Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ดูกาย เห็นจิต

ดูกาย เห็นจิต

Description: ดูกาย เห็นจิต

Search

Read the Text Version

๕๐ พระอาจารย์อนนั ต์ อกิญจฺ โน

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน... การระลกึ รู้อยู่ทจ่ี ิต ๖ ตลุ าคม ๒๕๔๘ มาถงึ การปฏบิ ตั ิในการเจรญิ ซึ่งสมาธิภาวนาน้ี ใหเ้ รามีสติในการรักษา จติ ใจของเรา เพราะจติ นเี้ ปน็ ผทู้ ร่ี บั รใู้ นอารมณท์ งั้ หลาย เรามตี า มหี ู จมกู ลนิ้ กาย และก็ใจ เรียกวา่ อายตนะภายใน รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นอายตนะภายนอก เมื่ออายตนะภายนอกนี้มีการกระทบ หรอื วา่ ผสั สะกบั อายตนะภายใน มตี าเหน็ รปู เปน็ ตน้ จะเกดิ วญิ ญาณ เกดิ ความรสู้ กึ ขนึ้ มาทางอายตนะตา่ งๆ เกดิ การไดเ้ หน็ ได้ยนิ ไดก้ ล่ิน รู้รส รู้ ความเยน็ ความรอ้ น ความอ่อน ความแขง็ เกดิ ความรู้สกึ ขน้ึ หรอื วา่ มี ธรรมะอารมณ์ หรอื ธรรมารมณ์เกิดขน้ึ ท่ีใจ กจ็ ะเกิดมโนวญิ ญาณข้นึ เม่ืออายตนะภายในภายนอกมีผัสสะ หรือการกระทบกันขึ้น ก็เกิด ดูกาย... เหน็ จติ ดจู ติ ... เห็นธรรม

๕๒ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ ฺจโน วญิ ญาณ วญิ ญาณนเ้ี รากจ็ ะรบั รไู้ ดเ้ ขา้ ไปถงึ ทจี่ ติ ใจ จติ ใจกจ็ ะมคี วามรสู้ กึ ทเี่ ปน็ สขุ หรอื เปน็ ทกุ ข์ หรอื ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ขเ์ กดิ ขนึ้ มา คราวนเี้ รากจ็ ะตอ้ งเอา ผรู้ นู้ นั้ อบรมจติ ใจ เพราะจติ ใจนถี้ า้ ไมม่ ผี ทู้ ค่ี วบคมุ ดแู ลกเ็ หมอื นเดก็ ที่ไมม่ ี ผปู้ กครองนน้ั แหละ... ก็จะไมม่ ีความร้สู กึ ผิดชอบช่ัวดีต่างๆ ได้ จติ ใจ ถ้าไม่มีผู้ที่คอยควบคุมแล้วก็เป็นจิตใจที่เหมือนกับเด็กอนาถาไป ขาด ที่พ่ึงที่พิง เราจะต้องเอาผู้รู้น้ันมาอบรมจิตของเรานี้แหละให้เกิดความรู้ ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะถ้าว่าจิตน้ันยังมีความเห็นผิดก็เป็นขบวนการ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขข์ นึ้ มา ทวี่ า่ ความสขุ นนั้ กย็ งั จะเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความทกุ ข์ ขึน้ มาอกี เพราะเปน็ ความสขุ ทเ่ี น่อื งดว้ ยรปู เสียง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ อันเป็นทพ่ี อใจปรารถนา ยงั ไมส่ งบ เมื่อเราไดร้ บั รูใ้ นอารมณ์ ท่เี ขา้ มา ต้องมาฝึกจติ ของเราไม่ใหม้ ีความรู้สกึ ยนิ ดี หรอื ยินรา้ ย ถา้ เราฝึกจติ ของเราไม่ให้ยนิ ดีไม่ใหย้ ินรา้ ยได้ จติ ก็เกิดความสงบเหน็ ธรรมะที่เกิดข้ึน เสียงท่ีมากระทบกับหูของเราน้ันก็เกิดดับ ตาเห็นรูปก็ เกิดดบั อายตนะภายในภายนอกกระทบกันแล้วเกดิ วญิ ญาณข้ึนมากเ็ กิด ดบั ถ้าสติของเรารู้เทา่ ทัน ก็เห็นมแี ตว่ ่าความเกดิ ข้นึ ต้งั อยู่ แล้วกด็ ับไป ไมม่ ีตวั ไมม่ ีตน ไม่มสี ตั ว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เราก็มาสงั เกตจิตใจของ เราวา่ เป็นอยา่ งไร มาด ี เพราะมี พทุ โธ อยูด่ ี เพราะมี พทุ โธ ไปดี เพราะมี พุทโธ

เมอ่ื เราฝกึ จติ โดยใชป้ ญั ญาอบรมจติ ของเราโดยการพจิ ารณา จะเหน็ วา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งนน้ั เปน็ ความวา่ ง รปู นกี้ ว็ า่ ง นามกว็ า่ ง เปน็ แตม่ ปี จั จยั ปรงุ แตง่ ขน้ึ มากเ็ กดิ ขน้ึ ตง้ั อยู่ แลว้ กด็ บั ไป แทจ้ รงิ แลว้ หาตวั หาตนอะไรทเ่ี ปน็ ถาวรไม่ได้ ความรสู้ ึกที่เป็นสุขเกิดขึน้ มา เรากเ็ ฝ้าดวู ่าความรสู้ ึกสขุ นก้ี ็ไม่ แน่ไม่เทยี่ ง เม่อื จิตใจของเรามคี วามรสู้ ึกทชี่ งั ที่โกรธ ท่ีเกลียด ทกี่ ลัว เกิดความทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่าความทุกข์นี้ก็ไม่เที่ยง เราไม่เป็นเจ้าของ ความทุกข์น้ัน ปล่อยให้ความทุกข์นั้นเป็นธรรมชาติไปของเขาอย่างน้ัน เกิดข้ึน ตง้ั อยู่ แล้วกด็ ับไปนเี้ รากต็ ้องมสี ตริ ักษาใจของเรา อบรมใจของ เรา ทา่ นเปรยี บเหมอื นกบั วา่ ตน้ ขา้ วนนั้ นะ่ กเ็ ปน็ อาหารของววั เจา้ ของตอ้ ง คอยดวู า่ ววั นนั้ คอยดมู นั จะไปกนิ ตน้ ขา้ วทำ�ไรน่ าใหเ้ สยี หาย ถา้ เผลอเมอ่ื ไร ววั เขากจ็ ะไปกนิ ตน้ ขา้ วในนานนั้ แหละ่ จติ นก้ี เ็ หมอื นกนั ถา้ เราเผลอเมอ่ื ไร เขากจ็ ะไปยดึ ถอื ในอารมณท์ เี่ ขา้ มา ฉะนน้ั วนั ๆ หนง่ึ นเ้ี รากร็ บั รใู้ นอารมณ์ มามากทเี ดยี ว ทง้ั ทเี่ ราไปอยทู่ ท่ี ำ�งานหรอื เรามาปฏบิ ตั ภิ าวนา ตาเรากเ็ หน็ รูป หูก็ฟงั เสยี ง จมกู ไดก้ ล่ิน ลน้ิ สมั ผัสรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ บาง ครัง้ เราอยู่เงยี บๆ กเ็ กิดความรู้สกึ นึกคิดขน้ึ มาเปน็ ธรรมารมณเ์ กิดขนึ้ มา ท่ีใจ ใจเมือ่ รับรอู้ ารมณ์แล้วไม่มีสตคิ วบคมุ กจ็ ะว่ิงไปในอารมณ์น้นั ๆ ไป ยึดมัน่ ถือมน่ั ในอารมณน์ ้ันมาเปน็ ตวั เป็นตน เกิดความรสู้ ึกขนึ้ มาทจี่ ิตใจ นัน้ แหละ เมื่อเปน็ นกั ปฏิบัติก็ตอ้ งมาเฝ้าดู ผู้ใดตามรกั ษาจติ ของตน ผู้นนั้ ก็จะ พน้ จากบว่ งของมาร เฝา้ ดใู นจติ ตามดจู ติ พจิ ารณาใหเ้ หน็ วา่ รปู จรงิ ๆ นนั้ ก็ไม่มี... มีปจั จัยปรงุ แต่งกันมานัน้ แหละ ในที่สดุ กแ็ ตกสลายเป็นความ ว่างไป ตัวเรานี้ก็ไม่มี ความรู้สึกที่ได้ยินได้เห็นนั้นก็ไม่มี มันเป็นเพียง การกระทบกบั ผสั สะชวั่ คราวหาตวั หาตนไม่ได้ พจิ ารณาใหจ้ ติ ของเราเหน็ ดูกาย... เหน็ จติ ดูจิต... เห็นธรรม

๕๔ พระอาจารยอ์ นันต์ อกญิ จฺ โน ความว่างในสรรพสิ่งท้ังหลาย แม้ในจิตใจก็ให้เห็นว่าจิตนั้นก็ว่างเหมือน กันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา เช่นนี้ปัญญาก็เกิดขึ้นก็จะอบรมจิตของเรา ใหเ้ กดิ ซ่งึ สมาธิ เมื่อเราฝึกพิจารณาอบรมด้วยปัญญาอย่างสม่ําเสมอ เฝ้าสังเกตดู สำ�รวมระวงั ทา่ นเรียกวา่ อินทรียสงั วร การสำ�รวมในอนิ ทรีย์เปน็ การดี “จกั ขสุ งั วโร สาธุ” การส�ำ รวมตาเปน็ การดี การสำ�รวมหเู ป็นการดี การ สำ�รวมจมูก การสำ�รวมอายตนะภายในนเี้ ปน็ การดี การส�ำ รวมในลิน้ ใน กาย ในใจ ต้องส�ำ รวมแล้วกร็ ะวงั เพราะว่าเสียงเขากเ็ ปน็ เสียงเฉยๆ รปู เขากเ็ ปน็ รูปเฉยๆ เราจะยินดีไหม เราจะยนิ ร้ายไหม เขาก็ไม่รูแ้ หละ เขา ทำ�หน้าท่ขี องเขา ตาเปน็ ใหญ่ในการดู หเู ปน็ ใหญ่ในการฟงั จมกู เปน็ ใหญ่ในการดมกลน่ิ ลิ้นเป็นใหญ่ในการร้รู ส กายน้เี ปน็ ใหญ่ในการร้โู ผฏฐพั พะ ใจเปน็ ใหญ่ใน การร้ธู รรมารมณ์ อนิ ทรยี ์กค็ ือความเป็นใหญ่ เม่อื เขารบั ร้แู ล้วสง่ ไปท่ีใจ ถ้าใจมีสติมีปัญญาก็เห็นว่าอารมณ์นั้นเป็นสักแต่ว่าอารมณ์ ไม่เข้าไปยึด ไปหมาย เกิดความรสู้ ึกชอบเกิดความรสู้ กึ ชงั เกลยี ดกลัวก็เป็นสกั แต่ว่า อารมณ์ ไม่เข้าไปยึดหมาย เห็นว่าไมเ่ ทย่ี งท้งั นั้น ไม่ใชต่ วั ไม่ใช่ตนอย่าง น้ี ก็จติ ของเราก็ไม่เสยี หาย จติ ของเรากม็ คี วามสงบ ดังนั้นกเ็ หมือนกบั เรากต็ ้องเฝา้ ดูวัววา่ ววั นั้นจะวิง่ ไปหาต้นข้าวอยู่เร่ือย เจา้ ของก็ต้องคอยดู รกั ษาระวังอยา่ เผลอ เผลอเมอ่ื ไรไรน่ ากเ็ สยี หาย ดงั นัน้ เรากต็ ้องตามรักษาจิตของเรา จะยืน จะเดิน จะนัง่ จะนอน กต็ อ้ งตามดูจิตของเราอยเู่ สมอว่ามคี วามรู้สึกเป็นอย่างไร มีราคะไหม มี โทสะโมหะไหม ราคะ โทสะ โมหะเกดิ ขนึ้ อยา่ งไร จติ ปราศจากราคะ โทสะ โมหะหรอื เปลา่ ปราศจากราคะ โทสะ โมหะด้วยเหตุอะไรก็รู้จัก จิตมปี ีติ มีความสขุ มีความสงบหรอื เปลา่ หรอื มปี ัญญาไหมเรากต็ ามดู ตามดตู าม

ร้จู ติ ของเราเสมอ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนท่านพระโมฆราชว่า ดูก่อนโมฆราช เธอจง มองโลกนี้ใหเ้ ปน็ ความวา่ ง มจั จรุ าชจะตามไมท่ นั มจั จรุ าชกค็ อื ความทกุ ข์ ทา่ นพระโมฆราชกม็ องโลกน้ีเปน็ ความวา่ ง มองสรรพสิ่งท้งั หลายจะเป็น วตั ถสุ งิ่ ของทง้ั หลายกเ็ ปน็ ความวา่ ง คอื เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตานน่ั เอง สิ่งใดที่เป็นความวา่ งสงิ่ น้นั มันกเ็ ป็นทุกข์ ไม่เท่ยี งอนั เดยี วกัน คือมองให้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาน่ันเอง แต่ท่านจะพูดถึงเรื่องอนัตตาข้ึนมา มองโลกน้ีใหเ้ ปน็ ความวา่ ง รปู ก็ดี เสียงก็ดี กลนิ่ กด็ ี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดี ธรรมารมณก์ ด็ ี ทรี่ บั รเู้ ขา้ มานนั้ ใหเ้ ปน็ ความวา่ ง ใหเ้ ปน็ วญิ ญาณงั อนตั ตา สังขารา อนัตตา สัญญา อนตั ตา เวทนา อนัตตา รปู งั อนตั ตา คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ คอื ขนั ธท์ ง้ั หา้ นี้แหละ มองให้เปน็ ความ ว่าง มัจจุราชก็จะตามไม่ทัน ท่านพระโมฆราชกพ็ จิ ารณาเหน็ สรรพสิง่ รูป นามเป็นความว่าง จิตของท่านก็บรรลุซึ่งพระอรหัตผลข้ึนมา หมดจาก กเิ ลส เม่ือพวกเรามาฝกึ อบรมจติ ใจกต็ อ้ งมคี วามอดทนพยายามปฏบิ ตั ิ เฝา้ ดใู จของเรา ใจของเราเปน็ อยา่ งไร รบั รอู้ ารมณเ์ ขา้ มาแลว้ เปน็ อยา่ งไร ตอ้ ง ตงั้ หลกั ไวต้ งั้ สติไว้ วนั หนง่ึ เราท�ำ กจิ การงานเรากร็ บั รอู้ ารมณม์ ามากทเี ดยี ว ในขณะทเ่ี ราอยู่ท่ีทำ�งานกด็ ี เดินทางไปกด็ ี พกั ก็ดเี ราก็ต้องมีสติ มีสตฝิ กึ จติ ของเราใหม้ สี ตริ ะลกึ รอู้ ยู่ ดจู ติ ของเราอยู่ แลว้ กพ็ จิ ารณาในอารมณน์ นั้ ท่ี เขา้ มานน้ั ใหเ้ หน็ เปน็ ความวา่ ง มองสรรพสงิ่ ทง้ั หลายเปน็ ความวา่ งทง้ั หมด เมอื่ เรามองกายนรี้ ปู นเ้ี ปน็ ความวา่ ง มองนามทงั้ หลายเปน็ ความวา่ งก็ไมม่ ี ตวั ไมม่ ตี น ถา้ เรามองไปมตี ัวมตี น มีสตั ว์ มีบุคคล มตี ัวมีตน มเี รา มีเขา มันก็ไม่วา่ ง ท่านวา่ สงิ่ ใดท่กี น้ั จติ ของเราไม่ใหเ้ ห็นความวา่ ง ท่านว่าความ เปน็ กลมุ่ กอ้ นการรวมตวั กนั ของธาตขุ องขนั ธ์ เรากเ็ ลยเหน็ เปน็ ตวั เปน็ ตน ดกู าย... เห็นจติ ดจู ิต... เหน็ ธรรม

๕๖ พระอาจารยอ์ นันต์ อกญิ จฺ โน เป็นอตั ตา ถา้ เราพิจารณาแยกธาตุแยกขันธอ์ อกไป ก็จะเหน็ เปน็ อนัตตา ไมม่ ีตวั ไมม่ ตี น วญิ ญาณความรสู้ ึก ความร้สู ึกท่เี หน็ น้ีต้องมตี าท่ีดดี ้วย ตา ไม่บอด มีรปู ด้วย มีแสงสวา่ งด้วย เกดิ ความรูส้ ึกวญิ ญาณข้ึน ถา้ ตาบอด ถงึ แม้จะมีแสง มีรปู วิญญาณกเ็ กดิ ข้ึนไม่ได้ จติ รบั รู้อารมณ์ไม่ได้ ไม่มี อายตนะท่จี ะส่งไปใหจ้ ิตรบั รู้ ความรู้สกึ เหน็ ไม่เกิด ถ้ามีตาดี มีแสงสวา่ ง มรี ูปดว้ ย ก็เกิดความรูส้ กึ เหน็ ข้นึ มา ทางอายตนะอ่ืนก็เหมือนกัน เมื่อเกิดความรู้สึกข้ึนมาละก็วิญญาณก็ เกิดขน้ึ มา แลว้ เปน็ สุขเปน็ ทุกข์ สุขเวทนา ทุกขเวทนาเกิดขนึ้ ท่ีจติ แลว้ นี้เราก็ต้องมาละแล้วพิจารณาในจิตของเราว่ามีความรู้สึกอย่างไร เราก็ จะละอปุ าทานความยึดถอื มองเห็นสรรพส่งิ ทงั้ หลายเปน็ ความว่างขึ้นมา มจั จรุ าชก็จะตามไมท่ นั เมือ่ เราฝึกจติ ด้วยปัญญาอบรมจติ ของเราใหเ้ กดิ สมาธิ มีสมาธิแล้วก็อบรมจิตไปให้เกิดปัญญาอีก แล้วแต่ความชำ�นาญ ความถนัดจริตนิสัยของแต่ละคนของนักปฏิบัติ ถ้าเราชำ�นาญในการดู จติ ใจ เฝา้ ดู จะยนื จะเดิน จะนงั่ จะนอน ทำ�กจิ การน้อยใหญอ่ ยกู่ เ็ ฝา้ ดู จติ ของเราเหมือนเจา้ ของก็เฝ้าดูวัวไว้ ไม่ใหไ้ ปกินต้นข้าว กนิ ขา้ วเขาท�ำ ไรน่ าให้เสยี หายฉนั ใด ผรู้ ้กู ต็ ามรกั ษาจิตเอาไวฉ้ นั นน้ั เหมือนกัน ไม่ให้ไป ยดึ ถือในอารมณ์ ให้มองสรรพสิ่งเป็นความว่างไม่มีตัวไม่มีตน ว่าเราก็ฝึกหัดปฏิบัติ พจิ ารณา เราโกรธอะไร เราเกลยี ดอะไร เรารกั อะไร เราชังอะไร เรากลัว อะไร มตี วั มีตนทแ่ี ทจ้ ริงไหม มองรปู มองนามใหเ้ หน็ เป็นความว่าง ไมม่ ี ตัวไม่มีตนอย่างน้ีมัจจุราชก็จะตามไม่ทัน เพราะว่ารูปน้ีน่ีมันไม่มีใครจะ เป็นใหญ่ เป็นใหญ่เฉพาะตนของเขาเองเลย คนเกิดขึ้นมาแล้วก็จำ�จะ ต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป มันมีแต่ความไม่เท่ียงท้ังนั้นเลย มีความชราน�ำ มาใกล้ไมย่ ั่งยืนเลย ไม่มีอะไรย่งั ยนื

เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ต้องพยายามสร้างความดี ตั้งแต่การให้ทาน การ รักษาศีล แล้วก็การบำ�เพ็ญภาวนาปฏิบัติ ปฏิบัติก็ไม่ได้ว่าปฏิบัติท่ีวัดนี้ เราอยู่ท่ีบ้านที่ทำ�งาน เราเป็นนักปฏิบัติ ก็คือเรามีสตินั่นเอง ดูจิตดูใจ ของเราหม่นั ฝึกฝนอบรมจิตของเราอยเู่ สมอ เม่ือเราฝกึ ฝนอบรมจิตของ เราอยเู่ สมอ เอาจติ ทส่ี งบนน้ั มาพจิ ารณากายพจิ ารณาใจ ใหเ้ ปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตานน่ั แหละ่ ทง้ั รปู ทง้ั นาม ถา้ เราถนดั ในการดนู ามเรากฝ็ กึ สตดิ ทู น่ี าม ดู ท่ีใจของเรามอี ะไรเกิดข้นึ บ้าง บางคร้งั มนั ก็มคี วามงว่ ง บางครั้งกม็ คี วาม ชอบ บางคร้งั กม็ ีความชัง บางครั้งก็มคี วามฟ้งุ ซา่ น ความสงสยั เกิดขึน้ ที่ใจ ก็คืออารมณ์ทีเ่ ปน็ อกศุ ลมันก็ไม่เทีย่ ง เป็นทกุ ข์ เปน็ อนัตตา บางคร้งั กเ็ กดิ อารมณท์ ่ีเป็นกุศลขึ้นมามีปตี ิ มสี มาธิ มีศรัทธา มีความ เพียร ตัวสติเองตัวปัญญาเองน้ันก็เป็นธรรมฝ่ายกุศลก็ไม่เที่ยงเหมือน กนั มคี วามรขู้ น้ึ มาวา่ ทง้ั รปู ทง้ั นามไมเ่ ทย่ี ง ไมม่ ตี วั ไมม่ ตี น เรยี กวา่ ปญั ญา อบรมจิตของเราให้เกิดสมาธิขึ้นมา ก็เราพยายามฝึกฝนอบรมอย่างน้ีให้ สมา่ํ เสมอ ฝึกดูจิตของเราแล้วกม็ หี ลักในการมเี มตตา ปรารถนาใหเ้ ราน้ี มคี วามสุข แผเ่ มตตาให้เราวา่ อะหงั สขุ ิโต โหมิ ใหเ้ รามคี วามสุข ใหค้ น ท่เี รารักกด็ ี คนเปน็ กลางๆ กด็ มี คี วามสุข ตอ้ งรกั ษาใจไม่ใหย้ นิ ดี ไม่ให้ยินร้าย มสี ติในการใช้ ในการบริโภค ดูกาย... เห็นจติ ดูจิต... เหน็ ธรรม

๕๘ พระอาจารยอ์ นันต์ อกิญฺจโน ถ้าจิตของเรามีกำ�ลังมากๆ เราก็ให้คนท่ีเราโกรธเกลียด ก็ให้เขามี ความสุขให้เสมอกัน คอื ให้เรานี้พน้ จากทกุ ข์ สรรพสตั ว์ทง้ั หลายพ้นจาก ทุกข์ไมม่ ีเวรไม่มภี ยั แผเ่ มตตาจิตของเราไว้ สรรพสตั ว์ทั้งหลายทีม่ คี วาม สขุ อยแู่ ลว้ หรอื เราเองมคี วามสขุ สมบรู ณอ์ ยแู่ ลว้ กอ็ ยา่ พลดั พรากจากของ รักของชอบใจท้ังหลาย เม่ือบุคคลอื่นเขาทำ�ผิดเราก็หาทางช่วย ช่วยไม่ ได้ก็วางอุเบกขาเป็นกรรมของใครของเขา ก็เรยี กวา่ มเี มตตาพรหมวิหาร รกั ษาจติ ของเราไวโ้ ดยเมตตา เพราะวา่ ศลี นนั้ จะรกั ษาไดก้ ต็ อ้ งอาศยั ความ มีเมตตาพรหมวหิ าร เมื่อมีทาน มีศีล มีเมตตา มีพรหมวิหารแล้ว เราก็พิจารณา มีสติ พิจารณามองโลกให้เปน็ ความวา่ ง จิตกส็ กั แตว่ า่ จิต ไม่ใชส่ ัตว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา ถงึ จะมคี วามรมู้ ปี ญั ญาทงั้ หลายกเ็ ปน็ ฝา่ ยกศุ ลกว็ างไว้ ไมย่ ดึ เอาเปน็ ตวั ตนอกี ฟงั ดตู รงนกี้ ็โอ.้ .. แลว้ เราจะปฏบิ ตั ิไปไหนละ่ เราปฏบิ ตั ิ กเ็ พอื่ จะละวางความมตี วั เรานนั้ แหละ เพราะวา่ ถา้ เกดิ ดแี ลว้ เราดกี วา่ เขา แลว้ ไปยดึ กย็ งั เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความทกุ ขอ์ กี เราดกี วา่ เขา เราเสมอเขา เรา ต่าํ กว่าเขายึดถอื ไม่ได้ ถือเปน็ มานะทิฏฐิ ไม่ได้ ถ้าเรามที ฏิ ฐมิ านะอยู่ก็ยงั มีกเิ ลสอยูก่ เ็ ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความทกุ ข์ เราตํา่ กว่าเขา กค็ ิดว่าเราตํา่ กวา่ เขา เราเสมอเขา เราสงู กวา่ กย็ ดึ วา่ เราสงู กวา่ เราเสมอ เราตา่ํ กวา่ เราเสมอเขา กย็ ดึ วา่ เราเสมอเขา เราสงู กวา่ เราตาํ่ กวา่ กเ็ ปน็ มานะเกา้ เหมอื นกนั กเ็ ปน็ ฝา่ ยอกศุ ล ก็ไมย่ ดึ เอาเปน็ ตัวเป็นตน เราละได้แล้วก็ไม่ยึดวา่ เป็นตัวเปน็ ตน เรากด็ ูในจิตใจน่นั แหละ ดจู ติ ใจว่าอะไรที่เกิดข้นึ มาในจิตใจของเรา นน้ั ทา่ นก็ว่าให้เราภาวนาวา่ ไม่เทยี่ ง ไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตน เหมอื นเราเดินไป ในถนนเสน้ หน่ึงเจอกอ้ นอฐิ เจอถงุ พลาสตกิ เจอกิ่งไม้ เราก็เขยี่ ๆ ออก ไป เราก็เดนิ ไปข้างหน้าเองนะ อารมณท์ ่ีเข้ามาในจติ เราก็พิจารณาวา่ เปน็

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรที่เกิดข้ึนในจิตก็พิจารณาให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เม่อื เราไมเ่ ข้าไปยึดม่ันถือมัน่ ใน อารมณน์ นั้ กเ็ หน็ สกั แตว่ า่ อารมณ์ จติ กเ็ ปน็ อสิ ระไมเ่ ขา้ ไปยดึ ถอื ในอารมณ์ กต็ อ้ งอาศยั การปฏบิ ตั กิ ารส�ำ รวมระวงั ใหด้ ี ตนื่ ขน้ึ มากต็ อ้ งระมดั ระวงั แลว้ ย่ิงเราเข้าไปอยู่ในสังคมในชุมชนก็ต้องระมัดระวังทีเดียว เพราะว่า ชุมชนท่ีไมม่ ศี ีลจะพูดอะไรก็พูด จะทำ�อะไรก็ท�ำ เราเกดิ ขึ้นมาเรากต็ อ้ ง มาอยู่ในสังคมน้ัน น่ีเราก็ต้องระมัดระวังสำ�รวมระวังให้มาก รักษาจิต ของเรา เจริญเมตตาภาวนา พจิ ารณาสรรพส่งิ ทง้ั หลายล้วนแลว้ แตเ่ ป็น ความวา่ ง บางทีเรากห็ ว่ งอนาคต ปรงุ แต่งไปมากในอนาคต กเ็ รอ่ื งตัวเรา นนั่ แหละ เร่อื งตวั เราเรอ่ื งของๆ เรา จิตมคี วามยดึ ในรปู ในนาม ก็จะปรงุ แตง่ ไปในอนาคตอกี เมอ่ื เรารแู้ ลว้ ก็ใหม้ าอยู่ในปจั จบุ นั นี้ เหน็ อารมณน์ นั้ ไมเ่ ที่ยงเหมอื นกนั พยายามให้สงบ หลวงพ่อชาท่านสอนว่าข้อปฏิบัติท่ีไม่ผิด ก็คือข้อปฏิบัติท่ีถูกต้อง นั่นเองท่เี ราจะเหน็ ธรรมะ เหน็ ธรรมะเราจะได้ไม่ทุกข์ ก็คอื ว่าการที่พวก เราน้ันสำ�รวมตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ เมอื่ เรารับรู้ ตาเห็นรปู หูฟงั เสียง จมกู ดมกลน่ิ ลนิ้ สัมผสั รส กายถูกตอ้ งโผฏฐพั พะ รธู้ รรมารมณ์ดว้ ยใจ หลวงพ่อชาก็สอนว่า ให้เราพจิ ารณาสำ�รวมมาพจิ ารณาว่าสิง่ ทง้ั หลาย ไม่เทย่ี งทงั้ นนั้ เขาวา่ เรา เขานนิ ทาเรา ก็ไมเ่ ทีย่ ง เราไดย้ นิ แล้วก็ปลอ่ ย ไป เขาสรรเสรญิ เราก็รูส้ ึกอย่างไร ใหเ้ หน็ ว่าสรรเสริญกับนนิ ทากม็ รี าคา เทา่ กนั มีนา้ํ หนกั เทา่ กัน ตอนนเี้ ราเหน็ วา่ ทองค�ำ หา้ กิโลมนั มคี ่ามาก ก้อน หนิ หา้ กิโลมนั มคี า่ นอ้ ย จติ มนั กเ็ หน็ อยา่ งน้ี ถา้ ใหเ้ ราเลอื กเรากจ็ ะเลอื กเอา ทองคำ�หา้ กิโลมีราคา ก้อนหนิ ห้ากิโลน้ีไมม่ ีราคา แล้วถา้ ทองค�ำ หา้ กิโลมนั หนกั ให้เราแบกไปถือไปเราก็พยายามแล้ว พยายามเพราะว่าชอบใจ แต่ กอ้ นหนิ หา้ กิโลน้ีไมเ่ อาแลว้ จะยกขนึ้ มาก็ไมเ่ อาแลว้ เพราะอะไร... เพราะ ๕๙ดูกาย... เห็นจิต ดูจิต... เหน็ ธรรม

๖๐ พระอาจารย์อนนั ต์ อกิญจฺ โน วา่ เหน็ วา่ มนั ไม่มรี าคา แตถ่ า้ เราปฏบิ ตั เิ ราตอ้ งมองเหน็ มันเท่ากันนะ มัน หนักเทา่ กนั หา้ กิโลนหี่ นักเทา่ กัน ถา้ ไปยดึ ไปถือขึ้นมามนั หนกั อารมณ์ ทง้ั หลายกเ็ หมอื นกนั ทเ่ี ขา้ มา นนิ ทากด็ ี สรรเสรญิ กด็ ี กม็ องวา่ มนั เทา่ กนั เปน็ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา ดูที่จติ ใจของเราอย่างน้ี ตามรักษาจิตของเรา อยู่เสมอเราก็จะไม่ทุกข์แล้ว เพราะคนอยู่ในโลก เกิดมาในโลกมันก็จะ ต้องพบกบั โลกธรรม มลี าภกเ็ สือ่ มลาภ มียศกเ็ สือ่ มยศ มีสรรเสรญิ แลว้ ก็ มนี นิ ทา มสี ขุ กม็ ที กุ ขก์ เ็ ปน็ โลก พระโมฆราชจงึ พจิ ารณาวา่ โลกนเ้ี ปน็ ความ วา่ ง เหน็ วา่ เปน็ ความวา่ งมจั จรุ าชกต็ ามไมท่ นั ทา่ นก็ไมท่ กุ ขแ์ ลว้ พวกเรา ก็ให้หมน่ั ฝกึ ฝนอบรม พิจารณาจิตของเราไม่ให้ไปยึดในโลกธรรม ไม่ให้ ไปยึดในอายตนะท่ีเรารบั รูแ้ ลว้ นกี่ ป็ ลอ่ ยวาง สำ�คัญทส่ี ุดกค็ อื ความปล่อย วาง เราก็ไม่หนัก เราถือทองคำ�ไวห้ า้ กิโลไมป่ ลอ่ ยก็หนกั ก้อนหนิ ถอื อยู่ กห็ นักเทา่ กนั เราก็ตอ้ งปลอ่ ยวาง “เม่ือเขายดึ ถือ เรากป็ ลอ่ ยวางเสีย” ...เมอื่ มคี วามเหน็ วา่ ตวั เราไม่ใชข่ องเรา แมม้ คี วาม โกรธกไ็ ม่มีความพยาบาท อาฆาต คดิ ปองรา้ ย... “ละวางตัวเรา ละวางตัวเคา้ ” มีโยมคนหนง่ึ เหมือนกันนะมีความทุกข์มากเลย เป็นอัศจรรยเ์ หมือน กนั หลวงพอ่ ชาทา่ นเทศน์ ทา่ นกม็ กี ระปอ๋ งอยู่ใบหนง่ึ หนกั อยู่ กส็ ง่ ใหโ้ ยม กถ็ ือไว้ โยมเขากด็ ีนะเขาก็ถือแทนหลวงพ่ออยนู่ น่ั หลวงพ่อชาทา่ นก็พดู เรื่องนั้นเรื่องนี้พูดเร่ืองอื่นไป ชวนคุยไปจนเขาก็เพลินไปแล้วเพลินไป

คงจะลืมเรื่องที่หนักอยู่ในใจคือความทุกข์อันนี้ หลวงพ่อก็เลยพูดว่า... เอ้าถืออยู่ต้ังนานไม่หนักหรือ เขาก็บอกว่าหนัก นี่ท่านถาม หนักท�ำ ไม ไม่วาง เขาก็เลยวางลง วางถังน้ันลงพรอ้ มกับวางความรู้สกึ ท่หี นกั ในใจ ในอารมณล์ งไปดว้ ย กเ็ ลยเกดิ ความวา่ งขนึ้ เลย ทา่ นเทศนเ์ ชน่ นี้ ทา่ นถาม ถงึ ความหนกั ของถงั ใบนนั้ เมอ่ื เขาวางแลว้ กเ็ ลยเบาทงั้ กายเบาทง้ั ใจ เกดิ ความว่างขึน้ เพราะความวาง ความปล่อยวางนนั้ เองสำ�คญั กวา่ ความยดึ มนั่ ถอื มน่ั มนั ก็เป็นทุกข์ เราก็ปฏิบัติมีสุขมีทุกข์อย่างไรก็พิจารณาให้เป็นความว่าง ใจของเรา มันรู้สิ่งทั้งหลายเป็นความว่าง แม้ใจเองก็ให้มีปัญญา รู้ด้วยว่ามันก็ว่าง ไม่ไปยึดมน่ั ถอื ม่นั เลย มจั จุราช คือความทกุ ข์ก็จะตามไมท่ ัน เราก็จะพบ กับความสงบท่ีแท้จรงิ ก็ให้นำ�ไปพิจารณา ขอให้เจริญในธรรมทุกคน... พระราชวังโปตาลา ต้ังอยู่ท่ีกรุงลาซา เขตปกครองตนเองธิเบต พระราชวังแห่ง น้ีอยู่เหนือกว่าระดับนํ้าทะเลกว่า ๓,๖๐๐ เมตร บนท่ีราบสูงธิเบต พระราชวังซ่ึง เป็นท้ังป้อมปราการ และสถานท่ีอัน ศักด์ิสิทธ์ิ สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ ๑๗ บนที่ตั้งปราสาทในสมัยพระเจ้าสองสันกัม โป ปราสาทถูกทำ�ลายและสร้างใหม่หลาย ครัง้ หลายคราว จนถึงทะไลลามะองคท์ ่ี ๕ ใน ค.ศ. ๑๖๑๗ - ๘๒ มีพระบญั ชาใหส้ รา้ งปราสาทนใี้ นลกั ษณะของวงั ซอ้ นวงั พระราชวงั วงนอกเรียกว่าวังขาว เพราะทาสขี าว สร้างเสรจ็ เม่อื ค.ศ. ๑๖๔๘ พระราชวงั ช้นั ในเรยี ก วา่ วังแดง ไดช้ ื่อตามผนังท่ที าสีแดง ซ่ึงสร้างท่หี ลงั วังขาวเกือบ ๕๐ ปี พระราชวงั โปตาลามรี ะเบียงทมี่ ภี าพ เขยี นสเี รยี งซบั ซอ้ น มที งั้ บนั ไดไมบ้ นั ไดหนิ มหี อ้ งสวดมนตท์ ตี่ กแตง่ สวยงาม มรี ปู เคารพเกอื บสองแสนองค์ ปจั จบุ นั พระราชวงั โปตาลากลายเปน็ พพิ ธิ ภณั ฑแ์ ละสถานสกั การะ ภายในวงั ขาว มสี ำ�นกั งาน โรงเรยี นศาสนา สว่ นวังแดงเปน็ ส่วนท่ียังใชป้ ระกอบพิธีกรรมอยู่ เป็นศนู ยร์ วมใจของโปตาลา ดกู าย... เหน็ จติ ดูจติ ... เห็นธรรม

๖๒ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ จฺ โน “ การเห็น การไดย้ นิ การไดก้ ล่นิ การรูร้ ส การรู้โผฏฐัพพะ การรู้ธรรมารมณน์ ั้นจะมีคำ� ว่าเรา จติ จะมคี �ำ ว่าเราเป็นผู้รบั รู้ หรอื เราเปน็ ผูท้ รี่ ู้ เราเปน็ ผูท้ ีเ่ หน็ กจ็ ะมคี �ำ ว่าเราเกดิ ขึน้ มา ”เพราะอวิชชาสรา้ งโปรแกรมมาอยา่ งนนั้

โปรแกรมของอวชิ ชา... ๗ ตุลาคม ๒๕๔๘ การจ�ำ พรรษาของพระภกิ ษเุ รากเ็ หลอื ไมก่ ว่ี นั กจ็ ะเปน็ วนั มหาปวารณา วันมหาปวารณาก็เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์นั้นท่านก็จะได้ลงสังฆกรรม ประพฤติปฏบิ ตั ติ ามพระวินัยกรรม ตามคำ�สอนของพระพทุ ธเจา้ เพราะเมอ่ื คนเราไดอ้ ยรู่ วมกนั ตลอดถงึ สามเดอื น แมว้ า่ จะเปน็ ผทู้ ตี่ ง้ั ใจ ปฏิบัติเพื่อความสงบของจิตใจก็ตามบางครั้งก็ไม่มีเจตนาทางกาย ทาง วาจา แลว้ กท็ างใจ กายกรรม วจกี รรม หรอื มโนกรรม ไมม่ เี จตนาหรอื มี เจตนาบ้างกเ็ ปน็ เพราะวา่ อวิชชาคอื ความไม่รู้ของจติ ท�ำ ให้เกดิ ตัณหาให้ เกิดอุปาทาน หรือว่าเกิดกิเลสข้ึนมา เกิดความยึดม่ันถือม่ัน เกิดความ ชอบใจไมช่ อบใจ จงึ ไดท้ �ำ กรรมไปทางกายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ฝา่ ย ๖๓ดูกาย... เหน็ จิต ดูจิต... เห็นธรรม

๖๔ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ ฺจโน ทเี่ ปน็ อกศุ ลจติ เกดิ ขน้ึ มา กเ็ พราะตวั อวชิ ชานม้ี นั เปน็ ผทู้ ส่ี รา้ ง เปน็ ผสู้ รา้ ง โปรแกรมก็ได้ สมัยนี้ก็เป็นยุคคอมพิวเตอร์ อวิชชาน้ันก็เป็นผู้สร้างโปรแกรมเอาไว้ ในจติ ใจของเรา เมอ่ื เรามอี ายตนะภายในภายนอกนนั้ ผสั สะเกดิ ขน้ึ มตี า หู จมูก ล้นิ กาย ใจ กระทบกบั รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ ในความรสู้ กึ เมอ่ื มผี สั สะเกดิ ขนึ้ มคี วามรสู้ กึ เปน็ ตวั เปน็ ตนเกดิ ขน้ึ คอื ความ เห็นนั้น การเหน็ การไดย้ ิน การได้กล่นิ การรรู้ ส การรูโ้ ผฏฐัพพะ การรู้ ธรรมารมณน์ น้ั จะมีคำ�ว่าเรา จติ จะมคี �ำ วา่ เราเปน็ ผูร้ บั รู้ หรอื เราเปน็ ผทู้ ่ีรู้ เราเป็นผ้ทู เ่ี ห็นก็จะมคี �ำ วา่ เราเกดิ ข้ึนมา เพราะอวิชชาเขาสร้างโปรแกรม มาอย่างน้ัน ถ้าเป็นโปรแกรมท่ีสร้างไว้แล้วสะสมไว้แล้วเก็บเอาไว้แล้ว เมอื่ ตาเห็นรปู อกี กเ็ กคิ วามรู้สกึ ว่าเปน็ เราทุกคร้ังเลย การไดเ้ ห็น ได้กลน่ิ ร้รู ส โผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ก็จะมเี ราอยูเ่ สมอ เมอื่ มเี ราอยเู่ สมอเรยี กวา่ มสี มมตเิ กดิ ขนึ้ จติ ก็ไปยดึ ถอื ในสมมตนิ นั้ จงึ เกดิ ความร้สู กึ เปน็ สุขเป็นทกุ ข์ หรือกลางๆ ขน้ึ มา แตว่ ่าไมส่ ขุ ไม่ทุกข์น้ัน กย็ งั วา่ เปน็ เราอยู่ ไมม่ ปี ญั ญาจติ ยงั ไมม่ ปี ญั ญา องคส์ มเดจ็ พระศาสดาพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงทราบว่าเม่ือจิตของคนเรานั้นถูกอวิชชาครอบง�ำ ยอ่ มจะมีทฏิ ฐิคอื ความเห็น มมี านะก็คอื ความถอื ตวั ถอื ตนอยู่ มีเรามีเขา อยู่ ทา่ นจึงสอนให้มีการปวารณากันว่าล่วงเกนิ ทางกายกรรม มโนกรรม วจกี รรม ทั้งตอ่ หนา้ ลับหลัง ท่เี จตนากด็ ีไม่เจตนากด็ นี ั้น กข็ ออภยั ซง่ึ กัน และกนั ไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรมตอ่ กนั ไปอีก พระองค์ก็จะทรงสอนในเร่ืองว่าให้เรานั้นสร้างโปรแกรมขึ้นมาใหม่ โปรแกรมนพ้ี ระองคท์ รงคน้ พบวธิ กี ารแลว้ ยงั ไมม่ ีใครทจ่ี ะสรา้ งโปรแกรมน้ี ไดเ้ ลย พระพทุ ธเจา้ กส็ รา้ งโปรแกรมของความรขู้ นึ้ มา ว่าวิชชาเปน็ ปจั จัย ใหเ้ กดิ วสิ งั ขารคอื ความรนู้ นั้ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หไ้ มม่ คี วามปรงุ แตง่ ชนดิ ทเ่ี ปน็

ตัวตน เกิดวญิ ญาณ เกดิ ความรู้ เกดิ นามรูปชนิดที่มปี ญั ญาร้วู า่ ไม่ใช่ตวั ตน ผัสสะเกิดข้ึนมาก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน มีความรู้ข้ึนมาไม่ให้ตัณหาไม่ให้ อปุ าทานนีเ้ กิดข้ึนมาได้ เมื่อตัณหาอปุ าทานไม่เกดิ ข้นึ มาไมม่ ภี พชาตแิ ล้ว ความทกุ ขก์ ็ไม่มี พวกเรานต้ี อ้ งมาสรา้ งโปรแกรมใหมข่ นึ้ มาในจติ กค็ อื ศลี สมาธิ ปญั ญา น่ีเอง ทา่ นวา่ มรรคน้นั ตอ้ งปฏบิ ัตทิ ำ�ให้เกดิ มีขึ้น ทกุ ข์นั้นเป็นสง่ิ ท่เี ราจะ ต้องกำ�หนดรู้ว่าทุกข์เป็นอยา่ งไร พระพทุ ธเจ้าก�ำ หนดรไู้ ด้แล้ว รจู้ กั ทกุ ข์ ว่าเปน็ อยา่ งน้ี ทรงกำ�หนดรูใ้ นทกุ ข์ไดห้ มด ตณั หาให้เกดิ ทุกขก์ ร็ ู้จกั แล้ว ทำ�ใหจ้ ิตของเรามคี วามเพลิดเพลนิ ยินดีไปเร่อื ย วิภวตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา ตณั หาสาม นิโรธะความดบั ความพ้นทุกข์ ความจางคลายไป เพราะไม่มีเหลือของตัณหาน้ันนั่นเอง ถ้าว่าตัณหาน้ันมันจางคลายไป ความพ้นทุกขน์ ิโรธะจะเกิดขึน้ แตว่ ่านิโรธะน้นั จะเกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร จะตอ้ งปฏบิ ตั ิในอริยมรรคมอี งค์แปด คอื ศีล สมาธิ และปญั ญา ก็คือ เปน็ โปรแกรมทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบแลว้ วา่ ตอ้ งเดนิ ทางน้ี นกั ปฏบิ ตั จิ ะ ตอ้ งมาท�ำ ใหเ้ กดิ มขี น้ึ มากค็ อื เดนิ ในอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด มสี ตดิ จู ติ ของเรา ไว้ ใหม้ องโลกเป็นเรื่องของสมมตทิ งั้ น้ันเลย สมมตทิ ง้ั น้ัน แต่เดิมมาทุก สงิ่ ทกุ อยา่ งก็ไมม่ ชี อ่ื เหมอื นศาลาหลงั นภี้ าษาไทยกเ็ รยี กอยา่ งหนงึ่ ภาษา ลาว ภาษาเขมร ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ ภาษาอินเดียก็เรียกอีกอย่าง หนง่ึ เปน็ สมมติ เรากม็ องดกู ็ไมม่ ชี อื่ เปน็ เพยี งสมมตขิ นึ้ มา เมอ่ื เราไมร่ จู้ กั สมมตแิ ลว้ จติ ก็ไปหลงสมมตกิ เ็ กดิ ความทกุ ข์ ถา้ เรามคี วามรแู้ ลว้ เขา้ ใจใน สมมติ ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างเป็นเรื่องของสมมตเิ ป็นอนจิ จงั ทุกขัง เป็นอนัตตา หาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้จิตก็จะวิมุตติหลุด พ้นจากความยึดถือ ทา่ นจงึ แบง่ วมิ ตุ ติไปวา่ ตทงั ควมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ ไดช้ ว่ั คราว วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ ๖๕ดกู าย... เหน็ จิต ดจู ติ ... เห็นธรรม

๖๖ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ จฺ โน หลดุ พน้ โดยการขม่ เอาไว้ สมจุ เฉทวมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ โดยการประหารกเิ ลสได้ ส้ินเชงิ ตทังควิมุตตินน้ั หลดุ พ้นไดช้ ัว่ คราวนนั้ หลดุ พ้นได้อยา่ งไร ก็เกดิ จากการปฏบิ ตั ิภาวนามยปญั ญาพจิ ารณารปู น้กี ็ไมม่ ตี ัวตน รวมเปน็ กลุ่ม กอ้ นขึน้ มาจากดนิ นํา้ ไฟ ลม ลมหายใจเข้าไม่ออก ออกไมเ่ ขา้ ก็ตาย น้ํา ทะเลมีขน้ึ มีลง แตร่ า่ งกายเราเกิดขน้ึ มาแลว้ กล็ งไปเร่อื ยๆ ในทส่ี ดุ กแ็ ตก สลายกเ็ รยี กวา่ ตาย สมมตกิ เ็ รยี กวา่ อยา่ งนน้ั ไมม่ ตี วั ไมม่ ตี นอะไรแนน่ อน เรากม็ าอาศยั อยชู่ ว่ั คราวในรปู กายน้ี ในเวทนา ในสญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ กอ็ ยา่ งนนั้ สงั ขารความปรงุ แตง่ คดิ ดบี า้ ง คดิ ไมด่ บี า้ ง คดิ เปน็ กลางๆ บา้ ง เป็นอารมณ์ หลวงพอ่ ชากเ็ คยสอนว่าคิดดกี อ็ ยา่ ไปยึดมาเปน็ ความคิดของเรา เมือ่ จิตของเรามันคิดไม่ดีก็อย่าไปยึดว่าเป็นเรา ปล่อยไป ก็ไม่มีสาระอะไร เหมอื นกบั วา่ เรามปี ลาเรากท็ านเนอื้ กา้ งปลาเรากท็ งิ้ ไป จติ คดิ ทดี่ กี ม็ าดกู ็ ท�ำ ในอารมณข์ องความดี อะไรไมด่ เี รากป็ ลอ่ ยไปไม่ไปยดึ หมายในอารมณ์ ในความคิดนัน้ นกั ปฏบิ ตั นิ กี่ จ็ ะใหม้ แี ตส่ งิ่ ทด่ี ี อยากใหจ้ ติ คดิ แตด่ ๆี ทง้ั หมด กม็ คี วาม เปน็ ภวตณั หาความอยากมอี ยากเปน็ เมอื่ จติ บางครงั้ เขากป็ รงุ แตง่ ไปทาง ไมด่ กี ็ไมช่ อบ ไมช่ อบใจกเ็ ปน็ วภิ วตณั หาอกี ความไมอ่ ยากมีไมอ่ ยากเปน็ อยากใหม้ นั หมดไป อยากใหม้ นั ดบั ไปกเ็ จอกเิ ลสอกี ตวั พอคดิ อะไรทเ่ี ปน็ ส่ิงท่ีดีถูกใจไปยึดถือก็เป็นกามตัณหาอีก ก็อยู่ในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เราต้องมาพิจารณาในอารมณ์น้ีแหละให้เห็นว่าเป็นส่ิงสมมติ เกดิ ข้ึน ต้ังอยู่ แล้วกด็ บั ไป เปน็ อนตั ตาหาตวั หาตนไม่ได้ ไม่มสี ตั ว์บคุ คล ตวั ตนเราเขา เราตอ้ งปลอ่ ยวาง ปลอ่ ยวางนสี้ �ำ คญั กวา่ เพราะความทกุ ขน์ ้ี มีเพราะมีความยดึ มคี วามยดึ ถอื เม่อื ไร อปุ าทานเมือ่ ไร ความทุกข์ก็เกิด ข้ึน

เรากต็ อ้ งปลอ่ ยวางพจิ ารณาอารมณท์ เี่ ขา้ มา จะเปน็ ตาเหน็ รปู กต็ าม ก็ เปน็ ของชวั่ คราว หฟู งั เสยี งของชว่ั คราวทงั้ นน้ั เลย กป็ ลอ่ ยวางดจู ติ ของเรา ไม่ใหไ้ ปยนิ ดีไปยินร้ายในอารมณ์ท่ีเข้ามา ตามรักษาจิตจะยนื จะเดนิ จะ น่งั จะนอน ทำ�กิจการงานอยู่กต็ ามรกั ษาจติ อยเู่ สมอ แล้วเราก็ต้องมาฝกึ จติ เพราะจติ ที่ไม่ไดฝ้ กึ นมี้ นั กจ็ ะวง่ิ ไปตามอารมณเ์ ปน็ ธรรมดาเลย มนั ยงั ไมร่ จู้ กั เหมอื นเดก็ นอ้ ยเหน็ ไฟก็ไปจบั เลน่ กร็ อ้ นยงั ไมร่ จู้ กั จติ นกี้ เ็ หมอื น กัน เห็นอารมณ์อะไรมาก็เขา้ ไปยดึ ถอื มนั ยังไม่รจู้ กั ตอ้ งมาพจิ ารณาแลว้ กป็ ลอ่ ยวาง อะไรทม่ี นั มเี หตมุ ผี ลอยนู่ น้ั นะ่ มนั กเ็ ปน็ เรอ่ื งของตวั ตนทงั้ นน้ั เลย ทา่ นจงึ วา่ ไวว้ า่ พระภกิ ษอุ งคห์ นงึ่ เมอื่ มลี มมาพดั ถกู ธงแลว้ อกี องคห์ นง่ึ กบ็ อกวา่ เพราะมธี ง ธงจงึ ไหวได้ อกี องคห์ นงึ่ บอกวา่ เพราะมลี มมาพดั ถกู ธงแลว้ ธงน้นั ก็ไหวไป นม่ี องคนละอยา่ งกัน อาจารยก์ เ็ ลยมาบอกว่าไม่มี ธงไม่มลี ม มันจะเป็นธงจบตรงน้ัน ถา้ มธี งก็มลี ม ถา้ ไมม่ ีธงไมม่ ีลมกเ็ ปน็ วมิ ตุ ติ ถ้ามเี ราก็มีเขาใช่ไหม ถ้าไมม่ ีเราไม่มเี ขาก็จบ เรือ่ งทั้งหลายกจ็ บ หมดเปน็ อนัตตา เปน็ อนิจจงั ทุกขัง อนัตตา วตั ถุในโลกน้กี ็เปน็ อยา่ งนัน้ แหละ บางทเี ราไปเห็นบ้านเมอื งไหนเจริญขน้ึ มา จิตเราอาจจะหลงไปใน โลก มบี า้ นเมืองเจริญมากมายกย็ อ้ นกลับไปคดิ หลวงปู่ชาท่านเคยบอกว่า อย่าไปห่วงบ้านห่วงเมืองนักเลย แม้แต่ กรุงกบิลพัสดุ์ก็ยังร้าง กรุงกบิลพัสดุ์สมัยพุทธกาลก็เจริญรุ่งเรือง พระ เชตวันมหาวหิ ารก็สร้างใหญ่โตมาก วดั วาอารามมากมายในสมยั พุทธกาล นาลนั ทานยี้ ง่ิ ใหญม่ ากเปน็ มหาวทิ ยาลยั ระดบั โลกแหละ ตลอดจนพระเจา้ อโศกมาบรู ณะมากมายเลย แตผ่ า่ นมาถงึ ตอนนแ้ี ลว้ กเ็ ปน็ กองอฐิ กองปนู มากมายเลย กเ็ กดิ ความไมเ่ ทยี่ งของธาตขุ องรปู นนั้ นะ เอาจากอฐิ จากปนู ขน้ึ มา จากเหลก็ จากทราย จากหนิ ข้นึ มา ก็สร้างกม็ อี ายุใชง้ านมาถึงสอง ๖๗ดกู าย... เห็นจติ ดูจติ ... เห็นธรรม

๖๘ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญฺจโน พันหา้ รอ้ ยกว่าปีก็หมดสภาพแลว้ ไม่เท่ียง ฉะนั้นบ้านเมืองใดท่ีมีความเจริญในปัจจุบันก็มีความไม่เท่ียงก็มีอยู่ แล้ว เราก็มองความเป็นวิมุตติในรูปท้ังหลาย ในวัตถุท้ังหลาย มองมา ท่ีจิตก็เห็นความรู้สึกท้ังหลายต่างๆ นั้นน่ะ ความรู้สึกเป็นสุขใจทุกข์ใจ ความยดึ มั่นถือมน่ั ก็ไมเ่ ทย่ี งท้งั น้ันเลย เราจะยดึ เอาอะไรไม่เทย่ี งท้ังรปู ท้งั นาม น่เี รากม็ าสร้างโปรแกรมใหมข่ ึน้ มาในใจ สรา้ งวิชชาขึน้ มาในใจให้ มคี วามรู้ ถา้ ก�ำ ลงั ของจติ ของเราเรยี กวา่ มรรคมกี ำ�ลงั กเิ ลสกเ็ กดิ ขนึ้ ไม่ได้ ถา้ มรรคนม้ี กี �ำ ลังอ่อนกเิ ลสก็เกิดขน้ึ เกดิ ขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเจริญมรรคอยู่เสมอ ทำ�ให้มากเจริญให้ มาก เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามก็ดูเรามีสติไหม มีปัญญาไหม ไปยึดถือ อะไรไหม จิตเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็เตือนตนเองว่าวันคืนล่วงไปล่วง ไป บดั นเี้ รากำ�ลงั ทำ�อะไรอยู่ พระพทุ ธเจ้าก็ยงั สอนพระภิกษุ สามเณร ก็ เตอื นญาติโยมดว้ ยนะวา่ บดั นเ้ี ราท�ำ อะไรอยู่ การงานของเราท�ำ พอสมควร หรือยัง เราได้แสวงหาธรรมะให้เป็นท่ีแน่ใจของเราแล้วหรือยัง เรารู้จัก แนวทางปฏบิ ตั วิ า่ ความพน้ ทุกข์ในทางมรรคมีองค์แปดนี้ มศี รัทธาในการ ปฏิบัติมนั่ ใจแล้วหรอื ยัง ศรัทธาของเรามัน่ คงหรอื ยงั เป็นผ้ทู ี่ไมห่ ว่นั ไหว ในการปฏบิ ัติ ไมห่ วน่ั ไหวในความเชอ่ื ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ แลว้ มคี วามแนน่ แฟน้ เรากม็ าพจิ ารณามองโลกน้ีใหเ้ ปน็ สง่ิ ทส่ี มมตอิ นั หนงึ่ ถา้ เราเหน็ สมมติ ความเป็นวิมุตติก็เกิดข้ึน วิมุตติช่ัวคราวคือตทังควิมุตติ เหมือนเราเคย โกรธคนน้ี เกลยี ดคนนี้ ความรูส้ กึ โกรธเกลยี ดนอ้ี ยทู่ ี่ใจกม็ าดูมนั กเ็ ป็น เพยี งความรู้สกึ เทา่ นัน้ เอง ไมแ่ น่ไมเ่ ที่ยง บางทีเคยชอบ กบ็ อกว่าไมแ่ น่ ไมเ่ ทย่ี ง บางทจี ะรสู้ กึ วา่ ชงั ก็ไมว่ งิ่ ตามอกี บอกไมแ่ น่ไมเ่ ทย่ี ง วนั หนง่ึ ชอบ ขึน้ มาก็ได้ เคยชังกันวนั หนึ่งชอบขน้ึ มาก็ได้ อารมณ์ในจติ เป็นอย่างน้นั

อะไรเกิดขึ้นมาหลวงปู่ชาก็สอนว่าไม่แน่ไม่เท่ียงไว้ พิจารณาอย่างน้ี ก็ไม่หลงไปกับอารมณ์ ในความคดิ ความนึก ความปรงุ ความแตง่ นั้น จิต ก็ไม่ยินดีไม่ยนิ ร้ายอยตู่ รงกลาง ทา่ นวา่ เมอ่ื เราเหน็ ธรรมทเ่ี กดิ ข้นึ เฉพาะ หนา้ ในท่นี นั้ อย่างแจ่มแจ้ง ไมง่ อ่ นแงน่ คลอนแคลน ควรพอกพนู อาการ เช่นนั้นไว้ เห็นความเกิดความดับของอารมณ์ ความวิมุตติหลุดพ้นเกิด ข้ึน เม่ือความวิมตุ ติหลุดพน้ เกิดขนึ้ มาได้ช่วั คราวนี้ เกิดบอ่ ยๆ ขน้ึ มา สติ ธรรม ปญั ญาธรรม สมาธธิ รรมกม็ ากขึน้ แล้ว ศีลการสำ�รวมกาย วาจา ใจ ก็ดขี ึน้ มา เม่ือสมาธิต้งั มั่นขึ้นมาน้ี มคี วามสงบ มีปีติ มีความสขุ อารมณ์ ทงั้ หลายท่เี ข้ามาทางตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ท�ำ จิตใหก้ ระเพื่อมไดน้ ดิ เดียว เรากเ็ หน็ ความเกดิ ดบั เมอื่ เราดจู ติ เรากจ็ ะเหน็ อารมณ์ เหน็ อารมณเ์ กดิ ดบั มสี ตอิ ยกู่ เ็ หน็ แลว้ ความรสู้ กึ พอใจกเ็ กดิ ดบั ความรสู้ กึ ไมพ่ อใจกเ็ กดิ ดบั อยา่ งนก้ี ง็ า่ ยขน้ึ แลว้ การปฏิบัติก็จะง่ายข้ึน ทุกครั้งสมาธิของเรายังไม่ตั้งมั่นน้ี เมื่อมีอารมณ์ เข้ามาก็ทุกข์เลยสขุ ไปเลยไม่ไดพ้ ิจารณา พิจารณาก็ไม่ทนั ด้วย แตก่ ต็ าม พจิ ารณาไป สขุ ก็ไม่เทย่ี งนะ ทกุ ข์ก็ไม่เที่ยงนะ หลวงปชู่ าทา่ นมีอุบายว่า เอ้า…มันทกุ ข์ เอานาฬิกามาตัง้ ไว้ อยากให้ ความทุกขม์ นั หายไปเร็วๆ ถา้ ยง่ิ อยากใหม้ นั ดบั ไปเร็วๆ ก็ยิ่งเปน็ ตณั หา เอานาฬิกามาตั้งดูมันจะทุกข์สักกี่ชั่วโมงเพราะทุกข์น้ีจะดับ ต้องตั้งสติ เป็นอุบายวิธีที่ท่านสอนไม่ให้เราวุ่นวายน่ันเอง ให้เรายอมรับว่ามันทุกข์ แลว้ เอานาฬกิ ามาตง้ั หนงึ่ ชวั่ โมงผา่ นไป สองชว่ั โมงผา่ นไป สามชวั่ โมงผา่ น ไป อา้ วทกุ ขม์ นั หายไปตอนไหนไมร่ แู้ ลว้ หมดแลว้ มนั มเี หตมุ นั กเ็ กดิ หมด เหตมุ นั ก็ดบั ไป แล้วทุกข์ดับไปแล้วมีสขุ อีก บางทีเราเผลอสติเอามาดูอีก สุขเป็นอยา่ งไร ดูตง้ั สตเิ ดี๋ยวกด็ ับไปอกี เราก็จะเห็นความเกดิ ความดับ ความเปน็ อนิจจัง ทุกขงั อนัตตาของ ๖๙ดกู าย... เหน็ จิต ดูจิต... เหน็ ธรรม

๗๐ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ ฺจโน อารมณ์ ถ้าจิตของเรามีกำ�ลังสมาธิได้ดีแล้วน่ีเราก็ยิ่งจะเห็นได้ชัด ท่าน เรยี กวา่ วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ ดว้ ยการขม่ กเิ ลสเอาไวไ้ ด้ ขม่ เอาไวไ้ ดแ้ ลว้ ธรรมะฝา่ ยอกศุ ลทที่ า่ นเรยี กวา่ นวิ รณห์ า้ กามฉนั ทะความยนิ ดี พอใจในรปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมมารมณท์ เี่ ปน็ ทพี่ อใจทป่ี รารถนา พยาบาท ความปองรา้ ย ความโกรธ ความปองรา้ ย ถนี มทิ ธะความงว่ งเหงาหาวนอน อทุ ธจั จะกกุ กจุ จะความฟงุ้ ซา่ นร�ำ คาญใจ วจิ กิ จิ ฉาความลงั เลสงสยั จรงิ ๆ นิวรณห์ า้ กอ็ ย่รู วมๆ กนั แต่แยกชดั ๆ ก็เปน็ หา้ อย่าง ถ้ากามฉันทะเกิดขน้ึ ความพอใจเกดิ ข้ึน ความหลงความไมเ่ ขา้ ใจแจ้ง ชัด ยงั เหน็ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นของดอี ยู่ ยัง ลังเลสงสัยอยู่ ยงั ฟงุ้ ซา่ นไปในส่งิ เหล่านีอ้ ยู่กจ็ ะหงดุ หงิดใจ ถ้าสิ่งเหลา่ น้ี มนั จากไป ถ้าไม่ได้มันก็โกรธพยาบาทขนึ้ มา มนั จะอยู่รวมๆ กนั ถา้ จะ แยกใหช้ ดั กแ็ ยกเปน็ หา้ อยา่ ง เมอ่ื เรามสี มาธจิ ติ กจ็ ะขา้ มอารมณท์ ง้ั หา้ อยา่ ง นี้ได้ เรยี กวา่ ขม่ กเิ ลสไวไ้ ด้ เปน็ วขิ มั ภนวมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ ดว้ ยการขม่ กเิ ลสได้ ตรงนส้ี �ำ คัญ แลว้ หลดุ พ้นด้วยการข่มเอาไว้ ขม่ ไปนานๆ นกึ วา่ ไมม่ กี ิเลส ก็ได้ นานๆ ไปกิเลสก็โผล่หนา้ ข้ึนมาอีกแล้ว ก็จะไดพ้ จิ ารณาความรู้สึก เป็นสุขเป็นทุกข์ เกิดข้ึนมาไม่เท่ียงไม่แน่ไม่มีตัวตน เป็นส่ิงท่ีสมมติทั้ง นนั้ เลย ทกุ อยา่ งเปน็ สมมติ เมอื่ จติ ปรงุ แตง่ ขนึ้ มากเ็ ปน็ เรอ่ื งสมมตทิ งั้ นนั้ แหละ เหมือนศาลาหลังนว้ี ันนี้ญาติโยมมาไม่มากศาลาก็ร้สู ึกว่าใหญ่ ถ้า โยมมาสองร้อยคนมาน่ังกันเต็มก็รู้สึกว่าศาลาหลังนี้ก็เล็กเสียแล้ว ความ ร้สู กึ ท่ีใหญ่ทเ่ี ล็กเกิดจากความรูส้ กึ ของเราศาลาเขาก็อย่อู ยา่ งน้ี กม็ องให้ เกดิ ความพอดี ความเปน็ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ถ้าเราปรุงแต่งเม่ือไหร่เราก็หลงอารมณ์แล้ว เป็นเร่ืองของสมมติว่า ศาลาหลงั นม้ี นั เลก็ ศาลาหลงั นกี้ ็ไมเ่ ลก็ ไม่ใหญ่ แลว้ ก็ไมม่ ศี าลาดว้ ย เปน็ ความว่าง ถ้าเข้าใจจุดน้ีจะเข้าใจแจ้งชัดจิตจะมีความรู้ข้ึนมา ทุกสิ่งทุก

อยา่ งเรามาเปรยี บเทยี บเกดิ สมมตแิ ลว้ กห็ ลงสมมติ ถา้ เราไมห่ ลงสมมตกิ ็ จะเห็นวา่ ทุกสิง่ ทุกอย่างเป็นอนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา วมิ ุตตเิ กิดขึ้นมีความ เขา้ ใจแจง้ ชดั ขนึ้ มา จติ สงบกจ็ ะเหน็ เชน่ นน้ั ปญั ญาอบรมจติ ใหเ้ กดิ สมาธิ ขึน้ มาขณะฟังธรรมก็ได้ อาตมาไปฟังธรรมท่านยกตัวอย่างที่หลวงปู่ชาเทศน์ให้ฟังเหมือนกัน นะ วา่ แก้วน้ําใบหนึ่งสูงสัก ๒๐ เซน็ ต์ ถ้ามีแก้วอกี ใบหน่ึงสงู ๓๐ เซน็ ต์ ท่านถามเราว่าแกว้ ใบนีเ้ ล็กหรอื ใหญ่ แกว้ ใบแรกขนาด ๒๐ เซ็นต์ กเ็ ลก็ ถา้ ขนาด ๓๐ เซ็นต์ ก็ใหญ่ ถ้ามีใบใหญ่กวา่ นั้นไปอีก คือทำ�แก้วใบใหญ่ ๔๐ เซน็ ต์ขึ้นมา ลักษณะอย่างน้ีใบทีว่ า่ ใหญ่นั้นกลายเป็นไม่ใหญแ่ ลว้ มี ใหญ่กวา่ เปรียบเทยี บ ท่านกส็ อนว่าแท้ทจ่ี ริงไมม่ เี ล็กไม่มีใหญ่ มันไม่มแี กว้ เราฟงั ดแู ลว้ ก็ เกิดอัศจรรย์เข้าใจชัดขึ้นมาว่าไม่มีแก้วจริงๆ มันสมมติน่ี เม่ือก่อนเรา วา่ เปน็ แกว้ ๆ ตั้งแต่เกิดมาก็คดิ วา่ เปน็ แกว้ จริงๆ เลย เราคิดอยา่ งไรปรงุ แต่งอย่างไรก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น พอมาปฏิบัติธรรมแล้วก็รู้ว่าไม่มีจริงๆ ๗๑ดูกาย... เหน็ จิต ดูจิต... เหน็ ธรรม

๗๒ พระอาจารย์อนันต์ อกิญจฺ โน เปน็ สมมติขนึ้ มา ก็เหน็ ความเกิดดบั ของวตั ถุทัง้ หลาย ปฏบิ ัติไปแลว้ เห็น ความเกดิ ดับของรา่ งกายท่มี ันตายก็เป็นสง่ิ สมมติขนึ้ มา ไม่มีผูห้ ญิงผู้ชาย สัตว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา ในอารมณ์ทางจติ ก็สักแตว่ ่าจิต เม่อื ปญั ญา อบรมสมาธิขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมาเป็นตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ หลดุ พ้นขึ้นมาด้วยการข่มเอาไว้ สมุจเฉทวิมุตตหิ ลดุ พ้นดว้ ยการประหาร กิเลส ประหารอยา่ งไร เมื่อเราสรา้ งโปรแกรมขึน้ มาใหม่แลว้ เอาผูร้ นู้ เี้ ป็น โปรแกรมเมอร์ แล้วมีโปรแกรมเมอรส์ รา้ งโปรแกรมขึ้นมา ร้หู นทางชัดๆ เกดิ ข้นึ มา เมือ่ กอ่ นกิเลสก็ต้อนเรา เราก็สไู้ ม่ได้เสียทหี น่งึ คราวนีเ้ ราชักมีกำ�ลัง ข้ึนมาแล้ว โปรแกรมของเราก็ใช้การได้ตาเห็นรูปข้ึนมาก็มองเป็นวิมุตติ ไมม่ ีตวั ตน ทำ�สมาธิใหส้ งบอกี กเิ ลสกเ็ ขา้ มาในจติ ไม่ได้ กเิ ลสเขา้ มาในจิต ไม่ได้กพ็ จิ ารณารปู นาม พจิ ารณาอารมณ์อีก ยงิ่ เหน็ อารมณช์ ัดในอารมณ์ กเ็ กิดปตี ิ เกดิ ความสงบ เกดิ ความสุขข้นึ มา น่ีเราก็มีกำ�ลังมากขึน้ ๆ แล้ว จนพจิ ารณากายก็ดี พิจารณาจิตก็ดี เวทนา ธรรมะทัง้ หลายเกดิ ขึ้นมาก็ดี เปน็ สกั แตว่ า่ อารมณท์ งั้ นน้ั เลย ไมม่ สี ตั วบ์ คุ คล ตวั ตนเราเขา ตรงนเ้ี รยี กวา่ วมิ ุตติหลดุ พน้ ก็เกิดขนึ้ มา สงิ่ ทีเ่ คยยึดถือสกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ ิจฉา สลี ัพพต ปรามาส ความลังเลสงสยั น้นั ก็หมดไป เมอ่ื กอ่ นเขา้ ใจวา่ เปน็ ตวั ตนจรงิ ๆ กเ็ หน็ ชดั วา่ ไม่ใชต่ วั ตน เหน็ ชดั ขน้ึ มา เมอื่ เหน็ ชดั เชน่ นแ้ี ลว้ เราเปน็ ผสู้ รา้ งโปรแกรมขนึ้ มาแลว้ เหน็ ชดั ขนึ้ มาแลว้ เกดิ ปญั ญา ค�ำ วา่ เราทสี่ รา้ งนนั้ ก็ใหเ้ ปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาอกี พจิ ารณา ไม่ให้มีว่าเราอีก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าพระองค์ทรงรู้ขนาดนี้แล้วก็ไม่ ทรงยึดในความรู้น้ัน เราอ่านตำ�รับตำ�รามาก็รู้แล้วไม่ยึดจะทำ�อย่างไรยัง มีตัวเราอยู่น่ี ก็เพราะว่าถ้ายึดเป็นตัวเราอีกมันจะมีทิฏฐิมานะเกิดข้ึนมา ยังเป็นเหตใุ ห้เกดิ ทุกขอ์ กี ถา้ ไม่ยึดถอื เลยทิฏฐมิ านะก็ไมม่ ี ความทุกข์ก็

ไม่มี เราเขาก็ไมม่ ี อนั นส้ี �ำ คัญ ก็ใหเ้ ราพิจารณาเป็นสมุจเฉทวมิ ตุ ติหลดุ พ้นด้วยการละกเิ ลส แลว้ กล็ ะกเิ ลสต่อไปจนวา่ โลภ โกรธ หลง หมดไปก็ วมิ ุตตหิ ลุดพ้นขนึ้ มา พระพทุ ธเจา้ ก็จะเกิดข้นึ มาในใจของเรา เป็นธรรม เหมือนกนั อาตมาฟังหลวงพ่อชาท่านปรารภเร่ืองประเทศอินเดีย ท่านบอกว่า มีคนนิมนต์ท่านไปประเทศอินเดียแต่ไม่มีใครถวายตั๋วให้ ท่านพูดเป็น ธรรมท่านก็เลยบอกว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดข้ึนท่ีประเทศไทยไม่ได้หรือ ตง้ั ปญั หาถามอาตมาเหมอื นกัน อาตมาก็รูส้ กึ ว่าพระพุทธเจา้ กม็ พี ระองค์ เดยี วจะเกิดข้ึนทปี่ ระเทศไทยได้อย่างไร เราก็ยึดวา่ น่ีคอื พระสงฆ์ หลวง พ่อชาก็เป็นพระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ เรายังแยกกันอยู่ว่าพระอรหันต์ น้นั ก็อนั หนึ่ง พระธรรมกอ็ ีกอนั หนึง่ พระพุทธเจ้าก็แยกกนั อกี แตค่ วาม เป็นจริงแลว้ ผู้ท่ที ่านรูแ้ ลว้ ทา่ นวา่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กอ็ ยู่ใน ใจของท่าน พทุ ธะอยู่ในใจของท่านแลว้ ถ้าเกดิ วา่ ทา่ นไดบ้ รรลใุ นธรรมะ ค�ำ สอนของพระพุทธเจา้ เรยี กว่าเปน็ ตทงั ควิมตุ ติ วกิ ขัมภนวิมตุ ติ สมจุ เฉทวิมุตติ หลดุ พน้ จากการละกเิ ลส คือมีพทุ ธะเกิดข้ึนในจติ ใจนี่เอง ก็ ขอใหญ้ าติโยมน�ำ กลับไปพจิ ารณา เจริญพร... ๗๓ดูกาย... เหน็ จติ ดูจิต... เหน็ ธรรม

๗๔ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญจฺ โน “ เม่ือเราชอบใจก็ปรุงแต่งไปอย่างหนึ่ง เราไมช่ อบใจกป็ รุงแตง่ ไปอย่างหน่งึ ถา้ เรา ไมร่ เู้ ทา่ ทนั แลว้ กจ็ ะวงิ่ ไปกบั อารมณ์ กจ็ ะหลง ไปกับอารมณ์ หลวงพ่อชาทา่ นจึงเทศน์ คน ”หลงอารมณน์ ั้นก็คือคนหลงโลก

ความฟุง้ ซา่ น... ๘ ตลุ าคม ๒๕๔๘ ให้เราพยายามนั่งสมาธิภาวนา กำ�หนดลมหายใจของเรานี้เปน็ อารมณ์ เรียกว่าอานาปานสติกรรมฐาน รู้ลมหายใจ เมื่อลมหายใจเข้าเราก็รู้จัก ภาวนาว่าพุท ลมหายใจออกก็ภาวนาวา่ โธ กำ�หนดรู้ลมหายใจเข้าน้ันต้น ลมอยทู่ ป่ี ลายจมกู กลางลมอยทู่ ห่ี ทยั ปลายลมอยทู่ สี่ ะดอื หายใจออกนนั้ ตน้ ลมอยทู่ ่สี ะดือ กลางลมอยู่ท่หี ทัย ปลายลมอยทู่ ี่ปลายจมกู นีก้ �ำ หนด ใหร้ ู้ลมทั้งสามฐาน เมื่อเรากำ�หนดรู้ลมเข้าออกน้ีทั้งสามฐานได้ มีความชำ�นาญแล้วก็ ก�ำ หนดเฉพาะรลู้ มหายใจเขา้ ลมหายใจออกทปี่ ลายจมกู ของเรา ลมหายใจ เขา้ ก็รลู้ มหายใจออกก็รู้ ลมหายใจเขา้ ภาวนาว่าพุท ลมหายใจออกภาวนา ๗๕ดกู าย... เห็นจิต ดูจติ ... เห็นธรรม

๗๖ พระอาจารยอ์ นันต์ อกิญฺจโน ว่าโธ ก�ำ หนดร้ลู มหายใจเขา้ ลมหายใจออก เมื่อเราก�ำ หนดรู้ลมหายใจเขา้ ออกอย่างน้ี สติของเราร้ใู นลมจิตของเรากส็ งบ อารมณ์ทที่ �ำ จติ ไม่ให้สงบ น้ันเรียกว่าสิ่งท่ีกางก้ันความดี คือความรัก ความชัง หรือว่ากามฉันทะ พยาบาท ถีนมทิ ธะ อทุ ธัจจะกุกกุจจะ วิจิกจิ ฉา ทา่ นวา่ เปน็ นวิ รณท์ ง้ั หา้ ประการกน้ั จติ ไม่ใหบ้ รรลซุ งึ่ ความดี ความดีใน เบื้องต้นคือความดจี ากการเสียสละ คือการใหท้ าน การสมาทานศีล ศลี ห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยส่ี บิ เจ็ด กม็ ศี ลี ตามฐานะของเรา ศีลห้า ประการนก้ี เ็ ปน็ คณุ สมบตั ทิ เ่ี ราปฏบิ ตั ิได้ เปน็ พระอรยิ ะบคุ คลในพระพทุ ธ ศาสนา เปน็ สงฆส์ าวกของพระพทุ ธเจา้ จะเปน็ พระ เปน็ เณร เปน็ ฆราวาส ถา้ เราปฏบิ ตั คิ รบถว้ นในศลี ได้ มจี ติ ทม่ี คี วามเหน็ ทถ่ี กู ตอ้ ง รเู้ หน็ ตามความ เปน็ จรงิ แลว้ แมเ้ ปน็ ฆราวาสจติ ของเรานนั้ กเ็ หน็ ธรรมะ เพราะวา่ ไมจ่ ำ�กดั วา่ การเหน็ ธรรมะนัน้ เนน้ เฉพาะพระภิกษุ สามเณร หรือว่าเป็นภิกษุณี การเห็นธรรมนั้นเห็นได้เสมอกัน ไม่จำ�กัดว่าเป็นนักบวชหรือว่า ฆราวาส ถ้าเราปฏิบัติอยู่ในอริยมรรคมีองค์แปด คือศีล สมาธิ และ ปัญญา เราก็จะเห็นธรรมะ บรรลุธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวก เรารู้ตามได้นัน้ พระพทุ ธเจ้าทา่ นจึงมพี ระคุณอนั กวา้ งใหญ่ไพศาล มพี ระ มหากรณุ าธคิ ณุ อนั กวา้ งใหญ่ไพศาล หาทส่ี ดุ หาทปี่ ระมาณไม่ได้ เพราะวา่ พระองค์นัน้ จะสำ�เร็จเป็นพระอรหนั ตก์ ็ได้เข้าสู่ในภูมขิ องสาวกบารมี แต่ พระองค์ก็ยังปรารถนาทีจ่ ะรือ้ สัตว์ขนสตั ว์ ออกจากวัฏสงสาร จงึ ว่าพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระองค์น้นั กว้างใหญ่ไพศาลหาท่ีสดุ หา ทป่ี ระมาณไม่ได้ พระปญั ญาคณุ พระบรสิ ทุ ธคิ ณุ พระปญั ญาคณุ พระองค์ ก็มีปัญญาสามารถเอาชนะกเิ ลส เปน็ สมเุ ฉทปหารได้ช่ือวา่ เป็นพระอรหัง เป็นผู้ท่ีไกลจากกิเลส เม่ือมีปัญญาเช่นน้ีแล้วก็ทำ�ให้จิตของพระองค์มี ความบรสิ ทุ ธ์ิไมม่ กี เิ ลสเจอื ปนในจติ ใจเปน็ เพราะคณุ ทงั้ สามน้ี ใหเ้ ราระลกึ

เปน็ พทุ ธานสุ ติ เมอื่ ลมหายใจเขา้ เรากน็ กึ ภาวนาวา่ พทุ หายใจออกภาวนา วา่ โธ กน็ กึ ในพระคณุ ของพระพทุ ธเจา้ จนจติ ของเรานนั้ กม็ คี วามสงบ เมอื่ จติ ของเราสงบแลว้ นวิ รณท์ ง้ั หา้ นนั้ กถ็ อยหา่ งไปจากจติ ใจของเราชวั่ คราว เรยี กวา่ เปน็ ตทงั ควมิ ตุ ตแิ ลว้ อนั นเี้ ปน็ วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ตเิ ราขม่ กเิ ลสเอาไวไ้ ด้ เมอ่ื เราขม่ กเิ ลสเอาไวไ้ ดจ้ ติ ของเราสงบ เรากเ็ อาจติ ทส่ี งบนม้ี าพจิ ารณาใน กาย มาพจิ ารณาในรปู กาย การพจิ ารณารปู กายนี้ ถา้ การศกึ ษาในทเี่ ราจะพน้ ทกุ ขก์ พ็ จิ ารณาอยา่ ง ใดอย่างหน่ึงก็จะรู้ท้ังกาย เข้าใจในเรื่องของกายว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วเรากเ็ หน็ ธรรมได้ ไมต่ ้องไปพจิ ารณาหลายอย่าง หรอื เราจะ พจิ ารณาจติ ดจู ิตเหน็ วา่ จติ นม้ี สี ภาวะที่ปรุงแต่ง บางทมี นั ปรุงแต่งไปใน อนาคตมากมาย เมื่อถึงเวลาแลว้ มนั ก็ไม่ไดเ้ ป็นอย่างทเี่ ราปรงุ แต่งเอาไว้ ปรงุ แตง่ เราจะไปทางโนน้ เราจะไปทางนก้ี ด็ ี ปรงุ แตง่ ในชวี ติ ในอนาคตของ เรากด็ ี ก็ไมแ่ นน่ อนทงั้ นนั้ แหละ ปรงุ แตง่ ไปแลว้ ก็ไมเ่ ปน็ ไปตามนนั้ หรอก ไม่เท่ยี ง ไม่แน่ แต่วา่ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกดิ สังขารน่มี นั ก็จะปรงุ แตง่ ไป อย่างน้ีเสมอ นักปฏิบัตินี้ก็ต้องมาตามดู ตามดูตามรู้ในความคิด ความ นกึ ความปรุงความแต่ง วา่ มันเปน็ ของไม่เที่ยงเป็นอนจิ จงั ทกุ ขัง เปน็ อนตั ตา หาความเปน็ ตัวเปน็ ตน เปน็ สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขาไม่ได้ มนั เป็นลักษณะอยา่ งน้ี เมือ่ เราชอบใจมันก็ปรงุ แตง่ ไปอย่างหนึง่ เมือ่ เราไมช่ อบใจก็ปรงุ แต่ง ไปอย่างหนึ่ง ปรุงแต่งไป ถ้าเราไม่รู้เท่าทันแล้วก็จะว่ิงไปกับอารมณ์ ก็ จะหลงไปกับอารมณ์ หลวงพ่อชาท่านจึงเทศน์ว่า คนหลงอารมณ์น้ันก็ คือคนหลงโลก คนหลงโลกนั้นก็คือคนหลงอารมณ์ เราหลงไปในอารมณ์ ทัง้ หลายก็คือหลงโลกนนั้ แหละ คนหลงโลกกค็ ือหลงอารมณ์ ไมร่ ู้ ถ้าคน รอู้ ารมณ์แล้วก็ไม่หลง รจู้ กั อารมณ์แลว้ ไม่หลง คนหลงนน้ั ก็ไมร่ จู้ ัก ไมร่ ู้ ๗๗ดูกาย... เหน็ จิต ดจู ิต... เหน็ ธรรม

๗๘ พระอาจารย์อนันต์ อกญิ ฺจโน จกั อารมณ์นั่นเอง เมื่อเรามาปฏบิ ตั ิมาฝกึ หัดปฏิบัตกิ าย วาจา ใจ ใหก้ าย ของเรากส็ งบดว้ ยศลี วาจากส็ งบดว้ ยศลี เรอ่ื งของใจใหส้ งบตอ้ งมาฝกึ กนั ฝึกเรือ่ งสติ เจรญิ ซึง่ สมาธิภาวนาใหม้ าก น้เี ป็นหลัก เพราะว่าการไดย้ ินได้ฟัง การไดอ้ ่านได้ศึกษาเกิดปัญญามาก ปญั ญา ในการโตต้ อบ ปญั ญาในการถามในหลักธรรมต่างๆ นี้ เราจะเรยี นรูไ้ ปให้ มากในพระไตรปิฎกก็ตาม ความรู้ก็เป็นความรู้ที่เกิดประโยชน์ส่วนหน่ึง แต่ว่าเป็นความรู้ที่เกิดจากสัญญาความจำ� สังขารความปรุงแต่ง เพราะ ว่าธรรมะท่ีออกมานั้นออกมาจากใจพระพุทธเจ้าที่บริสุทธ์ิ เมื่อเราลงมือ ปฏิบตั ิอันน้ีกจ็ ะปฏบิ ัตติ ามทที่ า่ นสอน เมื่อปฏบิ ัติแลว้ จิตสงบเรามาเรียน รมู้ าศกึ ษาในต�ำ ราอีกครง้ั หน่ึงก็จะเข้าใจชดั เจน ค�ำ ว่าวิตกวจิ าร ปตี ิ สุข เอกคั คตา วิตกก็คือการยกอารมณ์ข้ึนมาจะเป็นลมหายใจกด็ ี กรรมฐาน กองใดกองหนึ่งกด็ ี กย็ กขนึ้ มา วิจารน้ันไม่ใช่ความคดิ วิจารอยู่ในเรื่องเดียว อยู่ในอารมณ์ของความสงบ รู้ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออก เข้ายาวออกยาวเราก็รู้จักหมด นี่แหละเรียกว่าวิจารอยู่ ในเรื่องของลม ไม่ไดว้ จิ ารไปวา่ ลมอยา่ งน้เี ปน็ ยงั ไง ลมเกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร คิดไป อันนั้นมนั กว้างไปคิดไปอยา่ งน้ันไมส่ งบ ต้องคดิ มาใหม้ ันสงบใหร้ ู้ ในเรื่องเดียว เมอ่ื เรารอู้ ยเู่ รื่องเดยี วก็เกดิ ความสงบข้ึนมา ปตี ิความอิม่ ใจ จะเกดิ ความอม่ิ ใจนงั่ รลู้ มหายใจระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ นา้ํ ตาก็ไหลซาบซง้ึ ขน้ึ มา กายของเรากเ็ บา บางทนี งั่ อยเู่ หมอื นลอยอยกู่ ลางอากาศนเี่ รอื่ งของ สมาธิ หรือมากกว่าน้ันจะมีความสุข ความอม่ิ ความนงิ่ ของจติ อันนีเ้ ราก็ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิใหม้ นั ผา่ นในเรอ่ื งของความสงบขนึ้ มาสำ�คญั เพราะสมาธนิ ี้ กเ็ ป็นแกนกลางแลว้ เม่ือจิตของเรามีความสงบเช่นนีเ้ ราจะเจรญิ ในดา้ น การพจิ ารณาด้วยปัญญาเราจะเห็นชดั เมอื่ กอ่ นเราได้ยนิ ไดฟ้ ังก็ชดั อยา่ ง หน่งึ เราคิดพจิ ารณากช็ ัดไปอกี อยา่ งหนงึ่ แต่เม่อื จติ สงบแล้วพจิ ารณาให้

เกิดปัญญากร็ ้ชู ัดที่จะละความรสู้ ึกท่เี ป็นตวั เป็นตนได้ เพราะจิตทม่ี ีความ สงบตง้ั มน่ั นน่ั เอง จะมาพจิ ารณาในเรอื่ งของจติ มาดจู ติ กเ็ หน็ ชดั จติ นเ้ี ปน็ อย่างไร จิตมีหนา้ ทีอ่ ย่างไร จิตนีค้ อื อะไร เป็นผู้รบั รอู้ ารมณ์นั่นเอง เมือ่ จิตรับรู้อารมณ์แล้วจิตไม่มีปัญญาก็จะหลงไปกับอารมณ์ ก็จะหลงไปใน โลกก็จะเกิดความทุกข์ ถ้าจิตน้ันมีสมาธิตั้งม่ันดีเมื่ออารมณ์เข้ามาจิตก็ จะรอู้ ารมณ์ รจู้ ักอารมณ์เขา้ มาแลว้ หลวงพอ่ ชาจงึ เปรยี บเทยี บเหมอื น กบั มเี กา้ อต้ี วั หนงึ่ เรานงั่ อยู่ในบา้ นนนั้ น่ะใครเข้ามาเราก็รู้จัก เข้ามาน่ังใน เกา้ อต้ี วั นี้ไม่ได้ เมอื่ จติ ของเรามคี วาม ระมัดระวังมีสติระมัดระวังอยู่ สมาธิ ต้ังม่ันอยู่ มีอารมณ์ท่ีจะเข้ามาในจิต ก็เข้ามาไม่ได้ สติรู้สึกระวังระลึกได้ สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ สมาธิตั้งม่ันอยู่ หมนุ ปญั ญาก็เกดิ อารมณอ์ กศุ ลเกดิ ขึ้นก็เพียรละ ท่ยี ังไมเ่ กดิ ก็ไม่ใหเ้ กิด อารมณ์กุศลเกิดข้ึนแล้วก็รักษาไว้ ทำ�ใหเ้ กดิ ข้ึน เราก็รจู้ กั ในอารมณ์น้ัน ปญั ญากค็ อื ความรู้ รรู้ อบเขา้ มาในกองสงั ขาร จะเปน็ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณกพ็ ิจารณาให้รรู้ อบว่าเป็นอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เปน็ ความวา่ ง นนั่ เอง ไมม่ ีตัวไม่มตี น ความว่าง ไมม่ เี ราไม่มีเขา ไม่มีสตั วบ์ คุ คล ตวั ตน เราเขา มองรปู มองนามก็ใหเ้ ห็นเป็นความวา่ ง ความทุกข์ก็เกิดข้ึนไม่ได้ เพราะปญั ญาเราเกดิ ขนึ้ มา ทเี่ ราเปน็ ทกุ ขอ์ ยนู่ น้ั กเ็ พราะวา่ เราเหน็ เปน็ ตวั เปน็ ตน เปน็ สัตว์บุคคล เราเขา ก็เปน็ ทุกข์ข้ึนมาเพราะอปุ าทานยดึ ถือ ๗๙ดูกาย... เห็นจติ ดจู ติ ... เห็นธรรม

๘๐ พระอาจารย์อนันต์ อกญิ จฺ โน เมอ่ื เราจะไปอยทู่ ่ีไหนกต็ ามอยู่ในทท่ี �ำ งาน ทบี่ า้ น ทว่ี ดั เรากร็ บั รอู้ ารมณ์ ทง้ั นนั้ แหละ จติ รบั รอู้ ารมณก์ ต็ อ้ งมสี ตริ สู้ กึ วา่ เปน็ อยา่ งไร จติ ของเราขณะ นเี้ ปน็ อยา่ งไร มสี ขุ ไหมมที กุ ข์ไหมปรงุ แตง่ ไหม มปี ญั ญาใหร้ วู้ า่ มนั ไมเ่ ทยี่ ง ไม่แน่ทั้งน้ันแหละ อารมณ์ชอบใจมาก็บอกว่าไม่แน่ อารมณ์ไม่ชอบใจ มาก็บอกว่าไม่แน่ เรากย็ นื อยตู่ รงน้อี ารมณ์ของอนิจจงั ทุกขงั อนัตตานี้ เปน็ อารมณท์ จี่ ะใหเ้ กดิ ปญั ญาขน้ึ มา ปญั ญาในทางพระพทุ ธศาสนานนั้ คอื เข้าใจความเป็นจริง ส่ิงทีเ่ ราเคยเหน็ วา่ เป็นของเทยี่ งเรากเ็ ห็นผิดวปิ ลาส ไป ความเหน็ ทว่ี ิปลาส ถ้าเราพิจารณาเหน็ เป็นอนจิ จังก็จะเห็นความไม่ เท่ียง สิ่งท่ีเป็นทุกข์ก็เข้าใจว่าเป็นสุข เราก็พิจารณาว่าเป็นทุกขังทั้งนั้น เลยทนอยู่ไม่ได้ อะไรที่เกิดข้ึนมาตง้ั อยแู่ ลว้ กด็ ับไป หาความที่จะคงทน ไมม่ ี เปน็ สขุ เรากเ็ คยมีไหม เปน็ ทกุ ขเ์ ราเคยไหม แลว้ กส็ ขุ ทกุ ขน์ น้ั อยู่ไหม ละ่ เกดิ ขน้ึ ตง้ั อยู่ แลว้ ดบั ไปมนั ไมม่ ี ไมม่ ตี วั ตน เปน็ อนตั ตาหาความเปน็ สาระแกน่ สารอะไรจรงิ จงั ไม่ได้ อยา่ งนเี้ รากพ็ จิ ารณามอี ารมณอ์ นจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตานี้เปน็ อารมณ์ของใจก็จะเกิดปัญญา ปัญญากจ็ ะเกดิ ดงั นนั้ เมอ่ื เราเจรญิ ในดา้ นปญั ญาอบรมจติ ใหเ้ กดิ สมาธิ เราก็ใชอ้ ารมณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้เป็นอารมณ์ของจิต พิจารณาให้เห็นความไม่ เที่ยงของวัตถสุ ง่ิ ของท้งั หลายไม่เที่ยง รูปเราก็ไมเ่ ทย่ี ง รูปสตั ว์ก็ไม่เทย่ี ง นามธรรมทง้ั หลายก็ไมเ่ ทย่ี งกพ็ จิ ารณา เรยี กวา่ ตาจกั ขุ จกั ขนุ เี้ ปน็ ธาตุ รปู นกี่ เ็ ปน็ ธาตุ จกั ขธุ าตนุ เี้ มอื่ กระทบกบั รปู ธาตแุ ลว้ เกดิ จกั ขวุ ญิ ญาณธาตขุ น้ึ มา ประสาทตาก็ไม่เทยี่ ง รปู ก็ไมเ่ ทยี่ ง การเห็นก็ไม่เทีย่ ง เรากพ็ ิจารณา เมื่อเหน็ ไมเ่ ท่ียง ไม่มตี วั ไม่มตี น ทแี่ ทจ้ ริงแล้วก็เป็นอนตั ตา ในอายตนะ อน่ื น้นั ก็เหมอื นกัน กเ็ รียกวา่ เปน็ อารมณข์ องวิปสั สนา หลวงพอ่ ชาทา่ น สอนอารมณ์ท่จี ะใหเ้ กดิ ปญั ญานั้น คอื อนิจจงั ทุกขัง อนัตตานเี้ อง ที่ จะแก้ความเห็นผดิ วิปลาสของจิตของเราได้

เราก็ต้องมาพิจารณาในอนจิ จงั ทกุ ขัง อนตั ตาน้ีเปน็ อารมณ์ มองโลก นีเ้ ห็นว่าพระนพิ พานนนั้ เป็นสุขอยา่ งย่งิ การละโลภ ละโกรธ ละหลงแลว้ เปน็ สขุ อยา่ งยง่ิ พระนพิ พานนนั้ เปน็ ทท่ี ว่ี า่ ไมม่ กี เิ ลสเจอื ปนนนั้ จติ ใจของ เรากร็ ะลกึ ถงึ ความไมย่ ดึ มน่ั ถอื มน่ั อยู่ จติ กจ็ ะวา่ งจากความยดึ ถอื เรยี กวา่ เราระลกึ ในธรรมหรอื อปุ สมานสุ ตกิ รรมฐาน ระลกึ ในคณุ ของพระนพิ พาน เป็นอารมณ์ ไม่มีตัณหาท่ีจะทำ�ให้ใจของเราเป็นทุกข์เดือดร้อน เราก็ พยายามปฏบิ ตั ิ นเี้ ปน็ ปญั หาอยวู่ า่ เมอ่ื ปญั ญามนั นอ้ ยไมเ่ กดิ เรากต็ อ้ งหนั กลบั มาท�ำ สมถะรลู้ มหายใจเข้า ร้ลู มหายใจออกเป็นการพักจิต พจิ ารณา มากเกินไปสมาธินอ้ ยมันจะฟงุ้ ซ่านไมส่ งบ ไม่เห็นธรรมหรอก ตามดูจติ อยา่ งเดยี วกเ็ หน็ แตค่ วามเกดิ ขน้ึ ตง้ั อยู่ แลว้ กด็ บั ไปแตว่ า่ ไมห่ ยดุ การปรงุ แตง่ แสดงวา่ สมาธขิ องเรามนั นอ้ ยแลว้ ตอ้ งหนั กลบั เขา้ มารลู้ มหายใจเขา้ รู้ ลมหายใจออก พกั จติ ท�ำ จติ ใหม้ กี �ำ ลงั เมอ่ื จติ มกี �ำ ลงั แลว้ ถงึ จะเดนิ ท�ำ งาน ดว้ ยการพจิ ารณา หรอื การก�ำ หนดอยู่ในกายคตา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อสภุ ะสิบ ธาตุสี่ก็เหมือนกนั เปน็ อารมณข์ องสมถกรรมฐานน้ีแหละ เราก็พักจิตให้เป็นสมาธิเสียก่อน แล้วพิจารณาแยกแยะธาตุขันธ์ให้ เหน็ อนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา พิจารณาอารมณ์ทีเ่ กดิ ขึ้นทจี่ ติ ให้เปน็ อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา กพ็ ิจารณาในรปู ในนามนีป้ ัญญาของเรากจ็ ะเกิด เรากจ็ ะ เหน็ ธรรมะ กระทัง่ ว่ารูปน้กี ด็ ี นามน้กี ด็ ี เรากร็ ับร้อู ย่นู ้ี แตร่ ับรทู้ ีไรก็ไปรู้ เรือ่ งตวั ตนทกุ ครง้ั มีตัวตนมีเราทุกคร้งั จติ น้กี เ็ ป็นเราดว้ ย เขาวา่ กว็ ่าเรา ดว้ ย เขาสรรเสรญิ กส็ รรเสริญเราด้วย สขุ กเ็ ป็นเราสขุ ดว้ ย ทกุ ข์กเ็ ป็นเรา ทกุ ข์ด้วย ความปรงุ แตง่ ความฟุง้ ซา่ นก็เป็นเราทั้งหมด ส่ิงใดท่เี กดิ ขึ้นใน จติ เปน็ กศุ ลกเ็ ปน็ เรา เปน็ อกศุ ลก็ไปยดึ ถอื เปน็ เราหมด กม็ คี ำ�วา่ เราตลอด พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่มีเราจริงๆ น้ัน ไม่มี เห็นอารมณท์ ีด่ ีกต็ าม ทีเ่ ปน็ บญุ เป็นบาปก็ตาม ไมเ่ ปน็ บญุ ไมเ่ ปน็ ๘๑ดูกาย... เหน็ จิต ดจู ิต... เห็นธรรม

๘๒ พระอาจารย์อนนั ต์ อกญิ จฺ โน บาปก็ตาม ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาท้ังนั้นเลย จิตก็ว่างปล่อยวาง จากความยึดถอื ปล่อยวางอุปาทาน เมื่อปลอ่ ยวางอุปาทานไดค้ วามทกุ ข์ก็ ไมเ่ กิดขึน้ มา นน้ี กั ปฏบิ ัตติ อ้ งพยายามตอ้ งมคี วามเพยี รพยายาม ท่มี นั จะ ยากลำ�บากน้ันกค็ อื การจะมาฝกึ จติ ของเรา ในเบอื้ งต้นส�ำ รวมกาย วาจา เป็นศีล เมื่อตัวน้ีเราสำ�รวมได้ดีแล้วก็มาฝึกจิตให้เกิดสมาธิ สมาธิท่ีฝึก ดแี ลว้ กเ็ กดิ ปญั ญา หรอื วา่ ปญั ญากอ็ บรมจติ ใหเ้ กดิ สมาธกิ อ่ น วธิ กี ารทจี่ ะ พจิ ารณาปญั ญาอบรมจติ ใหเ้ กดิ สมาธนิ น้ั กค็ อื การทเ่ี ราเจรญิ ในกรรมฐาน กม็ อี นิจจัง ทกุ ขงั อนัตตาน้เี ปน็ อารมณ์ เปน็ ตทังควมิ ตุ ติ มองทุกสง่ิ ทุก อยา่ งนนั้ เป็นสมมติทงั้ นัน้ เลย เห็นเปน็ เรอื่ งของสมมติ ถ้าเราเห็นเรือ่ งของสมมตกิ ็เปน็ วิมตุ ตเิ กดิ ข้นึ มาในใจ ไมย่ ดึ มัน่ ถือม่ัน จติ ก็ไม่ไปยดึ ในอารมณ์ ไมห่ ลงในอารมณ์ ไมห่ ลงโลก หลวงพอ่ ชาทา่ น เทศน์มาพิจารณาดจู ติ เราหลงในอารมณ์นั้นก็ไปหลงโลก ถ้าจิตไมห่ ลงใน อารมณ์ก็เหมือนน้าํ น้าํ เป็นนํา้ ที่ใสเราเอาสเี หลอื ง สเี ขยี ว สแี ดง สดี �ำ ใส่ ไปนํ้าก็เปล่ียนไปตามนั้น แต่เม่ือเราแยกสีทั้งหลายออกมาได้นํ้าก็ยังคง เปน็ นาํ้ ใสตามธรรมชาติ เหมอื นอยา่ งอารมณท์ เ่ี ขา้ มายอ้ มใจของเรากเ็ ปน็ อยา่ งนน้ั ยอ้ มใจของเราใหเ้ กดิ ความโลภบา้ ง ความโกรธ ความหลง ความ รัก ความชงั ความเกลียด ความกลวั บ้าง แลว้ ก็เกดิ ดบั ไป ความสขุ ทย่ี ิ่งใหญท่ สี่ ุดก็คือ “ความสงบของจิต”

แตเ่ มอ่ื อารมณเ์ ขา้ มาอกี จติ กเ็ ขา้ ไปยดึ อกี อยอู่ ยา่ งนแี้ หละ เปน็ ภพเปน็ ชาติ เปน็ วฏั สงสาร เป็นสขุ เปน็ ทกุ ข์ ขน้ึ สวรรคต์ กนรกอยอู่ ย่างน้แี หละ ในวันหนงึ่ เกิดข้ึนหลายชาติเรียกวา่ เกดิ ทางจิต เกดิ ขนึ้ ทางกายก็หลายปี เกดิ ขนึ้ ทางจติ นมี้ นั เรว็ มาก เมอ่ื เราใชป้ ญั ญาอบรมจติ ของเราใหเ้ กดิ สมาธิ ขึน้ มา เหมอื นกับเราละกิเลสไปไดใ้ นบางส่วนใจโลง่ โปร่งสบาย มองเห็น ความรูส้ ึกของเราที่เป็นตัวเปน็ ตนท่ีมนั หลงอย่กู ็เห็นชดั แล้วเมอื่ เรานี้ฝกึ อยา่ งนีแ้ ลว้ จิตกม็ สี มาธิเกิดขึน้ มา กพ็ จิ ารณาอีกครัง้ หนง่ึ ในรปู ในนามจะ เหน็ ชดั เจนขนึ้ เห็นกายนสี้ ักแต่ว่ากาย จิตสักแต่วา่ จิต ธรรมทเี่ กดิ ข้ึนก็ เห็นสักแต่ว่าธรรมเท่านน้ั แหละ คอื เราไม่ไปยึดวา่ เป็นตวั เป็นตนทั้งหมด ทัง้ เรือ่ งของเวทนาด้วย เมอ่ื เราไม่ยดึ เปน็ ตวั เปน็ ตนมนั กว็ ่างใจกว็ า่ ง ใจ วา่ งเรยี กวา่ เปน็ วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ เมอ่ื ใจวา่ งมากๆ เขา้ เกดิ ความรขู้ น้ึ มาเปน็ ภาวนามยปญั ญา กเิ ลสทีร่ ้อยรัดจิตใจอยูม่ ันก็ขาดลงไปได้ เห็นชดั ไป... ขาดไป ขาดไป ขาดไปจนว่าเข้าใจชดั เปล่ียนความเห็นเดิมทเี่ หน็ วา่ เป็น ตัวเราของเรา ก็เหน็ แลว้ ไม่ใช่เรา เหน็ อย่างน้ีเรากเ็ ห็นธรรม เมอ่ื บุคคล ใดเห็นธรรมบุคคลน้ันก็เห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุคคลใด เหน็ ธรรมบุคคลนนั้ จะเหน็ เราตถาคต กเ็ หน็ พระพุทธเจ้าในจติ ใจของเรา บคุ คลใดเห็นธรรมเหน็ พระพุทธเจา้ บคุ คลนน้ั เปน็ พระสงฆ์ จะเป็นภิกษุ ภกิ ษณุ ี สามเณร ญาติโยมกต็ าม กเ็ ปน็ สมมตกิ อ่ นยงั ไมเ่ ปน็ พระทแ่ี ทจ้ รงิ ต้องมาปฏบิ ตั กิ อ่ นจะเห็นธรรมก็เปน็ พระ ญาติโยมก็เปน็ พระได้ ถ้ามาปฏบิ ัติในศลี สมาธิ ปญั ญานี้ใจกจ็ ะบริสทุ ธผิ์ อ่ งใสเป็นพุทธะขน้ึ มา แตเ่ ปน็ พทุ ธะทร่ี ตู้ ามค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ ปฏบิ ตั ติ ามกเ็ รยี กวา่ เปน็ สาวกของพทุ ธะ ความเปน็ พทุ ธะนก้ี ค็ อื เกดิ ความรขู้ นึ้ มา ตน่ื ขน้ึ มาแลว้ นนั้ เองแหละ จนเกดิ ความร้เู ต็มแล้วบรรลุแลว้ ก็เปน็ พทุ ธะที่สมบูรณ์ หลวง พอ่ ชาจงึ บอกวา่ พระพุทธเจา้ จะเกดิ ขึ้นที่ประเทศไทยไม่ไดห้ รือ ก็คงเปน็ ๘๓ดกู าย... เหน็ จติ ดจู ิต... เหน็ ธรรม

๘๔ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกิญฺจโน ความหมายที่จิตท่ีมีธรรมะอยู่เต็มแล้วน่ันเอง เราไปประเทศอินเดียไป กราบพระพุทธเจ้าก็เห็นสถานที่ต่างๆ นั้น ที่พระองค์ได้ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน หรือว่าเสด็จประทับอยู่ในที่ต่างๆ เพือ่ เราจะไดร้ ะลกึ น้อมเปน็ อนุสติ ระลึกในคุณของพระพทุ ธเจ้า ในคณุ พระธรรมเจา้ ในคุณของพระสังฆเจ้าใหจ้ ิตของเราสงบ เปน็ ตทงั ควมิ ตุ ติ บา้ ง เปน็ วิขมั ภนวมิ ตุ ตบิ า้ ง ได้มาปฏิบตั ิใหม้ ากเจริญใหม้ ากข้นึ ในค�ำ สอน เกดิ ปญั ญาก็เปน็ สมุจเฉทวิมตุ ติเกดิ ขึ้นมา รจู้ กั ทพี่ ระองคส์ อนใหป้ ลอ่ ยวางในรปู ในนาม พจิ ารณารปู นามนนั้ เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ในรปู ในนามนน้ั ใจกว็ า่ ง การปฏบิ ตั ิ น้ันเราก็ต้องมาปล่อยวางนั่นเอง ปฏิบัติให้สั้นที่สุดเร็วท่ีสุดก็คือความ ปล่อยวาง ไม่ยึดมัน่ ถือมนั่ ในสง่ิ ใด ยึดมน่ั ถอื มัน่ ในสงิ่ ใดก็เป็นทุกข์ ถ้า เราไมย่ ึดมั่นถือมน่ั แลว้ ก็พ้นจากความทกุ ข์นอ้ ยใหญ่ได้

เพราะวา่ ขนั ธน์ ้เี ราไปยดึ ตรงไหนกท็ ุกข์ทัง้ นั้นเลย ท่านเปรียบเหมอื น กบั กอ้ นเหลก็ ทแ่ี ดงๆ จบั ไปดา้ นบนกร็ อ้ น ดา้ นลา่ งกร็ อ้ น ดา้ นขา้ งกร็ อ้ น ดา้ นไหนกร็ ้อนทง้ั นั้นเลย ในขันธท์ ้ังห้าน้ี เมื่อเราไม่ไปยดึ ความทกุ ข์ก็ไม่ เกิดขึ้นมา กข็ อให้เรานนั้ พยายามปฏิบัติ มีศลี แล้วกพ็ ยายามเจริญซงึ่ สติ สมาธขิ องเรากพ็ จิ ารณาใหเ้ กดิ ปญั ญา หรอื ปญั ญาพจิ ารณาใหเ้ กดิ สมาธขิ นึ้ มาจนเกิดความรู้รอบหรือรอบร้ขู ึน้ มา ต้องอาศัยศรัทธา ความเชอื่ ความ เลอื่ มใสในค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ กป็ ฏบิ ตั ติ าม เรากจ็ ะพน้ จากความ ทุกข์น้อยใหญ่นั้นได้ด้วยความเพียรพยายามของเรา ขอให้ตั้งใจกันทุก คน... ธงชาติธเิ บต ธงชาติธิเบต เรมิ่ ปรากฏการใช้เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๕ โดย ตราแผ่นดนิ ธิเบต ดาไลลามะองคท์ ี่ ๑๓ แหง่ ธเิ บต ทรงออกแบบขนึ้ โดยรวม เอาธงประจ�ำ กองทพั ของชาวธเิ บตในทกุ เขตแขวงมาสรา้ ง ข้ึนเปน็ ธงเดียว ดงั ท่ีปรากฏในปจั จุบนั ธงนี้ได้ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพชาวธิเบต ทั้งหมดมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ เน่ืองจากกองทัพ ปลดปล่อยประชาชนจีนได้บุกเข้ายึดครองธิเบต และ สถาปนาดินแดนแห่งนี้เป็นเขตปกครองตนเองพิเศษของ สาธารณรัฐประชาชนจนี ในปัจจุบัน ธงน้ียังคงใช้เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาล ธิเบตพลัดถ่ิน ซ่ึงต้ังมั่นอยู่ที่เมืองธรรมศาลา ประเทศ อินเดีย ส่วนในสาธารณรัฐประชาชนจีนซ่ึงรวมถึงเขต ปกครองตนเองธิเบตในปัจจุบัน ถือว่าเป็นธงนอก กฎหมาย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการเรียกร้อง เอกราชของชาวธิเบต ดูกาย... เห็นจติ ดจู ติ ... เหน็ ธรรม

๘๖ พระอาจารย์อนันต์ อกญิ จฺ โน “ ใจเราน่เี องไปปรงุ แต่งส่ิงทงั้ หลาย สง่ิ ท้งั หลายก็เป็นธรรมชาตอิ ยู่ เราจะชอบใจหรอื ไม่ ชอบใจเขากธ็ รรมดาอยอู่ ยา่ งนี้ เปน็ ท่ีใจเรา ถา้ เรารจู้ กั กร็ จู้ กั ออ้ … ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งกเ็ ปน็ สมมติ ”ทั้งนั้น ถา้ เข้าใจแบบนี้เรากเ็ ห็นธรรมะ

สมมติ... สนทนาธรรมกบั ภกิ ษณุ ี ๘ ตุลาคม ๒๕๔๘ พระอาจารย์อนันต์ : มาอยู่ท่นี ี่เจด็ วนั แล้วมคี วามรูส้ ึกอยา่ งไร สบาย ดีไหม ภกิ ษุณี : รสู้ ึกดี พระอาจารยอ์ นันต์ : สบายใจไหม ภิกษุณี : รสู้ ึกโชคดีท่ีได้มาอยทู่ ่ีนี่ พระอาจารยอ์ นนั ต์: มอี ะไรขดั ขอ้ งไหมอยวู่ ดั มาบจนั ทรน์ ่ี เรอ่ื งทพ่ี กั อาหาร อากาศ ธรรมะ ภิกษณุ ี : อากาศแยม่ าก (ร้อน) หัวเราะ… อยทู่ ่ีโนน่ เย็นสบาย พระอาจารยอ์ นนั ต์ : อยูท่ ่ธี รรมศาลาอากาศเยน็ อยอู่ เมริกากอ็ ากาศ ๘๗ดกู าย... เหน็ จติ ดจู ิต... เหน็ ธรรม

๘๘ พระอาจารยอ์ นันต์ อกญิ จฺ โน เยน็ อย่เู มอื งไทยก็รอ้ นหนอ่ ย มอี ะไรขดั ขอ้ งกบ็ อก เจ็บปว่ ยอะไรกบ็ อก ด้วย ไมส่ บายกายไม่สบายใจกบ็ อก ภิกษุณี : ปญั หาทอี่ ยู่ในจิต บางอย่างกบ็ อกไม่ได้ พระอาจารยอ์ นนั ต์: เปน็ เรอ่ื งธรรมดาตอนนเ้ี รากจ็ บั สมมตอิ ยา่ งหนงึ่ เราไปเรียนสมมติมาอีกอย่างหนึ่ง ไปบวชอยู่ในป่าอย่างมหายานเป็นปีก ขวาก็ได้ ตอนนม้ี าเถรวาทก็ข้ามมาทางน้ีข้ามมาอีกฝัง่ หน่ึงเลย ตวั นกมัน กเ็ หมอื นวา่ มปี กี ซา้ ยกบั ปกี ขวา มหายานเถรวาทอาจจะมคี วามแตกตา่ งกนั อยู่ แตก่ เ็ ปน็ ความตา่ งในพระพทุ ธศาสนาเดยี วกนั ถงึ จะสมบรู ณ์ พระพทุ ธ ศาสนามที งั้ มหายานและเถรวาทถงึ จะสมบรู ณ์ มแี ตเ่ ถรวาทอยา่ งเดยี วก็ไม่ สมบรู ณ์ มมี หายานอยา่ งเดยี วก็ไมส่ มบรู ณ์ ตอ้ งมที ง้ั สองเกดิ ประโยชนต์ อ่ ผทู้ มี่ จี ติ เลอื่ มใสศรทั ธา พทุ ธศาสนาจะไดม้ แี นวปฏบิ ตั กิ ว็ า่ จะชอบปฏปิ ทา อยา่ งไรกจ็ ะได้ท�ำ อยา่ งน้นั ก็บรรยายธรรมก็หลายวันแล้ววันนี้ก็จะได้สนทนาธรรมบ้าง แลก เปล่ียนความคดิ ความเหน็ มีความคดิ ความเหน็ อย่างไร มีความเข้าใจแค่ ไหน มอี ะไรทีจ่ ะตอ้ งสอบถามก็จะไดส้ นทนา พระอาจารยอ์ นนั ต์: เคยเหน็ แต่ในสารคดที เี่ ขาท�ำ อยา่ งน้ี “พระธเิ บต ตีมอื เวลาถามปญั หา” เขาเรยี กว่าอะไร ภาษาอังกฤษเรยี กว่าอะไร DEBATE : การถามตอบกันแบบตรรกะวิพากษ์ของทางธเิ บต ฝา่ ยหนง่ึ จะ ยนื ถามแบบเอาจริงเอาจงั พร้อมกับการตมี อื ใส่กนั และตง้ั คำ�ถาม ฝ่ายทีต่ อบก็ จะนั่งตอบ จะถามกนั ละเอียดในเร่ืองทีศ่ ึกษามา ต้องเตรียมตวั ตอบมาอยา่ งดี

ภิกษุณี : เรยี กวา่ DEBATE พระอาจารย์อนนั ต์ : แปลวา่ อะไร ภิกษุณี : แปลว่าถกเถียงกัน ตรรกะวิพากษ์กัน ถกเถียงกันด้าน ปญั ญา ถกเถียงกนั ให้เกิดปญั ญา มีการถามมีการตอบ ปจุ ฉา วสิ ชั นา… เม่ือวานอาจารย์เทศน์เร่ืองเกี่ยวกับศาลา ท่ีเราเห็นศาลาว่าเล็กหรือ ใหญ่แต่จริงๆ ไม่มเี ป็นสมมติ ขอขยายความ พระอาจารยอ์ นนั ต์ : คือศาลาหลงั หนึง่ น้เี ขาก็ไม่รู้วา่ เขาเปน็ ธาตดุ นิ เอาอิฐ ก้อน หนิ ดิน ทราย เอาปูนมาท�ำ นีเ่ ขาไมร่ ูเ้ ลยวา่ เขาเป็นศาลา เอา มาทำ�อะไรก็ได้แต่ว่าคนเราเรียกว่าศาลา แล้วตัวเขาก็เป็นธาตุไม่รู้หรอก จะมีขนาดไหนเขาไม่รู้เร่ือง แต่มนุษย์เรามีความรู้สึกข้ึนมาเองว่าศาลาน้ี เลก็ ศาลานี้ขนาดกลางๆ ศาลานี้ใหญ่ ถ้าเราตอ้ งการคนมามากๆ เต็ม ศาลา ตอ้ งการใหค้ นเตม็ ศาลามากกวา่ ศาลาหลังน้ี เรากบ็ อกวา่ ศาลาหลัง นีม้ ันเลก็ ไปแล้วกจ็ ะปรุงแตง่ ว่าอยากใหม้ ันใหญๆ่ ความหมายก็คอื ใจเรา นเี่ องไปปรุงแตง่ สงิ่ ท้งั หลาย สงิ่ ท้ังหลายก็เปน็ ธรรมชาติอยู่ เราจะชอบใจ หรอื ไมช่ อบใจเขากธ็ รรมดาอยอู่ ยา่ งนน้ั เปน็ ท่ีใจเรา ถา้ เรารจู้ กั กอ็ อ้ … ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งกเ็ ปน็ สมมติทงั้ น้นั ถ้าเข้าใจตรงน้ีเรากเ็ ห็นธรรมะ เข้าใจไหม พอเขา้ ใจไหม ภกิ ษณุ ี : ทเ่ี ราสร้างความคิดในสมมติ จะเกยี่ วกับกรรมอยา่ งไร พระอาจารย์อนนั ต์ : เมอื่ เรามสี มมติ เมอ่ื เรามเี รา เมอื่ มีการกระทำ� ทางกาย ทางวาจา ทางใจ อนั นกี้ เ็ ป็นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ของเรา แตถ่ า้ เราพจิ ารณาไมม่ เี ราแลว้ กายกรรม วจกี รรม มโนกรรมนนั้ ก็ เปน็ กริ ยิ าไป ไม่ไดเ้ ปน็ กรรม เพราะมนั ไมม่ เี รา ในอดตี ก็ไมม่ เี รา ปจั จบุ นั ก็ ไมม่ เี รา อนาคตก็ไมม่ เี ราอนั นนั้ กเ็ รยี กวา่ จติ ของเรานน้ั รจู้ กั แลว้ เหน็ ธรรมะ แตถ่ า้ ยงั มเี ราอยู่ เราน้ันกเ็ คยทำ�กรรมไวใ้ นอดีต เราทำ�กรรมปัจจุบัน เรา ๘๙ดกู าย... เห็นจติ ดจู ิต... เหน็ ธรรม

๙๐ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ จฺ โน ท�ำ กรรมอนาคตเปน็ อยา่ งนน้ั กรรมนกี้ จ็ งึ สอนในเบอื้ งตน้ ซะกอ่ นใหค้ นเรา น้นั เชือ่ เรอ่ื งกรรม เพอื่ ท่จี ะไดล้ ะกรรมท่ีไมด่ ีสร้างกรรมท่ดี ี ตวั กเิ ลสนนั้ เป็นเหตใุ ห้เราได้สรา้ งกรรม เมอ่ื เราสรา้ งกรรมกจ็ ะมวี บิ าก ตวั วิบากน้นั ก็จะท�ำ ใหเ้ กดิ กเิ ลสขึน้ อกี กิเลสก็จะสรา้ งกรรมก็จะหมนุ อยูอ่ ย่างน้ี เปน็ กเิ ลส กรรม วบิ าก คราวนเ้ี มอื่ เราพจิ ารณาในรปู ในนามนน่ั แหละ เหน็ เปน็ สง่ิ ที่สมมติทั้งนั้นแหละ เราเรยี กวา่ เราจะตดั กเิ ลส กรรม วิบาก นแี่ หละ ทำ�ใหม้ ันหมนุ แตเ่ มอื่ เราพิจารณาเห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา แลว้ ก็จะ ตัดกระบวนการไม่ใหเ้ กิดกิเลส เมอ่ื กเิ ลสไมเ่ กิด การทำ�กรรมไม่มี วิบาก กรรมไม่มี วัฏสงสารกจ็ ะสนั้ ลง ภกิ ษณุ ี: เมอื่ เราเหน็ ศาลาความหมายอนั นวี้ า่ เปน็ ศาลา คอื อาศยั กรรม ท่เี ราเคยสรา้ ง เราจะดูโลกเป็นอยา่ งนเี้ ปน็ อย่างนี้ มีช่ือ มีความหมายท่ี อาศัยกรรม คือมนุษย์คงเป็นอย่างนี้ แต่สัตว์เดรัจฉานเขามีกรรมอย่าง อื่น เขาจะเห็นอยา่ งอน่ื พระอาจารยอ์ นันต์ : คือเป็นส่ิงทส่ี มมติน่ันเอง เปน็ ส่ิงทม่ี นษุ ย์สรา้ ง ขึ้นมาแล้วก็สมมติเรียกชื่อตามภาษา ภาษาไทยก็เรียกอย่างหน่ึง ภาษา อังกฤษก็เรียกอย่างหนึ่ง ภาษาธิเบตก็เรียกอย่างหน่ึง แต่ละภาษาก็มี สมมติเรยี กกันให้เขา้ ใจว่าอนั น้หี มายความว่าอะไร แต่จรงิ ๆ แล้วส่ิงนั้น เขาไม่ไดเ้ ป็นอย่างน้นั เขากเ็ ป็นธาตตุ ามธรรมชาติ มสี ภาวะเป็นอนิจจัง ทุกขงั อนัตตา เม่ือเรารู้ว่าเปน็ อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา แลว้ เราจะเข้าใจ ตามความเป็นจรงิ ของรปู วัตถทุ ั้งหลาย ภกิ ษุณี : สมมติท่ีเราสรา้ งในใจนี้ เราเห็นโลกอย่างนี้ เป็นมโนกรรม หรอื ไม่ พระอาจารยอ์ นนั ต์ : เมอื่ เรามคี วามคดิ มคี วามคดิ กเ็ ปน็ มโนกรรมทงั้ นนั้ ถา้ เราไปยดึ ในความคดิ กก็ ลายเปน็ วา่ ความคดิ เปน็ เรา กเ็ ปน็ มโนกรรม

ทนั ที แตเ่ มอ่ื มคี วามคิดมีสตปิ ญั ญาด้วย เห็นความคิดเป็นอนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา เรากจ็ ะไม่ให้เกิดกิเลสก็จะไม่เปน็ กรรม เราจะต้องมีสตริ เู้ ท่าทัน ในความคดิ เมอื่ คดิ แล้วก็ร้วู ่าอันน้ีก็ปล่อยวางความคิด ถา้ ไปยดึ ความคิด เมอื่ ไรกเ็ ป็นกรรม เมือ่ เราคิดด้วยความเมตตากเ็ ป็นกรรมฝ่ายดี คดิ ชว่ ย เหลือสัตว์ คดิ ในการเทศนส์ อน คิดในการเผยแผ่ ก็เป็นกรรมฝ่ายกศุ ล ก็ เป็นบุญอนั หนงึ่ ภกิ ษณุ ี : ในเรอื่ งอนตั ตาเราพจิ ารณาขนั ธห์ า้ เปน็ อนตั ตาเขากจ็ ะเขา้ ใจ ว่าไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่เป็นตัวตนเราเขาเป็นอนัตตา แต่ถ้าเราบอก ว่าศาลาเป็นอนัตตา มันจะมีความหมายอย่างอื่นหรือความหมายอย่าง เดียวกันหรือไม่ พระอาจารย์อนันต์ : อนั เดียวกนั วา่ รปู วตั ถุหนงึ่ นี้กม็ ีธาตสุ ี่ ร่างกาย เรานก้ี เ็ ป็นธาตสุ ี่ ส่ิงของภายนอก รูปข้างนอกเป็นวตั ถุสงิ่ ของ อันน้ีไม่มี วญิ ญาณครอง คนนม้ี วี ญิ ญาณครอง สตั วม์ วี ญิ ญาณครอง แตก่ เ็ ปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตาเหมอื นกัน ภกิ ษณุ ี: ถา้ เราจะพจิ ารณาศาลาเปน็ อนตั ตา มคี วามหมายเปน็ อยา่ งไร พระอาจารยอ์ นันต์ : มีความหมายว่าเราจะพจิ ารณาในวตั ถุทงั้ หลาย ในโลกนี้ ที่เรารู้จักท่ีเราใช้สอยอยู่น้ีให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อเราจะไม่ยึดถือไม่ให้เกิดกิเลส ไม่ให้เกิดความยึดถือในวัตถุส่ิงของ นั้น ไมม่ ีส่ิงที่ดี และไมด่ กี เ็ ทา่ ๆ กันนแี้ หละพจิ ารณาอยา่ งน้ี เหมอื นเรา พจิ ารณา ยะถาปจั จะยงั ปะวตั ตะมานงั ธาตมุ ตั ตะเมเวตงั ยะททิ งั จวี ะรงั อยา่ ง น้ี จวี ร อาหาร บณิ ฑบาต เสนาสนะ เภสชั เปน็ สกั วา่ ธาตตุ ามธรรมชาติ เปล่ียนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ ทั้งคนใช้ด้วย ทั้งจีวร บาตร เสนาสนะ เภสัชกส็ ักแต่วา่ ธาตุเทา่ นน้ั เอง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ภกิ ษุณี : การสร้างสมมติในใจอยา่ งไหนเปน็ มโนกรรม (เปรียบเทียบ ๙๑ดูกาย... เห็นจติ ดจู ิต... เห็นธรรม

๙๒ พระอาจารย์อนันต์ อกิญฺจโน กับจติ ทส่ี ร้างสมมติ กบั ภพอ่ืน เช่น เทวดา พญานาค) พระอาจารย์อนันต์ : เอาเฉพาะภพมนษุ ย์จะว่ายงั ไง อย่าไปเปรียบ เทียบว่าพวกนาคเห็นยังไงมันคนละอย่างกัน เอาเป็นว่ามนุษย์เห็นแล้ว เกิดกิเลสไหม ถ้าเราเห็นแล้วเป็นว่าเรายึดถือน้ีมันจะเป็นสมมติแล้วจะ เกดิ กเิ ลส ถา้ เราเหน็ เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาแลว้ จะไมเ่ กดิ กเิ ลส ความ หมายเป็นอย่างน้ัน ถ้าเกิดเราเห็นว่าศาลามันเล็กไปแล้วเกิดความอยาก ขน้ึ มาแลว้ มนั กจ็ ะเกดิ กเิ ลส เปน็ ความหมายสมมตขิ นึ้ มาวา่ สง่ิ เหลา่ นเ้ี ปน็ สมมติเท่านั้นเอง ถ้าเห็นอย่างนี้มันก็เห็นว่าทั้งโลกเป็นสิ่งสมมติ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาท้ังหมดจะเห็นอย่างนั้น เราก็จะเข้าใจเรื่องของ วัตถุส่ิงของข้างนอก เข้าใจในเร่ืองของรูป เราก็จะเข้าใจก็จะปล่อยวาง ดว้ ยปัญญา ภิกษุณี : พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะว่าจะละวางอุปาทานความยึดถืออันนี้เข้าใจ คือถ้าเราจะพิจารณา วา่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เปน็ อนจิ จัง เป็นอนตั ตา เป็นทุกข์ ได้ ไหม

พระอาจารย์อนันต์ : คำ�ว่าเป็นทุกข์น่ีไม่ใช่เป็นแบบทุกข์ใจ คำ� ว่าทุกขังน้ีแปลว่าทนอยู่ไม่ได้คืออยู่สภาวะท่ีคงทนไปไม่ได้ มีความ เปล่ียนแปลง เมอ่ื เราเห็นวา่ รปู ก็ดี นามก็ดี รปู ท่สี มมตวิ ่าเป็นพระสงฆก์ ็ มีความเปลีย่ นแปลง อนจิ จังไม่เทีย่ ง ทกุ ขงั ทนไม่ได้ อนัตตาหาเป็นตัว ตนแท้จรงิ ไม่ได้ คือเราจะไมย่ ดึ ม่ันถอื ม่นั นั้นเอง ภิกษุณี : ท่ีท่านอาจารยว์ า่ ทกุ ขงั คอื ลักษณะทีท่ นอยู่ไม่ได้ เข้าใจวา่ น่าจะเป็นลกั ษณะของอนจิ จัง พระอาจารยอ์ นนั ต์ : มนั จะต่อเนื่องกัน อนิจจังคือความไม่เทย่ี ง สิง่ ทที่ �ำ ใหเ้ ราไมเ่ หน็ ความไมเ่ ทยี่ งกค็ อื ความสบื ตอ่ ถา้ มคี วามสบื ตอ่ กจ็ ะเหน็ วา่ เทยี่ ง เรากพ็ จิ ารณาอนจิ จงั ทกุ ขงั คอื ทนอยู่ไม่ได้ มนั จะอยตู่ ลอดไปไม่ ได้ เราจะนงั่ นานๆ ไม่ได้ ทกุ อยา่ งทนไม่ไดต้ อ้ งเปลยี่ นแปลง นค้ี อื สภาวะ ทวี่ า่ ทกุ ขงั อริ ยิ าบถมนั บงั ทกุ ขงั เอาไว้ คอื เรานงั่ นานกเ็ ปน็ ทกุ ขเ์ ราก็ไปยนื ยนื นานก็ไปเดนิ เดนิ นานก็ไปนอน มันเปลย่ี นแปลงไป อริ ิยาบถมนั บงั เอาไวบ้ งั ทกุ ขงั ความเปน็ กลมุ่ เปน็ กอ้ นรวมกนั มนั บงั ความเปน็ อนตั ตาไว้ ถา้ เราแยกไม่ให้เป็นกลมุ่ เปน็ กอ้ นก็เปน็ อนตั ตา มันต่อเน่ืองกัน ส่ิงใดไม่ เท่ยี งสง่ิ นน้ั กเ็ ป็นทุกข์ ส่ิงใดเป็นทุกข์ ก็เป็นอนัตตา ภกิ ษณุ ี : ทีท่ ่านอาจารย์บอกวา่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆน์ ้เี ปน็ ทกุ ขังดว้ ยคอื ทนอยู่ไม่ได้ ยงั ไมค่ อ่ ยเข้าใจ พระอาจารยอ์ นันต์ : แล้วเราเข้าใจว่าพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอยา่ งไร ภิกษุณี : เข้าใจว่าพระพทุ ธเจา้ คอื จิตท่เี ป็นพทุ ธะ ไม่ใช่พระพทุ ธเจา้ ทีเ่ กิดทีอ่ นิ เดยี คอื จติ ท่เี ปน็ พุทธะทีม่ คี วามรู้ไม่มขี อบเขต พระธรรมคือ การตรสั รู้ ทจี่ ะรนู้ ิโรธและมรรค พระสงฆค์ อื พระอรยิ สงฆท์ ี่ไดบ้ รรลธุ รรม (คือจิตใจของผทู้ บ่ี รรลธุ รรม) ๙๓ดูกาย... เห็นจิต ดจู ิต... เห็นธรรม

๙๔ พระอาจารยอ์ นนั ต์ อกญิ จฺ โน พระอาจารยอ์ นันต์ : หมายถงึ จติ ของพระสงฆท์ ่ีได้บรรลธุ รรมท่ีได้ เห็นธรรมนัน้ คอื ทา่ นกพ็ ิจารณาตามธรรมะตามคำ�สอนของพระพุทธเจ้า สอนวา่ รปู กด็ ี เวทนากด็ ี สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณกด็ อี นั นี้ไมเ่ ทยี่ งเปน็ ทกุ ข์ แลว้ ก็ไม่ใชต่ วั ไม่ใชต่ นตามทพี่ ระพทุ ธเจา้ สอน ทา่ นกพ็ จิ ารณาในขนั ธห์ า้ น้ี แหละแลว้ กป็ ลอ่ ยวางในขนั ธห์ า้ นนั้ แลว้ จติ ของทา่ นทวี่ า่ เปน็ พระสงฆน์ น้ั มีความรคู้ วามเหน็ ก็ไมย่ ดึ ถอื อีก ไมย่ ึดถือในความร้คู วามเห็นอีกก็ปล่อย ใหเ้ ปน็ ความบรสิ ทุ ธล์ิ ว้ นๆ เปน็ อนตั ตา ความทจ่ี ติ พจิ ารณากค็ อื เปน็ ความ วา่ งนนั่ เอง เพราะวา่ ทา่ นก็ไมย่ ดึ ถอื ในสงิ่ ภายนอกดว้ ย ในสง่ิ ภายในดว้ ยวา่ เปน็ ตวั ตน กเ็ ปน็ ความวา่ ง เรากพ็ จิ ารณาทง้ั รปู ทง้ั นามกเ็ ปน็ ความวา่ ง เรา ก็ต้องพิจารณาอย่างน้นั ถา้ เราพิจารณารูปนามเป็นความวา่ ง เราจะเข้าใจ ในเรือ่ งวา่ พิจารณาพระสงฆอ์ ย่างไร พจิ ารณาพระธรรมอย่างไร พจิ ารณา พระพทุ ธเจ้าอย่างไร ภิกษุณี : เราจะเข้าใจว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นทุกข์ อยา่ งไร ถา้ เรายังปฏบิ ัติไม่ถึงกจ็ ะเขา้ ใจไม่ได้ พระอาจารยอ์ นนั ต์ : เหมอื นกับวา่ อยา่ งน้ี พระอรหนั ตต์ ายแล้วไป ไหน พระสารบี ตุ รถามพระปณุ ณมนั ตานบี ตุ รวา่ ถา้ มคี นถามวา่ พระอรหนั ต์ ตายแลว้ ไปไหน ท่านจะตอบเขาว่าอยา่ งไร พระปุณณมนั ตานีบุตรกต็ อบ ว่ารปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เกิดขน้ึ แล้วกด็ บั พระอรหันต์น้ี ตายแลว้ ก็ไม่ไปไหนมาไหน เพราะวา่ พระนพิ พานมอี ยู่ แตผ่ ทู้ เ่ี ขา้ นพิ พาน ไมม่ ี น่ันคอื ความว่าง พระพทุ ธเจา้ คอื ความวา่ ง พระธรรมเจา้ ก็คือความ วา่ ง พระสังฆเจา้ ก็คือความวา่ ง ถ้าเราพิจารณาสรรพสง่ิ เป็นความว่าง จิต ของเราก็จะเห็นความว่างจะถึงความว่างได้ เม่ือถึงตรงน้ันได้ก็เป็นอัน เดยี วกัน เราก็ไมต่ อ้ งไปพจิ ารณาพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์เป็น ความว่างหรอก เพยี งแต่เราพิจารณารูปนามเป็นความว่าง ใจของเราจะ

ว่างจากอปุ าทานจะเขา้ ใจ... แลว้ ตอนนเี้ ราพิจารณา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆอ์ ย่างไร ภกิ ษณุ ี : มกี ารพิจารณาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นความว่าง ถา้ จะพจิ ารณาอนจิ จงั คอื จติ ทบ่ี รรลธุ รรมไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง หรอื วา่ เรา จะพิจารณาทกุ ขังคอื เข้าใจว่าเป็นสิง่ ทเ่ี ปน็ ความทุกข์เราตอ้ งการละ พระอาจารย์อนันต์ : อนั นั้นมันเปน็ ทุกขอรยิ สัจจ์กค็ อื เราจะละใน ทุกขอริยสจั จ์ แต่คำ�ว่าทกุ ขงั นมี้ นั เป็นการเดนิ มรรค ศลี สมาธิ ปญั ญา ตัวอนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตาน้จี ะอยู่ในตวั ที่ใหเ้ กดิ ปญั ญา ยงั ไม่ไดอ้ ยู่ในตัว ทกุ ข์ คนละอนั กนั อนั นน้ั มนั อยู่ในทกุ ขอรยิ สจั จค์ ำ�วา่ ทกุ ขน์ ี้ แตพ่ จิ ารณา ค�ำ ว่าทกุ ขน์ ี้ จะเห็นว่าอนิจจัง ทุกขงั ตวั นอี้ ยู่ในการเดินมรรคเพ่ือให้เกิด ปญั ญา แล้วจะให้เกดิ นิโรธแลว้ ความดับ ความหมายเป็นอยา่ งน้ี คอื วา่ พระพทุ ธเจา้ เป็นพทุ ธะ ไดบ้ รรลุธรรมแล้วเปน็ ผูร้ ู้ ผูต้ นื่ ผ้เู บกิ บานแลว้ เหมอื นกบั แสงสวา่ งมคี วามสวา่ งแลว้ ในใจของทา่ น คราวนเี้ มอื่ สวา่ งอยา่ ง นนั้ แลว้ ทา่ นกส็ อนวา่ วธิ กี ารทจี่ ะท�ำ ใหเ้ ราสวา่ ง ใจของเราทมี่ ดื นท้ี �ำ ใหส้ วา่ ง ว่าจะต้องท�ำ อย่างไร ทีนเ้ี ราก็ไมต่ ้องไปพจิ ารณาท่าน เราก็ไปพิจารณาวา่ ท่านสอนวา่ ทำ�ใจใหส้ วา่ งท�ำ อยา่ งไร เรากต็ อ้ งเดนิ ในอรยิ มรรคมีองค์แปด รู้จกั ทกุ ข์ สมุทยั ปฏิบตั ิในมรรค จิตของเราก็จะนิโรธ กค็ ือเราก็จะเกดิ ความปลอ่ ยวาง จิตเราก็จะสวา่ งก็จะพน้ ทุกข์ไป ความหมายก็คอื ว่าเราก็ ปฏบิ ตั ติ ามค�ำ สอนทพ่ี ทุ ธะทา่ นสอนไว้ ทา่ นแสดงไว้ พระสงฆท์ า่ นกป็ ฏบิ ตั ิ ตามค�ำ สอนนน้ั จติ ใจของทา่ นกส็ วา่ ง ละตวั ตนกส็ วา่ งแลว้ พน้ จากทกุ ข์ ถา้ เราตอ้ งการพ้นจากทุกขเ์ รากป็ ฏิบัติตามค�ำ สอน ใจของเรากส็ ว่างเหมือน กนั ไมต่ ้องไปพจิ ารณาในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ได้ ให้ปฏบิ ัติ ตามทีท่ ่านสอน... ภกิ ษณุ ี : พยักหนา้ … นา่ จะเปดิ โอกาสใหค้ นอนื่ ถามบา้ ง ถามอยูค่ น ๙๕ดูกาย... เห็นจิต ดจู ติ ... เห็นธรรม

๙๖ พระอาจารยอ์ นันต์ อกิญจฺ โน เดียว พระอาจารยอ์ นนั ต์ : ก็จะถามภิกษุณบี ้าง อย่างเร่อื งการ Debate เขาถามเรอื่ งอะไรกัน เห็นถามกนั ครั้งละหลายช่วั โมง ภิกษณุ ี : คือเปน็ การฝึกในเรอ่ื งของจนิ ตามยปญั ญา ฝึกความเข้าใจ จะไดช้ ัดเจนเรือ่ งคำ�สอน ถ้าไมเ่ ขา้ ใจคำ�สอนชดั เจน เวลาภาวนากจ็ ะไม่ ชดั เจนแจม่ แจง้ พระอาจารย์อนันต์ : เป็นการสนทนาธรรมะให้จิตอยู่ในเร่ืองของ ธรรมะนั้นเอง ก็เกิดประโยชน์อยู่ในเร่ืองของธรรม แต่ถ้าจิตของเราไป เห็นแล้วมันไม่เห็นเหมือนกับท่ีเราไปคิดมา มันลึกซ้ึงกว่ากัน ถึงแม้ว่า เราจะได้ยินมาก็ตาม คิดมาก็ตาม หรอื ว่าเราไม่ได้ยนิ มากต็ าม แตว่ า่ ถ้า ปฏิบัติไปแล้ว ครูบาอาจารย์ทา่ นสอน จติ สงบไปแลว้ น้ันแหละเห็นมนั ก็ จะชดั เจน มนั กจ็ ะไมเ่ หมือนกบั ท่เี รามีความรมู้ าในทีแรก ไมเ่ หมอื นกนั ภิกษณุ ี : ทางในการปฏิบัติของธิเบตก็เหมอื นกนั การศึกษาเพ่ือว่าจะ บรรลธุ รรมจะเหน็ ชดั เจนจริงๆ เปน็ อบุ าย พระอาจารย์อนนั ต์ : อบุ ายนน่ั แหละเหมอื นกันในเมืองไทยกม็ เี รียน ภาษาบาลี เรียนพุทธพจน์ เรยี นค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ ในพระสูตร ใน พระวนิ ยั ในพระอภิธรรมกเ็ รยี นกันอยู่ เม่ือมคี วามรแู้ ล้วก็ต้องมาปฏบิ ัติ อีกให้เหน็ ชดั ถงึ จะละความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ถ้าเรยี นอยา่ ง เดยี วศกึ ษาอย่างเดียวยังไม่ได้ ต้องมาปฏิบัติ ภิกษุณี : อาจารยข์ องภิกษุณีก็บอกอยา่ งนั้น แตว่ า่ ลกู ศิษย์ไม่คอ่ ยจะ ไดป้ ฏบิ ัติตาม ด้อื ... พระอาจารยอ์ นันต์ : เป็นธรรมดากิเลสมันดอ้ื ไม่ใชเ่ ราด้ือ เณรอารยี ์ : ถามว่าในสายพระโพธิสัตว์นนั้ ความกรณุ าเปน็ สิ่งส�ำ คัญ มาก ตอ้ งสร้างความกรุณา ตอ้ งช่วยสรรพสัตว์ ต้องชว่ ยเหลือเยอะ และ

ต้องอาศัยความกรุณาของพระโพธิสัตว์ด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ต้องอาศัยความ กรณุ าของพระโพธสิ ัตว์ (เพอื่ ให้เราเหน็ ธรรม) แต่วา่ พระพทุ ธเจา้ พระ โพธสิ ัตวท์ ี่ได้เทศนาสงั่ สอนธรรม อันนี้คือความกรณุ าของทา่ น แตว่ ่าเรา ตอ้ งฝกึ จติ เอง ตอ้ งเหน็ เองไม่ใชพ่ ระโพธสิ ตั วจ์ ะมาชว่ ยเรา(ใหเ้ หน็ ธรรม) ภกิ ษณุ ี: นกิ ายธเิ บตเนน้ เรอ่ื งความกรณุ ามคี วามสำ�คญั มาก ทกุ คนใน โลกมคี วามทกุ ข์ ทกุ ๆ คนไมพ่ น้ ทกุ ข์ใชแ่ ตเ่ ราคนเดยี ว ทกุ ขเ์ ปน็ ลกั ษณะ ของสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ใช่เราคนเดียว เรามีความคิดว่าเราต้องปฏิบัติ เพอื่ ใหพ้ น้ ทกุ ข์ ไม่ใชเ่ ราคนเดยี วแตเ่ มอ่ื เราพน้ ทกุ ขแ์ ลว้ สรรพสตั วก์ จ็ ะได้ พน้ ทกุ ขด์ ว้ ย อยา่ งมปี ระสบการณข์ องภกิ ษณุ ที เ่ี หน็ วา่ ถา้ หากเราพจิ ารณา วา่ เราเปน็ ทกุ ขม์ าก เปน็ ลกั ษณะทรี่ สู้ กึ แนน่ รสู้ กึ คบั แคน้ แตเ่ มอื่ เราคดิ ถงึ สรรพสัตว์ทั้งหลายท่ีมีทุกข์ก็จะรู้สึกกว้างออกไป ไม่รู้สึกแน่นไม่รู้สึกคับ แคบแล้วรสู้ กึ สงสาร พระอาจารย์อนนั ต์ : เป็นการเจรญิ เมตตานั่นเอง วา่ เรามที กุ ขอ์ ย่าง นี้แลว้ โอ้… สัพเพสตั ตา สัพพะทกุ ขาปะมญุ จนั ตุ ขอให้สตั ว์ทง้ั หลายท้งั ปวงจงพน้ จากทกุ ขท์ งั้ มวล คดิ อยา่ งนเี้ ราคดิ เปน็ เมตตา เปน็ กรณุ านนั่ เอง เมือ่ เราเจรญิ กรณุ าใจกเ็ ยน็ สบาย ใจสบายด้วย เพราะว่ากรุณาใหส้ ตั วท์ ัง้ ๙๗ดูกาย... เห็นจติ ดจู ิต... เหน็ ธรรม

๙๘ พระอาจารย์อนันต์ อกญิ จฺ โน หลายพ้นจากทุกข์ เราก็เปลี่ยนอารมณ์จากท่ีเราทุกข์มาคิดถึงอารมณ์ กรณุ า ใจของเรากเ็ ลยหายจากความทกุ ข์ พระเดวิด : เราจะแปลมันตรา เปน็ ภาษาอังกฤษได้ไหม พระอาจารย์อนันต์ : มันตราเกิดจากผทู้ ี่บรรลเุ ขา้ ใจความว่าง แล้ว มนั ตราจะออกเปน็ ธรรมชาตจิ ากความวา่ ง เปน็ พลงั ทแ่ี ปลไม่ได้ แลว้ ทวี่ า่ จะตอ่ บารมกี ับพระโพธิสัตว์น้นั กว็ า่ ไม่ใช่จะเป็นตวั ตนท่จี ะตอ่ กัน แต่เรา จะระลกึ ถงึ คุณธรรมของทา่ น และจะไดส้ มั ผสั พลังของทา่ น พระอจโล : รูส้ กึ ว่าในเมืองไทยกม็ ี อยา่ งคาถาหลวงปูท่ วด... พระอาจารยอ์ นันต์ : ก็คอื ท่านอธิษฐานจติ ไว้ ถ้าเราระลึกถึง (คาถา หรือมันตรา) ก็จะถงึ ทา่ น แต่วา่ ความลึกซงึ้ จรงิ ๆ อยู่ท่ีจิต ภาษากเ็ ปน็ สมมติอย่างหนง่ึ ภาษาธเิ บตก็ภาษาหนึ่ง ภาษาจีนกภ็ าษาหนึ่ง ภาษาไทย ก็ภาษาหน่งึ แตเ่ ม่ือจิตของเราระลกึ ไปแล้ว เหน็ ในคณุ ของพระโพธิสตั ว์ กถ็ งึ เหมอื นกนั ภิกษณุ ี : มนั ตราเป็นเสยี งท่ีเกดิ จากความว่าง แลว้ เปน็ อุบายสำ�หรบั ผทู้ ยี่ งั ไมถ่ งึ ความวา่ งไดถ้ งึ ความวา่ งดว้ ย ถา้ เราเขา้ ถงึ ความวา่ งแลว้ ไมต่ อ้ ง ใช้ มนั ตราเปน็ เพยี งอบุ ายทเ่ี ราจะเขา้ ใจในการปฏบิ ตั ิ หรอื เราจะคดิ ถงึ มนั ตราอยเู่ สมอ เหมือนทท่ี า่ นอาจารยส์ อนวา่ ตอ้ งปฏิบัติ พระสัญญโม : คำ�สอนเร่ืองวิปัสสนาท่ีท่านพระอาจารย์อนันต์สอน นัน้ เหมือนหรือต่างกบั ทีภ่ ิกษุณีเคยไดเ้ รยี นรู้มา ภกิ ษุณี : บางสงิ่ กเ็ หมือนกับท่ีเคยร้แู ลว้ บางสิ่งก็ต่างกนั บ้าง ทีเ่ คย ฝกึ มานน้ั เหน็ ความส�ำ คญั กบั การฝกึ ความคดิ จะไดช้ ำ�นาญในการพจิ ารณา ความใคร่ครวญด้วยความคิด แล้วถ้าช�ำ นาญในการคิดแล้ว เวลาภาวนา ปฏบิ ตั ิปล่อยความคิดแลว้ จะรู้เรว็ แล้วจะร้ถู ูกตอ้ ง และไมผ่ ดิ พระอาจารย์อนันต์ : จรงิ ๆ แล้วในการทีเ่ ราฝกึ ความคิดน้ี คือว่าให้

เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องของกาย เราฝกึ ความคดิ ใหเ้ ข้าใจความคิด ฝกึ ความ คดิ วา่ ผมก็ไม่ใช่ตวั เรา ขน เลบ็ ฟัน หนงั ไม่ใชต่ ัวเรา เรากเ็ อาผมมากอง ไวถ้ ามซวิ ่าเรามตี วั ตนไหม... ไม่มี อาการ ๓๒ มากองไว้ก็ไม่มี คอื เรา ฝึกคิดให้ช�ำ นาญ เม่ือมีอุปาทานขึ้นมายึดถือก็ฝึกความคิดว่ามันไม่ใช่ตัว เรา มนั กจ็ ะปลอ่ ยวางได้ระดบั หน่ึง แต่ถ้าเกิดว่าจิตของเราสงบแล้วเรามาพิจารณา เราก็จะเห็นชัดเจน ไปเลยถึงแม้ว่าเราไม่ได้ฝึกในความคิดมาก่อน แต่ถ้าจิตสงบมันจะเห็น ชดั เจนกวา่ กนั ไมต่ อ้ งอาศยั ความคดิ มากอ่ น แตก่ ารคดิ อนั นก้ี เ็ ปน็ เหมอื น กบั วา่ เปน็ ปญั ญาอยู่ในระดบั หนงึ่ แคน่ น้ั เราจะเดนิ มาอยา่ งนกี้ ็ได้ เมอ่ื จติ สงบกจ็ ะเหน็ ชดั เจนกวา่ ทเ่ี ราคดิ หรอื วา่ เราจะท�ำ ความสงบ แลว้ พจิ ารณา เรากจ็ ะเหน็ ชดั เจนโดยไมต่ อ้ งคดิ มากอ่ น นกั ปฏบิ ตั กิ จ็ ะคดิ อยา่ งนเี้ หมอื น กนั จะเขา้ ใจอย่างน้ี... ถา้ เราไดค้ ดิ พจิ ารณาไปมากๆ แลว้ เราจะไดบ้ รรลเุ รว็ ไดเ้ หน็ เรว็ เขา้ ใจได้ ชดั เจนในธรรม แต่ว่าจรงิ ๆ แล้ว ถา้ จติ ของเราสงบ เราจะเหน็ ไดช้ ดั เจน เปน็ ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา เราจะเห็นรูปนามน้ี คดิ ใหเ้ หน็ ไม่เห็น คิดไป ใหเ้ หน็ ชดั เจนเหน็ ไม่ได้ แตถ่ า้ จติ ของเรานงิ่ แลว้ พจิ ารณาใหเ้ หน็ ชดั เจนนี้ ได้ ผลไม้ในถาดหนึ่งมอี ยูห่ ลายชนิดยกตัวอยา่ งวา่ แอปเป้ิล เราไมร่ ูจ้ กั ชือ่ ของมนั เลยแตเ่ ราไดเ้ คยทานรสของมนั แลว้ รจู้ กั รสของมนั แลว้ วางอยู่ใน ตะกร้ากร็ จู้ ักแลว้ แตก่ ่อนเรารจู้ กั วา่ แอปเปล้ิ แต่เรายงั ไม่ไดท้ าน ไม่รู้จัก รสของมนั ภิกษณุ ี : ถ้าเรามีศรัทธาแบบตาบอดไม่เหน็ อะไร และไม่เข้าใจอะไร บางคร้งั จะเปน็ อนั ตรายตอ่ อนาคต เปน็ ศรทั ธาท่ีไม่มั่นคง แต่ว่าถ้าเราอยู่ กับอาจารย์ หรือศกึ ษาการปฏบิ ัติในระดบั หนึ่งแลว้ เราเห็น เราเข้าใจแล้ว เราเห็นว่าอาจารย์นน้ั นา่ ศรัทธา นา่ เคารพ นา่ เลอ่ื มใส เราจะไวใ้ จได้ถงึ ใน ดูกาย... เหน็ จติ ดจู ติ ... เหน็ ธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook