Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore aแต่งใจ

aแต่งใจ

Description: aแต่งใจ

Search

Read the Text Version

แต่งอย่างไร...จะให้เธอรู้ หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ



ค�ำ ปรารภ ในชว่ งชวี ติ ของหลวงพอ่ ทา่ นไดเ้ ทศนโ์ ปรดชาวโลกทง้ั หลาย มากมายกวา่ ๕๐๐ กัณฑ์ เราไดถ้ อดเทปออกมาจัดท�ำเป็นหนังสอื เพอ่ื วา่ คำ� สอนของหลวงพอ่ อนั มคี า่ จะไดเ้ ปน็ ประโยชนส์ งู สดุ สำ� หรบั ทกุ ท่าน เพราะมีหลายๆ ทา่ นทถี่ นดั ที่จะอ่านมากกวา่ ฟัง จะสงั เกตไดว้ า่ หลวงพอ่ จะเทศนค์ ำ� สอนแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะ วาระ เช่น เทศน์ในงานศพ งานบุญ หรือเทศน์โปรดญาติโยม พระภกิ ษุ สามเณร หรอื นักปฏิบัตทิ ม่ี ุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน หนงั สอื ทจ่ี ะออกมาชดุ นจี้ ะมที ง้ั หมด ๑๐ เลม่ จะเปน็ กณั ฑ์ เทศนโ์ ปรดพระภกิ ษุ สามเณร ในชว่ งระหวา่ งปพี .ศ. ๒๕๓๗ ถงึ พ.ศ. ๒๕๔๓ ผู้จดั ท�ำเหน็ ว่าเป็นประโยชน์มหาศาลไม่เฉพาะตอ่ นกั บวช เทา่ นนั้ แตจ่ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผทู้ หี่ วงั ความสขุ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ ในชวี ติ จนถึงผูท้ ่หี วังนิพพาน ในแตล่ ะตอนของเนื้อหาสาระ จะมเี คลด็ ลบั และเทคนิคท่จี ะชว่ ยประติดประตอ่ ความขอ้ งใจในขณะปฏิบัติ ซง่ึ ขณะนปี้ ราศจากหลวงพ่อทีจ่ ะเป็นผู้ตอบค�ำถาม หนงั สอื ทง้ั ๑๐ เลม่ นี้ ไดร้ วบรวมมาจากการถอดเทปหลาย มว้ นดว้ ยกนั ตงั้ ชอ่ื เสยี ใหม่ ซงึ่ ฟงั แลว้ อาจสะดดุ ใจผอู้ า่ นอยบู่ า้ ง แต่ เน้ือหาสาระจะยังคงเป็นค�ำสอนของหลวงพ่อทูลอยู่อย่างสมบูรณ์ ลองอา่ นดสู ักนิด คณะผูจ้ ัดทำ� ได้ใชเ้ วลาและความสามารถเตม็ ที่

กับหนังสือชุดนี้ และหวังอย่างย่ิงว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์สม เจตนารมณ์ หลวงพ่อได้พยายามท่ีจะสื่อความหมายค�ำสอนของ พระพทุ ธองคใ์ หเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยและปฏบิ ตั ติ ามได้ เพอ่ื วา่ เมอ่ื ปราศจาก หลวงพอ่ แลว้ ลูกศษิ ยก์ จ็ ะยังเดินทางได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ขอขอบคณุ ทุกทา่ นท่ีได้ช่วยถอดเทปทงั้ ๑๖ ชุดน้ี ได้แก่ คณุ พิราศณิ ี คุณเบญจ์ คุณฬฌญา พระทวี และพระดร.ณฐั ผูช้ ่วย ตรวจทานในภาคภาษาบาลีและจดั ทำ� รปู เล่ม และโดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง คณุ ธนวัช (โหน่ง) ที่ชว่ ยเปน็ ทีป่ รึกษาในการต้งั ช่ือหนงั สือและ ออกแบบปกทง้ั หมด เดก็ ชายณฐั วชั ต์ (นอ้ งกร) ผวู้ าดภาพประกอบ ในเลม่ และคณุ โสรตั ยา (หมออว๋ิ ) ผู้เปน็ ธุระในการจัดพมิ พ์ ขออนโุ มทนากบั ทกุ ทา่ นแมไ้ มไ่ ดเ้ อย่ นามมาในทนี่ ี้ ทมี่ สี ว่ น ชว่ ยให้หนังสือชุดน้ี สำ� เรจ็ ออกมาไดส้ มเจตนารมณต์ ามที่หลวงพ่อ ทูลเคยตงั้ ใจไว้ ขอกุศลผลบุญที่เกิดจากการกระท�ำน้ี จงส่งผลให้ท่านท้ัง หลายบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมโดยสมบรู ณ์ ให้ ปญั ญาเกดิ จนเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของตวั เองได้ ใหท้ างสวา่ ง บรรลถุ งึ มรรคผล นพิ พานในเรว็ วนั ในชาติน้ี ดว้ ยกันทุกถว้ นหน้าด้วยเทอญ แม่ชโี ย ๘ มกราคม ๒๕๕๖

เราจะ “แตง่ ใจ” ทเ่ี คยเปน็ เคยคดิ เคยเชอื่ ทที่ ำ� ให้ เราเปน็ ทกุ ข์มาโดยตลอดนเ้ี สียใหม่ อยา่ งไร โปรดตดิ ตามได้ จาก “แตง่ อยา่ งไร...จะใหเ้ ธอรู้”



ยคุ สมยั

๒ ยคุ สมัย จะใหอ้ ุบายในธรรมะบางสว่ นเอาไว้ คอื ไดถ้ ามๆ ดู แลว้ วา่ คณะพวกเราท้ังหมดน้ี สว่ นใหญย่ ังไมเ่ คยปฏบิ ัตเิ ทา่ ท่ี ควร วันน้ีจะอธิบายเร่ืองศาสนาให้ฟังสักนิดหนึ่ง พอเป็นพ้ืน ฐานเอาไว้ เรอื่ งพุทธศาสนาของเราที่เราเคารพนับถือกนั อย่ขู ณะ นี้ ถือว่าพวกเราโชคดที ไี่ ด้มาเกดิ ทนั พุทธศาสนา พุทธศาสนา นเ้ี กดิ ขึน้ มาเป็นคร้ังเป็นคราว เป็นยคุ เปน็ สมยั เทา่ นน้ั เกดิ ข้นึ มาแลว้ กเ็ สอื่ มไป ประวตั คิ วามเปน็ มาของพระพทุ ธเจา้ หลายๆ พระองค์ทีผ่ ่านมานน้ั บางองค์กม็ อี ายุสัน้ บางองค์กม็ อี ายุยาว ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ส�ำหรับภัทรกัปนี้ มีพระพทุ ธเจา้ รวมกันถงึ ๕ องค์ แต่ก็ได้ผ่านไปแล้ว ๔ องค์ เหลืออีกองค์หนึ่งชื่อว่า พระศรีอริยเมตไตรย ค�ำว่า ภัทรกัป นั้นเป็นกัปของพระพุทธเจ้า บาง ภทั รกปั กม็ ี ๕ พระองค์ และจะไมม่ ากเกนิ ไปกวา่ น้ี ในแตล่ ะ

แตง่ ใจ ๓ กปั บางกัปกม็ ี ๓ องค์ บางกัปก็มอี งค์เดียว หรอื มี ๒ องคอ์ ยา่ ง นเี้ ปน็ ต้น คอื ภัทรกปั ที่เราอยนู่ ีม้ พี ระพุทธเจ้ารวมกนั ๕ องค์ พระองคห์ น่งึ มีชือ่ วา่ กกสุ นั โธ นนั้ เปน็ ภทั รกัปอันเดียวกนั แต่ ก็ผา่ นไปแลว้ พระพทุ ธเจ้ากกุสนั โธนน้ั มอี ายขุ ัย ๔๐,๐๐๐ ปี คือคนยคุ นั้นสมัยน้ันมีอายุขัย ๔๐,๐๐๐ ปี เช่นเดียวกนั ฉะน้ัน ในยคุ นน้ั พระพทุ ธเจา้ กกสุ นั โธมาตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ มอี ายุ ขยั ๔๐,๐๐๐ ปี เม่อื โปรดเวไนยสตั ว์ทง้ั หลายไดผ้ ่านไปแลว้ ก็ หมดไป เรยี กว่าเปน็ สญุ กปั ยาวนาน จนถึงพระพุทธเจ้าท่ีเรียกว่า พระโกนาคมโน มนุษย์ มีอายุขัย ๒๐,๐๐๐ ปี และก็เมื่อโปรดเวไนยสัตว์เสร็จภาระ แล้วก็นิพพานไป แล้วก็ทิ้งช่วงมา อายุยาวนานอีก จนถึง พระพทุ ธเจา้ องค์ที่ ๓ ชื่อว่า กัสสโป มีอายุขยั อยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี เมื่อถึงยุคถึงสมัยน้ันก็โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ก็ผ่านพ้นไป ทงิ้ ชว่ งเปน็ สญุ กปั ตอ่ มายาวนาน จนผา่ นมาถงึ พระพทุ ธเจา้ องค์ ปัจจุบนั คอื ยคุ นี้สมัยน้ี เรยี กวา่ พุทธสมณโคดม พระพทุ ธเจา้ พระองคน์ ไ้ี ดม้ าเกดิ ในชว่ งอายขุ ยั คน ๑๐๐ ปี แตพ่ ระองค์มีอายุขยั ๘๐ ปี แตต่ ามปกติแล้วคนในยุคนน้ั มีอายขุ ยั ๑๐๐ ปี พระองคก์ ม็ ีการโปรดเวไนยสัตว์ ผ่านพ้นไป

๔ ยคุ สมยั พระองค์มีความเมตตาสงสารต่อสัตว์โลกท้ังหลาย จึงได้วาง ศาสนาเอาไว้ ๕,๐๐๐ พระวัสสา พระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็ไม่ได้วางศาสนาค�ำสอนไว้ เมอ่ื หมดพระองคก์ ท็ งิ้ ไปอยา่ งนนั้ แตพ่ ระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั นไ้ี ดว้ างศาสนาไว้ถงึ ๕,๐๐๐ ปี เดย๋ี วนไ้ี ดผ้ า่ นมาแลว้ ๒,๕๓๗ ปี เหลอื อยสู่ องพนั กวา่ ปี ศาสนาพทุ ธของเรากจ็ ะหมดจากโลก น้ไี ป กอ่ นศาสนาจะหมดจากโลกน้ไี ป อายุคนเราจะลงตำ�่ สุด เหลืออยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย เด๋ียวน้ีอายุขัยของคนเราโดยถัว เฉลยี่ แลว้ ประมาณ ๗๕ ปเี ป็นอายุขัย คือร้อยปีอายขุ ัยลดลง หน่ึงปี ลดลงเรอื่ ยๆ นบั จากวันนีเ้ ปน็ ตน้ ไป อีก ๖,๕๐๐ ปีข้าง หน้า คนจะมีอายุขยั เหลืออยู่ ๑๐ ปเี ป็นอายขุ ยั เกดิ มา ๓ ปกี ็ จะแต่งงานกันได้ ตัง้ ครรภ์อยู่ ๓ เดือนก็จะคลอด นัน่ คือยคุ ตอ่ ไป แตก่ อ่ นจะถงึ ยคุ นนั้ ศาสนาพทุ ธของเราไดห้ มดไปแลว้ และจะเป็นสุญกปั เป็นช่องว่างจากศาสนา คนในยคุ นัน้ จะอยู่ กันเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีกฎหมายอะไร รองรบั ไวเ้ ลย จติ ใจของคนในยคุ ตอ่ ไปนนั้ จะกา้ วรา้ ว จะมอี ะไร หลายๆ อย่างมากมายข้ึนมา เป็นคนท่ีมีความรุนแรงในทุกๆ

แตง่ ใจ ๕ ด้าน จะเปน็ ราคะกด็ ี ตณั หากด็ ี ความโลภ ความโกรธ ความ หลงกด็ ี จะมีความรุนแรงมากขึ้น ผดิ ปกติกว่าทกุ วนั นี้ เรียกได้ วา่ เป็นธรรมชาตขิ องโลกนน่ั เอง เมอ่ื ถงึ ยคุ คนมอี ายขุ ัย ๑๐ ปตี ายแล้วอย่างนี้ อายขุ ยั ก็ จะเพม่ิ ขน้ึ อกี มนั จะเพมิ่ ไดเ้ พราะในยคุ นน้ั จะมคี นมบี ญุ อกี กลมุ่ หน่ึงลงมาเกิด เม่ือลงมาเกิดแล้ว คนกลุ่มน้ีจะมาจับคู่กันเอง อยเู่ ปน็ คผู่ ัวตัวเมยี กัน และมีลูกมีหลานออกมา จากน้ันมาคน กล่มุ น้ีเขาจะมกี ารรักษาปฏบิ ัตธิ รรมกรรมบถ ๑๐ อาศยั เทพ เบ้ืองบนดูแลรักษาช่วยกัน จากนั้นมาอายุขัยของคนกลุ่มน้ัน ตามปกติแลว้ อายุขยั ๑๐ ปีตาย ตอ่ มาน้ันอายขุ ยั จะเพมิ่ ข้ึนไป เร่อื ยๆ คอื รอ้ ยปี อายุขยั จะเพม่ิ ข้นึ หน่ึงปี เป็น ๑๑ ปีจงึ ตาย อกี รอ้ ยปีจะเพิม่ ขน้ึ เป็น ๑๒ ปีจงึ ตาย อายขุ ัยจะเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ เพิ่มทุกร้อยปี จนอายุขัยของคนน้ันจะเพ่ิมข้ึนมากขึ้นๆ จน อายขุ ยั หา้ สบิ ปี รอ้ ยปี อายขุ ยั พนั ปี หมนื่ ปี อายขุ ยั แสนปี อายขุ ยั ล้านปี อายุขัยโกฏิปีไปเร่ือยๆ เมื่ออายุมากขึ้นเท่าไหร่ รูป รา่ งกายของคนในยคุ นนั้ กจ็ ะใหญโ่ ตขน้ึ มาเปน็ ลำ� ดบั จนถงึ อายุ อสงไขยปี นี้เป็นเพดานของอายุขัยของมนษุ ยโ์ ลก จากน้ันคน จะมคี วามประมาท เพราะอยกู่ บั โลกมายาวนาน เกดิ ความเบอื่

๖ ยคุ สมัย ในการเกิดหรือความเปน็ อยขู่ องตวั เอง ด้วยเหตนุ ้ีอายุขัยกจ็ ะ ลดลงมา คือร้อยปีลดลงหน่ึงปี เหลืออายุขัยอยู่เป็นล้านๆ ปี อายุขยั เหลอื อยู่ ๙๐,๐๐๐ ปี อายุขยั เหลอื อยู่ ๘๐,๐๐๐ ปี ในช่วงอายขุ ยั ๘๐,๐๐๐ ปนี เ้ี อง พระศรอี ริยเมตไตรย จะลงมาตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจ้า น้คี ือความยาวนาน ดสู วิ า่ มนั ตา่ งกนั ขนาดไหน สว่ นมากเราเขา้ ใจวา่ ศาสนาพทุ ธองคน์ ห้ี มด ไปก็จะมีอีกองค์หน่ึงแทนที่ลงมาง่ายๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ เขา้ ใจ มนั เปน็ สญุ กปั อยยู่ าวนานเหลอื เกนิ กวา่ จะมพี ระพทุ ธเจา้ พระองค์หน่งึ ถ้ากปั ใดมพี ระพทุ ธเจ้าองคเ์ ดียวละก็ เวลาก็จะ ยง่ิ ยาวนานมากกว่านอี้ ีกหลายสบิ เทา่ นเ่ี รยี กวา่ อายขุ ัย

กลบั ตัวกลบั ใจ

๘ กลับตัวกลบั ใจ พระพทุ ธเจา้ ของเราองคป์ จั จบุ นั ยงั มคี วามเมตตา สงสารตอ่ มวลมนุษยว์ า่ ยคุ ต่อไปน้นั ยังพอมคี นมีนิสยั มีปจั จัย พอจะรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในสจั ธรรมคำ� สอนของพระองคไ์ ด้ พระองค์ จึงได้วางศาสนานไี้ ว้ให้แกพ่ วกเราทง้ั หลาย ต่อไปนี้จะอธิบายเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระองคไ์ ดต้ รสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้ พระองคไ์ ดม้ องเหน็ นสิ ยั หรอื ปจั จยั วาสนาบารมอี นิ ทรยี ข์ องมวลมนษุ ยท์ วั่ โลกวา่ ตอ่ ไป น้ีพระองค์จะประกาศศาสนาอย่างไร จะให้คนในยุคน้ันสมัย น้นั มคี วามรมู้ ีความเข้าใจในสจั ธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ สจั ธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ นน้ั พระองคเ์ อามา จากไหน พระองค์ก็เอามาจากบุคคลนั้นเอง เอาเร่ืองของ บุคคลมาสอนคน เรอื่ งคนนัน้ มคี วามดีอยา่ งน้ี เขาได้สรา้ งบญุ กศุ ลบารมมี าอยา่ งนี้ กเ็ อาเรอื่ งคนดนี นั้ แหละมาประกาศใหค้ น ได้รู้ได้เข้าใจ เพื่อเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ หรือบางคนมี

แต่งใจ ๙ ความช่วั ท�ำไมด่ ไี มง่ าม กรรมตามสนอง กเ็ อาเรือ่ งของกรรม ชว่ั ของคนๆ นนั้ แหละมาบรรยาย มาประกาศใหโ้ ลกไดร้ วู้ า่ การ ทำ� ชว่ั เปน็ อยา่ งนี้ เพอ่ื ใหเ้ ราทงั้ หลายไดก้ ลวั ในความชวั่ ไมอ่ ยาก ทำ� ไม่กลา้ ท�ำความช่วั เหลา่ น้นั อกี อยา่ งหน่ึง เม่ือพระพทุ ธเจา้ จะประกาศศาสนานี้ มี หลกั อะไรในการเรมิ่ ตน้ ในการประกาศศาสนา พระองคจ์ ะมอง เห็นนิสัยของคนว่า คนยุคน้ันมีความเห็นผิดท่ัวๆ ไป คือไม่ เขา้ ใจในการปฏบิ ตั เิ พอ่ื จะบรรลธุ รรมเปน็ พระอรยิ เจา้ ได้ เพราะ คนเปน็ มิจฉาทฏิ ฐิ มคี วามเหน็ ผดิ ต่อแนวทางมรรคผลนิพพาน เมอื่ คนเหน็ ผดิ อยา่ งน้ี พระองคจ์ ะอธบิ ายใหเ้ ขาฟงั อยา่ งไร เขา จึงจะกลับตัวกลับใจ กลับมายอมรับความจริงที่พระพุทธเจ้า ไดส้ อนเอาไว้ อุบายท่ีจะแก้มิจฉาทิฏฐิของคนเหล่านั้นได้มีอะไร มี ความจริง เอาความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่ทั้งหมดน้ันแหละ มา สอนเขา ใหเ้ ขารวู้ ่าความจรงิ ของโลกเป็นอย่างนี้ กล่าวคือ เมื่อมกี ารเกดิ ขึ้นมาแล้ว มาแก่ แล้วก็มาเจบ็ แล้วก็มาตาย มกี ารพลดั พรากจากกัน มีความทุกข์ ร้องห่มร้องไห้ เพราะ การยึดม่นั ถือมั่นสิ่งใดเปน็ ทุกข์ แม้แต่ความยึดมัน่ ถือมน่ั ใน

๑๐ กลับตวั กลับใจ ธาตุขนั ธ์ของตัวเองกเ็ ป็นทกุ ข์เช่นเดียวกนั พระพทุ ธเจา้ จงึ ไดว้ างแนวทางทจี่ ะแกไ้ ขปญั หาใหบ้ คุ คล กลุ่มน้ันได้เข้าใจ เอาหลักความจริงนั้นแหละไปสอนเขา พูด งา่ ยๆ วา่ ค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ เปน็ หลกั เปลย่ี นแปลงความ คดิ เหน็ แตก่ อ่ นเขามคี วามคดิ เหน็ อยา่ งน้ี แตบ่ ดั นพ้ี ระพทุ ธเจา้ จะเอาความจริงอย่างนี้ไปเปลี่ยนความคิดเห็นของเขา ให้ เขาไดเ้ กดิ ความส�ำนกึ วา่ ตวั เรานไี้ มม่ อี ะไรเปน็ ของสง่ิ ทเี่ ทย่ี ง แท้แนน่ อนแต่อยา่ งใด เกดิ ขึ้นมาแลว้ กเ็ พยี งมาหาอยหู่ ากนิ แลว้ กต็ ายไป ถงึ จะมคี วามรกั ความยนิ ดพี อใจในกามคณุ กต็ าม ความยินดีพอใจในกามคุณนี้เองท่ีเป็นเหยื่อล่อให้สัตว์โลกทั้ง หลายได้มาหลงงมงายกนั อย่ทู วั่ โลก

บา้ นพักอาศยั

๑๒ บา้ นพกั อาศัย พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี กรรมสิทธอ์ิ ยวู่ า่ เปน็ ของเรานน้ั ไมจ่ ริง ทุกอยา่ งในโลกนี้ไมม่ ี สง่ิ ใดเปน็ ของของเราทง้ั สนิ้ สมมตวิ า่ วตั ถสุ มบตั ทิ งั้ หลายทงั้ ปวงกด็ ี ท้ังหมดนก้ี ไ็ ม่มีวัตถสุ มบัติอะไรในโลกนจ้ี ะเป็นของ ของใคร ทกุ คนทเ่ี กดิ มาแลว้ มสี ทิ ธทิ จี่ ะหาปจั จยั ทง้ั หลายในโลก ใบน้ี มาหล่อเล้ียงชีวิตตัวเองไว้ได้ เรียกว่าหาอยู่หากิน ท�ำไร่ ท�ำนา เรยี กวา่ ปัจจัยส่เี หล่านี้ เมอ่ื หามาไดเ้ ท่านี้ กม็ าอยไู่ ป กนิ ไป อาศัยไป เพื่อบรรเทาประทังชีวิตให้อยู่ได้วันหน่ึงคืนหนึ่ง เม่ือท่ีสุดแล้วก็ล้มหายตายจากกันไป วัตถุสมบัติท่ีหามาได้ ทง้ั หมดนั้น ถา้ ยังใชไ้ มห่ มดก็ท้ิงกับโลกน้ตี ่อไป ใหล้ ูกหลานรบั สบื ทอดตอ่ กนั ไป เมอ่ื ลกู หลานเหลา่ นน้ั รบั สบื ทอดตอ่ กนั ไป ถงึ เวลาเขาก็ตายกันไปอีก สมบัติยังตกค้างอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป นี่สมบตั ขิ องโลกนั้นเปน็ อย่อู ยา่ งน้ี คนเราก็เปน็ อยอู่ ย่างน้ี จงึ ไม่มีคนใดคนหนึ่งในโลกนี้จะมายึดถือเอาสมบัติท้ังหมดเป็น

แต่งใจ ๑๓ สมบตั ิของเขาได้อยา่ งแทจ้ ริง พระพุทธเจ้าได้ประกาศความจริงเหล่าน้ีให้เขาฟัง ใหเ้ ขาไดร้ วู้ า่ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งนน้ั ไมม่ สี ง่ิ ใดเปน็ ของของใครทงั้ สิ้น ใหเ้ ขาไดเ้ ข้าใจว่า ถ้าสิ่งใดไม่มีของใครแล้วอยา่ งนี้ จะ มาเกดิ ท�ำไมหนกั หนา เกดิ ขนึ้ มาแลว้ กห็ าอยหู่ ากนิ เปน็ ทกุ ข์ ขนาดไหน แลว้ กต็ ายไปเสยี พระพุทธเจา้ ไดม้ องเห็นความ จริงอย่างน้ี จึงเอามาเทศนใ์ ห้เขาฟัง แมแ้ ตส่ งั ขารรา่ งกายทงั้ หมดทเ่ี รามอี ยทู่ กุ วนั นก้ี ด็ ี รปู รา่ งกลางตวั ทง้ั หมดนี้ ไมม่ รี ปู รา่ งกลางตวั สว่ นใดเปน็ ของเรา อย่างแท้จริง อันน้ีเป็นรูปสังขาร คือสังขารของจิตได้สร้าง รูปสังขารตัวนี้ขึน้ มา แล้วก็อาศยั กนั ไป เหมอื นเราสรา้ งบา้ นขน้ึ มาหลงั หนง่ึ เมอื่ สรา้ งขน้ึ มาแลว้ กม็ าอาศยั บา้ นหลังนี้ ต่อไปเมอ่ื บ้านหลังน้ีทรุดโทรม หกั พงั ลง ไปแลว้ เมือ่ ไหร่ก็ทง้ิ ไป แล้วก็สรา้ งบ้านหลงั ใหม่อย่ตู อ่ ไป อนั นฉ้ี นั ใด ใจเราเมอ่ื มาสร้างสังขารรา่ งกาย รปู รา่ งน้ี ขึน้ มาแล้ว มันก็มาแก่ มาเจ็บ แล้วกม็ าตายจากกนั ไป แตจ่ ติ ใจ น้ันหาไดต้ ายไม่ มีแตจ่ ะไปสร้างภพสร้างชาติ หารปู นามต่างๆ

๑๔ บ้านพกั อาศัย มาเปน็ ทพ่ี กั ของใจอกี ตอ่ ไป นเี่ รยี กวา่ จติ ใจของเรานน้ั สรา้ งกาย ขนึ้ มา กเ็ พยี งแตม่ าอาศยั ชว่ั ครชู่ วั่ คราวเทา่ นนั้ แลว้ กม็ าพลดั พราก จากกนั ในการพลดั พรากจากกนั ในระหวา่ งกายกบั ใจนี้ กใ็ ห้ รเู้ หน็ วา่ ความเปน็ จรงิ ของโลก เปน็ อยอู่ ยา่ งน้ี ใหค้ นทงั้ หลาย ในยคุ นน้ั มีความเข้าใจ ไมไ่ ปยึดมัน่ ถอื มัน่ ว่าส่ิงใดเปน็ ของของ เราทั้งส้นิ

รอยเท้าชา้ ง

๑๖ รอยเท้าช้าง พระพทุ ธเจา้ มาแกไ้ ขปญั หาของคนทมี่ คี วามคดิ ผดิ ความเขา้ ใจผิด ทีเ่ ปน็ มิจฉาอยนู่ ั้น ใหก้ ลบั มาเข้าใจตามความ เปน็ จรงิ เรยี กวา่ เปน็ สมั มาทฏิ ฐิ มคี วามเขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ ง เหน็ ชอบ เปน็ ธรรม พระองค์จึงได้วางหลักแนวทางปฏิบัติไว้ ๘ ประการ เรียกว่า มรรค ๘ เริ่มต้นตัง้ แตส่ ัมมาทฏิ ฐเิ ป็นหลกั ใหญ่ เปน็ หลกั สำ� คญั และก็สัมมาสังกปั โป ตัวรองลงมา ถ้าหากวา่ ทุกคนมีความเขา้ ใจในหลกั เหตุผล ตามหลัก ความเป็นจริงของสัมมาทิฏฐิแล้วอย่างนี้ การพิจารณาสิ่งใด ด�ำริสิ่งใด ก็เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักเหตุผล น่ีก็เพราะ พระพทุ ธเจา้ มาแกไ้ ขปญั หาตวั น้ี พดู งา่ ยๆ วา่ พระพทุ ธเจา้ สอน พุทธบรษิ ัทในครั้งพทุ ธกาลนั้นเพ่อื อะไร สอนเพอ่ื ใหบ้ คุ คลนั้น มคี วามเขา้ ใจตามหลักความเป็นจริงท่มี ีอย่ใู นโลก

แตง่ ใจ ๑๗ ความเปน็ จรงิ ภายในคอื ตวั เรา ความเปน็ จรงิ ภายนอก คอื ส่งิ อ่นื สตั วอ์ ่นื สิ่งภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ใกลก้ ด็ ี ไกลก็ดี หยาบกด็ ี ละเอียดก็ดี ให้มคี วามรจู้ รงิ เห็นจริงด้วยกันทงั้ หมด สงิ่ ทง้ั หมดนจ้ี ะมหี ลกั ฐานประการใด มนั เปน็ ของทถ่ี กู ตอ้ งแลว้ พระองคจ์ งึ ไดว้ างหลกั ความเปน็ จรงิ อกี อยา่ งหนงึ่ เรยี ก ว่า ไตรลกั ษณ์ ไตรลักษณน์ เี้ ปน็ ตัวรบั ประกนั เปน็ ตัวช้ีขาด ได้ว่าในโลกน้ีไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน นอกจากความตาย อยา่ งเดยี ว คอื ใหร้ จู้ กั ของทไี่ มเ่ ทย่ี ง ทเี่ รายดึ ถอื ยดึ มนั่ กนั อยทู่ กุ วนั น้ี ยดึ ในสงิ่ ทไ่ี มเ่ ทย่ี ง เมอื่ เราเขา้ ใจวา่ เทยี่ ง จะเกดิ ความทกุ ข์ ขึ้นมา ความทุกข์ของคนเรามันอยู่ที่นี่ ความทุกข์กาย ความ ทกุ ขใ์ จ ความเขา้ ใจผดิ ในสงิ่ ทไี่ มเ่ ทย่ี งวา่ เทย่ี ง มคี วามเขา้ ใจผดิ ในของของเรา และมาแก้ไขปญั หาตัวนี้ ทง้ั นีม้ สี มั มาทิฏฐิ คือ ปญั ญาความเห็นชอบ อยา่ งใหญเ่ ป็นหลักประกัน การประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้าเริ่มต้นจากจุด นจี้ ดุ เดยี ว คือ สมั มาทิฏฐิ เร่มิ ค�ำสอนตรงน้ี ถึงจะมีค�ำสอนอีก ตอ่ ไป กม็ ารวมอยใู่ นสมั มาทฏิ ฐติ วั เดยี ว พระองคไ์ ดพ้ ดู ไดอ้ ธบิ าย ชัดเจนแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายใน โลกน้ี ยอ่ มมารวมอยใู่ นเทา้ ชา้ งแหง่ เดยี ว บรรดาธรรมทง้ั หลาย

๑๘ รอยเท้าช้าง ยอ่ มมารวมอยใู่ นความเหน็ ชอบ คอื สมั มาทฏิ ฐนิ แ้ี หง่ เดยี วเทา่ นน้ั บรรดามรรคทงั้ หลาย ๗ ข้อ คือ สมั มาสังกปั โป สมั มาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมา สมาธิ กม็ ารวมอยู่ในสมั มาทฏิ ฐิ คอื ความเห็นชอบนอี้ ยา่ งเดยี ว นั้นเอง ตัวน้ีเป็นหลักส�ำคัญ มีทางเส้นเดียวเท่าน้ี ถึงจะมีใน โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ก็ดี เช่นว่ามีอินทรีย์ ๕ มีพละ ๕ มี อิทธิบาท ๔ หรือสตปิ ฏั ฐาน ๔ กต็ าม ท้ังหมดน้ไี ปรวมอยู่กับ สัมมาทฏิ ฐติ ัวเดยี ว นเ้ี ปน็ หลกั ใหญ่

เปดิ เผยใหร้ ู้

๒๐ เปดิ เผยให้รู้ เมอื่ เราพจิ ารณาเรอ่ื งสตปิ ฏั ฐานทง้ั ๔ พจิ ารณาปฏบิ ตั ิ ในแง่ว่า กาย เวทนา จติ ธรรม การภาวนาในเร่ืองสติปัฏฐาน ทงั้ ๔ นี้ อาศยั กายเปน็ หลกั ขอ้ หนง่ึ จะพจิ ารณาอยา่ งไร ปฏบิ ตั ิ อยา่ งไรตอ่ กายสว่ นนี้ เมอ่ื กายเรามีอยูอ่ ย่างนแี้ ลว้ การพจิ ารณากายใหเ้ ปน็ ไปในรปู สมถะกย็ อ่ มทำ� ได้ หรอื ภาวนาทางกายให้เป็นวิปัสสนาก็ท�ำได้เช่นเดียวกัน แต่การ พจิ ารณารูปกายทีเ่ รยี กวา่ กายานปุ สั สนา นั้น ถา้ พิจารณาใน รูปสมถะแล้ว จะเพียงก�ำหนดสติระลกึ รู้อยูใ่ นกายส่วนใดส่วน หน่ึง จะยนื เดนิ นง่ั นอน กด็ ี ระลกึ รู้อยเู่ ทา่ น้ัน ดงั ทท่ี ำ� กนั อยู่ ทกุ วนั นี้ เปน็ ลักษณะทีว่ า่ กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน เวลาน่งั ก็ รวู้ ่าเรานง่ั เวลาเราค้แู ขน เหยยี ดแขน ก็รู้วา่ เราคู้แขน เหยยี ด แขน เมอื่ อวยั วะของกายเคลอ่ื นไหวไปอยา่ งไร กม็ สี ตริ ะลกึ การ เคลอื่ นไหวของกายส่วนน้ี อนั นเ้ี ป็นลกั ษณะทว่ี ่า อุบายของสติ เป็นท่ตี งั้ ครองอยใู่ นสมถกรรมฐาน

แตง่ ใจ ๒๑ สว่ นจะปฏิบตั ิอย่กู บั กายใหเ้ ปน็ วปิ ัสสนากรรมฐานนนั้ ทำ� อยา่ งไร เราตอ้ งมาศกึ ษาหลกั ของกรรมฐานทง้ั สองนใ้ี หเ้ ขา้ ใจ เสยี กอ่ นวา่ กรรมฐานทงั้ สองนม้ี คี วามเกยี่ วขอ้ งกนั อยา่ งไร และ มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไร กรรมฐานทงั้ สองนมี้ คี วามแตกตา่ ง กนั อยมู่ าก มอี บุ ายการปฏบิ ตั ติ า่ งกนั ลกั ษณะของสมถกรรมฐาน น้ัน เป็นอบุ ายทหี่ ้ามความคิดทกุ ประเภท จะคดิ โนน่ คิดน่ี ปรงุ น่ันปรุงนี่ หรือว่าคิดหน้าคิดหลัง ซ้ายขวา หรือคิดเรื่องอดีต อนาคตนี้ ห้ามเดด็ ขาด คอื หา้ มความคดิ ทุกอย่าง เพียงว่าให้ ระลึกรู้อยู่กับกายเราอยา่ งเดียวเทา่ น้ัน น้นั คือหลกั ของสมถะ แต่หลักวิปัสสนาน้ันไม่เหมือนกัน หลักวิปัสสนาเป็น หลกั ใชค้ วามคดิ ไม่เหมือนกบั สมถะ คอื คิดพจิ ารณาแยกแยะ ส่งิ ที่เรามคี วามเข้าใจอย่นู นั้ ออกมาเปดิ เผยใหร้ ู้หลกั ความจรงิ ของสง่ิ เหลา่ น้ี ความคดิ น้ี คดิ ไดท้ งั้ อดตี ทงั้ อนาคต และปจั จบุ นั คือคิดใหเ้ ป็นไปตามหลกั ความจริงทง้ั หมด เชน่ พิจารณาเรอ่ื ง อสุภะเปน็ ตน้ เอาเรม่ิ ตน้ ลงมาตั้งแต่ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ร้ือส่ิงที่เป็นส่วนของกายนี้ออกมาเป็นช้ินเป็นส่วน ให้ พิจารณาลงสู่อสุภะอสุภงั ของไมส่ วยไมง่ ามอย่างนีเ้ ปน็ ตน้ นี่ คอื ลักษณะการใช้ปัญญาพิจารณาในหลกั วปิ ัสสนา

๒๒ เปดิ เผยให้รู้ วปิ สั สนา แปลว่า ตัวปัญญา ถา้ พูดตามภาษาชาวบ้าน เราแล้วกว็ ่าเป็นตวั ความคดิ ถ้าพดู ภาษาธรรมก็คอื ปญั ญา จะ พดู สงู กวา่ นเี้ รยี กวา่ วปิ สั สนากไ็ ด้ แตย่ งั ไมถ่ งึ ขนาดวปิ สั สนาโดย สมบรู ณ์ เราเอาแคว่ า่ หลกั ปญั ญา อนั นกี้ ใ็ ชไ้ ด้ นนั่ คอื หลกั ปญั ญา นี้เอง เป็นหลักวิปัสสนา คือความครุ่นคิด การตริตรอง การ ใครค่ รวญ การวจิ ยั วเิ คราะหต์ า่ งๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั ความเปน็ จรงิ ทั้งหมด นีค่ ือวา่ หลกั วิปัสสนา

ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั

๒๔ ไมเ่ ทา่ เทียมกัน ให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายว่าเป็นอย่างไร ให้ รจู้ ักว่าความไม่เทย่ี งของกายนีม้ คี วามเปน็ มาในอดตี เกีย่ วข้อง กับปัจจุบันนี้อย่างไรบ้าง ให้มองเห็นชีวิตของเราในปัจจุบันน้ี ว่าชีวิตของเราไม่ได้เกิดชาติเดียวเท่านี้ มันยังมีอดีตส่งผลมา ท�ำให้คนเราทุกวันน้ีมีสภาพความเป็นอยู่แตกต่างกัน นั่นคือ กรรม กรรมมันตามสนองถึงให้ผลมาอย่างน้ี คนจึงมีความ แตกต่างกันอย่างนี้ น่ีก็ส่วนหน่ึง คนเราเกิดมาแล้วอายุขัยไม่ เทา่ เทยี มกนั กเ็ พราะกรรม นี่การพิจารณาเรือ่ งกรรม ในอดตี มาถงึ ปจั จบุ นั นี้ กรรมให้ผลไมเ่ ท่าเทยี มกัน สำ� หรับคนทุกวนั น้ี ยุคนี้มอี ายุสัน้ เพราะอะไร เพราะกรรมในตัวปาณาตบิ าต คน นน้ั ไดฆ้ า่ สตั วต์ ดั ชวี ติ มามาก เมอื่ ถงึ ยคุ นอี้ ายขุ ยั กส็ นั้ ไป การฆา่ สัตวก์ ็ดี การลักทรพั ย์กด็ ี ผดิ ในกามก็ดี ตัวพูดเทจ็ พูดไมจ่ ริงก็ ดี ตัวสุรากด็ ี พระพทุ ธเจ้าทรงมองเหน็ สง่ิ ทเ่ี ป็นกรรมทง้ั หมดนี้ และพระองคก์ เ็ อาสง่ิ ทง้ั หมดนม้ี าสอนเราเอาไว้ โดยการใชค้ วาม

แต่งใจ ๒๕ คิด ให้เราคิด สอนตัวเอง หรือพูดง่ายๆ ว่า ค�ำสอนของ พระพุทธเจา้ คอื หลกั คอื อุบายสอนใจโดยตรง ใจเรานเี้ ปน็ สงิ่ ทส่ี อนไดย้ าก ไมม่ สี ง่ิ อน่ื ใดในโลกจะสอน ได้ยากเท่ากบั ใจของเรา ด้วยเหตนุ ้ีใจจงึ เลอ่ื นลอยตามกระแส โลกมาเกดิ หลายกปั หลายกลั ป์ หลายชาตหิ ลายภพจนถงึ ปจั จบุ นั น้ี ก็เพราะใจเราสอนยากนั่นเอง เร่ืองการสอนใจน้ี ถ้าไม่ใช้ ปัญญาสอนแล้ว จะไม่มสี ่งิ อื่นใดจะสอนได้ น่ีเปน็ หลักสอนใจ โดยตรง ทำ� ไมจึงตอ้ งสอนใจ ก็เพราะใจมันหลงนน่ั เอง คำ� ว่า หลง หลงกบั โลกอนั นี้ หลงทัง้ ภายในตวั เอง และ กห็ ลงสง่ิ ภายนอกดว้ ย หลงสง่ิ ทมี่ ชี วี ติ และหลงสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ เมอ่ื มีความหลงขึ้นมาเมื่อไหร่ ความยึดม่ันถือม่ันในส่ิงนั้นว่าเป็น เรา เป็นของของเรา ย่อมปรากฏขึ้นกับเรานี่เอง น่ีเป็นหลักท่ีพระพุทธเจ้าจะสอนให้เราเข้าใจอย่างนี้ เพอ่ื ใหร้ ูว้ ่าการเกิดมาในโลกนมี้ ีความทกุ ขอ์ ยา่ งไรบ้าง เร่ิมตน้ จากทุกข์ทางกายหยาบๆ นี้เปน็ อยา่ งไร ใหเ้ ราเข้าใจในสว่ นท่ี เปน็ ทุกข์ ทกุ ข์ทางกายน้ี ถือวา่ เปน็ สภาวะทกุ ข์ทม่ี ีอย่ปู ระจำ� ตวั

๒๖ ไมเ่ ท่าเทยี มกนั เปน็ ของตายตัวอยแู่ ลว้ สว่ นทกุ ข์ภายนอก ซึง่ มี เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ทงั้ หมดน้ี เปน็ สว่ นทที่ ำ� ใหเ้ ราทกุ ขไ์ ดท้ ง้ั นนั้ เลย ความ พอใจยนิ ดใี นกามคณุ ทงั้ หลายทงั้ หมดนี้ เปน็ สง่ิ ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ความ ทุกข์ด้วยกันท้ังน้ัน พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า เม่ือคนเรามี ความยดึ ม่ันถือมัน่ วา่ สง่ิ นี้เปน็ ของของเรา บุคคลน้นั จะไมเ่ ป็น ทกุ ขไ์ มม่ ใี นโลก ความทกุ ขข์ องคนบนโลกนม้ี มี ากมายเหลอื เกนิ

ผ้บู อกทาง

๒๘ ผูบ้ อกทาง เราจะเอาเร่ืองความเป็นจริงท้ังหมดนมี้ าสอนกนั ค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ เปน็ เรอื่ งของความจรงิ เอาเรอื่ งความจรงิ มาสอน สงิ่ ใดไม่จรงิ ไม่ต้องสอน เพราะมันไม่มีประโยชน์ เอา ความจรงิ ทม่ี อี ยเู่ ปน็ อยู่ มาสอนกลุ บตุ รลกู หลาน จะรไู้ ดเ้ หน็ ได้ สอนให้คนเห็นสจั ธรรม ธรรมะทเี่ อามาสอนนี้ ไม่ใช่วา่ เอามาจากดนิ ฟา้ อากาศ อะไร เอาเรื่องของคนมาสอนคน เม่ือเรารับฟังค�ำสอนของ พระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว ก็น�ำค�ำสอนน้ันมาสอนตัวเองอีกต่อ หนึ่ง การฟงั ครบู าอาจารย์อธบิ ายธรรมะ ก็ยงั เป็นการอบรม ภายนอกอยู่ เราเพยี งแตไ่ ปรบั ขอ้ มลู ขา่ วสารจากครบู าอาจารย์ ไว้ แล้วก็เอามาอบรมตวั เองอกี ตอ่ หน่งึ คนจะอบรมตัวเองได้น้ันต้องมีปัญญา ปัญญาของคน เราในโลกนม้ี ดี ว้ ยกนั ทกุ คน ไมว่ า่ ถอื ศาสนาอะไรกต็ าม เมอ่ื เกดิ ขึ้นมาแล้วมีปัญญาด้วยกันท้ังน้ัน หรือคนท่ัวโลกน้ีเกิดข้ึนมา

แตง่ ใจ ๒๙ แลว้ แตป่ ญั ญาของเขานน้ั เปน็ ปญั ญาฝา่ ยโลกยี ะ คอื คดิ ในทาง โลก ไม่เข้าใจในทางธรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเอา ปัญญาที่เขามีอยู่แล้วให้เขาคิดเอง ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้มัน ต้องรู้หลัก เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาคร้ังแรกน้ัน ไม่ว่า พระองคจ์ ะไป ณ ทแี่ หง่ ใด จะมีคนมาชมุ นมุ กันมากมาย และ พระองค์ก็จะประกาศความจริงให้เขาฟัง คือยังไม่มีหลักการ อ่ืนใดในคร้ังพุทธกาลว่า เม่ือคนมารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แลว้ อยา่ งน้ี ให้พากนั รกั ษาศีลให้บริสทุ ธกิ์ ่อนนะ พระพุทธเจา้ ไมส่ อนอยา่ งนนั้ ท่านสอนให้คนร้คู วามจรงิ อยา่ งเดยี ว จะสอน ศีลไดอ้ ยา่ งไร เพราะเขายงั ไมร่ ู้จักศลี จะวา่ ตัวปาณา อทนิ นา ก็วา่ ไมไ่ ด้ หรือจะสอนสมาธิ เขากไ็ มร่ เู้ รอ่ื งเหมือนกัน พระองค์ มแี ตส่ อนเร่ืองความจริงใหเ้ ขาฟงั ให้เขาระลกึ ร้เู ท่านั้นเอง ในครง้ั พทุ ธกาลนนั้ ถา้ ตามประวตั ขิ องพระอรยิ เจา้ แลว้ ส่วนใหญฆ่ ราวาสจะไม่รู้จกั ศีลเลย ศลี ห้าเป็นอยา่ งไรก็ไมร่ ู้ นี่ เล่าตามประวัติของพระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสเห็นชัดทีเดียว หลกั การประกาศศาสนาของพระพทุ ธเจา้ เรม่ิ ตน้ จากอะไรกนั แน่ สมมตวิ า่ มกี รรมฐาน ๒ อย่าง

๓๐ ผูบ้ อกทาง ๑) สมถกรรมฐาน ๒) วิปสั สนากรรมฐาน กรรมฐาน ๒ อย่างน้ี ถ้าจะให้ถามหรือให้เกิดความ เขา้ ใจวา่ พระพทุ ธเจา้ สอนกรรมฐาน ๒ อยา่ งน้ี สอนอะไรกอ่ น กัน น่ีสมมติว่าค�ำถามออกมาอย่างน้ี คือสอนเพื่อว่า ๑) ท�ำ สมาธิ ๒) สอนเรอื่ งปญั ญา พระพทุ ธเจ้าต้องสอนปญั ญาก่อน ทง้ั น้นั เลย ไมม่ ีคำ� วา่ สอนสมาธกิ ่อนแตอ่ ย่างใด สอนปญั ญาคือ อะไร คอื สอนใหค้ นมคี วามเขา้ ใจ ปญั ญาเขามอี ยแู่ ลว้ แตอ่ าศยั เขาคดิ ใหเ้ ขา้ ใจตามเหตุตามผล ตามหลกั ความเปน็ จริง พระพทุ ธเจา้ สอนอญั ญาโกณฑญั ญะ หนง่ึ ในปญั จวคั คยี ์ ท้ังหา้ ทา่ นสอนปัญญาทั้งนนั้ เลย ที่สุดท่ีท่านสอนมี ๒ อยา่ ง นนั้ คอื อตั ตกลิ มถานโุ ยค คอื สอนใหเ้ ขา้ ใจวา่ คนอยากทนทกุ ข์ ทรมานลำ� บาก เหมอื นกบั พวกฤาษชี ไี พรทเี่ ขาเปน็ กนั นนั้ ใชไ้ ม่ ได้ ไมถ่ กู หลักถูกทาง กามสขุ ลั ลกิ านุโยค คอื สอนให้รู้จกั โทษ ทกุ ข์ ภยั ของ กามคณุ ใจมคี วามยนิ ดี มคี วามรกั ในกามคณุ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส นัน้ เป็นทกุ ข์อย่างไร ก็ตอ้ งสอนใหป้ ัญญาแกป่ ญั จวัคคีย์นัน่

แตง่ ใจ ๓๑ แหละ ได้ตรกึ ตรองใครค่ รวญตามคำ� สอนของพระพทุ ธเจ้านน้ั ไป คอื ปญั ญาของคนนนั้ มอี ยแู่ ลว้ แตข่ าดผนู้ ำ� ผชู้ แี้ นะแนวทาง ให้เทา่ น้นั เอง แต่ถ้ามีผู้แนะแนวทางให้ ใหข้ ้อมลู ทีด่ ี ให้ข้อมลู ที่ถูกต้องเป็นธรรมแล้ว ปัญญาที่เขามีอยู่น้ัน เขาก็คิดตามได้ คิดตามเหตุผลไปได้เลย ไม่จ�ำเป็นจะไปให้ปัญญาเกิด เพราะ มนั มอี ยแู่ ลว้ ปญั ญานนั้ แตม่ นั ขาดขอ้ มลู ทผ่ี นู้ ำ� ชแี้ นะ นกี่ ารตรกึ ตรอง นคี่ อื ธรรมชาตขิ องคน ของปญั ญาของคน ในครง้ั พทุ ธกาล

สวยจริงหรอื

แต่งใจ ๓๓ ยกตวั อย่าง พ่อแม่ของ นางมาคนั ทิยา พ่อแม่นาง มาคนั ทยิ านี้มีลกู สาวงามคนหน่ึงชื่อนางมาคันทิยา ทีนพี้ ่อแม่ กพ็ ยายามจะใหแ้ ตง่ งานกบั ชายทม่ี ีรปู สวยรูปงามเทา่ เทยี มสม กนั กบั ลกู สาวตวั เอง แตก่ ห็ าไมไ่ ด้ คนไหนมาสขู่ อกม็ แี ตค่ นขร้ี ว้ิ ขเ้ี หร่ รปู รา่ งกลางตวั กไ็ มส่ วยงามเหมอื นลกู สาวของเรา กห็ า้ ม ไว้ก่อนอยา่ เพงิ่ แตง่ มาในวันหน่ึง ผู้เป็นพ่อออกไปธุระข้างนอกบ้าน พระพุทธเจา้ จึงมองเห็นไดว้ ่า พ่อพราหมณ์ แมพ่ ราหมณ์ ท้งั สองนนั้ มีนิสัยบารมมี าก่อนในอดตี แตบ่ ดั น้ีเขามีความเห็นผดิ หลายๆ อยา่ ง พระองคจ์ ะมาสอนมาโปรดสองผวั เมยี น้ี พระองค์ จึงมาปรากฏตัวให้เห็นในทนี่ นั้ เมอ่ื พอ่ พราหมณเ์ หน็ แลว้ อยา่ งนี้ แทนทจี่ ะกราบจะไหว้ เคารพบูชา พอดูป๊ปั เห็นทนั ทีเลยวา่ เออ้ ทำ� ไมบุรุษทา่ นนจ้ี งึ สวยนัก คู่ควรกับลูกสาวของเรามากจริงๆ ลูกสาวเราก็สวย

๓๔ สวยจรงิ หรือ อยา่ งน้ี คนนี้กส็ วยอยา่ งน้ี ถ้าคนน้ไี ดเ้ ปน็ ลูกเขยเราเมื่อไหรล่ ะ ก็ ลูกสาวเราจะมคี วามสขุ ขนาดไหน กม็ คี วามมน่ั ใจวา่ เดี๋ยว จะเอาลูกสาวเรามาเทยี บดซู วิ ่า ความสวยของลูกสาวของเรา นน้ั กบั ความสวยของบรุ ษุ ทา่ นน้ี จะสวยงามเทา่ เทยี มกนั ขนาด ไหน ถ้าเท่าเทียมกันแล้วก็จะให้แต่งงานกันเลย จึงได้บอก พระพทุ ธเจา้ ไปวา่ ดูกอ่ น บุรุษ ทา่ นต้องยืนคอยฉันอยทู่ ่ีนน่ี ะ ฉนั มธี รุ ะกบั ขา้ งบา้ นนดิ หนอ่ ย เดย๋ี วออกมา พระพทุ ธเจา้ รแู้ ลว้ วา่ พ่อพราหมณ์จะไปเรยี กลกู สาวมา พระองคก์ ย็ นื รอ เมื่อพ่อพราหมณ์เข้าไปแล้ว ก็ได้บอกให้แม่พราหมณ์ กบั ลกู สาวใหไ้ ปแตง่ ตนแตง่ ตวั เครอ่ื งประดบั ประดา สวยอยา่ งไร ทำ� เตม็ ที่ สวมใสเ่ ตม็ ท่ี มบี รุ ษุ ทา่ นหนง่ึ สวยมากไปคอยขา้ งบา้ น แล้ว คือจะดึงลูกสาวมาเทียบให้ได้ พอเสร็จแล้วก็พาลูกสาว และแม่พราหมณอ์ อกมา พอมากไ็ ม่เหน็ พระพทุ ธเจา้ แล้ว คอื อำ� นาจฌานของพระพทุ ธเจ้าปดิ บงั เอาไว้ พระองคก์ ็หนจี ากท่ี นั้นไปประมาณซกั ยสี่ บิ เมตรคงจะได้ แม่พราหมณเ์ หน็ วา่ เออ น่ี พ่อพราหมณ์ รอยเทา้ บุรษุ อย่างน้ี มิใชผ่ เู้ สพกามคุณ ไหน อยู่ที่ไหนไปดูซิ หาไปหามาไปเจอพระพุทธเจ้ายังยืนอยู่ใกล้ๆ นัน้ เอง กบ็ อกแมพ่ ราหมณ์ แมพ่ ราหมณ์ บุรษุ ท่วี า่ มายนื อยูท่ ี่

แตง่ ใจ ๓๕ น้ีแลว้ เข้ามา เข้ามา เมือ่ เข้ามากด็ ึงลกู สาวตวั เองเข้ามาเทยี ม คใู่ หไ้ ด้ ดซู ขิ นาดนน้ั มาเทยี มคใู่ หไ้ ดว้ า่ ความสวยงามจะกำ�้ เกนิ กนั อยา่ งไรบา้ ง ในชว่ งเดยี วกนั พระพทุ ธเจา้ กไ็ มไ่ ดว้ า่ อะไร กไ็ ด้ บอกไปวา่ ดกู อ่ น พราหมณ์ ฟงั ก่อน เราจะอธบิ ายความจริง ใหฟ้ ัง พระพุทธเจา้ ก็อธิบายความจรงิ ใหเ้ ขาฟังเสยี เลย ไมไ่ ด้ บอกว่า เธอรบั ศลี ก่อน พราหมณ์ ไมไ่ ดพ้ ูด เธอท�ำสมาธกิ ่อน พราหมณ์ ไม่ได้พูด นึกค�ำบริกรรมก่อน พราหมณ์ ไม่ได้พูด อธบิ ายความจรงิ ใหเ้ ขาฟงั ใหพ้ ราหมณน์ น้ั ฟงั พราหมณท์ งั้ สอง ผวั เมยี ก็ยนื ฟังอยา่ งต้ังใจ เมือ่ ฟงั ไป นกึ ไป พิจารณาไปตามคำ� สอนของพระพุทธเจ้า คอื กพ็ ูดความจรงิ พระพุทธเจ้าพูดจริง ทงั้ หมด เมอ่ื พราหมณท์ งั้ สองไดพ้ จิ ารณาตามความจรงิ คอื จรงิ เรอ่ื งสงั ขารรา่ งกาย คอื กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน พระพทุ ธเจา้ เอาเรอ่ื งของกายนนั่ แหละมาเปน็ หลกั คอื มาใชป้ ญั ญาพจิ ารณา กาย กายของเราน้ีตามปกติแล้ว ไม่มีส่วนหน่ึงส่วนใดจะมี ความสดใสงดงามขนึ้ มาได้ ของทุกส่วนในร่างกายของคน เช่น เนอ้ื ฟนั หนงั กด็ ี มแี ตส่ งิ่ สกปรกโสโครกเหมอื นกนั ทง้ั นน้ั ความ

๓๖ สวยจรงิ หรือ หอมไมม่ ี ความสวยไม่มี พระองค์ก็อธิบายเร่ืองความสกปรกโสโครกในสังขาร รา่ งกาย ในรปู กายนท้ี ง้ั หมด ใหเ้ ขาฟงั แยกแยะใหเ้ ขาฟงั ทง้ั หมด เรยี กว่า อาการสามสิบสอง เราสวดทกุ วันน้ี ผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เน้อื เอ็น กระดูก เยือ่ ในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ผังผืด ตับ ปอด ไลก่ ันไปจนถึงอาการสามสิบสอง ทกุ สว่ นนน้ั ไมม่ ีส่งิ ใดมี ความสวยงดงามแตอ่ ย่างใด สงั ขารอาการของคนเรา เมือ่ เกิด ขน้ึ มาแลว้ กแ็ ก่ เมอื่ แกไ่ ปแลว้ ความสวยกไ็ มม่ เี ชน่ เดยี วกนั เมอื่ พระพทุ ธเจา้ อธบิ ายอยา่ งนใี้ หพ้ ราหมณฟ์ งั พราหมณก์ ม็ ปี ญั ญา เขา้ ใจตาม สดุ ทา้ ยพราหมณส์ องผวั เมยี นนั้ บรรลธุ รรมเปน็ พระ อนาคามี นด่ี สู วิ า่ พระพทุ ธเจา้ ใหศ้ ลี หา้ หรอื ยงั การพจิ ารณากาย ใชป้ ญั ญาอยา่ งน้ี เรยี กวา่ เจรญิ วปิ สั สนา คอื พยายามดงึ แนวทาง วิปัสสนาให้พราหมณ์สองผัวเมียเจริญวิปัสสนาตาม ให้เขารู้ ตามน้ี มีหลายๆ เรื่องในครั้งพุทธกาล คนไม่รู้จักศีลห้าก็เป็น พระอรยิ เจ้าได้ เรียกวา่ การปฏิบัติธรรม

ดอกบวั ที่รว่ งโรย

๓๘ ดอกบัวที่รว่ งโรย พระพุทธเจ้าได้มองเห็นจุดเด่นของคนเรา จะดึง โนม้ นา้ วใหค้ นเปน็ อยา่ งไร นสิ ยั วาสนาบารมขี องคนเรานนั้ สรา้ ง กนั มาอยา่ งไร พระพทุ ธเจา้ รู้ แตย่ คุ นสี้ มยั นมี้ คี วามแตกตา่ งกนั กับคร้งั พุทธกาลมาก คือไม่มใี ครรวู้ าสนาบารมีของใครได้ ว่า ใครสร้างบารมมี าอย่างไร ฉะน้ัน จงึ ไม่สามารถท่ีจะเอาธรรมะ ให้ลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติ ให้บรรลุธรรมได้เหมือนคร้ังพุทธกาล ผมู้ นี สิ ยั ลกั ษณะรนู้ สิ ยั บารมขี องคนไดน้ นั้ มผี เู้ ดยี ว คอื พระพทุ ธเจา้ บรรดาพระสาวกท้ังหลายร้นู ิสยั วาสนาบารมีของคนไมไ่ ด้ ยก ตวั อย่างเชน่ พระสารบี ตุ ร พระสารีบุตรน้ี ก็เป็นผู้มีปัญญาอันเฉียบแหลมเฉียบ ขาด เรียกว่าในครั้งพุทธกาลนั้น เป็นผู้มีปัญญาเลิศที่สุดใน บรรดาพระอรหันต์ท้ังหลาย แตข่ นาดนัน้ ก็ไม่สามารถทจ่ี ะเอา ปัญญาที่ตัวเองมีอยู่นั้น มาสอนลูกศิษย์องค์หนึ่งให้หายจาก ความก�ำหนัด คอื ความกระสันอยากจะสกึ ไปได้ พยายามทกุ สิง่ ทุกอย่าง พาไปป่าชา้ ใหพ้ จิ ารณาซากศพตา่ งๆ ศพใหม่ ศพ

แต่งใจ ๓๙ เกา่ อะไรกแ็ ล้วแต่ พจิ ารณากนั ทง้ั นนั้ แต่ถึงขนาดนน้ั กย็ งั ไม่ หายจากความกระสันอยากจะสึก จนหมดปัญญาของ พระสารบี ตุ ร จงึ นำ� ภกิ ษอุ งคน์ ไ้ี ปหาพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ จึงตรัสบอกว่า ดูก่อน สารีบุตร ลูกศิษย์ของท่านองค์น้ี เป็น นสิ ัยเราตถาคตเทา่ นน้ั ทีจ่ ะชว่ ยได้ ผู้อ่ืนเทศนโ์ ปรดไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงเนรมิตดอกบัวให้ เมื่อให้ไปแล้วก็ บอกว่า ดกู อ่ น ภิกษุ ใหเ้ ธอพิจารณา ดอกบัวดอกนใ้ี หเ้ ปน็ ไป ตามที่เราสอนเอาไว้ เราสอนอยา่ งไร กพ็ ิจารณาดอกบวั อย่าง นัน้ ดอกบวั หมายถงึ อะไร หมายถึงรูป คอื หมายถงึ รปู กาย เอาดอกบวั ดอกนน้ั มาพจิ ารณา เรมิ่ ตน้ ตงั้ แตด่ อกบวั ดอกนเ้ี กดิ ขึ้นมาได้อย่างไร ตุ่มมาจากเหง้าบัวอย่างไร มาเป็นดอกบัว อยา่ งไร หลุดพน้ จากปากเตา่ ปากปลา มาอยา่ งไร ก็พิจารณา ไป เมอ่ื ถงึ จดุ นด้ี อกบวั กก็ ำ� ลงั เปน็ ตมู กพ็ จิ ารณาใหเ้ ปน็ บานขน้ึ มาซิ ใหเ้ บง่ บานข้ึนมา เมื่อพิจารณาว่า เมื่อดอกบวั บานเตม็ ที่ แลว้ อยา่ งนี้ มนั ก็แห้ง รว่ งโรยไปเทา่ นั้นเอง นี้ฉนั ใด ใหโ้ อปนยิโกเขา้ มาวา่ สงั ขารรา่ งกายทส่ี ดุ น้ัน กเ็ หมอื นกบั ดอกบวั ดอกน้ี เมอื่ เกดิ ขน้ึ มาแลว้ ไมม่ กี ารเทยี่ งแท้

๔๐ ดอกบวั ที่รว่ งโรย แน่นอนแต่อย่างใด เมื่อภิกษุพิจารณาไป พิจารณาไป ตาม ดอกบัวนั้น พออธิบายธรรมะจบ ภิกษุองค์นั้นก็บรรลุเป็น พระอรหันต์ ดสู ิ เพยี งดอกบวั ดอกเดยี ว ถ้าหากวา่ ผู้มปี ัญญาท่ี ดีแลว้ ย่อมทำ� ได้ แตก่ ็มเี หตุปัจจยั อยา่ งหนึง่ ภิกษุองคน์ ั้นชาติ ก่อนๆ เป็นผตู้ ีดอกบวั ทอง ดอกบัวเงิน ไปถวายพระราชาอยู่ เปน็ ประจำ� นิสยั ความพอใจดอกบวั ดอกนีจ้ ึงฝงั ใจ ติดนิสัยมา จากจดุ นนั้

ใหห้ มดไปจากใจ

๔๒ ใหห้ มดไปจากใจ ในครั้งนน้ั พระองค์เจ้าเทศน์ใหค้ นเปน็ พระอรยิ เจา้ ได้โดยไมไ่ ดพ้ ูดหรือบังคบั ให้ทุกคนทำ� สมาธิก่อน เม่อื ทำ� สมาธิ จติ สงบแล้วปญั ญาจะเกดิ ข้ึน พระพุทธเจา้ ไมไ่ ด้สอน ถ้าดูตาม ตำ� ราแลว้ ในครงั้ พทุ ธกาลนนั้ เรอื่ งทำ� สมาธมิ มี ากอ่ นพระพทุ ธเจา้ ของเรา สมัยที่พระพุทธเจ้าของเราเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังท�ำ สมาธิน้อี ยู่ พระองคจ์ ึงหลงอยใู่ นสมาธนิ ีต้ ัง้ หา้ ปีกว่าๆ จงึ รู้จกั ช่องทางปฏิบตั ิเป็นพระพทุ ธเจา้ ได้ เมอื่ พระองคเ์ ปน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้ อยา่ งน้ี จงึ เหน็ วา่ จะ ทำ� อยา่ งไรกบั การภาวนาปฏบิ ตั เิ พอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ ความลา่ ชา้ พระองค์ จึงวางหลักปัญญาน้ีเป็นหลักส�ำคัญเอาไว้ เรียกว่า ปัญญา สมั มาทฏิ ฐิ ขั้นเรมิ่ ตน้ จากคำ� สอนของพระพุทธเจา้ เรม่ิ ตน้ จาก ปญั ญาตัวนี้ เร่อื งท�ำสมาธเิ ปน็ เรอ่ื งรองลงมา ถา้ หากวา่ มปี ญั ญาเหน็ ชอบแลว้ อยา่ งน้ี ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง เปน็ สายสัมมาทงั้ หมด จะมีการพจิ ารณาสง่ิ ใด ด�ำรขิ องสง่ิ ใด ก็

แตง่ ใจ ๔๓ เปน็ สัมมา หรือว่า สัมมาสงั กปั โป สมั มาวาจา สมั มากมั มนั โต สัมมาอาชโี ว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มันจะเป็น หลกั สัมมาตอ่ เนือ่ งกนั มาตลอด ถ้าเปน็ สายเดยี วกนั แล้ว แต่ถ้าผู้น้ันยังเป็นมิจฉาอยู่ในใจ ยังไม่เข้าใจ ยังมี ความยึดมน่ั ถือมน่ั เขา้ ใจผดิ ในสง่ิ ตา่ งๆ นาๆ ว่าเป็นนัน่ เป็นนี่ อยนู่ น่ั แหละ ถือวา่ เป็นมิจฉา ก็ มิจฉา หมายถงึ ว่า ความเหน็ ผดิ จากแนวทางของพระอรยิ เจา้ ถา้ เราเหน็ ผดิ ไปจากแนวทาง พระอรยิ เจา้ อยา่ งน้ี จะไปภาวนาอยา่ งอนื่ มนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ มนั ต้องมาแก้ปัญหาความเห็นผิดของเราให้หมดไปจากใจเรา เสียกอ่ น ถา้ ความเปน็ มิจฉาไม่หมดไปจากใจตวั เองแลว้ นี้ จะไป นึกค�ำบริกรรมท�ำสมาธิก็จะเป็นมิจฉาต่อไปตลอด หรือจะไป ด�ำรพิ ิจารณาอะไร กเ็ ป็นมิจฉาเรียกวา่ มจิ ฉาสังกปั โป ดำ� ริผิด มจิ ฉาวาจา คำ� พดู ตา่ งๆ กผ็ ิด มิจฉากัมมนั โต การงานตา่ งๆ ก็ ผดิ มิจฉาอาชีโว การเลีย้ งชีวติ ก็ผดิ เปน็ อยา่ งนี้ น่ีคอื ทางสาย ทมี่ นั ผดิ มจิ ฉาวายาโม การภาวนาปฏบิ ตั ิ ความเพยี รกผ็ ดิ ตามๆ กัน มจิ ฉาสติ การระลึกไดก้ ็ผิด ตลอด มจิ ฉาสมาธิ ดว้ ย การ ต้งั ม่ันของใจกผ็ ดิ นคี่ ือสายทางที่ผดิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook