิโนทนี และคมั ภีร์วิสุทธิมรรคไดร้ วบรวมและสรุป ไวเ้ ป็ น ๔ นยั โดยช้ีแจงวา่ ข้ึนอยกู่ บั อธั ยาศยั ของเวไนยสัตว์ อีกท้งั การนาเสนอหลกั ธรรมปฏิจจสมุปบาทในพระไตรปิ ฎกและพระ คมั ภีร์ต่างๆท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนาน้นั มีการใชภ้ าษาตามยุค สมยั ในกาลก่อน จึงทาให้พุทธศาสนิกชนในยุคปัจจุบนั ทาความ เขา้ ใจไดย้ ากยง่ิ ข้ึน ต่อมาในยคุ ปัจจุบนั ทา่ นเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ไดน้ าเสนอและอธิบายหลกั ธรรมปฏิจจสมุปบาทไวใ้ นหนังสือ พุทธธรรมซ่ึงเป็ นผลงานที่ทรงคุณค่ามากในพระพุทธศาสนายุค ปัจจุบนั ซ่ึงผเู้ ขียนมีความเห็นวา่ ผลงานของท่านน้นั มีความลุ่มลึก ทางดา้ นเน้ือหา แต่ขณะเดียวกนั ก็สามารถอ่านเขา้ ใจไดไ้ ม่ยากนกั เนื่องจากภาษาที่ท่านใชน้ ้นั เหมาะกบั ยคุ สมยั และบริบททางสังคม ปัจจุบนั ในด้านการนาเสนอหลกั ปฏิจจสมุปบาทตามแนวคิด ของท่านเจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) น้นั ท่านใช้วิธีการแสดง

~ ๙๒ ~ พุทธพจน์จากพระไตรปิ ฎกเป็ นหลกั สาคญั เพียงแต่ท่านแยกเป็ น ประเด็นใหเ้ ห็นวา่ หลกั ฐานจากพระไตรปิ ฎก เช่น ในโลกสูตร ซ่ึง กล่าวถึงการเกิดข้ึนและดับไปของโลกน้ัน มักมีผูต้ ีความให้ ผิดพลาดไปจากพุทธประสงค์ ท่านจึงนาเสนอดว้ ยการเน้นย้าว่า ในองคป์ ระกอบ ๑๒ ประการน้นั อวชิ ชาไม่ใช่มูลการณ์ และพทุ ธ ประสงค์ท่ีแทจ้ ริงคือการแสดงกระบวนการเกิดข้ึนและดบั แห่ง ความทุกข์ ไม่ได้มุ่งเน้นท่ีการเกิดข้ึนและดับไปของโลกตาม ทศั นะของผศู้ ึกษาในเชิงจกั รวาลวทิ ยา การอธิบายหลกั คาสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทของท่าน เจา้ คุณสมเด็จฯ (ป.อ. ปยุตฺโต) น้นั เน้นให้เขา้ ใจหลกั คาสอนตาม พระคมั ภีร์ก่อนเป็ นเบ้ืองตน้ ดงั ท่ีท่านกล่าววา่ “ควรทาความเขา้ ใจ ความหมายตามแบบ”๒๒๖ ที่ท่านไดก้ ล่าวมาในเบ้ืองตน้ ก่อนที่จะ ศึกษาเน้ือหาหลักคาสอนที่ท่านได้อธิบายเชิงประยุกต์ต่อไป เนื่องจากคาอธิบายตามแบบมีความละเอียดลึกซ้ึงและพิศดาร เป็ น เรื่องทางวิชาการที่ต้องอาศยั พ้ืนความรู้ทางด้านพุทธธรรมมาก รวมท้งั คาอธิบายตามแบบที่ปรากฎในพระคมั ภีร์อรรถกถาต่างๆ น้นั มุ่งแสดงในแง่สังสารวฏั คือ การเวียนวา่ ยตายเกิด ขา้ มภพขา้ ม ชาติ ให้เห็นความต่อเน่ืองของชีวิต ๓ ชาติ คือ อดีต ปัจจุบนั และ ๒๒๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) , พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๐๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook