๑๐๐ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญฺจโน ส่งิ ท่ีเรายังไม่เห็นไมเ่ ข้าใจ (ทท่ี า่ นจะสอน) อันนเี้ ป็นศรทั ธาทีม่ ปี ระโยชน์ ท่านอาจารย์มีอะไรจะเพิ่มเตมิ ไหม พระอาจารย์อนันต์ : ก็ไม่มีอะไรจะเพิ่มเติม ก็เป็นความเห็นของ ภิกษณุ กี ็ดีก็อย่างน้นั ถ้าเรามีศรทั ธาความเชื่อก่อนแต่เมอ่ื เราเชอ่ื แล้วเรา กป็ ฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั ิไปแลว้ เรากเ็ หน็ อกี ครง้ั หนง่ึ ศรทั ธาเราถงึ จะมน่ั คง ทแี รก เรากอ็ าศัยความเชื่อทท่ี ่านสอนกอ่ นแลว้ ก็ท�ำ ไป เราเช่ือเราก็ท�ำ ไป เราไม่ เช่อื เราก็ท�ำ ไปกอ่ น ตอ่ มาเรากเ็ ข้าใจลึกซง้ึ ขนึ้ ในคำ�สอนในข้อวตั ร ทำ�ไป ก็ไม่มีตัวตน ไม่ให้มีตัวตน ทำ�ไปด้วยความมีสติเป็นสำ�คัญ ในข้อวัตร ทา่ นสอนอย่างไรท�ำ ไปดว้ ยความมสี ติ เมื่อเราท�ำ ไปดว้ ยความมีสติ เราก็ เป็นการปฏิบัติไปด้วยอันนี้ก็สำ�คัญเหมือนกัน ตอนอยู่กับหลวงปู่ท่านก็ บอกว่าอย่างนี้ เม่ือเราเอากระโถนของครูบาอาจารย์ไปทำ�ความสะอาด ก็อย่าคิดว่าเราทำ�ให้อาจารย์ เราทำ�ไปด้วยข้อวัตรของเรา เราทำ�ไปด้วย ความมสี ติ มคี วามรอบคอบ เราเป็นพระเลก็ เณรน้อยเรากอ็ าศยั ความยดึ มน่ั ถอื มั่น อาศัยวา่ อันนีเ้ ปน็ กระโถนของอาจารย์ อันนเ้ี ราจะท�ำ ใหค้ รบู า อาจารยก์ ร็ สู้ ึกมีกำ�ลังใจทจ่ี ะท�ำ กอ่ น แตท่ ่านก็สอนใหป้ ล่อยวาง ทำ�ในขอ้ วตั ร ใหท้ ำ�ไปด้วยความมสี ติอนั นั้นถกู ต้อง แตว่ า่ เราท�ำ ครั้งแรกนัน้ ท�ำ ไป ด้วยความระลึกในครูบาอาจารย์ ต่อไปเม่ือเรามีหลักแล้วเราก็ท�ำ ไปด้วย ความมสี ติปัญญา โยมอุบาสิกาจะบวชเป็นภิกษุณีบ้างไหม ตามไปอยู่อเมริกาสละโลก ไหม... มีแม่ชีคำ�ฟ้าไปบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง เขาโกนหัวเขาร้องไห้ เสียดายผม แมช่ คี ำ�ฟา้ คนองั กฤษ ภิกษณุ ีไม่มีผมสบาย... เณรอารีย์ : สังคมที่น่ีอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ ไม่ทราบว่าสังคมที่ ภิกษณุ ีอยู่ อยกู่ ันอยา่ งไร ภิกษุณี : ก็อยรู่ วมกันเป็นหมคู่ ณะเหมือนกบั ที่นี่ การอยรู่ วมกันเปน็
หมคู่ ณะนน้ั เปน็ ประโยชนเ์ หมอื นกนั ส�ำ หรบั ชาวเอเซยี จะอยเู่ ปน็ หมคู่ ณะ งา่ ยกวา่ ชาวตะวนั ตก โดยเฉพาะในสงั คมปจั จบุ นั การอยกู่ นั เปน็ หมคู่ ณะ จะช่วยในการปฏิบัติเจริญเมตตากับคนอ่ืน ชาวตะวันตกมักจะทำ�อะไร ตามใจตัวเอง ถ้าอย่กู บั หมู่คณะกจ็ ะรสู้ ึกวา่ ช่วยให้ได้ฝึกมากขึ้น พระอาจารยอ์ นันต์ : มอี ะไรกส็ นทนากนั นะ มันดาลา มนตราหมิ าลยั (Mandalas) ค�ำ ว่า “มันดาล่า” มาจากภาษาสันสกฤต “มนั ดา (manda)” แปลเป็นภาษาธิเบต คือ “kyil-khor” มีความหมายตามรปู ศพั ท์วา่ “ซึ่งล้อมรอบ จุดศูนย์กลาง” โดยใช้ในความหมายควบคู่ไปกับคำ�ว่า “โพธิ” หรือการตื่น การบรรลุธรรม ซึ่งชี้ถึงสถานที่นั่งภายใต้ต้น โพธิ์ ที่ซงึ่ การตรัสรูอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ได้เกิดข้นึ โดยทัว่ ไปแลว้ มนั ดาลา่ จะถกู แสดงไว้เปน็ รปู แบบสองมติ ิ ซึ่งโดยปกติก็จะทำ�จาก กระดาษ สิง่ ทอ และผงทรายยอ้ มสี และโดยเฉพาะสำ�หรับ มนั ดาล่าทราย จะมชี ่ือเรียกวา่ dul-tson-kyil-khor ในภาษาธิเบต ซง่ึ แปลวา่ “มนั ดาลา่ ทท่ี �ำ จากผงส”ี สว่ นค�ำ วา่ “ลา (la)” หมาย ถงึ “วงลอ้ ทหี่ ลอมรวมแกน่ ” ดงั นนั้ “มนั ดาลา” จงึ แปลวา่ “ทปี่ ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ และพระโพธสิ ตั ว์ ตา่ งๆในขณะทร่ี แู้ จง้ ” และภาพเหลา่ นจี้ ะปรากฏในมโนทศั นข์ องวชั ราจารย์ (ครบู าอาจารย์ในพทุ ธศาสนา นกิ ายวชั รยาน) สำ�หรบั คนไทยเราเรียกค�ำ วา่ มนั ดาลาเป็นสำ�เนียงไทยว่า “มณฑล” นนั่ เอง ซ่ึงก็มีความ หมายสอดคล้องกนั มนั ดาลา่ คอื จกั รวาลอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ทซ่ี ง่ึ สง่ิ ประเสรฐิ ทงั้ มวลทด่ี สู มจรงิ ราวกบั ในนมิ ติ แหง่ จนิ ตนาการ ถกู รวมไวอ้ ยภู่ ายในวงกลมศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เพอื่ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า ถอื เปน็ หนง่ึ ในสญั ลกั ษณท์ เ่ี ปน็ มงคลอยา่ ง ยิ่ง เป็นการแสดงออกแห่งสภาวะของการรู้แจ้งอย่างถ่องแท้ และถูกนำ�มาใช้เป็นเคร่ืองช่วยในการทำ� สมาธิ กลา่ วอยา่ งงา่ ยๆ กค็ อื มันดาล่าแสดงให้เหน็ วิมานสวรรค์อนั ศักดส์ิ ิทธ์ขิ องผรู้ ู้แจง้ อยา่ งชดั เจน และในกรณนี กี้ ค็ อื สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ หง่ ความเมตตาอนั เปน็ สากล ที่ รจู้ กั กนั ในนามวา่ “เชนรซี กิ ” ในภาษาธเิ บต พระอวโลกเิ ตศวรใน ภาษาสันสกฤต และกวนอมิ ในภาษาจีน (สำ�หรบั ประเทศไทย ก็ จะเป็นพระไภษชั ยคุรุ) อย่างไรกต็ าม ในระดบั ที่เปน็ นยั ขึ้นไปอีก มนั ดาลา่ จะเปน็ สญั ลกั ษณข์ องสภาวะอนั บรสิ ทุ ธแิ์ หง่ จติ ใจเรา ซงึ่ สมมตไิ ว้ในรปู แบบของวมิ านสวรรคข์ องสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ โดยที่ ธรรมชาตแิ ห่งความเปน็ พุทธะในเนือ้ แทข้ องเรา “ปรศิ นาธรรมท่ีแฝงอยู่ในมันดาลา่ ทรายนี้ ก็คอื ทุกส่งิ ทุกอยา่ งไมม่ อี ะไรย้ังยนื เทยี่ งแทแ้ นน่ อน สังขารไมเ่ ที่ยง” ดกู าย... เห็นจิต ดูจิต... เห็นธรรม
๑๐๒ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ ฺจโน “ เห็นอารมณ์ท่ีเรายินดีขึ้นมามันก็เกิดดับ อารมณ์ยินร้ายก็เกิดดับ จิตก็อยู่เป็นกลางๆ ตรงนสี้ �ำ คญั วา่ จติ ของเราไมย่ นิ ดีไมย่ นิ รา้ ยแลว้ จติ เปน็ กลางๆ ตรงนท้ี า่ นวา่ เปน็ ทางปฏบิ ตั ทิ ถี่ กู ”ต้อง ทเี่ ราจะได้เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้า
การปฏิบตั ิให้ไดผ้ ลเรว็ ... ทางสายตรง ๙ ตลุ าคม ๒๕๔๘ จติ ใจของเราท่ีไม่ไดฝ้ กึ นน้ั ก็ไมม่ ปี ญั ญา ไมม่ ปี ญั ญากเ็ พราะวา่ จติ ไมม่ ี สมาธิ จิตก็จะปรุงจะแต่งนึกคิดไปในอารมณ์ที่เป็นอดีตมาแล้วก็ดี ปรุง แต่งไปในอารมณ์ท่ีเป็นอนาคตอยู่เสมอจิตจะไม่อยู่กับปัจจุบัน เม่ือจิต ของเราปรงุ แตง่ ไปมากขนึ้ เทา่ ไหรค่ วามสงบของจติ กจ็ ะนอ้ ยลง ความสงบ ของจติ ของเรานอ้ ยลงก�ำ ลงั ของจติ ออ่ นก�ำ ลงั เมอื่ จติ ออ่ นก�ำ ลงั กเิ ลสกจ็ ะ มีก�ำ ลงั มาก เปน็ เหตุเป็นปจั จัยใหเ้ กดิ ความทกุ ขข์ ้ึนมาในจิตของเรา ซง่ึ ทกุ คนก็ต้องการความสขุ ไมต่ อ้ งการในความทุกข์ แตค่ วามสขุ ความทุกข์ ทง้ั หลายกม็ เี หตเุ ปน็ แดนเกิด ซงึ่ พระพทุ ธเจา้ กต็ รสั ถงึ เหตถุ งึ ปจั จยั ของเหตทุ เี่ กดิ ความสขุ ความทกุ ข์ ๑๐๓ดูกาย... เห็นจติ ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๐๔ พระอาจารยอ์ นันต์ อกญิ ฺจโน นน้ั เมอ่ื เรามาพจิ ารณาในธรรมะ ในคำ�สอนของพระพทุ ธเจา้ ของผทู้ ร่ี แู้ ลว้ ตน่ื แล้ว เบิกบานแลว้ ใจเปน็ ผ้รู ู้ ตน่ื เบิกบานในธรรม มีความสวา่ งแล้ว พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ แสงสวา่ งเกดิ ขนึ้ แลว้ แกเ่ รา ปญั ญาเกดิ ขนึ้ แลว้ แก่ เรา วชิ ชาเกดิ ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา ญาณเกดิ ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา ในธรรมทท่ี า่ นไมเ่ คย ได้ฟงั มาแต่ก่อน แต่ท่านกร็ ้แู จ้งในเรอ่ื งทุกข์ เหตุใหเ้ กดิ ทกุ ข์ ความพน้ ทกุ ขห์ รือดับทกุ ข์ ขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิให้ถงึ ซงึ่ ความพน้ ทกุ ข์ พระองคก์ ร็ ู้ แจ้ง เรอื่ งของทกุ ขน์ นั้ เรยี กวา่ ทกุ ขอรยิ สจั จน์ น้ั เปน็ อยา่ งไร ความเกดิ ความ แก่ ความเจบ็ ความตาย ความพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจ ปรารถนา ส่ิงหน่ึงส่ิงใดไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ระคนอยู่กับคนที่เราไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ ความทกุ ขน์ เ้ี ปน็ ทกุ ขอรยิ สจั จว์ า่ ทกุ ขน์ เี้ ปน็ อยา่ งน้ี วา่ ทกุ ขน์ ค้ี วรทำ�อยา่ งไร ทกุ ข์น้คี วรก�ำ หนดรู้ พระพทุ ธเจ้าเรากก็ ำ�หนดรไู้ ด้แลว้ เรยี กว่ามปี รวิ รรต สาม ในทุกขก์ ็สาม ในสมทุ ยั กส็ าม ในนิโรธกส็ าม ในมรรคปฏปิ ทากส็ าม มีปริวรรตสามมีอาการทั้งหมดสิบสองนี้ สมุทัยสัจจ์คือว่าเป็นเหตุให้เกิด ความทุกข์ข้นึ มา มีเหตมุ ีปจั จยั เมอื่ ธรรมทงั้ หลายนม้ี เี หตเุ ปน็ แดนเกดิ พระอสั สชเิ ถระทา่ นแสดงธรรม แกพ่ ระสารบี ตุ รวา่ ธรรมทงั้ หลายกม็ เี หตนุ นั้ เปน็ แดนเกดิ พระพทุ ธเจา้ ทา่ น กต็ รสั ถงึ เหตทุ ่ีใหเ้ กดิ นนั้ และความดบั ไปของเหตนุ น้ั คอื ความไมม่ ตี วั ตน นน้ั เอง เมอื่ มเี หตมุ ปี จั จยั กเ็ กดิ ขน้ึ หมดเหตหุ มดปจั จยั กด็ บั ไป ความทกุ ข์ นถี้ งึ เราจะไมป่ รารถนาแตเ่ มอ่ื มเี หตมุ ปี จั จยั ใหเ้ กดิ ทกุ ขอ์ ยู่ ทกุ ขน์ น้ั กเ็ กดิ ขนึ้ เหตใุ ห้เกดิ ทกุ ข์น้นั ท่านวา่ เปน็ เร่อื งของตัณหา แบ่งไปว่ากามตัณหา ความยนิ ดพี อใจในกาม ภวตณั หาความอยากมอี ยากเปน็ วภิ วตณั หาความ ไมอ่ ยากมีไมอ่ ยากเปน็ ตณั หาสามอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ กเ็ ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความ ทกุ ขข์ น้ึ มา เพราะตณั หานเ้ี อง
ตัณหาน้นั กม็ เี หตุปัจจัยมาจากอวชิ ชา คือความหลง ความไมร่ ้เู ท่าทัน ในสงั ขารความปรงุ แตง่ ไมเ่ ทา่ ทนั ในการทม่ี ผี สั สะชนดิ ทมี่ ตี วั มตี น มตี ณั หา อปุ าทานเกดิ ขนึ้ มาจงึ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ภพ เกดิ ชาติ เกดิ ความทกุ ขข์ นึ้ มาใน จติ ใจ ตณั หาน้คี วรจะท�ำ อยา่ งไร ตณั หานเ้ี ป็นสิ่งท่ีควรจะละ ตัณหาเป็น อยา่ งนค้ี วรจะละ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ผทู้ ลี่ ะไดแ้ ลว้ ละในตณั หาได้ พระองค์ กเ็ ขา้ ใจแล้ว เม่อื ละตัณหากเ็ ปน็ นิโรธความพ้นจากความทุกข์ ในสองข้อ แรกก็คือทุกข์กับสมุทัย สมุทัยเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์นี้ นิโรธความ ดบั ทุกข์ ความจางคลายไปเพราะความไมม่ เี หลือของตัณหานั้นเอง จาโค ปฏนิ สิ สคั โค การทำ�ใหไ้ มม่ ที ีอ่ าศยั ซงึ่ ตณั หานน้ั ความปลอ่ ยความสลดั คนื ตณั หานน้ั ออกไป มุตติคือความปล่อยไปในตัณหาทั้งหลาย สลัดทิ้งไป จาโคคือความสลัดทิ้ง ปฏนิ ิสสคั โคคอื ความสลดั คนื มตุ ตคิ อื ความปลอ่ ย อนาลโยท�ำ ใหไ้ มม่ ที อี่ าศยั ซง่ึ ตณั หานน้ั พระพทุ ธเจา้ กแ็ สดงถงึ นิโรธความ ดับทกุ ข์ วา่ ทกุ ขจ์ ะหมดไปไดท้ ่ีเรยี กวา่ นิพพานน้ันกต็ ้องท�ำ ไม่ใหม้ กี เิ ลส ตัณหาอยู่ในใจ เม่ือกิเลสตัณหาไม่มีอยู่ในใจความทุกข์ไม่เกิดข้ึนก็เป็น นิโรธ แต่นิโรธนคี้ วรทำ�ใหแ้ จง้ พระองคก์ ็ทำ�ใหแ้ จ้งได้แล้ว นี้จะทำ�ให้แจ้ง ไดอ้ ยา่ งไร ทำ�ใหแ้ จง้ ไดน้ น้ั กต็ อ้ งปฏบิ ตั ิในอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด ปฏบิ ตั ิใน ศีล สมาธิ ปัญญา ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ กร็ วู้ ่าจะท�ำ จติ ให้บริสทุ ธ์นิ น้ั พ้นทุกข์ได้ ก็ต้องปฏิบัติในทางดำ�เนินให้ถึงซ่ึงความพ้นทุกข์นี้ก็คืออริยมรรคมีองค์ แปด ซึง่ พระองค์ก็ทรงด�ำ เนนิ ไดแ้ ล้วปฏิบตั ิไดแ้ ล้ว นิโรธความพน้ ทุกข์ น้ันจึงเกิดข้ึนมาในใจของพระพุทธเจ้าเป็นใจที่บริสุทธิ์ เบื้องต้นก็มีพระ มหากรุณาธิคุณก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ พระองค์ตรัสรู้แล้วพระองค์ก็มี พระปัญญาคุณ พระบริสทุ ธคิ ุณ แล้วกย็ งั มีพระมหากรณุ าธิคุณท่ีจะสอน แนวทางปฏบิ ตั หิ รอื วา่ แสดงธรรมเพอื่ ใหส้ าวกทงั้ หลายนน้ั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ตาม จะได้พน้ จากความทุกข์ทงั้ หลาย ๑๐๕ดูกาย... เหน็ จิต ดจู ิต... เห็นธรรม
๑๐๖ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ ฺจโน เม่ือพระพุทธเจ้านั้นพระองค์มีจิตบริสุทธ์ิแสดงธรรมอันบริสุทธิ์น้ัน ให้พวกเราประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตาม ถา้ พวกเราปฏบิ ตั ติ ามในคำ�สอนของท่าน ทำ�เหตุทำ�ปัจจัยคอื เดนิ ในมรรค คือศีล สมาธิ แลว้ กป็ ญั ญา จติ ของเราก็ จะพ้นจากความทุกข์ได้ทลี ะน้อย เพราะเม่ือเราเดนิ มรรค มรรคมีก�ำ ลังก็ เอาชนะกเิ ลสในใจของเราได้ ถา้ มรรคไม่มกี �ำ ลัง ก�ำ ลงั ออ่ นลงมากเิ ลสมี กำ�ลงั ก็เปน็ เหตุใหเ้ กดิ ความทุกข์ การปฏบิ ัตกิ ็เป็นสองอย่างสองประการ น้อี ยเู่ สมอ เม่อื ปฏบิ ตั ทิ า่ นจึงว่าเมอื่ เรามีปญั ญาเป็นสัมมาทฏิ ฐิ รูจ้ กั ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค แล้วมาปฏิบตั ิภาวนา กเิ ลสทคี่ รอบง�ำ จิตใจเราเปน็ เจา้ นายเราอยแู่ ตเ่ ดิมนน้ั แหละมันก็ไม่ยอมงา่ ยๆ เราต้องการมารักษาศีล ควบคุมกายวาจาของเราให้เรียบร้อย มันต้องยอมอะไรหลายสิ่งหลาย อยา่ งทเี ดยี ว ต้องยอมตอ้ งอดตอ้ งทน เคยทำ�ตามความร้สู กึ ของเราก็ต้อง อดทน อดทนเพราะว่าอะไร เพราะว่าบางครั้งมีความโลภ บางคร้งั จติ กม็ ี ความโกรธ บางคร้งั กม็ คี วามหลงเกดิ เป็นตัวเราขน้ึ มา มีทิฏฐิ มีมานะ อนั น้ีก็เป็นธรรมดา จิตทุกดวงก็เป็นอย่างน้ีเราก็ต้องอดทน อดทนอย่างไร อดทนทางกายกอ่ น อดทนทางวาจา วา่ เราไมช่ อบใจเราก็ไมพ่ ดู เราชอบใจ ก็ไมพ่ ดู อดทน พดู นอ้ ยๆ พดู วาจาที่ไพเราะออ่ นหวาน วาจาทม่ี ปี ระโยชน์ วาจาทเ่ี ปน็ ความจริง ไม่พดู ส่อเสยี ด ไมพ่ ูดคำ�หยาบเพอ้ เจอ้ ในวาจา คนในโลกที่วุ่นวายเพราะว่าไม่สำ�รวมกาย ไม่สำ�รวมวาจาเลยวุ่นวาย เพราะวา่ มีความหลง คือมีตัวเราของเรามากขึน้ ๆ ถา้ อยู่ในศลี ธรรมก็ยงั พอสงบถ้าไมม่ ศี ลี ธรรมแล้วก็มกี ารต่อสู้กัน ถ้าเขาท�ำ เราเรากท็ ำ�เขาเราทำ� เขาเขากท็ �ำ เรา เราท�ำ พวกของเขาพวกเขากท็ �ำ พวกเราเปน็ อยา่ งน้ี มคี วาม โกรธ มคี วามพยาบาทปองรา้ ยมงุ่ ร้าย จึงว่าจติ เปน็ สัมมาทิฏฐิ เป็นสมั มา สงั กปั โป คอื ไมพ่ ยาบาทปองร้าย ด�ำ รอิ อกจากความยนิ ดที ้งั หลาย อย่าง นกี้ เ็ ปน็ ความด�ำ รทิ ช่ี อบกเ็ กดิ ความสงบกเ็ ปน็ มรรค แตค่ นในโลกนน้ั เมอื่ มี
ความไมช่ อบใจมคี วามเหน็ ผดิ มจิ ฉาทฏิ ฐกิ ม็ คี วามโกรธพยาบาท กม็ ดี ำ�ริใน การปองรา้ ยขนึ้ มามนั กผ็ ดิ ไปหมด เมอ่ื ใจเปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐกิ ารดำ�รทิ ผ่ี ดิ กผ็ ดิ ไปหมด สมั มาสงั กปั โปกผ็ ดิ ไป สมั มาวาจา สมั มาวายาโม ความเพยี รตา่ งๆ ผดิ ไปหมด สมั มาอาชีโว สมั มาสติ สัมมาสมาธิอันนี้ถูกตอ้ ง ถา้ เป็นมิจฉา ไมเ่ ปน็ สัมมาทิฏฐิ เป็นมจิ ฉาทิฏฐิไปแล้วกผ็ ดิ ไปหมดเลย ความดำ�ริก็ผิด การพูดจาก็ผดิ การเลย้ี งชีวติ ก็ผดิ การทำ�การงานกผ็ ดิ ความเพยี รก็ผิด ไป สตกิ เ็ ปน็ มจิ ฉาสตมิ แี ตจ่ อ้ งทำ�รา้ ยระลกึ อยู่ในการปองรา้ ยกผ็ ดิ ไปหมด ความตง้ั ใจมน่ั กผ็ ดิ ไป กผ็ ดิ ไปหมดเรยี กวา่ เปน็ แนวทางเดนิ ของกเิ ลส ถา้ ผดิ ไปในครอบครัวหน่งึ ก็วนุ่ วาย ในหมู่บา้ นหนึ่งก็วุ่นวาย ในตำ�บลหนึ่งก็ วนุ่ วายขน้ึ มา ในอำ�เภอหนงึ่ จงั หวดั หนงึ่ กว็ นุ่ วายขน้ึ มา วนุ่ วายมากๆ เขา้ ก็วุ่นวายไปทง้ั ประเทศทงั้ โลกก็ได้ ถ้าคนท่ีมีมิจฉาทิฏฐิเสียคนหนึ่งถ้ามีกำ�ลังมากๆ ก็เกิดความวุ่นวาย ทัง้ โลกเกิดสงครามขึน้ มาก็ได้ พระพทุ ธเจา้ ของเรานพี้ ระองคม์ ีจติ ทเ่ี ปน็ สัมมาทิฏฐิมีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว มีความดำ�ริที่ถูกต้องแล้ว มีวาจาที่ ถูกต้องแล้ว มอี าชพี ทีถ่ กู ต้อง มีการงานที่ถกู ต้อง มีความเพยี รท่ีถกู ตอ้ ง มีสติท่ถี ูกตอ้ ง มีสมาธทิ ีถ่ กู ตอ้ ง กเ็ รยี กว่าพระองค์เดินในอริยมรรคมอี งค์ แปดเปน็ ทางทป่ี ระเสรฐิ เปน็ ทางสายเดยี วเอกายนมคั โค คนคนเดยี วนจี้ ะ เดนิ ไปในจติ อนั เดยี วทจ่ี ะพน้ ขา้ มจากหว้ งวฏั สงสาร สง่ิ ใดขา้ มลว่ งพน้ จาก ความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย การเวยี นวา่ ยตายเกิดท้งั หมด ดับภพดับชาติได้เป็นโลกุตตระ เข้าสู่โลกุตตระในจติ ใจ เม่ือพวกเราเป็น ชาวพุทธนับถือในพระพุทธศาสนา ก็เป็นโอกาสและโชคดีแล้วว่าเราจะ ต้องพากันดำ�เนิน หรือว่าปฏิบัติตามธรรมะคำ�สอนของพระพุทธเจ้าท่ี พระองคม์ จี ติ ทบี่ รสิ ทุ ธ์ิ เรามศี รทั ธาความเชอ่ื ในความบรสิ ทุ ธคิ ณุ ปญั ญาธิ คณุ มหากรุณาธิคุณของทา่ น ที่เราระลึกถึงนวี่ ่าทา่ นตรัสรจู้ รงิ จิตบรสิ ุทธ์ิ ๑๐๗ดกู าย... เห็นจิต ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๐๘ พระอาจารยอ์ นันต์ อกิญฺจโน ได้จรงิ มพี ระมหากรณุ าธคิ ณุ อันกว้างใหญ่ไพศาลจริง เราก็พากันดำ�เนนิ ปฏิบัติตามโดยอาศัยศรัทธา อาศัยปัญญาที่พิจารณาเห็นโทษเห็นภัยใน วัฏสงสาร อาศยั ศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ พระธรรมเจา้ พระสงั ฆเจา้ เราก็ ปฏบิ ัติ ในการปฏิบตั ิคร้งั แรกเรามศี รัทธา มคี วามเชอื่ ว่าครบู าอาจารย์เรา เปน็ อยา่ งนนั้ ๆ ก็ได้ เราจะเอาปรยิ ตั มิ าเปรยี บเทยี บในการปฏบิ ตั ขิ องทา่ น กม็ ี แตว่ า่ เราจะไมร่ ไู้ มเ่ หน็ จรงิ ๆ ไมเ่ ขา้ ใจในจติ ของผทู้ ร่ี ทู้ เี่ หน็ จรงิ ๆ เปน็ ความคิด ความเปรียบเทยี บโดยสญั ญา สังขารเกดิ จากการเรียนรูม้ าเปน็ เครื่องบรรทัดฐานทจ่ี ะวัด ดังน้ันหลวงปู่ชาท่านจะเทศน์เสมอว่านักปฏิบัติเมื่อมาภาวนาแล้วจิต นีเ้ ป็นอย่างหน่งึ อารมณ์เปน็ อย่างหน่งึ ท่านวา่ มันคนละส่วนกนั ตอนนี้ เรานจ่ี ติ เปน็ อยา่ งไรอารมณเ์ ปน็ อยา่ งไร จติ กเ็ ปน็ อยา่ งนนั้ เปน็ อนั เดยี วกนั ไปเลยไมเ่ หน็ จติ ไมเ่ หน็ อารมณ์ เมอื่ อารมณเ์ ขา้ มาตาเหน็ รปู กเ็ ปน็ อารมณ์ เขา้ มาในจติ แล้วยนิ ดีจติ ยินดีไปแล้ว ยินร้ายจติ ยนิ รา้ ยไปแล้ว เราก็ไม่ เหน็ เปน็ อารมณ์เป็นอะไร เหน็ วา่ จิตของเราชอบเราชังไปแล้ว แต่ถ้าเรา ปฏบิ ตั ขิ น้ึ มามสี ตริ ะมดั ระวงั ฝกึ จติ ทเี่ รามาฝกึ จติ ฝกึ จติ ของเราใหม้ นั นงิ่ จติ ที่มันเคยนึกคิดปรงุ แต่งวุ่นวายไปในสงิ่ ทีม่ ันเป็นสมมติทง้ั นัน้ เลย มัน วุ่นวายไปไมส่ งบ การเรียนมากข้นึ มา การศกึ ษามากขึ้นมากต็ าม ตอนน้ี เราก็จะมาศึกษาเรือ่ งของจติ ตอ้ งหยุด จะให้เกดิ ปญั ญาต้องหยดุ คิดหยุด นึก หยุดปรุงหยุดแตง่ ฝกึ จติ ใหม้ กี �ำ ลัง ต้องท�ำ ใหจ้ ติ ของเรานิ่งถึงจะมอง เหน็ ความเปน็ จรงิ ถา้ จติ ของเราไมน่ ง่ิ ไมส่ งบมนั กเ็ หน็ ไมช่ ดั กระทง่ั วา่ เรา กม็ รี ปู กายนี้ รปู กายบางทคี ดิ เรากเ็ หน็ วา่ ไมเ่ ทย่ี งจรงิ ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั การศึกษามา รูปนี้ไม่เทย่ี งเราก็เคยเห็น คนแก่ คนเจบ็ คนตาย เราก็เหน็ มันไม่เทย่ี งมันต้องตาย แตว่ ่ามันไมม่ กี �ำ ลงั พอท่ีจะละอุปาทาน หรือเปล่ียนความเห็นในใจของเราได้ เหน็ ไม่เท่ียงแตก่ ็ยงั ยดึ อยู่ ยังยึดยงั
ถอื อยอู่ ยา่ งนเ้ี รยี กวา่ เรายงั เหน็ ไมช่ ดั เจน เพราะวา่ ปญั ญายงั ไมเ่ กดิ สมาธิ ยังไมต่ ง้ั มั่น ศลี ของเรายงั ส�ำ รวมไมด่ ี นถ่ี ้าเรามาปฏิบตั ิให้มเี วลาว่างๆ ปฏบิ ัติในชว่ งนี้ เราคงอาจจะไม่เหน็ ทง้ั วนั เราตอ้ งนึกคิดปรงุ แตง่ พิจารณาในหนา้ ที่การงานของเรา แต่ให้เรา มเี วลาสักช่วงหนึง่ ห้านาที สิบนาที คร่ึงช่วั โมง เวลานี้เราก็จะไม่โกรธไม่ เกลียดใคร เจริญเมตตาภาวนาไวว้ ่าขอใหเ้ ราเปน็ สขุ เถดิ ขอใหส้ รรพสัตว์ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นสุขเถิด เพราะคนเราเกิดข้ึนมาในโลกต้องการความ สุขไม่ต้องการความทุกข์ เราก็เจริญเมตตาภาวนา ผู้ที่ทุกข์แล้วก็ขอให้ พ้นจากความทุกข์ท้ังหลาย ผู้ที่มีความสุขอยู่ก็ให้มีความสุขอยู่อย่างนั้น อย่าให้พลัดพรากจากความสุขเลยซึ่งก็เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ว่าเป็นจิต ทเี่ จรญิ เมตตา กรณุ า มุทติ า อเุ บกขา ใครผิดพลาดไปก็ไม่ซาํ้ เตมิ เราก็ หมน่ั ฝกึ เจรญิ เมตตาภาวนาสกั ครงึ่ ชวั่ โมง ตอนเชา้ สกั ครง่ึ ชว่ั โมง ตอนเยน็ อกี ครงึ่ ชั่วโมง ฝึกจิตของเราให้เป็นสมาธิในการเจริญเมตตาภาวนาไว้ ท่านว่าคนท่ี เจริญเมตตาภาวนานั้นหลับก็เป็นสุข ไม่มีเวรไม่มีภัย ไม่มีอันตรายจาก ศาสตราอาวธุ ท้ังหลาย จากยาพิษ เราก็ฝึกเจรญิ เมตตา ตัง้ จติ ของเราให้ เปน็ สมาธิ รกั ษาจติ ของเราอย่างนีค้ วามโกรธความพยาบาทกด็ กี จ็ ะลดไป ได้ ความไมช่ อบใจกล็ ดไปได้ ก็มองว่าคนเราทเ่ี กิดขนึ้ มาเปน็ เพือ่ นรว่ ม เกิด ร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตายกันท้งั นัน้ แหละในโลกน้ีเป็นอยา่ งนั้น คน ทท่ี ำ�ผดิ อยู่ก็ยงั มีความหลงอย่ดู ้วยอวชิ ชาในใจน่นั เอง มคี วามไมร่ ้มู คี วาม เขา้ ใจวา่ เป็นเรอ่ื งตวั ตนจรงิ ๆ มีเราของเราจริง ถา้ เขามาเหน็ ว่าไม่ใชเ่ ปน็ อยา่ งนัน้ คนเราเกดิ มากแ็ ก่ เจ็บ ตายไมม่ อี ะไรทีเ่ ป็นสาระแก่นสาร กจ็ ะ วางความเหน็ ผดิ ลงได้ ความเหน็ ถกู ตอ้ งกจ็ ะเดนิ อยู่ในมรรค เมอื่ พวกเรา จะมาฝกึ จติ ใหบ้ รสิ ทุ ธอิ์ าศยั ศรทั ธาแลว้ ในเบอ้ื งตน้ เรากต็ อ้ งมคี วามเพยี ร ๑๐๙ดกู าย... เห็นจติ ดจู ิต... เห็นธรรม
๑๑๐ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ จฺ โน ความพยายามปฏบิ ัติฝกึ ฝนอบรมใหต้ ่อเน่อื งกนั ท่านจงึ เรยี กวา่ เป็นพละ เปน็ พลงั ศรทั ธาพละ วริ ยิ ะพละ คอื มคี วามเพยี รปฏบิ ตั ิในจติ ใจของคนเรา เม่อื รบั รอู้ ารมณ์มาแลว้ กม็ าคิดนกึ ปรงุ แตง่ ชอบบ้าง รักบา้ ง ชังบ้าง โกรธ เกลยี ดกลวั ตา่ งๆ กเ็ ปน็ อารมณท์ ง้ั นน้ั อนั นี้ไม่ใชเ่ รา ถา้ เราแยกไดก้ เ็ หน็ วา่ อารมณก์ ส็ กั แตว่ า่ อารมณแ์ ยกกนั จติ กบั อารมณน์ แ้ี ยกกนั ได้ เหน็ อารมณ์ นนั้ กเ็ กดิ ดบั เหน็ อารมณท์ เ่ี รายนิ ดขี น้ึ มามนั กเ็ กดิ ดบั อารมณย์ นิ รา้ ยกเ็ กดิ ดับ จิตก็อยู่เป็นกลางๆ ตรงน้ีส�ำ คัญว่าจิตของเราไม่ยินดีไม่ยินร้ายแล้ว จิตเปน็ กลางๆ มีความเพยี รพยายามให้จติ ของเราอยกู่ ลางๆ ตรงนี้ทา่ น ว่าเป็นทางปฏิบัติท่ีถูกต้องที่เราจะได้เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็ เห็นความว่างนั่นเอง เม่ือเห็นเช่นนี้แล้วก็เห็นมันไม่มีตัวไม่มีตนก็เห็น ความว่าง เหน็ ความวา่ งก็เห็นพทุ ธะขึ้นมา เห็นธรรมะก็เหน็ พทุ ธะขึ้นมา ในจิตใจของเรา หมัน่ ฝกึ ฝนอบรมในจิตของเราก็จะเข้าสซู่ ่ึงความสงบได้ อยา่ งแท้จริง กเ็ รยี กว่าจติ ก็จะอยเู่ หนอื โลกเปน็ โลกุตตระ ก็อาศยั ซงึ่ การ ฝึกฝนอบรม ในการละกิเลสทีละเลก็ ทลี ะนอ้ ย การข่มกิเลสเอาไวไ้ ด้ การประหารกเิ ลสดว้ ยสมทุ เฉทปหาน ดว้ ยมรรคมอี งคแ์ ปดทเ่ี ราด�ำ เนนิ น้ี เรียกวา่ โสดาปัตติมรรคโสดาปตั ติผล สกทิ าคามมิ รรคสกิทาคามผิ ล อ นาคามมิ รรคอนาคามผิ ล อรหตั ตมรรคอรหตั ตผล ก็จะเกดิ ข้นึ จากการท่ี เราเร่มิ ต้นฝกึ เรมิ่ ต้นฝึกสติ เร่มิ ต้นฝกึ ในศีล เรม่ิ ต้นฝกึ ในสมาธขิ องเรา การที่เราได้มาศึกษาหรือปฏิบัติ หรือเข้ามาอุปสมบทเป็นสามเณร เป็น ภกิ ษุ เปน็ ภิกษุณีก็ตาม กม็ าศกึ ษาในคำ�สอนของพระพุทธเจ้าแลว้ กต็ ้อง ปฏิบัตถิ งึ จะเขา้ ใจ ถึงจะเหน็ ในธรรมะ ถงึ จะรูใ้ นธรรมะของค�ำ สอนของ พระพทุ ธเจา้ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน จติ ทม่ี นั มคี วามวติ กกงั วล จติ ทมี่ คี วามนกึ คดิ ปรุงแตง่ ไปว่นุ วายไปในอารมณก์ ด็ ี ก็มสี ัญญาความจำ�ไดก้ ็มาปรุงมาแต่ง ไว้มากๆ เขา้ ใจของเราก็ว่นุ วายปรุงไปในอนาคต ใจของเราก็วุ่นวาย ก็
เรียกว่าไมส่ งบ เหน็ อารมณ์นี้เปน็ สกั แตว่ ่าอารมณ์ ถ้ามนั วนุ่ วายมากๆ เขา้ กห็ ยดุ สูด ลมหายใจเขา้ ไปลกึ ๆ ใหเ้ ตม็ ปอด หายใจออกมาท�ำ อย่างนส้ี ักสามครง้ั ถา้ คดิ อะไรกบ็ อกไมเ่ ทย่ี งไมแ่ น่ สอนจติ ของเราอยา่ งนเี้ สมอจนวา่ จติ ของเรา เกดิ พทุ ธะขน้ึ มา แตพ่ ทุ ธะเรารทู้ หี ลงั กเ็ รยี กวา่ เปน็ สาวกพทุ ธะ แตจ่ ติ กจ็ ะ มคี วามบรสิ ทุ ธขิ์ น้ึ มาเหมอื นกนั ถา้ บรสิ ทุ ธิ์ไดเ้ ตม็ จติ ของเราแลว้ โลภ โกรธ หลงไม่มแี ลว้ ก็เรยี กวา่ เป็นพระอรหันต์ เปน็ ผ้ทู ี่หมดจากกิเลส ความโลภ โกรธ หลงนัน่ เอง ชาตนิ ีพ้ วกเราได้เกิดมาเปน็ มนุษย์ พร้อมแล้วด้วยชาติ การเกิดเป็นมนุษย์ทั้งกาย ทั้งใจ มีโอกาสก็ฝึก ถ้าเราเกิดข้ึนมาในโลก มาเจอกบั คนมีโลภ มีโกรธ มหี ลงมันก็วุน่ วายเรื่อย เกิดมาในชาติไหนก็ วุน่ วายเพราะคนในโลกเป็นอย่างนนั้ เราพยายามเจรญิ ในกุศลบารมขี องเรา ความดีให้เราใหท้ าน สมาทาน ศลี ประพฤติปฏบิ ัติธรรม เจริญเมตตา ภาวนาอย่เู สมอ มคี วามสงบของ จิตกม็ าพิจารณาในรูปในนามใหเ้ ห็นว่ารปู นามนี้ รปู ก็เป็นธาตุส่ี ดิน นาํ้ ไฟ ลม พิจารณาให้เปน็ โลกุตตระ อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา จิตกจ็ ะเปน็ โลกุตตระ เครื่องใช้ไม้สอยทั้งหลาย วัตถุสิ่งของท้ังหลายในโลกน้ันที่มี อยเู่ ราใช้กเ็ ปน็ อนจิ จงั ทุกขัง อนตั ตา หรอื ท่หี ลวงพ่อชาทา่ นสอนวา่ ให้ พิจารณาเหมือนแก้วใบหนึ่งมันแตกแล้ว อีกคนหนึ่งใช้แก้วที่ยังไม่แตก อีกคนหนึ่งใช้แก้วท่ีรู้สึกว่าแตกไปแล้วเม่ือแก้วใบน้ันมันแตกจริงๆ เรา ก็ไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ขึ้นมา เหมือนร่างกายนี้เราพิจารณาว่ามันตายไปแล้ว ตอนน้ีมนั ตายไปแลว้ รา่ งกายน้ีมนั ตายทุกลมหายใจเขา้ ออก มันตายอยู่ เสมอแหละ เราก็ใช้รา่ งกายนีอ้ ยมู่ ันตายแล้วนะนมี่ นั ตายทุกวนั ๆ ทุกลม หายใจเขา้ ออก ถงึ เวลาแตกสลายไปเราก็ไมท่ กุ ขแ์ ลว้ เพราะมนั เปน็ อยา่ ง น้นั จรงิ ๆ เราพจิ ารณาอยเู่ สมอนัน่ เองว่ามันตอ้ งแก่ มันตอ้ งเจ็บ มนั ตอ้ ง ๑๑๑ดูกาย... เหน็ จิต ดูจิต... เห็นธรรม
๑๑๒ พระอาจารยอ์ นันต์ อกิญฺจโน ตาย มนั เปลย่ี นแปลงไปอยเู่ สมอ เรากพ็ จิ ารณาเหน็ ความจรงิ อนั นเ้ี อง จะ เห็นว่าเป็นธรรมชาติของธาตุของขันธ์อย่างน้ี เป็นธรรมชาติของรูปของ นาม แท้จรงิ มนั ไม่ใชต่ วั ไม่ใชต่ น ศรัทธาทเี่ ราเคยเช่อื เคยเล่อื มใสแต่แรก นน้ั มนั กจ็ ะมคี วามมนั่ คงขน้ึ มน่ั คงขน้ึ มาเปน็ มศี รทั ธาในพระพทุ ธเจา้ แลว้ พระธรรม พระสงฆจ์ รงิ ๆ ทแี รกกศ็ รทั ธาเกดิ จากความเชอ่ื ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆก์ อ่ น ต่อมาเห็นข้ึนมาจากจิตใจของเราน้ีเป็นสักขีพยานได้ ก็มีศรัทธามั่นคง เพราะฉะนน้ั การปฏบิ ัติครง้ั แรกๆ น้นั ต้องอาศัยความอดทน เราตอ้ งการ เรว็ ๆ เราตอ้ งการใหจ้ ติ สงบ เราตอ้ งการใหจ้ ติ ของเรามปี ัญญาเรว็ ๆ ทงั้ นั้นแหละ มีนกั ศกึ ษามาถามหลวงป่ปู ฏิบตั เิ ร็วทีส่ ดุ จะทำ�อยา่ งไรตอ้ งการ วิธลี ัด เขากถ็ ามคนเดยี วเสียด้วย มีวิธลี ัดเรียนเรว็ อะไรไดร้ ู้ อาตมากอ็ ยู่ กับหลวงปู่ชาด้วยนะ หลวงพอ่ ชานนั่ แหละ ท่านตอบว่าถ้าต้องการเร็วๆ ไม่ต้องท�ำ อะไร ไม่ต้องทำ�อะไรเลยเร็วที่สดุ ฟงั ดูแล้วก็เอ้... ไม่ต้องทำ� อะไรเลยนี้แล้วจะบรรลไุ ดอ้ ยา่ งไร เป็นไปไม่ไดใ้ นความรู้สึกของเราตอน นน้ั แตว่ า่ นกั ศกึ ษานน้ั กง็ งไปเหมอื นกนั ทา่ นบอกซะวา่ ปฏบิ ตั ิใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ ท�ำ ยงั ไง กค็ อื ยงั มวี ธิ กี ารปฏบิ ตั อิ ยู่ ทา่ นบอกวา่ ปฏบิ ตั นิ นั้ ไมต่ อ้ งทำ�อะไรก็ คือปล่อยวางไดแ้ ลว้ ไม่ต้องท�ำ อะไรจิตใจสว่างแลว้ ไมต่ อ้ งทำ�ให้สว่างอกี ถา้ จติ ใจยงั ไมส่ วา่ งนม้ี นั ยงั มดื อยนู่ กี่ ต็ อ้ งมวี ธิ กี ารทจ่ี ะทำ�ใหส้ วา่ ง กค็ อื ทาน การใหเ้ พอ่ื ละความโลภ การรกั ษาศลี ลดละความโกรธ การภาวนาเพอื่ ทจี่ ะช�ำ ระความหลงในจติ ใจของเรากต็ อ้ งปฏบิ ตั ิ ในเบอื้ งตน้ นน้ั สมาธกิ ย็ งั ไม่มี ศีลก็ยังรกั ษาไม่ได้ก็ใหท้ านซะก่อน เม่อื ทำ�ทานไปแล้วมแี ตจ่ ติ ใจที่ มีแต่ความเสียสละ เพราะวา่ ส่ิงใดในโลกนกี้ ม็ แี ตค่ นต้องการทงั้ นน้ั แหละ ทรัพย์สินสิ่งของในโลกเราก็เป็นผู้เสียสละ ใจก็สบาย ต่อมาเราก็รักษา ศีล ใจของเรากส็ บายขึ้น ตอ่ มาท�ำ สมาธิ ใจของเรากม็ คี วามสุขขึน้ ไปอีก
เมื่อเรามปี ัญญาก็ปล่อยวางได้ มปี ัญญาไดม้ ากท่ีสดุ ปลอ่ ยวางได้มากท่ีสดุ แลว้ ใจสวา่ งเตม็ ดวงแลว้ ก็ไมต่ อ้ งท�ำ อะไรแลว้ กเ็ รว็ ทส่ี ดุ ก็ไมต่ อ้ งท�ำ อะไร แตว่ ธิ ที จ่ี ะลดั ทจ่ี ะใหป้ ลอ่ ยวางนนั้ กค็ อื ตอ้ งปฏบิ ตั พิ จิ ารณาใหเ้ หน็ ทกุ ข์ วา่ ทกุ ขเ์ ปน็ อยา่ งนเี้ หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขเ์ ปน็ อยา่ งนี้ นิโรธเปน็ อยา่ งนถี้ า้ ท�ำ ใหน้ ิโรธ เกดิ ขน้ึ ในใจกต็ อ้ งปฏบิ ตั ิในมรรคเปน็ อยา่ งน้ี ตอ้ งอาศยั ความอดทน อาศยั ความตงั้ ใจจรงิ อาศยั ความเพียร อาศยั การพจิ ารณาค้นควา้ ใคร่ครวญอยู่ เสมอด้วยปัญญา เอาจิตใจฝักใฝ่ในการปฏิบัตินั้น เราก็จะละความโลภ ความโกรธ ความหลงไปได้ จิตใจของเราก็จะสว่างเป็นพุทธะเกิดความบริสุทธ์ิของจิตข้ึนมาใน จิตใจของเรา เราต้องปฏิบัติภาวนาฝึกฝนอบรมจิตของเราน้ันให้มีความ ดคี วามงามขึน้ มา อย่างนอ้ ยเราก็มที าน มศี ลี ฝึกสมาธขิ องเรา มีปัญญา พิจารณาเดินมรรคของเราอย่างน้ีไปทุกวัน จิตของเราก็จะก้าวหน้าข้ึน ไปเร่อื ยๆ ถ้าเราหยุดเม่ือไรกเิ ลสก็จะเดินถ้าจติ ของเรามืด ถ้าเราไม่หยดุ เดินอยู่ในมรรค จิตของเราก็จะสว่าง เราก็จะเปรียบเทียบได้วา่ จิตสว่าง เป็นยังไงจิตมันมืดเป็นยังไงก็จะเห็น ศรัทธาก็จะมีความมั่นคงขึ้นมาหา หนทางที่จะพ้นทุกข์ เม่ือเราปฏิบัติไม่หยุดเราก็จะเห็นธรรมะค�ำ สั่งสอน ของพระพุทธเจ้า เราก็จะมีโลกุตตระสุข อันเป็นความสุข ก็ขอให้พวก เรานัน้ พยายามปฏบิ ตั ิให้เจริญในธรรมทวั่ กันทกุ ๆ ท่านเทอญ... ๑๑๓ดกู าย... เห็นจติ ดูจติ ... เหน็ ธรรม
๑๑๔ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญจฺ โน “ ถ้าเกิดมีไฟไหมเ้ กิดขน้ึ ในบา้ นเราก็จะมอง เห็น ถ้าเกิดว่าเรามองไม่เห็นไฟมันจะไหม้ไป เรอื่ ยๆ ในทส่ี ดุ ก็ไหมบ้ า้ นทง้ั หลงั เราก็ไมม่ ที อี่ ยู่ แต่ว่าน้อมเข้ามาไฟคือความแก่ ไฟคือความ ”เจ็บ ไฟคอื ความตาย มนั ไหม้อย่เู สมอๆ
โลกนพี้ ร่องอยู่เปน็ นิจ... ๑๑ ตลุ าคม ๒๕๔๘ วันนี้ก็เป็นวันพระขึ้นแปดคํ่า ซึ่งก็เป็นเวลาที่ผ่านมาใกล้ที่จะ ออกพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ ก็เหลืออีกเพียงหน่ึงวันพระ ก็จะถึง วันมหาปวารณาท่ีพระเจ้าพระสงฆ์น้ันได้สมาทานจำ�พรรษาถ้วนไตรมาส สามเดอื น หรอื พวกเรามาบ�ำ เพญ็ ปฏบิ ตั ภิ าวนาตลอดทตี่ ง้ั ใจไวส้ ามเดอื นก็ เหลอื เพยี งหนงึ่ วนั พระ วนั พระหนา้ กเ็ ปน็ วนั พระอโุ บสถเปน็ วนั ขนึ้ สบิ หา้ คาํ่ ดว้ ย จะเหน็ วา่ เวลานั้นล่วงเลยไปรวดเรว็ มาก องค์สมเดจ็ พระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเตือนพระภิกษุสงฆ์ให้พิจารณาอยู่เสมอ ทุกวันวา่ วันคนื ลว่ งไปๆ บดั นเ้ี ราก�ำ ลงั ท�ำ อะไรอยู่ ท่านเปรยี บเหมือนกบั ว่าถ้าเรามีบ้านสักหลังหน่ึง ถ้าเกิดมีไฟไหม้เกิดข้ึนในบ้านเราก็จะมอง ๑๑๕ดูกาย... เห็นจติ ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๑๖ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญฺจโน เห็น เราจะมองเห็นชัด ถ้าเกิดว่าเรามองไม่เห็นไฟมันจะไหม้ไปเรื่อยๆ ในท่ีสุดก็ไหม้บ้านทั้งหลังเราก็ไม่มีที่อยู่ แต่ว่าน้อมเข้ามาไฟคือความแก่ ไฟคือความเจ็บ ไฟคอื ความตาย มันไหมอ้ ยูเ่ สมอๆ เราจะเหน็ ไหมวา่ โลกนพี้ รอ่ งอยเู่ ปน็ นจิ ไมอ่ มิ่ เปน็ ทาสของตณั หา โลก นมี้ ีชราน�ำ ไปไม่ย่งั ยนื พระอรหนั ต์ท่านพจิ ารณาวา่ โลกนีพ้ รอ่ งอยู่เปน็ นิจ เขา้ ไปใกลค้ วามแก่ ความเจบ็ ความตาย ไฟคือความแก่ ความเจ็บ ความ ตายนีม้ นั ก็ไหมไ้ ปเร่อื ยเลยเราก็ไม่เหน็ เหน็ อีกครงั้ หน่งึ มนั กต็ ายแลว้ มนั กร็ วดเร็วมาก ตอนทีม่ ันคอ่ ยๆ ไหม้อย่นู ี้ ถ้าเราไม่สงั เกตไม่พจิ ารณาก็ไม่ เหน็ เพราะอะไร... เพราะตณั หาคอื ความเพลนิ กามตณั หาตณั หาในกาม เพลนิ อยา่ งยงิ่ ในอารมณน์ น้ั ๆ เพลนิ ในอารมณอ์ ะไร มนั กเ็ พลนิ ไปเหมอื น เดก็ ๆ ทกุ วนั นกี้ เ็ ลน่ เกมสก์ นั กเ็ พลนิ ไป เกมสค์ อมพวิ เตอรม์ นั เพลนิ อยา่ ง ยิง่ เพลินไปในรูป ในเสียง ในกล่ิน ในรส โผฏฐัพพะนนั้ แหละเรากจ็ ะ เพลนิ ถ้าไม่ไดด้ งั ใจปรารถนากเ็ ป็นทกุ ข์ขึน้ มาเป็นอยา่ งนี้ ง้ันเราก็ต้องมาหม่ันพิจารณาอยู่ทุกวันว่าวันคืนล่วงไปๆ บัดน้ีเรา ก�ำ ลงั ท�ำ อะไรอยู่ เรายินดีในโรงเรอื นอันสงดั อยหู่ รอื เปลา่ ... หรอื เราเปน็ ฆราวาสวนั พระวนั หยดุ เรายนิ ดีในการอยู่สงดั สกั หนึ่งวนั ไหม อยู่กายคน เดียวภาวนา อยู่จิตดวงเดียวภาวนา บ�ำ เพ็ญปฏิบัติในที่เงียบๆ สำ�รวจ จติ ใจของเราวา่ เปน็ อยา่ งไร เราเพลนิ ไปตลอดไหม เรามสี ติไหมในเจด็ วนั ทผี่ า่ นมา หรอื วา่ มแี ตเ่ รอื่ งของโลก เรอื่ งของตวั ของตนตลอดไปเลย มนั ก็ จะตายไปเปลา่ โดยไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชนอ์ ะไรเลย จงึ มาสมาทานศลี หา้ ศลี แปด ศีลอุโบสถ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนข์ น้ึ มาบา้ งกับจติ ใจ โดยเฉพาะ หลักการปฏิบัติภาวนานั้น ซ่ึงปัญญาที่จะรู้ท่ีจะแจ้งเห็นจริงตามธรรมคำ� สอนของพระพุทธเจ้านน้ั แม้ว่าจะท�ำ ไดย้ ากแต่ก็เปน็ การอบรมบ่มบารมี ของเรา
เม่ือเราบ่มบารมีทำ�ไปทีละเล็กทีละน้อย วันหน่ึงบารมีของเราก็เต็ม เมอื่ บารมเี ต็มเรากจ็ ะเกดิ สมาธิ เรากจ็ ะเกดิ ปัญญา เมื่อเรานจี้ ะปฏบิ ตั กิ ็ ต้องตง้ั ใจปฏบิ ตั ิจรงิ ๆ เสยี กอ่ น คอื สอนคนอ่นื นนั้ ก็ไมย่ าก สอนตวั เอง นี้ยาก สอนตวั เองใหล้ ะความโลภ ละความโกรธ ละความหลงนี้ก็ยาก เมอื่ เปน็ เชน่ นพ้ี ระพทุ ธเจา้ ทา่ นจงึ ใหส้ อนตวั เองปฏบิ ตั ติ วั เองนี้ใหด้ ี ให้ มศี ีลธรรมคุณงามความดี กายกรรม วจีกรรม ก็ใหต้ ั้งอยู่ในศีล มโนกรรม ก็ให้ตั้งอยู่ในเรอื่ งของศีล ตงั้ ความเหน็ ทถ่ี ูกต้อง พยายามฝกึ จิต เพราะ จิตท่ีฝึกดีแลว้ ยอ่ มจะนำ�ความสุขมาให้ “จติ ตงั ทนั ตัง สุขาวะหัง” จติ ท่ี ฝึกดแี ล้วนั้น ย่อมจะน�ำ ความสขุ มาให้ เราก็ตอ้ งพยายามมาฝกึ จิต ถา้ เรา ไม่ฝึกจิตของเราจิตน้ีรับรู้อารมณ์ก็จะว่ิงไปตามอารมณ์อยู่เสมอ จิตก็จะ มแี ต่ความยดึ ความถือ เมื่อมีอปุ าทานความยึดถือ มตี ณั หา มีอปุ าทานก็ กอ่ ใหเ้ กิดความทุกขข์ ้นึ มา เราไมต่ อ้ งการความทุกขก์ ็ตอ้ งละกิเลสตัณหา ละอุปาทาน ตอ้ งมาฝกึ ความเคยชินของจติ ทเี่ คยยดึ เคยถืออยู่เสมอ เรา กต็ ้องมาฝกึ ท่จี ะละอุปาทานหรือวา่ ละตณั หาให้ได้ โดยการฝึกปฏบิ ตั ติ าม แนวค�ำ สอนของพระพุทธเจ้า ทพ่ี ระพุทธองค์ทรงสอนให้เราน้ีด�ำ เนินในศลี ในสมาธิ แล้วก็ปญั ญา ปญั ญากค็ อื ความรอบรใู้ นกองสงั ขาร ในรปู ในนามตามความเปน็ จรงิ สมาธิ คอื ความตง้ั ใจมนั่ ตง้ั ใจมนั่ ในการทจี่ ะเรยี นรใู้ นเรอื่ งของกาย ในเรอื่ งของ จติ ใหช้ ดั เจน ในเรอ่ื งของกายเราจะพจิ ารณากายใหเ้ ปน็ ธาตสุ ี่ ธาตดุ นิ ธาตุ นา้ํ ธาตุไฟ ธาตุลมก็ได้ เราจะชำ�แหละรา่ งกายเหมือนเราช�ำ แหละววั ก็ได้ เราก็จะกรีดไปตรงศีรษะถลกหนังศีรษะออกมา เล่ือยกะโหลกศีรษะงัด ออกมาแลว้ กจ็ ะเปน็ มนั สมอง เหน็ มนั สมองอยู่ในศรี ษะนเี้ หมอื นกนั หรอื จะผ่าที่หน้าอกออกมาขา้ งในกจ็ ะเหน็ หวั ใจ เหน็ ตับ เหน็ ปอด ลำ�ไสเ้ ลก็ ล�ำ ไสใ้ หญ่ กระเพาะอาหาร นา้ํ เลอื ดเตม็ ไปหมด ในชอ่ งทอ้ งของเรานเ้ี ปน็ ๑๑๗ดูกาย... เห็นจติ ดจู ิต... เห็นธรรม
๑๑๘ พระอาจารย์อนนั ต์ อกิญฺจโน อยา่ งนนั้ พจิ ารณาดสู วิ า่ หนงั ทห่ี มุ้ อยนู่ เ้ี ปน็ กายขา้ งนอก กายขา้ งในทหี่ นงั หุ้มอยมู่ ีอะไรบ้าง เรากพ็ ิจารณาอยู่ในอาการสามสบิ สองก็จะเห็นชดั อาการสามสิบสอง นี้เราก็จะเห็นชัดเจนขึ้นมาว่ากายของเราข้างในเป็นอย่างไร หนังหุ้มห่อ ไว้ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง เห็นชัดข้ึนมาเราก็จะถอนความยินดี ความ ยินร้ายออกมาเสียได้ เห็นว่าก้อนธาตุน้ีก้อนอสุภะนี้มันหมดลมหายใจ แล้วมันก็ไมม่ คี ่าราคาอะไรเลย นอนตายอย่เู ขาจะทำ�อะไรก็ไม่รับรู้ จะน�ำ ไปเผาก็ไมร่ ับรู้ นำ�ไปผา่ ชนั สูตรก็ไมร่ บั รู้ พิจารณากายก้อนนี้เม่อื เรายังมี ลมหายใจท�ำ ไมเรายดึ ม่ันถือม่ันจริงๆ เลย เพียงลมหายใจเข้าลมหายใจ ออกร่างกายมีชีวิตท่ีอยู่ได้ เราก็มีความยึดมั่นถือม่ันปรุงแต่งวุ่นวายจน ก่อให้เกดิ ความทกุ ข์ขึ้นมามากมายเพราะอะไร ก็เพราะความหลงนนั่ เอง เพราะอวชิ ชา ตณั หา อปุ าทานทเี่ กิดขึ้นในจติ ใจของเรา เรากต็ อ้ งมาฝกึ น�ำ มาฝกึ มาพิจารณา การฝกึ การพิจารณาบางคร้ังกย็ งั ไมเ่ หน็ เราเคยไปดู มาแลว้ ดรู ปู ภาพ ดขู องจรงิ เอามานกึ จ�ำ ภาพใหต้ ดิ ตาไดส้ กั ระยะหนงึ่ มนั ก็ ลมื ไป สญั ญาความจ�ำ มนั กน็ อ้ ยมนั สน้ั แตถ่ า้ สญั ญาความจ�ำ ในความโกรธ ความโลภ โกรธ หลงนม้ี นั จ�ำ แมน่ แต่สญั ญาจะให้จำ�สง่ิ ทจ่ี ะลบล้างความ โลภ ความโกรธ ความหลงจ�ำ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะวา่ เราฝึกฝนอบรม มานอ้ ย เราก็ตอ้ งพยายามนกึ เอามานกึ เอามาจ�ำ เอามาคิดให้เห็นก้อน กายนี้มันกเ็ ป็นของไมส่ วยไม่งาม อาการสามสิบสองมาคิดพิจารณาให้ได้ เมื่อเรามาคิดมาพิจารณานี้เราถึงจะเข้าใจ มีความเข้าใจมีความเห็น ชัดเจนขึ้นมาทีละส่วน เราจะเห็นชัดทีละส่วน อย่างผมน้ีมีความไม่งาม เพราะวา่ ถ้าเราไมท่ �ำ ความสะอาดนานๆ เข้า เรากร็ ังเกยี จตัวเอง เราไม่ อาบน้ําเราก็จะรังเกียจตัวเอง เราไม่แปรงฟันก็จะรังเกียจตัวเอง เห็น ไหมว่าผมก็ดี ขน เล็บ ฟนั หนังนต้ี อ้ งคอยดูแลอยูเ่ สมอจงึ ว่าพออยกู่ นั
ได้ หลวงพ่อชาวา่ พอลอกหนงั ออกมานีม้ ันจะแดงไปหมด เลอื ดไหลอาบ ไปหมด เมื่อเลือดไหลอาบไปหมดแล้วมีแต่กล่ินคาวของเลือด เราก็จะ รังเกียจตัวเอง คนอ่ืนก็รังเกียจตัวเราด้วย เราก็ต้องมาพิจารณาอาการ สามสิบสองอย่างใดอยา่ งหน่ึงใหเ้ ห็นชดั เบ้ืองตน้ เม่อื เหน็ ภาพเราก็นำ�มา คดิ เสยี กอ่ น คดิ กอ่ นวา่ รา่ งกายนเ้ี มอ่ื มนั ตายไปแลว้ มาผา่ ดสู เิ ปน็ อยา่ งไร ก็ พจิ ารณา หรอื ตายไปแลว้ กจ็ ะมคี วามบวมขนึ้ มามนั เขยี วขน้ึ มา มนั คลาํ้ ขน้ึ มา นาํ้ เลือดนาํ้ เหลืองก็ไหลขึ้นมา หลายวันเขา้ นสี่ ่งกลน่ิ ไปท่วั แบคทเี รยี กท็ ำ�หนา้ ท่ีของเขายอ่ ยสลาย กล่ินของแบคทเี รยี ที่ย่อยสลายนั่นเองมนั ก็ กัดกินไปเร่อื ยยอ่ ยไปเร่อื ย กเ็ น่าไปเร่อื ย เนา่ ไปเร่อื ย กระดูกทเ่ี คยรอ้ ย รดั ก็กระจดั กระจายออกไป เอน็ ที่รอ้ ยรัดอยขู่ าดออกจากกัน กองกระดกู กเ็ รยี่ ราดไป ถา้ ไปทงิ้ ไวต้ ามปา่ สตั วท์ งั้ หลายกจ็ ะมากดั มากนิ เปน็ อาหารตอ่ ไปอกี เมอื่ กอ่ นมชี ีวติ อยู่ก็อาศยั พชื อาศัยผัก อาศยั เนือ้ สตั วท์ ัง้ หลายมา บริโภค ตายไปแลว้ ไปทงิ้ ไวก้ เ็ ปน็ เหยอื่ เปน็ อาหารของสตั วต์ อ่ ไป อยู่ในนา้ํ ก็เป็นอาหารของปลา อยู่บนบกกเ็ ปน็ อาหารของสัตวบ์ กอย่างนี้ เรยี กวา่ หมดสภาพ มนั ตาย คนเราเกดิ มากต็ อ้ งตายไมแ่ นว่ า่ ตายอายเุ ทา่ ไร ผหู้ ญงิ กต็ าย ผูช้ ายก็ตาย ตายหมดเกิดมาเท่าไรก็ตายทัง้ หมด ไมม่ ีใครทจี่ ะไม่ ตาย เรากม็ าดู พระพทุ ธเจ้ากส็ อนวา่ ไม่ให้เราประมาท ดูก่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ท่านท้งั หลายจงยังความไมป่ ระมาทให้ถงึ พร้อมเถิด เป็นพระวาจาในครัง้ สุดทา้ ย ของพระตถาคตเจ้า เราไม่ประมาทเราก็สร้างความดีในเร่ืองของใจที่จะ ฝกึ ฝกึ ในการพจิ ารณากายใหเ้ ปน็ ธาตสุ บี่ า้ ง ใหเ้ ปน็ ของไมส่ วยไมง่ ามบา้ ง อาการสามสบิ สองบา้ ง มาจดมาจำ�มาคดิ พจิ ารณาเสยี กอ่ น จนวา่ เกดิ สมาธิ เกดิ นมิ ติ ปรากฏขนึ้ มา เรากจ็ ะเรม่ิ เหน็ ชดั เจนขน้ึ มาเปน็ อคุ คหนมิ ติ นมิ ติ ติดตาไปอยู่ท่ีไหนก็นึกขึ้นมาก็เห็นภาพนั้น เราก็ละความยินดียินร้ายได้ ๑๑๙ดกู าย... เหน็ จิต ดจู ิต... เห็นธรรม
๑๒๐ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญฺจโน ต่อมากพ็ ิจารณามากข้นึ ก็เหน็ ชัดข้นึ มาอกี ปฏิภาคนมิ ิตชดั เจนขน้ึ มาใน รา่ งกายนี้ เราเห็นชดั ข้นึ มาเรอื่ ยๆ อยา่ งน้แี หละ อาศัยการปฏิบัติสมาธิถึงจะเกิดขึ้นถึงจะตั้งม่ันได้ดีข้ึน ต้องฝึกต้อง ปฏิบัติให้จติ ของเราหยดุ หยุดคดิ ในวันหนึง่ ในเจ็ดวนั ครงั้ หนึง่ ฝึกให้จติ ของเราหยุดความคิด ความปรุง ความแต่งสักหนึ่งวัน หรือตลอดหน่ึง เดือน หรือวา่ ตลอดพรรษามาฝึกกัน บางแหง่ ก็ไมพ่ ูดตลอดสามเดือนก็มี กต็ อ้ งฝกึ ทจี่ ะไมค่ ดิ ทง้ั สามเดอื นหรอื คดิ นอ้ ยทส่ี ดุ หรอื คดิ มาคดิ เรอ่ื งของ กรรมฐานภาวนาปฏบิ ตั ิ แตถ่ า้ คดิ อยา่ งนแี้ ลว้ จติ กย็ งั ไมส่ งบกม็ าคดิ ในเรอื่ ง ของบญุ กุศล อะไรท่ีเป็นบญุ เรากต็ ้องฝกึ การสร้างความดี เป็นฆราวาสก็ ใหท้ าน การใสบ่ าตร การสวดมนต์ การช่วยเหลอื สงั คม เป็นพระสงฆก์ ็ การท�ำ กิจวตั ร หนา้ ท่ีภายในวดั ชว่ ยเหลือกจิ สงฆ์ในวดั ซง่ึ ในวดั กม็ หี ลาย แผนก มแี ผนกไฟฟา้ -ประปา เพือ่ ใหพ้ ระภิกษุสงฆ์น้ันท่านอย่ดู ้วยความ ผาสุก ก็มีผู้ที่เสียสละต่อน้ําต่อไฟ คิดประหยัดนํ้าประหยัดไฟ ช่วยกัน คนละอยา่ งตามความสามารถ ท�ำ กจิ วตั ร ขอ้ วตั รสามคั คกี นั พระภกิ ษสุ งฆ์ กเ็ ลยอยดู่ ว้ ยกนั เหมอื นกบั เปน็ พเ่ี ปน็ นอ้ ง บางครง้ั กม็ กี ารกระทบกระทง่ั ก็ ใหอ้ ภยั ซงึ่ กนั และกนั กเ็ ปน็ ธรรมดา เรากำ�ลงั ฝกึ หดั ปฏบิ ตั บิ างครงั้ กค็ วาม โลภ ความโกรธ ความหลงเกดิ ขึน้ กร็ จู้ ัก ถา้ เราหมดโลภ หมดโกรธ หมด หลงแล้วก็ไม่ตอ้ งมาปฏบิ ัติ ทม่ี าปฏบิ ัติก็เพราะว่าโลภ โกรธ หลงนั้นยังมี อยู่ กม็ ีการกระทบกระท่งั กันเป็นธรรมดากฝ็ ึกจติ ดูจิต ญาติโยมของเรากเ็ หมอื นกนั อยู่บา้ น อยทู่ ี่ท�ำ งาน อย่กู ับคนในโลก ก็ มีความเหนื่อยล้าก็กระทบกับอารมณ์ของคนมีกิเลสตลอดวัน เราก็ต้อง มาพยายามฝึกจิตของเราให้อยู่ในกุศลความดี มีเมตตาอยู่เสมอ ความ ปรารถนาเราเองต้องการความสุขฉันใด ผู้อื่นก็ต้องการความสุขฉันนั้น กรณุ าเมื่อเราเป็นทกุ ขเ์ ราก็ตอ้ งการพน้ จากทุกข์ คนอ่นื เขาเปน็ ทกุ ขก์ ็ขอ
ให้เขาพ้นจากทุกข์ มุทิตาเม่ือเรามีอะไรที่สมบูรณ์บริบูรณ์ก็อยากให้อยู่ นานๆ เราก็ปรารถนาเช่นน้ัน ก็ปรารถนาให้คนอ่ืนเขาเป็นเช่นนั้นด้วย อเุ บกขาจติ เมอื่ เรานนั้ ทำ�ผดิ ไปก็ไมซ่ าํ้ เตมิ ตวั เองไมอ่ ยากใหใ้ ครมาซา้ํ เตมิ เรา เราก็ไม่ซา้ํ เตมิ บุคคลอ่นื เปน็ เมตตาภาวนา กรุณา มุทิตา อเุ บกขา เรากฝ็ กึ จติ ของเรา อนั นก้ี เ็ ปน็ อารมณข์ องกรรมฐานเหมอื นกนั เปน็ พรหม วหิ ารส่ี รกั ษาจติ ของเราอยเู่ สมอน้ี ในหนา้ ทกี่ ารงานอยู่ในวดั กต็ ามเรากฝ็ กึ อยา่ งนี้ เป็นการฝกึ จิตของเราใหม้ ีความดีมีบุญมกี ศุ ล บญุ กศุ ลทยี่ ังไม่ได้ ท�ำ กพ็ ยายามขวนขวายทำ�ใหพ้ รอ้ ม เพราะชวี ติ นก้ี ม็ คี วามเสอื่ มไปๆ เรอ่ื ย ไฟความแก่ ความเจบ็ ความตาย มันเผาไหมเ้ ร็วๆ ทัง้ นน้ั เราสงั เกตไหมความเสอื่ มนม้ี นั คอ่ ยๆ เขา้ มา แลว้ บางครงั้ กป็ บุ๊ ปบ๊ั บาง ครง้ั ก็ทีละนอ้ ย ทีละนอ้ ย ถา้ ไฟไหมข้ า้ งนอกเรายงั พอเหน็ ชัด แต่ไฟที่ มันไหม้ในร่างกายน้ีความชรานำ�มาใกล้ไม่ยั่งยืน โลกน้ีคือหมู่สัตว์มีชรา นำ�มาใกล้ไม่ยั่งยนื โลกนค้ี อื หมู่สตั วพ์ รอ่ งอยู่เป็นนิจ ไมอ่ ่มิ เป็นทาสของ ตณั หา ค�ำ วา่ ไม่อมิ่ คอื ไมพ่ อ คนไมม่ แี ล้วกป็ รารถนาวา่ จะมี เมอ่ื มแี ล้วก็ ปรารถนาจะใหม้ มี ากขน้ึ ไปอีก มันจะไมพ่ อหรอกคำ�ว่าพอไม่มี เพราะว่า จะหาความสขุ ขน้ึ ไปเรอื่ ย คดิ วา่ มแี ลว้ กจ็ ะมอี ะไรใหม้ นั จะมคี วามสขุ ขน้ึ ไป เรอ่ื ยๆ แต่ให้เรากลับมาพจิ ารณาว่าความแก่มันก็ใกล้เข้ามาเร่อื ย ความ เจบ็ กร็ ออยแู่ ลว้ ความตายนน้ั กย็ งิ่ มารออยู่ไมพ่ น้ เลย ถา้ เราไปพจิ ารณาน้ี เห็นคนแก่ก็นอ้ มว่าเรากต็ อ้ งแกอ่ ย่างน้ัน เหน็ คนเจ็บกน็ ้อมมาวา่ เราตอ้ ง เจบ็ อย่างนนั้ เหน็ คนตายเราก็นอ้ มมาว่าเราก็ต้องตายอย่างน้นั พจิ ารณา เรากจ็ ะไดเ้ หน็ ธรรมะเพราะวา่ กายนส้ี กั แตว่ า่ กาย เพราะวา่ เราแก่ เราเจบ็ เราตาย แตต่ อนทา้ ยเมอ่ื จติ สงบกม็ าดวู า่ กายนสี้ กั แตว่ า่ กาย เออไม่ใชก่ าย จรงิ ๆ นะ สกั แตว่ า่ สตั วก์ ็ไม่ใช่ บคุ คลก็ไม่ใช่ เปน็ ตวั เราก็ไม่ใช่ เปน็ ตวั เขา ก็ไม่ใช่ เปน็ ตัวตนเราเขาไม่ใช่ เป็นธาตุตามธรรมชาติ เป็นอนจิ จัง ทกุ ขัง ๑๒๑ดูกาย... เหน็ จิต ดจู ติ ... เหน็ ธรรม
๑๒๒ พระอาจารยอ์ นันต์ อกญิ ฺจโน อนตั ตา เปน็ อยา่ งนน้ั เรากม็ าพจิ ารณา แลว้ เวทนาละ่ เกดิ ขน้ึ ทกี่ ายบา้ ง สขุ บ้าง ทุกข์บ้าง เกิดขน้ึ ทีจ่ ิตบา้ ง ถ้าจิตสงบกพ็ จิ ารณาเห็นเวทนากม็ คี วาม เกดิ ขึ้น ต้งั อยู่ แล้วกด็ ับไปมนั จะไมม่ ตี ัวตนอะไรที่มันจะอยตู่ ลอดไปเลย ไม่มี ไม่มีตวั ตนที่ว่ามันจะอยู่เปน็ เราเปน็ เขาเลยไม่มนี ะ สุขเวทนาก็เป็น ชว่ั ครู่ ทุกขเวทนาก็ชัว่ ครู่ชวั่ คราวกด็ บั ไป แต่ถ้ามีเหตุกเ็ กิดข้ึนมาใหม่มา อกี เราก็พิจารณาสุขทุกข์ในจิตใจน้ีมันก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไร มันก็ เป็นอนจิ จัง ทุกขงั อนัตตา คือว่ามันจะหาตวั ตนไม่ได้ เป็นสตั วบ์ ุคคลก็ ไม่ได้ เปน็ เราเปน็ เขาไม่ได้ เปน็ สภาวะอันหนึง่ เมือ่ มเี หตกุ ็เกดิ ขึน้ เกดิ ข้นึ แล้วก็ตัง้ อยู่ ตง้ั อยู่แล้วก็ดับไปเปน็ อยู่อย่างน้ี เราลองคดิ ดู สขุ เราเคย มีไหม ทกุ ขเ์ ราเคยมีไหม แล้วเคยอยู่ไหม หายไปไหน หายไปแลว้ ดับไป แลว้ สขุ ทกุ ขท์ อ่ี ยปู่ จั จบุ นั มนั กเ็ กดิ ดบั อยนู่ นั่ แหละ สขุ ทกุ ขท์ เี่ กดิ ขา้ งหนา้ มนั จะดบั ไปขา้ งหน้านน้ั นะ่ ทเ่ี ปน็ อดตี กด็ บั ไปในอดีต ปัจจบุ นั กเ็ กิดดับ อยู่ในปจั จบุ นั อนาคตกจ็ ะเกิดดบั อยู่ในอนาคตนน่ั เป็นเร่ืองของเวทนา ขนั ธก์ เ็ ปน็ อยอู่ ยา่ งนี้ เรากพ็ จิ ารณาในเรอ่ื งของเวทนา สว่ นเรอ่ื งของสญั ญา กด็ ี สังขาร วญิ ญาณกด็ ี หรอื เวทนาขันธ์ก็ดกี ็เปน็ เร่อื งของธรรมะ สิง่ ที่ เปน็ กศุ ลกเ็ ปน็ ธรรมะ สง่ิ ทเี่ ปน็ อกศุ ลกเ็ ปน็ ธรรมะ มรรคมอี งคแ์ ปดกเ็ ปน็ ธรรมะ โพชฌงค์เจ็ดก็เปน็ ธรรมะ สัมมัปปธานส่ี สติปัฏฐานส่ี อินทรียห์ า้ พละหา้ อิทธบิ าทสอ่ี ันนกี้ เ็ ป็นองค์ของโพธิปักขิยธรรมนนั้ ล่ะ ฝา่ ยกุศลก็ เปน็ ธรรมะ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งนน้ั กเ็ ปน็ ธรรมะทงั้ นนั้ เลย เปน็ ธรรมะทง้ั นน้ั ที่ ไมเ่ ปน็ ธรรมะไม่มี เป็นกศุ ลธรรมบ้าง อกุศลธรรมบา้ ง กลางๆ บ้าง เร่อื ง ของธรรมะถ้ามคี วามเกิดขน้ึ แลว้ พอต้งั อย่กู ็ดับไปเป็นธรรมดา ท่านจึงให้พิจารณาว่าสิ่งท่ีเกิดข้ึนมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นธรรม ก็สัก แต่วา่ ธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใชบ่ ุคคล ตวั ตน เราเขา อย่าไปยึดมาเปน็ เราอกี
เราเจรญิ มรรคมีองคแ์ ปด กค็ ือความสมมติอย่าไปยดึ มาเปน็ เรา ผลเกิด ข้ึนมาก็สมมติอย่าไปยึดเอามาเป็นเรา เป็นธรรมทั้งน้ันเลยวางไว้ไม่ยึด พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั วา่ เพราะพระองค์นนั้ ทรงรูแ้ ล้ว รแู้ ล้วมผี ้รู แู้ ล้วก็ไม่ ยดึ วางความรู้ดว้ ย เรากง็ งเอ... วางความรแู้ ล้วจะมีอะไรเหลือ ก็ไม่มีก็ เปน็ ความวา่ ง พิจารณาก็เกิดปัญญากเ็ ป็นความว่าง ความทกุ ขก์ ็ไม่เกดิ ขนึ้ ในใจเรา อย่เู หนือโลก เปน็ โลกุตตระจรงิ ๆ พวกเราปฏิบตั นิ มี่ าสร้าง ความดสี รา้ งทานน้ี ถ้าเราทำ�ไปแล้วกจ็ ะไปสู่โลกตุ ตระ รักษาศีล บำ�เพญ็ ภาวนา ความดีทกุ อย่างน้นั ถา้ ละตัวละตนนน้ั เขา้ สู่โลกุตตระ จติ จะได้พน้ จากความทกุ ขท์ ลี ะนอ้ ยทลี ะนอ้ ย ละกเิ ลสตณั หา เพราะวา่ กเิ ลสตณั หามนั อยมู่ นั ไม่พอ ตันแล้วกห็ าอีก ตันแล้วก็หาอกี พร่องอยเู่ ป็นนจิ ไมอ่ ิ่ม ไม่ อ่มิ เป็นลักษณะของกเิ ลส ลักษณะของกิเลสน้มี นั ไม่อมิ่ ไม่อ่มิ ก็พอแล้ว ไมม่ เี ลย ไมม่ …ี มนั เปน็ ลกั ษณะของกเิ ลสอยา่ งนนั้ จะทำ�ใหเ้ กดิ พอนี่ จะ ถึงเมอื งพอได้ต้องมาปฏบิ ตั ิทัง้ นน้ั ... พวกเรานอ่ี ย่างน้อยวันน้ีกพ็ ยายาม ทจ่ี ะเดนิ ทางไปสู่เมอื งพอ หรือเมืองนพิ พานน่ันเอง เดินทางมาใกล้ไกล กต็ าม มาแสวงหาในธรรมะจะไดพ้ จิ ารณา เอาจติ พจิ ารณากาย ถา้ กำ�ลัง สมาธอิ อ่ นก็ใหเ้ จรญิ อานาปานสติใหส้ งบ หรอื จะระลกึ ในคณุ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ หรือจะมีองคบ์ รกิ รรมภาวนาอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง ระลึกถึงในคุณของพระพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้น้ัน พระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองคก์ เ็ ปน็ พระโพธสิ ตั วเ์ สยี กอ่ น พระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระพทุ ธเจา้ นนั้ กวา้ งใหญ่ไพศาลมาก พระองคเ์ ปน็ พระโพธสิ ตั วส์ รา้ ง บารมีมามาก คิดถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้ากว้างใหญ่ ไพศาลหาท่ีสดุ หาทปี่ ระมาณไม่ได้ นกึ ถงึ คณุ ของทา่ นจิตกส็ งบเปน็ สมาธิ เป็นปตี ิเปน็ ความสุข จิตกเ็ ป็นหนึง่ ได้ สงบเขา้ มา นิง่ สงบระงบั แล้วอนั น้ี ก็มาคิดอีก สงบระงับสักครู่นึงแล้วจิตก็จะปรุงแต่ง เข้ามาพิจารณากาย ๑๒๓ดูกาย... เหน็ จิต ดูจติ ... เห็นธรรม
๑๒๔ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ จฺ โน ก้อนกายอกี ครั้งหนง่ึ เห็นเปน็ ธาตุทั้งส่ี ให้เห็นเป็นอสุภะ ยนื เดนิ น่ัง นอนกม็ ีสติ สรุปลงมาแลว้ ก็เห็นว่าสกั แตว่ ่ากาย ไม่ใชส่ ตั ว์บุคคล ตวั ตน เราเขา การฝึกต้องมสี ติ ปฏิบัติมสี ติมองกายก็ดีเห็นเป็นความวา่ งไป ถา้ ไม่ว่างก็พิจารณาแยกแยะธาตุขันธ์แล้วให้เกิดความว่าง เป็นธาตุส่ี เป็น อสุภะ เป็นกายแยกไปแลว้ ในท่สี ุดกว็ า่ งไม่มตี ัวตน เวทนาขันธ์เมอ่ื แยก ไปมนั มีความวา่ ง ไมม่ ตี วั ตนที่แทจ้ ริง จติ นก้ี เ็ หมอื นกนั อารมณท์ งั้ หลายเกดิ ขนึ้ มาในจติ ดจู ติ สวิ นั หนงึ่ มคี วาม รู้สึกอย่างไรบางคร้ังก็โลภ บางครั้งก็โกรธ บางครั้งก็หลง บางคร้ังก็ไม่ โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราก็ให้ร้ทู งั้ หมดนนั่ แหละโลภ โกรธ หลง เกดิ ขึ้น เพราะอะไร ไม่โลภ ไม่โกรธ ไมห่ ลงเกดิ ข้นึ เพราะอะไร รจู้ ัก เหน็ อะไรที่ เกดิ ข้ึนมาจากจติ มนั กเ็ ป็นอนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา หาความเปน็ ตวั ตนไม่ ได้ หรอื สิ่งท่ีละเอียดกเ็ รยี กธรรมะ ท่ีเกดิ ขึน้ มาก็เห็นสกั แต่ว่าธรรม สติ ธรรม ปัญญาธรรม ทา่ นก็เปรยี บเหมอื นกับวา่ รถหรือเรอื ที่มันพาเราเดิน ทางไปสู่ฝั่ง เมอื่ ถงึ แลว้ รถเรือนนั้ ก็ไม่จำ�เปน็ ถึงจดุ หมายปลายทางแลว้ ทีแรกก็งงนะ เราปฏิบัติในมรรคมีองค์แปด ท่านบอกมาถึงแล้วไม่ต้อง เอามรรคไปแล้วเอาวางไว้ ปฏิบัติมาแล้วก็หายสงสัยอ๋อ... ปฏิบัติมีศีล สมาธิ ปัญญา เมอื่ เขา้ ใจในธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญาน้นั เปน็ ทางเดนิ ให้ เราเขา้ ใจในธรรมะ ถ้าเราเห็นธรรมะเขา้ ใจในธรรมะกว็ างแล้ว วางมรรค นั้นสกั แตว่ า่ ธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา ไมเ่ อาเป็นว่าเราเดินใน มรรค ไม่เอา วางไว้ ก็พจิ ารณาไปอย่างนี้ นกั ปฏิบตั ิ ในเร่อื งของศีล ของ สมาธิ ของปญั ญา พิจารณาไปบางครั้งคนทีเ่ รารูจ้ ักคนคนุ้ เคย สามีของ เรากจ็ ากไป ภรรยาก็จากไป บุตรของเรากจ็ ากไป พิจารณาไปวา่ ชวี ติ ไม่ แนน่ อน วนั หนง่ึ เรากต็ อ้ งจากโลกนี้ไปเหมือนกนั โลกนเ้ี ป็นโลกที่เรามา อยู่ชวั่ คราวเท่าน้นั เอง
เม่ือเป็นเช่นนี้ก็ส่ิงใดเป็นความดีท่ีเรายังไม่ทำ�ก็ทำ�ให้เต็มซะ เม่ือ ความตายมาถึงเราก็ไม่หวาดหวั่นแล้ว เพราะว่าเราท�ำ ความดีเอาไว้เต็ม แลว้ พร้อมแลว้ ทจี่ ะไป มีความพรอ้ ม เสบยี งทง้ั หลายคอื ทานเราก็ทำ�มา พร้อมแล้ว ศลี ก็รกั ษาไดด้ แี ลว้ สมาธเิ รากด็ ีแล้ว มีความเชอ่ื มัน่ ศรทั ธาใน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้น เวลาเราเกิดอีกน่นั เรา ก็ไมก่ ลัวแลว้ คงจะพน้ ทกุ ข์ได้ไม่ชาติใดกช็ าติหนงึ่ ตอ้ งไปเกิดในท่ดี ีแน่ มีความมนั่ ใจจติ สงบ เพราะเราพิจารณาอยูเ่ สมอว่าเราไมป่ ระมาท วนั คืน ลว่ งไปล่วงไปเราทำ�อะไรอยู่ เราก็ไมป่ ระมาทพยายามละอกุศล เจรญิ ใน กศุ ลพจิ ารณาถงึ ไฟความแก่ ความเจบ็ ความตายมนั เขา้ มาใกลเ้ ราทกุ ขณะ มนั ไม่ยงั่ ยนื อะไร โลกนี้มันไม่อมิ่ ไมพ่ ออะไรหรอก ทุกวันนเี้ ขาอาจจะวา่ คนรวยแลว้ ก็ไมพ่ อจริงๆ คนเกิดมาในโลกไม่มีใครพอ ไมม่ ีใครพอหรอก เพราะวา่ อะไร เพราะวา่ เกดิ ข้ึนมาในโลก จติ ก็ต้องการลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ แตเ่ สือ่ มลาภ เส่อื มยศ นินทา ทกุ ข์เป็นของคูก่ นั ใหเ้ ราพจิ ารณาแล้ว กป็ ฏบิ ตั ภิ าวนากนั กเ็ หลอื อกี แคห่ นงึ่ วนั พระกจ็ ะเปน็ วนั มหาปวารณากต็ งั้ จติ ตั้งใจเป็นเมตตา กรณุ า มทุ ิตา อเุ บกขา เจรญิ ภาวนาอยู่เสมอ จะไดม้ ี ความสขุ ความเจรญิ ทัว่ กันทุกๆ ท่านเทอญ... กูรูริมโปเช Guru Rinpoche คุรุปัทมสมภพ กูรรู นิ โปเช่ ชาวธเิ บตตา่ งสกั การะท่านเสมือน หน่ึงพระพทุ ธเจา้ องคท์ ่สี อง พระองค์ทรงเป็นวัชรนิรมาณกาย ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า วัชรธรรมกายของพระองค์คือวัชร ธรรมกายของพระพุทธเจา้ ทง้ั ปวง ท่านถ่ายทอดพระธรรมโปรดสรรพชีวิตท้ังหลายในอินเดีย เนปาล ดว้ ยพระปญั ญาและพระเมตตาควบคกู่ นั ตอ่ มาไดร้ บั การ อญั เชญิ จากกษตั รยิ ์ ฑโิ ซงเดเชนใหเ้ สดจ็ ไปประดษิ ฐานพระพทุ ธ ศาสนาในธิเบตในราว พ.ศ.๑๓๐๐ ทรงมีบทบาทสำ�คัญในการ สยบมารร้ายที่คอยขัดขวางการเผยแพร่พระธรรม ทรงให้พร และปลุกเสกสถานที่ต่างๆในธิเบต จนพระพุทธศาสนาสามารถ ประดษิ ฐานและรุ่งเรอื งสดุ ขดี ถึงปจั จุบนั ดูกาย... เหน็ จติ ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๒๖ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ ฺจโน “ อบุ ายวิธีอันใดทจี่ ะใหจ้ ิตของเราสงบ เรียกว่าสมถกรรมฐาน อุบายวิธีท่ีจะให้ ”เกิดปัญญาเรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน แตก่ ารปฎิบตั เิ ราก็จะแยกกนั ไม่ได้
สมถกรรมฐาน-วปิ สั สนากรรมฐาน... ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ ในเรือ่ งปฏบิ ัติในทางพุทธศาสนาท่เี ราจะใหเ้ กิดความปลอ่ ยวาง ความ ปล่อยวางคือมีปัญญาทีจ่ ะปลอ่ ยวางความคดิ ปลอ่ ยวางจิตใจ ปล่อยวาง ความทุกข์ตา่ งๆ ท่ีเกดิ ขึ้นมา หลวงพ่อชาท่านจะเน้นว่าอะไรสำ�คัญก็จรงิ ความปลอ่ ยวางนส้ี �ำ คญั กวา่ เมอื่ เราจะมปี ญั ญาเชน่ นน้ั เรากต็ อ้ งฝกึ จติ ของ เราใหม้ สี มาธิ เมอื่ เราจะพดู ถงึ สมาธนิ ้ี ขอ้ หนง่ึ เรากจ็ ะพดู ถงึ อบุ ายวธิ ที จ่ี ะ ให้จิตของเราสงบเรยี กวา่ สมถกรรมฐาน กรรมฐานแปลวา่ การงาน อบุ าย วธิ อี นั ใดทจี่ ะใหจ้ ติ ของเราสงบเรยี กวา่ สมถกรรมฐาน อบุ ายวธิ ที จี่ ะใหเ้ กดิ ปัญญาเรียกวา่ วปิ ัสสนากรรมฐาน แตก่ ารปฏิบตั ิเรากจ็ ะแยกกันไม่ได้ อยา่ งเมอ่ื เราเจรญิ อยู่ในสมถกรรมฐานน้คี ือให้จิตของเราสงบ เม่ือเรา ๑๒๗ดูกาย... เห็นจิต ดจู ิต... เหน็ ธรรม
๑๒๘ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญจฺ โน เจริญในสมถกรรมฐานจิตของเราสงบก็เรียกว่าจิตเป็นสมาธิมีความตั้งใจ มน่ั เม่อื เรามสี มาธแิ ลว้ จติ ของเราทีม่ ันสงบ ปญั ญากจ็ ะเกดิ ข้ึนเพราะว่า จติ ทสี่ งบ เหมอื นกบั วา่ ความสงบเลก็ นอ้ ย ปกตจิ ติ ของเราฟงุ้ ซา่ นจติ ของ เรากวดั แกวง่ ไปไมห่ ยดุ ไมน่ งิ่ เมอื่ เรามาฝกึ โดยอารมณข์ องสมถกรรมฐาน มีอานาปานสติ มีอสุภกรรมฐาน มีความตายอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีเรารู้สึก ชอบใจ เรากเ็ อามาบรกิ รรมภาวนารูด้ ลู มหายใจ จิตของเราเกิดความสงบ ขนึ้ มา ความสงบบางครง้ั สงบเพียงแค่ชัว่ ครู่นิดเดียว เรียกว่าขณกิ สมาธิ ความสงบเพียงเล็กน้อย ขณิกสมาธิน้ีเมื่อเกิดข้ึนบ่อยๆ เม่ือเราเจริญ กรรมฐานเปน็ อบุ ายวธิ ีใหจ้ ติ สงบ เมอื่ จติ สงบกเ็ กดิ สมาธเิ ราจะยนื จะเดนิ จะนั่ง จะนอน เรากท็ �ำ กรรมฐาน เม่ือจติ สงบก็เกดิ สมาธิข้นึ เล็กน้อย ข้ึน ทีละน้อยๆ อันนี้เราปฏบิ ตั ิมากเข้าๆ นานๆ ขณิกสมาธิกเ็ กดิ บอ่ ยขึน้ ท่านเปรียบเทียบเหมือนกับว่าเป็นเหมือนหยดนํ้า เป็นหยดแห่งน้ํา คอ่ ยๆ หยด ค่อยๆ หยด ทนี ้เี รากจ็ ะเหน็ ผลว่าเม่ือเรานีเ้ จริญปฏิบตั ิใน กรรมฐานของเราจติ ของเราจะสบาย รสู้ กึ สบายปลอ่ ยวางได้ อารมณท์ เี่ รา เคยยึดถือท่ีเป็นทุกข์เราก็ปล่อยวางได้ใจเราก็สบาย มีความรู้สึกเหมือน กับว่าเราละกิเลสไปได้ทีละน้อยๆ อาศัยความสงบของจิตที่เกิดข้ึนมาที ละน้อยน่ันเอง นเี้ มอ่ื เราเจริญบอ่ ยๆ เจริญบ่อยๆ ข้นึ มา จิตบางครัง้ จะ สงบมากขึน้ ทา่ นเรียกว่าอปุ จารสมาธิ อปุ จาระแปลว่าใกล้ เหมือนเราจะ เขา้ ไปในศาลาไปบา้ น อปุ จาระคอื วา่ เขา้ ไปใกลแ้ ลว้ อยตู่ รงหนา้ ประตเู รยี ก ว่าอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิน้ีก็จะมีความรู้สึกในอาการของร่างกายได้ บางครงั้ รา่ งกายของเราน้ีนง่ั ไปจะเบาเลย ร่างกายจะเหมือนไม่มีน้าํ หนัก น่ังแล้วเหมือนลอยอยู่กลางอากาศก็มี สบายปลอดโปร่ง ความคดิ นึกปรงุ แตง่ อะไรมนั ไมม่ เี ลยนะ มหี นอ่ ยเดยี วจติ จะไหวไปนดิ เดยี ว มคี วามสขุ มี ปตี อิ ่มิ อกอมิ่ ใจมาก อนั น้เี ราก็จะเกดิ การเปรียบเทียบได้
เมอ่ื กอ่ นนเ้ี รากจ็ ะเหน็ วา่ ปญั ญาในการทเี่ ราศกึ ษา ปญั ญาในการเรยี นรู้ ปัญญาในการจำ� ปญั ญาในการคดิ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีแลว้ กฉ็ ลาดด้วย แลว้ เราก็รู้สึกว่าตัวเองรู้สึกว่าฉลาด บางคนท่ีไม่ค่อยนึกคิดปรุงแต่งเราก็จะ มองว่าไม่ค่อยจะมีปัญญาเท่าไหร่ ของเราน้ีดีกว่าปัญญาดีกว่าพิจารณา ปลอ่ ยวางไดด้ กี วา่ เราจะมคี วามคดิ เชน่ นี้ อยา่ งตวั ผมเองนก้ี ช็ อบอา่ น ชอบ เรยี น ชอบฟงั ชอบศกึ ษามากทเี ดยี ว ชอบวธิ กี ารเรยี นรแู้ ลว้ กม็ กี ารปฏบิ ตั ิ พจิ ารณาสมาธกิ เ็ กดิ ขน้ึ บา้ ง แตเ่ มอื่ มีสมาธทิ ่ีเกิดขึน้ มมี ากข้นึ จงึ เขา้ ใจว่า สมาธิน้สี ำ�คญั เมือ่ จิตของเราเกดิ ความสงบเราก็จะวางความรู้ท้ังหลายไว้ เมอ่ื จติ ของเราจะสงบเขา้ มาอารมณท์ เ่ี ขา้ มาในจติ ของเรากเ็ ขา้ ไม่ได้ เพราะ ว่าสมาธิของเรามีสติของเราระมัดระวังอยู่ ก็เห็นคุณของสมาธิข้ึนมาเลย วา่ เกดิ ประโยชน์อยา่ งมาก ท�ำ ให้จิตนี้มคี วามเยือกเย็น ท�ำ ใหจ้ ติ นมี้ คี วาม สงบ อนั นก้ี เ็ ปน็ ปัญญาอีกชนิดหนงี่ เป็นปญั ญาชนิดหน่งึ ทีเ่ ราเรียนรู้ แตเ่ มอื่ มสี มาธขิ น้ึ มา จติ ของเราสงบนเี้ ปน็ อปุ จารสมาธนิ ี้ บางครง้ั จะมี ความเยน็ ในจติ ใจขน้ึ มาก็ได้ เมอื่ เราก�ำ หนดสมาธขิ นึ้ มา สตขิ องเราก�ำ หนด ในกายดจู ติ ใจขนึ้ มา เกดิ ความสงบแลว้ กเ็ ปน็ อยู่ไดเ้ ปน็ วนั เปน็ เดอื นกเ็ ปน็ อยู่ได้ เรากจ็ ะเหน็ คณุ คา่ ของสมาธวิ า่ สมาธนิ ม้ี คี ณุ คา่ มาก เพราะวา่ ถา้ เกดิ วา่ เราไมม่ กี �ำ ลงั สมาธิ ความหลงเกดิ ขนึ้ ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั กเ็ กดิ เมอื่ สมาธิ มอี ารมณเ์ ขา้ มาเราจะมปี ญั ญาพจิ ารณาแลว้ ปลอ่ ยวางได้ ยกตวั อยา่ งวา่ เมอื่ เราไปเจรญิ กรรมฐาน เมือ่ เจรญิ กรรมฐานอยู่ในทสี่ งดั ท่ีนา่ กลวั กต็ าม ถา้ จิตของเราไมม่ ีสมาธิ ปัญญาไม่เกดิ อารมณ์กลวั ทีเ่ กดิ ขน้ึ มาจะมีความยึด ม่นั ถือม่ัน มีตัวมีตนกม็ ีทุกขเ์ กิดขน้ึ เมื่อเราเห็นอย่างนน้ั รวบรวมกำ�ลงั สมาธขิ น้ึ มามอี านาปานสตกิ ต็ าม ความตายกต็ าม พทุ ธานสุ ตกิ ต็ าม จติ สงบ จิตสงบก็มีการพิจารณาออกในแง่ของปญั ญา กจ็ ะร้คู วามจรงิ ของรูปนาม ว่ามันเปน็ อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา ปลอ่ ยวางได้ ความทกุ ขก์ ็ไมเ่ กดิ ๑๒๙ดกู าย... เห็นจิต ดจู ิต... เหน็ ธรรม
๑๓๐ พระอาจารย์อนันต์ อกิญจฺ โน สมาธิน้แี ลว้ แต่วธิ ีการ หน่ึงปญั ญาอบรมจิตใหเ้ กดิ สมาธิโดยใชป้ ญั ญา ในการใคร่ครวญพิจารณาหาเหตุหาผลให้จิตน้ีสงบข้ึนมา เรียกว่าเป็น ปัญญาอบรมจิตให้เกิดสมาธิ อีกอย่างหน่ึงคือการทำ�สมาธิให้เกิดโดย การบรกิ รรมภาวนาไมต่ อ้ งคดิ อะไรมากเลย พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ บริกรรม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจอยา่ งใดอย่างหนึ่ง จติ สงบแล้วพจิ ารณาแลว้ เกิดปัญญา แต่ถ้าเกิดเราชอบนึกคิดปรุงแต่งหาเหตุหาผลให้เกิดปัญญา ใครค่ รวญเสยี กอ่ นแลว้ ให้เกดิ ความสงบ แม้วา่ ความสงบไม่มากก็ตามแต่ เกดิ จากปญั ญาท่อี บรมเราก็มีความสงบ เราก็ใชว้ ธิ กี ารของเราเมอ่ื เราใชป้ ญั ญาอบรมใหเ้ กดิ สมาธนิ ้ี สมาธอิ บรม ใหเ้ กดิ ปญั ญา มนั กจ็ ะหมนุ แลว้ สมาธทิ เี่ ราทำ�ไดเ้ ลก็ นอ้ ยจะมากขนึ้ ๆ เกดิ ความสงบทำ�ให้เกิดสมาธิ มันจะเริ่มเหน็ ชัดทพี่ ระพุทธเจา้ ท่านสอนในรูป นามเปน็ อนจิ จงั จะชดั เจนขนึ้ เพราะจติ ทส่ี งบจะมองธรรมชาติ มองใบไม้ มองตน้ ไม้ ภเู ขาตา่ งๆ จะนอ้ มกลบั มาเปน็ ธรรมะได้ เกดิ ธรรมะเกดิ ความ เข้าใจในคำ�สอนของพระพุทธเจ้าได้ลึกซ้ึงขึ้น เหมือนเราจะพิจารณาใน สงั ขารรา่ งกายของเรานี้ เรากจ็ ะมองเหน็ ในกายของเรานชี้ ดั เจน เหน็ กาย เป็นอสภุ ะ เหน็ กายเป็นก้อนธาตุ เห็นกายเปน็ ก้อนอนจิ จงั เปน็ กอ้ นทุก ขัง เปน็ ก้อนอนตั ตาชัดเจนขนึ้ มา เม่ือเราเห็นรูปนามเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาข้ึนมาแล้วจิตก็จะ ท�ำ ความสงบไดง้ ่ายข้ึน ปีติก็ดี สขุ ก็ดี วิตกวจิ ารกด็ ี กอ็ ยู่ในกรรมฐานนี้ แหละ จนจติ ของเราสงบนง่ิ ไดเ้ ปน็ หนง่ึ ไดเ้ รยี กวา่ อปั ปนาสมาธิ จติ ของเรา สงบเปน็ สมาธิข้ันนีส้ ำ�คัญแล้ว เพราะว่าเปน็ สมาธิท่มี ีความตั้งมัน่ อารมณ์ เป็นหน่งึ อารมณ์เปน็ หนึ่งน่นั แหละเอกายนมัคโค มรรคน้ีกเ็ ปน็ อนั เดยี ว ศลี สมาธิ ปญั ญารวมกนั เข้ามา รวมกันเขา้ มาเปน็ หนึ่งเม่ือสมาธิของเรา มีก�ำ ลังได้เป็นอัปปนาสมาธิ
เม่ือจติ คลายจากสมาธิมาแล้วนี้ เราพจิ ารณาในรูปนามกเ็ ห็นชดั ขึน้ มา เหน็ ชดั ทจี่ ะละความลงั เลสงสยั เสยี ได้ เหน็ ชดั พอทจ่ี ะละกเิ ลสทเี่ ราเคยยดึ เคยถอื เปน็ ตวั เปน็ ตนได้ เหน็ ชดั ทจ่ี ะเปลยี่ นความเหน็ ของเราไดเ้ ปน็ ความ เหน็ ท่ถี ูกตอ้ ง เป็นความเห็นที่เราจะละความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ เห็นวา่ รา่ งกายนี้ไม่ใชต่ ัวตน จะตอ้ งอาศัยว่าเร่ิมต้นนน้ั แหละ สมาธิ เพียงเล็กน้อยเรยี กวา่ ขณกิ ะ เรยี กว่าเลก็ น้อย เม่ือเราเจรญิ บอ่ ยๆ มีการ พฒั นาข้นึ ไป เมื่อเราเดนิ เรากม็ สี มาธิระดับหนง่ึ บางทีเรานัง่ กม็ สี มาธิลกึ ซง้ึ ขนึ้ ไปอกี เมอื่ เรามาเดนิ สมาธกิ เ็ พมิ่ ขน้ึ อกี เมอื่ เรามานง่ั สมาธกิ จ็ ะเพมิ่ ขึน้ อกี เมอ่ื มสี มาธอิ ยตู่ รงนน้ั ความสงบของสมาธนิ น้ั กพ็ จิ ารณาใหเ้ กดิ ปญั ญา ศลี คอื การส�ำ รวมกายวาจา ศลี สมาธิ ปญั ญากเ็ ปน็ มรรค เมอื่ เราเดนิ มรรค อย่างนี้อยู่เราก็เห็นธรรมะเข้าใจธรรมะ รู้ธรรมะเห็นธรรมะ เป็นธรรมะ การปฏบิ ตั นิ วี้ า่ เปน็ ศลี สมาธิ ปญั ญา รวมกนั เปน็ การปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ แหละ ถา้ พูดแยกก็พูดเรอ่ื งมีสมาธิ อันน้เี ปน็ ปัญญา อันน้เี ปน็ ศีล ถ้าเกิดความ เปน็ จรงิ แลว้ กจ็ ะอยรู่ วมกนั เปน็ ศลี สมาธิ ปญั ญา หลวงพอ่ ชายกตวั อยา่ ง มะมว่ งใบเล็กๆ ก็คอื มะมว่ ง พฒั นาข้ึนมาเป็นมะมว่ งที่โตขึน้ มา โตขึ้นๆ พัฒนาเปน็ มะมว่ งทมี่ ันเหลอื งทม่ี ันหา่ มๆ แล้ว ใกลส้ กุ แล้ว มะม่วงสุก ก็จะเป็นมะม่วงใบเดียวกันน้ีแหละ แต่มันพัฒนาข้ึนมาเรื่อยๆ เหมือน ศลี สมาธิ ปัญญาน้อยๆ กเ็ หมอื นมะม่วงใบน้อยๆ ศลี สมาธิ ปญั ญามี ก�ำ ลงั มากขน้ึ กเ็ ปรยี บเหมอื นมะมว่ งทมี่ นั โตขนึ้ ๆ จนมนั สกุ จนมนั หา่ มรบั ประทานได้ ปัญญาเป็นเรื่องของสมาธิโดยตรง สมถกรรมฐานอุบายวิธีให้จิตสงบ เมอื่ จติ สงบเรยี กวา่ สมาธกิ ม็ คี วามตง้ั ใจมน่ั ชอบ ความตงั้ ใจมน่ั ชอบ ความ ระลึกชอบ ความเพียรชอบก็อยู่ในประเภทเดียวกัน พระท่านจัดอยู่ใน ๑๓๑ดกู าย... เหน็ จิต ดจู ติ ... เห็นธรรม
๑๓๒ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญจฺ โน ประเภทเดยี วกนั ในเรอื่ งของสมาธนิ นั่ เอง ในเรอ่ื งปฏบิ ตั จิ งึ รวมกนั วา่ เปน็ เรอ่ื งของศลี สมาธิ ปญั ญา เปน็ มรรคมอี งคแ์ ปดประการ คอื วา่ รวมกนั เปน็ อนั เดยี วมปี ญั ญา สมั มาทฏิ ฐเิ ปน็ หวั หนา้ สมั มาสงั กปั โปความด�ำ รอิ อกจาก กามนน้ั แหละ เพยี งแตว่ า่ ตอนนเี้ ราจะตอ้ งพยายามปฏบิ ตั ิใชป้ ญั ญาอบรม จติ ใหเ้ กดิ สมาธิ สมาธอิ บรมปญั ญากต็ ามใหจ้ ติ มนั นง่ิ ใหไ้ ด้ เมอื่ จติ นง่ิ แลว้ เราก็จะเห็นธรรม ภกิ ษณุ ี : อยากจะใหอ้ าจารย์สอนอบุ ายวิธแี กน้ วิ รณ์ พระอาจารยอ์ นนั ต์ : อบุ ายหลักแก้นวิ รณเ์ ราลองดูซิว่า เราเดนิ หลกั เจรญิ เมตตาภาวนาอยเู่ สมอแลว้ ใชห่ รอื ไม่ เชา้ ตนื่ ขน้ึ มาเราจะมเี มตตาตอ่ ตวั เองเมตตาต่อสัตว์โลก จะไม่โกรธใครไม่เกลยี ดใคร เราก็เตือนตัวเอง พยายามเจริญเมตตาภาวนา ในวันน้ีตั้งใจอาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิต ของเราก็ได้ เราเกิดมากี่เดือนก่ีปีแล้วเรากค็ งจะเหลือไม่มาก เราตัง้ ใจถา้ เราเปน็ คนที่โกรธง่าย กต็ ้งั ใจว่าจะไม่โกรธไม่เกลยี ดใคร ไม่พยาบาทใคร เพราะวา่ เดีย๋ วเราก็จะต้องตายน้ีกเ็ ป็นอุบายอย่างหน่งึ แลว้ ก็มีสตสิ ำ�รวม ระวงั เพราะว่าอารมณท์ เี่ ข้ามานนั้ เกดิ นวิ รณ์ ความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาจติ ทย่ี ดึ ถอื กเ็ ปน็ นวิ รณ์ อารมณท์ ย่ี นิ ดพี อใจ เกดิ ความยินดีเราก็ต้องพิจารณา ถ้าเรายังไม่ได้พิจารณาอสุภกรรมฐานหรือ ไม่ชอบ ก็พิจารณาว่าเด๋ียวเราก็จะต้องตายแล้วจะไปยึดมั่นถือม่ันอะไร ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง ละความปรุงแตง่ ไปในอนาคต อดีตท่ีผ่านมาแลว้ ก็ไมม่ คี ณุ คา่ อะไร จติ ของเรากจ็ ะได้ขา้ มนิวรณ์ ถ้ามัน ง่วงมากในการปฏิบัติก็ไปเดิน เดินมันง่วงมากก็ไปเดินถอยหลัง ไปนั่ง ในบ่อนํ้าก็ได้ นัง่ ด้วยกระดานแผ่นเดยี วกลวั จะตกก็หายง่วงได้ ขึ้นไปที่ สงู ๆ แล้วกน็ ง่ั ใหม้ ันหมิ่นๆ แบบนถ้ี ้าตกไปก็ตาย มันก็จะกลัว จิตก็จะ ตนื่ หายงว่ งได้ แต่ถ้าไปนง่ั แลว้ มนั ก็ไม่กลัวก็รบี ลงมาเพราะตายจริงๆ ยงั
ไม่ได้บรรลุธรรมตายก่อน ยังไม่ได้เห็นธรรมะ ยังไม่ได้รู้ธรรมะตายเสีย กอ่ น ต้องมปี ญั ญาดว้ ย ต้องฝึก บางทกี ม็ ที ฏิ ฐมิ านะ บางทกี ็มตี วั ตนไม่ ยอมใครทั้งนนั้ แหละมนั ก็เป็นธรรมดา กฝ็ กึ ออ่ นน้อมถ่อมตวั ฝกึ จติ ของ เราใหอ้ อ่ นนอ้ มถอ่ มตวั ใหอ้ ภยั ใหล้ ะความยดึ ถอื ตวั ตนของเราทด่ี กี วา่ เขา ตา่ งๆ นี้ไมย่ อมออ่ นนอ้ มถอ่ มตวั เจรญิ เมตตาภาวนาพจิ ารณารา่ งกายของ เรานแี้ หละเกสา โลมา นขา ทนั ตา ตโจ ร่างกายน้ีเหน็ ความไม่สวยไม่งาม ก็ละความยนิ ดี ดงั ท่ีได้อธบิ ายมานแ้ี หละเป็นวิธีแก้นิวรณ์ ฝกึ การฉันก็ได้ เมือ่ จะฉัน กเ็ อาอาหารวางไวน้ ง่ั สมาธเิ สยี กอ่ นครง่ึ ชวั่ โมง ถา้ จติ มนั คดิ ไปอยา่ งนน้ั คดิ ไปอย่างน้ีปรุงแต่งในเร่ืองอาหารไปเราก็ไม่ฉัน จิตมันคิดมากอยากมาก เราก็ไม่ฉัน อยากจะฉนั แบบนี้เราก็ไปฉันอยา่ งนัน้ เราก็ดูความรู้สึกของ เรา ฝกึ จิตในการปฏิบตั ิไม่ใหไ้ ดด้ ังใจปรารถนา อยกู่ บั หลวงปู่ชา ท่านจะ สอนไม่ใหไ้ ด้ดังใจปรารถนา เม่ือไม่ไดด้ งั ใจแล้วมนั กท็ ุกข์ ทกุ ขม์ นั ก็เกดิ ธรรมะ บางทมี นี ํ้าปานะมีโอเลี้ยงมีนํ้าแข็งมาบ้าง หลวงพ่อชายงั ไม่ใหฉ้ นั หรอกทา่ นเทศนเ์ สยี กอ่ น มีนํา้ โกโก้ กาแฟมา ทา่ นก็เทศนส์ อนเสียก่อน โกโก้ กาแฟมนั กเ็ ยน็ หมดแลว้ นา้ํ โอเลยี้ งกจ็ ดื ไปหมดแลว้ ทา่ นกป็ ลอ่ ย... เอา้ ฉันนา้ํ ปานะได้ แต่กด็ ีไปอยา่ งเมอ่ื อยู่กับทา่ นแลว้ ไมต่ ้องคิดอะไรมาก ปีน้ีจะไปอย่ทู ่ีไหนไมร่ ้แู ลว้ แต่หลวงพอ่ ไม่ต้องคดิ อะไรเลย จะอย่ทู ่ีไหน จะไปยงั ไงกอ็ ยู่ไปเฉยๆ อยา่ งนน้ั แหละ ถา้ เกดิ วา่ ทา่ นบอกใหไ้ ปก็ไป ทา่ น บอกให้อยกู่ ็อยู่ ไม่ต้องไปปรุงแตง่ ในอนาคตเลย ภาวนาอยู่ในปจั จุบัน ดูกาย... เห็นจิต ดูจติ ... เหน็ ธรรม
๑๓๔ พระอาจารย์อนันต์ อกญิ จฺ โน บางทลี กู ศษิ ยก์ อ็ ยากจะไปธดุ งคป์ ฏบิ ตั มิ าก บางทที า่ นก็ใหไ้ ปเลย บอก วา่ อกี หา้ ปถี งึ จะกลบั มาไมถ่ งึ หา้ ปอี ยา่ กลบั ใหไ้ ปหา้ ปคี อ่ ยกลบั มา ถา้ อยาก จะไปมากใหไ้ ปถงึ หา้ ปีไม่ใหก้ ลบั ไม่ใหเ้ ขา้ มาฝกึ บางทบี างทา่ นไปสามปกี ็ อยากจะกลบั มากก็ ลบั ไม่ได้ กลบั ไม่ไดก้ ต็ อ้ งวนรอบๆ วดั หนองปา่ พงกอ่ น อยากจะกลับจนหลวงพ่อชามาเจอ เอ้ากลับได้แล้วครบห้าปีพอดี สมัย กอ่ นบวชกส็ งสยั เหมอื นกนั เอบางทีไปถามพระองคห์ นงึ่ วา่ ปหี นา้ ทา่ นจะ จำ�พรรษาอยู่ท่ีไหนท่านก็บอกวา่ แล้วแต่หลวงพอ่ เราก็คดิ ถา้ ตัวเราจะไป แลว้ แตห่ ลวงพอ่ ไดอ้ ยา่ งไร เราอยากจะจำ�ไหนเราก็ไปจ�ำ ของเรา นคี่ อื วา่ ไป ตามใจปรารถนาของเรา แตท่ า่ นจะฝกึ บางทีไมอ่ ยากไปกต็ อ้ งไป อยากอยู่ กต็ อ้ งไป อยากไปใหอ้ ยกู่ ม็ ี เปน็ การฝกึ จติ คอื ทา่ นจะสอนใหฝ้ กึ จติ นนั่ เอง ฝกึ จติ ใหล้ ะนวิ รณ์ ละอารมณท์ งั้ หลายทเี่ ราชอบใจไมช่ อบใจ ทเ่ี ราโกรธเรา เกลยี ด เรารักเราชงั เรากลัวนท้ี ่านให้พยายามฝึกจติ มอี งค์หนงึ่ นะทา่ น บอกให้ไปพิจารณาปา่ ช้า ท่านกบ็ อกว่าเอ... ป่าชา้ ไม่เห็นจะมีอะไรเลยก็ วนั หนึ่งก็เลยพยายามไป ไปแล้วเดินไมอ่ อกเลยกา้ วขาไม่ได้ ใช้เวลาเป็น เดอื นเลยกวา่ จะเดนิ ถึงป่าชา้ ตอ้ งเดนิ เอาเทา้ ตอ่ เอาส้นต่อกนั เดินไมเ่ ทา่ ไหร่กก็ ลับ ใชเ้ วลานานกว่าจะไปถงึ เป็นอุบายวธิ สี อนใหแ้ ก้นวิ รณ์ในตัว ในการปฏบิ ตั เิ ปน็ วธิ กี ารทรมานจติ ใหไ้ ดร้ บั ความสงบ ใหอ้ ยู่ในหนทางแหง่ การปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง เมอื่ เราเจรญิ ในหนทางแบบนี้ในขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิในการ ด�ำ เนินทีถ่ ูกตอ้ งแล้วจติ สงบ ท่านก็สอนใหพ้ ิจารณาให้เกดิ ปญั ญา อย่าง เราต้องการพ้นทุกขก์ ็จะเห็นธรรมะ หรอื ว่าเราไมต่ อ้ งการพ้นทุกขเ์ ลยแต่ วา่ ความทกุ ข์มันก็จะน้อยลงไป เปน็ วิธปี ฏิบตั ิที่ครูบาอาจารยท์ ่านส่งั สอน แนะนำ� แล้วเรามาปฏิบัตฝิ กึ หัดให้เกดิ ความสงบขึน้ ในใจ ภกิ ษุณี : ถา้ เหน็ อนจิ จงั ชดั เจน จะเหน็ ทุกขังอนัตตาหรือไม่ หรือว่า ตอ้ งพจิ ารณาอะไรตอ่
พระอาจารย์อนันต์ : อนั เดยี วกัน ถา้ เราเหน็ วา่ ส่งิ เหล่าน้ีเปน็ อนจิ จัง จิตเราก็จะไม่ไปยึดถือก็คือเป็นมรรคน้ันเอง หรือว่าเห็นว่าส่ิงทั้งหลาย ความคิดท้งั หลายเป็นทุกขังเกิดขน้ึ ต้งั อยแู่ ล้วกด็ ับไปก็ไมย่ ึดถือ หรือวา่ เห็นวา่ ความคิดท้งั หลายนนั้ เกดิ ขึน้ ตัง้ อยู่ แล้วก็ดบั ไปเป็นอนัตตา เม่อื เราพจิ ารณาอนั ใดอนั หนึ่งก็ถงึ กันหมด สง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี งสิ่งนั้นเปน็ ทกุ ข์ ส่ิง ใดไมเ่ ทย่ี งเปน็ ทกุ ขเ์ ปน็ อนตั ตา เปน็ อนั เดยี วกนั ถา้ จะพดู กว็ า่ เปน็ อนจิ จงั ถ้าจะแยกก็ว่าทุกขัง ถ้าจะแยกก็ว่าเป็นอนัตตา เป็นอันเดียวกัน เป็น ไตรลกั ษณ์ เห็นอันใดอันหนง่ึ ถงึ กนั หมดเปน็ อนั เดียวกัน เห็นไมเ่ ท่ียงก็ คือว่ากำ�ลังเสอื่ มไป ก็แสดงวา่ ไม่มตี วั ตนกเ็ ปน็ ความวา่ ง... พระมญั ชุศรีโพธสิ ตั ว์ ชอ่ื ของท่านแปลวา่ แสงอันออ่ นหวาน หรอื อ่อนโยน เปน็ พระโพธสิ ัตวท์ มี่ ผี ูน้ ับถอื มากในธเิ บต ถอื วา่ เปน็ พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา และมีหน้าทคี่ ้มุ ครองนักปราชญ์ รูปลักษณ์ พระองค์ทรงมีพระวรกายเป็นหนุ่มน้อยวัย ๑๖ ปี พระหัตถ์ขวาทรงวัชรศัสตรา หรือพระแสงขรรค์อันคมกริบ ไว้ คอยตัดอวิชชา และนิวรณ์ท้ัง ๕ เพื่อให้ธรรมแห่งพุทธองค์มี ความแจ่มชัด พระหัตถ์ซ้ายทรงพระคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร หรอื พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในทา่ มทุ ราก็มี เหนอื พระเศียรทรงมาลาเปน็ รูปใบไมเ้ รยี งกัน ๕ ใบ พระวชั รปาณีโพธสิ ตั ว์ หมายถงึ พระโพธสิ ตั วผ์ ถู้ อื สายฟา้ หลกั ฐานฝา่ ยบาลี ถอื วา่ เปน็ ยกั ษท์ คี่ อยคมุ้ ครองพระพทุ ธเจา้ สว่ นทาง มหายาน ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ชั้นสูงองค์หน่ึง มักปรากฏคู่กับ พระมญั ชศุ รโี พธิสัตว์ และพระปัทมปาณิโพธสิ ัตว์ เทพนิยายที่เก่ียวข้องกับพระวัชรปาณีโพธิสัตว์มีว่า พระ ศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งให้คอยปกป้องพญานาคจากการทำ�ร้าย ของเหล่าครุฑ เน่ืองจากพญานาคได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ ควบคุมฝนฟ้า ดังนั้นพระวัชรปาณีจึงได้รับการยกย่องให้เป็น เทพเจา้ แหง่ ฝน พทุ ธศาสนกิ ชนฝา่ ยมหายานจะท�ำ พธิ ขี อฝนกต็ อ้ ง บชู าพระโพธสิ ตั วพ์ ระองคน์ ี้ และนยิ มสรา้ งรปู ของทา่ นไวท้ ปี่ ระตทู าง เข้าวดั เพอื่ ขับไลค่ วามชั่วร้าย ดกู าย... เห็นจิต ดูจติ ... เหน็ ธรรม
๑๓๖ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ ฺจโน “ คนทเ่ี ราโกรธเกลยี ดก็ไมม่ ี มแี ตค่ วามวา่ ง คนทร่ี กั ก็ไมม่ ี มแี ตค่ วามวา่ ง คนทเ่ี ปน็ กลางๆ ”ก็ไมม่ หี มด… ทกุ อยา่ งเปน็ ความวา่ งหมด บาง คร้งั เราจะเหน็ อย่างน้นั ใจกส็ บาย
ความว่าง... สนทนากับภกิ ษุณี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๘ เปน็ โอกาสดลี กู ศษิ ยข์ องพระพทุ ธเจา้ อยฝู่ งั่ มหายาน เถรวาทกอ็ นั เดยี ว น้ันแหละ เปน็ ลกู ศษิ ยพ์ ระพทุ ธเจา้ มหายานกเ็ ปน็ ชื่อ เถรวาทก็เป็นช่ือ ถา้ เหน็ ความวา่ งแลว้ ก็ไมม่ อี ะไร เหมอื นกนั เปน็ ความวา่ ง เพราะมนษุ ยก์ ม็ ี รปู สมมตมิ นษุ ย์ สตั วก์ ม็ รี ปู สมมตขิ องสตั ว์ เทวดากม็ รี ปู สมมตขิ องเทวดา พรหมกม็ รี ปู สมมตขิ องพรหม ถา้ เปน็ ความวา่ งแลว้ ก็ไมม่ ี บางคนกเ็ หน็ รปู พระพุทธเจ้า เห็นองค์พระพทุ ธเจ้า เหน็ องคพ์ ระโพธสิ ัตว์ คนเอเซียกจ็ ะ เห็นอกี รูปหนึง่ คนญปี่ ุ่นก็เหน็ อีกรูปหนึ่ง คนเมืองจีน สหรฐั อเมรกิ า คน ธเิ บตกเ็ หน็ อกี รปู หนง่ึ กเ็ ปน็ รปู ทส่ี อื่ สารสมมตทิ ง้ั นนั้ แหละ สอื่ สารสมมติ ใหเ้ ขา้ ใจวา่ เปน็ ใครเปน็ ยงั ไง แตว่ า่ ถา้ พดู ท่ีใจไมย่ ดึ ถอื อะไรแลว้ กว็ า่ ง มนั ๑๓๗ดูกาย... เห็นจิต ดจู ิต... เหน็ ธรรม
๑๓๘ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ ฺจโน เปน็ ความวา่ งเหมอื นจติ น้ี จิตถา้ เกดิ เห็นจิตมนั วา่ ง จติ วา่ งกค็ ือไม่มกี ิเลส กิเลสไม่มแี ตจ่ ิตน้ีมันวา่ งอยู่ มันมคี วามว่างอยู่ นิพพานก็คอื ความว่างนัน้ แหละ นิพพานก็คือความว่างจิตก็วา่ ง แตว่ า่ ท่านเข้านพิ พานได้ แตว่ า่ ผู้ เข้านิพพานไม่มี ไม่มีตัวเราตัวเขาเข้านพิ พาน ใจทีว่ า่ งนัน้ เองคอื นิพพาน ปฏบิ ตั ิในฝา่ ยของเราฝา่ ยไหนกต็ ามถา้ พจิ ารณาแลว้ ปฏบิ ตั อิ ยู่ในความวา่ ง กเ็ หมอื นกัน เหมือนกนั จะเป็นมหายานจะเปน็ เถรวาทเป็นชือ่ ถ้าภาวนา อยู่ในความวา่ งแลว้ กเ็ หมอื นกนั แตค่ วามวา่ งอนั หนงึ่ กค็ อื ความเปน็ พทุ ธะ หรอื ปรารถนาความวา่ งดว้ ย แลว้ ปรารถนาชว่ ยสตั ว์โลกดว้ ย แลว้ กท็ �ำ ความ วา่ งไปด้วย กเ็ รยี กว่าเป็นพทุ ธะ พระพุทธเจ้า แล้วกส็ อนใหค้ นอ่นื ปฏบิ ัติ ตาม ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั ติ ามนนั้ กเ็ รยี กวา่ เกดิ ความวา่ งในใจดว้ ย แตร่ พู้ ระพทุ ธเจา้ ก็ เรยี กวา่ สาวก กค็ งจะเขา้ ใจแลว้ นะ พบกนั อยหู่ ลายวนั ความวา่ งนะ คงจะ เขา้ ใจแล้วละ่ ภกิ ษณุ ี: ตามทท่ี า่ นอาจารยพ์ ดู ถงึ เรอ่ื งความวา่ งจะมสี มมตดิ ว้ ย อยาก ใหท้ ่านอาจารย์ชว่ ยขยายความ พระอาจารยอ์ นนั ต์: ไมม่ ชี อ่ื กม็ าตงั้ ชอ่ื ขน้ึ มาอกี ก็ใหร้ จู้ กั กนั กจ็ ะรจู้ กั กนั วา่ เปน็ ใคร ยงั ไงมนั สมมติ คนเปน็ สมมติ สตั วเ์ ปน็ สมมตขิ น้ึ มา เปน็ รปู สมมติ เทวดากเ็ ป็นรปู สมมติของเทวดา พรหมก็เปน็ รูปสมมตขิ องพรหม กเ็ ปลี่ยนแปลงไมแ่ นน่ อน เป็นตัวเปน็ ตนแน่นอนไม่ได้ แตเ่ รารูจ้ กั ทุกส่ิง ทกุ อยา่ งมนั กเ็ ปน็ ความวา่ ง อยา่ ไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในสงิ่ ใดนนั้ นะ ใหจ้ ติ เหน็ ทุกอยา่ งเป็นความวา่ ง จิตก็จะหลุดพน้ ไดจ้ ากความยดึ ถอื ภกิ ษณุ ี: ความวา่ งทเ่ี ราศกึ ษาตรงนกี้ ารปฏบิ ตั ิ การปฏบิ ตั พิ จิ ารณากาย หรือสติปฏั ฐานสูตร พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มฝี ่ายสมถวิปัสสนา ดว้ ยหรือ เม่ือวานพดู ถงึ การอธิบายให้ระลึกถงึ พระโพธิสตั ว์มันตรา หมนั่ ทำ�บรกิ รรมจะได้เจรญิ ทง้ั สมถวิปัสสนาด้วย เราจะปฏิบตั สิ องอยา่ งนด้ี ว้ ย
กนั อย่างไร พระอาจารยอ์ นนั ต์: อนั นถ้ี า้ เราตอ้ งการพน้ ทกุ ข์ เราตอ้ งการพน้ ทกุ ข์ เลยนีเ้ ราปฏบิ ัติในสติปัฏฐานสูตรกาย เวทนา จติ ธรรม พิจารณารูปนาม เปน็ ความวา่ ง จติ จะเดนิ มรรคจะละกิเลส แต่ถา้ เราปฏิบตั เิ จรญิ ระลกึ ถงึ พระโพธิสัตว์เปน็ ความว่างอยู่ แตว่ ่าในความว่างนัน้ ในสว่ นอกี สว่ นหนึง่ จะมีความกรุณาด้วย จะสงสารสตั ว์ จะเมตตาสัตว์ จะขยายไปอนั นั้นคือ ว่าจะต้องทำ�บารมีออกไปทางกว้างก่อน ช่วยเหลือคนดำ�เนินไปอย่างน้ี เสียก่อนแล้วก็ภาวนามีความรู้ไปด้วย แล้วก็จิตก็ช่วยเหลือคนไปด้วยก็ จะดำ�เนนิ ไปในทางนนั้ กจ็ ะเปน็ ทางสรา้ งบารมีตามพระโพธสิ ตั ว์ จะเป็น พระโพธิสัตว์บารมี แต่ถ้าเดินสติปัฏฐานสูตรน้ีจะพ้นทุกข์ล่ะ ถ้าเราจะ เจรญิ มาสองอยา่ ง ถงึ เวลาเราจะเลอื กมนั กจ็ ะตอ้ งไปอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ละ่ ภิกษุณี : ทำ�ผสมกันไดห้ รอื ไม่ ถา้ นำ�ไปเดนิ จงกรม น่ังสมาธิ พระอาจารยอ์ นนั ต์ : ผสม กันก็ไดก้ ็เป็นวธิ ที ่ีจะสงบ แต่วา่ ถ้า จะใหเ้ กิดมรรคผลรวมมนั ไม่ได้ ถงึ เวลานน้ั มนั กต็ อ้ งตดั สนิ ใจ ตดั สนิ ใจ ว่าเราจะพ้นทุกข์ เราก็ต้องละในสิ่ง ท่เี ราปรารถนา ภิกษณุ ี : พ้นทุกขห์ มายถงึ นพิ พานใช่ไหม พระอาจารยอ์ นนั ต์: หมาย ถึงว่าตัดเข้านิพพาน แต่ถ้าเรา ปฏิบตั ิทัง้ สองอย่างเลยได้ ในเบอื้ ง ต้นก็ได้ ดูกาย... เห็นจิต ดูจติ ... เหน็ ธรรม
๑๔๐ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ จฺ โน ภิกษณุ ี : อยากเจรญิ สติปัฏฐานสี่ แตย่ งั มีปรารถนาเปน็ พระโพธิสัตว์ จะท�ำ ได้หรอื ไม่ พระอาจารยอ์ นนั ต์ : ทำ�ได้ ภิกษุณี : ภิกษณุ ีสอนคนมากไมค่ ่อยมีโอกาสไดฝ้ กึ สติ แตว่ า่ ถ้ากำ�ลัง บริกรรมบทสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ยังรู้สึกว่าก�ำ หนดสติไม่ค่อยดีเท่าไร จะระลึกถงึ พระโพธิสัตว์สมา่ํ เสมอไดอ้ ย่างไร พระอาจารย์อนันต์ : ก็คือเมื่อมีสติมันก็อาจจะมีในช่วงที่บริกรรม ภาวนาแต่ว่าหลังจากน้นั อาจจะสติไมอ่ ยู่ มนั เป็นข้ันต้นเบอ้ื งแรก เบื้อง แรกนี้เอง ทำ�บริกรรมภาวนามีสติ เวลาหยุดแล้วจิตก็ฟุ้งซ่านไปทางอื่น คอื มันกต็ ้องฝึกสติไปทกุ อิริยาบถ กจ็ ะเปน็ สติปฏั ฐาน สร้างศรทั ธาความ เช่ือ แล้วก็บรกิ รรมกต็ อ้ งบรกิ รรมมากๆ ตลอดเดนิ ยืน นงั่ นอน เพ่อื ให้สติอยู่น้ันเอง ภิกษุณี : เวลาสอนโยม จะบอกว่านอกจากเวลาปฏิบัติ ภาวนาพยายามให้ระลึกถึงพระ โพธิสัตว์ด้วย แล้วเห็นทุกคน เปน็ พระโพธสิ ตั วด์ ว้ ยเหน็ เหมอื น กับที่เราอยู่ในสุขาวดี พยายาม ให้ระลึกถึงพระโพธิสัตว์ตลอด ระลกึ ถงึ ความว่างด้วย คือความ คิดของเราทุกอย่างให้เป็นความ วา่ ง แลว้ ถา้ นกึ ถงึ คนอน่ื เปน็ พระ โพธิสัตว์แล้วเราก็จะไม่โกรธเขา เพราะทกุ คนเปน็ พระโพธสิ ัตว์
พระอาจารย์อนันต์ : คือเมตตาคือเจริญเมตตาตัวเราเอง แล้วก็ เมตตา กับคนที่เรารัก เรารักก็คือพระโพธิสัตว์ ก็เมตตากับคนที่เป็น กลางๆ เมตตากบั คนที่เราไมช่ อบให้เสมอกนั อันน้เี ราก็คดิ วา่ คนที่เราไม่ ชอบนนั้ กจ็ ะเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ คนเปน็ กลางๆ นนั้ กค็ อื พระโพธสิ ตั ว์ คนท่ี เรารกั กพ็ ระโพธสิ ตั ว์ เราเองกพ็ ระโพธิสตั วค์ อื ให้มนั เท่ากนั นั้นเอง เจรญิ เมตตาน้นั เอง ไม่ให้เราเกดิ ความโกรธ แตบ่ างครงั้ มันก็ไม่ไดห้ รอกมนั ก็ มีตัวเราข้นึ มาตัวเขาขนึ้ มา มันก็โกรธข้ึนมา ถ้าเราระลึกได้อยา่ งนน้ั กจ็ ติ ของเรากค็ อื มบี ารมมี ากแลว้ มเี มตตามากแลว้ เรากท็ ำ�ได้ ถา้ ยงั ไม่ไดก้ ฝ็ กึ แตก่ ฝ็ กึ อยา่ งละ่ ฝกึ เจรญิ เมอื่ เรามกี �ำ ลงั ดๆี กจ็ ะมองเหน็ ได้ บางครงั้ คน ทเ่ี ราโกรธเกลยี ดก็ไมม่ มี แี ต่ความว่าง คนทีร่ กั ก็ไมม่ ี มีแตค่ วามวา่ ง คน ที่เปน็ กลางๆ ก็ไมม่ หี มดทกุ อย่างเปน็ ความวา่ งหมด บางครง้ั เราจะเห็น อยา่ งนน้ั ใจก็สบาย ภิกษุณี : วิธีท่ีจะปฏิบัติสติปัฏฐานแบบพระโพธิสัตว์ด้วย คือเราจะ ปฏิบัติสตปิ ัฏฐานสีจ่ ะเหน็ ความว่างชดั แลว้ เราจะใชค้ วามรู้อนั นี้เพราะวา่ เราจะปฏิบตั ิถงึ พระโพธิสัตว์ พระอาจารยอ์ นันต์ : ได้ เม่อื เราเห็นความวา่ งเห็นกายมนั จะเหมือน กันน้นั แหละ ถา้ เราเหน็ รูปกายนี้มันไมม่ ีตวั ตนในสติปฏั ฐานสตู ร รปู กาย น้ีไม่มีตวั ตน ในพระพทุ ธเจา้ ในพระโพธสิ ตั วก์ เ็ ป็นความวา่ งอยแู่ ลว้ เรา ก็จะเห็นจิตของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เอง ท่ีพระองค์สอนว่ารูปกายน้ี เป็นความว่าง นามเป็นความวา่ ง พระโพธสิ ตั ว์เป็นความว่าง เหน็ ความ ว่างเราก็เข้าใจในคำ�สอนของท่าน พระองค์เป็นความว่างอย่างนี้ ก็ยิ่ง เห็นพระพุทธเจ้าชัด เห็นพระโพธิสัตว์ชัดอันเดียวกัน คือจุดประสงค์ก็ เพอื่ ใหจ้ ติ ของเราปลอ่ ยวางในรปู นามทง้ั หมด ใหจ้ ติ ของเราไมย่ ดึ ถอื อะไร ทงั้ หมดเลย จติ ของเรากเ็ ป็นความวา่ ง วตั ถปุ ระสงคเ์ ราเปน็ อยา่ งน้ัน จิต ๑๔๑ดกู าย... เห็นจติ ดจู ติ ... เหน็ ธรรม
๑๔๒ พระอาจารยอ์ นันต์ อกิญฺจโน ของพระพทุ ธเจา้ เปน็ ความวา่ งนน้ั เอง พระบรสิ ทุ ธคิ ณุ เปน็ ความวา่ ง พระ ปญั ญาธคิ ณุ รแู้ ลว้ ไม่ยึดถืออะไรก็เกดิ ความว่างข้ึน พระกรุณาธคิ ุณท่านก็ บริสุทธ์ิ ของพระพุทธเจ้า ของพระโพธสิ ัตวท์ บี่ ารมีเต็มแล้ว แลว้ ก็เปน็ เหมือนพระพทุ ธเจ้าวา่ งหมด เมื่อเราบริกรรมภาวนาถึงพระพทุ ธเจา้ ถงึ พระโพธิสตั ว์ก็คือให้เรามีสติอยู่น้ันเอง มีสติอยู่แล้วก็จะได้พิจารณาให้เห็นความว่างท่ีแท้จริง ไม่ยึดไม่ถือ อะไร อันดับแรกก็คือบริกรรมภาวนาก่อน คือถึงความว่าง ความว่าง พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เป็นความว่างบริกรรมภาวนาเรื่อย แต่ใจเรา ยงั ไมว่ า่ งหรอกเรากร็ ะลกึ ไปกอ่ น ตอ่ ไปเรากศ็ กึ ษาปฏบิ ตั แิ ลว้ กเ็ ขา้ ใจ เรา ก็มเี มตตามากข้นึ ไม่มเี ขาไมม่ เี รา ใจของเราก็กว้างขวางออกไป ใจของ เรากว็ ่างขนึ้ เราก็เห็นความว่าง เห็นพระพุทธเจ้า เหน็ พระโพธสิ ัตว์ เม่อื เหน็ ความวา่ งแลว้ กพ็ น้ จากสมมติ ทกุ อยา่ งเปน็ สมมตหิ มด พระโพธสิ ตั ว์ ก็มีชื่อท่ีสมมติ จริงๆ เป็นจิตของท่านท่ีบริสุทธิ์ จริงๆ เป็นความว่าง พระพทุ ธเจา้ จติ ของทา่ นวา่ ง ถา้ เหน็ พระพทุ ธเจา้ จรงิ ๆ เรากเ็ หน็ ทา่ น เหน็ ความวา่ งจรงิ ๆ กเ็ หน็ พระพทุ ธเจา้ เหน็ พระโพธสิ ตั วน์ นั้ แหละ ใหถ้ ามมง่ั ก็ได้ ภิกษณุ ี : เคยอา่ นหนังสอื ท่เี ก่ยี วกบั หลวงปู่มนั่ หลวงป่ชู า ท่ีใชค้ �ำ วา่ ผรู้ ู้ อธิบายความหมายวา่ อยา่ งไร พระอาจารยอ์ นนั ต์ : ผ้รู ้กู ็คอื จติ น้แี หละ เหมือนกับวา่ จติ นีเ้ ปน็ ผรู้ บั รู้อารมณ์ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะเป็น อารมณ์ จิตรบั รไู้ ดแ้ ล้วจะเป็นอยา่ งไร เมอื่ จิตรแู้ ล้วถา้ จติ ไม่มปี ญั ญากจ็ ะ เป็นผทู้ ี่หลงคอื อวชิ ชา อวิชชาเกดิ ขนึ้ ก็อบรมจิตกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ผูร้ กู้ ค็ อื วชิ ชา ก็เกิดผูร้ ขู้ ้นึ มา ใหส้ ร้างผู้รู้ข้ึน ทำ�บ่อยๆ สรา้ งผู้รขู้ ้นึ บอ่ ยๆ เรียกวา่ ผู้รกู้ ็ คือปัญญานั่นเอง ปญั ญารรู้ อบ มคี วามรู้กร็ ู้รอบกเ็ รยี กว่าตวั ปัญญา ตัว
ปัญญานั้นเองในจิตใจ เป็นความรู้คือวิชชาเป็นแสงสว่างปัญญาตัวน้ีขึ้น มา รู้แล้วจะได้ละกิเลส ละกิเลสแล้วตัวรู้นี้ก็วางไปด้วย จิตก็ว่างข้ึนมา ถ้ายังยึดในความรู้น้ีอยู่จิตยังว่างไม่หมด ต้องปล่อยวางความรู้ด้วย ยก ตัวอย่างง่ายๆ สมัยก่อนเรายังไม่ได้ศึกษาในพระพุทธศาสนา ทุกองค์นี้ เราก็ไม่รู้จกั ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ในเรือ่ งของการปฏิบตั ิ เร่ืองการสร้างบารมี เร่ืองมรรคผลนพิ พาน เรา ไมร่ ู้จกั ต่อมาเรามคี วามรู้ข้ึนมาแลว้ มีความรู้ในเรอื่ งของสมมติ สัญญา รู้ การปฏิบัติเรามีความรู้ เมื่อเรามีความรู้แล้วน้ีถ้าเราไปยึดถือก็เป็นผู้หลง คือยึดถือในความรู้น้ันแหละจะเป็นผู้หลง แต่เมื่อเรารู้แล้วก็ไม่ยึดถือ เอาความรูน้ ี้เป็นเราอีก วางไวใ้ หเ้ ป็นอนัตตา ไม่มีเราไมม่ ีเขา ไม่มีความรู้ ของเราไมม่ ีความรู้ของเขา กว็ า่ ง อนั น้คี ือเบอื้ งตน้ ที่เห็นผู้ทเี่ รยี นรู้มาก ศึกษามากทางโลกกด็ ี ทางธรรมกด็ ี ทางปฏบิ ัติกด็ ี ถ้าไปยดึ ถอื ความรู้นั้น ก็เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดอีก มีตัวตนขึ้นอีก ก็ต้องพิจารณาทุกส่ิงทุกอย่าง เปน็ ความว่างไป หลวงปชู่ ามคี รง้ั หนึง่ ทา่ นกเ็ คยสอนเหมือนกัน สอนว่า คนภาคอสี านเขา้ ไปในเมอื งเขาจะพูดว่าเขาไปในเมียง ภาษาความหมาย ก็คือว่าเขาไปในเมืองนี้แหละ ถ้าเกิดเขาจะไปซื้อเกียเขาก็ไปซ้ือเกลือ นี้แหละ คือเป็นส่ิงสมมตินั่นเอง คนภาคน้ีไปทางโน้นก็จะว่าพูดไม่ชัด ก็ได้ เป็นทิฏฐมิ านะไปยึดถือ ไปเกดิ ความยดึ ความถอื ข้ึนมา ย่ิงเราเป็น ชาวตา่ งประเทศมกี ารศกึ ษามาก ไปอยกู่ บั สงั คมอกี สงั คมหนง่ึ มกี ารศกึ ษา นอ้ ย ไมม่ ีความเจริญก็ให้เราวางส่ิงตา่ งๆ เหลา่ นี้ใหห้ มด เอาไปไว้นอก วัดน้นั แหละ ในวดั ไมม่ ีอะไร เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน ด้านธรรมะ คงจะเข้าใจเป็นธรรมปฏิสันถาร ต้อนรับในการเย่ียมเยือน ในโอกาสมา ไดศ้ กึ ษาปฏบิ ตั ิ ไดส้ นทนาธรรม ได้แลกเปล่ยี นความรู้ความเห็น ความ คิดในแนวทางปฏิบัติ เพื่อที่จะได้นำ�ไปศึกษาค้นคว้าปฏิบัติ แล้วก็สอน ๑๔๓ดูกาย... เห็นจิต ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๔๔ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ ฺจโน ให้ประชาชนทั้งหลายมคี วามว่างเกดิ ขึน้ ทง้ั ใจเราดว้ ย สอนคนอ่นื ดว้ ย ก็ เป็นแนวทางปฏบิ ตั ิ ผทู้ ี่ต้องการความว่างทสี่ นใจก็ให้ตง้ั ใจ ก็ขอให้ส�ำ เรจ็ ตามทปี่ รารถนาทุกประการ ภิกษุณี : หวังว่าในการมาท่ีน่ีคร้ังนี้ไม่ใช่ได้ความรู้คนเดียว แต่มี ประโยชน์ใหก้ ับหลายคนด้วยจะได้ให้คนอน่ื ดว้ ย คนเดียวมปี ระโยชน์ไม่ มาก แต่จะมปี ระโยชนท์ ่ีให้หลายๆ คนได้ พระอาจารยอ์ นนั ต์: ชว่ ยกนั ท�ำ งานในพระพทุ ธศาสนา บางทคี วามคดิ ทางฝา่ ยมหายานจะคดิ วา่ ฝา่ ยเถรวาทไปเฉพาะตวั เองเลก็ ๆ ฝา่ ยมหายาน กป็ รารถนาสรา้ งบารมมี ากๆ แตว่ า่ ผทู้ ส่ี ำ�เรจ็ ก็ไม่ไดท้ กุ คน แตผ่ ทู้ ลี่ ะความ ปรารถนาก็มี ผูท้ ่ีเปลีย่ นใจมาเป็นสาวกกม็ ี เพราะฉะน้ันทกุ คนปรารถนา อย่างไร ตั้งใจอย่างไรก็ดีหมดแหละ ดีหมดเป็นไปเพื่อถึงพระนิพพาน เหมือนกัน เตรยี มธปู เทียนถวายองคด์ าไลลามะหรอื ยัง... ดซู ิ ภิกษุณี : (ได้ดูรูปถ่ายท่ีเกาะผู่โถ่วซาน ประเทศจีน) ท่านอาจารย์ อธษิ ฐานบารมวี ่าอย่างไร กราบบารมีพระบรมโพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวร (เจา้ แม่กวนอิม) ท่ีเกาะผู่โถ่วซาน ประเทศจีน
พระอาจารยอ์ นนั ต์ : อาจารยค์ ดิ ถงึ บารมพี ระพทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองค์ กอ่ นทพ่ี ระองคจ์ ะเปน็ พระพทุ ธเจา้ นนั้ พระองคเ์ ปน็ พระโพธสิ ตั วม์ ากอ่ น สร้างบารมีมาก มีพระมหากรุณาธิคุณมาก จนส�ำ เร็จเป็นพระพุทธเจ้า ไปแล้ว มีพระบริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ จนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันน้ี พระองคก์ ็เป็นพระโพธิสตั ว์มากอ่ น พระอวโลกิเตศวรนก้ี ส็ รา้ งบารมี ต้ัง จติ แบบน้กี ม็ ีแสงเกดิ ขนึ้ มาเป็นดวงกลม เยน็ สบายไมร่ อ้ น... พระอวโลกิเตศวรโพธสิ ัตวป์ าง ๔ หตั ถ์ หัตถ์คู่แรกกุมแก้วจินดามณีจักร อันหมายถึง การตรสั รู้ หัตถ์คู่ท่ีสอง หัตถ์ข้างซ้าย ถือดอกบัวอันเป็น สญั ลกั ษณ์แห่งความบรสิ ทุ ธ์ิแหง่ ร่างกาย ซึ่งเหมอื น กับดอกบัวที่แม้เกิดในโคลนตมในสระแต่ก็บริสุทธิ์ สะอาดปราศจากการแปดเปื้อนมัวหมอง หัตถ์ ข้างขวา ถือพวงลูกประคำ�แก้วอันหมายถึงว่าท่าน สามารถชว่ ยใหส้ รรพสตั วห์ ลดุ พน้ จากวฏั สงสารการ เวียนว่ายตายเกิดได้ ความเชือ่ ของชาวพทุ ธธิเบตเกยี่ วกับพระเชนเรซกิ (Chenrezig) พระเชนรซี กิ หรอื พระเชนเรซกิ คอื ชอ่ื เรยี กภาษาธเิ บตของ “พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร” หรอื เจา้ แม่ กวนอมิ ผเู้ ปน็ ทเ่ี ลอื่ มใสของชาวพทุ ธ ส�ำ หรบั ชาวพทุ ธฝา่ ยมหายาน พระอวโลกเิ ตศวร เปน็ เทพทสี่ �ำ คญั องค์หนงึ่ ในศาสนาพทุ ธแบบธิเบต และในคำ�สอนของนิกายวัชรยาน ถอื ว่าเป็นพระพุทธเจา้ พระองคห์ นง่ึ ในหลกั ค�ำ สอนของฝา่ ยมหายานนน้ั พระอวโลกเิ ตศวร เปน็ พระโพธสิ ตั วอ์ ยู่ในระดบั สงู องคด์ าไลลามะ ได้ รบั การนบั ถือในนกิ ายเคลักปะ และชาวพทุ ธธเิ บตเป็นจำ�นวนมาก วา่ ท่านเปน็ องคอ์ วตารของ พระเชนเร ซกิ (Chenrezig) มกี ารกลา่ ววา่ พระปทั มสมั ภวะ เคยท�ำ นายไวว้ า่ พระอวโลกเิ ตศวรจะอวตารลงมาเปน็ ดาไลลามะ และ พระกมั ปกะ อกี ต�ำ นานหนงึ่ ของธเิ บตกบ็ อกวา่ พระอมติ าพทุ ธ ไดท้ รงมอบหมายภารกจิ ใหแ้ กส่ าวกองค์ สำ�คญั ของท่านองคห์ น่งึ ซึ่งมนี ามว่าอวโลกเิ ตศวร ใหม้ าท�ำ หน้าทแ่ี ทนท่าน ในภารกจิ ใหค้ วามชว่ ยเหลือ ธเิ บต ดว้ ยเหตุนีเ้ องท่านจึงอวตารลงมาเปน็ ทง้ั ผูน้ ำ�จติ วิญญาณในธเิ บต และเปน็ กษัตรยิ ์ ดูกาย... เหน็ จิต ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๔๖ พระอาจารย์อนันต์ อกิญจฺ โน มาบจนั ทรารัญญิการามนิทาน... “...ภกิ ษทุ งั้ หลาย! ถา้ ธรรมชาติ ๓ อยา่ งเหลา่ นี้ไมป่ รากฏ อยู่บนพ้ืนพิภพ ตถาคตย่อมไม่บังเกิดข้ึนในโลกมนุษย์เป็น อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ และพระธรรมวนิ ยั อนั ตถาคตประกาศ แล้วยอ่ มไม่รุ่งเรืองไปในโลก ธรรมชาติ ๓ อย่างนั้นคืออะไร เล่า... คอื ชาตดิ ้วย ชราดว้ ย มรณะดว้ ย…”
นบั แตส่ มเดจ็ พระบรมศาสดาตรสั รเู้ ปน็ พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงยงั โลกนี้ใหส้ ว่าง ทรงหลุดพ้นจากทุกขท์ ัง้ มวล และทรงวางแนวทาง นัน้ ไว้ให้สงฆส์ าวกปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ัติชอบ สบื ต่อกนั มาจนถึงปจั จบุ นั น้ี ทั้งน้ี ก็เพ่ือประโยชนส์ ุขแก่มหาชนท้ังหลาย หลวงปู่ม่ันผู้เป็นบูรพาจารย์ของพระป่า และหลวงปู่ชาในฐานะ บรู พาจารยแ์ หง่ วดั หนองปา่ พง ไดด้ ำ�เนนิ ตามมรรคปฏปิ ทาแหง่ องคส์ มเดจ็ พระบรมศาสดาเปน็ สงฆส์ าวกผงู้ ดงามทงั้ ในเบอื้ งตน้ ทา่ มกลาง และทสี่ ดุ จึงเปน็ ที่มาของพระธดุ งคกรรมฐานหลายรอ้ ยชีวิตทีต่ ่างมุง่ ออกจากเรือน เพอื่ แสวงหาธรรมอันงดงามไพบลู ยล์ ว้ นผา่ นการอบรมส่ังสอน ฝึกหัดขอ้ วัตรปฏิบัติตามปฏิปทาท่ีหลวงปู่ชาวางแนวทางไว้ และหนึ่งในร้อยของ พระกรรมฐานผ้เู ปน็ ศิษยน์ ้ันกค็ อื ทา่ นพระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ ฺจโน ดว้ ยความพรอ้ มของศรัทธาญาติโยม และความพร้อมของพระสงฆ์ ในการประพฤติปฏบิ ตั ธิ รรม “วัดมาบจนั ทร”์ จึงไดเ้ กดิ ขนึ้ ในครงั้ แรก พระอาจารยอ์ นันต์ไดธ้ ดุ งคม์ ายงั แถบภาคตะวันออกน้ี และไดร้ บั บรจิ าค ทดี่ นิ จากโยมสมพล สวุ รรณโชติ (โยมซว่ น) เมื่อได้มาดูสถานท่ีกเ็ ห็นว่า เปน็ ทว่ี เิ วกเหมาะแกก่ ารปฏบิ ตั ภิ าวนา โดยพน้ื ทส่ี ว่ นใหญต่ ดิ ตอ่ กบั เขตปา่ สงวนจำ�นวนกวา่ พันไร่ มีธรรมชาตขิ องป่าเขาทีส่ มบูรณอ์ ยมู่ าก นอกจาก นีย้ งั มีสัตว์นานาชนดิ เชน่ เสอื ปลา หมี เก้ง อีเหน็ ชะมด นกตา่ งๆ มีลม พดั ผา่ นทง้ั สท่ี ศิ แตส่ ง่ิ ทซ่ี อ่ นอยภู่ ายใตธ้ รรมชาตทิ งี่ ดงามกค็ อื ไขม้ าลาเรยี พระสงฆ์เริ่มมาอยู่คร้ังแรกเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ท่านพระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ จฺ โน น�ำ คณะเขา้ มาปกั กลดไดป้ ระมาณหนึ่ง เดือน จึงเรม่ิ ทำ�กุฏหิ ลงั เล็กๆ ๕ หลัง ในชว่ งแรกน้ันนอกจากพระสงฆ์ จะตอ้ งตอ่ สกู้ บั กเิ ลสในใจตนแลว้ ยงั ตอ้ งตอ่ สกู้ บั ทกุ ขเวทนาอนั เกดิ จากไข้ มาลาเรยี ดว้ ย นอกจากนดี้ ว้ ยสภาพปา่ ทร่ี กชฏั มที างเขา้ ออกเปน็ ทางเลก็ ๆ ดกู าย... เหน็ จิต ดูจิต... เหน็ ธรรม
๑๔๘ พระอาจารย์อนนั ต์ อกิญฺจโน และเปน็ ลูกรงั รถวงิ่ เข้าออกไมส่ ะดวก ผู้คนกย็ ังอาศยั อยู่ไม่มากนัก การ บณิ ฑบาตจึงมีความล�ำ บากย่ิงกว่าในปัจจุบันมากมายนกั ต่อมาได้มีการขยายพ้ืนที่และก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ โดยเร่ิมจาก ศาลามงุ หญ้าคา ซง่ึ เปน็ ศาลาหลงั แรกของ “สำ�นกั สงฆส์ ุภัททะบรรพต” บนเขายายดาแหง่ น้ี(ชอ่ื เดมิ กอ่ นเปน็ วดั มาบจนั ทร์ ซง่ึ หมายถงึ ภเู ขาแหง่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งงอกงาม และเพอื่ ระลกึ ถงึ คณุ ตามฉายาของหลวงปชู่ า สุภทฺโท) สร้างขึ้นในเดือนเมษายน ๒๕๒๘ สำ�หรับอาศัยหลบฝนหลบ แดด แตเ่ น่อื งจากวสั ดุธรรมชาติท่ีใช้สรา้ งศาลามีความเส่ือมไปในเวลาไม่ ชา้ และภายหลังถกู พายุพดั พงั ประกอบดว้ ยมีผูส้ นใจมาวัดเพมิ่ ข้นึ อย่าง ต่อเน่ืองจึงจ�ำ เป็นตอ้ งก่อสร้างอาคารตา่ งๆ ตามมา ทงั้ ศาลาหอฉัน ศาลา อเนกประสงค์ โรงครัว กุฏทิ พ่ี ักพระ และท่พี ักผู้ปฏบิ ตั ิธรรม ตลอดจน อุโบสถสำ�หรบั ประกอบศาสนพธิ ีโดยมีนโยบายในการจดั การส่งิ ปลูกสร้าง ให้เอื้อประโยชน์เหมาะแก่การใช้สอยสามารถใช้พ้ืนท่ีได้หลายรูปแบบ ประหยัด มีความคงทนถาวร สะอาดตา ดแู ลรักษาง่าย และเป็นระเบยี บ เรียบรอ้ ย ตามแบบวัดปา่ ท่ีอยอู่ ย่างเรียบง่ายเสมอมา วนั ท่ี ๑๖ ธนั วาคม ๒๕๒๘ ราว ๑ ปตี ่อมานบั จากวันที่ปักกลดเร่มิ สำ�นักสงฆ์สุภัททะบรรพต พระเถระผู้ใหญข่ องวัดหนองป่าพงและสาขา อาทพิ ระราชภาวนาวกิ รม (หลวงพอ่ เล่ยี ม ฐติ ธมฺโม) และพระเถรานเุ ถระ อีกหลายรูป ได้มายังสถานที่แห่งน้ี เพ่ือรับรองเป็นสำ�นักสาขาที่ ๗๓ ของวัดหนองปา่ พงโดยมีพระอาจารยอ์ นันต์ อกิญจฺ โนเปน็ ประธานสงฆ์ ตอ่ มาในปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๓๗ ไดเ้ ปลยี่ นชอื่ มาเปน็ “วดั มาบจนั ทร”์ ตามช่ือหมู่บ้านและไดร้ บั อนญุ าตจากกรมป่าไมใ้ หด้ แู ลรกั ษาเขตป่าสงวน จนปัจจบุ นั ดูแลพื้นท่ีประมาณกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ เทยี่ งคืนของวันที่ ๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๒๙ ตรงกบั วันพระขน้ึ ๘ ค่าํ
เดอื น ๓ ก่อนวนั มาฆบชู า ๗ วัน เกิดโอภาสนมิ ิตเปน็ แสงสว่างสีเขยี ว มรกตสาดสอ่ งไปทวั่ บรเิ วณวดั สรา้ งความอศั จรรย์ใจและกอ่ ใหเ้ กดิ ปตี ติ อ่ สงิ่ ที่ไดพ้ บเหน็ เปน็ อยา่ งยงิ่ สกั ครปู่ รากฏเสยี งดงั กระหม่ึ เปน็ วงกวา้ ง ทา่ น พระอาจารยอ์ นนั ต์ ไดน้ อ้ มน�ำ พระธรรมมาเปรยี บเทยี บ จากปรากฏการณ์ นวี้ า่ “...แสงสวา่ งนค้ี งจะมจี ดุ มงุ่ หมายวา่ พระพทุ ธศาสนาของเรากค็ งมา เจรญิ ในสถานทนี่ ้ี ซง่ึ หลายๆ สถานทก่ี ม็ ปี รากฏการณเ์ ชน่ นี้ เชน่ วดั ครบู า อาจารย.์ .. วดั หนองปา่ พงกม็ แี สงเกดิ ขนึ้ ทงั้ สท่ี ศิ สวา่ วไสวรงุ่ เรอื ง อนั นก้ี ็ เป็นนมิ ติ หมายภายนอก แต่ว่าการท่จี ะให้เกดิ ความสว่าวไสวในจิตใจ นกั ปฏิบตั ิน้นั ก็ต้องพากนั ปฏบิ ตั ิภาวนา หรอื วา่ อบรมจติ ใจ...” ปณิธานของพระโพธิสตั ว์ เราตรสั รแู้ ลว้ จะใหผ้ ู้อน่ื ตรัสรู้ด้วย เราพน้ จากกิเลสแล้ว จะให้ผอู้ นื่ พ้นดว้ ย เราข้ามโลกไดแ้ ล้ว จะให้ผอู้ น่ื ขา้ มได้ด้วย พระพุทธรูปแบบธิเบต ซึ่งองคด์ าไลลามะสง่ มาถวาย แดท่ า่ นพระอาจารย์ อนนั ต์ อกิญจฺ โน หลงั จากภิกษุณชี อดดอน เข้าเฝ้าและถวายของทรี่ ะลกึ กวา่ จะมาถงึ วนั นขี้ องวดั มาบจนั ทรน์ น้ั กด็ ว้ ยความเสยี สละของพระ อาจารย์อนันต์ และพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ตลอดถึงความเมตตาจาก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่มาเยี่ยมเยียน ให้คำ�แนะนำ� คำ�อำ�นวยพรต่างๆ ดกู าย... เหน็ จติ ดูจิต... เห็นธรรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154