ก็ไม่ต่างอะไรกับวันวาน หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
ค�ำปรารภ ในชว่ งชวี ติ ของหลวงพอ่ ทา่ นไดเ้ ทศนโ์ ปรดชาวโลกทงั้ หลาย มากมายกวา่ ๕๐๐ กณั ฑ์ เราไดถ้ อดเทปออกมาจัดทำ� เปน็ หนังสือ เพอื่ วา่ คำ� สอนของหลวงพอ่ อนั มคี า่ จะไดเ้ ปน็ ประโยชนส์ งู สดุ สำ� หรบั ทกุ ทา่ น เพราะมหี ลายๆ ท่านท่ีถนดั ทจ่ี ะอา่ นมากกวา่ ฟงั จะสงั เกตไดว้ า่ หลวงพอ่ จะเทศนค์ ำ� สอนแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะ วาระ เช่น เทศน์ในงานศพ งานบุญ หรือเทศน์โปรดญาติโยม พระภิกษุ สามเณร หรอื นักปฏบิ ตั ิท่มี ุ่งตรงต่อมรรคผลนพิ พาน หนงั สอื ทจ่ี ะออกมาชดุ นจี้ ะมที ง้ั หมด ๑๐ เลม่ จะเปน็ กณั ฑ์ เทศนโ์ ปรดพระภกิ ษุ สามเณร ในชว่ งระหวา่ งปพี .ศ. ๒๕๓๗ ถงึ พ.ศ. ๒๕๔๓ ผู้จัดทำ� เหน็ ว่าเป็นประโยชนม์ หาศาลไมเ่ ฉพาะต่อนักบวช เทา่ นน้ั แตจ่ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผทู้ ห่ี วงั ความสขุ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ ในชวี ติ จนถึงผูท้ ่ีหวงั นพิ พาน ในแตล่ ะตอนของเนอ้ื หาสาระ จะมีเคลด็ ลับ และเทคนิคทีจ่ ะช่วยประติดประต่อความขอ้ งใจในขณะปฏบิ ตั ิ ซึ่ง ขณะนี้ปราศจากหลวงพอ่ ท่ีจะเป็นผู้ตอบค�ำถาม หนงั สอื ทง้ั ๑๐ เลม่ นี้ ไดร้ วบรวมมาจากการถอดเทปหลาย มว้ นดว้ ยกนั ตงั้ ชอ่ื เสยี ใหม่ ซงึ่ ฟงั แลว้ อาจสะดดุ ใจผอู้ า่ นอยบู่ า้ ง แต่ เน้ือหาสาระจะยังคงเป็นค�ำสอนของหลวงพ่อทูลอยู่อย่างสมบูรณ์ ลองอา่ นดสู กั นดิ คณะผจู้ ดั ทำ� ไดใ้ ชเ้ วลาและความสามารถเตม็ ทกี่ บั
หนังสือชุดนี้ และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์สม เจตนารมณ์ หลวงพ่อได้พยายามท่ีจะส่ือความหมายค�ำสอนของ พระพทุ ธองคใ์ หเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยและปฏบิ ตั ติ ามได้ เพอื่ วา่ เมอ่ื ปราศจาก หลวงพ่อแลว้ ลูกศษิ ย์ก็จะยงั เดนิ ทางได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ขอขอบคณุ ทกุ ทา่ นที่ได้ช่วยถอดเทปทัง้ ๑๖ ชุดน้ี ได้แก่ คุณพิราศิณี คณุ เบญจ์ คุณฬฌญา พระทวี และพระดร.ณฐั ผู้ชว่ ย ตรวจทานในภาคภาษาบาลแี ละจดั ทำ� รปู เลม่ และโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คุณธนวัช (โหน่ง) ที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาในการตั้งชื่อหนังสือและ ออกแบบปกทง้ั หมด เดก็ ชายณฐั วชั ต์ (นอ้ งกร) ผวู้ าดภาพประกอบ ในเลม่ และคณุ โสรตั ยา (หมออว๋ิ ) ผู้เปน็ ธรุ ะในการจดั พิมพ์ ขออนโุ มทนากบั ทกุ ทา่ นแมไ้ มไ่ ดเ้ อย่ นามมาในทน่ี ี้ ทม่ี สี ว่ น ช่วยให้หนังสือชุดน้ี ส�ำเร็จออกมาได้สมเจตนารมณ์ตามท่ี หลวงพ่อทูลเคยต้งั ใจไว้ ขอกุศลผลบุญท่ีเกิดจากการกระท�ำน้ี จงส่งผลให้ท่านท้ัง หลายบรรลเุ ป้าหมาย ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมโดยสมบรู ณ์ ให้ ปญั ญาเกดิ จนเปน็ ทพ่ี งึ่ ของตวั เองได้ ใหท้ างสวา่ ง บรรลถุ งึ มรรคผล นพิ พานในเร็ววนั ในชาตินี้ ด้วยกันทุกถ้วนหน้าด้วยเทอญ แม่ชีโย ๘ มกราคม ๒๕๕๖
ความคิดมาจากความเหน็ ความคดิ ของวันนี้หรือ วันหน้า ก็จะไม่ตา่ งอะไรกบั ความคิดของวันวาน ตราบใดที่ ความเห็นยังเปน็ ความเหน็ แบบเดิมๆ รไู้ หมวา่ ใจดวงน้ี สอนได้ เรยี นรไู้ ด้ ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย ความเห็นผิดก็จะค่อยเปลี่ยนไป และในท่ีสุดชีวิตก็จะแตก ตา่ งไป จากชวี ิตเม่อื วนั วาน
ขนั น้ำ� ขนั เดยี ว
๒ ขนั นำ�้ ขันเดียว ถ้าเรามีนิสัยประหยัดอย่างน้ีแล้ว มันสบายกับตัว เอง คอื เป็นคนไม่คดิ มากเร่ืองเครื่องบรขิ ารตา่ งๆ ไมฟ่ มุ่ เฟือย ตัวอย่างเช่น ผ้าอาบน้�ำ ผ้าปูนอน ทุกอย่างประหยัดทั้งหมด ถอื วา่ ประหยดั แลว้ ตอ้ งรกั ษาใหม้ นั ดี ไมใ่ หม้ นั ขาดโดยไมจ่ ำ� เปน็ การน่ัง การไป การมาต้องรกั ษา นิสัยเป็นอย่างน้ัน ถ้าเมือ่ ไร เกิดการฟุ่มเฟือยขึน้ มา จะรู้สึกอายตัวเอง มันเปน็ นสิ ยั ไม่ได้ เจตนาท�ำใหเ้ กดิ แตฝ่ กึ มาจนเป็นนิสัยนัน่ เอง แต่ถ้าจะต้องอธิบาย ก็คงจะเริ่มต้นจากเหตุที่หลวงปู่ ขาวได้เคยให้อุบายเก่ียวกับกระดาษทิชชูน่ันเอง จากนั้นมา ความฟมุ่ เฟอื ยตา่ งๆ กไ็ มเ่ อาเลย พยายามประหยดั ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ไมว่ า่ จะเปน็ ผา้ สงั ฆาฏิ ผา้ จวี ร กเ็ หมอื นกนั เครอ่ื งใชต้ า่ งๆ ถอื วา่ เป็นของเก่า เราใช้มานาน ก็ประหยดั กนั ไป รักษากนั ไป มันไม่ เสยี หายอะไร อย่างผ้าปูนัง่ เปน็ ของทนทานทีส่ ุด ใชก้ ันจนลืม กไ็ มข่ าด เมอ่ื นิสยั เปน็ อย่างนี้ ท�ำให้ไมเ่ กดิ ความกังวลในส่ิงของ
รใู้ จ ๓ ใดๆ ถงึ จะมนี อ้ ยหรอื มากกไ็ มก่ งั วล เรยี กวา่ เปน็ การฝกึ ใจไมใ่ ห้ เกิดความฟุ่มเฟือยกับส่ิงของน้ันๆ จะได้ไม่วิ่งตามกระแสโลก บางคนจะเปล่ียนรถยี่ห้อใหม่ท้ังท่ีของที่ใช้อยู่ก็ยังอยู่ในสภาพ ดี เพียงเพอ่ื ตอ้ งการใหต้ ัวเองดูเป็นคนรวย นีก่ จ็ ดั อยใู่ นจ�ำพวก คนฟุม่ เฟอื ยเชน่ กัน คือเปลยี่ นไปเรื่อยๆ ตามกระแสโลก ตัวอย่างเคร่ืองบริขารของพระ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผืน เดียวสามารถใช้ได้สารพัด แก้วน�้ำแก้วเดียวก็เช่นกัน เราเอา ไมไ้ ผ่สกั กระบอกมาเหลาทำ� เป็นกระบอกน�ำ้ ใชไ้ ดเ้ ปน็ ปีๆ ถา้ ไม่แตกจรงิ ๆ กไ็ มท่ ิ้ง ใช้อยู่อยา่ งนัน้ ไมใ่ ห้ฟุม่ เฟอื ย เราท�ำได้ ไหม ถ้าเราไมฝ่ กึ ก็ทำ� ไมไ่ ด้ คอื ขนั อนั เดยี ว แกว้ อนั เดยี ว ล้าง หน้ากอ็ ยู่ทน่ี ่นั กินนำ�้ กอ็ ย่ทู น่ี นั่ ล้างกน้ ก็อยู่ทน่ี ั่น ท�ำไดท้ ั้งหมด ไมข่ ยะแขยง ถ้าให้ทุกคนฝึกจะทำ� ไดไ้ หมวา่ น้ำ� ถังเดยี ว อาบก็อยทู่ ่ี นน่ั เวลาล้างส้วมกถ็ งั เดิม เวลาล้างหน้าก็ถงั เดิม เวลาดมื่ นำ้� ก็ ถังเดมิ จะทำ� ได้ไหม สว่ นใหญ่ท�ำไม่ลง ขยะแขยงขนึ้ มาทันที เพราะเราไมไ่ ดฝ้ กึ แต่ถ้าฝึกไดแ้ ล้วมนั สบาย เพราะขนั เทราด โถส้วมธรรมดาๆ มนั กไ็ มม่ ีเชือ้ โรค เรากต็ ักกินนำ้� ได้ธรรมดาๆ นนั่ เอง อม่ิ เหมอื นปรกติ เหมอื นขนั อนื่ ๆ เหมอื นแกว้ อน่ื ๆ อาบ
๔ ขันน�้ำ ขันเดยี ว น้�ำก็ได้ กนิ น้�ำก็ได้ ขนั เดียว นเ่ี ขาเรียกประหยดั ขนาดนน้ั บางทผี า้ เชด็ หนา้ ผนื เดยี ว เชด็ หนา้ กไ็ ด้ เชด็ มอื กไ็ ด้ เชด็ กน้ กไ็ ด้ ทำ� ไดท้ กุ อยา่ ง นเ่ี รากต็ อ้ งฝกึ เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ความฟมุ่ เฟอื ย ยกตัวอย่างรองเท้าก็เหมือนกัน หลวงพ่อเองตอนนี้ก็ รบั วา่ ฟุ่มเฟือยอยเู่ หมือนกนั นะ กอ็ ายตัวเองเหมือนกนั เพราะ วา่ มหี ลายตอ่ หลายคนถวายรองเทา้ ใหห้ ลวงพอ่ ของมคี า่ มรี าคา ทั้งนั้น อย่างน้อยแต่ละคู่ก็ห้าร้อยข้ึนไป รองเท้าหนังอย่างดี ด้วย หลวงพ่อเองกเ็ สยี ดายรองเท้าหนัง ถ้ามันถกู ฟ้าถกู ฝนขน้ึ มา มันช้ืนข้ึนมา มันเสียดาย แต่ฆราวาสญาติโยมเขาไม่ให้ เสยี ดาย เขาบอกวา่ ใหม้ นั ขาดวนั ละคยู่ ง่ิ ดี เขาจะไดถ้ วายคใู่ หม่ ถา้ นบั รองเท้าแล้วจะมหี ลายสบิ คู่ จะใหค้ นอนื่ เอาไปใช้ก็ใสไ่ ม่ ได้ มันคนละขนาดกนั ของหลวงพอ่ มนั ค่ใู หญ่ ตอ้ งหาคนเทา้ ใหญๆ่ ถงึ จะใชไ้ ด้ ตัวอย่างจีวรก็เหมือนกันนะ จีวรของหลวงพ่อไม่ใช่มี แค่ผืนเดียวนะ มีผ้าอาศัยหลายผืน ส่วนผ้าครองมีสามผืน มี สังฆาฏิ มีจวี ร มีสบง มสี ามผืนตายตัว แตผ่ ้าอาศยั นน้ั มเี ยอะ เช่น ผ้าจีวร มีคนมาถวายให้ หลวงพ่อคลุมให้หน่อย ห่มให้ หนอ่ ย บางทกี ท็ ำ� ตอ่ หนา้ ตอ่ ตาเขา ทำ� ทา่ คลมุ ใหเ้ ขาไปอยา่ งนน้ั
รใู้ จ ๕ ให้เขาดีใจแล้วค่อยเก็บไว้ บางทีก็ให้หมู่คณะไป ผืนมันใหญ่ สว่ นมากเขาทำ� ผืนใหญๆ่ ทั้งน้ัน ไปซอ้ื ผา้ ร้านไหนได้ผืนใหญๆ่ เอามาใหห้ ลวงพอ่ ทลู หลวงพอ่ จะเอามาใหห้ มคู่ ณะ กต็ อ้ งดคู น ไหนจะเหมาะกับผ้าผืนใหญ่ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนตัวเตี้ยๆ เลยท�ำให้เหน็ วา่ บางทีกป็ ระหยัดไมไ่ ด้เหมือนกัน เพราะตอนน้ี ก็มีผ้าหลายผืนในกุฏิ ประมาณส่ีผืนได้ คือให้คนไม่หมด คน ไหนทสี่ งู ๆ กใ็ หไ้ ป นเี่ ปน็ ลกั ษณะการประหยดั ถา้ เราฝกึ ไดอ้ ยา่ ง นมี้ ันสบาย ไปไหนก็สบาย
ตะปทู ่นี ่าภมู ใิ จ
รใู้ จ ๗ ตัวอย่างตอนเขา้ ป่าเขา้ ดง ไปธดุ งค์ต่างๆ เราทำ� ไม้ เป็นทพ่ี กั ท่ีอาศัย หาเอาเครอื ไม้ตา่ งๆ มาผกู มามดั กัน ไดพ้ าด ใบไม้ เอาหญา้ คามาปกมาคลมุ กนั แดดกนั ฝนนดิ หนอ่ ย มาเหน็ เขาท�ำตะปูตอกไม้เสียหายกันทุกวันๆ เสียดายของ เสียดาย ตะปู ถอนออกมาดัดดีๆ แล้วแช่นำ้� มนั กใ็ ชไ้ ด้เหมอื นเดิม แต่ เขาไม่ท�ำเหมือนเรา ไม่คิดเหมือนเรา ทดลองดูสิ การใช้ของ เก่า จะมคี วามร้สู กึ แตกตา่ งกัน ถ้าใครได้ทดลองใช้ของเกา่ ใน ความส�ำนึกของเราจะแตกต่างออกไป จะเกดิ ความภมู ใิ จเหน็ คา่ ในของนัน้ ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถา้ ของนน้ั เปน็ งานฝมี ือของ เราเอง เมื่อหลวงพ่อเดินรอบวัด หรือว่าไปเห็นของสิ่งใดในที่ แห่งหนึ่งท่พี อจะใชไ้ ด้ เชน่ ขัน เป็นต้น เขาท้ิงแล้ว บุบบิบบู้บ้ี ไปหมดแลว้ แหละ เราเอามาตี เอามาเคาะคนื ดๆี มาขดั มาเกลา ดๆี แลว้ เอามาใช้งานดู ขันอันน้มี ีคุณคา่ กบั เรา หลวงพอ่ เคย ท�ำมาแล้ว ทุกวันน้กี ็ยังใช้งานไดอ้ ยู่ ตง้ั แตเ่ ริ่มตั้งวดั มาแล้ว ขัน
๘ ตะปทู น่ี ่าภูมิใจ ตักน้�ำ เขาเอาไปทาสีอะไรไม่รู้ พระเณรเขาเอาไปท�ำแล้วเขา โยนเข้าป่า บุบไปหมดแล้ว หลวงพ่อเอามาตีกลับมาตามเดิม ขนั นี้ยงั ใช้งานอย่ใู นห้องน�ำ้ เกอื บทกุ วัน ยงั ใชด้ อี ยู่ ยังไม่รัว่ เลย มคี วามส�ำนกึ ว่าของเรา สงิ่ ใดท่ีเราทำ� กบั มือขน้ึ มา งานนั้นจะ เปน็ งานท่เี ราภูมใิ จในฝีมอื ของเรา งานทกุ งานเปน็ อย่างนน้ั การเยบ็ ผา้ ตา่ งๆ ผา้ จวี รผนื หนง่ึ ถา้ เราตดั เองและกเ็ ยบ็ เสียเอง การเย็บก็เย็บด้วยมือของเราเอง พยายามเย็บไป ธรรมดาๆ ถงึ จะไม่สวยก็ภมู ใิ จในฝมี อื ของเรา เป็นอยา่ งนน้ั น่ี ธรรมชาติของคน อาหารการกินกเ็ หมือนกนั อาหารหม้อไหนทเ่ี ราท�ำลง ไปดว้ ยฝมี อื ของเราแลว้ นะ ถงึ จะไมอ่ รอ่ ยเหมอื นคนอน่ื แต่เรา กภ็ มู ใิ จในอาหารของเรา กนิ ใหห้ มด ลกั ษณะเปน็ อยา่ งนนั้ อาศยั กินไป อร่อยเราเองนัน่ แหละ ลกั ษณะเป็นอย่างนนั้ เราทำ� สงิ่ ใดใหเ้ กดิ กบั มอื ของเราเอง มนั ดที ส่ี ดุ การรกั ษา ความเอาใจใสก่ ็แตกตา่ งกบั ส่ิงอนื่ เราท�ำขนึ้ มากบั มือเราเอง น่ี คือส่งิ ภายนอก ทกุ อย่างเป็นอยา่ งนน้ั เรอ่ื งการภาวนาปฏบิ ตั กิ เ็ ปน็ เชน่ เดยี วกนั ถา้ ฝกึ ตนจน มีนิสัยอย่างน้ีได้แล้ว คือนิสัยท่ีมีความพอใจภูมิใจในสิ่งที่
รู้ใจ ๙ ตนเองสรา้ งข้นึ มากับมอื คือสรา้ งความเห็น สรา้ งความคดิ สร้างเร่อื งการตัดสินใจ หรือว่าสร้างนสิ ยั ตัวเองขึ้นมา ถ้าผู้ มีนิสัยสร้างตัวเองขึ้นมาทางภายนอก ทางโลก จนเกิดมี ความชำ� นาญและความเขา้ ใจอยา่ งนไี้ ดแ้ ลว้ การสรา้ งภายใน ด้วยสติปัญญาก็จะภูมิใจในตัวเอง สิ่งใดที่เราคิดข้ึนได้โดย ไมไ่ ด้อาศัยผอู้ ่นื ก็จะภูมใิ จในส่วนนั้น การตดั สนิ ใจด้วยตวั เราเองกเ็ ชน่ เดยี วกนั คอื พยายาม จะเลยี นแบบคนอน่ื ใหน้ อ้ ย พยายามฝกึ ตวั เองใหม้ ากทส่ี ดุ สว่ น ตวั ใหม้ นั มากทสี่ ุด เลยี นแบบผ้อู นื่ เปน็ สว่ นยอ่ ย การเลยี นแบบ ผู้อ่ืนก็มีส่วนดี แต่เราไม่เอาในส่วนนั้น เอาเป็นเพียงตัวอย่าง นิดหน่อย เอามาตีแผ่ ตีขยายข้อความตา่ งๆ ออกมา แลว้ ปรบั ด้วยปัญญาของเรา พิจารณาตาม อันน้ันเรียกว่าเป็นเทคนิค ส่วนตัว คดิ จากสมองตัวเอง เราสร้างความคิดขึ้นมาส่วนตัว เป็นลักษณะความคิด สร้างสรรค์ เขาเรียกว่าเป็นหัวพัฒนา เป็นคนมีแนวความคิด ท�ำอะไรแปลกๆ ออกไปจากหมคู่ ณะ แต่ไม่ใช่เร่ืองแปลก เปน็ เร่ืองเดียวกัน แต่อุบายแต่ละคนเป็นอย่างนั้น มีประโยชน์มี คณุ คา่ เท่าๆ กัน ดอู ย่างอาหารการกิน เขาทำ� ขา้ วมันไก่ เราทำ�
๑๐ ตะปูทนี่ ่าภูมิใจ ข้าวขาหมู ลกั ษณะคุณคา่ เทา่ กัน อม่ิ เหมอื นกนั ยกตวั อย่างเร่ืองการแขง่ ขนั เรอื่ งแฟชัน่ ตา่ งๆ เขาก็ทำ� ออกแบบเพอื่ แขง่ กนั ใครออกแบบไดด้ กี วา่ กนั แตถ่ า้ ใครตดั ผา้ เย็บผ้าต่างๆ ตามแบบผู้อ่ืนอยู่ เขาว่าคนโง่ เห็นผ้าผืนสวยๆ ของเขา รอื้ ออกมาดวู า่ เขาตดั เยบ็ กนั อยา่ งไร แลว้ กห็ ดั เยบ็ ตาม เขาทั้งหมด เขาว่าคนโง่ ไม่ใช่คนฉลาด คนฉลาดเขาก็ไม่ ทำ� ตามอยา่ งคนอน่ื ทง้ั หมด เขาเอาบางสว่ นเทา่ นน้ั เอง จากนนั้ เขาก็เอามาดัดแปลงแก้ไขด้วยความคิดของเขาเอง จากสมอง เขาเอง จะแก้ไขอยา่ งไร เปน็ คนหัวทันสมัยทนั ต่อเหตกุ ารณ์ หรือการสร้างบ้านสร้างเรือนต่างๆ ก็เหมือนกัน เขา สร้างบ้านตรงนี้มันดีแล้วนะ มันดีมันสวย แต่เรามาสร้างข้ึน ใหม่ให้สวยกว่านี้ได้ไหม เอาแบบของเขามาดัดแปลงแก้ไขเสยี ใหม่ เอาบางสว่ นของเขา ไมใ่ ชเ่ อาทงั้ หมด เขาเรยี กวา่ หวั พฒั นา คนมสี มองในการทำ� งาน จะมาเลยี นแบบตามหลงั เขา มนั ไมท่ นั กินนะ เขาเรียกว่าคนโง่ เรียกว่าเต่าล้านปี จะเป็นอย่างน้ัน การพลกิ แพลงในการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมตา่ งๆ ไมใ่ ชว่ า่ เปน็ เรอ่ื ง ธรรมดา มันตอ้ งทนั ต่อเหตกุ ารณใ์ นความเปน็ อยขู่ องโลก ใน ทุกกรณที ุกเหตกุ ารณ์
ฉลาดเลือกทาง
๑๒ ฉลาดเลือกทาง การภาวนาปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน เราศึกษาธรรมะ ปฏบิ ัตทิ ง้ั หมดนี้ ตัวอยา่ งในครัง้ พทุ ธกาล พระพทุ ธเจา้ ไดว้ าง แนวทางปฏบิ ตั เิ อาไวม้ ากมาย แนวทางทงั้ หมดนน้ั เปน็ แนวทาง ของพระพทุ ธเจา้ บางทกี ม็ าจากพระอรหนั ต์ หรอื พระอนาคามี พระสกทิ าคามี พระโสดาบนั หรอื ไดม้ าจากใครกต็ ามทมี่ เี หตผุ ล ดๆี เอามาเขยี นไวใ้ นหนงั สอื ตำ� ราตา่ งๆ ในเมอ่ื เราจะมาปฏบิ ัติ ก็เลือกเอาบางสว่ น เลือกเอาว่าอบุ ายใครเหมอื นกนั กับเรา มี นสิ ัยเหมอื นกนั กับเรา เรากเ็ อาส่วนนน้ั ถา้ นสิ ยั แนวทางปฏบิ ตั ขิ องทา่ นองคใ์ ดไมเ่ หมอื นกบั เรา เรากไ็ มเ่ อา หาองค์ท่ีเหมอื นเรา เพ่อื ให้เข้ากนั ไดอ้ ย่างนน้ั เพือ่ ไมใ่ หข้ ดั แยง้ กนั ในการปฏบิ ตั ิ เหมอื นกบั วา่ ไมใ่ หเ้ กดิ ความเดอื ด รอ้ น ไมใ่ ห้เกดิ ความสบั สนข้นึ มากับตัวเอง ตอ้ งดอู ุบายแต่ละ ท่าน แต่ละองค์ การศึกษาประวตั พิ ระอรยิ เจ้าในคร้ังพทุ ธกาล เราควร ศกึ ษาหลักการการปฏบิ ัตใิ หเ้ ขา้ ใจมากทีส่ ุด ส�ำหรับนกั ปฏบิ ตั ิ
รใู้ จ ๑๓ ผทู้ จ่ี ะเอาจรงิ แนวทางการปฏบิ ตั ขิ องทกุ องคก์ ด็ ดี ว้ ยกนั ทง้ั นน้ั แต่อุบายอาจจะแตกต่าง เพราะคนละคนกัน อุบายก็จะแตก ตา่ งกนั แต่เรากห็ าอบุ ายตวั อย่างที่มันคล้ายๆ กนั กบั เรา คนที่ มีนิสัยตรงกันกับเรามากที่สุด อุบายธรรมะท่านจะเหมือนกัน กบั เรา และไปกันไดก้ ับธรรมหมวดนน้ั ๆ สว่ นมากเราไม่คิดอยา่ งนนั้ คอื ได้แต่คดิ วา่ ถ้าผู้บรรลุ ธรรมหรอื เปน็ พระอรยิ เจ้าแล้ว ต้องเปน็ อย่างนี้ๆ ตามหนงั สือ ท่านกล่าวเอาไว้ คือตอ้ งมฌี านน้ัน ต้องมีฌานนี้ มสี มาธอิ นั ดับ น้นั อันดบั น้ี เราคดิ เอาเร่ืองพวกเจโตวมิ ตุ มิ าพดู กนั อย่างเดยี ว เพราะนสิ ยั ของพระอรหนั ตไ์ มเ่ หมอื นกนั ถงึ ภมู ธิ รรมจะเหมอื นๆ กันก็จริง แต่น้ันเป็นเฉพาะส่วนภายใน คือส่วนภูมิธรรม แต่ สว่ นภายนอก คอื การปฏบิ ตั ิ ไมเ่ หมอื นกนั ละเอยี ดแตกตา่ งกนั แตพ่ วกปญั ญาวมิ ตุ ไิ มถ่ งึ ขนาดนน้ั ทา่ นจะไมพ่ ดู ถงึ เรอื่ ง อภญิ ญา เรอื่ งญาณกไ็ มพ่ ดู ถงึ เรอื่ งฌานกไ็ มพ่ ดู ถงึ เรอ่ื งสมาบตั ิ กไ็ ม่พูดถึง เพราะท่านไมม่ คี วามชำ� นาญในของส่วนน้นั ท่านมี ความชำ� นาญในสว่ นปญั ญา เราตอ้ งเอาปญั ญาของทา่ นไป เรา เองกต็ ้องดวู ่าเม่อื เราทำ� ตามดูแลว้ เราเปน็ อย่างนนั้ ไดไ้ หม ถา้ เราทำ� ไปแลว้ ไมเ่ ปน็ ไปตามนน้ั กอ็ ยา่ ทำ� ตามสิ ตอ้ งเลอื กเอาวา่
๑๔ ฉลาดเลือกทาง เหมือนกับองคไ์ หนดหี นอท่เี ปน็ ปญั ญาวิมตุ เิ หมอื นกนั กบั เรา เมอื่ เราไดล้ องทำ� ทกุ อยา่ งตามทา่ นแลว้ แตเ่ ราทำ� เหมอื น ทา่ นไมไ่ ด้ เร่ืองมรรค เรอ่ื งญาณ เร่อื งฌานตา่ งๆ เราท�ำไม่ได้ เหมอื นกับทา่ น ดูอยา่ งใจเราไม่ชอบจะอยู่นงิ่ ๆ เขา้ ฌานอะไร ทว่ี า่ มาก็ไมไ่ ด้ ก็ตอ้ งรู้ว่าเราเปน็ นิสัยของปญั ญาวิมตุ ิ เราตอ้ ง ศึกษาว่าองค์ไหนบ้างหนอในคร้ังพุทธกาลท่ีเป็นปัญญาวิมุติ เรากศ็ กึ ษาประวตั ขิ องทา่ นองคน์ นั้ แลว้ เรากม็ าปฏบิ ตั ติ ามทา่ น องค์นัน้ ไป ส่วนท่านองคท์ ีเ่ ปน็ เจโตวมิ ตุ ิ เราก็เอาไว้ก่อน มนั เสียเวลา เราจะไปว่ิงตามท�ำไมพวกท่านท่ีเป็นเจโตวิมุติ มัน ไม่มีประโยชน์กับเรา มันไม่เข้ากันเลย ต้องมาศึกษาผู้ที่เป็น ปัญญาวิมุติเหมือนกับเรา มันถึงจะได้ผลข้ึนมาตรงนี้ในการ ปฏิบัติ
ร้จู กั ไฟฉายของเรา
๑๖ รจู้ กั ไฟฉายของเรา แตเ่ ราทกุ วนั นสี้ งั เกตตวั เองไมเ่ ปน็ วา่ เราปฏบิ ตั เิ ดย๋ี ว นี้ เราเป็นปัญญาวิมุติหรือเจโตวิมุติ เราไม่สังเกตตัวเองเลย หรอื ไมร่ ูจ้ ัก ไปควา้ เอาแบบอยา่ งผทู้ ี่มีนิสยั เจโตวิมตุ มิ าปฏบิ ตั ิ ทง้ั ๆ ทตี่ วั เองเปน็ ปญั ญาวมิ ตุ ิ ถา้ เปน็ อยา่ งนต้ี ายเกดิ อกี รอ้ ยชาตกิ ็ ไปไมไ่ ด้ เพราะมวั แตต่ อ้ งมาเปลย่ี นแผนงานใหม่ มาฝกึ งานเสยี ใหม่ งานเกา่ มคี วามชำ� นาญ เราสร้างมาแลว้ เรามนี สิ ัยอย่างน้ี คอื สร้างมาแลว้ อย่างน้ี มาถงึ ชาตนิ ี้มาเปลี่ยนนสิ ยั ใหม่ เปลีย่ น งานใหม่ ไปฝกึ งานใหมอ่ ยอู่ ย่างนเี้ ป็นตน้ ตวั อย่างเช่น คนหนึ่งเคยเปน็ ทหาร ออกจากทหารมา จะเป็นครูอาจารย์สอนนักเรียน มนั ต้องมาฝึกใหม่ ตอ้ งเรมิ่ ตน้ ใหมใ่ นการสอน วชิ าครเู ขาทำ� อยา่ งไร แคเ่ ปน็ นกั เรยี นหรอื เปน็ ครอู าจารยส์ อนอยา่ งเดยี ว เวลาลาจากครไู ปแลว้ จะไปทำ� อาชพี ใหมห่ รอื ว่าไปคา้ ขาย ตอ้ งมาฝกึ วิธีการค้าขายเสยี ใหม่ นี่คือตั้ง หลกั ใหม่ไปเรอื่ ยๆ แต่ถ้าผู้นั้นมีนิสัยเดิม ท�ำงานเดิม เราเคยมีนิสัยเป็น
รูใ้ จ ๑๗ พอ่ คา้ เรากค็ า้ ขายตอ่ ไป ไมม่ ปี ญั หาอะไร หรอื เราเปน็ ครอู าจารย์ สอน ก็เป็นครูอาจารย์สอนต่อไป ไม่ต้องเปล่ียนงาน ไม่ต้อง เปล่ียนอาชีพ มันก็ง่ายข้ึน น่ีเหมือนกัน นิสัยเราสร้างมาเป็น นสิ ยั ปัญญาวิมตุ ิมาแลว้ เราเอาปญั ญาวมิ ุติเราต่อไป ไมจ่ ำ� เปน็ ต้องไปว่ิงตามเจโตวิมุติเขา แต่จุดหมายปลายทางเหมือนกัน คณุ ค่าเทา่ กนั หน�ำซำ้� คนทเ่ี ป็นปัญญาวิมุตมิ ันจะเร็วกว่า ไปถึง จดุ หมายปลายทางไดก้ อ่ นดว้ ย คอื ทา่ นไมไ่ ดไ้ ปเลน่ ไมไ่ ดไ้ ปหลงงมงายกบั ฌานกบั นโิ รธ ต่างๆ ท่านไมส่ นใจกบั สิง่ เหล่าน้ี เดนิ หน้าลกู เดยี ว ปฏบิ ัติลกู เดยี ว นี่คือวา่ นักปฏิบัติ มันตอ้ งรู้จักตัวเองอยา่ งน้ัน ถ้าเป็นนักปฏิบัติและไม่รู้จักตัวเอง มันจะสอนตัวเอง ได้ไหม ไมร่ เู้ ร่อื งเลย เราเปน็ นกั ปฏิบัติ แตไ่ มร่ จู้ กั ตวั เอง กค็ น หลงนนั่ เอง เขาเรยี กวา่ หลงตัวเอง นักปฏบิ ตั ติ อ้ งรจู้ กั ตัวเอง ว่าเรามนี สิ ัยอย่างไร มีนิสยั ข้โี กรธ หรอื มีนสิ ยั ขี้หลง หรอื มี นิสัยราคจริต หรืออะไรก็แล้วแต่ มันต้องรู้จักนิสัยตัวเอง ท้ังหมด เพ่อื จะหาธรรมะสว่ นตา่ งๆ มาปรบั ปรุงกับนสิ ัยตัว เองให้เป็น ให้เขา้ กนั ได้ นีเ่ รยี กวา่ การภาวนา คอื การปฏบิ ตั สิ ว่ นนี้ กต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ วั เองอยใู่ นกรอบของ
๑๘ รู้จกั ไฟฉายของเรา ศลี ธรรมกจ็ ริงอยู่ คอื เป็นหลักเดมิ แตด่ ูว่า เรามนี ิสยั อย่างไร ตัวน้ีเราตอ้ งศกึ ษาให้เขา้ ใจ เพือ่ จะแกไ้ ขปญั หาตวั เองได้ ถงึ จะมนี สิ ยั อะไรกแ็ ลว้ แต่ แตจ่ ะมลี กั ษณะอนั เดยี วกนั คอื วา่ โลภะ โทสะ โมหะ มีเหมอื นๆ กัน ราคะกเ็ หมอื นๆ กัน ในการภาวนา ต้องรู้จักแยกแยะ รู้จักข้ันตอนในการปฏิบัติ เรามีนิสัยเท่าน้ี ตวั สติปัญญาเราเทา่ นี้ เราควรจะปฏิบตั อิ ยา่ งไหน อย่างหยาบ อย่างละเอียดอย่างไร ต้องดูเหตุการณ์ ดูวิธีการต่างๆ ที่เรา ปฏบิ ตั อิ ยู่ ถา้ เรามสี ตปิ ญั ญาแคน่ ี้ เราจะไปศกึ ษาธรรมะบทนน้ั ปฏิบตั ิอยา่ งนี้ใหไ้ ด้ มนั ได้ไหม มันทำ� ไมไ่ ด้ เราดคู วามสามารถ ของเราอีกที ตวั อย่างเช่น ไฟฉายของเรานิดเดียว ดูความสว่างพอ รบิ หรๆี่ จะไปฉายกวา้ งออกไปไกลๆ มนั ไดผ้ ลอะไรบา้ งไหม ไม่ ไดผ้ ลอะไรเลย เพราะไฟฉายถา่ นจะหมดอยแู่ ลว้ เรามองแคบๆ เขา้ มากเ็ หน็ ได้ ดลู ายมอื กไ็ ด้อีก ดนู ดิ หน่อยก็ได้ แต่ไกลๆ ไม่ ได้ นเี่ ขาเรยี กวา่ อตั ตญั ญตุ า รจู้ กั ตน ความหมายของคำ� วา่ รจู้ กั ตน ตนในทนี ค้ี อื ตวั เรา เราทม่ี นี สิ ยั อยา่ งไร รกั สวยรกั งาม ใจนอ้ ย ผูกโกรธ ชอบพดู เรื่องคนอืน่ ฯลฯ
หดั เขยี นหนงั สอื
๒๐ หดั เขียนหนงั สือ ในการฝกึ ตน ทำ� อยา่ งไรถงึ จะเปน็ คนทม่ี คี วามพรอ้ ม ด้วยคุณงามความดี ความดีต่างๆ ไม่ใช่ว่าไปขอคนอ่ืนมานะ เราพยายามจะฝกึ เราเองทงั้ หมด ความดตี รงน้ี ถงึ จะเลยี นแบบ จากผอู้ นื่ มากแ็ ลว้ แต่ เลยี นแบบมากเ็ พอื่ มาฝกึ ตวั เองนน่ั แหละ ตวั อย่างวา่ เรียนธรรมะมา เมือ่ ศกึ ษาธรรมะมาก็มาฝึก ตวั เองอกี ที ไมใ่ ช่ว่าจะเรยี นธรรมะมาแลว้ จะมาพูดคยุ ปาวๆ อย่างนนั้ วา่ เราคยุ ธรรมะได้ รูจ้ ักธรรมหมวดน้ดี ี มนั พดู ได้ แต่ เปน็ ธรรมะทผ่ี อู้ นื่ พดู ใหฟ้ งั เปน็ ลกั ษณะเลยี นแบบผอู้ น่ื มากเกนิ ไป อันน้ันใช้ไม่ได้ พยายามมาปรับปรุงตัวเองว่า การศึกษา ธรรมะทง้ั หมด ให้มันร้เู หน็ จากสตปิ ัญญาเฉพาะตวั เองให้มาก ทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้ แตก่ ไ็ มใ่ หไ้ กลกนั กบั ตำ� ราทก่ี ลา่ วเอาไวใ้ น เรอ่ื งเดียวกนั ในการปฏิบัตินัน้ อย่าเอาตามต�ำรา และอยา่ ทิง้ ตำ� รา คำ� นหี้ ลวงปขู่ าวพดู บอ่ ยเหลอื เกนิ พดู บอ่ ยๆ แตก่ ไ็ มก่ คี่ นหรอก จะจำ� ได้อยา่ งนี้ หลวงพ่อทูลคนหน่ึงจ�ำไดแ้ มน่ ย�ำคำ� น้ี ทา่ นวา่
รู้ใจ ๒๑ อยา่ เอาตามตำ� รา และอยา่ ทงิ้ ตำ� รา คอื ตำ� ราเปน็ กรอบเสน้ ทาง อันหนึง่ คือทางเดิน เราก็ไมท่ ้งิ เอา แต่เราเอาอุบายส่วนหน่ึง อบุ ายเหมอื นในตำ� รา แตเ่ รอื่ งราวเปน็ ประสบการณข์ องเราเอง มนั ไปดว้ ยกนั ได้ เหมอื นกบั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ไดพ้ ดู กบั พระอานนท์ อานนท์ ธรรมะทเี่ ราตถาคตสอนพทุ ธบรษิ ัททง้ั หมดน้ี เท่ากนั กบั ใบไผ่ในก�ำมือเดียวเทา่ นั้นเอง สว่ นใบไผน่ อกน้นั ท่ไี ม่เอามา สอนมันมากกว่าน้ี มันละเอียดมากกว่าน้ี ถ้าหากว่าคนมีสติ ปัญญาที่ดีท่ีว่ามาน้ี ถึงจะได้ข้อธรรมะจากต�ำรามานิดเดียว แล้วมาตีความออกไป ขยายออกไปได้มากมาย เพราะมันจะ มาจากความรู้จรงิ เห็นจริง จากประสบการณจ์ ริงของตวั เอง การภาวนาปฏิบตั ิ เช่น การพจิ ารณาขันธ์ ๕ คือ รปู เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ สว่ นมากนักปฏบิ ัตจิ ะไมเ่ ข้าใจ ส่วนนี้ จะเอาให้หมดเลย จะให้รู้เห็นความเป็นจริงท้ังหมด พร้อมๆ กนั ทางรูปก็เอา ทางนามก็เอา จะเอาท้งั หมด ปฏิบตั ิ ตามรปู แบบใหม้ นั ครบสูตร ให้มคี วามสมบูรณ์ในขันธ์ ๕ ครบ ตามขนั้ ตอน มันท�ำได้ไหม ทำ� ได้ คิดได้ แตถ่ ามวา่ ไดผ้ ลไหม ไม่ ได้ผล เพยี งคิดตามหลักการ คิดได้ จรงิ ๆ ท�ำไมไ่ ด้เลย ก็เหมือนศลี ๕ ทเ่ี รารับพรอ้ มกันทกุ วันๆ ก็จรงิ อย่วู า่
๒๒ หัดเขียนหนงั สอื ศีล ๕ รับพร้อมกนั ทงั้ ๕ ข้อ แต่ถามว่ารับ ๕ ข้อไปแลว้ คน ไหนบ้างทำ� ไดถ้ ึง ๕ ขอ้ ในวนั เดียว หรือศลี ๘ ก็เหมอื นกัน รับ ไปแล้วพร้อมกัน คนไหนบ้างรับศลี ๘ ไปแล้ว รักษาพรอ้ มกัน ไดถ้ งึ ๘ ขอ้ มนั ยากมาก บางทกี ไ็ ดแ้ ตข่ ม่ ใจนนั่ แหละ ขม่ ใจเอา คอื บงั คบั เอา นน่ั เขาเรยี กวา่ ศลี โดยบงั คบั คอื ยงั ไมส่ มบรู ณเ์ ตม็ ท่ี ศีลยังไม่เปน็ เอง ไม่เป็นธรรมชาติ ทีเ่ รียกว่า อธศิ ลี คือ ศลี ท่ีเป็นใหญ่ เป็นศีลท่ีเกิดข้ึนจากตัวเองโดยเฉพาะ ไม่ต้องไป บังคับ พร้อมแล้วเป็นเอง น่ีคือความช�ำนาญในการรักษาศีล ศีล ๕ ตวั ก็ต้องเริม่ จากตวั ใดตัวหนึ่งก่อน รกั ษาไปเป็นปๆี ตวั ละปๆี ก็ได้ จนทำ� ให้มนั ครบสมบรู ณบ์ ริบูรณท์ ัง้ ๕ ตวั การพิจารณาขันธ์ ๕ ก็เป็นลักษณะเดียวกัน ไม่ใช่ว่า ปฏบิ ตั ขิ นั ธ์ ๕ ไมใ่ ช่จะเอาแค่วา่ วนั น้พี ิจารณารูปแลว้ ชวั่ โมง ต่อไปพิจารณาเวทนา ท�ำได้ แต่ไม่ได้ผล คือมันต้องแยกกัน คำ� ว่า รูป เวทนา คำ� ว่า รูปธรรม กับ นามธรรม การปฏิบัติมัน ละเอยี ดออ่ นและหยาบตา่ งกนั ในภาคปฏบิ ตั ิ การพจิ ารณารปู ให้เกดิ ความชำ� นิชำ� นาญก่อน มนั จะเปน็ ผลดีในการปฏบิ ตั ิ ตอ่ มาก็ค่อยอาศัยเรื่องนามทีหลัง ให้เกิดความเคยชินก่อน เอา หยาบๆ ไปก่อน
๒๓ เหมอื นกบั เราตอนฝกึ หดั วาดรปู คนวาดรปู ไมใ่ ชว่ า่ เขา จะเอาดไี ดเ้ ลยนะ เขาตอ้ งเอาดนิ สอขดี เขยี น รา่ งลกั ษณะหยาบๆ ไวก้ อ่ น ร่างครา่ วๆ ไวก้ ่อน แล้วคอ่ ยลงสที หี ลงั มนั มีคนไหน วาดรูป เอาสีแต้มไปเลยทั้งหมด ลงสีเลยพร้อมกัน มันมีไหม มนั ไมม่ ี เอาหยาบๆ ไปก่อน คร่าวๆ ไปก่อน เค้าโครงมนั มีแลว้ ค่อยลงสตี าม ระบายสีทหี ลงั ตัวหนังสือก็เช่นเดียวกัน อย่างตัวหนังสือที่คนไม่เคย เขียนดว้ ยพู่กนั จบั เอาสแี ตม้ มาเขยี น จะได้ตวั หนงั สือเหมือน เขาไหม ไมเ่ หมือน มันจะไมส่ วยเหมือนเขา คือความหนักเบา ของมือมันต่างกัน ตัวหนังสือก็ไม่สวย ออกมาไม่เหมือนเขา เหน็ ไหมวา่ คนทเี่ ขยี นไมเ่ ปน็ ทแี รกเขาฝกึ เขาเขยี นอยา่ งไร เขา เอาดนิ สอด�ำ เขาเอาบรรทดั ขีดด้วย ตวั หนังสอื เขาเอาบรรทัด ขีด พยายามเอาพกู่ ันแตม้ ตามบรรทดั ตามรูปตวั หนังสือท่ีขีด เอาไว้ การท�ำเช่นนี้ถอื ว่ามีเส้นบงั คับอยู่ ตอ่ ไปนานเข้า มนั เกิด ความชำ� นาญ ตอ่ ไปไม่ตอ้ งใช้บรรทัดขดี เปน็ ตัวหนงั สอื ข้ึนมา เขาเขยี นไดเ้ ลย ไมต่ อ้ งมบี รรทดั กเ็ ขยี นสวยได้ นค่ี อื ความชำ� นาญ ในการเขยี น ตอ้ งเอาแบบหยาบๆ ไปก่อน
แยกสว่ นตน้ ไม้
รใู้ จ ๒๕ ก ารภาวนาหรือการปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน เร่ือง การพิจารณาขนั ธ์ ๕ ทีว่ า่ มานก้ี ็เหมือนกัน เอาหยาบๆ ไปกอ่ น นน้ั คอื รปู รปู ตวั เดยี วน้ี เราขยายเอง รปู ภายใน หมายถงึ ตวั เรา รูปภายนอก หมายถึง สิ่งภายนอกจากตัวเราออกไป คือ รปู อนื่ สตั ว์อื่น อะไรกแ็ ลว้ แต่ เป็นสิ่งภายนอก รูปอยา่ งเดยี ว มีลกั ษณะ ๒ ประเภท ๑) รูปทม่ี วี ญิ ญาณครอง ๒) รปู ที่ไร้วิญญาณ รูปสองรูปนี้ ตวั อย่างเช่น รปู เรา ณ ปัจจบุ ัน เป็นรปู ท่ี มวี ญิ ญาณครอง รปู อยา่ งอนื่ เชน่ รปู คนอนื่ ถอื เปน็ รปู ภายนอก ไป เอารูปทั้งภายนอกภายในทง้ั หมดมาวิจยั วิเคราะห์ ใหเ้ ป็น ไปตามหลกั ความเปน็ จรงิ ของแตล่ ะรปู นน้ั ในการเปลย่ี นแปลง แตล่ ะรูปเป็นอย่างไรบา้ ง ตัวอย่างต้นไมต้ น้ หนึง่ ซงึ่ กค็ อื รูปท่ีไม่มวี ญิ ญาณครอง
๒๖ แยกสว่ นต้นไม้ มนั มรี ปู หลายอยา่ ง มที งั้ ราก มที งั้ ลำ� ตน้ มที ง้ั เปลอื ก มที งั้ กระพี้ มที งั้ แกน่ มที ง้ั ใบ มที งั้ ดอก มที ง้ั ผล ในตน้ เดยี ว มหี ลายรปู แบบ ตัวอยา่ งตน้ ผลไม้ตน้ หนง่ึ เช่น ตน้ มะมว่ ง ตน้ กร็ ปู หนง่ึ ใบก็รปู หนงึ่ กงิ่ ก้านสาขากร็ ปู หนงึ่ เปลอื กกร็ ูปหนึง่ ผลก็รูปหน่ึง ดอก กร็ ปู หน่ึง ตน้ อยา่ งเดียวจะมีหลายรูป ก็เพราะเราแยกไปตาม ส่วนที่มันเปน็ ไป ตามหลักทมี่ นั มอี ย่ใู นต้นน้นั ๆ น่ีคอื พิจารณา รปู มันขยายออกไปในมุมกวา้ ง ก็เหมือนคนเราคนเดียว ทำ� ไมจึงเรียกว่าผม ท�ำไมจึง เรยี กว่า ขน เลบ็ ฟัน หนัง อาการทง้ั สามสบิ สอง เมือ่ แยกออก ไปกเ็ ปน็ รปู เหมอื นกนั คอื สว่ นทง้ั หมดเปน็ รปู สว่ นปลกี ยอ่ ยออก มาจากรปู รวม รปู ปลกี ยอ่ ยทงั้ สามสบิ สองประการนน้ั กพ็ จิ ารณา ลงสไู่ ตรลกั ษณท์ ้งั หมดวา่ มันไม่เทีย่ ง มันตอ้ งพิจารณาท้ังหมด ขยายออกไป ส่ิงที่ว่ามานี้ต�ำราจะไม่พูดไว้หมดหรอก มันมี มากกวา่ นี้ แลว้ แต่ใครจะคดิ ไดเ้ ท่าน้นั ถ้าคนมปี ัญญามากก็คิด ไดม้ าก คนมปี ญั ญานอ้ ยกค็ ดิ ไดน้ อ้ ย เพราะวา่ การเปลย่ี นแปลง ตามธรรมชาตมิ ันมมี ากกว่านน้ั น่ีแคร่ ปู อยา่ งเดยี ว ตัวอยา่ งการพจิ ารณาผมอย่างเดยี ว ถ้าคนมีปญั ญา มาก คิดท้ังคืนก็ไม่จบ มันไปได้ทุกด้าน เป็นธรรมทุกด้าน
รู้ใจ ๒๗ เป็นท้งั ความไมเ่ ท่ียงก็ได้ มนั เปลี่ยนแปลงอยา่ งไรบ้าง เป็น ทกุ ขห์ รอื ไมเ่ ปน็ ทุกข์ ถา้ ทกุ ขเ์ พราะอะไร ทกุ ข์เพราะไปยดึ ม่นั ถอื ม่ันว่า ผมเรามันขาวแลว้ นะ จะไปสังคมแตล่ ะที จะ เอาอะไรมาย้อมใหด้ �ำๆ ไว้ มันทกุ ข์ขนึ้ มาแลว้ ไปเขา้ สงั คม ไม่ได้ ออกจากบ้านไม่ได้ คนจะเห็น พยายามดิ้นรนหายา อะไรตา่ งๆ มายอ้ มเอาไวใ้ หม้ นั ดำ� หรอื มนั ยาวเกนิ ไป พยายาม ตดั ซะ ถ้าตัดทรงผมไม่ถกู กบั ใจตวั เอง ก็เปน็ ทกุ ขข์ ึ้นมาอกี คอื ไมส่ บายใจ กเ็ ปน็ ทกุ ข์ คอื เราทกุ ขใ์ จหลายๆ อยา่ ง เพราะ การเปล่ยี นแปลงของผม ตวั อย่าง ขน เล็บ ฟัน หนัง นก่ี เ็ หมือนกนั ทุกอยา่ ง มีการเปลยี่ นแปลงทั้งนนั้ น่คี อื รปู อยา่ งเดยี ว ผมอยา่ งเดียว มนั พจิ ารณาทง้ั วนั กไ็ มจ่ บถา้ มปี ญั ญาทด่ี ี พจิ ารณาเรอ่ื งความ ไม่เท่ียงบ้าง พิจารณาเรื่องความทุกข์บ้าง พิจารณาลงสู่ อนตั ตาบา้ ง พจิ ารณาลงสสู่ ง่ิ สกปรกโสโครกบา้ ง เรากพ็ จิ ารณา กนั ไดท้ งั้ วนั ผมอยา่ งเดยี วนนั่ แหละ แตจ่ ะมปี ญั ญาเพยี งพอท่ี จะพิจารณาไดไ้ หมเท่านั้นเอง
น่คี อื ความชำ� นาญ
ร้ใู จ ๒๙ ส่วนมากเราจะรเู้ ฉยๆ คอื ว่ารู้แล้ว พอจะพิจารณา ปับ๊ กร็ แู้ ลว้ เท่านนั้ เอง มันไม่ยอมปฏิบัติ มันไม่ยอมคดิ เหมอื น กับคนทุกวันน้ี เป็นคนทไ่ี มม่ ีความคิดทางธรรมะ แต่ความคดิ ทางโลกนะ่ มี ปัญญาทจี่ ะมาเป็นปัญญาสว่ นตวั มนั ถึงยาก ตัวอย่างความแตกต่างกันในด้านความคิดในยุคนี้กับ ยุคก่อนๆ เช่น นกั เรียนยุคก่อนๆ คิดบวกลบเลขในใจกค็ ิดได้ พอครูตงั้ โจทยข์ น้ึ มา ให้คิดโดยไมต่ ้องเขียนลงกระดาษ แตใ่ ห้ คดิ ในใจ กส็ ามารถตอบไดเ้ ลย คดิ ในใจเทา่ นน้ั นค่ี อื ความชำ� นาญ แตเ่ ดย๋ี วนค้ี นใจรอ้ น คอื วา่ คดิ ไมไ่ ดก้ ก็ ดคอมพวิ เตอรห์ รอื เครอ่ื ง บวกเลขออกมา ใชเ้ ครอื่ งเป็นตวั คิดแทน ถูกไหม ถกู แตอ่ าศยั ทางวิทยาศาสตรช์ ว่ ย มนั ดไี หม ดี แตม่ นั ไม่ดไี หม ส่วนไมด่ มี นั มี คอื ทำ� ใหค้ นไมม่ คี วามคดิ ไมม่ คี วามคดิ เปน็ ของตวั เอง อาศยั สิ่งภายนอก อาศัยวิทยาศาสตร์ช่วยในการท�ำเท่าน้ันเอง แต่ ความงมงายมันจะมกี ับตัวเอง เปน็ คนไมม่ ีความคิด ทีนีเ้ รื่องปญั หาตา่ งๆ ท่ีวา่ มาน้ี จะเอาคอมพิวเตอร์
๓๐ น่ีคอื ความช�ำ นาญ ไปกดใหม้ นั หมดไปได้ไหม ไมไ่ ด้เลย ตรงน้ีมันตรงกันขา้ ม มัน มอี ะไรบา้ งไหมทท่ี างวทิ ยาศาสตร์ จะเอาคอมพวิ เตอรม์ าชำ� ระ ปัญหาตัวเองให้หมดไปสิ้นไป ท�ำได้ไหม ท�ำไม่ได้ ส่ิงทั้งหมด ต้องช�ำระด้วยสติปัญญาเฉพาะตัว ตัวน้ีแหละจะมาแก้ปัญหา ตัวเองได้ เม่ือปัญญาเราไม่มี ความคิดไม่มี มันต้องฝึกขึ้นมา ทุกๆ ด้าน โดยทำ� ดว้ ยความชำ� นาญในความคดิ หยาบๆ กอ่ น เชน่ การพจิ ารณารปู ยกตวั อยา่ งการพจิ ารณาหนงั ลองพจิ ารณา ในลักษณะอย่างเดียวกัน พิจารณาทุกส่วน ให้เป็นไปตาม ความเปน็ จรงิ ของแตล่ ะสว่ น มนั เปน็ สตู รใครสตู รมนั อยแู่ ลว้ ๑) ไม่เที่ยง ๒) ความเปน็ ทุกข์ ๓) อนตั ตา ๔) ไม่มีอะไรเป็น ของของเรา ๕) เราจะพลดั พรากจากสงิ่ นไ้ี ป หรอื ๖) พจิ ารณา ลงสู่ความสกปรกโสโครก พิจารณาหนังท้ังคืนท้ังวันก็ไม่จบ เราเปล่ียนอุบายไป เรอื่ ย วนั นคี้ ิดสูตรนี้ไป แคส่ ตู รเดยี วนะ บางวนั คิดได้ประมาณ สัก ๑๐ นาที บางวันตอ่ มาอาจเป็นชวั่ โมงกไ็ ด้ มนั เปน็ เพราะ เรา สตปิ ัญญาเราฉลาดไหม หาวธิ ีเปลีย่ นแปลงไดไ้ หม แกไ้ ข กนั ไป นกี่ ส็ ว่ นประสมกนั หลายๆ อยา่ งรวมกนั มนั เรอื่ งเดยี วกนั การใช้ปญั ญาพิจารณารปู เร่มิ ต้นพจิ ารณาหยาบๆ
รู้ใจ ๓๑ ธรรมดาๆ ก่อน เพราะคนเรามันหลงดว้ ยความหลงหยาบๆ ไม่ใช่หลงของละเอียด อย่างคนหลงคนทุกวันน้ี ไม่ได้หลง อารมณ์ หลงของหยาบๆ น่ีเอง ค�ำว่า รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ เปน็ ของหยาบๆ เมือ่ หลงของหยาบๆ กต็ อ้ งเอา ของหยาบๆ มาพจิ ารณากอ่ น ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจสว่ นนกี้ อ่ น สว่ นหยาบๆ นี้ เม่ือเราพิจารณาส่วนหยาบจนช�ำนาญแลว้ จากนัน้ จงึ เรม่ิ ตน้ พจิ ารณาในสว่ นละเอยี ด คือนาม เชน่ เวทนา หรอื เรยี ก วา่ นามจติ หรืออาการของจิต เราพจิ ารณารอบใหม่ ถ้าเรามี ความชำ� นาญในการพจิ ารณารปู อยแู่ ลว้ การพจิ ารณาตอ่ ขนึ้ ไป ในเวทนา ในสญั ญา ในสังขาร มันไมย่ าก มันตอ่ กนั ได้งา่ ย มัน เช่ือมโยงต่อกัน นคี่ อื การใชง้ านของการปฏบิ ตั ิ การใชง้ านทางสตปิ ญั ญา ต้องเริ่มจากส่วนหยาบไปหาส่วนละเอียด ถ้าเราไม่ท�ำอย่างน้ี มันกย็ าก สว่ นมากเราไม่ท�ำอยา่ งนนั้ หรอก เร่มิ จากรปู เวทนา คืนเดียวรอบเดียวจบไปเลย น่ีคือการพิจารณาธรรมะ การพจิ ารณาอย่างนีถ้ กู ไหม ถกู แตถ่ ูกตามแนวทางของปรยิ ัติ เทา่ นนั้ เอง เปน็ ปญั ญากเ็ ปน็ ปญั ญาในภาคปรยิ ตั เิ ทา่ นน้ั เอง แต่ ไม่ใช่ปัญญาในภาคปฏิบัติ คือเรียบเรียงตามเหตุการณ์ ตาม
๓๒ นี่คอื ความช�ำ นาญ หลกั วชิ าการเทา่ นัน้ เอง คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ กด็ ี ธรรมะทง้ั หมดทม่ี เี ปน็ หลกั วชิ าการทั้งนั้น อยา่ งการพจิ ารณาธรรมะสว่ นใหญ่ ก็ตามหลกั วิชาการ ตามหลักการทตี่ �ำรามอี ยู่ ต�ำราวา่ อยา่ งไร ก็พจิ ารณา ตามนัน้ พจิ ารณาตามหลกั สตู ร มันท�ำได้ไหม ทำ� ได้ แต่มนั ได้ ผลดีไหม กเ็ ทา่ น้ันเอง ไม่เต็มท่ี
ไกต่ าบอด
๓๔ ไกต่ าบอด ก็เหมอื นคนตาบอด ตัวหนงั สือของเขาก็มีลักษณะ หยาบๆ คอื ใชจ้ ับคลำ� เอา ตัวหนังสือเบรลลท์ ่ีเขาทำ� มาเปน็ ตัว นนู กแ็ ลว้ แต่ เขาทำ� มาเพอ่ื ว่า เม่อื เขาจบั ปบ๊ั จะรวู้ ่าตัวอกั ษรท่ี เขาจับนัน้ อา่ นวา่ อย่างไร คือตัวอะไร เขารู้ แตใ่ ห้ถามต่อไปอกี วา่ ตวั หนังสือเปน็ สีอะไร เขาจะไมร่ ู้ เป็นสขี าว สแี ดง สเี ขยี ว เพราะเขาไมเ่ ห็น สมั ผัสลกั ษณะหยาบๆ ได้เทา่ นนั้ เอง นี่เรยี ก ว่าคนตาบอดเขาท�ำกันอย่างน้นั เขาอา่ นไดเ้ ทา่ นน้ั เอง การเรม่ิ ตน้ ในการปฏบิ ตั ขิ องเรากม็ ลี กั ษณะบอดเหมอื น กนั คอื บอดทางใจ คอื วา่ ใจเรามนั มืดอยู่ มนั บอดอยู่ มนั ยังไม่ เหน็ อะไรชดั เจนขน้ึ มาในขณะนี้ ใหเ้ รามาฝกึ ใจตวั เองใหม้ นั เกดิ ความสว่าง จะไดค้ วามสวา่ งตวั นี้มากต็ ้องอาศัยตวั ปญั ญาเปน็ ตวั กำ� กบั ปญั ญาตวั นเ้ี ปน็ ตาของใจ ถา้ เราไมส่ รา้ งปญั ญาขน้ึ มา เม่ือไหร่ ใจก็บอดต่อไป กเ็ หมือนเราเกดิ ตายๆ กบั วฏั สงสารตง้ั แต่กัปน้ันจนถึง กัปปัจจบุ นั นี้ กเ็ พราะมาเกดิ ด้วยการบอดน่ันเอง คือบอดทาง
รูใ้ จ ๓๕ ใจ มนั ยังมองโลกเป็นของดีอยู่ ไม่มเี ห็นคำ� วา่ ทกุ ข์ โทษ ภัย ต่างๆ ของโลกใบน้ี ไม่เห็นเลย มองเป็นดีท้ังน้ันเลย มันยังมี ความยนิ ดพี อใจในภพชาตติ า่ งๆ ยงั มาเกิดถึงปัจจุบนั น้ี แตถ่ ้า เราไม่ฝึกฝน ไม่มาแก้ไขในขณะน้ี ปล่อยให้ตัวเองมืดบอดต่อ ไป เม่อื เปน็ ได้อยา่ งน้นั จะเกดิ อกี ก่ีรอ้ ยชาติ หมนื่ กปั มันกเ็ ท่า น้ี บอดตอ่ ไป เรียกว่า ตโม ตมปรายโน เปน็ คนมืดมาแล้วมืด ไป หาความสว่างอะไรไม่ได้เลย แตว่ า่ ในชาตนิ ้ี เรายอมรบั วา่ เราเคยมดื มาแลว้ เคยหลง โลกหลงสงสารมาแล้วในอดีต เคยหลงเกดิ หลงตาย หลงรูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ มาแล้วในอดตี เราจะมาร้ตู วั ในขณะ น้ีว่า เรามาเกิดบ่อยๆ เพราะหลงอยา่ งน้ๆี แสดงวา่ เรามืดมา เรามาแก้ไขปัญหาส่วนตวั นเ้ี สีย ใหร้ เู้ หน็ ว่าสิ่งทีเ่ รา หลงเปน็ อยา่ งน้ี มาแกส้ ว่ นทเี่ ราหลงใหไ้ ด้ เราจะไดไ้ มม่ าหลง อกี ตอ่ ไป เรากจ็ ะอยตู่ วั เรากห็ ยดุ ได้ เรากพ็ ลกิ แพลงใหม่ หา อบุ ายปฏิบัตใิ หม่ กลับตวั ใหม่ มองโลกต่างๆ มองหาความ จรงิ ทงั้ หมด จรงิ ตรงไหน พยายามคน้ ขนึ้ มา ขดุ คยุ้ ขน้ึ มา เรา หลงสว่ นไหน ตอ้ งขดุ ขนึ้ มาใหห้ มด มนั จงึ จะเกดิ ความเขา้ ใจ อยา่ งชดั เจนแจม่ แจ้งข้ึน ขณะนัน้
๓๖ ไกต่ าบอด การขุดคุ้ยทั้งหมด ต้องคุ้ยด้วยปัญญา ไม่ใช่คุย้ ด้วย ความมืด ถ้าคุ้ยด้วยความมืด ก็เหมือนไก่ตาบอดน่ันเอง ไก่ ตาบอดมันคุ้ยอาหารตามพ้ืนต่างๆ มันเจอเม็ดพลอยเม็ดข้าว ตกข้ึนมา กินอะไรไม่ได้ มันคุ้ยไป คุ้ยแบบตาบอด แบบไก่ ตาบอดคยุ้ หาอาหาร ทำ� อะไรไมไ่ ดเ้ ลย จะมเี มด็ อาหารกนิ อรอ่ ย ก็ไมร่ ูจ้ ัก เพราะมันบอดนั่นเอง น้เี หมอื นกัน เราคยุ้ ธรรมะขน้ึ มา คุย้ ได้ คิดได้ แตม่ นั คุ้ยขน้ึ มาแบบตามตำ� รา ตามหลักการ แต่ปญั ญาเฉพาะตนเรา ไมเ่ ห็น ธรรมะสว่ นทเ่ี ราคยุ้ อยมู่ นั เปน็ อยา่ งไร นค่ี ือวา่ บอดเปน็ ตโม ตมปรายโน มืดมาแลว้ กม็ ดื อยู่ แล้วก็ยงั จะมดื ตอ่ ไป ถึง ภพหน้าชาตหิ น้า หาทางสนิ้ สุดไม่ได้เลย พยายามฝึกในชาตนิ ใ้ี หม้ คี วามสวา่ งขึ้นมาสกั นิดก็ยังดี ถึงจะไม่สว่างเต็มตัว ก็สว่างสักนิดหน่ึงก็ยังดี เราจะเห็นว่า ภาพพจน์ตา่ งๆ โลกต่างๆ วัฏฏะตา่ งๆ ท่ีเป็นมาในอดตี เราไม่ สามารถจะมองได้ ก็มองปัจจุบนั ชาตนิ ก้ี ่อน ในความแตกตา่ ง ของเรา
เรยี งความชวี ติ
๓๘ เรยี งความชวี ติ ถ้าเรามาเหน็ ปจั จบุ นั ชาตนิ เี้ ปน็ หลกั ยนื ตวั ไวแ้ ลว้ เราจะสามารถมองอดตี ไดว้ า่ ความเปน็ มาในอดตี เปน็ อยา่ งไร ถ้าเรามองเห็นความเป็นอยู่ในปัจจุบันชาตินี้ได้แล้ว เราจะ สามารถมองเห็นอนาคตได้เช่นเดียวกันว่า อนาคตจะเป็น อยา่ งไร เรียกวา่ ปจั จุปปันนญั จ โย ธัมมัง ให้เอาหลักปัจจุบัน เป็นหลักประกนั ตวั เป็นหลกั ประกนั ในการปฏบิ ัติ ส่วนมากเราไม่เข้าใจค�ำว่า ปัจจุบัน ไปตีความหมาย อย่างเดยี ว คอื วา่ ปจั จุปปนั นญั จ โย ธัมมัง จิตภาวนาปฏิบัติ นึกค�ำบริกรรมอย่างน้ีและห้ามคิด ห้ามคิดถึงสิ่งภายนอก ส่ิง ต่างๆ ให้ผา่ นไป อยา่ ไปคดิ อนาคตหา้ มคดิ ลกั ษณะให้อยกู่ ับ ปจั จุบนั อย่างน้ีเป็นหลกั ปัจจุบันของวิธีท�ำสมาธิ แตป่ จั จบุ นั ทางปญั ญาทำ� อยา่ งไร ปจั จบุ นั มคี วามหมาย วา่ ปจั จปุ ปนั นญั จ โย ธมั มงั เชน่ เดยี วกนั นน้ั คอื เอาชาตปิ จั จบุ นั เปน็ ของยนื ตวั มนั แตกตา่ งกนั เอาชาตปิ จั จบุ นั เปน็ ตวั หลกั เปน็ ตวั ยนื ไว้กอ่ นวา่ ปจั จบุ นั ชาติเรามีอะไรบา้ ง ต้งั แตเ่ กดิ มาจาก
รูใ้ จ ๓๙ วันน้ันจนถึงปัจจุบันน้ี เราต้องรู้เห็นปัจจุบันชาติน้ีว่า เรามี ความเปน็ มาอยา่ งไร เหน็ ทกุ วนั เรยี บเรยี งชวี ติ เรามาไดต้ งั้ แต่ วัยเด็กจนถึงวัยหนุ่มสาวขึ้นมา จนถึงวัยเฒ่าวัยแก่ข้ึนมา จนถงึ ปจั จบุ นั น้ี คอื วา่ เรยี บเรยี งชาตปิ จั จบุ นั ของตวั เอง เรยี ก ว่า ปัจจุบันชาติ ถ้าเราเห็นปัจจุบัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราสามารถจะเรยี บเรยี งไปถงึ วันตายเราได้เลย แต่จุดหมายปลายทางคือวันตาย จะเอาจุดไหนเป็น หลกั ให้เอาอายุขัยเป็นหลักไว้ก่อน คร่าวๆ ไวก้ ่อน คนเราอยู่ ไม่เกินอายุขัยไปได้สักคน เมื่อถึงอายุขัยวัยแก่ชราก็ต้องตาย มันต้องดูคนท่ีตายก่อนเรา คนที่มีอายุมากๆ คนไหนท่ียังอยู่ ไม่มีสักคน เพราะคนต้องตายเหมือนกัน เราก็จะตายเหมือน กนั เมอื่ วนั ทเ่ี ราหมดอายขุ ยั จะไมแ่ ตกตา่ งกนั เลย นค่ี อื ปจั จบุ นั ชาติ เปน็ หลกั ยนื ตวั เรยี บเรยี งชวี ติ เราตงั้ แตว่ นั เกดิ จนถงึ ปจั จบุ นั ปจั จุบันชาติจนถึงวนั ตาย นเ้ี รยี กว่าปจั จุบนั ทางด้านปญั ญา อีกอย่างหนึ่ง ปัจจุบันของสมาธิ คือให้อยู่ในปัจจุบัน อารมณอ์ นั เดยี ว นกึ คำ� บรกิ รรมอารมณอ์ นั เดยี ว แตท่ างปญั ญา นี้ เอาปัจจุบันชาติดังท่ีกล่าวมาแล้ว ต้องคิดเรียบเรียงให้มัน เหน็ ความเปน็ จรงิ ความโดดเดน่ ในสจั ธรรมตา่ งๆ ใหม้ นั ชดั เจน
๔๐ เรยี งความชวี ิต มากข้ึนๆ ดทู งั้ เขาดทู งั้ เราใหเ้ หมอื นกนั ไมว่ า่ สามญั ลกั ษณะธาตุ ถ้าเป็นธาตุเหมือนๆ กัน จะมีอะไรแตกตา่ งกนั ไหม ไม่แตกต่าง กันเลย เกิดข้นึ มาแต่ละชาติ ก็มีการแก่ มีการเจ็บ มกี ารตาย เหมอื นกนั ทง้ั นัน้ นีธ่ าตเุ รา เป็นเหมือนกนั ทุกคน ทุกตวั สัตว์ น่ี การพิจารณาในปจั จบุ ันชาติ ปจั จุบนั เหมอื นกนั ปจั จบุ นั ชาตทิ ่ี ว่ามา น่ีเราให้เน้นหนกั ตัวน้ี ถ้าเรามองพิจารณาบ่อยๆ อย่างน้ีแล้ว มันจะมอง เหน็ ภาพอนาคตชาตหิ นา้ ภพหนา้ คำ� วา่ อนาคต หมายถงึ วา่ ชาตเิ กดิ ใหม่ ภพใหม่ ถา้ เรามองเหน็ ปจั จบุ นั ชาตชิ ดั เจนแลว้ เราจะมองไปภพหน้าชาติหน้า จะเหมือนกันเปี๊ยบเลย ไม่ แตกตา่ งกนั อนาคตชาตหิ นา้ ภพหนา้ เมอ่ื เราเกดิ ใหมอ่ ยา่ งไร กจ็ ะเหมอื นปจั จบุ นั ชาตนิ ท้ี ง้ั หมด เกดิ ในทอ้ งแมแ่ หง่ เดยี วกนั เมอื่ เกดิ ขน้ึ มาแลว้ กห็ าอยหู่ ากนิ ใชช้ วี ติ เหมอื นๆ กนั กบั ชาติ ปัจจุบันน้ีท้ังหมด บางทีก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยข้ึนมา แล้วก็ ตาย จะเกดิ ในอนาคตชาตหิ นา้ รอ้ ยชาติ พนั ชาติ แสนชาติ ก็ตาม ก็เหมอื นปจั จุบนั ชาตนิ ี้ทงั้ หมด ไม่มีส่ิงหน่ึงส่ิงใดเป็นของใครท้ังสิ้นในโลกใบน้ี ทุก
ร้ใู จ ๔๑ คนจะมากอบโกยจากโลกใบน้ี เหมือนกับว่ามันไม่มีปัญหา อะไรเลย นั่นเป็นค�ำโกหกตัวเอง หลอกตัวเองไปเฉยๆ แต่ สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่มีใครสมปรารถนาในโลกใบน้ี ใครมี ความต้องการอะไรก็แล้วแต่ มคี วามอยากอะไรกแ็ ลว้ แต่ ยงั ไมม่ ีใครสมปรารถนาสักสงิ่ เดียว ดสู วิ า่ เรามาเกดิ กบั โลกบ่อยๆ เพราะอะไร เพราะเรา ตอ้ งการสนองความอยากของตวั เอง อยากนัน้ อยากน้ี ตอนนี้ มันสมปรารถนาหรอื ยงั ยังไมส่ ม ยงั ไม่พอ ยังขอตอ่ ชาตหิ น้า เถอะนะ ขอแกม้ อื ใหม่ กย็ งั มขี อกนั อยู่ ยงั ปรารถนาตอ่ ไปเรอ่ื ยๆ ทนี ้เี รามาเกิดทกุ ครั้ง มาเกิดเพื่อแก้มือ แกม้ ือใหม่ใหด้ กี วา่ เก่า แต่ดหี รือยัง เทา่ เดมิ บางคนเลวรา้ ยมากกว่าเดิมเสยี อกี นเ่ี ขา เรยี กว่า คนไม่มปี ัญญา ถ้าเขามีปัญญาแล้ว จะสามารถเรียบเรียงชีวิตใน ปจั จุบนั ของเราได้ ตัง้ แต่วัยเด็ก จนถึงวยั หนุ่มวัยสาว จนถงึ ปจั จบุ นั จะเรยี บเรยี งชวี ติ เราไดว้ า่ จะเปน็ อยา่ งไรในวนั ขา้ ง หนา้ ตอ้ งเรยี บเรยี งไดใ้ นชาตนิ ี้ ถา้ เราเหน็ จรงิ อยา่ งนแี้ ลว้ คน เราใครบา้ งจะไปเกดิ ในภพหนา้ ชาตหิ นา้ ไมไ่ ป จะไปทำ� ไม ไป เกิดแลว้ ก็เทา่ เดิมกบั ชาตินอ้ี กี แหละ จะไปทำ� ไม เขาจึงอยตู่ วั
๔๒ เรยี งความชวี ิต เขาถงึ หยดุ กพ็ อแลว้ เอวัง ณ จุดน้นั การเกิดกับโลกใบน้ีเรา พอแล้ว เรามองเหน็ ทกุ ข์ โทษ ภัย ในภพหนา้ ชาตหิ นา้ ซง่ึ จะ เหมือนกบั ปจั จบุ นั นที้ ัง้ หมดเลย ใครจะกลา้ ไป
ขอหยดุ เสยี ที
Search