Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore aอนัตตา_บังคับบัญชาไม่ได้

aอนัตตา_บังคับบัญชาไม่ได้

Description: aอนัตตา_บังคับบัญชาไม่ได้

Search

Read the Text Version

๘๓อนตั ตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? 83 ยอ่ มเป็ นกายสกั ขีในทุกสถาน แต่วา่ ในชนเหล่าน้ัน ผูใ้ ดมีอรูป- ฌานเป็ นบาท ผูน้ ้ันยอ่ มเป็ นอุภโตภาควิมุติในอคั รผล (อรหตั ตผล) ทีน้ ี วุฏฐานะ โดยความเป็ นอนัตตา มีข้ นึ แกช่ นท้งั ๓ น้ัน ชนท้งั ๓ ก็เป็ นผูม้ ากดว้ ยเวท (ความร)ู้ ไดป้ ัญญินทรีย์ หลุดพน้ ดว้ ยสุญญตวโิ มกข์ ยอ่ มเป็ นธมั มานุสารี ในขณะแหง่ ปฐมมรรค เป็ นทิฏฐิปัตตะใน ๖ สถาน เป็ นปัญญาวมิ ุติในอคั รผลแล นพิ พาน ๒ – สอุปาทเิ สสนิพพาน อนปุ าทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพาน บรรลุแลว้ แต่ยงั ไม่ตาย ยงั มีขนั ธเ์ หลือ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหนั ตท์ ่ียงั ไม่ตาย เรียกวา่ สอุปาทิเสสบุคคล นิพพานของท่าน ชอ่ื วา่ สอุปาทิเสสนิพพาน คือ ยงั มีขนั ธเ์ หลือ แต่ถา้ เป็ นพระอรหนั ตท์ ี่ ส้ ินชวี ิตแลว้ เรียกวา่ อนุปาทิเสสบุคคล นิพพานของท่าน ช่อื วา่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ไม่มีขนั ธเ์ หลืออยอู่ ีก (สอปุ าทเิ สสมี ๙ บคุ คล สอุปาทเิ สสสูตร องฺ. นวก. เบอร์ ๓๗ ข้อ ๒๑๖ หนา้ ๗๔๙ ชดุ มหามกุฏ ฯ) ๔. ผล แสดงผลแหง่ เทศนา ๒ อยา่ ง คือ ๑) มุขยผล – ผลโดยตรง ๒) ปรมั ปรผล – ผลโดยออ้ ม ถา้ ฟังธรรมะแลว้ ไดผ้ ลจรงิ ๆ คือ มุขยผลโดยตรง ๙ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. ไดส้ ุตมยญาณ ๑๖ ๒. ไดอ้ รรถเวท ๕ ๓. ไดธ้ มั มเวท ๕ ๔.-๙. ไดว้ สิ ุทธิ ๖ มุขยผล ๙ อยา่ ง คือ ๑) สุตมยญาณ ๑๖ ขอ้ ปัญญาท่ีเกิดจากการฟัง ทาให้ แยกแยะธรรมตา่ ง ๆ ไดล้ ะเอียดลออ (ความรทู้ ่ีเกิดจากการฟังแลว้ _18-1133 (�����).indd 83 12/18/2561 BE 2:18 PM

๘๔84 อนัตตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรอื ? ทรงจาไว้ ไดแ้ ก่ ๑. อภิญเญยยธรรม ๒. ปริญเญยยธรรม ๓. ปหาตพั พธรรม ๔. สจั ฉิกาตพั พธรรม ๕. ภาเวตพั พธรรม ๖. หานภาคิยธรรม ๗. ฐิติภาคิยธรรม ๘. วิเสสภาคิยธรรม ๙. นิพเพธภาคิยธรรม ๑๐. สงั ขารท้งั หลายไม่เที่ยง ๑๑. สงั ขาร ท้งั หลายเป็ นทุกข์ ๑๒. ธรรมท้งั ปวงเป็ นอนัตตา ๑๓. น้ ีทุกขอริยสจั ๑๔. น้ ีทุกขสมุทยั อริยสจั ๑๕. น้ ีทุกขนิโรธอริยสจั ๑๖. น้ ีทุกขนิโรธ คามินีปฏิปทาอริยสจั . ศึกษาเพมิ่ ใน ขุททกนิกาย ปฏิสมั ภทิ ามรรค) ๒) อรรถเวท คือ ฟังแลว้ เขา้ ใจ ซาบซ้ ึง เกิดปี ติ ปราโมทย์ จากการเขา้ ใจในเน้ ือความ อรรถะเป็ นเน้ ือความ อรรถหมายถึงผล ก็ได้ ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ อฏั ฐกถา ปัจจยุบบนั วบิ าก กิริยา นิพพาน ๓) ธมั มเวท คือ ไดค้ วามซาบซ้ ึง ความไพเราะจากพยญั ชนะ เกิดปี ติ ปราโมทย์ ธรรมะเป็ นพยญั ชนะ ธรรมะหมายถึงเหตุก็ได้ ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ พระพุทธพจน์ ปัจจยั กุศล อกุศล อริยมรรค อรรถเวท ธมั มเวท คือ มีความรใู้ นเน้ ือความและมีความรู้ ในพยญั ชนะ สมกนั เขา้ กนั เกิดปี ติปราโมทย์ อรรถเวท ธรรม- เวทคือพุทธพจน์ท่ีมีถอ้ ยคาไพเราะ เน้ ือความลึกซ้ ึง ทาใหเ้ ขา้ ใจ. พระพทุ ธพจน์เป็ นเหตุของอฏั ฐกถา ที่เป็ นผล ปัจจยั เป็ นเหตุของ ปัจจยุบบนั ท่ีเป็ นผล กุศล-อกุศลเป็ นเหตุของวิบาก ซึ่งเป็ นผล หากดบั กุศล-อกุศลไดส้ ้ ินเชงิ ก็เป็ นเหตุแหง่ กิริยาของพระอรหนั ต์ อนั เป็ นผล อริยมรรคเป็ นเหตุใหถ้ ึงของพระนิพพานซึ่งเป็ นผล ๔)-๙) วิสุทธิ ๖ ไดแ้ ก่ สีลวสิ ุทธิจนกระทงั่ ถึงปฏิปทา- ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ไม่ถือเอาญาณทสั สนวสิ ุทธิ เพราะเป็ นมรรค อยใู่ นนิสสรณะแลว้ _18-1133 (�����).indd 84 12/18/2561 BE 2:18 PM

๘๕อนัตตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 85 สีลวสิ ุทธิยงั ไม่เขา้ ขน้ั ภาวนาโดยตรง ข้นั ภาวนาโดยตรง คือ สมถวิปัสสนา ซ่ึงเร่ิมจากจติ ตวสิ ุทธิ จติ ตวิสุทธิเป็ นสมถะ ที่เหลือ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ กงั ขาวิตรณวสิ ุทธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ๕ วิสุทธิน้ ี เป็ นวปิ ัสสนาปัญญา ปรมั ปรผล ผลท่ีในสมั ปรายภพ หรือผลหลงั ๆ ที่เกิดข้ นึ ไดแ้ ก่ สุขวิบาก ถา้ ไดอ้ บรมเจริญ ไดฟ้ ังธรรมะดี ปฏิบตั ิดี ปรมั ปรผล ผลก็ทาใหเ้ กิด ๑) ไดส้ ุขวปิ าก ๒) เกิดในสุคติภูมิ ๓) ไดโ้ ภคสมบตั ิ ๔) ไดร้ ปู สมบตั ิ ฯ ไดม้ ากมายเลย ส่ิงท่ีดีๆ ท้งั หลายที่เกิดข้ นึ จากการท่ีเราเจริญบุญกุศล ผลก็คือมีวบิ ากดว้ ย ๕. อุปาโย อุบาย หมายถึง ความฉลาด เป็ นปุพพภาคของ ปฏิปทาแหง่ มรรค อุบายที่เป็ นปุพพภาคปฏิปทาแหง่ มรรค คือ ๑)ศีล ๒)อินทริยสงั วร ๓)โภชเนมตั ตญั ญุตา ๔)ชาคริยานุโยค เป็ นขอ้ ปฏิบตั ิเบ้ ืองตน้ ในการอบรมมรรคมีองค์ ๘ อุบายอนั เป็ นเหตุใหเ้ กิดในภพภูมิที่ดี คือ ๑) ทาน ๒) ศีล ๓) บุญกิริยาวตั ถุอนั เป็ นโลกียะ ฯ นี่เป็ นอุบายใหเ้ จริญกุศล เพือ่ เป็ นปัจจยั ใหบ้ รรลุมรรคผล ๖. อาณตั ติ คือ คาสงั่ การบงั คบั การแนะนา การชกั จงู ไดแ้ ก่ ๑) ทาน เทถ เธอจงใหท้ านเถิด ๒) สีล รกฺขถ เธอจงรกั ษาศีลเถิด ๓) ภาวน ภาเวถ เธอจงเจริญภาวนาเถิด จะเป็ นการบงั คบั การเช้ อื เชิญ ใชส้ รา้ งอุบาย แสดงการ แนะนา การตกั เตือนเวไนยบุคคล เหลา่ น้ ี เป็ นเทศนาหาระใน เนตติปกรณท์ ้งั ส้ ิน _18-1133 (�����).indd 85 12/18/2561 BE 2:18 PM

๘๖86 อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? หลกั การพ้ นื ๆ เหลา่ น้ ี ทาใหเ้ ราเขา้ ใจอริยสจั ๔ วา่ อนั ไหน ควรกาหนดรู้ อนั ไหนควรละ อนั ไหนควรเจริญ แสดงอสั สาทะ อาทีนวะ นิสสรณะ ซ่ึงมีอยใู่ นพระไตรปิ ฎก ใหร้ วู้ า่ อาทีนวะ เป็ นทุกขสจั อสั สาทะเป็ นสมุทยั สจั นิสสรณะเป็ นมรรคและนิโรธ วิสุทธิ ๖ คือ สีลวสิ ุทธิจนกระทงั่ ถึงปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ เป็ นผลของการฟัง ไมเ่ อาญาณทสั สนวสิ ุทธิ เพราะญาณทสั สน- วสิ ุทธิคือมรรค ทบทวนสกั หน่อย เพ่อื ความไม่หลงลืม อสั สาทะ ไดแ้ ก่ สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ ตณั หา วปิ ลาส สุข โสมนัส แบ่งเป็ น ๒ อยา่ ง คือ ๑. เคหสิตะ สุขโสมนัสที่อิงอาศยั กามกิเลส เป็ นไปกบั กาม เป็ นอกุศล ไม่ควรเสพ ไมค่ วรเจริญ ๒. เนกขมั มสิตะ สุขโสมนัสท่ีอิงอาศยั กุศล ออกจากกาม เป็ นไปกบั กุศล ควรเสพ ควรเจริญ เคหสิตะ เช่น เวลาท่ีไปรบั ประทานอาหารอร่อยๆ ในหา้ ง ในรา้ นอาหารหรูๆ ไดค้ วามสุข ไปเที่ยวต่างประเทศ ชมวิวทิวทศั น์ อนั งดงาม เกิดสุขโสมนัสท่ีเป็ นเคหสิตะ เนกขมั มสิตะ เชน่ นัง่ ภาวนา เดินจงกรม เจริญกุศลตา่ งๆ แลว้ ไดค้ วามสุข น้ ีเป็ นสุขโสมนัสที่เป็ นเนกขมั มสิตะ อิฏฐารมณ์ (อารมณท์ ี่น่าปรารถนา) แบ่งเป็ น ๒ อยา่ ง คือ ๑. โดยสภาวะ อารมณท์ ่ีสวยๆ งามๆ ตามปกติเป็ นสภาวะ อิฏฐารมณ์ (รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธมั มารมณท์ ี่ดีๆ) ๒. โดยปริกปั ปะ อารมณไ์ ม่สวยไมง่ าม แตว่ า่ เป็ นท่ีชน่ื ชอบ สาหรบั บางคน เชน่ ชอบกินพริกเผ็ดๆ ชอบปลารา้ หมกั ไวน้ านๆ _18-1133 (�����).indd 86 12/18/2561 BE 2:18 PM

๘๗อนตั ตา บังคับบญั ชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 87 ชอบบีบนวดเจ็บๆ เรียกวา่ เป็ นอิฏฐารมณโ์ ดยปริกปั สาหรบั คน น้ ีเท่าน้ัน คนอ่ืนไมใ่ ช่ (เป็ นสภาวะอนิฏฐารมณส์ าหรบั คนอื่น) โดยสภาวะ คือ ตามความเป็ นจริง โดยปริกปั คือ ไมใ่ ช่ ตามความเป็ นจริง แตเ่ ป็ นที่ช่ืนชอบสาหรบั บางคน ตณั หา ๓ ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หาและวิภวตณั หา กามตณั หา ความยนิ ดีพอใจในกามธรรม เพอ่ื เสพล้ ิม (โลภ- เจตสิกที่ติดขอ้ งในกามจติ ๕๔ เจ.๕๒ รปู ๒๘ โดยยดึ เป็ นอารมณ)์ ภวตณั หา ความยนิ ดีพอใจในโลกียธรรม เพื่อความมีอยู่ (โลภเจตสิกที่ติดขอ้ งในโลกียจติ ๘๑ เจ.๕๒ รูป ๒๘) แบ่งเป็ น ๕ ประเภท คือ ความยนิ ดีพอใจในรปู ฌาน-อรูปฌาน รูปภพ-อรปู ภพ ความพอใจที่เจอื ดว้ ยสสั สตทิฏฐิ แมค้ วามยนิ ดีท่ีปราศจากสสั สต- ทิฏฐิ แตย่ นิ ดีดว้ ยโลภะในความมีอยู่ ก็เป็ นภวตณั หาได้ เชน่ พระ อริยบุคคลที่ยงั ยนิ ดีในชีวิต ยินดีในนามรปู ดว้ ยโลภทิฏฐิวปิ ปยุต วิภวตณั หา ความยนิ ดีพอใจที่เจือดว้ ยอุจเฉททิฏฐิ ปรารถนา ความขาดสญู ยนิ ดีในความไมม่ ีอยู่ ตณั หา ๑๐๘ ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ x อารมณ์ ๖ x ภายใน ภายนอก ๒ x กาล ๓ (อดีต อนาคต ปัจจุบนั ) อสั สาทะ สรุปคือ สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ เป็ นอารมณท์ ี่ดี ท่ีทาใหเ้ กิดวบิ ากท่ีดี เป็ นอพั ยากตธรรมก็มี กุศลธรรมก็มี เป็ น อกุศลธรรมก็มี ตณั หาและวิปลาส เป็ นอกุศลธรรมเท่าน้ัน สว่ นอาทนี วะ ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ทุกข์ โทมนสั แบ่งเป็ น ๒ อยา่ งเชน่ กนั คือ _18-1133 (�����).indd 87 12/18/2561 BE 2:18 PM

๘๘88 อนัตตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? ๑. เคหสิตะ ทุกขโ์ ทมนัสในกาม เชน่ หาเงินแลว้ หาไมไ่ ด้ อยากไดก้ ามแลว้ ไม่ได้ เป็ นทุกข์ ไปทางานเหน่ือยยาก เจ็บปวด เป็ นการหากามแตว่ า่ ไม่ได้ จึงไดร้ บั ความทุกขโ์ ทมนัส ๒. เนกขมั มสิตะ ทุกขโ์ ทมนัสในเนกขมั มะ เช่น นัง่ สมาธิ แลว้ ปวดเมื่อย เดินจงกรมแลว้ ปวดเมื่อย อยากไดฌ้ าน อยาก บรรลุแลว้ ไม่ได้ แตก่ ็ยงั ทา ยงั เจริญ เรียกวา่ ปฏิบตั ิธรรมมีหนา้ นองดว้ ยน้าตา น่ีเป็ นทุกขโ์ ทมนัสที่เป็ นเนกขมั มสิตะ แต่ควรเจริญ อนิฏฐารมณ์ แบ่งเป็ น ๒ อยา่ ง คือ ๑. โดยสภาวะ หมายถึง ของสกปรก เหม็น ไม่ดี แยจ่ ริงๆ รอ้ นเกินไป หนาวเกินไป เหม็นเกินไป ท่ีไมด่ ีจริงๆ เป็ นที่รกู้ นั ของชาวโลกทวั่ ไป เรียกวา่ สภาวะอนิฏฐารมณ์ ๒. โดยปริกปั ปะ หมายถึง ของดีแตไ่ ม่ชอบ เชน่ ทุเรียน กา้ นยาวอร่อยๆ แตบ่ างคนเกลียดมาก รสู้ ึกเหม็นมาก คนญี่ป่ ุน กินทุเรียนแลว้ จะอาเจยี น ฝรงั่ มากินอาหารไทยก็อาเจยี น เป็ นตน้ ปริกปั หมายถึง ไมใ่ ชต่ ามจริง เป็ นขอ้ แมเ้ ฉพาะบางคน เรียกวา่ อนิฏฐารมณโ์ ดยปริกปั แต่ถา้ เป็ นความจริง คือ ไม่ดี จริงๆ เรียกวา่ อนิฏฐารมณโ์ ดยสภาวะ จะดีหรือไมด่ ี ไมไ่ ดข้ ้ ึนอยกู่ บั ใครเป็ นผูต้ ดั สิน แตถ่ ือเอาคน สว่ นใหญ่ ท่ีเป็ นมชั ฌิมบุรุษ เอามนุษยท์ ี่เป็ นคนปานกลาง อาชีพ ปานกลาง ฐานะปานกลาง กาลงั ปานกลาง อายุปานกลาง แลว้ คนน้ ีบอกวา่ ดีหรือไมด่ ี แตจ่ ริงๆ สภาวะของมนั ดีหรือไมด่ ีอยใู่ นตวั อยแู่ ลว้ เพราะรูปทุกรปู มีอดีต อนาคต ปัจจุบนั ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด ทราม ประณีต _18-1133 (�����).indd 88 12/18/2561 BE 2:18 PM

๘๙อนัตตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? 89 เอาความหยาบ ละเอียด ทราม ประณีต มาวดั ถา้ เป็ น ฝ่ ายประณีต ละเอียด คือ อิฏฐารมณ์ แตถ่ า้ หยาบ ทราม คือ อนิฏฐารมณ์ ตวั จริงมี แต่จะบอกวา่ เป็ นอิฏฐารมณห์ รืออนิฏฐารมณ์ ก็ยาก ฉะน้ัน จึงเอามชั ฌิมบุรุษมาเป็ นผูต้ ดั สิน อิฏฐารมณ์ เป็ นอารมณข์ องกามาวจรกุศลวบิ ากจติ แน่นอน เปล่ียนแปลงไม่ได้ แต่เป็ นอารมณข์ องกุศลจิต หรืออกุศลจิตก็ได้ แลว้ แต่โยนิโสมนสิการ อนิฏฐารมณ์ เป็ นอารมณข์ องอกุศลวบิ ากจติ แน่นอน เปล่ียน แปลงไม่ได้ แตเ่ ป็ นอารมณข์ องกุศลจิต หรืออกุศลจติ ก็ได้ แลว้ แต่ โยนิโสมนสิการเชน่ กนั ทุกขตา ๓ ไดแ้ ก่ ๑. ทุกขทุกข์ ๒. วิปริณามทุกข์ ๓. สงั ขารทุกข์ ทุกขทุกข์ คือ ทุกขเวทนา โทมนัสเวทนา เป็ นทุกขจ์ ริงๆ วิปริณามทุกข์ คือ สุขเวทนา โสมนัสเวทนา เป็ นทุกข์ เพราะแปรปรวน เปล่ียนแปลงไป สงั ขารทุกข์ คือ ทุกขข์ องสงั ขารธรรมที่มีการเกิดดบั ไดแ้ ก่ จติ ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ รวมอุเบกขาเวทนา เวน้ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัสเวทนา อรรถเวท (ผล) แบ่งเป็ น ๕ อยา่ ง คือ ๑. อฏั ฐกถา ผลของพุทธพจน์ ๒. ปัจจยุบบนั ผลของปัจจยั ๒. วิบาก ผลของกุศล-อกุศล ๔. กิริยา ผลของการดบั กุศล-อกุศล ๕. นิพพาน ผลของการเจริญมรรค _18-1133 (�����).indd 89 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๐90 อนตั ตา บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? ธรรมเวท (เหต)ุ แบ่งเป็ น ๕ อยา่ ง คือ ๑. พุทธพจน์ เหตุของอฏั ฐกถา ๒. ปัจจยั เหตุของปัจจยุบบนั ๓. กุศล เหตุของกุศลวิบาก ๔. อกุศล เหตุของอกุศลวิบาก ๕. อริยมรรค เหตุท่ีทาใหถ้ ึงพระนิพพาน การละกุศล-อกุศล เป็ นเหตุทาใหไ้ ดก้ ิริยาของพระอรหนั ต์ วิสุทธิ ๖ เป็ นผลจากการท่ีไดฟ้ ังธรรมมาดี เขา้ ใจถูกตอ้ ง ๑. สลี วิสุทธิ (จตุปาริสุทธิศีล ๔ อยา่ ง) ๒. จติ ตวิสุทธิ (อุปจาร + อปั ปนา แมข้ ณิกสมาธิก็เป็ นบาท ของวิปัสสนาได)้ (อฏฺ . โกสลสตู ร สํ. มหา. ๓๐/๓๘๒) ๓. ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ (นามรูปปริเฉทญาณ) ๔. กงั ขาวิตรณวิสุทธิ (ปัจจยปริคคหญาณ) ๕. มคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ (อุทยพั พยญาณ ที่ผ่าน วิปัสสนูปกิเลสแลว้ ) ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ (ภงั คานุปัสสนาญาณ จนถึง สงั ขารุเปกขาญาณ) สลี วิสุทธิ ผูท้ ี่รกั ษาศีล จึงสามารถเจริญสมถวปิ ัสสนาไดผ้ ล เม่ือบารมีถึงพรอ้ มจึงบรรลุฌาน บรรลุมรรคได้ เป็ นวิสุทธิคือหมด จด แต่ถา้ ไมร่ กั ษาศีลก็บรรลุฌาน มรรคผลไม่ได้ หรือรกั ษาศีล แตไ่ ม่เจริญสมถวิปัสสนา ก็ไม่บรรลุฌาน ไมบ่ รรลุมรรคผลเชน่ กนั เพราะไม่ไดห้ มดจดจากความเป็ นอตั ตาตวั ตน สลี วิสุทธิคือศีลที่มี ความเขา้ ใจเรื่องสมถวิปัสสนาอยา่ งดี โดยเฉพาะเรื่องวิปัสสนา จงึ _18-1133 (�����).indd 90 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๑อนัตตา บังคับบญั ชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 91 จะเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดจิตตวิสุทธิ เรียกศีลน้ ีวา่ อธศิ ลี ศีลปกติของคน ทวั่ ไปเป็ นศีลธรรมดา แต่ถา้ ศีลที่เป็ นบาทของวิปัสสนาเป็ นอธศิ ลี อธิศีล คือ ศีลของผูท้ ่ีเขา้ ใจวปิ ัสสนา รกั ษาศีล แตไ่ มย่ ดึ มนั่ ถือมนั่ วา่ เป็ นศีลของเรา เน่ืองจากศีลคือเจตนา วิรตี สงั วร เป็ น สภาพธรรม ไม่ใชอ่ ตั ตา ไม่ใชเ่ ราที่รกั ษาศีล อธิศีลเป็ นสีลวิสุทธิ เป็ นศีลหมดจด เพราะวา่ ไม่เป็ นท่ีต้งั ของตณั หา มานะ ทิฏฐิ จติ ทวั่ ไป แมก้ ระทงั่ สมาบตั ิ ๘ ก็เป็ นเพียงจิต ไมช่ ่ือวา่ จติ ตวิสุทธิ ไม่ใชอ่ ธิจติ แตถ่ า้ จิตของผูท้ ่ีเจริญวิปัสสนา หรือ สมาบตั ิท่ีเป็ นบาทของวปิ ัสสนา เป็ นอธจิ ติ ตอ้ งมีสุตมยญาณดีแลว้ ไม่เชน่ น้ัน ก็อาจทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจผิด เชน่ พระพทุ ธพจน์ที่วา่ ดกู อ่ นภิกษุท้งั หลาย เธอจงเจริญ สมาธิเถิด เพราะเม่ือจิตต้งั มนั่ แลว้ ยอ่ มรชู้ ดั ตามความเป็ นจริง ถามวา่ ถา้ มีสมาธิต้งั มนั่ ดีแลว้ จะรูช้ ดั ตามความเป็ นจริงโดย อตั โนมตั ิไหม ? หากไม่มีสุตมยปัญญา จะรูช้ ดั ตามความเป็ นจริง ไดอ้ ยา่ งไร ? ไมไ่ ดเ้ ป็ นอตั โนมตั ิ ไมไ่ ดไ้ หลไปเอง ถา้ เป็ นเชน่ น้ัน พวกฤาษีตอ้ งไดบ้ รรลุกนั ท้งั หมด ฉะน้ัน ตอ้ งมีสุตมยญาณดีแลว้ จงึ จะไหลไปดว้ ยกระแสแหง่ วปิ ัสสนาตามลาดบั ตอ้ งเจริญวปิ ัสสนา ดว้ ย แตถ่ า้ ไมม่ ีสุตมยญาณดี แมผ้ ูท้ ่ีไดส้ มาบตั ิ ๘ ก็บรรลุไม่ได้ ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจา้ สอนใหท้ าสมาธิ สอนใหท้ า ฌาน แต่วา่ ถา้ ทาฌาน โดยที่ไม่เขา้ ใจวิปัสสนา ท่านแสดงวา่ ไม่เป็ นสลั เลขธรรม (สมาบตั ิ ๘ ไมเ่ ป็ นสลั เลขธรรม) รูปสมาบตั ิ ๔ น้ันเป็ นเพยี งสุขวิหารธรรม เคร่ืองอยเู่ ป็ นสุข ไม่ใชส่ ลั เลขธรรม _18-1133 (�����).indd 91 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๒92 อนัตตา บังคับบัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? อรูปสมาบตั ิ ๔ เป็ นสนั ตวิหารธรรม เครื่องอยอู่ ยา่ งสงบ แตไ่ มใ่ ช่ สลั เลขธรรม เพราะถา้ ไมเ่ ขา้ ใจวปิ ัสสนาก็สาคญั ผดิ วา่ เราไดบ้ รรลุฌาน เป็ นฌานของเรา อรปู ฌานท่ีสงบเป็ นนิพพาน แต่การรกั ษากุศล- กรรมบถ ๑๐ เป็ นตน้ เป็ นสลั เลขธรรมได้ ถา้ เขา้ ใจวิปัสสนาถูกตอ้ ง การบงั เกิดข้ นึ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ก็เพ่ือวิปัสสนา ถา้ ไม่ อยากเจริญวิปัสสนาก็ไมจ่ าเป็ นตอ้ งมีพระพุทธเจา้ เลย พระพุทธเจา้ บงั เกิดข้ นึ มาเพ่อื ใหค้ นเจริญวิปัสสนา เพื่อใหบ้ รรลุถึงพระนิพพาน ถา้ แคเ่ กิดเป็ นพรหม พวกฤาษีชไี พรก็เป็ นพรหมได้ สามารถเกิด ในพรหมโลกได้ แต่ตอ้ งกลบั มาเวยี นวา่ ยในวฏั ฏะไมม่ ีส้ ินสุด วิสุทธิ ๖ เป็ นผลจากการฟัง ถา้ ฟังมาดี ก็จะมีสีลวิสุทธิ มีจิตตวสิ ุทธิ และปัญญาวสิ ุทธิอีก ๔ ไดแ้ ก่ ๑. สลี วิสุทธิ คือ จตุปาริสุทธิศีล ๔ (อธิศีล) ๒. จติ ตวิสุทธิ คือ อุปจาระ+อปั ปนา (อธิจิต) รวมท้งั ขณิก- สมาธิท่ีไม่มีนิวรณด์ ว้ ย เจริญวปิ ัสสนาอาศยั ขณิกะ อาศยั อุปาจาระ แต่อปั ปนาเจริญวิปัสสนาไมไ่ ด้ เพราะการเจริญวิปัสสนาตอ้ งเป็ น กามาวจร เป็ นมหากุศลจติ อปั ปนาเป็ นรูปาวจร-อรปู าวจร ตอ้ ง ออกจากฌานก่อน จงึ จะเจริญวปิ ัสสนาได้ ๓. ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ คือ นามรปู ปริเฉทญาณ เป็ นวิปัสสนาญาณ ท่ี ๑ เป็ นปัญญาสิกขา เป็ นอธิปัญญา สีลวิสุทธิเป็ นอธิศีลสิกขา จติ ตวสิ ุทธิเป็ นอธิจิตตสิกขา ๔. กงั ขาวิตรณวิสุทธิ คือ ปัจจยปริคคหญาณ (วิปัสสนา ญาณท่ี ๒) _18-1133 (�����).indd 92 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๓อนัตตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? 93 ๕. มคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ คือ อุทยพั พยญาณอยา่ ง กลา้ ท่ีพน้ จากวปิ ัสสนูปกิเลสไปแลว้ ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ ต้งั แต่ภงั คานุปัสสนาญาณ เป็ นตน้ ไป สมั มสนญาณไมจ่ ดั อยใู่ นวิสุทธิ ๗ เพราะเหตุไร ? เพราะวา่ ยงั ไม่พน้ จากวปิ ัสสนูปกิเลส รวมท้งั อทุ ยพั พยญาณอยา่ งอ่อน (ตรุณอุทยพั พยญาณ) ดว้ ย ญาณทสั สนวิสุทธิ คือ มคั คญาณ เป็ นผลของการปฏิบตั ิ เป็ นปฏิเวธ ตอ้ งเอาออก เพราะเป็ นผลของเทศนา คือ ไดว้ สิ ุทธิ ๖ (ผลโดยตรง) ญาณทสั สนวิสุทธิเป็ นมรรค จดั อยใู่ นนิสสรณะ อัตตศพั ท์ หรือ อัตตา มีความหมาย ๔ อย่าง อตั ตศพั ท์ หรอื อตั ตา มีความหมาย ๔ อยา่ ง คือ ๑. จติ ๒. อตั ภาพ ๓. กุศลธรรม ๔. ความเห็นผดิ ของเดียรถีย์ ๑. จติ อตตฺ านํ ทมยนฺติ ปณฺฑติ า – บณั ฑิตยอ่ มฝึกตน คือฝึกจิต ๒. อตั ภาพ นตถฺ ิ อตฺตสมํ เปมํ - ความรกั เสมอดว้ ยตน ไมม่ ี อตั ภาพ หมายถึง ภาวะที่ทาใหเ้ รายดึ ถือวา่ เป็ นอตั ตา คือ ร่างกาย หรือขนั ธ์ ๕ เพราะทาใหย้ ดึ ถือวา่ เป็ นอตั ตา เป็ นเรา ยดึ ถือวา่ เป็ นตวั ตนของเรา ๓. กุศลธรรม อตตฺ ทีปา ภิกขฺ เว วิหรถ - ดกู อ่ นภิกษุท้งั หลาย เธอท้งั หลายจงมีตนเป็ นที่พ่ึงอยเู่ ถิด หรือ อตตฺ าหิ อตฺตโน นาโถ – ตนเป็ นที่พึ่งแหง่ ตน ตนคาแรก คือ โลกีย-โลกุตตรกุศลธรรม ตนคาหลงั เป็ นบญั ญตั ิ ขณะที่นอนอยบู่ นเตียงมรณะ ร่างกายน้ ี _18-1133 (�����).indd 93 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๔94 อนัตตา บังคบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? เป็ นที่พ่ึงไมไ่ ดแ้ ลว้ ถึงหมอหรือลกู หลาน ญาติพวกพอ้ งก็เป็ นท่ีพ่ึง ไมไ่ ด้ ทรพั ยส์ ินสมบตั ิก็เป็ นท่ีพงึ่ ไมไ่ ด้ ขณะน้ัน ถา้ จติ เศรา้ หมอง เมื่อจุติแลว้ ก็ตอ้ งไปสอู่ บาย แสดงวา่ ไมไ่ ดม้ ีตนเป็ นที่พง่ึ เพราะไม่ มีกุศลธรรม ไมม่ ีพระรตั นตรยั เป็ นที่พ่ึง แต่ถา้ คิดถึงกุศล คิดถึง พระรตั นตรยั ดว้ ยกุศล เป็ นที่พ่ึงได้ อตั ตาคือตนในความหมายน้ ี จึงหมายถึงโลกียกุศลและโลกุตตรกุศล โลกียกุศลเป็ นท่ีพึ่งชวั่ คราว แต่โลกุตตรกุศลเป็ นท่ีพง่ึ ถาวร พน้ จากอบายภมู ิและทุกขท์ ้งั ปวง อตั ตา ๓ อยา่ ง ตามท่ีแสดงมาแลว้ น้ ี ท่ีมีความหมายเป็ น อตั ภาพ เป็ นบญั ญตั ิ แต่ที่หมายถึงจติ และโลกียกุศล โลกุตตรกุศล มีองคธ์ รรมเป็ นปรมตั ถ์ ๔. ปรมอตั ตะ อยํ อตตฺ า นิจโฺ จ ธุโว สสสฺ โต - อตั ตาน้ ีเป็ น ของเท่ียง ยงั่ ยนื ต้งั อยมู่ นั่ คง ไม่มีการแตกดบั เป็ นปรมอตั ตาของ พวกเดียรถีย์ ไม่มีจริง เป็ นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดของเดียรถีย์ ถา้ มีผูบ้ อกวา่ มีอตั ตาตวั ตนจริงๆ แสดงวา่ คนน้ันกาลงั มี ความเห็นผิด ถา้ เขา้ ใจวา่ อตั ตามีจริง เป็ นมิจฉาทิฏฐิ เพราะ อตั ตาจริงๆ ไม่มี มีแต่อนัตตาท้งั น้ัน อนัตตา คือ จิต เจตสิก รปู นิพพาน รวมท้งั บญั ญตั ิดว้ ย สรีระร่างกายก็ดี ขนั ธปัญจกะคือขนั ธ์ ๕ ก็ดี ตรสั เรียกวา่ อตั ภาพ เพราะความท่ีสภาวะน้ ี คนพาลกาหนดยดึ ถือวา่ เป็ น อตั ตาของเรา (อัฏฐสาลนิ ี อภิ. ส.ํ เบอร์ ๗๕ หนา้ ๒๑๘) ฉะน้ัน คาวา่ อตั ตา เป็ นบญั ญตั ิ แต่แสดงถึงจิต อตั ภาพ กุศลธรรม และแสดงถึงมิจฉาทิฏฐิคือความเหน็ ผิด ไม่มีสภาวะ ของอตั ตาจริงอยทู่ ี่ไหนเลย ถา้ ใครเขา้ ใจวา่ มีอตั ตา ก็เขา้ ใจผิด _18-1133 (�����).indd 94 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๕อนัตตา บงั คับบัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? 95 คาวา่ อตั ตาเป็ นบญั ญตั ิ สภาวธรรมท่ีเป็ นตวั จริงคืออะไร ? สภาวะของอตั ตาคือจิต อตฺตานํ ทมยนตฺ ิ ปณฺฑิตา – บณั ฑิตยอ่ ม ฝึกตน คือ ฝึกจิต ตนในท่ีน้ ีคือจติ จิตเป็ นปรมตั ถ์ อตั ตา หมายถึง อตั ภาพ คือ ร่างกาย เป็ นบญั ญตั ิ หรือ ขนั ธปัญจกะ (ขนั ธ์ ๕) เป็ นปรมตั ถ์ อตั ตาคือบญั ญตั ิ ภายใตอ้ ตั ตาเป็ นจติ บา้ ง เป็ นอตั ภาพบา้ ง เป็ นกุศลธรรมบา้ ง มิจฉาทฏิ ฐิบา้ ง พระพุทธเจา้ ตรสั เรียกบญั ญตั ิ คาวา่ อตั ตา โดยเทศนาโวหาร แต่ตวั อตั ตาจริงๆ ไมม่ ี อนตั ตา บังคบั บญั ชาไมไ่ ด้ จงึ ไม่ตอ้ งใช้หนี้ กอ่ นจบเรื่องอนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ไดใ้ นภาคแรกน้ ี มีนิทาน ที่มีมลู จากความจริง เป็ นอุทาหรณส์ อนใจ เก่ียวกบั ความเขา้ ใจผิด ในเร่ืองอนัตตามาเล่าใหฟ้ ังอีกเร่ืองหนึ่ง ... ชายหนุ่ม ๒ คนเป็ นเพ่ือนกนั มาต้งั แต่เป็ นพระภิกษุ ฟังธรรม จากอาจารยค์ ฤหสั ถค์ นเดียวกนั ผูม้ ีความชานาญดา้ นพระอภิธรรม และเจริญวิปัสสนาในชวี ิตประจาวนั โดยปฏิเสธการปฏิบตั ิธรรมใน หอ้ งกรรมฐาน อีกท้งั อาจารย์ ก็ไมส่ นับสนุนวถิ ีความเป็ นนักบวช โดยใหเ้ หตุผลวา่ ในยุคสมยั น้ ี การเป็ นพระภิกษุปฏิบตั ิตามพระ ธรรมวินัยไดย้ าก สหาย ๒ ท่านน้ ีก็มีความเห็นคลอ้ ยตาม จงึ ได้ ลาสิกขามาใชช้ วี ติ แบบฆราวาส ปฏิบตั ิธรรมในเพศคฤหสั ถ์ (ความจริงมีพระภิกษุท่ีใชช้ ีวติ รว่ มกนั ปฏิบตั ิแนวทางเดียวกนั ฟังธรรมจากอาจารยเ์ ดียวกนั น้ ีถึง ๙ รูป แต่ในท่ีสุดก็ลาสิกขาหมด เกล้ ียง ! เพราะขาดกลั ยาณมิตรท่ีแทจ้ ริง ... เพราะเป็ นอนัตตา ...) _18-1133 (�����).indd 95 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๖96 อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? เม่ือท้งั ๒ คนไดเ้ ป็ นคฤหสั ถส์ มใจตนเอง (ท้งั อาจารยด์ ว้ ย) ก็ตอ้ งทามาหารบั ประทาน ไม่สามารถจะไปขอเขาได้ เหมือนกบั เม่ือตอนเป็ นพระภิกษุแลว้ ท่านหนึ่งรปู รา่ งลา่ สนั พอมีความรู้ และสามารถพดู สอนพระธรรมวินัยได้ อาจารยจ์ ึงแนะนาใหม้ าร่วม ทางานเผยแพร่ธรรมดว้ ยกนั ซ่ึงท่านผูน้ ้ ีก็มีความเคารพรกั ในตวั ของอาจารยเ์ ป็ นทุนเดิมอยแู่ ลว้ จงึ ไดร้ บั ปากทนั ที โดยไมข่ อรบั ค่าตอบแทนใดๆ เนื่องจากมีญาติพวกพอ้ ง พ่ีนอ้ ง ท่ีพอจะมีฐานะ อยบู่ า้ ง จึงไมเ่ ดือดรอ้ นในเร่ืองการทามาหากิน แต่พอ่ เจา้ ประคุณอีกหน่อหนึ่ง รูปรา่ งผอมสูง ทางบา้ น ไม่ไดม้ ีฐานะเท่าไร จงึ ตอ้ งด้ ินรน ปากกดั ตีนถีบ ทางานทุกอยา่ ง ท่ีพอจะทาได้ รบั จา้ งลา้ งจาน เป็ นบ๋อยเสิรฟ์ อาหาร คา้ ขายเส้ ือผา้ รองเทา้ ฯลฯ ตามตลาดนัด ... ไอเ้ สือสทู้ ุกท่า แตบ่ ุญไม่นาพา วาสนาไม่นาสง่ ชวี ติ พอ่ หนุ่มใหญ่วยั ๓๕ ปี จงึ ไมร่ ุ่ง ทามาหา รบั ประทานเพยี งมีอยมู่ ีกินไปวนั ๆ เท่าน้ัน และยงั จะตอ้ งดูแลแมท่ ่ี ตาบอดอีกคนหนึ่ง มีพ่ีนอ้ งหลายคน แต่ละคนก็เอาตวั ไมค่ อ่ ยรอด แต่พอ่ เจา้ ประคุณท่านน้ ี ก็ยงั คงไปฟังธรรมจากอาจารยค์ ฤหสั ถผ์ ู้ เป็ นท่ีต้งั แหง่ ความเล่ือมใสอยา่ งไมข่ าดสาย ดว้ ยความประทบั ใจใน ธรรมะอนั ลึกซ้ ึงและลึกลบั ที่วา่ “ธรรมท้งั หลาย เป็ นอนตั ตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ ธรรมะเป็ นสงิ่ ทมี่ ีจรงิ สง่ิ ทปี่ รากฏทางตา เป็ นสง่ิ ทม่ี ีจรงิ เป็ นธรรมะ เป็ นอนตั ตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ ...” เมื่อเหน็ ท่าวา่ อนาคตของตน นอกจากจะไม่รุง่ แลว้ อาจจะ ตอ้ งรว่ งเป็ นแน่ ถา้ ไมเ่ ปล่ียนแปลง ทาอะไรใหด้ ีข้ นึ กวา่ น้ ี เมื่อคิด ดงั น้ ีแลว้ ก็นึกถึงเพ่ือนเกา่ ผูเ้ ป็ นวทิ ยากรสอนธรรมะ จงึ โทรไป _18-1133 (�����).indd 96 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๗อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรือ ? 97 ถามสุขทุกข์ และเอ่ยปากถามวา่ พอจะมีคนรูจ้ กั ที่พอจะหางาน อะไรก็ได้ ใหท้ าบา้ งหรือไม่ ? เพื่อนเก่าก็ใจดีมีกรุณา รบั ปากวา่ จะบอกญาติใหห้ างานใหท้ า ไมต่ อ้ งเป็ นหว่ ง ... ในไม่ชา้ เลย สหายผูส้ งู ชะลดู ก็ไดไ้ ปทางานยงั ท่าเรือคลองเตย ในตาแหน่งคนตรวจเช็คของ (Checker) แตเ่ น่ืองจากตอ้ งทางาน กลางแดดกลางฝน และสภาพร่างกายของสหายผูน้ ้ ี ก็ไม่กราแดด กราฝนเท่าท่ีควร ตอ้ งข้ นึ รถประจาทางไปทางานดว้ ย อุปสรรค มากมาย ท้งั อ่อนเพลียระเหย่ี ใจ ประกอบกบั ธรรมะท่ีมีอยใู่ นใจ ฝังใจวา่ ธรรมท้งั หลายเป็ นอนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จึงทาใหม้ ี ความคิดที่ไม่อยากจะฝืนสงั ขาร คือ คิดจะเปล่ียนงานใหม่ ไมน่ านเท่าไร จึงไดไ้ ปปรึกษากบั ญาติของเพ่อื นผูเ้ ป็ นวทิ ยากร ผูท้ ่ีฝากงานใหท้ าวา่ ตนเองคงจะทางานน้ ีไม่ไหว เพราะรา่ งกาย ออ่ นแอ สงั ขารยา่ แย่ ญาติของเพ่อื นวิทยากรก็แสนดี ไดถ้ ามวา่ “แลว้ คิดจะไปทางานอะไรเล่า ?” จึงไดต้ อบวา่ “ผมเคยเป็ นบ๋อย ในรา้ นอาหาร เคยชว่ ยเขาทา พอจะทาอาหารเป็ นอยบู่ า้ ง จึงคิด วา่ จะไปทาอาหารขาย” ญาติของเพื่อนพดู ข้ นึ วา่ “ก็ดี เพราะผูค้ น ตอ้ งกินอาหาร คงจะขายไดด้ ีนะ” จงึ เอย่ ถามตามมรรยาทวา่ “มี อะไรใหผ้ มชว่ ยบา้ งไหม ?” สหายผูส้ ูงปลอดจงึ กล่าววา่ “พอดีท่ี ศนู ยอ์ าหารแถวบา้ น มีแผงรา้ นอาหารวา่ งอยู่ คิดวา่ จะเปิ ดรา้ น อาหารฟาสตฟ์ ู้ดขายพวกนักศึกษา เพราะใกลม้ หาวิทยาลยั ค่าเชา่ ก็ไมแ่ พง แต่ติดที่วา่ ยงั ไม่มีเคร่ืองครวั จงึ ใคร่จะขอรบกวนยมื เงิน ทาทุนสกั กอ้ นหน่ึง เม่ือขายไดท้ ุนคืนแลว้ จะนามาคืนใหค้ รบั ” ญาติของเพอื่ นถามข้ นึ วา่ “ตอ้ งการเงินทาทุนสกั เท่าไร ?” _18-1133 (�����).indd 97 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๘98 อนัตตา บงั คับบญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? ผูม้ ีธรรมะเป็ นอนัตตาอยูใ่ นใจ รีบตอบทนั ทีวา่ “สกั ๒ แสน เหน็ จะพอนะครบั ” ญาติเพื่อนวิทยากร “... !” เงิน ๒ แสน เม่ือ ๒๐ ปี ก่อน ก็มากพอดูทีเดียว แตญ่ าติ ของเพือ่ นวิทยากรเห็นวา่ เป็ นเพอื่ นของญาติ ประกอบกบั เป็ นผู้ กตญั ญู เล้ ียงดมู ารดาตาบอด และญาติผูน้ ้ ีก็มีคุณธรรมประจาใจ คิดวา่ “สนับสนุนใหค้ นขยนั ทามาหากิน ศึกษาธรรมะดว้ ย คงจะ ไมโ่ กงหรอกนะ” จงึ ไม่ไดท้ าสญั ญาเป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษรดว้ ยความ เชอื่ ใจนัน่ เอง จึงใหไ้ ปเปิ ดบญั ชเี งินฝากและโอนเงินใหท้ นั ที เมื่อไดเ้ งินทาทุนแลว้ สหายผูข้ ยนั ก็เร่ิมซ้ ือเครื่องใชไ้ มส้ อย เก่ียวกบั การทาครวั เป็ นจานวนเงินเกือบแสนเลยทีเดียว เพื่อจะได้ เปิ ดรา้ นใหม่ ท้งั ไมโครเวฟ หมอ้ หุงขา้ ง เตาแกส๊ จาน ชาม หมอ้ ชอ้ นสอ้ ม มีดทาครวั จปิ าถะ ท่ีจะสรรหามาได้ โดยวาด ฝันไวว้ า่ คงจะตอ้ งขายดี เพราะเป็ นเขตมหาวทิ ยาลยั มีนักศึกษา เป็ นแสน ตอ้ งมากินอาหารกลางวนั และเย็นท่ีรา้ นน้ ีแน่ละน่า ! ... ลืมไปเสียสนิทวา่ เขตมหาวทิ ยาลยั ก็ตอ้ งมีศนู ยอ์ าหารหลาย แหง่ แต่ละแหง่ ก็ตอ้ งมีหลายรา้ น การท่ีจะขายอาหารไดด้ ี ตอ้ ง ข้ นึ อยกู่ บั ปัจจยั หลายอยา่ ง ท้งั รสชาติ รปู ลกั ษณข์ องอาหาร รวมท้งั ของพอ่ ครวั แมค่ รวั ฝีมือ ทาเล บริการ มรรยาท ฝีปาก ฯลฯ สหายผูเ้ ป็ นวทิ ยากรชวนเพือ่ นๆ และผูร้ ว่ มศึกษาธรรมไปชว่ ย อุดหนุนท่ีรา้ นอาหารของเพ่ือนผูน้ ้ ีหลายคร้งั รสชาติอาหารก็พอ ทานได้ ราคาก็ไม่แพง เพราะขายพวกนักศึกษา แต่รา้ นอาหารใน ศนู ยอ์ าหารมีมากจนลานตา ... ผ่านไปไม่ถึงปี สหายผูเ้ ป็ นพอ่ คา้ ขาดการไปฟังธรรมะนานพอสมควร ไดข้ า่ วอีกที ก็เลิกกิจการขาย _18-1133 (�����).indd 98 12/18/2561 BE 2:18 PM

๙๙อนัตตา บังคับบญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? 99 อาหารไปเสียแลว้ อยบู่ า้ นดแู ลแมต่ าบอด โดยไม่คิดจะทางานอะไร อีก เพราะมีพี่สาวอยตู่ ่างประเทศคอยส่งเงินมาให้ ใชเ้ ล้ ียงดูคุณแม่ ตาบอดและตนเอง พอดารงชีวติ อยไู่ ด้ ดว้ ยความสนั โดษ ... ? สหายผูเ้ ป็ นวทิ ยากรเคยไปเยย่ี มเยยี น แลว้ ถามวา่ “เม่ือเลิก กิจการขายอาหารแลว้ เครื่องครวั เหล่าน้ันเอาไปทาอะไร ?” ก็ได้ คาตอบวา่ “เซง้ ใหค้ นอ่ืนไปแลว้ ไมก่ ี่พนั บาท” จงึ ถามข้ นึ วา่ “แลว้ จะเอาเงินที่ไหนไปใชค้ ืนญาติของผมเลา่ ?” ไดร้ บั คาตอบวา่ “มีเม่ือไหร่ค่อยใชค้ ืนใหก้ ็แลว้ กนั ...” (เพราะธรรมะเป็ นอนัตตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ ?) เพือ่ นเก่าถึงกบั งง ! ไปเหมือนกนั ในที่สุด สหายวิทยากรผูน้ ้ัน เมื่อไดส้ อนพระธรรมวนิ ัยมากข้ นึ ก็ไดร้ วู้ า่ ธรรมะท่ีอาจารยส์ อนวา่ เป็ นอนัตตาบงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ น้ัน ไม่ไดต้ รงกบั ความหมายในพระไตรปิ ฎก อฏั ฐกถา และฎีกา โดยเฉพาะเร่ืองการปฏิบตั ิ ในสติปัฏฐานสูตร ไดเ้ คยเอาหนังสือ พระไตรปิ ฎกและอฏั ฐกถา ไปช้ แี จงกบั อาจารยผ์ ูส้ อน แต่ก็ไดร้ บั การยนื ยนั วา่ ไม่ควรตดิ พยญั ชนะ ในพระไตรปิ ฎกมากเกินไป จงึ ทาใหต้ อ้ งตดั สินใจวา่ จะเลือกสอนธรรมะตามอาจารยท์ ่านน้ ี หรือจะสอนและปฏิบตั ิตามพระไตรปิ ฎกอฏั ฐกถาดี ในท่ีสุดก็ไดร้ บั คาแนะนาจากพระมหาเถระรูปหนึ่งวา่ พระรตั นตรยั อยใู่ นพระ ไตรปิ ฎก จึงทาใหไ้ ดค้ ิดวา่ เราบวชและศึกษาธรรม เพ่อื เขา้ ถึง พระรตั นตรยั ควรมอบกายถวายชวี ติ ใหก้ บั พระรตั นตรยั ไม่ควร มอบชีวติ น้ ีไวใ้ หก้ บั บุคคล เม่ือตกลงใจสอนธรรมตามพระไตรปิ ฎก อฏั ฐกถา ทาใหข้ ดั กบั คาสอนของอาจารย์ จึงตอ้ งออกจากสถาบนั ที่สอนธรรมะของอาจารยท์ ่านน้ันไป ... _18-1133 (�����).indd 99 12/18/2561 BE 2:18 PM

1๑0๐0๐ อนัตตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? เป็ นอนั วา่ กลบั ไดอ้ ิสระ ไดศ้ ึกษา ไดป้ ฏิบตั ิและไดส้ อนพระ ธรรมวินัยตามพระไตรปิ ฎก อฏั ฐกถา ฎีกา เป็ นสุขใจยง่ิ นัก ไมต่ อ้ ง เดือดรอ้ นใจ ท้งั ในปัจจุบนั และอนาคตชาติ พอกนั ที กบั ธรรมะที่ เป็ นอนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จนขาดการรบั ผิดชอบ ประพฤติ ล่วงศีล ออกนอกพระธรรมวินัยโดยไมร่ ตู้ วั ... ทุกวนั น้ ี สหายผูส้ ูงโยง่ ผูน้ ้ัน ก็ยงั คงฟังธรรมและปฏิบตั ิธรรม ตามอาจารยค์ ฤหสั ถท์ ่านน้ัน โดยท่ียงั ไมไ่ ดใ้ ชห้ น้ ี ๒ แสนบาท แมเ้ พยี งจะโทรศพั ทไ์ ปผดั ผ่อนก็ไมม่ ี โดยถือหลกั ธรรมะท่ีวา่ ธรรม ท้งั หลายเป็ นอนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ น้ ีแหละ เป็ นหลกั ปฏิบตั ิ ของผูป้ ฏิบตั ิสายน้ ี ? ญาติผูเ้ ป็ นเจา้ หน้ ีก็ชา่ งดีเหลือหลาย คิดไดว้ า่ ในอดีตคงตอ้ ง เคยไปเอาเงินเขามา ชาติน้ ีก็ใชค้ ืนเขาไป ทาใหส้ บายใจ ถือวา่ เป็ นการทาบุญก็แลว้ กนั เพราะธรรมะเป็ นอนตั ตาเช่นน้ ีเอง ?... นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ํ สุขใดไปส่ ขุ เท่า นฤพาน พน้ จากแก่งกนั ดาร ส่ีได้ คือชาตชิ ราพยาธิกาล มรณะ ทุกข์แฮ สร้างกศุ ลใด-ให้ มุง่ แมน้ เมอื งเขษม ะฯ _18-1133 (�����).indd 100 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนัตตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จริงหรอื ? ๑๐1๑01 ภาคผนวก ความตา่ งกันของโลกียขนั ธ์ กบั โลกตุ ตรขนั ธ์ ลาดบั โดย โลกียขนั ธ์ โลกุตตรขนั ธ์ ๑ สภาวะ จิต ๘๑, เจ. ๕๒, รปู ๒๘ มคั คจิ. ๔, ผลจิ. ๔, เจ. ๓๖ ๒ ขนั ธ์ ๕ ขนั ธ์ (รปู ข. ๑+นาม ข. ๔) นามขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ (มนายตนะ+ ๓ อายตนะ อายตนะ ๑๒ ธมั มายตนะ) ๔ ธาตุ ธาตุ ๑๘ ธาตุ ๒ (มโนวิญญาณธาตุ+ ธมั มธาตุ) ๕ ปรมตั ถธรรม ปรมตั ถธรรม ๓ (จิ.+เจ.+รุ.) ปรมตั ถธรรม ๒ (จิ.+เจ.) ๖ ภมู ิ ท้งั ๔ ภมู ิ โลกุตตรภมู ิ ๗ ชาติ ท้งั ๔ ชาติ และรปู ชาติ ๒ ชาติ (กุศล + วบิ าก) ท้งั สมั ปยุตและวิปปยุต สมั ปยุตเท่าน้ัน ๘ สมั ปยุต (สมั ปยุต ๕) (ญาณสมั ปยุต) ๙ อารมณ์ เป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส ไมเ่ ป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส ๑๐ อริยสจั อริยสจั ๒ (ทุกขฯ+สมุทยั ฯ) อริยสจั ๑ (มคั คฯ+สจั จวมิ ุติ) ๑๑ กิจในอริยสจั กิจ ๒ (ปริญญาฯ+ปหานฯ) ๑ กิจ (ภาวนาฯ + ไมม่ กี ิจ) ๑๒ ชื่อพิเศษ อุปาทานขนั ธ์ วิสุทธิขนั ธ์ เหตุผล เป็ นท่ียดึ เป็ นอารมณข์ อง หมดจด ไมเ่ ป็ นที่ยึดถือ ๑๓ เพราะ อุปาทานได้ ของอุปาทานฯ ๑๔ สุญญตา สญู จากอตั ตา สูญจากอตั ตา ไมส่ ญู จากกิเลส และสูญจากกิเลสท้งั ปวง ไมง่ าม ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ งาม ไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ ๑๕ สภาพธรรม เป็ นอนัตตา เป็ นอนัตตา ๑๖ วฏั ฏะ/วิวฏั ฏะ เป็ นไปกบั วฏั ฏะ/โลกียะ ไมเ่ ป็นไปกบั วฏั ฏะ/โลกุตตระ _18-1133 (�����).indd 101 12/18/2561 BE 2:18 PM

10๑2๐๒อนตั ตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? ความเหมือนกันของโลกยี ขันธ์กับโลกตุ ตรขนั ธ์ ลาดบั โดย โลกียขนั ธ์ โลกุตตรขนั ธ์ ๑ ขนั ธ-์ ธาตุ เป็ นขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ เช่นกนั ๒ ไตรลกั ษณ์ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาเหมอื นกนั ๓ สงั ขต/สงั ขาร เป็ นสงั ขตธรรม / สงั ขารธรรมเหมอื นกนั ๔ ปรมตั ถธรรม เป็ นสภาพท่ีมีจริง มีสภาวลกั ษณะ ไม่ใชบ่ ญั ญตั ิเหมือนกนั ๕ อภิญเญยธรรม เป็ นอภิญเญยธรรมในสว่ นของปริยตั ิเหมือนกนั ๖ อารมั มณปัจจยั เป็ นอารมั มณปัจจยั ไดเ้ หมือนกนั ๗ ปกตูปนิสสยฯ เป็ นปกตูปนิสสยปัจจยั ไดเ้ หมือนกนั มตฺตาสขุ ปริจจฺ าคา ปสเฺ ส เจ วิปุลํ สุขํ จเช มตตฺ าสุขํ ธโี ร สมฺปสฺสํ วิปลุ ํ สขุ ํ. ถา้ บุคคลพึงเห็นสุขอนั ไพบลู ย์ พึงสละสุขพอประมาณเสีย ผูม้ ี ปัญญา เมื่อเหน็ สุขอนั ไพบลู ย์ ก็พึงสละสุขพอประมาณ ความเหมอื นกนั ของอุปาทานขันธ์ กับ ขนั ธปุ าทาน ลาดบั โดย อุปาทานขนั ธ์ (คือขนั ธ์ ๕) ขนั ธุปาทาน (คืออุปาทาน ๔) ๑ โลกีย/โลกุตตร เป็ นโลกียะเท่าน้ันเหมอื นกนั ๒ สงั ขต/สงั ขาร เป็ นสงั ขตธรรม/สงั ขารธรรม มปี ัจจยั ปรุงแต่งเหมอื นกนั ๓ อารมณ์ เป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส ของอุปาทานไดเ้ หมือนกนั ๔ วฏั ฏะ/ววิ ฏั ฏะ เป็ นไปในวฏั ฏะเหมือนกนั ๕ ไตรลกั ษณ์ ไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาเหมือนกนั ๖ สุญญตา สูญจากความงาม เท่ียง สุข ความเป็ นอตั ตาเหมอื นกนั ๗ วปิ ัสสนารมณ์ เป็ นอารมณข์ องวิปัสสนาไดเ้ หมอื นกนั _18-1133 (�����).indd 102 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จริงหรือ ? ๑๐1๓03 ความต่างกันของอปุ าทานขันธ์ กับ ขันธปุ าทาน ลาดบั โดย อุปาทานขนั ธ์ (โลกียขนั ธ์ ๕) ขนั ธุปาทาน (อุปาทาน ๔) ขนั ธ์ ๕ อนั เป็ นท่ีต้งั ของ อุปาทาน ๔ ท่ียึดถือใน ๑ ความหมาย อุปาทาน ๔ ขนั ธ์ ๕ ๒ จาแนก รูปขนั ธ-์ เว.-สญั .-สงั .- กาม-ทิฏฐิ-สีลพั พต- วญิ ญาณขนั ธ์ อตั ตวาทุปาทาน จิต ๘๑ + เจตสิก ๕๒ + ตณั หา (โลภ เจ.) + ๓ สภาวะ รปู ๒๘ ทิฏฐิ (ทิฏฐิ เจ.) ๔ ขนั ธ์ เป็ นขนั ธท์ ้งั ๕ เป็ นสงั ขารขนั ธ์ ๕ ภมู ิ กามภูมิ รูปภมู ิ อรูปภมู ิ กามภมู เิ ท่าน้ัน กุศล-อกุศล-วบิ าก- ๖ ชาติ กิริยา-รูปชาติ อกุศลชาติเท่าน้ัน ๗ อริยสจั เป็ นทุกขสจั + สมุทยั สจั ตณั หาเป็ นสมุทยั สจั ทิฏฐิเป็ นทุกขสจั ปริญญากิจ กาหนดรู้ ปหานกิจ ตอ้ งละ ๘ กิจในอริยสจั (ละสมุทยั ดว้ ย) (กาหนดรูด้ ว้ ย) ๙ กุสลติกะ กุศล + อกุศล + อพั ยากตะ อกุศลเท่าน้ัน ๑๐ ปรมตั ถธรรม ปรมตั ถ์ ๓ (จิ.+เจ.+รุ.) เจตสิกปรมตั ถเ์ ท่าน้ัน ๑๑ สงั กิเลส เป็ นกิเลสก็มี ไมใ่ ชก่ ิเลสก็มี กิเลสธรรมอยา่ งเดียว ๑๒ จานวน มี ๕ (องคธ์ รรมมากในขอ้ ๓)มี ๔ (องคธ์ รรม ๒ ในขอ้ ๓) เป็ นท้งั กิเลส กรรมและ ๑๓ วฏั ฏะ ๓ วปิ ากวฏั ฏ์ เป็ นกิเลสวฏั ฏ์ ๑๔ ปหายกะ/ เป็ นท้งั ปหายกะ ปหาตพั พะ เป็ นปหาตพั พธรรม ปหาตพั พะ และไมใ่ ช่ท้งั ๒ พึงถูกละเท่าน้ัน _18-1133 (�����).indd 103 12/18/2561 BE 2:18 PM

10๑4๐๔อนัตตา บังคบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? ความต่างกันของวสิ ุทธิขนั ธ์ กบั อุปาทานขนั ธ์ ลาดบั โดย วิสุทธิขนั ธ์ อุปาทานขนั ธ์ ๑ สภาวะ มคั คจ.ิ ๔, ผลจ.ิ ๔, เจ. ๓๖ จิต ๘๑, เจ. ๕๒, รปู ๒๘ ๕ ขนั ธ์ ๒ ขนั ธ์ นามขนั ธ์ ๔ (รปู ขนั ธ์ ๑+นามขนั ธ์ ๔) ๓ อายตนะ อายตนะ ๒ (มนายตนะ อายตนะ ๑๒ + ธมั มายตนะ) ธาตุ ๒ (มโนวญิ ญาณธาตุ ๔ ธาตุ + ธมั มธาตุ) ธาตุ ๑๘ ๕ ปรมตั ถธรรม ปรมตั ถธรรม ๒ (จิ.+เจ.) ปรมตั ถธรรม ๓ (จ.ิ +เจ.+รุ.) ๖ ภูมิ โลกุตตรภูมิ ท้งั ๔ ภูมิ ๗ ชาติ ๒ ชาติ (กุศล + วิบาก) ท้งั ๔ ชาติ และรูปชาติ สมั ปยุตเท่าน้ัน ท้งั สมั ปยุตและวิปปยุต ๘ สมั ปยุต (ญาณสมั ปยุต) (สมั ปยุต ๕) ๙ อารมณ์ ไมเ่ ป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส เป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส อริยสจั ๑ อริยสจั ๒ ๑๐ อริยสจั (มคั คสจั + สจั จวมิ ุติ) (ทุกขสจั + สมุทยั สจั ) ๑๑ กิจในอริยสจั ๑ กจิ (ภาวนากจิ +ไมม่ ีกจิ ) กิจ ๒ (ปริญญาฯ+ปหานฯ) ๑๒ ชื่อพิเศษ วิสุทธิขนั ธ์ อุปาทานขนั ธ์ เหตุผล หมดจด ไมเ่ ป็ นท่ียดึ ถือ เป็ นที่ยึด เป็ นอารมณข์ อง ๑๓ เพราะ ของอุปาทานฯ อุปาทานได้ ๑๔ สุญญตา สญู จากอตั ตาและสูญจาก สูญจากอตั ตา ไมส่ ญู จาก กิเลสท้งั ปวง กิเลส อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ _18-1133 (�����).indd 104 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนัตตา บังคบั บญั ชาไม่ได้ จรงิ หรอื ?๑๐1๕05 ความเหมอื นกันของวสิ ทุ ธิขนั ธ์ กบั อปุ าทานขันธ์ ลาดบั โดย วิสุทธิขนั ธ์ อุปาทานขนั ธ์ ๑ ขนั ธ-์ ธาตุ เป็ นขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ เช่นกนั ๒ ไตรลกั ษณ์ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาเหมือนกนั ๓ สงั ขต/สงั ขาร เป็ นสงั ขตธรรม / สงั ขารธรรมเหมือนกนั ๔ ปรมตั ถธรรม เป็ นสภาพท่ีมีจริง มีสภาวลกั ษณะ ไมใ่ ช่บญั ญตั ิเหมือนกนั ๕ อภิญเญยธรรม เป็ นอภิญเญยธรรมในสว่ นของปริยตั ิเหมือนกนั ๖ อารมั มณปัจจยั เป็ นอารมั มณปัจจยั ไดเ้ หมือนกนั ๗ ปกตูปนิสสยฯ เป็ นปกตปู นิสสยปัจจยั ไดเ้ หมอื นกนั ปมาโท มจจฺ โุ น ปทํ ความเหมอื นกันของวิสทุ ธิขันธ์ กับ ขนั ธวมิ ุติ ลาดบั โดย วิสุทธิขนั ธ์ ขนั ธวิมุติ ๑ ภมู ิ เป็ นโลกุตตรภมู ิ โลกุตตรธรรมเหมือนกนั ๒ ไตรลกั ษณ์ (รวมเรียกวา่ โลกุตตรธรรม ๙) ๓ สุญญตา เป็ นอนัตตาเหมือนกนั ๔ พน้ จากวิปลาส สูญจากอตั ตา ไมส่ ญู จากสุภะเหมอื นกนั ๕ เป็ นอารมณ์ เป็ นสภาวะท่ีงามเหมือนกนั ๖ อสาธารณะ ไมเ่ ป็ นอารมณข์ องอาสวะกิเลสใดๆ เหมอื นกนั ๗ พระสทั ธรรม มเี ฉพาะพระอริยเจา้ เหมือนกนั ๘ อติอิฏฐารมณ์ ปฏิเวธสทั ธรรมเหมอื นกนั เป็ นอิฏฺ€™ -น่าปรารถนา กนฺต-น่าใคร่ มนาป-น่าชอบใจ โดยสว่ นเดียว _18-1133 (�����).indd 105 12/18/2561 BE 2:18 PM

10๑6๐๖อนตั ตา บังคบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? ความตา่ งกนั ของวสิ ทุ ธขิ นั ธ์ กับ ขนั ธวิมตุ ิ ลาดบั โดย วสิ ุทธิขนั ธ์ (ขนั ธอ์ นั บรสิ ุทธ์ิ) ขนั ธวิมุติ (ไม่ใชข่ นั ธ)์ ๑ สภาวะ โลกุตตรจิต ๘ + เจตสิก ๓๖ พระนิพพาน นามขนั ธ์ ๔ พน้ จากขนั ธ์ ๒ ขนั ธ-์ ธาตุ (มนายตนะ+ธมั มายตนะ) (ธมั มายตนะ/ธมั มธาตุ) ๓ ปรมตั ถธรรม ปรมตั ถ์ ๒ (จิต + เจตสิก) นิพพานปรมตั ถ์ ๔ ชาติ กุศลชาติ + วิบากชาติ ไมม่ ีชาติ เพราะไมม่ ีการเกิด เป็ นสมั ปยุตตธรรม เป็ นวปิ ปยุตตธรรม ๕ สมั ปยุต (ญาณสมั ปยุต) (ไมป่ ระกอบกบั ธรรมใด) ๖ ไตรลกั ษณ์ ไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา เท่ียง เป็ นสุข เป็ นอนัตตา อารมั มณิกะ / ๗ อารมณ์ มีนิพพานเป็ นอารมณ์ อนารมั มณะ / ไมร่ อู้ ารมณ์ ๘ สงั ขต/สงั ขาร สงั ขตธรรม/สงั ขารธรรม อสงั ขตธรรม/วิสงั ขารธรรม ๙ อริยสจั มคั คสจั และ สจั จวมิ ุติ นิโรธสจั ภาวนากิจ และ ๑๐ กิจในอริยสจั ไมม่ ีกิจในอริยสจั สจั ฉิกิริยากิจ ๑๑ ปหาน สมุจเฉทปหาน นิสสรณปหาน ปฏิปัสสทั ธิปหาน เหตุผล หมดจดจากตณั หา ไมม่ อี าการ ๑๑ อยา่ ง ๑๒ เพราะ อุปาทาน อาสวกิเลส มอี ดีต อนาคต เป็ นตน้ ๑๓ สุญญตา สญู จากนิจจงั สุขงั อตั ตา สญู จากอตั ตา ไมส่ ูญจากสุภะ ไมส่ ูญจากนิจจงั สุขงั สุภะ พน้ จาก งาม ไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ งาม เท่ียง เป็ นสุข ๑๔ วปิ ลาส เป็ นอนัตตา เป็ นอนัตตา _18-1133 (�����).indd 106 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนัตตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ?๑๐1๗07 ความต่างกนั ของขันธ์ ๕ กบั อุปาทานขันธ์ ๕ ลาดบั โดย ขนั ธ์ ๕ อุปาทานขนั ธ์ ๕ จิต ๘๙ + เจตสิก ๕๒ + จิต ๘๑ + เจตสิก ๕๒ + ๑ สภาวะ รปู ๒๘ รูป ๒๘ ๒ โลกีย/โลกุตตร โลกียะ + โลกุตตระ โลกียะเท่าน้ัน ทุกขสจั +สมุทยั สจั + ๓ อริยสจั มคั คสจั +สจั วิมุติ ทุกขสจั + สมุทยั สจั ๔ อารมณ์ เป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส เป็ นอารมณข์ องสงั กิเลส ไดแ้ ละไมไ่ ด้ ได้ สาธารณะ/ โลกุตตรขนั ธไ์ มส่ าธารณะ สาธารณะท้งั ปุถุชนและ ๕ อสาธารณะ กบั ปุถุชน พระอริยะ ... ๖ รวม – แยก อุปาทานขนั ธ์ ๕ + ปรมตั ถธรรม ๓ – (ลบ) วิสุทธิขนั ธ์ วสิ ุทธิขนั ธ์ ๔ ภูมิ = กาม-รูป-อรูป- ๗ ภมู ิ โลกุตตรภูมิ ๓ ภมู ิ = กาม-รปู -อรปู ภูมิ ๘ นิพพาน จิตรนู้ ิพพาน แน่นอน ๘/ จิตรนู้ ิพพานเป็ นอารมณ์ อารมณ์ ไมแ่ น่นอน ๑๑ ไมแ่ น่นอน ๑๑ อภิญเญย/ปริญเญย/ ๙ ธรรม ๕ ปหาตพั พ/ภาเวตพั พ/ อภิญเญย/ปริญเญย/ ปหาตพั พ/ภาเวตพั พ สจั ฉิกาตพั พธรรม สงขฺ ารา สสฺสตา นตฺถิ สงั ขารท้ังหลายที่เท่ยี ง ไมม่ ี _18-1133 (�����).indd 107 12/18/2561 BE 2:18 PM

10๑8๐๘อนตั ตา บงั คับบญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? ความเหมอื นกนั ของขนั ธ์ ๕ กบั อุปาทานขนั ธ์ ๕ ลาดบั โดย ขนั ธ์ ๕ อุปาทานขนั ธ์ ๕ ๑ ปรมตั ถธรรม ปรมตั ถธรรม ๓ เหมือนกนั (จิต + เจตสิก + รปู ) ๒ สงั ขต/สงั ขาร เป็ นสงั ขตธรรมและสงั ขารธรรมเหมือนกนั ๓ กาล มีอดีต อนาคต ปัจจุบนั เหมือนกนั ๔ อาการ มีอาการ ๑๑ เท่ากนั เพราะเป็ นขนั ธ์ ๕ ไตรลกั ษณ์ มีอนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตตลกั ษณะเหมือนกนั ๖ นิพพาน ไมร่ วมพระนิพานเหมอื นกนั (นิพพานไมใ่ ช่ขนั ธ)์ ๗ ชาติ มี ๔ ชาติ และ รูปชาติเหมอื นกนั อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นทพี่ ่งึ ของตน ความเหมอื นกนั ของญาตปรญิ ญา ตีรณปรญิ ญาและปหานปริญญา ลาดบั โดย ปริญญา ๓ ๑ ภาวนากุศล เป็ นกุศลขน้ั วิปัสสนาภาวนาเหมือนกนั ๒ ปัญญา ๓ สงั ขาร เป็ นปัญญาเจตสิกเหมือนกนั ๔ กิจในอริยสจั เป็ นสงั ขารขนั ธแ์ ละเป็ นสงั ขารธรรมเหมอื นกนั ๕ ผูท้ ากิจ เป็ นปริญญากิจ กาหนดรทู้ ุกขสจั เหมือนกนั ๖ อารมณ์ เป็ นกิจของมคั คสจั เหมือนกนั โลกียปริญญารอู้ ารมณท์ ี่เป็ นโลกียะเหมือนกนั _18-1133 (�����).indd 108 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนตั ตา บังคับบัญชาไม่ได้ จริงหรือ ?๑๐1๙09 ความต่างกนั ของญาตปริญญา ตีรณปรญิ ญา และปหานปรญิ ญา ลาดบั โดย ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา ๑ ปัญญา อภิญญาปัญญา ปริญญาปัญญา ปหานปัญญา รรู้ อบในส่ิงท่ี รรู้ อบดว้ ยการ ๒ คาแปล เรียนรูม้ าแลว้ พิจารณา รรู้ อบแลว้ ละได้ ๓ ความหมาย สุตมยญาณ กาหนดรดู้ ว้ ย พิจารณา จินตามยญาณ การพิจารณา ไตรลกั ษณ์ ภาวนามยญาณ ไตรลกั ษณ์ แลว้ ละกิเลสได้ บางส่วน สภาวลกั ษณะ สามญั ญลกั ษณะ สามญั ญลกั ษณะ ๔ อารมณ์ (ปัจจตั ตลกั ษณะ) (ไตรลกั ษณ)์ (ไตรลกั ษณ)์ ๕ ละกิเลส สกั กาย-อเหตุก- สสั สต-อุจเฉท ตณั หา มานะ วสิ มเหตุกทิฏฐิ ทิฏฐิ ทิฏฐิ ฯ ๒ ขน้ั (นามรปู - ๒ ขน้ั (สมั มสน- ภงั คญาณที่ ๕ ๖ วปิ ัสสนาญาณ ปัจจยปริคคหฯ) อุทยพั พยญาณ) เป็ นตน้ ไป ๗ วสิ ุทธิ ๗ ทิฏฐิ-กงั ขา มคั คามคั คญาณ- ปฏิปทาญาณ- วติ รณวิสุทธิ ทสั สนวิสุทธิ ทสั สนวสิ ุทธิ สุต+จินตา+ จินตา + ๘ ญาณ ๓ ภาวนามยญาณ ภาวนามยญาณ ภาวนามยญาณ ๙ สทั ธรรม ๓ ปริยตั ิ + ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิ + ปฏิเวธ ๑๐ โลกีย/โลกุตตระ โลกียะ โลกียะ โลกียะ/โลกุตตระ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที _18-1133 (�����).indd 109 12/18/2561 BE 2:18 PM

1๑1๑0๐ อนตั ตา บงั คับบัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? บทส่งท้าย วิปสั สนามอี ารมณอ์ ดตี อนาคต ปจั จุบนั ะฯ คงมคี นจานวนไมน่ อ้ ย ที่เขา้ ใจวา่ การเจริญวิปัสสนาตอ้ งมี อารมณเ์ ป็ นปัจจุบนั เทา่ น้นั และมีคาสอนท่ีวา่ “ใหอ้ ยกู่ บั ปัจจบุ นั ” แต่ปัจจุบนั ท่ีพระพุทธเจา้ สอนน้ันลึกซ้ ึงกวา่ ปัจจุบนั ในยุคน้ ีมาก คาวา่ “ก็บุคคลใด เหน็ แจง้ ธรรมะปัจจบุ นั ” ในภทั เทกรตั ตสูตร (ม. มู.) หนา้ ๔๘ ในหนังสือเล่มน้ ี หมายถึงปัจจุบนั อทั ธา คือ ตลอดท้งั ชาติ ไมใ่ ชห่ มายถึงปัจจุบนั ขณะหรือปัจจุบนั สนั ตติเท่าน้ัน ดูในอัฏฐสาลนิ ี อัฏฐกถากณั ฑวรรณนา เรื่องปัจจบุ นั ๓ อยา่ ง (สงฺ. อภิ. ๗๖/๕๗๙ พระไตรปฎิ กชุดมหามกฏุ ราชวิทยาลยั ) ยิ่งไปกวา่ น้ัน การเจริญวปิ ัสสนา ยงั สามารถพจิ ารณาขนั ธ์ ๕ ในอดตี ชาตกิ ็ได้ ดใู นอัฏฐกถาขัชชนยี - สูตร (สํ. ขนฺธ. ๒๗/๑๙๐), ในอฏั ฐกถาและฎีกาสามญั ญผลสตู ร แสดงวา่ วิปัสสนามีอารมณไ์ ด้ ๗ อยา่ ง โดยจาแนกตามภมู ิ ๒ โดย กาล ๓ และโดยสนั ตานะ ๒ คือ ๑. ปริตตารมณ์ ๒. มหคั คตารมณ์ ๓. อตีตารมณ์ ๔. อนาคตารมณ์ ๕. ปัจจุปันนารมณ์ ๖. อชั ฌตั - ตารมณ์ ๗. พหทิ ธารมณ์ (อฏฺ . ท.ี สี. ๑๓/๔๗๗ พระไตรปฎิ กชุด มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, อภินวฎีกา. ที. สี. ข้อ ๒๔๙) (โปรดจาไวว้ า่ ไม่ควรยดึ มนั่ ถือมนั่ ในตารา แตก่ ็ไม่ควรยดึ มนั่ ถือมนั่ ในบุคคล และไมค่ วรไวใ้ จจิตใจของตนที่ยงั ไม่ส้ ินอาสวกิเลส) น หิ ปรยิ ตตฺ ิธโร ทกุ ขฺ โต น มจุ จฺ ติ. ผทู้ รงปริยตั ิ จะไมพ่ น้ ไปจากทุกข์ ไมม่ ี (อัฏฐกถาสัมโมหวโิ นทนี ขุททกวัถตุวภิ งั ค์ ว.ิ อภิ. ๗๘/๘๗๘) _18-1133 (�����).indd 110 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนตั ตา บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? ๑1๑1๑1 บญุ นิธิกัณฑสตู ร บุรุษยอ่ มฝังขมุ ทรพั ยไ์ วใ้ นน้าลึกดว้ ยคิดวา่ เม่ือกิจที่จาเป็ น เกิดข้ นึ ทรพั ยน์ ้ ีจกั เป็ นประโยชน์แก่เรา เพื่อเปล้ ืองตนจากราชภยั บา้ ง เพื่อชว่ ยตนใหพ้ น้ จากโจรภยั บา้ ง เพอื่ เปล้ ืองหน้ ีบา้ ง ใน คราวทุพภิกขภยั บา้ ง ในคราวคบั ขนั บา้ ง ขมุ ทรพั ยท์ ี่เขาฝังไวใ้ น โลก ก็เพ่อื ประโยชน์น้ ีแล ขมุ ทรพั ยน์ ้ันยอ่ มหาสาเร็จประโยชน์แก่เขาไปท้งั หมด ในกาล ทุกเม่ือทีเดียวไม่ เพราะขมุ ทรพั ยน์ ้ัน เคลื่อนจากท่ีไปเสียบา้ ง ความจาของเขาคลาดเคล่ือนเสียบา้ ง นาคท้งั หลายลกั ไปเสียบา้ ง ยกั ษ์ท้งั หลายลกั ไปเสียบา้ ง ผูร้ บั มรดกท่ีไม่เป็ นท่ีรกั ขดุ เอาไป เม่ือ เขาไม่เหน็ บา้ ง ในเวลาที่เขาส้ ินบุญ ขมุ ทรพั ยท์ ้งั หมดน้ันยอ่ มสญู ไป ขุมทรพั ยค์ ือบุญของผูใ้ ด เป็ นสตรีก็ตาม เป็ นบุรุษก็ตาม ฝังไวด้ ีแลว้ ดว้ ย ทาน ศีล สญั ญมะ–ความสารวม ทมะ-ความ ฝึกตน ในเจดียก์ ็ดี ในสงฆก์ ็ดี ในบุคคลก็ดี ในแขกก็ดี ในมารดาก็ดี ในบิดาก็ดี ในพีช่ ายก็ดี. ขุมทรพั ยน์ ้ัน ช่อื วา่ ฝังไวด้ ีแลว้ ใครๆ ไมอ่ าจผจญได้ เป็ นของติดตามตนไปได้ บรรดาโภคะท้งั หลายที่ เขาจาตอ้ งละไป เขาก็พาขมุ ทรพั ยค์ ือบุญน้ันไป ขมุ ทรพั ยค์ ือบุญ ไม่สาธารณะแต่ชนเหลา่ อ่ืน โจรก็ลกั ไป ไมไ่ ด้ บุญนิธิอนั ใด ติดตามตนไปได้ ปราชญพ์ ึงทาบุญนิธิอนั น้ัน. บุญนิธิน้ัน อานวยผลที่น่าปรารถนาทุกอยา่ งแก่เทวดาและมนุษย์ ท้งั หลาย. เทวดาและมนุษยป์ รารถนานักซ่ึงอิฐผลใดๆ อิฐผล ท้งั หมดน้ันๆ อนั บุคคลยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี _18-1133 (�����).indd 111 12/18/2561 BE 2:18 PM

1๑12๑๒ อนตั ตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? ความมีวรรณะงาม ความมีเสียงเพราะ ความมีทรวดทรงดี ความมีรูปงาม ความเป็ นใหญ่ยงิ่ ความมีบริวาร อิฐผลท้งั หมด น้ัน อนั บุคคลยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี ความเป็ นพระราชาเฉพาะ ประเทศ ความเป็ นใหญ่คือจกั รพรรดิราช สุขของพระเจา้ จกั รพรรดิท่ีน่ารกั ความเป็ นพระราชาแหง่ เทวดา ในทิพยกาย ท้งั หลาย อิฐผลท้งั หมดน้ัน อนั บุคคลยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี สมบตั ิของมนุษย์ ความยนิ ดีในเทวโลก สมบตั ิคือพระ นิพพานอนั ใด อิฐผลท้งั หมดน้ันอนั บุคคลยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี ความท่ีบุคคลอาศยั สมั ปทา คุณเคร่ืองถึงพรอ้ มคือมิตรแลว้ ถา้ ประกอบโดยอุบายท่ีชอบ เป็ นผูช้ านาญในวชิ ชา และมุตติ อิฐผลท้งั หมดน้ัน อนั บุคคลยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี ปฏิสมั ภิทา วโิ มกข์ สาวกบารมี ปัจเจกโพธิและ พุทธภมู ิ อนั ใด อิฐผลท้งั หมดน้ัน อนั บุคคลยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี บุญสมั ปทา คุณเคร่ืองถึงพรอ้ ม คือ บุญน้ัน เป็ นไปเพ่อื ประโยชน์ใหญอ่ ยา่ งน้ ี เพราะฉะน้ัน บณั ฑิตผูม้ ีปัญญาจงึ สรรเสริญ ความเป็ นผูท้ าบุญไวแ้ ล (ขุ. ขุ . ๓๙/๓๐๒) ดกู ่อนภิกษุทง้ั หลาย เธอทัง้ หลายอยา่ ไดก้ ลัวต่อบุญเลย คำว่า บญุ นี้ เปน็ ช่ือแห่งความสขุ อันน่าปรารถนา นา่ ใคร่ น่ารัก นา่ พอใจ (มา ภกิ ฺขเว ปญุ ฺ านํ ภายิตฺถ, สุขสฺเสตํ ภกิ ขฺ เว อธวิ จนํ อฏิ ฺ€สฺส กนฺตสสฺ ปยิ สฺส มนาปสฺส ยทิทํ ปญุ ฺ านิ) (ขุ. อิต.ิ ๔๕/๑๔๑) _18-1133 (�����).indd 112 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนัตตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? ๑๑11๓3 บุญสัมปทาคอื ขมุ ทรพั ย์โดยปรมตั ถ์ (ปรมตฺถนธิ ิ) จดุ ประสงค์ในการฝังขุมทรพั ย์ (สะสมทรพั ย์ ฝากธนาคาร ฯ) ๑. เปล้ ืองตนจากราชภยั ๒. ช่วยตนใหพ้ น้ จากโจรภยั ๓. เปล้ ืองหน้ ี ๔. ในคราวทุพภิกขภยั ๕. ในคราวคบั ขนั (เล้ ียงตนยามแก่เฒ่า ซ้ ือบา้ น ซ้ ือรถ ชอ๊ ปป้ ิ ง เท่ียวต่างประเทศ รอบโลกฯ) (ตณหฺ าปตฺถนา สมุทัยสจั ) สาเหตุท่ีทำใหข้ ุมทรพั ย์สญู หายไป ๑. เคลื่อนจากท่ีไปเสีย ๒. ความจาของเขาคลาดเคล่ือน (ธนาคารลม้ ละลาย หุน้ ตก ฯ) ๓. นาคท้งั หลายลกั ไป ๔. ยกั ษ์ท้งั หลายลกั ไป (เล่นการพนันเสีย ติดอบายมุข ฯ) ๕. ผูร้ บั มรดกที่ไมเ่ ป็ นท่ีรกั ขดุ เอาไป เมือ่ เขาไมเ่ ห็น (ญาติ พวกพอ้ งโกง ลกั ถูกปลน้ จ้ ี ฯ) ๖. ในเวลาที่เขาส้ ินบุญ ขมุ ทรพั ยท์ ้งั หมดน้ัน ยอ่ มสูญไป(เหตุในอดีตคือเคยทาอทินนาทาน)(เหลา่ นเ้ี ป็นผลของอกศุ ลกรรม) ขุมทรพั ยค์ ือบญุ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? ควรฝังไว้ในทีไ่ หน ? ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. สญั ญมะ (สมถะ/อินทริยสงั วร) ๔. ทมะ-ความฝึกตน (วิปัสสนา) (บุญกิริยาวตั ถุ ๑๐, กุศลกรรมบถ ๑๐, บารมี ๑๐, โพธิปักขยิ - ธรรม ๓๗, มงคล ๓๘ ฯ) (เหลา่ น้เี ปน็ โลกียมคั คสจั ) ๑. ในเจดีย์ ๒. ในสงฆ์ ๓. ในบุคคล ๔. ในแขก ๕. ในมารดา ๖. ในบิดา ๗. ในพี่ชาย ฯ อฏิ ฐผลแห่งขุมทรพั ย์คือบญุ ได้แก่ อะไรบ้าง ? ๑. ความมีวรรณะงาม (สุวณฺณตา) ๒. ความมีเสียงเพราะ (สุสรตา) ๓. ความมีทรวดทรงดี (สุสณฺ านา) ๔. ความมรี ูปงาม (สุรปู ตา) ๕. ความเป็ นใหญ่ย่งิ (อาธิปจฺจ) ๖. ความมีบริวาร (ปริวาโร) ๗. ความเป็ นพระราชาเฉพาะประเทศ (ปเทสรชฺช) ๘. ความเป็ นใหญ่คือจกั รพรรดิราช (อิสฺสริย) ทุกขสัจ ๙. สุขของพระเจา้ จกั รพรรดิที่น่ารกั (จกฺกวตฺติสุข ปิ ย) ปริญเญยยะฯ ๑๐. ความเป็ นพระราชาแหง่ เทวดาในทิพยกายท้งั หลาย (เทวรชฺชมฺปิ ทิพฺเพสุ) _18-1133 (�����).indd 113 12/18/2561 BE 2:18 PM

1๑14๑๔ อนตั ตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรือ ? ๑๑. สมบตั ิของมนุษย์ (มานุสฺสิกา สมฺปตฺติ) ๑๒. ความยินดีในเทวโลก (เทวโลเก รติ) สมบตั ิ ๓ ๑๓. สมบตั ิคือพระนิพพานอนั ใด (นิพฺพานสมฺปตฺติ) นโิ รธสัจ ๑๔. ความท่ีบุคคลอาศยั สมั ปทา คุณเครื่องถึงพรอ้ มคือมติ รแลว้ (มิตฺต- สมฺปทมาคมฺม) ถา้ ประกอบโดยอุบายที่ชอบ (โยนิโส เจ ปยุญฺชโต) ภาเวตัพพธรรม (กลั ยาณมิตร + โยนิโสมนสิการ) ๑๕. เป็ นผูช้ านาญในวิชชาและวมิ ุตติ (วิชฺชาวิมุตฺติวสีภาโว) (มรรค + ผล) ๑๖. ปัญญาเครื่องแตกฉาน ๔ (ปฏสิ มฺภิทา) (อรรถ+ธรรม+นิรุตติ+ปฏภิ าณ) ๑๗. ความหลุดพน้ วเิ ศษ ๘ (วิโมกฺขา) (วรรณกสิณรูปฌาน ๓+อรูปฌาน ๔ +นิโรธสมาบตั ิ ๑) ๑๘. ความถึงฝั่งแหง่ พระสาวก (สาวกปารม)ี สจั ฉิกาตัพพธรรม ๑๙. ความเป็ นพระปัจเจกพุทธเจา้ (ปจฺเจกโพธิ) และ ๒๐. ความเป็ นพระพุทธเจา้ (พุทฺธภมู ิ) อนั ใด อิฐผลท้งั หมดน้ัน อนั บุคคล ยอ่ มไดด้ ว้ ยบุญนิธิน้ ี บุญสมั ปทา คุณเคร่ืองถึงพรอ้ มคอื บุญน้นั เป็ นไปเพอื่ ประโยชน์ ใหญ่ (มหตฺถิกา) อยา่ งน้ ี เพราะฉะน้นั บณั ฑิตผมู้ ีปัญญาจงึ สรรเสริญ ความเป็ นผูท้ าบุญไว้ (กตปุญฺ ตา) แล วโิ มกข์ ๘ ๑. บุคคลมีรปู ยอ่ มเห็นรปู ท้งั หลาย (รปู ี รูปานิ ปสฺสติ) (รูปฌานที่ใหเ้ กิดข้ นึ ในโกฏฐาสมีผมเป็ นตน้ ในภายใน) ๒. บุคคลไมม่ ีความสาคญั ในรปู ภายใน เหน็ รูปภายนอก (อชฺฌตฺต อรูปสญฺ ฺ พหทิ ฺธา รูปานิ ปสฺสติ) (ไมม่ ีบริกรรมสญั ญาในรปู ภายใน ไดฌ้ านใน อารมณ์ภายนอก เพราะทาบริกรรมในวตั ถุภายนอก) ๓. บุคคลยอ่ มน้อมใจไปวา่ ส่ิงน้ ีงามทีเดียว (สุภนฺเตว อธิโมกฺโข โหติ) (ฌานท้งั หลายในวรรณกสิณ มีสีเขยี วเป็ นตน้ ท่ีบรสิ ุทธ์ิดีแลว้ ) ๔. อากาสานัญจายตนะ ๕. วญิ ญาณญั จายตนะ ๖. อากิญจญั ญายตนะ ๗. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ๘. สญั ญาเวทยติ นิโรธ ดบั สญั ญาและเวทนา _18-1133 (�����).indd 114 12/18/2561 BE 2:18 PM

อนตั ตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? ๑1๑1๕5 ปรมตฺถนธิ ิ – ขุมทรัพยโ์ ดยปรมตั ถ์ ๑ ชนท้งั หลาย ฝังทรพั ยไ์ ว้ ใชป้ ระโยชน์ เพื่อหลีกโทษ สารพดั บาบดั ทุกข์ เพื่อเปล้ ืองตน พน้ ภยั หมายเสพสุข สเู้ บิกบุก ฟันฝ่ า ชะลา่ ใจ ๒ ขุมทรพั ยห์ า ไดใ้ ช้ จา่ ยท้งั หมด เคล่ือนยา้ ยหด ลดมลู สูญสลาย ที่เสื่อมหนัก ถกู ลกั ปลน้ โดนทาลาย ยามสุดทา้ ย หมดบุญ สูญส้ ินแล ๓ ขมุ ทรพั ยแ์ ท้ แน่นอน บนั่ ทอนทุกข์ บนั ดาลสุข ใสสงั ข์ ดงั่ ดวงแข คือบุญกรรม นาสุขใจ ไมผ่ นั แปร เฒ่าชแล แกช่ รา ไมค่ ลาไคล ๔ ติดตามได้ แหง่ หนใด ไปทุกท่ี ไมห่ ลบล้ ี หนีหนา้ ลาไถล ท้งั ชาติน้ ี ชาติหนา้ ชาติใดใด ไมท่ าลาย ดว้ ยไฟ ดินน้าลม ๕ ใครปลน้ ชิง วิง่ จ้ ีลกั มจิ กั ได้ ไมส่ ญู หาย ย่ิงใชจ้ ่าย ยิ่งสงั่ สม ดงั่ ดอกเบ้ ีย เวยี่ ทวี ท่ีนิยม ชนชื่นชม รกั ใคร่ ไดด้ งั่ ปอง ๖ ไตรสิกขา บุญกิริยา- สิบวตั ถุ ท่านระบุ บารมี สิบท้งั ผอง กรรมบถ เป็ นกุศล คนควรครอง มงคลทอง สามสิบแปด แวดลอ้ มใจ ๗ โพธิปัก- ขิยธรรม สามสิบเจ็ด คา่ สาเรจ็ กวา่ เพชรทอง ของไหนไหน ควรสงั่ สม บม่ ฝั่งไว้ ในกลางใจ ชื่นฤทยั ไมเ่ สียที ที่เกิดมา ๘ อิฏฐผล แหง่ ขุมทรพั ย์ นับไมถ่ ว้ น มีแต่ลว้ น ควรเพลิน เกินสรรหา ไมว่ า่ รปู ผิวพรรณ ดวงหนา้ ตา ศฤงคา ขา้ ทาส ญาติมิตรชน ๙ เป็ นราชา ราชินี ไมม่ ีโศก คุม้ ครองโลก จกั รพรรดิ สวสั ดิผล ไดส้ มบตั ิ ท้งั สาม ตามติดตน หากคบคน ผูเ้ ป็ น เช่นมิตรดี ๑๐ อบรมใจ ใฝ่ ธรรม อนั ลา้ ค่า ปฏิสมั ภิทา วิชชา วิมุติศรี จกั บรรลุ ผูส้ าวก บารมี ปัจเจกี พุทธภูมิ คุม้ ค่าเอย. อญฺ ตโร ภิกฺขุ _18-1133 (�����).indd 115 12/18/2561 BE 2:18 PM

1๑1๑6๖ อนตั ตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? อยอู่ ย่างไรให้ชีวติ มีคา่ ? ชีวิตทมี่ ีค่า ไม่ใช่ชีวิตท่ีรา่ รวย ดว้ ยทรพั ยส์ นิ ศฤงคาร มีเกียรติ มียศถาบรรดาศกั ด์ิ หรอื อายุยนื แตช่ ีวิตทีม่ ีค่า คือ ชีวิตทตี่ วั เราเป็ น คนมีคณุ คา่ และทาใหช้ ีวิตคนอ่ืนมีค่า ... ๑ อะไรหรือ คือคุณคา่ ของชีวติ เพ่งพินิจ คิดใหด้ ี จะมสี ุข ไมแ่ ยบคาย ไรป้ ัญญา จะพาทุกข์ สรา้ งสรรสุข หรือทุกข์ ควรฉุกใจ ๒ อนั ยศลาภ แลสุข สรรเสริญ คนมกั เพลิน เดินดุ่ม ลุ่มหลงใหล ขาดสติ มิยบั ยง้ั ชงั่ จิตใจ มกั คลอ้ ยไป ทางชวั่ กล้วั อบาย ก็โหยหา ครา่ ครวญ หวนใจหาย ๓ เวลาเส่ือม ลาภยศ ทุกขน์ ินทา ส่ิงสุดทา้ ย เหลือไวห้ รอื คือบาปตรา จนบางคน สุดทนทอ้ ขอวางวาย สิ่งไร ๆ ในโลกน้ ี ที่เสาะหา ภริยา บุตรสามี ไมจ่ ีรงั ๔ ทาไมหนอ คนเรา ไมเ่ ขา้ ใจ ตอ้ งสละ ละท้ ิงไป ไมม่ ีหวงั ลาภยศเกียรติ สกั การะ ศฤงคาร์ คงตอ้ งนัง่ โศกศลั ย์ จนวนั ตาย ไมว่ า่ จะ อยสู่ ถาน เหตุการณไ์ หน ๕ ลว้ นแต่ของ ขอยมื อยา่ ลืมนะ ระลึกไว้ ใหเ้ ด่นชดั อนัตตา หากยดื ย้ อื ถือไว้ ไมเ่ ชื่อฟัง หากเพียรดู อยปู่ ระจา พรา่ ศึกษา ในไม่ชา้ จะพน้ โศก เหนือโลกธรรม ๖ ควรจาไว้ ใหแ้ มน่ ยา ถึงคาพระ ฯ แลว้ ชวนมิตร สหายดว้ ย ช่วยชูค้า อนิจจงั ทุกขงั อยา่ พลง้ั ใจ ชีวติ ลา้ เหลือค่า น่าโล่งใจ ๗ ลกั ษณะ ท้งั สาม ตอ้ งตามรู้ อบรมใจ ใหป้ ระจกั ษ์ ลกั ษณา ๘ บาเพ็ญบุญ คุณธรรม ประจาจิต ใหเ้ รียนรู้ คู่ปฏิบตั ิ พระสทั ธรรม ๙ เกิดเป็ นคน ท้งั ที ทาดีเถิด ชีพบรรเจิด เลิศหลา้ ปัญญาไสว อยา่ มวั แต่ เห็นแก่ตวั คา้ หวั ใจ ชีวิตไม่ มีค่า ถา้ ท้ ิงธรรม ... อญฺ ตโร ภกิ ฺขุ _18-1133 (�����).indd 116 12/18/2561 BE 2:18 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook