Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ โดย ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช จัดทำ E-BOOK :ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ โดย ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช จัดทำ E-BOOK :ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

Description: เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่
โดย ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช
จัดทำ E-BOOK :ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

Search

Read the Text Version

ความส�ำเร็จของ PCIT อยู่ที่การทบทวนชุดทักษะส�ำคัญของแม่ (หรือพ่อ) ในการสื่อสารกับลูก และมีการฝึกและแก้ไขถ้อยค�ำ และ เสียงพูดในช่วงเวลาฝึก รวมทั้งฝึกฟัง และสังเกตพฤติกรรมของลูกด้วย เขาพบว่า มี ๒ ปัจจัยส�ำคัญที่ช่วยให้การแก้ไขพฤติกรรมของเด็ก ได้ผลดีคือ (๑) แม่ (หรือพ่อ) เน้นปฏิสัมพันธ์เชิงบวก โดยแสดง ท่าทีกระตอื รือร้นตอ่ ส่ิงทเ่ี ด็กกำ� ลงั ทำ� (๒) สนองตอบหรอื มปี ฏกิ ริ ยิ า (เชิงบวก) ต่อสิ่งท่ีเด็กท�ำ ในรูปแบบเดียวกันอย่างสม่�ำเสมอ ในภาษาของคนไทยท่ัวไปคือ พ่อแม่ต้องไม่มีพฤติกรรมแบบผีเข้าผีออก ซงึ่ จะทำ� ใหเ้ ด็กสับสน เล้ียงลกู ย่งิ ใหญ่ 99

ปกปอ้ งเดก็ บางครั้งความผิดปกติในพฤติกรรมของเด็กไม่ใช่ตัวปฐมเหตุ ตน้ เหตคุ อื พอ่ แม่ คอื ความผดิ ปกตขิ องลกู มาจากพฤตกิ รรมของพอ่ แม่ ลกู เกดิ บาดแผลทางใจจากการกระทำ� ของพอ่ แม่ ในสหรฐั อเมรกิ ามกี าร วิจัยด้านการทารุณกรรมต่อเด็ก และมีการช่วยเหลือเด็กเหล่าน้ีมานาน หลายสิบปี เร่มิ จากการฝกึ อบรมพ่อแมเ่ ปน็ กลุ่ม และพบว่าไม่คอ่ ยได้ผล ตอ่ มาพบวา่ การสอนหลกั การเลย้ี งเดก็ หรอื วิธีมีปฏสิ ัมพันธก์ ับเดก็ ให้แก่พ่อแม่ตัวการเหล่านี้ ไม่ค่อยได้ผล ต้องฝึกทักษะด้วย PCIT จึงจะ ได้ผล และต่อมาพบวา่ หากใช้ ๒ มาตรการประกอบกนั คือ PCIT ควบกับ การสนทนาสร้างแรงจูงใจ (Motivational Interview) แก่แม่ (หรือพ่อ) จะไดผ้ ลดกี วา่ ใช้ PCIT อยา่ งเดยี วมาก คือแม่ (หรือพ่อ) ที่โดนข้อหาทารุณลูก และทางการส่งไปเยียวยา จะไปอยา่ งไมเ่ ตม็ ใจ เจอื ความรู้สึกปฏิเสธการถูกบงั คบั การสนทนาสรา้ ง แรงจูงใจจะช่วยให้แม่ (หรือพ่อ) พาลูกไปฝึก PCIT เพื่ออนาคตของลูก ท่ีตนรัก ไม่ใชไ่ ปเพราะถูกบังคับ เยียวยาพฤตกิ รรมกา้ วรา้ วจากการบาดเจ็บทส่ี มอง ไดก้ ล่าวในตอนตน้ วา่ PCIT ใชไ้ ด้ผลในเดก็ อายุ ๒ - ๗ ปี แตเ่ รม่ิ มี รายงานว่า มเี ดก็ อายุ ๑๑ ปีเดิมมีพฤตกิ รรมปกติ แตห่ ลงั จากเกิดอุบัตเิ หตุ สมองไดร้ บั บาดเจบ็ จากกระสนุ ปนื เดก็ มพี ฤตกิ รรมกา้ วรา้ ว หลงั บำ� บดั ดว้ ย PCIT ความกา้ วร้าวและต่อตา้ นพ่อแมล่ ดลงมาก 100 เลย้ี งลูกย่ิงใหญ่

ฝกึ พอ่ แม่ให้เลยี้ งลูกเก่งขึ้น นี่คอื การใช้ PCIT ฝกึ แม่ (หรอื พอ่ ) ทอี่ าจมวี ธิ ีเล้ียงลกู ผิดๆ ให้เลย้ี ง ลูกโดยท�ำเป็นไม่เอาใจใส่ พฤติกรรมไม่ดี ชมพฤติกรรมดี บอกเด็กว่า ควรท�ำอะไร ไมใ่ ชห่ ้ามท�ำอะไร และใชค้ ำ� พูดแบบคำ� สง่ั ตรงๆ ไม่ใช่ขอร้อง หรอื ข้อแนะนำ� ใหท้ ำ� โดยผลวิจยั ในแม่ (หรือพอ่ ) ทม่ี ีวิธปี ฏิบตั ิต่อลกู ผิดๆ ท่ีไปเข้าฝึก PCIT สองคร้ัง สี่คร้ัง และแค่ให้อ่านวิธีการ ก็ได้ผลเปล่ียน พฤตกิ รรมเดก็ เชน่ เดียวกัน ผมเอาชอื่ บทความตอนน้ี คอื Oh, Behave! ค้นโดยกูเกิ้ล ผลท่ไี ด้ ทำ� ใหผ้ มคดิ ถึงวิธฝี กึ สัตว์ เช่น สุนัข มา้ ก็ใชห้ ลกั การคลา้ ยๆ กนั กบั PCIT ซ่ึงต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ที่ส�ำคัญ ต้องใช้วิธีการที่ถูกต้อง เพ่ือส่ือสารต่อสมองของผู้ถูกฝึกโดยตรง ว่าเมื่อมีการสื่อสารหน่ึงมาจาก ผู้ฝึก พฤติกรรมใดที่จะได้รับการตอบสนองเชิงบวก ท�ำซ้�ำๆ ก็จะจารึก เขา้ ในสมอง สรุป วิธีเล้ียงลูกให้มีพฤติกรรมดี ให้ท�ำเป็นไม่เอาใจใส่ พฤตกิ รรมไมด่ ี ชมพฤตกิ รรมดี บอกเดก็ วา่ ควรทำ� อะไร ไมใ่ ชห่ า้ มทำ� อะไร และใช้ค�ำพูดแบบค�ำส่ังตรงๆ ด้วยเสียงปกติ ไม่ใช่ขอร้อง หรอื ขอ้ แนะนำ� ใหท้ �ำ เลย้ี งลกู ย่ิงใหญ่ 101

๑๑ เชดว่ ก็ยเอหลออื ทสิ ติก 102 เลี้ยงลูกยงิ่ ใหญ่

ออทสิ ซมึ่ เป็นกลุม่ โรค ไม่ใช่โรคเดยี ว หรอื ไม่ใช่สาเหตเุ ดียว ลกั ษณะของโรคคอื มคี วามผิดปกตดิ ้านอารมณ์ ทอ่ี ารมณ์เปลี่ยนแปลงงา่ ย ขโ้ี มโห พฒั นาการดา้ นภาษาช้าหรอื ไม่กา้ วหนา้ มปี ัญหาด้านสังคม และแสดงทา่ ทางซำ�้ ๆ… การวจิ ยั ทำ� ความเข้าใจทางชวี วิทยาของออทสิ ซม่ึ อาจนำ� ไปสกู่ ารวนิ จิ ฉัยตอนเป็นเด็กเลก็ การรกั ษาดว้ ยยา และการบำ� บัดเชิงพฤตกิ รรม เลี้ยงลกู ยิ่งใหญ่ 103

ช่วยเหลือเด็กออทิสติก ตีความจากบทความช่ือ Help for the Child with Autism โดย Nicholas Lange ผู้อ�ำนวยการ Neurostatistics Laboratory โรงพยาบาล McLean และเป็น รองศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์และชีวสถิติมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ Christopher J. McDougle ผู้อ�ำนวยการ Lurie Center for Autism, Massachusetts General Hospital for Children สรุปได้ว่า ช่วยได้ ๓ ทางคือเยียวยาด้วย (๑) การฝึกเด็ก (๒) ยาหรือฮอร์โมน (๓) การวจิ ยั หาสาเหตุ ผเู้ ขยี นสรปุ ขอ้ เรยี นรู้๓ ประเดน็ คอื (๑) เดก็ ทไ่ี มส่ ามารถมปี ฏสิ มั พนั ธ์ กับพ่อแม่ พี่น้อง และเด็กอ่ืนๆ น�ำไปสู่การวินิจฉัยว่าเป็นออทิสซึ่มเมื่อ อายุประมาณ ๒ ขวบ (๒) อาจช่วยเหลือได้โดยเริ่มต้นการบ�ำบัดที่ช่วย พัฒนาการสื่อสารทางสังคมให้เร็วที่สุด อาจน�ำไปสู่การเข้าโรงเรียนตาม ปกติ และสามารถสื่อสารกับเพ่ือนๆ และคนในครอบครัวได้ (๓) การวิจัย ทำ� ความเขา้ ใจทางชวี วทิ ยาของออทสิ ซมึ่ อาจนำ� ไปสกู่ ารวนิ จิ ฉยั ตอนเปน็ เดก็ เล็ก การรักษาด้วยยา และการบ�ำบัดเชงิ พฤติกรรม เพอื่ พัฒนาทักษะ การสอ่ื สารเชงิ สงั คม ผู้เขียนเร่ิมต้นบทความ ด้วยการเล่าเรื่องชีวิตของเด็กออทิสติก คนหนึ่งที่พ่อแม่สงสัยว่าลูกของตนไม่ปกติ เม่ืออายุ ๑๔ เดือน เม่ือเห็น ว่าลูกไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากรถเด็กเล่น และไปขอความช่วยเหลือ จนในท่ีสุดก็สรุปได้แน่นอน เมื่ออายุ ๒๒ เดือน ว่าลูกมีความผิดปกติ ในกลุ่มออทิสซึ่ม (Autism Spectrum Disorder) เร่ืองราวในชีวิต ของพ่อแม่ในช่วงน้ี ตระหนกและเป็นทุกข์มาก เน่ืองจากพ่อแม่คู่น้ีมี การศึกษาสูงและช่างสังเกต จึงได้รายละเอียดพฤติกรรมของเด็กมาก แต่ผมจะไม่น�ำมาเล่า 104 เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่

อัตราการเกิดออทิสซ่ึมเพิ่มขึ้น เช่นสถิติในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ เท่ากับหน่งึ ใน ๘๘ และในปี ค.ศ. ๒๐๑๔ เท่ากบั หนึ่งใน ๖๖ เพมิ่ ขึ้นร้อยละ ๓๐ ในประเทศไทยก็มีหมอบอกผมว่าเพิ่มข้ึนอย่างน่าตกใจ แต่สาเหตุของการเพ่ิมส่วนหน่ึงเพราะการวินิจฉัยโรคดีข้ึน แต่ก็ยังเช่ือ ไดว้ ่าอัตราการเกิดออทิสซึ่มเพิ่มขึ้น โดยยงั ไม่รู้สาเหตุทช่ี ัดเจน ผลการวิจยั บอกวา่ ออทิสซม่ึ เป็นกลมุ่ โรค ไมใ่ ชโ่ รคเดยี ว หรือไมใ่ ช่ สาเหตุเดียว ลักษณะของโรคคือ มีความผิดปกติด้านอารมณ์ ท่ีอารมณ์ เปลยี่ นแปลงงา่ ย ขโ้ี มโห พฒั นาการดา้ นภาษาชา้ หรอื ไมก่ า้ วหนา้ มปี ญั หา ด้านสงั คม และแสดงทา่ ทางซ�้ำๆ เลี้ยงลกู ยง่ิ ใหญ่ 105

ยงิ่ แก้ไขเร็วโอกาสหายยง่ิ สงู การรกั ษาโรคออทสิ ซ่มึ มี ๔ แนวทาง ได้แก่ ๑. พฤตกิ รรมบำ� บัด (Behavioral Therapy) เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน วิธีการมีหลายส�ำนักที่กล่าวถึง โดยละเอียดในบทความคือวิธี EDSM (Early Start Denver Model) (https://www.autismspeaks.org/what-autism/treatment/early- start-denver-model-esdm) เพ่ือฝึกทักษะด้านการรับรู้ ภาษา ทักษะ ด้านสังคม และฝึกให้สามารถพุ่งความสนใจไปท่ีเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ยิ่ง เรม่ิ เร็วย่งิ ได้ผลดี หวงั ให้เดก็ เข้าใจปัจจยั ด้านสงั คม ไดแ้ ก่ การแสดงออก ทางสีหน้าท่าทางและค�ำพูด ผลการฝึกเปรียบเทียบกับวิธีการอ่ืนพบว่า EDSM ให้ผลเหนือกว่า และเมื่อถ่ายภาพการท�ำงานของสมอง ก็พบว่า สมองมีการเปล่ียนแปลงดีข้ึนตามท่ีต้องการ และคลื่นไฟฟ้าสมองก็ เปลี่ยนแปลงไปในทางดีข้ึน ผมไม่ได้น�ำเอารายละเอียดมาเล่าในที่น้ี เขาย�้ำวา่ ย่ิงใชเ้ วลาฝกึ มาก ยงิ่ ไดผ้ ลด ี ๒. รักษาดว้ ยยา ยาท่มี คี วามหวงั กนั มากเปน็ ฮอร์โมน ชอื่ ออกซิโทซนิ (Oxytocin) ซึ่งรู้จักกันในฐานะฮอร์โมนของการตั้งครรภ์และการคลอด แต่ในผู้ชายก็ มีฮอร์โมนน้ี และมีหลักฐานว่าเป็นสารเคมีท่ีสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ทารกกับแม่ และสร้างความไว้เน้ือเช่ือใจระหว่างเพ่ือน มีผู้เรียกว่าเป็น สารเคมีแห่งการกอดรัด หรอื ฮอรโ์ มนแห่งความไว้เนอ้ื เชอ่ื ใจ มีผลการวิจัยบอกว่าในสมองของเด็กเป็นออทิสซ่ึม มีตัวจับ ออกซโิ ทซิน (Oxytocin Receptor) น้อยกว่าปกติ ตอนน้กี �ำลังมีโครงการ วิจัยขนาดใหญ่ ทดลองผลของการพ่นออกซิโทซินเข้าจมูกในเด็กท่ีเป็น ออทิสซมึ่ 106 เลี้ยงลกู ย่ิงใหญ่

๓. รกั ษาดว้ ยเซลล์ต้นก�ำเนดิ เปน็ วธิ กี ารทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งการวจิ ยั เปน็ ขน้ั ตอนสกู่ ารรกั ษามากกวา่ ใช้ เซลล์ต้นก�ำเนิดเป็นตัวรักษา โดยใช้เซลล์ต้นก�ำเนิดของผู้ป่วยเอามา เพาะเล้ียง และทดสอบยาหรือวิธีบ�ำบัดกับเซลล์ท่ีเพาะเล้ียงนั้น เพ่ือดูว่า น่าจะได้ผลต่อผปู้ ่วยรายนั้นหรอื ไม ่ ๔. เปลี่ยนแปลงยนี ด้วยวิธีที่เรียกว่า Genetic Editing Method ก็ยิ่งเป็นวิธีรักษา แห่งอนาคต ก�ำลังมีการวิจัยโดยเอาเซลล์ของผู้ป่วยไปเลี้ยงให้กลายเป็น สเต็มเซลล์ แล้วเปลี่ยนแปลงยีนที่ผิดปกติให้กลายเป็นยีนปกติ แล้ว แปลงให้เป็นเซลล์สมอง ใส่กลับเข้าไปในร่างกาย ให้เข้าไปเจริญเติบโต ขยายจ�ำนวนแทนที่เซลล์สมองเดิม หรือช่วยปล่อยสารเคมีที่ผู้ป่วยพร่อง ลดความผิดปกติทางเคมีในสมองของผู้ป่วย ช่วยให้การรักษาด้วยวิธีอ่ืน ไดผ้ ลดขี นึ้ ฟงั คล้ายหนังไซไฟ บทความถงึ กบั ตงั้ ความหวงั วา่ ในอนาคตจะสามารถแกไ้ ขโรค ออทิสซม่ึ ให้หายขาดได้ * บทความ Help for the Child with Autism โดย Nicholas Lange และ Christopher J. McDougle ท่ีมา (http://www.nature.com/scientificamerican/journal/v309/n4/full/ scientificamerican1013-72.html?WT.ec_id=SCIENTIFICAMERICAN-201310) เลยี้ งลกู ยิง่ ใหญ่ 107

๑๒ แก้โรควติ กกงั วล Å¿Ô ·ì 12 108 เลี้ยงลกู ยง่ิ ใหญ่

CBT (Cognitive Behavioral Therapy) วธิ รี กั ษาทช่ี ่วยใหผ้ ปู้ ่วยเข้าใจความคดิ หรือความรูส้ กึ ทก่ี อ่ ผลลบ และเปลยี่ นพฤตกิ รรม เพอื่ ลดความคิดลบ โดยใหผ้ ู้ปว่ ยเผชิญความกลวั แทนที่จะหลบเล่ียง หรือหลกี หนี เล้ยี งลกู ยิ่งใหญ่ 109

แก้โรควติ กกังวล ตีความจากบทความชื่อ Fear Not, Child โดย Jerry Bubrick ผู้อ�ำนวยการศูนย์ Anxiety and Mood Disorder สังกัดสถาบัน Child Mind Institute ณ มหานครนิวยอร์ก บอกว่า ทฤษฎีด้านสาเหตุและวิธีรักษาโรคนี้มีหลายส�ำนัก ผู้เขียนอยู่ในส�ำนัก CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ท�ำให้ผมนึกถึงศาสตราจารย์ Aaron Beck ผู้ได้รับพระราชทาน รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากผลงานการพัฒนาวิธี รักษาโรคซึมเศร้าด้วย CBT (https://www.youtube.com/watch?v=fb- 8Fear Not, Child PkSX5dH4) ผู้เขยี นสรปุ ประเดน็ สำ� คญั ๓ ประเด็นคือ ๑. ในสหรฐั อเมริกา มเี ด็ก ๑.๘ ล้านคนเป็นโรควติ กกังวลในระดับมี อาการ ๒. CBT (Cognitive Behavioral Therapy) เป็นวธิ รี ักษาท่ชี ่วยใหผ้ ู้ ปว่ ยเข้าใจความคิด หรือความรสู้ ึกที่ก่อผลลบ และเปล่ยี นพฤตกิ รรมเพื่อ ลดความคดิ ลบดังกล่าว ๓. CBT ใช้หลักการฝึกเผชิญ และฝึกสนองตอบสถานการณ์ โดย ผู้บำ� บดั ช่วยให้ผปู้ ่วยเผชญิ ความกลวั แทนท่จี ะหลบเล่ียง หรอื หลกี หน ี เช่นเดียวกับบทความก่อนๆ ผู้เขียนเดินเรื่องด้วยกรณีตัวอย่าง เด็กหญิงอายุ ๑๒ ปี สมมติว่าช่ือ จูเลีย ท่ีหลบหน้าหลบตาคน ไม่กล้า ออกจากห้อง ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety) ที่เป็นโรคหน่ึงในกลุ่มอาการวิตกกังวล (Anxiety Syndrome) แลว้ อธบิ ายรายละเอยี ดของสาเหตุ และวธิ บี ำ� บดั ลงทา้ ยดว้ ยความสำ� เรจ็ จูเลียออกสังคมและไปโรงเรียนได้ ท�ำกิจกรรมได้ตามปกติ โดยผู้เขียน บ�ำบดั อาการ หวาดกลัว วิตกกงั วล ด้วย CBT 110 เลี้ยงลกู ยิง่ ใหญ่

แตก่ วา่ พอ่ แมจ่ ะพาจเู ลยี ไปหาผเู้ ขยี นกไ็ ดไ้ ปหานกั บำ� บดั อนื่ มากอ่ น และผลคืออาการของจูเลียยิ่งรุนแรงข้ึน เพราะผู้บ�ำบัดรายนั้นใช้ทฤษฎี และวิธีการแบบเก่าคือให้หลีกเลี่ยงความกลัว หาทางเปล่ียนความคิด ของจูเลียเสียก่อน ซ่ึงยิ่งใช้วิธีนั้น อาการหวาดกลัวปิดตัวเองของจูเลีย กย็ ิง่ รนุ แรง เปลีย่ นความคิดด้วยพฤตกิ รรม CBT (Cognitive Behavioral Therapy) แตกต่างจากวิธีรักษา โรควิตกกังวลท่ีใช้กันท่ัวไป วิธีท่ัวไปเน้นการส่งเสริมให้หลีกเลี่ยง ปัจจัยที่กระตุ้นความวิตกกังวล จนกว่าจะแก้ความเข้าใจผิดได้ แต่ CBT เน้นตรงกันข้าม คือใช้การเปลี่ยนพฤติกรรม ค่อยๆ ออกไป เผชิญส่งิ ที่ผู้ป่วยกลัว เพ่ือใหผ้ ูป้ ว่ ยค่อยๆ เปลี่ยนความคดิ เลย้ี งลูกยงิ่ ใหญ่ 111

ตามประวัติการป่วยของจูเลีย ได้ไปรับการรักษาด้วยวิธีด้ังเดิม ผลคอื อาการยิ่งรุนแรงขนึ้ เมือ่ รกั ษาด้วย CBT อาการจงึ ค่อยๆ ดขี ึ้น และ กลับไปใชช้ วี ิตปกติได้ในทสี่ ุด ผมตีความว่า หลักการของ CBT เป็นเสมือน “หนามยอก เอาหนามบ่ง” คือเอาความกลัวน่ันเอง แก้ความกลัวโดยผู้บ�ำบัดให้ ผู้ป่วยเผชิญความกลัวแบบไม่รุนแรง ให้เห็นว่าไม่ได้เกิดผลร้าย อย่างทกี่ ลัว ท�ำซ้�ำๆ และยกระดบั ส่ิงท่นี ่ากลวั ขึน้ เรือ่ ยๆ กย็ ิ่งยนื ยนั ว่าผลท่ีกังวลว่าจะเกิดไม่เกิดข้ึน จนผู้ป่วยมั่นใจในท่ีสุด ก็หายจาก โรควติ กกังวล ผมตีความเอง (ไม่ทราบว่าผิดหรือถูก) ว่า CBT ช่วยให้ผู้ป่วย เปล่ียนแปลงสมองของตนเองด้วยพฤติกรรมใหม่ เป็นไปตามหลักการ เรียนรู้สมัยใหม่ ว่าพฤตกิ รรมเปลีย่ นโครงสร้างของสมอง วติ กกงั วลแลว้ ก้าวรา้ ว เด็กชายอายุ ๑๐ ขวบ สมมติว่าช่ือ เจมส์ โดนเพื่อนล้อแล้วร้ัง อารมณ์ไม่อยู่ ท�ำร้ายเพื่อนและอาละวาด ขว้างปาข้าวของแม้จะโดน จับไปท่ีห้องครูใหญ่ เป็นอาการของโรควิตกกังวลเชิงสังคม (Social Anxiety) ทไี่ มแ่ สดงออกเปน็ ความกลวั แตแ่ สดงออกไปในทางตรงกนั ขา้ ม คืออาละวาด ควบคมุ อารมณไ์ ม่ได ้ เมื่อพ่อแม่ถามเจมส์ว่าวันน้ีเป็นอย่างไรบ้าง เจมส์ยกมือสองข้าง ปิดหูตนเอง แล้วตอบว่า “ไม่รู้ ไม่ฟัง” คนเป็นโรคน้ีจะมีความกลัวต่อ คำ� พูดเชิงติชม แมแ้ ตค่ �ำแนะน�ำท่สี ร้างสรรคก์ ็ทนไมไ่ ด้ 112 เลีย้ งลกู ย่งิ ใหญ่

ผเู้ ขยี นบอกวา่ ในกรณขี องผปู้ ว่ ยโรควติ กกงั วลทอ่ี าการรนุ แรงอยา่ ง จเู ลียและเจมส์ ตอ้ งเรม่ิ ดว้ ย CBT แบบเขม้ ขน้ (Intensive CBT) ท่ผี ้ปู ว่ ย ได้รับการบ�ำบัดทุกวัน หรือเกือบทุกวัน วันละหลายชั่วโมง เป็นเวลา หนงึ่ หรือหลายสปั ดาห์ ตามด้วย CBT แบบปกติ คอื สปั ดาหล์ ะครั้ง และ กรณีของจูเลีย ได้รับ Family-Focused CBT ด้วย คือสอนพ่อแม่และ คนในครอบครวั ใหร้ ้วู ิธพี ดู คุยกบั ผู้ปว่ ย กย็ ิง่ ช่วยใหก้ ารบ�ำบดั ได้ผลดี การบำ� บดั โรควติ กกงั วล ตอ้ งใชว้ ธิ ฝี กึ ใหเ้ ผชญิ (Exposure Therapy) ไม่ใชว่ ธิ หี ลบหลกี (Avoidance Therapy) รักษาดว้ ยยา บทความบอกวา่ การใชย้ ากใ็ หผ้ ลดี ยาทใ่ี ชเ้ ปน็ ยาลดความซมึ เศรา้ (Antidepressant) ซึ่งอาจใช้โดดๆ หรือร่วมกับ CBT กไ็ ด้ เหมาะกับรายท่ี อาการรุนแรงมาก ถงึ รนุ แรงปานกลาง พอ่ แม่อยา่ แก้ปญั หาแบบซำ้� เติม พ่อแม่เด็กท่ีเป็นโรคน้ีมักแก้ปัญหาแบบปกป้องช่วยเหลือ ให้ หลบหลีกจากสิ่งท่ีเด็กกลัว ซึ่งเท่ากับเป็นการเข้าไปช่วยให้วงจรของโรค ย่ิงเข้มแข็งข้ึน ในบทความน้ีลงค�ำพูดของแม่ ที่พูดว่าตนไม่รู้เลยว่าวิธีที่ ตนพยายามช่วยลกู น้ัน ที่แท้เปน็ การซ�ำ้ เตมิ เลีย้ งลกู ย่ิงใหญ่ 113

๑๓ ช่วยเด็กใบเ้ ฉพาะกิจ อ“ย...าใกคไรด้ ตกุ๊ ตาหมบี า้ ง” “ ทำ� ยงั ไง... หนจู ะยอมพดู กบั เพอื่ นนะ?” 114 เลีย้ งลกู ยิ่งใหญ่

โรคใบ้เฉพาะกิจ มักพบเมื่อเด็กไปโรงเรียน และไม่ยอมพดู ทง้ั ๆ ทต่ี อนอยู่กบั พอ่ แมเ่ ป็นคนชา่ งคุย แตเ่ ม่ือซกั ประวัติใหล้ ะเอียดจะพบว่า เด็กกลุ่มน้หี ย่อนทกั ษะทางสงั คม คือไม่กลา้ เลน่ กับเพ่อื น และมที า่ ทรี ะมัดระวังตัว เล้ยี งลกู ยิ่งใหญ่ 115

ช่วยเด็กใบ้เฉพาะกิจ ตคี วามจากบทความช่ือ Beyond Shyness โดย Claudia Wallis บรรณาธิการบริหารของวารสาร Scientific American Mind โรคนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Selective Mutism อาจแปลว่า เป็นใบ้หรือไม่พูดในบางสถานการณ์ ในที่นี้ผมเรียกสั้นๆ ว่า ใบเ้ ฉพาะกจิ ผู้เขยี นให้ขอ้ สรปุ ๓ ข้อว่า ๑. โรคใบเ้ ฉพาะกจิ ท�ำให้บุคคลมีความกังวลท่ีจะพูดในบางบริบท (มกั เป็นท่โี รงเรียน) พบร้อยละ ๐.๕ - ๐.๘ ในเดก็ เล็ก ๒. มีหลักฐานว่าพันธุกรรมมีส่วนเป็นสาเหตุส�ำคัญ และความผิด ปกติในกลไกการนำ� สัญญาณเสียงจากหูสสู่ มองอาจเก่ียวข้อง ๓. การบ�ำบัดเน้นที่การฝึกเด็กให้พูดในสถานการณ์ที่กดดันเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยๆ เพ่ิมความกดดัน โดยเมื่อพูดได้ดีพอควรก็มีรางวัลให้ ทีส่ ามารถเอาชนะความกลัวได้ เปน็ ความผิดปกติในกลุม่ วิตกกงั วลในเด็ก โรคใบเ้ ฉพาะกจิ น้ี มกี ารจดั ไวอ้ ยา่ งเปน็ ทางการในกลมุ่ โรควติ กกงั วล ในเด็ก (Childhood Anxiety Disorder) เด็กท่ีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคนี้ มักมีโรคร่วมคือ โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) ซึ่งมักเป็นโรค วิตกกงั วลทางสังคม (Social Anxiety Disorder) พ่อแม่และครูมักไม่คิดว่าเด็กเป็นโรค มักคิดว่าเด็กขี้อาย หรือต่ืน สถานที่ 116 เลี้ยงลกู ยิง่ ใหญ่

GFOISLHD ในทางการแพทย์ เด็กมักได้รับการวินิจฉัยผิด ว่าเป็นออทิสซึ่ม มีความผิดปกติในการพูด หรือมีปัญหาด้านภาษา และแพทย์มักไม่รู้ว่า จะบำ� บัดอยา่ งไร เพราะเด็กไมพ่ ดู ด้วย มักพบเมื่อเด็กไปโรงเรียนและพบว่าเด็กไม่ยอมพูด ท้ังๆ ท่ี ตอนอยู่กับพ่อแม่เป็นคนช่างคุย แต่เมื่อซักประวัติให้ละเอียดจะ พบว่าเด็กกลุ่มน้ีหย่อนทักษะทางสังคม คือไม่กล้าเล่นกับเพ่ือน และมีท่าทีระมัดระวังตัว ภาษาทางวิชาการเรียกว่า Behaviorally Inhibited Temperament ซึ่งร้อยละ ๑๕ - ๒๐ ของเด็กจะมีลักษณะนี้ เด็กกลุ่มน้ีมีโอกาสสูงกว่าเด็กท่ีไม่มีลักษณะนี้ท่ีจะเกิดโรควิตกกังวล โดยมโี อกาสสูงข้นึ รอ้ ยละ ๓๐ เลี้ยงลกู ยิ่งใหญ่ 117

สาเหตุ โรคใบ้เฉพาะกิจไม่ทราบสาเหตุแน่นอน แต่ชัดเจนว่าพันธุกรรม มีส่วนส�ำคัญ ผู้เชี่ยวชาญท่านหน่ึงบอกว่าเม่ือพบพ่อแม่ของเด็กที่เป็น โรคนี้ เขาบอกได้ทันทีในร้อยละ ๗๕ ของกรณีว่าพ่อหรือแม่เป็นคนท่ีมี ประวัติคลา้ ยกันตอนเปน็ เด็ก ผลการวิจัยระดับยีน บอกว่าความผิดปกติบางแบบของยีน CNTNAP2 เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคน้ี ยีนนี้เป็นรหัสของโปรตีนที่สร้างใน สมองส่วนนอก และท�ำหน้าท่ีเก่ียวข้องกับการส่ือสารระหว่างเซลล์สมอง (Brain Cell Connectivity) ความผิดปกติของยีนนี้พบในโรคออทิสซึ่ม และความบกพร่องด้านภาษา บ่งช้ีว่ายีนน้ีน่าจะมีส่วนเก่ียวข้องกับความ ผิดปกตดิ า้ นสังคม และด้านการสอื่ สาร การทเี่ ดก็ ไมพ่ ดู ในชนั้ เรยี นมสี าเหตไุ ดม้ ากมาย รวมทง้ั พฒั นาการชา้ ความผดิ ปกติในการเรียน ผิดปกตดิ า้ นการพดู และด้านภาษา และความ ผิดปกติในกระบวนการด�ำเนินการของประสาทความรู้สึก (Sensory Processing) วธิ บี ำ� บัด ย่ิงบำ� บดั เรว็ ยงิ่ ได้ผลดี วธิ ีการท�ำเปน็ การบ�ำบดั กลมุ่ ดว้ ยการ เล่นเกม (เขายกตัวอย่างเกม Go Fish) ทเ่ี ดก็ ผู้เล่นจะตอ้ งออกเสยี งงา่ ยๆ แล้วได้คะแนน เมื่อจบวันเด็กจะได้รับรางวัล หากคะแนนสูงมาก จะได้ รางวลั ใหญ่ หากคะแนนไม่สงู มาก ได้รางวลั ธรรมดา วิธีบ�ำบัดทางจิตวิทยาท�ำโดยพ่อแม่และครู โดยให้ค่อยๆ พูดใน สถานการณ์ท่ีท้าทายเพิ่มข้ึนๆ เป็นวิธีการท่ีพัฒนามาจากวิธีท่ีใช้ได้ผล ในการบ�ำบัดโรควิตกกังวลแบบอื่น และวิธีการบ�ำบัดใบ้เฉพาะกิจ วิธีนี้มี 118 เล้ยี งลูกยงิ่ ใหญ่

ผลการวิจัยว่าได้ผลดี คือหลังจากบ�ำบัดไปได้ ๒๔ สัปดาห์ สองในสาม ของเด็กตรวจไม่พบลักษณะของใบ้เฉพาะกิจอีกต่อไป และสามในสี่มี ผลความก้าวหนา้ เปน็ ทพ่ี อใจ มีรายงานวา่ ในบางรายใชย้ าลดความวติ กกงั วล เชน่ Prozac ชว่ ย ได้ และวธิ บี ำ� บดั แบบ CBT กช็ ว่ ยใหเ้ ดก็ ใชเ้ หตผุ ลในการจดั การความกลวั ของตน ในหลายกรณี การเป็นโรคน้ีคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ คือเป็นมา วูบเดียว เมื่อหายก็ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่เลย เด็กคนน้ันกลายเป็น คนโซเชยี ลสุดๆ GFOISLHD เลีย้ งลกู ย่ิงใหญ่ 119

๑๔ การหย่ารา้ ง มผี ลรา้ ยตอ่ เดก็ หรอื ไม่ 120 เลีย้ งลกู ยิ่งใหญ่

เดก็ จะเตบิ โตอยา่ งสมดลุ หากหลงั การหย่ารา้ งพ่อแมย่ ุติความขดั แยง้ ได้ หรือหาทางไม่ใหเ้ ดก็ เขา้ ไปรบั รเู้ รือ่ งความขดั แย้ง และเดก็ ทอ่ี ยู่ในปกครองของพ่อหรือแม่ท่ีมัน่ คง จะมโี อกาสมีชวี ิตที่ดีในวยั ผู้ใหญ่ เลี้ยงลูกย่งิ ใหญ่ 121

บริบททางสงั คมอเมริกนั กับสังคมไทยแตกต่างกันมาก เด็กไทยมบี ริบทของการไม่ไดอ้ ยู่กับพ่อแม่ ในสดั สว่ นทส่ี ูงมาก อาจจะมีความส�ำคัญย่งิ กวา่ เรือ่ งหยา่ รา้ ง 122 เลี้ยงลกู ยิ่งใหญ่

การหย่าร้างมีผลร้ายต่อเด็กหรือไม่ ตีความจากบทความช่ือ Is Divorce Bad for Children? โดย Hal Arkowitz รองศาสตราจารย์ ดา้ นจติ วทิ ยามหาวทิ ยาลยั อรโิ ซนาและScottO.Lilienfeldศาสตราจารย์ ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเอ็มมอรี ค�ำตอบคือ มีแต่ไม่มาก ส่วนใหญ่ เด็กปรับตัวได้ดี ผมอ่านบทน้ีแล้วบอกตัวเองว่า บริบททางสังคมอเมริกันกับสังคม ไทยแตกตา่ งกนั มาก เดก็ ไทยมบี รบิ ทของการไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั พอ่ แมใ่ นสดั สว่ น ทีส่ งู มาก อาจจะมคี วามสำ� คัญยง่ิ กวา่ เรอ่ื งหย่ารา้ ง ผเู้ ขยี นซงึ่ เปน็ ศาสตราจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั ทงั้ คู่ บอกวา่ คนอเมรกิ นั กงั วลกนั มากว่าการหย่าร้าง จะก่อบาดแผลทางใจให้แก่ลูก จนมีหลายคู่ ที่แม้อยู่ด้วยกันอย่างไร้ความสงบสุข มีความขัดแย้งกันรุนแรง ก็ยอม ทนอยู่ด้วยกันเพื่อลูก และท�ำให้ผมคิดต่อว่า คู่ที่ขัดแย้งกันรุนแรงเวลา ทะเลาะกันน่าจะก่อบาดแผลทางใจแก่ลูกด้วย น่าจะมีการวิจัยเด็ก จากครอบครัวท่ีมีความขัดแย้งสูง เปรียบเทียบเด็กที่พ่อแม่หย่ากัน กับเด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วยกันและทะเลาะกันเรื่อยไป ว่าเติบโตข้ึนมา มีปัญหาทางจิตใจและทางสังคมแตกต่างกันหรือไม่ และเม่ือเทียบ กบั เด็กในครอบครัวที่อบอ่นุ ปรองดองกนั ดี แตกตา่ งกนั อย่างไร ผู้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า เด็กจากครอบครัวหย่าร้างได้รับผลร้าย ในช่วงแรกๆ ได้แก่ วิตกกังวล โกรธ ช็อก และไม่เชื่อ แต่ส่วนใหญ่ ปรับตัวได้ดี ไม่มีปัญหามากอย่างที่มักจะเป็นห่วงกัน โดยการปรับตัว เข้าท่ีเข้าทางในปลายปีท่ีสองหลังการหย่าร้าง มีเพียงส่วนน้อยท่ีผลร้าย เกิดขึ้นต่อเนื่อง เล้ียงลูกยิ่งใหญ่ 123

มีการรวบรวมและวิเคราะห์ผลการวิจัยในระยะยาว เปรียบเทียบ เด็กท่ีพ่อแม่หย่าร้าง ในช่วงอายุต่างๆ กับเด็กในครอบครัวท่ีพ่อแม่อยู่ ร่วมกัน ติดตามไปจนถึงช่วงวัยรุ่น เปรียบเทียบผลการเรียน ปัญหาทาง อารมณแ์ ละพฤตกิ รรม การเป็นเด็กเกเร การมหี ลักการสว่ นตัว และความ สัมพันธ์ทางสังคม ได้ผลว่ามีความแตกต่างน้อยมาก บ่งช้ีว่าเด็กปรับตัว กบั สภาพการหยา่ ร้างของพ่อแมไ่ ด้ด ี แต่ในรายละเอียดมีผลการวิจัยท่ีไม่ตรงกัน มีผลงานวิจัยบอกว่า ความขัดแย้งของพ่อแม่ ท้ังก่อนและหลังการหย่าร้าง สัมพันธ์กับความ ด้อยความสามารถในการปรบั ตวั ในเด็ก และมรี ายงานว่า เดก็ ทรี่ ับรู้ความ ขัดแย้งรุนแรงระหว่างพ่อแม่ก่อนหย่า ปรับตัวได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับรู้ ตคี วามวา่ เด็กทไี่ ม่ได้รบั รคู้ วามขัดแยง้ ของพ่อแม่ ไมไ่ ด้มีโอกาสเตรียมตัว นอกจากน้ัน เด็กในครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรง อาจมองการ หยา่ ร้างเปน็ การส้นิ สดุ ความขดั แยง้ ทรี่ นุ แรง การหยา่ รา้ งอาจตามมาดว้ ยคณุ ภาพของการทำ� หนา้ ทพี่ อ่ แมต่ กตำ�่ พ่อหรือแม่หรือท้ังสองฝ่าย อาจมีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือติดยา เสพตดิ ท�ำใหส้ ามารถแสดงความรักความห่วงใยเด็กไดไ้ ม่ดี ข้อมลู ไม่ตรงกนั ในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ มกี ารตีพมิ พ์หนงั สอื The Unexpected Legacy of Divorce: A ๒๕ Year Landmark Study เสนอกรณีศึกษา บ่งช้ี ว่าผู้ใหญ่ท่ีเคยเป็นเด็กในครอบครัวหย่าร้าง มีชีวิตที่มีปัญหารุนแรง เช่น ภาวะซมึ เศรา้ และปญั หาความสมั พนั ธ์ 124 เลี้ยงลูกยิง่ ใหญ่

แต่ผลของการวิจัยไม่สนับสนุนข้อสรุปข้างต้น และพบว่าเด็กจาก ครอบครัวหย่าร้าง ส่วนใหญ่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ปรับตัวได้ดี ดังตัวอย่าง หนังสือ For Better or For Worse: Divorce Reconsidered ตีพิมพ์ ในปี ๒๐๐๒ เสนอข้อมูลจากการติดตามเด็กเป็นเวลา ๒๕ ปี อัตราการ เกดิ ปญั หาร้ายแรงด้านสงั คม อารมณ์ หรอื จิตใจ ในคนทมี่ พี ่อแมห่ ย่าร้าง เท่ากับร้อยละ ๒๕ ในขณะที่ในคนท่ีพ่อแม่อยู่ด้วยกัน อัตราดังกล่าว เทา่ กบั รอ้ ยละ ๑๐ เขาสรปุ วา่ ความแตกตา่ งกนั รอ้ ยละ ๑๕ ถอื วา่ นอ้ ยมาก และไม่ทราบวา่ เปน็ ผลของการหยา่ ร้าง หรอื เป็นผลของการเลย้ี งดทู ี่ไมด่ ี มีรายงานผลของการรวบรวมผลการวิจัยและสังเคราะห์ ตีพิมพ์ใน ปี ๒๐๐๓ สรุปว่าผู้ใหญ่ที่สมัยเด็กครอบครัวหย่าร้าง มีความสัมพันธ์ท่ี มีปัญหามากกว่าผู้ใหญ่ท่ีมาจากครอบครัวที่ม่ันคง แต่ความแตกต่างนั้น ไม่มาก อย่างไรก็ตาม เด็กจะเติบโตอย่างสมดุล หากหลังการหย่าร้าง พ่อแม่ยุติความขัดแย้งได้ หรือหาทางไม่ให้เด็กเข้าไปรับรู้เรื่อง ความขัดแย้ง และเด็กท่ีอยู่ในปกครองของพ่อหรือแม่ท่ีมั่นคงจะมี โอกาสมีชวี ิตท่ีดีในวยั ผูใ้ หญ่ ปจั จยั ทสี่ ำ� คญั ตอ่ เดก็ อกี อยา่ งหนงึ่ คอื สถานะทางเศรษฐกจิ ทมี่ น่ั คง หลงั การหย่าร้าง และไดร้ บั การสนบั สนนุ ทางสังคมท่ีดจี ากเพ่อื น และจาก ผู้ใหญเ่ ช่นครู ขา่ วดีคือแม้การหยา่ ร้างจะมผี ลร้ายตอ่ เดก็ ในชว่ งแรก แตเ่ ด็ก สว่ นใหญป่ รบั ตัวไดด้ ี เล้ียงลกู ยงิ่ ใหญ่ 125

๑๕ สมองวัยรนุ่ อนั สุดวเิ ศษ 126 เลีย้ งลกู ยิง่ ใหญ่

สมองวัยรุ่นมีคณุ สมบตั เิ ปล่ยี นแปลง การเชือ่ มตอ่ ใยประสาทสมองได้ดีทส่ี ุด ดีกวา่ ทุกช่วงอายุ คณุ สมบัตนิ ้ภี าษาวทิ ยาศาสตร์ทางสมองเรยี กวา่ Plasticity การเปลยี่ นแปลงนเ้ี ป็นไปตามการกระตนุ้ จากสภาพแวดล้อมภายนอก เพือ่ ปรบั ตัวมนุษยค์ นน้ันๆ เตรียมด�ำรงชวี ิตที่ดีในสภาพแวดล้อมแบบน้นั เลย้ี งลูกย่งิ ใหญ่ 127

สมองวยั รนุ่ อันสุดวิเศษ ตคี วามจากบทความชื่อ The Amazing Teen Brain โดย Jay N. Giedd หัวหน้าหน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก และเป็นศาสตราจารย์ของคณะ สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอ็ ปกิ้นส์ ด้วย ผู้เขยี นสรปุ ประเดน็ ไว้ ๔ ข้อ คือ ๑. ผลการศึกษาสมองวัยรุ่นด้วย MRI (การถ่ายภาพด้วยคลื่น แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า) บอกว่าสมองวยั รุน่ มีลกั ษณะพิเศษ ไมใ่ ชส่ มองของเดก็ ท่ี โตขนึ้ และไมใ่ ชส่ มองของผใู้ หญท่ ย่ี งั พฒั นาไมเ่ สรจ็ สมองวยั รนุ่ มลี กั ษณะ พเิ ศษทค่ี วามสามารถปรบั ตวั เปลย่ี นแปลงได้และมคี วามสามารถเชอื่ มโยง ระหว่างสว่ นต่างๆ ของสมองได้สูง ๒. ระบบลมิ บกิ (Limbic System) ซงึ่ ทำ� หนา้ ทกี่ ระตนุ้ อารมณพ์ ฒั นา เต็มท่ีในช่วงวัยรุ่น แต่เปลือกสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ยัง พฒั นาไมเ่ ตม็ ทจ่ี นกวา่ จะอายเุ ลย ๒๐ ปไี ปแลว้ (เคยมคี นเขยี นวา่ เลย ๒๕) ความไมส่ มดุลของสมองสองสว่ นนีท้ �ำใหว้ ัยรนุ่ ชอบเสีย่ ง แตก่ ม็ ีคุณยง่ิ ตอ่ การทว่ี ยั รุ่นมคี วามสามารถปรบั ตัวต่อสภาพแวดล้อมได้สงู ๓. อายุเข้าสู่วัยรุ่นลดลงทั่วโลก ท�ำให้ช่วงเวลาของความไม่สมดุล ของสมองยง่ิ ยาวขึน้ ๔. ความเขา้ ใจธรรมชาตขิ องสมองวยั รนุ่ จะชว่ ยใหพ้ อ่ แมแ่ ละสงั คม เข้าใจว่าพฤติกรรมแค่ไหน ถือว่าเป็นปกติส�ำหรับวัยรุ่น แค่ไหนถือว่า ผดิ ปกติ และชว่ ยสง่ เสริมให้วยั รนุ่ เจริญเติบโตเป็นคนดีของสังคม สมัยก่อนศึกษาสมองได้จ�ำกัด เพราะเคร่ืองมือท่ีใช้หากใช้ตรวจ บ่อยๆ มีอันตราย ต่อเม่ือมีเคร่ืองมือถ่ายภาพสมองแบบใหม่ท่ีเรียกว่า MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซง่ึ ปลอดภยั ความรเู้ กยี่ วกบั สมอง และพฒั นาการของสมองจึงก้าวหนา้ อย่างรวดเรว็ 128 เลี้ยงลกู ยง่ิ ใหญ่

สมองวัยรุ่นมีธรรมชาติไม่สมดุลระหว่างสมองส่วนกล้าเสี่ยง (ระบบลมิ บกิ ) กบั สมองสว่ นรอบคอบ (เปลอื กสมองสว่ นหนา้ ) เพราะ เป็นช่วงที่จะต้องสามารถปรับตัวจากชีวิตภายใต้การปกป้องของ พอ่ แม่ ออกไปใชช้ วี ติ เปน็ ตวั ของตวั เอง ออกจากครอบครวั ไปอยกู่ บั เพื่อนวัยเดียวกัน และต้ังครอบครัวของตนเอง การปรับตัวนี้ ใหญ่หลวงมาก ธรรมชาติจึงวิวัฒนาการสมองของมนุษย์ให้มีลักษณะ เช่นนี้ ซ่ึงเป็นคุณมากกว่าโทษ แต่เราก็ต้องเข้าใจส่วนที่เป็นข้อจ�ำกัดหรือ จุดอ่อน และอดทนหรือหาทางป้องกันอันตรายหรือข้อเสียหายท่ีเกิดจาก จุดออ่ นน้นั เปล่ยี นแปลงเก่ง (Plasticity) สมองวัยรุ่นมีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อใยประสาท สมองไดด้ ที ส่ี ดุ ดกี วา่ ทกุ ชว่ งอายุ คณุ สมบตั นิ ภ้ี าษาวทิ ยาศาสตรท์ าง สมองเรียกว่า Plasticity การเปล่ียนแปลงนี้เป็นไปตามการกระตุ้นจาก สภาพแวดล้อมภายนอก เพ่ือปรับตัวมนุษย์คนน้ันๆ เตรียมด�ำรงชีวิตที่ดี ในสภาพแวดลอ้ มแบบน้ัน บ่อยครั้งที่เราเห็นวัยรุ่นมีพฤติกรรมแปลกๆ และคิดว่าเขามี พฤติกรรมเช่นนั้นเพราะสมองของวัยรุ่นผิดปกติ ความคิดเช่นน้ีพิสูจน์ และอธิบายได้ว่าผิด พฤติกรรมแปลกๆ หรือการตัดสินใจแบบหุนหัน พลันแล่นน้ัน เป็นด้านลบของสมองวัยรุ่นที่มีความวิเศษ ที่เมื่อต้องการ ดา้ นเลศิ (Plasticity) กต็ อ้ งเขา้ ใจสว่ นทเ่ี ปน็ จดุ ออ่ นทตี่ ดิ มาเปน็ คตู่ รงกนั ขา้ ม ตามธรรมชาติ เล้ยี งลูกยงิ่ ใหญ่ 129

ขยายการเชือ่ มโยง การเชื่อมโยง (Connectivity) ท่ีเราได้ยินในภาษาของนักไอที กับ การเชื่อมโยงใยสมองไม่เหมือนกัน เม่ือพูดถึงการเช่ือมต่อในระบบไอที ในสมัยก่อนเรานึกถึงการเช่ือมต่อด้วยสาย (Wiring) สมัยน้ีเรานึกถึง การเช่ือมตอ่ ด้วยคลื่น ในสมยั เนน้ เชือ่ มตอ่ ทางสายหากขยายเครอื ข่ายจะ เหน็ สายเพม่ิ ขน้ึ แตส่ มยั ทเ่ี นน้ เชอ่ื มตอ่ ทางคลนื่ อยา่ งในปจั จบุ นั การขยาย เครือขา่ ยไอซที จี ึงไม่เห็นการขยายตวั ทางกายภาพ การเพม่ิ การเชอื่ มโยงของสมองวยั รนุ่ เปน็ ลกู ผสมของสองแบบขา้ งบน สมองเช่ือมต่อกันด้วย ‘สาย’ คือใยประสาท แต่การขยายการเชื่อมโยง ของสมองวัยรุ่นนั้น จ�ำนวน ‘สาย’ อาจลดลงด้วยซ�้ำ แต่ศักยภาพของ การเช่ือมต่ออาจเพิ่มข้ึนถึง ๓,๐๐๐ เท่า น่ีคือมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์ ท่ีเกิดข้ึนเป็นพิเศษในช่วงวัยรุ่น คือเป็นช่วงของการพัฒนาคุณภาพของ การเช่ือมโยง ทเ่ี อ็มอารไ์ อบอกการเปล่ียนแปลงทางกายภาพได้ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพคือมีการงอกของปลอกประสาท เพม่ิ ขนึ้ มากมาย ในภาษาวชิ าการเรียกว่า Myelination ปลอกประสาทน้ี มีสีขาว สมองวัยรุ่นจึงมีส่วนที่มีสีขาวมากขึ้น ใยประสาทที่ไม่มีปลอก กับใยประสาทที่ปลอกเจริญเต็มที่ ความเร็วในการส่ือสัญญาณเร็วกว่า กันถึง ๑๐๐ เท่า นอกจากนน้ั สัญญาณยงั แรงกวา่ มาก ความแรงของสัญญาณของส่ือประสาทมีความส�ำคัญมากต่อการ เรียนรู้ของมนุษย์ (และสัตว์) คือหากสัญญาณเบา เซลล์สมองก็แค่รับรู้ แตห่ ากสญั ญาณแรง เซลลส์ มองจะปา่ วประกาศตอ่ ทำ� ใหเ้ กดิ การเชอ่ื มตอ่ ใยประสาทแน่นแฟ้นข้ึนในส่วนน้ัน เกิดเป็นเครือข่ายท่ีมีความหมาย มีความส�ำคัญ ซึ่งในทางวิชาการเรียกว่าเกิด Specialization ข้ึนภายใน สมอง ซง่ึ กค็ อื เกิดการเรียนรู้ 130 เลี้ยงลูกย่ิงใหญ่

ปลอกประสาทยงั ชว่ ยใหใ้ ยประสาทฟน้ื ตวั เรว็ (จากการสง่ สญั ญาณ) พร้อมท่ีจะส่งสัญญาณถัดไป ใยประสาท (Axon) ที่มีปลอกฟื้นตัวเร็ว กว่าใยประสาทท่ีไม่มีปลอก ๓๐ เท่า รวมแล้วปลอกประสาทจึงช่วยให้ ประสิทธภิ าพของการเชื่อมต่อใยประสาทเพม่ิ ข้นึ ๓,๐๐๐ เทา่ ในช่วงวัยรุ่น การเชื่อมต่อใยประสาทเกิดข้ึนมากเป็นพิเศษ ในสมองสว่ นทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการใครค่ รวญ การตัดสนิ ใจ ปฏิสมั พันธ์ กับผูอ้ ่นื และการวางแผนระยะยาว ซ่งึ เปน็ คุณสมบัติของคนทีบ่ รรลุ วุฒิภาวะอย่างแท้จริง สมองวัยรุ่นจึงเป็นสมองที่ก�ำลังเตรียมตัว เปน็ ผูใ้ หญ่ หากเปรยี บเทยี บกบั ระบบไอซที ี กเ็ ทา่ กบั สมองวยั รนุ่ มี Bandwidth เพิม่ ข้นึ ๓,๐๐๐ เท่า แต่ยังไม่พอ สมองวัยรุ่นเก่งกว่าระบบไอซีที ตรงท่ีมีกลไกเลือก เครือข่ายใยสมองส่วนท่ีมีความส�ำคัญเก็บไว้ และขยายประสิทธิภาพ ของเครือข่ายนั้น และตัดหรือขจัดเอาเครือข่ายที่ไม่มีประโยชน์ท้ิงไป ท�ำให้สมองซ่ึงมีเนื้อท่ีจ�ำกัด มีแค่เครือข่ายที่มีประโยชน์จริงๆ และขยาย เครอื ขา่ ยส�ำคญั ได้ เล้ยี งลูกยง่ิ ใหญ่ 131

การเชอ่ื มต่อท่ีมีความหมาย (Specialization) พัฒนาการของสมองก็เหมือนพัฒนาการในธรรมชาติอื่นๆ ท่ีเกิด จากกระบวนการสองอย่างท่ีเป็นข้ัวตรงกันข้าม คือการสร้างมากเกินพอ (Overproduction) กับการขจัดส่วนไม่จ�ำเป็นออกไป (Selective Elimination) เครือข่ายใยสมองส่วนใหญ่เกิดขึ้นตอนเป็นทารกในครรภ์มารดา และเมื่อเติบโตข้ึนก็มีการขยาย การเชื่อมต่อที่มีความส�ำคัญ และ ขจัดเครือข่ายท่ีไม่จ�ำเป็นออกไป โดยกระบวนการที่เรียกว่า Pruning (ค�ำเดียวกันกับการตัดแต่งก่ิงต้นไม้) กระบวนการ Pruning นี้เกิดข้ึน ตลอดชีวิต แต่เกิดอย่างแข็งขันที่สุดในช่วงวัยรุ่น กระบวนการสร้างกับ ท�ำลายเครือข่ายใยประสาทในสมองวัยรุ่นเอียงไปข้างท�ำลายมากกว่า สร้าง ปรากฏการณ์นี้แหละท่ีน�ำไปสู่การเช่ือมต่อท่ีมีความหมาย ท�ำให้ สมองแต่ละสว่ นมีความช�ำนาญเฉพาะ (Specialization) Specialization เกดิ ข้นึ เมือ่ สมองขจดั เครอื ขา่ ยท่ไี ม่ได้ใชป้ ระโยชน์ ออกไป ส่วนน้เี ปน็ สว่ นสเี ทา ซ่งึ ไดแ้ กใ่ ยประสาทไรป้ ลอก และเซลลส์ มอง สมองของวยั รุ่นจงึ มีสว่ นสีเทา (Gray Matter) ลดลง มีสว่ นสีขาว (White Matter) เพ่ิมขึ้น สมองส่วนสีเทาเพ่ิมขึ้นจนอายุ ๑๐ ปี แล้วลดลงเร็วใน ช่วงวยั รุน่ ตอนเป็นผู้ใหญค่ อ่ นข้างคงท่ี แล้วลดลงในวยั ชรา ในช่วงวัยรุ่น สมองมีความหนาแน่นเพิ่มข้ึน มีเครือข่ายใยสมองท่ี ทรงคุณภาพเพิ่มข้ึน ส่ิงส�ำคัญอย่างหนึ่งที่มีเพ่ิมขึ้นคือ เซลล์รับสัญญาณ (Receptor Cells) ของเซลลส์ มองทร่ี ับสัญญาณจากสารเคมสี ือ่ ประสาท (Neurotransmitter) เช่น โดปามีน ซีโรโทนิน กลูทาเมท ท่ีท�ำหน้าที่ กำ� กบั การสอ่ื สารระหว่างเซลล์สมอง 132 เลี้ยงลกู ยงิ่ ใหญ่

สมองส่วนต่างๆ พัฒนาในต่างช่วงอายุ เช่น สมองส่วนสีเทาขยาย ตวั และถงึ ขดี สงู สดุ ตอนอายนุ อ้ ย ในสมองสว่ นทที่ ำ� หนา้ ทรี่ บั สญั ญาณเพอ่ื รับรู้และตอบสนองสัญญาณจากตา หู จมูก ล้ิน และสัมผัส ที่เรียกว่า Primary Sensorimotor Areas (อธิบายได้ว่า เพื่อสนองพัฒนาการของ สมองสว่ นทเ่ี ป็นพน้ื ฐานการดำ� รงชีวิต และเปน็ พื้นฐานส�ำหรับการพฒั นา สมองส่วนอน่ื ๆ ในภายหลงั ) สมองสีเทาพัฒนาถึงจุดสูงสุดช้าท่ีสุดท่ีเปลือกสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งมีส่วนส�ำคัญในหน้าที่ Executive Function (EF) คือความสามารถในการจัดระบบ การตัดสินใจ การวางแผน และ การกำ� กับอารมณ์ เทา่ กบั การเชอ่ื มตอ่ ทมี่ คี วามหมายหรอื คณุ คา่ สงู สดุ ตอ่ ชวี ติ มาหลงั สดุ Executive Function (EF) นค่ี อื หนา้ ทข่ี องสมองสว่ นของการคดิ จนิ ตนาการ กำ� หนดสมมตฐิ าน และทดสอบสมมติฐานในใจได้ โดยไม่ต้องทดลองจริง และช่วยให้เรา ตัดสินใจเลือกแนวทางที่มีผลดีท่ียิ่งใหญ่กว่าในระยะยาว มากกว่าผลดี เลก็ ๆ นอ้ ยๆ ในระยะส้นั ซึ่งก็คอื การมองการณไ์ กลน่นั เอง หน้าที่ส�ำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความฉลาดทางสังคม (Social Cognition) ช่วยให้สร้างและด�ำรงความสัมพันธ์ท่ีซับซ้อนได้ แยกมิตร ออกจากศัตรูได้ สร้างความมั่นคงในท่ามกลางผู้คนรอบข้าง ชุมชน หรือ สงั คม รวมท้งั การดึงดดู เพศตรงขา้ มเพือ่ หาคู ่ เลีย้ งลกู ยิ่งใหญ่ 133

สรุปพฒั นาการของสมองวัยรุน่ สมองวัยรุ่นมีพัฒนาการท้ังในส่วนสีขาวและสีเทา ส่วนสีขาวเพิ่ม ท่ัวไป ส่วนสีเทาเพิ่มท่ีเปลือกสมองส่วนหน้า เพื่อหนุนพัฒนาการของ Executive Function ทั้งหมดน้ันเพื่อเตรียมการเชื่อมโยงเครือข่ายภายในสมองอย่างมี คุณภาพ คือมี Specialization เพื่อเตรียมไว้ส�ำหรับชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ ทม่ี คี ุณภาพ ไรส้ มดลุ อย่างมีเป้าหมาย พัฒนาการของสมองวัยรุ่นส่วนที่ถึงจุดสูงสุดอยู่ที่ส่วนระบบ ลิมบิก ส�ำหรับรับลูกหรือรับสัญญาณจากฮอร์โมนที่พุ่งสูงในช่วงวัยรุ่น อายุ ๑๐ - ๑๒ ปี ระบบลิมบิกก�ำกับอารมณ์และความรู้สึกท่ีเป็นรางวัล รวมทั้ง สอ่ื สมั พนั ธก์ บั เปลอื กสมองสว่ นหนา้ เพอื่ กระตนุ้ การแสวงหาสงิ่ ใหม่ กล้าเส่ียง และเปลี่ยนวงสังคมไปหาเพื่อนรุ่นเดียวกัน พฤติกรรมน้ี 134 เลี้ยงลกู ยิ่งใหญ่

มีอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมท่ีเป็นสัตว์สังคมด้วย เป็นสัญชาตญาณเพ่ือ การอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เป็นสัญชาตญาณที่ช่วยลดการผสมพันธุ์ภายใน ครอบครวั (Inbreeding) ชว่ ยเพม่ิ ความแขง็ แรงทางพนั ธกุ รรมของเผา่ พนั ธ์ุ แตส่ ญั ชาตญาณนใ้ี นมนษุ ยก์ ส็ รา้ งความเสยี่ งดว้ ยโดยเฉพาะความเสยี่ งใน การเขา้ ถงึ สง่ิ ทม่ี นษุ ยส์ รา้ งขนึ้ เชน่ ยาเสพตดิ อาวธุ ยานยนตค์ วามเรว็ สงู การเขา้ ถงึ โดยไรค้ วามสามารถในการใชว้ จิ ารณญาณ ยอ่ มเสยี่ งตอ่ อนั ตราย เดิมช่องว่างระหว่างการบรรลุวุฒิภาวะของสมองส่วนลิมบิกกับ สมองส่วนเปลือกสมองส่วนหน้า ห่างกันประมาณ ๑๐ ปี (อายุ ๑๕ กับ ๒๕) ตอนนีน้ ่าจะ ๑๕ ปี เพราะอายุแตกเนอื้ สาว/หนุ่มอยรู่ าวๆ ๑๐ ปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าช่วงบรรลุวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ก�ำลังเลื่อนออกไป ในคนพันธเุ์ อม็ อาจจะเป็นอายุ ๓๐ ช่องวา่ งกจ็ ะกลายเปน็ ๒๐ ปี จะเปน็ ช่วงของความเส่ียงก็ได้ เป็นช่วงของโอกาสก็ได้ ข้ึนอยู่กับว่าเราช่วยกัน วางระบบให้วัยรุ่นใช้ Brain Plasticity ไปในทางสร้างสรรค์ และสร้าง ศักยภาพได้มากเพียงใด ลดปัญหาท่ีเกิดจากความหุนหันพลันแล่นและ พฤติกรรมเส่ยี งตาย/พกิ ารได้เพียงใด แตเ่ ร่อื งไม่งา่ ยแค่นัน้ ชวี วิทยาของชอ่ งว่างน้ยี ังมีส่วนล้ลี ับมากกวา่ ที่เราคิด มีข้อมูลว่าช่วงเวลาน้ีมีโรคทางจิตเกิดขึ้นมาก และมีหลักฐานว่า ลักษณะของสมองคนเป็นโรคจิตเภท คล้ายสมองวัยรุ่นท่ีก้าวเกินพอดี แต่ก็มีความคิดว่า ความเข้าใจกลไกของสมองวัยรุ่นจะช่วยให้พัฒนาวิธี บ�ำบัดโรคทางสมองโดยวิธีไม่ใช้ยา คือใช้พฤติกรรมบ�ำบัด เพ่ือให้การ ท�ำพฤติกรรมซ้�ำๆ ไปเปล่ียนแปลงสมอง โดยท่ีสมองวัยรุ่นเปล่ียนแปลง ตวั เองงา่ ยอยแู่ ล้ว สำ� หรบั วยั รนุ่ ชอ่ งวา่ งนคี้ อื โอกาสพฒั นาตนเอง อยา่ งทไ่ี มม่ โี อกาสดี อย่างนี้ในช่วงวยั อ่ืน เลี้ยงลกู ยิง่ ใหญ่ 135

๑๖ ทออำ�ยันลา่สาใดุหยว้ยสเิ าศมเษสอพงตวิดยั รนุ่ 136 เลี้ยงลูกยิง่ ใหญ่

ผลร้ายของการดม่ื สุราในวยั ร่นุ ทีร่ ุนแรง และสง่ ผลระยะยาวยงิ่ กวา่ คอื ทำ� ลายความสามารถในการเรยี นรู้และความจำ� วยั รุ่นโดยท่วั ไปมีความออ่ นแอของสมองในการควบคมุ ตนเอง มวี ยั รุ่นจ�ำนวนหนงึ่ ทส่ี มองอ่อนแอในดา้ นนเี้ ปน็ พเิ ศษ… นกั วิจยั ก�ำลงั ค้นหาทางปอ้ งกนั การทำ� ลายสมอง จากการด่มื สรุ าจนเมา เล้ียงลกู ย่งิ ใหญ่ 137

อย่าให้ยาเสพติดท�ำลายสมองวัยรุ่นอันสุดวิเศษ ตีความจาก บทความชอ่ื Bad Mix for the Teen Brain เขยี นโดย Janet Hopson นักเขียนบทความวิทยาศาสตร์ และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สมทบ (Adjunct Assistant Professor) และรว่ มเขียนหนังสือ Magic Trees of the Mind เขาเล่าเหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกา ท่ีวัยรุ่นจ�ำนวนหนึ่งนัดกันจัด ปาร์ต้ีสุราจนเมามาย มีผลให้ชีวิตวนเวียนอยู่กับปัญหาการเรียน ถูก ต�ำรวจจับ เข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ถูกริบใบขับขี่รถยนต์ช่ัวคราว ไปจนถงึ ถูกบงั คบั ใหเ้ ข้ารบั การบำ� บัดการตดิ สรุ า วัยรนุ่ ที่เรยี นช้ัน ม. ๒ ใช้ชีวติ แบบนร้ี ้อยละ ๑๐ ตวั เลขนใี้ นนักเรยี น ช้นั ม. ๔ เทา่ กับ ๑๘ และในช้ัน ม. ๖ เทา่ กบั ๒๔ ด่ืมจนเมาของเขา หมายถึงดื่ม ๔ ดริ๊งค์ติดต่อกันในผู้หญิง และ ๕ ดร๊ิงค์ในผู้ชาย เขาบอกว่า ร้อยละ ๔๔ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยด่ืม ขนาดนห้ี รอื มากกวา่ เดือนละ ๒ ครั้งข้ึนไป ด่มื ไมบ่ ่อยนัก แต่ดม่ื ทไี รเมาไม่ไดส้ ติ เป็นอันตรายตอ่ สมอง และรา่ งกายมากกวา่ การดม่ื บอ่ ย แตค่ รงั้ ละนอ้ ยๆ เพราะแอลกอฮอล์ ในระดับสูงในกระแสเลือดเป็นพิษต่อสมองและร่างกาย วัฒนธรรม “ไม่เมาไม่ใช่ชาย” จึงท�ำลายสมองวัยรุ่นไปอย่างน่าเสียดาย คือท�ำลาย สมองส่วนของการรับรู้ (Sensory Function) และส่วนของการเรียนรู้ และสติปัญญา (Cognitive Function) รวมทั้งมีส่วนสร้างนิสัยข้ีเมาและ ติดเหล้า 138 เลี้ยงลูกยงิ่ ใหญ่

นกั วทิ ยาศาสตรค์ น้ พบผลรา้ ยของการดมื่ สรุ าแบบดงั กลา่ วในวยั รนุ่ ที่รุนแรงและส่งผลระยะยาวย่ิงกว่า คือมันท�ำลายความสามารถในการ เรยี นรแู้ ละความจำ� วยั รนุ่ โดยทวั่ ไปมคี วามออ่ นแอของสมองในการควบคมุ ตัวเอง ผลการวิจัยบอกว่ามีวัยรุ่นจ�ำนวนหนึ่งสมองอ่อนแอในด้านน้ี เป็นพิเศษ นักวิจัยก�ำลังหาทางค้นหาวิธี ตรวจหาวัยรุ่นท่ีอ่อนแอเหล่านี้ เพ่อื จะได้หาทางปอ้ งกนั การทำ� ลายสมองจากการดม่ื สรุ าจนเมา ใจท่หี นุ หนั พลนั แล่น สมองวยั รนุ่ เปน็ ‘สง่ิ กอ่ สรา้ งทอี่ ยรู่ ะหวา่ งสรา้ ง’ ยงั พฒั นาไมส่ มบรู ณ์ ในช่วงสิบปีท่ีผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองได้ค้นพบว่า เปลือก สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่อยู่ด้านในหน้าผาก พัฒนาช้า สมองส่วนน้ีท�ำหน้าที่ยับย้ังชั่งใจ ไม่ให้มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น และ ท�ำหน้าที่ด้านความจ�ำใช้งาน (Working Memory) น�ำเอาข้อมูลจาก หลายแหล่งมามีปฏิสัมพันธ์กันบนพื้นท่ีของความจ�ำใช้งาน ท�ำให้คิดได้ ซับซ้อน และสมองไว มีการวิจัย ในวัยรุ่นอายุ ๑๒ - ๑๔ ปี จ�ำนวน ๓๘ คน โดยตรวจ ความสามารถยบั ยงั้ ชง่ั ใจในสมองดว้ ย MRI แลว้ ตดิ ตามพฤตกิ รรมไป ๔ ปี พบว่ามีวัยรุ่น ๒๑ คนเร่ิมพฤติกรรมด่ืมสุราเมากล้ิงอยู่ก่อนแล้ว และผล MRI บอกว่ากลุ่มนักดื่ม ๒๑ คนน้ีมีการท�ำงานของสมองต�่ำที่ ๑๒ จุด รวมทัง้ ที่ Prefrontal Cortex และท่ี Parietal Cortex ทอี่ ยู่ใกล้ๆ สมองส่วน ParietalCortexนท้ี ำ� หนา้ ทคี่ วบคมุ การเคลอ่ื นไหวอยา่ งมแี ผนและเปา้ หมาย วยั รุน่ อีก ๑๗ คนที่ไม่ด่มื ผล MRI บอกว่าสมองสว่ นต่างๆ ท�ำงาน ปกต ิ เลย้ี งลกู ยิ่งใหญ่ 139

นกั วจิ ัยทมี เดยี วกนั ศึกษาวยั รนุ่ อายุ ๑๒ - ๑๔ ปี ทีไ่ มด่ ่มื แต่มาจาก ครอบครัวที่มีคนติดเหล้า จ�ำนวน ๒๐ คน ศึกษาด้วย Functional MRI เปรยี บเทยี บกบั วยั รนุ่ วยั เดยี วกนั อกี ๒๐ คน ทไี่ มม่ คี นในครอบครวั มปี ระวตั ิ ติดเหล้า พบความแตกต่างของสมองวัยรุ่นสองกลุ่มน้ีอย่างชัดเจนท่ี การเชื่อมต่อใยประสาทระหว่างสมองส่วน Prefrontal Cortex กับสมอง ส่วน Parietal Cortex ในกลุ่มท่ีมาจากครอบครัวติดเหล้า การเช่ือมต่อ น้อยกวา่ และออ่ นแอกว่า การวิจัยต่อเน่ืองในวัยรุ่นท่ีดื่ม และมาจากครอบครัวติดเหล้า มี พัฒนาการช้าที่สมองส่วนยับยั้งใจ ที่หุนหันพลันแล่น เป็นข่าวดีว่าต่อไป น่าจะมีทางตรวจค้นหาเยาวชนที่อ่อนแอและหาทางป้องกันก่อนที่สมอง วยั รุ่นอันสดุ วเิ ศษจะถูกท�ำลาย ทำ� กจิ กรรมเดียวกนั ตอ้ งใชพ้ ลังสมองมากกวา่ นกั วจิ ยั ทดลองในหนู ใหห้ นกู นิ แอลกอฮอลป์ รมิ าณมากในลกั ษณะ เดยี วกันกบั วัยรุน่ ‘เมาจนคลาน’ พบว่าเซลลส์ มองส่วน Prefrontal Cortex และส่วน Hippocampus ของหนูถูกท�ำลาย Hippocampus เป็นสมอง ส่วนความจำ� และยงั พบวา่ แอลกอฮอล์ยับย้ังการงอกของเซลลส์ มองใหม่ และยังพบว่าสมองหนูวัยรุ่นไวต่อการท�ำลายโดยแอลกอฮอล์มากกว่า สมองหนูท่ีโตเต็มวัยแล้ว วัยรุ่นท่ีเมาจนหมดสติ และมีอาการลืมหรือความจ�ำเสื่อม อาจมา จากการทำ� ลายสมองสว่ น Hippocampus การวจิ ยั ทเ่ี ผยใหเ้ หน็ ผลของการดมื่ สรุ าในวยั รนุ่ เรม่ิ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จากการวจิ ยั ทดสอบ ความสามารถของ Working Memory ในการจำ� ศพั ท์ 140 เลี้ยงลูกย่ิงใหญ่

เปรยี บเทยี บระหวา่ งวยั รนุ่ ทไ่ี มด่ ม่ื ๒๔ คน กบั วยั รนุ่ ทม่ี นี สิ ยั ดม่ื จนเมา ๒๔ คน และบนั ทึกการท�ำงานของส่วนตา่ งๆ ของสมองในระหว่างการทดสอบ พบว่าวัยรุ่นที่ดื่ม จ�ำศัพท์ได้น้อยกว่า และสมองส่วน Hippocampus ท�ำงานน้อยกว่า แต่สมองส่วนหน้าท�ำงานมากกว่า ซึ่งนักวิจัยตีความว่า สมองของวยั รนุ่ ทดี่ ม่ื ตอ้ งใชค้ วามพยายามมากกวา่ ในการทำ� การทดสอบนี้ ตอ่ มากม็ กี ารทดสอบเปรยี บเทยี บความสามารถทางสมองดา้ นอน่ื ๆ ระหว่างวัยรุ่นสองกลุ่มน้ี พบว่ากลุ่ม ‘ด่ืมเมาหัวทิ่ม’ มีความสามารถ ต่�ำกว่า และมีหลักฐานว่าความบกพร่องน้ีน่าจะคงอยู่นาน แม้ต่อมาจะ เลกิ พฤตกิ รรมนแ้ี ล้ว • ผเู้ ขียนใหข้ อ้ สรุป ๓ ประเดน็ ดงั นี้ วัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาติดนิสัย ‘ด่ืมเมาหัวทิ่ม’ โดยด่ืมคร้ังละ อยา่ งนอ้ ย ๔ - ๕ ดร๊ิง ไม่ต�ำ่ กว่าหนึง่ คร้ังตอ่ สองสัปดาห์ พฤติกรรมนีพ้ บ รอ้ ยละ ๑๐ ในนกั เรยี น ม. ๒, ร้อยละ ๑๘ ในนักเรียน ม. ๔ และรอ้ ยละ •๒๔ ในนักเรียน ม. ๖ ระดับแอลกอฮอล์ท่ีสูงในเลือดเป็นพิษต่ออวัยวะต่างๆ ท�ำลาย ความสามารถในการรับรู้ และการเรยี นรู้ แล้วนำ� ไปสู่การดมื่ เปน็ นสิ ัยและ •การตดิ สุรา การวิจัยบ่งชี้ว่าการดื่มสุราอย่างหนักมีผลท�ำลายส่วนต่างๆ ของสมองท่ีก�ำลังเจริญเติบโต ส่งผลลดทอนความสามารถในการเรียนรู้ และความจำ� อยา่ งถาวรในคนหนมุ่ สาว เลยี้ งลูกยง่ิ ใหญ่ 141

๑๗ บทบาทของพอ่ 142 เลี้ยงลกู ยง่ิ ใหญ่

การขาดพอ่ ท�ำใหเ้ กดิ ผลทางจิตใจตอ่ เด็กผหู้ ญงิ โดยตนเองไม่รู้ตัว ทำ� ใหเ้ กดิ สภาพทางจิตใจสู่ ‘ยทุ ธศาสตรก์ ารเจรญิ พนั ธ์ุแบบรบี เรง่ เพราะมจี ติ ใตส้ ำ� นึกว่าผู้ชายอยู่ไม่นาน’ เล้ยี งลูกย่งิ ใหญ่ 143

บทบาทของพ่อคอื ชว่ ยให้เด็กเตบิ โตเปน็ คนทีม่ คี วามสขุ และมีสขุ ภาพดี เตรียมตวั เติบโตไปเป็นพ่อ (หรือแม่) ทีด่ ี 144 เลี้ยงลกู ย่งิ ใหญ่

บทบาทของพอ่ ตคี วามจากบทความชอื่ Where’s Dad โดย Paul Raeburn ค�ำตอบคือพ่อมีส่วนส�ำคัญมากต่อพัฒนาการด้านจิตวิทยา ของลูก บทความข้ึนต้นด้วยปรากฏการณ์ที่โรงเรียนช้ันมัธยมแห่งหน่ึงที่ นักเรียนหญิงประมาณหน่ึงในห้า ตั้งครรภ์หรือเพิ่งคลอดลูก เกิดค�ำถาม ว่ามสี าเหตจุ ากอะไร ความจริงอีกอยา่ งหนงึ่ คือ ในพื้นทีน่ น้ั ประมาณหนงึ่ ในสี่ของครอบครัวไม่มีพ่อ จึงมีนักจิตวิทยาให้ค�ำอธิบายว่า การขาดพ่อ ท�ำให้เกิดผลทางใจต่อเด็กผู้หญิง โดยตนเองไม่รู้ตัว ท�ำให้เกิด สภาพทางจิตใจสู่ ‘ยุทธศาสตร์การเจริญพันธุ์แบบรีบเร่ง’ เพราะมี จติ ใต้สำ� นึกวา่ ผูช้ ายอยไู่ ม่นาน ในขณะท่ีเด็กผู้หญิงที่มีพ่อแม่อยู่ด้วยกัน จิตใต้ส�ำนึกจะบอกว่า ไม่ต้องรีบเร่งก็ได้ รอไว้ให้พร้อมเสียก่อน น่ีคือค�ำอธิบายทางจิตวิทยา ท่มี ีหลกั ฐานการทดลองทใี่ ชพ้ สิ ูจนท์ ฤษฎนี ้ี สายสมั พันธ์ทีข่ าดหาย ย่ิงนับวัน ในสหรัฐอเมริกา ย่ิงมีครอบครัวไร้พ่อมากข้ึน เป็น สายสัมพันธ์ท่ีขาดหาย ก่อปัญหาสังคม ก่อปัญหาทางจิตใจ โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่งเมือ่ ลกู สาวเขา้ สูว่ ัยเจริญพนั ธ ์ุ เลี้ยงลกู ยิ่งใหญ่ 145

เสีย่ งทลี่ กู สาว นักวิจัยท�ำการทดลองโดยให้หญิงสาววัยทีนหรือเพ่ิงผ่านพ้นวัยทีน เขียนเร่ืองราวความสัมพันธ์ท่ีได้รับความอบอุ่นจากพ่อ และช่วงท่ีพ่อ จากไปหรือขาดการตดิ ต่อ แล้วใหบ้ อกพฤติกรรมทางเพศ และพฤตกิ รรม อน่ื ๆ ของตน พบว่าเมื่อขาดความอบอ่นุ จากพอ่ หญิงสาวจะมีพฤติกรรม ทางเพศท่ีเสี่ยงต่อการต้ังครรภ์เพิ่มข้ึน ในขณะที่พฤติกรรมเส่ียงแบบอื่นๆ ไม่เพ่ิม ค�ำถามคือการขาดพ่อเป็นสาเหตุของพฤติกรรมทางเพศท่ีเส่ียง ของลูกสาว หรือเป็นเพียงสิ่งท่ีพบรว่ มกัน (Association) นกั วจิ ยั มวี ธิ ที ดสอบขอ้ มลู ทแ่ี ยบยลมากทนี่ ำ� ไปสหู่ ลกั ฐานวา่ การขาด พอ่ เปน็ สาเหตขุ องพฤตกิ รรมทางเพศทเี่ สย่ี งตอ่ การตง้ั ครรภข์ องลกู สาว นกั วจิ ยั มวี ธิ หี าคำ� ตอบตอ่ ไปวา่ พฤตกิ รรมแบบไหนของพอ่ มสี ว่ นเปน็ สาเหตุของพฤตกิ รรมทางเพศที่เสย่ี งต่อการต้ังครรภใ์ นลกู สาว และพบวา่ พ่อท่ใี หค้ วามรกั ความอบอุ่นแก่ลกู จะท�ำให้ลูกสาวมคี วามเสยี่ งนอ้ ยลง ต่อค�ำถามว่าปัจจัยอะไรจากพ่อ ที่ให้ผลทางจิตวิทยาแก่ลูกสาว ค�ำตอบน่าพิศวงและอาจเป็นไปได้คือ กล่ินตัวของพ่อเป็นปัจจัยส�ำคัญ โดยอาศยั หลกั ฐานจากสตั วต์ วั เมยี ทไ่ี ดร้ บั Pheromones จากสัตวต์ ัวผทู้ ไี่ มใ่ ชพ่ อ่ เข้าสวู่ ยั เจรญิ พนั ธเุ์ ร็วข้นึ แต่หากได้รบั ฟโี รโมนสจ์ ากพอ่ จะเขา้ สู่วยั เจรญิ พันธุ์ ช้าลงทฤษฎฟี โี รโมนสน์ ยี้ งั ไมม่ กี ารพสิ ูจน์นะครบั 146 เลี้ยงลกู ย่ิงใหญ่

บทบาทของพอ่ แมย่ ามลูกมีปญั หาความประพฤติ พ่อแม่มีปฏิกิริยาได้ ๒ แบบ คือแสดงความเกลียดชังไม่พอใจ กับให้ความรักความเห็นใจ นักจิตวิทยาบอกว่า ลูกของพ่อแม่แบบหลัง จะมีลักษณะม่ันคงทางอารมณ์ มีความเช่ือมั่นตนเอง และมองโลกแง่ดี มากกว่าลูกของพ่อแม่กลุ่มแรก และพบว่าบทบาทของพ่อมีน�้ำหนักพอๆ กันหรือมากกว่าบทบาทของแม่ และตัวเหตุของปฏิกิริยาแบบแรกมัก มาจากพ่อมากกวา่ แม ่ นักวิจัยต้ังค�ำถามเรื่องความเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่น และ ตรวจสอบหาคุณสมบัติของพ่อกับแม่ที่มีสหสัมพันธ์กับคุณสมบัติน้ีในลูก และพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์สูงสุดคือเวลาท่ีพ่อให้แก่ลูก และท่ี น่าแปลกใจคอื การแสดงความรักตอ่ ลูกไมม่ สี หสมั พนั ธ์ ยงั มขี อ้ คน้ พบคณุ สมบตั คิ วามเปน็ คนทนความเครยี ดในชวี ติ ประจำ� วันได้ดีในผู้ชาย มีสหสัมพันธ์กับการมีความทรงจ�ำท่ีดีต่อพ่อ และมีการ ทดลองตรวจการท�ำหน้าที่ของสมองด้วยเคร่ือง MRI พร้อมกับให้ดู ภาพใบหน้าของพ่อ สมองส่วนที่แสดงการท�ำงานคือบริเวณท่ีเกี่ยวกับ ความรกั ในขณะทใี่ หด้ ภู าพใบหน้าของแม่สมองส่วนอื่นทำ� งาน บทบาทของพ่อคอื ชว่ ยให้เด็กเตบิ โตเป็นคนที่มคี วามสขุ และ มีสุขภาพดี เตรียมตัวเติบโตไปเป็นพ่อ (หรือแม่) ท่ีดี เรื่องราว ในตอนน้ีบอกวา่ อทิ ธิพลของพอ่ มมี ากกวา่ ที่เราคิด เขาบอกว่าแม้พ่อจะมีความส�ำคัญต่อพัฒนาการทางจิตใจของลูก แต่เด็กจากครอบครัวที่ไม่มีพ่อก็อาจจะประสบความส�ำเร็จในชีวิตได้ ดงั ตวั อยา่ งประธานาธิบดีบารคั โอบามา เล้ียงลูกยงิ่ ใหญ่ 147

• ข้อสรปุ ๓ ขอ้ ของผู้เขยี นคือ พ่อเป็นบุคคลที่ถูกมองข้ามมาเป็นเวลานานในการศึกษาด้าน จิตวิทยาครอบครัว การวิจัยในระยะหลังยืนยันความส�ำคัญของพ่อต่อ พัฒนาการของลกู วยั รนุ่ • พ่อมีผลต่อพัฒนาการของชีววิทยาการเจริญพันธุ์ของลูกสาว และต่อการเป็นคนทเี่ ห็นอกเห็นใจผู้อื่นในลูกทัง้ สองเพศ • ความรักและความเข้าใจของพ่อ มีน้�ำหนักเท่ากันหรือมากกว่า ความรกั และความเขา้ ใจของแม่ 148 เลี้ยงลูกยิง่ ใหญ่