๓๓อนตั ตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? 33 ขันธ์ ๕ และนพิ พานเป็นอนตั ตา เป็นสญุ ญตา บทวา่ อนตั ตา ชื่อวา่ อนตั ตา เพราะวา่ งเปล่า ขนั ธ์ ๕ เป็ นสุญญตาหรือไม่ ? พระนิพพานเป็ นสุญญตา หรือไม่ ? (สุญญตา เป็ นของสูญ คือ วา่ งจากความเป็ นตวั ตน จากความงาม ความเที่ยง ความสุข) สุญญตา หมายถึง วา่ งเปล่า ขนั ธ์ ๕ ก็เป็ นสุญญตา นิพพานก็เป็ นสุญญตา โลกยี ขันธ์ โลกตุ ตรขันธ์ อปุ าทานขนั ธ์ ขนั ธปุ าทาน ขนั ธ์ ๕ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. โลกียขนั ธ์ ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ ๕ ท่ีเรียกวา่ อุปาทานขนั ธ.์ องคธ์ รรม คือ โลกียจิต ๘๑ เจตสิก ๕๒ รปู ๒๘ ๒. โลกุตตรขนั ธ์ ไดแ้ ก่ นามขนั ธ์ ๔ ที่เรียกวา่ วิสุทธิขนั ธ์ (นามขนั ธ์ ๔ ที่เป็ นโลกุตตระ) องคธ์ รรม คือ มรรค ๔ ผล ๔ และเจตสิกท่ีเกิดรว่ มดว้ ย (เจตสิก ๓๖ เป็ นนามขนั ธ์ ๓ คือ เวทนาเจตสิก ๑ เป็ นเวทนาขนั ธ์ สญั ญาเจตสิก ๑ เป็ นสญั ญาขนั ธ์ เจตสิก ๓๔ เป็ นสงั ขารขนั ธ์ มคั คจิตและผลจติ เป็ นวญิ ญาณขนั ธ)์ อุปาทานขนั ธ์ ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ ๕ อนั เป็ นที่ต้งั แหง่ อุปาทานท้งั ๔ ขนั ธุปาทาน ไดแ้ ก่ อุปาทาน ๔ ท่ีเขา้ ไปยดึ ถือในขนั ธ์ ๕ อปุ าทาน ๔ เป็ นอกุศลเจตสิก ๒ ประเภท คือ โลภเจตสิก และทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเกิดในโลภมลู จิต ๘ (/๔) ดวงเท่าน้ัน ๑. กามุปาทาน (โลภ เจ.) ๒. ทิฏฐุปาทาน (ทิฏฐิ เจ.) ๓. สีลพั พตุปาทาน (ทิฏฐิ เจ.) ๔. อตั ตวาทุปาทาน (ทิฏฐิ เจ.) _18-1133 (�����).indd 33 12/18/2561 BE 2:18 PM
๓๔34 อนัตตา บังคบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? วิสุทธขิ นั ธ์ กบั ขนั ธวิมุติ ตา่ งกันอย่างไร ? พระอรหนั ตย์ งั มีโลกียขนั ธ์ ยงั มีจติ เหน็ จิตไดย้ นิ มีตา มีหู ... พระอรหนั ตเ์ ป็ นบญั ญตั ิ เป็ นบุคคล เรียกวา่ อรหนั ตบุคคล เพราะยงั มีขนั ธ์ ๕ มีท้งั โลกียขนั ธแ์ ละโลกุตตรขนั ธ.์ โลกุตตรขนั ธ์ หมายถึง โลกุตรจติ และเจตสิก ช่ือวา่ วิสุทธิขนั ธ.์ พระนิพพาน เป็ นขนั ธวิมุติ พน้ จากขนั ธ์ เพราะไม่มีการเกิดดบั คงที่ ไมม่ ี ความแปรปรวน ไมม่ ีอดีต อนาคต ปัจจุบนั ... ขนั ธ์ ๕ ท่ีเป็ นโลกียะ เรียกวา่ โลกียขนั ธ์ เป็ นท่ีต้งั แหง่ อุปาทาน จงึ เรียกวา่ อปุ าทานขนั ธ์ ยงั เป็ นท่ีต้งั ของกิเลสได้ เป็ นอารมณข์ องอุปาทานและอกุศลธรรมท้งั หลายได้ โลกุตตรขนั ธ์ หมายถึง นามขนั ธ์ ๔ เท่าน้ัน รปู ของพระ อรหนั ตเ์ ป็ นโลกียะอยา่ งเดียว เป็ นท่ียดึ ถือของกิเลสของคนอื่นได้ แตว่ า่ โลกุตตรจติ เจตสิกของพระอรหนั ต์ เป็ นท่ีต้งั ของกิเลสไมไ่ ด้ เรียกวา่ วิสุทธิขนั ธ์ เป็ นขนั ธท์ ี่บริสุทธ์ิหมดจด ไม่เป็ นอารมณ์ ของกิเลสใดๆ แมโ้ ลกุตตรจิต เจตสิกของพระอริยบุคคลเบ้ ืองตน้ ท้งั ๓ ก็เป็ นวิสุทธิขนั ธ์ ไม่ใชเ่ พยี งของพระอรหนั ตเ์ ท่าน้ัน เพราะ ไม่เป็ นท่ีต้งั ไม่เป็ นอารมณข์ องกิเลสอกุศลธรรม แต่จิต เจตสิก รูป นอกเหนือจากโลกุตตรจติ ๘ และเจตสิกที่เกิดร่วมดว้ ยแลว้ เป็ นอุปาทานขนั ธท์ ้งั ส้ ิน พระนิพพานก็เป็ นอนัตตา เพราะวา่ ไมใ่ ชอ่ ตั ตา ควบคุม ไม่ได้ บงั คบั บญั ชาไม่ได้ นิพพานเป็ นนามธรรม นามธรรมไมใ่ ช่ อตั ตา อตั ตาที่ไหนๆ ก็ไม่มี อะไรๆ ก็เป็ นอนัตตา บญั ญตั กิ ็เป็ น _18-1133 (�����).indd 34 12/18/2561 BE 2:18 PM
๓๕อนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จริงหรอื ? 35 อนตั ตา (นิพพานและบญั ญตั ิ ท่านวินิจฉยั แลว้ วา่ เป็ นอนัตตา นพิ พฺ านญเฺ จว ปณฺณตฺติ อนตตฺ า อติ ิ นจิ ฉฺ ยา สมฏุ ฐานสสี ะ วณั ณนา วิ. ปริ. เบอร์ ๑๐ ข้อ ๘๒๖ หน้า ๓๔๖ พระไตรปิฎกชดุ มหามกฏุ ฯ) อนัตตา กบั สุญญตา ต่างกันอย่างไร ? อนตั ตา หมายถึง ไม่ใชอ่ ตั ตา ไม่มีอตั ตา วา่ โดยปรมตั ถ์ อตั ตาใดๆ ก็ไม่มีอยใู่ นที่ไหน แต่เมื่อวา่ โดยบญั ญตั ิ พระพุทธเจา้ ก็ทรงแสดงไว้ เชน่ อตฺ ตาหิ อตฺ ตโน นาโถ. ตนเป็ นท่ีพ่งึ ของตน อตฺ ตาน ทมยนฺ ติ ปณฺ ฑิตา. บณั ฑิตยอ่ มฝึกตน. ฯลฯ ธรรมท้งั ปวงเป็ นอนัตตา ไมม่ ีอตั ตาใดๆ เลย โดยปรมตั ถ์ ไมม่ ีอตั ตา ไม่มีตวั ตนท่ีไหน นอกจากปรมตั ถธรรม ๔ แมก้ ระทงั่ บญั ญตั ิก็ยงั สงเคราะหว์ า่ เป็ นอนัตตา เพราะไม่ใชอ่ ตั ตา บงั คบั บญั ชาสภาพธรรมใด ใหเ้ ป็ นไปดงั ใจไมไ่ ด้ แต่ฝึกฝนอบรมใหเ้ กิด สภาพธรรมที่ดีคือกุศลได้ ใหล้ ะสภาพธรรมที่ไม่ดีคืออกุศลได้ และ ฝึกฝนอบรมปัญญาใหร้ เู้ ท่าทนั ประจกั ษ์แจง้ สภาพธรรมที่มีจริงได้ สุญญตา ๒ แบบ คือ โลกียสุญญตาและโลกุตตรสุญญตา ๑. โลกียสุญญตา คือ ขนั ธ์ ๕ ท่ีเป็ นโลกียะ ไดแ้ ก่ โลกีย- จติ ๘๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ เป็ นสุญญตา เพราะสูญจากความ งาม สูญจากความเที่ยง สญู จากความสุข และสญู จากความเป็ น ตวั ตน. สูญ ก็คือ วา่ งเปล่า หาสาระไม่ได้ ๑) สญู จากความงาม คือ วา่ งเปลา่ จากความงามที่แทจ้ ริง รูปกายของพระพทุ ธเจา้ งามโดยโวหาร แต่โดยปรมตั ถ์ ไมง่ าม เพราะวา่ สง่ิ ใดท่เี ป็ นอารมณข์ องอาสวะได้ ส่ิงน้นั ชื่อว่า ไม่งาม _18-1133 (�����).indd 35 12/18/2561 BE 2:18 PM
๓๖36 อนตั ตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? เพราะอาสวะ เป็ นปัจจยั แก่อวชิ ชา อวิชชา ก็เป็ นปัจจยั แก่สงั ขาร สงั ขารเป็ นปัจจยั แกว่ ญิ ญาณ ... ชาติเป็ นปัจจยั แก่ชรามรณะ โสก- ปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ... เมื่อรปู เป็ นปัจจยั แก่อาสวะ เป็ นไป ตามกระแสปฏิจจสมุปบาท ในท่ีสุด จงึ เป็ นปัจจยั แก่ชาติ ชรา มรณะ และทาใหเ้ กิดกองทุกขท์ ้งั มวล จึงช่อื วา่ ไมง่ ามโดยแทจ้ ริง เพราะฉะน้ัน จะเป็ นรปู นางฟ้า รูปพระพุทธเจา้ รปู พรหม ก็ชอื่ วา่ ไมง่ ามโดยปรมตั ถ์ แตถ่ า้ โดยบญั ญตั ิ จะมีการบญั ญตั ิวา่ งามหรือไม่งาม ตามอาการของรูปที่ประณีตหรือทราม ถา้ รปู ท่ี ประณีตก็บญั ญตั ิวา่ งาม ถา้ รปู ที่ทรามก็บัญญตั ิวา่ ไม่งาม แตโ่ ดย ปรมตั ถ์ รปู ประณีตหรือทราม ก็เป็ นอารมณข์ องอาสวะกิเลสได้ ท้งั น้ัน จงึ ช่อื วา่ ไมง่ ามโดยปรมตั ถ์ ฉะน้ัน โลกียขนั ธค์ ือขนั ธ์ ๕ ท่ีเป็ นโลกียะท้งั หมด สญู จากความงาม เพราะเป็ นอารมณข์ อง อาสวกิเลสท้งั หลายได้ ๒) สูญจากความเที่ยง เพราะมนั เกิดดบั มีแลว้ กลบั ไมม่ ี ไม่มีแลว้ ก็มีข้ นึ มาได้ เป็ นสภาพแปรปรวนเปลี่ยนแปลง หาความ เท่ียงแทแ้ น่นอนไมไ่ ด้ เกิดข้ นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป เสื่อมไป ส้ ินไป ๓) สญู จากความสุข เพราะทนอยสู่ ภาวะของตนเองไมไ่ ด้ เกิดข้ นึ และคา้ งคาอยไู่ มไ่ ด้ ต้งั อยแู่ ลว้ อยา่ ดบั ก็ไมไ่ ด้ ทนอยไู่ ม่ได้ อุปาทขณะเกิดข้ นึ แลว้ ก็ถูกฐิติขณะเบียดเบียน ฐิติขณะต้งั อยกู่ ็ถูก ภงั คขณะเบียดเบียน มีการเบียดเบียนตวั เอง และถูกวตั ถุปัจจยั เบียดเบียนดว้ ย จงึ ชอ่ื วา่ สูญจากความสุข ถา้ เป็ นสุขท่ีแทจ้ ริง ตอ้ งทนอยใู่ นสภาวะของตนเองได้ ซึ่งมีสิ่งเดียว ก็คือ พระนิพพาน สภาพท่ีไมเ่ กิดดบั ทนอยไู่ ด้ จงึ เรียกวา่ เป็ นสุขท่ีแทจ้ ริง _18-1133 (�����).indd 36 12/18/2561 BE 2:18 PM
๓๗อนตั ตา บังคบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? 37 ๔) สญู จากความเป็ นอตั ตา เพราะไมไ่ ดม้ ีอตั ตาตวั ตน มีแต่ นามธรรม มีแต่รปู ธรรมท่ีเกิดจากเหตุปัจจยั นัน่ เอง บงั คบั บญั ชา ไมไ่ ด้ บงั คบั ใหเ้ ที่ยงก็ไมไ่ ด้ บงั คบั ใหเ้ ป็ นสุขก็ไมไ่ ด้ ... ๒. โลกุตตรสุญญตา คือ วสิ ุทธิขนั ธ์ หมายถึง นามขนั ธ์ ๔ ที่ เป็ นโลกุตตระ มรรค ๔ ผล ๔ คือ โลกุตตรจติ ๘ เป็ นวญิ ญาณขนั ธ์ เจตสิกท่ีเกิดรว่ มดว้ ยเป็ นเวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ นามขนั ธ์ ๔ ที่เป็ นโลกุตตระ เรียกวา่ วสิ ุทธิขนั ธ์ สญู จาก ความเที่ยง สูญจากความสุข และสญู จากความเป็ นอตั ตา แต่ ไม่สูญจากความงาม วิสุทธิขนั ธ์ ไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา แตง่ าม มคั คจติ ผลจติ และเจตสกิ ทีเ่ กิดรว่ มดว้ ย งาม เพราะ ไม่เป็ นอารมณข์ องอาสวะ จงึ ช่อื วา่ งามโดยแทจ้ ริง อรหตั มรรค อรหตั ผล และเจตสิกที่เกิดร่วมดว้ ย เป็ นของ พระอรหนั ต์ อนาคามิมรรค อนาคามิผล และเจตสิกท่ีเกิดรว่ มดว้ ย เป็ น ของพระอนาคามี สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล และเจตสิกท่ีเกิดร่วมดว้ ย เป็ น ของพระสกทาคามี โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล และเจตสิกท่ีเกิดร่วมดว้ ย เป็ น ของพระโสดาบนั โลกุตตรจิต ๘ เป็ นของพระอริยบุคคล ๔ ข้นั ๆ ละ ๒ ดวง ปุถุชนจะไมม่ ีโลกุตตรจิต โลกุตตรจิต ๘ เป็ นของพระอริยบุคคล ๔ จาพวกเท่าน้ัน เมื่อโลกุตตรจติ เกิดข้ นึ กบั บุคคลใด จึงบญั ญตั ิเรียก บุคคลน้ันวา่ เป็ นพระอริยบุคคล ตามระดบั ท่ีโลกุตตรจิตเกิดข้ นึ _18-1133 (�����).indd 37 12/18/2561 BE 2:18 PM
๓๘38 อนัตตา บังคับบญั ชาไม่ได้ จริงหรอื ? โลกยี ขันธ์ โลกตุ ตรขันธเ์ ปน็ ของสูญ ตา่ งกันอย่างไร ? ขนั ธ์ ๕ ท่ีเป็ นโลกียะ เรียกวา่ อุปาทานขนั ธ์ เป็ นของสญู ๔ อยา่ ง สูญจากความงาม ความเที่ยง ความสุข ความเป็ นอตั ตา นามขนั ธ์ ๔ ท่ีเป็ นโลกุตตระเรียกวา่ วิสุทธิขนั ธ์ เป็ นของสูญ ๓ อยา่ ง ไมส่ ูญจากความงาม เพราะไมเ่ ป็ นอารมณข์ องอาสวกิเลส สงิ่ ท่ีพน้ จากขนั ธ์ เรียกวา่ ขนั ธวิมุติ คือ พระนิพพานและ บญั ญตั ิ เพราะพน้ จากการเกิดดบั บญั ญตั ิเป็ นอนัตตา เพราะไมม่ ี ความเป็ นอตั ตา แต่ท่านไม่ไดแ้ สดงวา่ เป็ นสุญญตา เน่ืองจากไมม่ ี สภาวะ เฉพาะจติ เจตสิก รปู นิพพานเท่าน้ัน ที่เป็ นท้งั อนัตตา และเป็ นสุญญตา พระนิพพานสญู จากความเป็ นอตั ตา แตไ่ มส่ ญู จากความงาม ไมส่ ญู จากความเท่ียง ไมส่ ูญจากความสุข สญู อยา่ งเดียวคือสญู จากความเป็ นอตั ตา พระนิพพานเที่ยง ไม่มีการเกิดจึงไม่มีการดบั พระนิพพานเป็ นสภาพที่เป็ นสุข เนื่องจากสิ่งใดเกิดข้ นึ ต้งั อยแู่ ละ ดบั ไป สิ่งน้ันจึงเป็ นทุกข์ แต่สิ่งที่ไม่เกิดไมด่ บั สิ่งน้ันเป็ นสุข พระนิพพานงาม เพราะไม่เป็ นอารมณข์ องอาสวะ จึงชื่อวา่ งาม พระนิพพานสญู จากอตั ตาอยา่ งเดียว เพราะวา่ จะหาที่ไหนก็ไม่มี อตั ตา แลว้ จะมาบอกไดอ้ ยา่ งไรวา่ ถา้ ตง้ั ใจทา แลว้ จะเป็ นอตั ตา สภาวธรรมหรือองคธ์ รรมของอตั ตาคืออะไร ? ใครบอกได้ ? ถา้ ใครบอกวา่ มีอตั ตาจริงๆ คือ คนน้ันก็เห็นผิด เป็ นมิจฉาทิฏฐิ อนตั ตามีความหมายวา่ สูญจากความเป็ นอตั ตา ไมม่ ีอตั ตา วา่ งเปล่าจากความเป็ นอตั ตาที่เดียรถียเ์ ขา้ ใจวา่ มี เป็ นความคิดของ _18-1133 (�����).indd 38 12/18/2561 BE 2:18 PM
๓๙อนตั ตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จริงหรอื ? 39 เดียรถีย์ อตั ตามีหลายชื่อ เชน่ สตั ว์ ชีวะ บุคคละ อาตมนั ปรมาตมนั นี่คืออตั ตาของเดียรถียท์ ่ีมีความเห็นผิด เป็ นมิจฉาทิฏฐิ อตั ตาไมม่ ีในที่ไหนๆ แตว่ า่ มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด ทาใหเ้ ขา้ ใจวา่ มีอตั ตา และถึงแมว้ า่ ทิฏฐิทาใหเ้ ห็นผิดวา่ มีอตั ตา แตต่ วั ทิฏฐิก็เป็ นอนัตตา ฉะน้ัน ไม่มีอตั ตาในที่ไหนๆ โดยแท้ พระโสดาบนั ละมิจฉาทิฏฐิแลว้ แต่ยงั มีความยึดถือดว้ ยตณั หา และมานะ ฉะน้ัน พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี จะไมม่ ีความเขา้ ใจผิดวา่ มีอตั ตาเลย แต่วา่ ยงั สาคญั วา่ มีเรา มีความ ยดึ ถือวา่ เป็ นของเรา แต่ไมม่ ีความเหน็ ผิดวา่ เป็ นอตั ตา จงึ บอกวา่ อตั ตาไม่มีในท่ีไหนๆ แต่คนท่ียงั มีสกั กายทิฏฐิ สามารถเขา้ ใจวา่ มีอตั ตาได้ ถา้ ไมศ่ ึกษาพระธรรมใหด้ ี ขาดโยนิโสมนสิการ ขาด กลั ยาณมิตร ก็เห็นผิดแบบที่เดียรถียค์ ิดกนั ได้ เร่ืองของอตั ตา อนัตตา ตอ้ งทาความเขา้ ใจใหถ้ ูกตอ้ ง หาก เขา้ ใจพระอภิธรรมมากข้ ึน สกั กายทิฏฐิจะลดลง แตถ่ า้ ไมเ่ ขา้ ใจ พระอภิธรรม โอกาสของสกั กายทิฏฐิจะเกิดไดง้ ่าย เชน่ ทดลอง ไปถามแมค่ า้ บอกแมค่ า้ วา่ แมค่ า้ ไมม่ ีตวั ตน เพราะพระพุทธเจา้ ตรสั ไวว้ า่ ไมม่ ีอตั ตาตวั ตนท่ีไหนเลย มีแตอ่ นัตตา ... แมค่ า้ จะเกิด สกั กายทิฏฐิทนั ทีวา่ ถา้ ไม่มีตวั ตน แลว้ ทน่ี งั ่ อยนู่ ่ีใคร ? แตถ่ า้ บอกผูไ้ ดศ้ ึกษาพระอภิธรรมมาแลว้ วา่ ไม่มีตวั ตน มีแต่นามธรรม รูปธรรม ผูฟ้ ังก็เช่ือ ไมป่ ฏิเสธ เพราะไดฟ้ ัง ไดศ้ ึกษาพระธรรม มาแลว้ สกั กายทิฏฐิจงึ ไม่เกิด แต่ก็พรอ้ มท่ีจะเกิดเม่ือไดป้ ัจจยั ฉะน้ัน การท่ีพจิ ารณาบ่อยๆ วา่ มีแตน่ ามธรรม รูปธรรม ลกั ษณะแตล่ ะอยา่ งเป็ นอยา่ งไร ? ก็ยงิ่ คลายจากสกั กายทิฏฐิมากข้ นึ _18-1133 (�����).indd 39 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๐40 อนตั ตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จรงิ หรือ ? แตว่ า่ ตณั หากบั มานะยงั ไมไ่ ดล้ ด ถา้ ไมไ่ ดข้ ดั เกลา ไม่ไดเ้ จริญ สมถวปิ ัสสนายงิ่ ข้ นึ ก็ยงั คงยดึ ถือวา่ เป็ นเรา ของเรา มีเราตลอด ความเป็ นเรา มี ๓ อยา่ ง คือ ดว้ ยตณั หา มานะและทิฏฐิ ถา้ เป็ นทิฏฐิตอ้ งเช่ือมนั่ ว่า มีอตั ตาตวั ตนจริงๆ คาวา่ เรากบั อตั ตา คนละอยา่ งกนั ถา้ เชอื่ มนั่ วา่ มีเราจริงๆ เป็ นทิฏฐิ แต่ถา้ บอกวา่ น่ีของเรา นัน่ คือ ตณั หา. น่ีเรา นัน่ คือ มานะ ตอ้ งแยกและสงั เกต แมก้ ระทงั่ การเจริญกุศล ตณั หา มานะ ทิฏฐิก็สามารถติดตามไปไดต้ ลอดเวลา เป็ นกุศลของเรา กุศลเป็ น เรา เป็ นตวั ตนของเราจริงๆ ที่ทากุศล เป็ นตน้ การพิจารณานามธรรม รปู ธรรม ใหร้ วู้ า่ ถา้ พิจารณาวา่ เป็ นนาม เป็ นรูป นามรูปไมเ่ ป็ นตวั ตน คาวา่ นามรปู เป็ นบญั ญตั ิ แต่สภาวะนามรูป ไม่ใชบ่ ญั ญตั ิ การพจิ ารณาสภาวะของนามธรรม รปู ธรรม เช่น เขา้ ไปรวู้ า่ ความรสู้ ึกเป็ นสุขเป็ นทุกข์ เป็ นอยา่ งน้ ี ดีใจ เสียใจ เป็ นอยา่ งน้ ี สภาวะเยน็ รอ้ น ออ่ น แขง็ ตึง ไหว เป็ นอยา่ งน้ ี มีลกั ษณะอยา่ งน้ ี เป็ นตน้ พิจารณาแลว้ รวู้ า่ เป็ นรปู เป็ นนาม มีสภาวะตามท่ีมนั เป็ น เป็ นการสงั่ สมรปู สญั ญา นาม- สญั ญา เป็ นการรอู้ นัตตา เพราะนามเป็ นสภาพรอู้ ารมณ์ รปู เป็ น สภาพแตกดบั เส่ือมสลาย ไม่ใชอ่ ตั ตา เป็ นการสงั่ สมอนัตตสญั ญา ในเบ้ ืองตน้ ถา้ เราเจริญวิปัสสนา โดยที่ไมเ่ ขา้ ไปทาความ คุน้ เคย ไมน่ อ้ มเขา้ ไปรูล้ กั ษณะของนามธรรมรูปธรรมเสียกอ่ น ไป พิจารณาไตรลกั ษณท์ นั ที จะมีตวั เราท่ีเขา้ ไปเจริญวปิ ัสสนา เบ้ ืองตน้ ของการปฏิบตั ิธรรม จะไปรูไ้ ตรลกั ษณท์ นั ทีเลยไมไ่ ด้ ขน้ั แรกคือไถ่ถอนความเป็ นอตั ตา ไถ่ถอนสกั กายทิฏฐิก่อน ดว้ ยการ _18-1133 (�����).indd 40 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๑อนัตตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? 41 เขา้ ไปรลู้ กั ษณะของนามธรรม รูปธรรม เรียกวา่ รอู้ นัตตา เพราะ นามไม่ใชอ่ ตั ตา รูปไม่ใชอ่ ตั ตา ถา้ เราสามารถเขา้ ไปรนู้ ามธรรม รปู ธรรม ท่ีเกิดจากเหตุปัจจยั จะทาใหค้ ลายจากสกั กายทิฏฐิ ละอเหตุกทิฏฐิ เห็นผิดวา่ ไม่มีเหตุ และวสิ มเหตุกทิฏฐิ เหน็ ผิดวา่ มีเหตุอนั ไม่สมควร เช่น พระเจา้ สรา้ งทุกสิ่งทุกอยา่ ง เมื่อผ่าน ขน้ั น้ ีไปแลว้ จงึ ค่อยไปพิจารณาวา่ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา อยา่ งไร ที่ไม่เที่ยงคือนามธรรม รปู ธรรม ที่ใคร่ครวญจนประจกั ษ์ แจง้ มาน้ันแหละ (ผ่านวิปัสสนาญาณ ๒ เบ้ ืองตน้ มาแลว้ ) จึงค่อย มาพจิ ารณาวา่ ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาอยา่ งไร ... คนที่พิจารณาไตรลกั ษณโ์ ดยทนั ที โดยไม่ผ่านญาตปริญญา อาจจะมีผลเสีย บางคนฆ่าตวั ตายก็มี เช่น พระวกั กลิ (คนละองค์ กบั ผูท้ ี่เลิศทางดา้ นศรทั ธา) พระฉนั นะ (คนละองคก์ บั ผูท้ ่ีเคยเป็ น มหาดเล็กของพระโพธิสตั วส์ ิทธตั ถะ) พระโคธิกะ เป็ นตน้ หลกั ธรรมตามความเป็ นจริง ไมใ่ ชค่ วามคิดเห็นของเรา เป็ น หลกั ธรรมที่แสดงใหเ้ ห็นวา่ ทาไมคนท่ีจะบรรลุเป็ นพระอรหนั ตจ์ งึ คิดฆา่ ตวั ตาย ? เชน่ พระวกั กลิ พระฉนั นะ พระโคธิกะ เพราะวา่ ท่านไปเนน้ พจิ ารณาไตรลกั ษณม์ าก โดยท่ีญาตปริญญาออ่ น เม่ือ ญาตปริญญาอ่อน ทาใหส้ กั กายทิฏฐิแทรก เม่ือป่ วยไขไ้ ดเ้ จ็บ ก็มี โทมนัสแทรกดว้ ย แลว้ เจริญวิปัสสนา เกิดความเบ่ือหน่าย เขา้ ใจ วา่ ตนเองหลุดพน้ เป็ นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ไม่ยนิ ดีอาลยั ในร่างกาย และชวี ิต จงึ คิดปลิดชพี ตนเอง ยงั ดีท่ีควา้ วปิ ัสสนามาทนั ก่อนตาย การเจริญญาตปริญญา ทาใหล้ ะสกั กายทิฏฐิ แต่การเจริญ ตีรณปริญญา พิจารณาไตรลกั ษณ์ ทาใหเ้ บื่อหน่าย คลายกาหนัด _18-1133 (�����).indd 41 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๒42 อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรอื ? ฉะน้ัน ไปเบ่ือหน่าย คลายกาหนัดในขนั ธ์ ๕ แต่ยงั มีสกั กายทิฏฐิ อยู่ สกั กายทิฏฐิสงั่ วา่ น่ีน่าเกลียด ไมด่ ี ท้ ิงไปเลย ไมต่ อ้ งรกั ษา มนั แลว้ ทาใหค้ ิดฆ่าตวั ตาย ยอ่ มเป็ นไปได้ ผูท้ ี่ฆา่ ตวั ตาย แลว้ ไดบ้ รรลุเป็ นพระอรหนั ต์ มีหน่ึงในลา้ นๆ เพราะวา่ ตอ้ งมีความเขา้ ใจถูกตอ้ ง ในเร่ืองขอ้ ปฏิบตั ิอยา่ งดีแลว้ เพียงแตว่ า่ ไปเนน้ พจิ ารณาตีรณปริญญามากเกิน โดยท่ีญาต- ปริญญายงั อ่อน เม่ือไปเนน้ เจริญตีรณปริญญา จะทาใหเ้ บื่อหน่าย มาก แตค่ วามรสู้ ึกความเป็ นตวั ตนยงั มีอยมู่ าก จึงตอ้ งพจิ ารณาไป ตามลาดบั ถา้ ไปเจริญขา้ มขน้ั อาจมีผลเสียเกิดข้ นึ ได้ ถา้ เรายงั ฝึกอา่ น ก ข ค ง ไม่ชานาญ เม่ือไปเจออะไรก็อ่าน เร่ือยเป่ื อย ไปอา่ นใหผ้ ูอ้ ื่นฟัง ก็อ่านผิดๆ ถูกๆ แตถ่ า้ เราอา่ นให้ ชานาญแลว้ ก็จะอา่ นไดถ้ ูกตอ้ ง เชน่ เดียวกบั การเจริญญาตปริญญา เป็ นการอ่านชีวิต วา่ ชีวติ น้ ีไม่ใชค่ น ไมใ่ ชส่ ตั ว์ เป็ นนามธรรม รปู ธรรม เกิดจากปัจจยั ตอ้ งอ่านใหช้ ดั เจนก่อน ถา้ ยงั มีความ รสู้ ึกวา่ มีเรา มีเขา มีคน มีสตั ว์ แลว้ ไปพิจารณาวา่ ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา จะไมท่ าใหเ้ กิดผลที่ถูกตอ้ งจริงๆ ทาใหเ้ กิด ความเขา้ ใจผิดได้ ถา้ พจิ ารณาวา่ ไม่เที่ยงมากๆ โดยท่ีขาดการเจริญญาต- ปริญญาใหช้ านาญ อาจจะทาใหเ้ ป็ นอุจเฉททิฏฐิได้ ถา้ พิจารณา เหน็ ความดบั มากๆ ดว้ ยความไมแ่ ยบคาย จะนอ้ มไปสู่อุจเฉททิฏฐิ ถา้ พิจารณาเห็นความเกิดมากๆ ดว้ ยความไม่แยบคาย จะนอ้ มไป สสู่ สั สตทิฏฐิ ถา้ ญาตปริญญาดีแลว้ พจิ ารณาไปตามลาดบั ไดเ้ ลย ถา้ ญาตปริญญาไมด่ ี มีโอกาสที่จะเพ้ ยี นได้ ... _18-1133 (�����).indd 42 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๓อนัตตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 43 กมั มัสสกตาญาณกบั วปิ สั สนาญาณ ? ผถู้ าม กมั มสั สกตาญาณใชว่ ิปัสสนาญาณหรือไม่ ? มีภายนอก พระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ผตู้ อบ กมั มสั สกตาญาณเป็ นพ้ นื ฐานที่ทาใหเ้ ขา้ ใจถูกตอ้ งวา่ การ เจริญกุศล ละอกุศล มีผลแน่นอน ฉะน้ัน ใหท้ ากุศล อยา่ ทาอกุศล และตอ้ งเพยี รละอกุศลดว้ ย กมั มสั สกตาญาณ พวกฤาษีชีไพรนอกพระศาสนาก็มี ไม่ใชม่ ี เฉพาะในพระพุทธศาสนา แตญ่ าตปริญญาเป็ นวิปัสสนาญาณไม่ใช่ กมั มสั สกตาญาณ เป็ นปัญญาขน้ั สงู กวา่ กมั มสั สกตาญาณ แต่ก็ตอ้ ง มีกมั มสั สกตาญาณเป็ นพ้ นื ฐาน วปิ ัสสนาญาณมีเฉพาะในพระพทุ ธ ศาสนาเท่าน้ัน กมั มสั สกตาญาณ เรียกวา่ ปัญญา ส่วนญาต- ปริญญาหรือวปิ ัสสนาญาณ เรียกวา่ อธปิ ัญญา ผถู้ าม กมั มสั สกตาญาณเป็ นวิบากท่ีกรรมสง่ มาจากอดีตใชไ่ หม ? ผตู้ อบ กมั มสั สกตาญาณ หมายถึง ปัญญาที่เกิดในชวนะ ไมใ่ ช่ เป็ นวิบากที่สง่ มาจากอดตี เป็ นการท่ีแตล่ ะคนสะสมมาก็ได้ หรือมาอบรมเจริญในชาติน้ ีก็ได้ เชน่ คนท่ีมีความเช่อื ในผล ของกรรมจากอุปนิสยั ท่ีสะสมมาก็ได้ หรือไดย้ นิ ไดฟ้ ัง ไดม้ า ศึกษาในชาติปัจจุบนั ก็ได้ ทาใหม้ ีความเชือ่ มีความเขา้ ใจวา่ บาปบุญมีจริง นรกสวรรคม์ ีจริง กรรมและผลของกรรมมีจริง กมั มสั สกตาญาณ ไมใ่ ชป่ ัญญาท่ีรอู้ นิจจงั ทุกขงั อนัตตา แต่เป็ นอุปนิสยั เริ่มตน้ เป็ นปัญญาท่ีรวู้ า่ สตั วท์ ้งั หลายมี กรรมเป็ นของตน ทาดีไดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ วั่ รวู้ า่ กรรมมีจริง วิบากคือผลของกรรมมีจริง เป็ นความเห็นถูกพ้ นื ฐานกอ่ น _18-1133 (�����).indd 43 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๔44 อนัตตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? ถา้ เร่ิมวปิ ัสสนา จะเขา้ ไปเหน็ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตาเลยทนั ที ยงั ไม่ได้ คิดได้ แต่จะไมเ่ ห็นจริงตามน้ัน คือ ยงั จะไมไ่ ดว้ ิปัสสนา- ญาณตามน้ัน ข้นั ตน้ ตอ้ งเหน็ ก่อนวา่ ไมใ่ ชเ่ ป็ นคน ไม่ใชส่ ตั ว์ จริงๆ เป็ นนาม เป็ นรปู อยา่ งไร ? และนามรูปที่เราเห็นเป็ นคน เป็ นสตั ว์ เพราะวา่ มีจิตเห็นและมีความคิดเขา้ ไปรว่ ม จงึ กลาย เป็ นคน เป็ นสตั ว์ เป็ นบญั ญตั ิ เกิดจากเหตุปัจจยั อะไร ? ถา้ อ่าน ชีวิตจริงอยา่ งน้ ีได้ รวู้ า่ มีแตน่ ามธรรม รูปธรรม และมีบญั ญตั ิ สลบั กนั อยา่ งน้ ี ถา้ อา่ นชีวติ ไดอ้ ยา่ งน้ ี ก็มาถูกทางแลว้ รวู้ า่ นาม รปู เหลา่ น้ ีเกิดจากปัจจยั อนั น้ ีเป็ นขน้ั ท่ี ๒ แลว้ จึงค่อยมาพิจารณา เห็นแจง้ วา่ ไมเ่ ที่ยงอยา่ งไร ? เป็ นทุกขอ์ ยา่ งไร ? เป็ นอนัตตา อยา่ งไร ? เป็ นวิปัสสนาญาณท่ี ๓ ข้ ึนไป ฉะน้ัน ขน้ั แรกเรียกวา่ ญาตปริญญา ซึ่งจะขาดปริยตั ิไม่ไดเ้ ลย เพราะวา่ ความหมาย ของญาตปริญญา คือ สุตมยญาณ จติ ตามยญาณและภาวนามย- ญาณบางสว่ น ... กาล ๔ อยา่ ง ทำให้บรรลธุ รรม หลกั การปฏิบตั ิท่ีทาใหบ้ รรลุช่ือวา่ กาลสูตร อยใู่ น องั คุตตร- นิกาย จตุกนบิ าต ๓๕/๓๖๓ ทรงแสดงกาล ๔ เหลา่ น้ ี ถา้ ภิกษุ ท้งั หลายปรบั เปล่ียนโดยชอบ จะทาใหอ้ าสวะถึงการส้ ินไป ไดแ้ ก่ ๑. ฟังธรรมตามกาล ๒. สนทนาธรรมตามกาล ๓. เจริญสมถะตามกาล ๔. เจริญวปิ ัสสนาตามกาล การฟังธรรมกบั สนทนาธรรม คนละอยา่ งกนั เพราะถา้ เรา ฟังแลว้ มีความเห็นถูก หรือมีความเห็นผิดเกิดข้ นึ จะทราบได้ อยา่ งไร ? ส่วนใหญ่ชอบเชื่อใจตวั เอง วา่ เขา้ ใจถูกตอ้ งแลว้ แตถ่ า้ _18-1133 (�����).indd 44 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๕อนตั ตา บังคับบัญชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? 45 ไปสนทนากบั คนที่มีความรู้ จึงจะเขา้ ใจวา่ เขา้ ใจถูกหรือเขา้ ใจผิด ฉะน้ัน ถา้ ไดฟ้ ังหรืออา่ นพระไตรปิ ฎกมา ก็ไม่ควรยดึ มนั่ ถือมนั่ วา่ เขา้ ใจถูกตอ้ งแน่นอนแลว้ ตอ้ งมีการสนทนาธรรมดว้ ย ควรพฒั นา ตนเอง ดว้ ยการเปิ ดใจรบั ฟังขอ้ เสนอ ความคิดเหน็ ถา้ เขาเสนอ ความเหน็ มา เราก็รบั ฟัง ถา้ เราไมเ่ หน็ ดว้ ย ก็มีการโตแ้ ยง้ เป็ น การสนทนาโตต้ อบกนั และที่สาคญั คือ ตอ้ งต้งั จติ เมตตา เพราะ การสนทนาธรรมกนั อาจเป็ นเหตุใหบ้ าดหมางกนั ได้ เกิดการ ทะเลาะกนั ได้ ถา้ ตา่ งคนตา่ งมีความยดึ มนั่ ถือมนั่ มีความเห็นท่ี ขดั แยง้ กนั โดยไมม่ ีขนั ติ ขาดเมตตา อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เป็ นทุกขสจั เป็ นชอื่ ของขนั ธ์ ๕ ขนั ธ์ ๕ เป็ นอนิจจงั เป็ นทุกขงั เป็ นอนัตตา ทาไมถึงเป็ นอนิจจงั เพราะมนั มีอนิจจลกั ษณะ มีการเกิดข้ นึ แลว้ ก็ดบั ไป มีแลว้ ก็ไม่มี ขนั ธ์ ๕ มนั มีแลว้ ก็ไม่มี ดงั น้ัน ขนั ธ์ ๕ จริงๆ เรียกวา่ อนิจจงั แต่ที่เรียกวา่ อนิจจงั ก็เพราะวา่ มนั มีอาการท่ีมีแลว้ ไม่มี อาการ ที่มนั มีแลว้ ไม่มีอยา่ งน้ ี เรียกวา่ เป็ นอาการ เป็ นอนิจจลกั ษณะ ซึ่งเปรียบเหมือนสีของโค ส่วนขนั ธ์ ๕ ก็คือตวั โค ตวั โคกบั สีของ โคมนั อนั เดียวกนั ไหม ? ... คนละอนั กนั นะ ฉะน้ัน ขนั ธ์ ๕ กบั อนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตต- ลกั ษณะ ก็แยกกนั ไมอ่ อก แตว่ า่ มนั ไม่ใชอ่ นั เดียวกนั ตวั ขนั ธ์ ๕ เป็ นสิ่งหนึ่ง แตอ่ นิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตตลกั ษณะเป็ น อาการของขนั ธ์ ๕ ตวั อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา (ตวั ขนั ธ์ ๕) เป็ นปรมตั ถ์ แต่ อนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตตลกั ษณะเป็ นอาการของขนั ธ์ ๕ _18-1133 (�����).indd 45 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๖46 อนัตตา บงั คับบญั ชาไม่ได้ จรงิ หรือ ? เป็ นบญั ญตั พิ เิ ศษท่ีตอ้ งนอ้ มพิจารณาจึงจะเห็น ทุกวนั น้ ี ในชวี ติ ประจาวนั เราเห็นไหม เป็ นทุกขอ์ ยา่ งไร ถา้ ไมค่ ิดจะทุกขไ์ หม ? กินอาหารอร่อยๆ ทุกขไ์ หม ? อยใู่ นหอ้ งแอรเ์ ยน็ ๆ หรือในท่ี สบายๆ อยา่ งเรานัง่ นานๆ เมื่อยไหม ? หรือเดินเยอะๆ ปวดเขา่ เป็ นทุกขไ์ หม ? เห็นทุกขเวทนา หรือทุกขลกั ษณะ เป็ นนามรูปที่ เป็ นทุกข์ หรือเป็ นเราท่ีเป็ นทุกข์ ก็เป็ นเราอีกนัน่ แหละ ตอ้ งเห็น ทุกขจ์ ริงๆ จะตอ้ งเขา้ ไปเห็นวา่ มนั เป็ นการทนไม่ไดข้ องนามรูป การเกิดดบั ของนามรปู จงึ จะทาใหเ้ ห็นทุกข์ เห็นวา่ มนั มีแลว้ ก็ ไมม่ ี ไมใ่ ชเ่ ห็นวา่ เราเป็ นทุกข์ เจบ็ ปวด เม่ือยลา้ ... ไมใ่ ชบ่ อกวา่ เมื่อกอ่ นเราสวยและสาว แต่เดี๋ยวน้ ี ทาไมแก่ จงั เลย ออ้ ! มนั ไม่เที่ยง อยา่ งน้ ี ไม่ไดเ้ ห็นอนิจจงั เป็ นเพียงแค่ คิดถึงอนิจจงั เท่าน้ัน คิดถึงอาการของอนิจจงั แตไ่ มไ่ ดเ้ หน็ อนิจจงั เพราะถา้ เห็นอนิจจงั จริงๆ ตอ้ งเป็ นการเหน็ วา่ นามธรรมท่ีมนั มี แลว้ ก็ไม่มี มนั เปล่ียนแปลงไป รูปธรรมมนั มีแลว้ เปล่ียนแปลงไป อยา่ งน้ ีถึงจะเรียกวา่ เหน็ อนิจจลกั ษณะ เป็ นอนิจจลกั ษณะของ นามรปู ไมใ่ ชข่ องคน สตั ว์ เพราะตวั ไตรลกั ษณเ์ ป็ นลกั ษณะของ สงั ขารธรรม มนั เป็ นลกั ษณะของปรมตั ถธรรม แต่อนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตตลกั ษณะ เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ เพราะวา่ เก้ ือกลู แก่คนมีปัญญาท่ีจะทาใหอ้ อกจากวฏั ฏะได้ ถา้ คนไม่มีปัญญา เหน็ รา่ งกายจิตใจน้ ีไม่เท่ียง จะเกิดโทมนัส แต่ถา้ คนมีปัญญาเหน็ ก็จะ ทาใหเ้ บื่อหน่าย คลายกาหนัด แลว้ ออกจากวฏั ฏะได้ ฉะน้ัน ไตรลกั ษณน์ ้ ี จึงช่อื วา่ เป็ นบญั ญตั พิ เิ ศษ หรือ อรยิ กรธรรม ธรรมะท่ีทาใหเ้ ป็ นพระอริยเจา้ พระอริยะทุกท่าน ทุกองค์ ตอ้ งรู้ ไตรลกั ษณม์ ากอ่ น จงึ สามารถท่ีจะทาใหถ้ ึงพระนิพพานได้ _18-1133 (�����).indd 46 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๗อนตั ตา บังคับบญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? 47 ขนั ธ์ ๕ เปรียบเหมือนฝัง่ น้ ี พระนิพพานเปรียบเหมือนฝัง่ โนน้ ถา้ ยงั ยนิ ดีอยฝู่ ัง่ น้ ี จะขา้ มไปฝัง่ โนน้ ไดไ้ หม ? ไม่มีทางเลย ตอ้ ง เบ่ือหน่ายในขนั ธน์ ้ ีกอ่ น อาหารก็ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ บุตร ภรรยา สามี เป็ นขนั ธ์ ๕ ท้งั น้ันเลย ท้งั รา่ งกายจติ ใจ ท้งั ภายในภายนอก เป็ นอนัตตา ไมเ่ ท่ียง ถา้ เหน็ อยา่ งน้ ีไดเ้ ป็ นประจา โอกาสท่ีจะออก จากขนั ธ์ ๕ จึงจะมีได้ แต่ถา้ ยงั เหน็ วา่ อนั น้ันก็ยงั ดีอยู่ น่ีของเรา นัน่ ก็ของเรา ยงั มีความยนิ ดีในฝัง่ น้ ีอยกู่ ็ไมส่ ามารถขา้ มไปฝัง่ โนน้ ได้ มนั เป็ นวิธีการพเิ ศษ เฉพาะพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท่ีคิดคน้ วธิ ีน้ ีได้ และสามารถออกจากขนั ธ์ ๕ น้ ีได้ คือ การพจิ ารณาขนั ธ์ ๕ วา่ เป็ นของไมเ่ ท่ียง มีแลว้ ก็ไมม่ ี เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา จนกระทงั่ เกิดความเบ่ือหน่าย คลายกาหนัด จงึ สามารถกา้ วขา้ มฝัง่ น้ ี ไปสู่ ฝัง่ โนน้ คือพระนิพพาน อนั เป็ นบรมสุขได้ ... ภัทเทกรัตตสูตร พระสตู รน้ ี เคยท่องกนั มาแลว้ ใชไ่ หม ? อตีตํ นานวฺ าคเมยฺย นปฺปฏกิ งฺเข อนาคตํ ยทตีตมปฺ หนี นฺตํ อปปฺ ตฺตญฺจ อนาคตํ ปจฺจุปปฺ นนฺ ญฺจ โย ธมฺมํ ตตถฺ ตตฺถ วิปสฺสติ อสงฺหิรํ อสงกฺ ุปปฺ ํ ตํ วิทธฺ า มนพุ ฺรหู เย. อชฺเชว กจิ ฺจมาตปฺปํ โก ชญฺ า มรณํ สเุ ว น หิ โน สงคฺ รนฺเตน มหาเสเนน มจฺจนุ า เอวํ วิหารมิ าตาปึ อโหรตฺตมตนทฺ ติ ํ ตํ เว ภทเฺ ทกรตโฺ ตติ สนฺโต อาจิกขฺ เต มุนตี .ิ _18-1133 (�����).indd 47 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๘48 อนัตตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรอื ? ผ้มู รี าตรีหน่งึ เจริญ บุคคล ไมค่ วรคานึงถึงสิ่งที่ลว่ งไปแลว้ (ดว้ ยอาลยั ) ไม่ควร มุ่งหวงั ส่ิงที่ยงั ไมม่ าถึง สิ่งใดลว่ งไปแลว้ สิ่งน้ันก็เป็ นอันละไปแลว้ และส่ิงใดยงั ไมม่ าถึง ก็เป็ นอนั ยงั ไม่มาถึง ก็บุคคลใด เห็นแจง้ ธรรมะปัจจบุ นั ไมง่ ่อนแงน่ ไมค่ ลอนแคลน ในธรรมะน้ันๆ ได้ บุคคลน้ัน พึงเจริญธรรมะน้ันๆ เนืองๆ ใหป้ รุโปรง่ เถิด พงึ ทาความเพียรในวนั น้ ีแหละ ใครเลา่ ? จะรูค้ วามตายใน วนั พรุง่ เพราะวา่ ความผัดเพ้ ยี นกบั มจั จุราช ผูม้ ีเสนาใหญ่น้ัน ยอ่ มไมม่ ีแกเ่ ราท้งั หลาย พระมุนีผูส้ งบ ยอ่ มตรสั เรียกผูม้ ีปกติอยู่ อยา่ งน้ ี มีความเพียร ไม่เกียจครา้ น ท้งั กลางวนั และกลางคืน นัน่ แลวา่ ผูม้ ีราตรีหน่ึง เจริญ ... (ม. อปุ ร.ิ เบอร์ ๒๓ หน้า ๒๑๐) พระสูตรท่ีวา่ ดว้ ย ผูม้ ีราตรีหนึ่งเจริญข้ นึ คืนเดียวก็เจริญแลว้ เปล่ียนจากปุถุชนเป็ นพระอริยบุคคล เจริญดว้ ยคุณธรรม บุคคล ไมค่ วรคานึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแลว้ ดว้ ยอาลยั อาลยั หมายถึง ตณั หา ทิฏฐิ แตถ่ า้ คานึงถึงอดีตโดยที่ไมม่ ีอาลยั ไม่เป็ นไร อยา่ เขา้ ใจ ผิดวา่ คิดถึงอดีต อนาคตไม่ได้ อยา่ งพวกพอ่ คา้ เขาตอ้ งมีการ วางแผนการตลาด ตอ้ งมีการสารวจวา่ ยอดกาไรของปี น้ ีและปี ท่ี แลว้ ตา่ งกนั อยา่ งไร เพ่ือวางเป้าหมายในอนาคต ใชไ่ หม ? แมแ้ ตก่ ารเจริญวิปัสสนา ก็ตอ้ งรูอ้ ดีต อนาคต ตอ้ งวางแผน ตอ้ งมีเป้าหมาย แตค่ นส่วนใหญ่ยงั เขา้ ใจผิดอยู่ ไม่ใหค้ ิดถึงส่ิงที่ เป็ นอดีต อยา่ งน้ ีไมถ่ ูกตอ้ ง ไมค่ วรคานึงถึง หรือไมค่ วรมุ่งหวงั ส่ิง ที่ยงั ไม่มาถึง ถา้ เป็ นไปดว้ ยอาลยั คือ ตณั หา ทิฏฐิ สิ่งน้ ีไมค่ วร จะคิดถึง สิ่งใดล่วงไปแลว้ สิ่งน้ันเป็ นอนั ละไปแลว้ ส่ิงใดยงั ไม่ _18-1133 (�����).indd 48 12/18/2561 BE 2:18 PM
๔๙อนัตตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? 49 มาถึงก็เป็ นอนั ยงั ไม่มาถึง เพราะวา่ จะไปคิดถึงดว้ ยกิเลส อนาคต ก็เชน่ กนั แตถ่ า้ คิดถึงดว้ ยกุศล ควรคิด จาคานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ เหล่าน้ ีเป็ นอดีตท้งั น้ัน พุทธานุสสติ คิดถึงคุณของ พระพุทธเจา้ ในอดีตท้งั น้ัน คิดอยา่ งน้ ี กุศลเจริญข้ นึ บุคคลใดเห็นแจง้ ในธรรมะปัจจุบนั ไมง่ อ่ นแงน่ ไมค่ ลอน- แคลน ถา้ เห็นแจง้ ธรรมะในปัจจุบนั ดว้ ยกุศล ไมม่ ีตณั หา มานะ ทิฐิ ควรเหน็ แจง้ ควรรู้ แต่ถา้ ไปรอู้ ารมณป์ ัจจุบนั ดว้ ยตณั หา มานะ ทิฐิ อยา่ งน้ ีก็ไม่ควรไปรู้ ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน น้ ีเป็ น วิปัสสนา (อีกนัยหนึ่ง หมายถึง พระนิพพาน) ใหร้ แู้ จง้ ธรรมะใน ปัจจุบนั ดว้ ยวปิ ัสสนา และนอ้ มไปในพระนิพพาน หรือเป็ นไปใน วิปัสสนานัน่ แหละ ถา้ ยงั ไม่บรรลุ ไมง่ อ่ นแงน่ ไม่คลอนแคลนใน ธรรมน้ันได้ บุคคลน้ันพึงเจริญธรรมะน้ันๆ เนืองๆ ใหป้ รุโปร่งเถิด (การเจริญวิปัสสนาท้งั วนั ท้งั คืน) คือ ควรทาความเพยี รในวนั น้ ี แหละ ใครเลา่ จะรูค้ วามตายในวนั พรุง่ เพราะวา่ ความผดั เพ้ ยี น กบั มจั จุราช ผูม้ ีเสนาใหญน่ ้ันยอ่ มไม่มีแก่เราท้งั หลาย จะขอผดั วนั ไปก่อนไดไ้ หมวา่ อยา่ เพิ่งตายเลย ขอไปเที่ยว กลบั มากอ่ น อยา่ งน้ ีไม่ไดใ้ ชไ่ หม ฉะน้ัน ผูท้ ่ีไม่ประมาท จะเจริญ วิปัสสนา เจริญกุศลทุกๆ ขณะ ทุกเม่ือท่ีมีโอกาส พระมุนีผูส้ งบ หมายถึง พระพุทธเจา้ ยอ่ มตรสั เรียกผูม้ ีปกติ อยอู่ ยา่ งน้ ี มีความเพียร ไมเ่ กียจครา้ นท้งั กลางวนั และกลางคืนวา่ ผูม้ ีราตรีหน่ึงเจริญ ฉะน้ัน สูตรน้ ีเนน้ วิปัสสนา แต่วิปัสสนาก็ตอ้ ง หมายถึงวา่ คนน้ันตอ้ งมีสมาธิดี ไมใ่ ชฟ่ ุ้งซ่าน จงึ มาเจริญวิปัสสนา แตเ่ ดี๋ยวน้ ีมีการสอนวา่ ฟุ้งซ่านก็ใหร้ วู้ า่ ฟุ้งซ่าน ... แต่พระพทุ ธเจา้ _18-1133 (�����).indd 49 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๐50 อนัตตา บังคับบญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรอื ? สอนวา่ หากอกุศลใดท่ียงั ไม่เกิด ระวงั สงั วร อยา่ ใหเ้ กิด แตถ่ า้ อกุศลใดที่เกิดข้ นึ แลว้ รีบละอกุศลน้ันโดยเร็ว กุศลใดยงั ไม่เกิด ตอ้ งเพยี รทาใหเ้ กิด กุศลที่เกิดข้ ึนแลว้ ตอ้ งรกั ษาใหเ้ จริญงอกงาม ยงิ่ ๆ ข้ นึ น้ ีเป็ นสมั มปั ปธาน ๔ แตเ่ ด๋ียวน้ ีงา่ ยมาก ราคะเกิดก็ให้ รวู้ า่ มีราคะ ฟุ้งซ่านเกิดก็ใหร้ วู้ า่ ฟุ้งซ่าน คนส่วนใหญช่ อบแบบน้ ี ไมต่ อ้ งไปพากเพยี รอะไรมาก อยา่ งคนด่ืมเหลา้ ก็ใหร้ วู้ า่ ด่ืมเหลา้ แลว้ ยงั ด่ืมอยู่ ก็เจริญสติปัฏฐานไป เจริญวิปัสสนาไปก็ได้ ลองคิด ดูวา่ นี่จะเป็ นคาสอนของพระพทุ ธเจา้ หรือไม่ ? ... ความเข้าใจผดิ เรอื่ งสติ ปญั ญาทางโลก คนเดี๋ยวน้ ีเขา้ ใจวา่ ถา้ รตู้ วั วา่ ทาอะไรอยู่ นัน่ คือมีสติแลว้ ตกลงมนั ใชส่ ติไหม ? เชน่ กาลงั ชกมวย แยบ๊ ซา้ ยก็รวู้ า่ แยบ๊ ซา้ ย แยบ๊ ขวาก็รวู้ า่ แยบ๊ ขวา อยา่ งน้ ีมีสติไหม ? หรือขบั รถอยู่ จะเล้ ียว ซา้ ย-ขวา ก็รู้ อยา่ งน้ ีมีสติไหม ? สิ่งเหลา่ น้ ี เป็ นการใชส้ ติใน ทางโลก ชาวโลกทวั่ ไปที่ยงั ไม่ไดศ้ ึกษาพระธรรม เรียกขานกนั แตไ่ ม่ใชค่ วามหมายของสติในทางพระพทุ ธศาสนา หากโจรจะปลน้ ก็จะตอ้ งมีการวางแผนมาอยา่ งดี และถา้ ปลน้ สาเร็จดว้ ย อยา่ งน้ ี พวกโจรมีปัญญาไหม ? สติและปัญญาจะเกิดกบั อกุศลไดไ้ หม ? สติปัญญาทาบาปไดไ้ หม ? ... ถา้ บอกวา่ เป็ นสติปัญญาทางโลก แลว้ เป็ นบาปหรือเป็ นบุญเล่า ? ตกลงวา่ สติปัญญาเป็ นบาปได้ หรือ ? พระพทุ ธเจา้ สอนใหเ้ จริญสติปัญญามิใชห่ รือ ? จะเหน็ ไดว้ า่ หากไม่ไดศ้ ึกษาพระอภิธรรม จะสบั สนมาก และจะใชค้ าวา่ สติทางโลก ปัญญาทางโลก ซ่ึงจริงๆ แลว้ ไม่มี ไปสบั สนกบั คาวา่ โลกียปัญญา โลกียสติ ซึ่งไมไ่ ดเ้ กี่ยวกบั ทาง _18-1133 (�����).indd 50 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๑อนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จริงหรอื ? 51 โลกอยา่ งน้ัน โลกียะ หมายความวา่ ยงั เป็ นอารมณข์ องอาสวะได้ เกิดในจติ อะไรบา้ ง เราควรจะตอ้ งรู้ (โลกียธรรม คือ ธรรมท่ียงั แตกดบั เสื่อมสลาย ยงั ทาใหเ้ วยี นวา่ ยตายเกิด ไดแ้ ก่ โลกียจิต ๘๑ เจตสิก ๕๒ รปู ๒๘. โลกุตตรธรรม คือ ธรรมเหนือโลก พน้ จาก โลกียธรรม ไดแ้ ก่ โลกุตตรจติ ๘ เจตสิก ๓๖ พระนิพพาน ๑ ก็คือ โลกุตตรธรรม ๙ นัน่ เอง) เพราะฉะน้ัน การท่ีมีความรสู้ ึกตวั อยา่ งโลกๆ น้ัน ไม่ได้ หมายถึงวา่ เป็ นสติหรือเป็ นปัญญา เมื่อไหรท่ ี่เป็ นกุศล เม่ือน้ันจึง มีสติ แตถ่ า้ ไมไ่ ดเ้ ป็ นไปในกุศล ขณะน้ันไม่ใชส่ ติเลย ถา้ เป็ น ปัญญา ตอ้ งเป็ นความรู้ เขา้ ใจความจริงอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง จะเป็ น สมมุติบญั ญตั ิ หรือจะเป็ นปรมตั ถก์ ็แลว้ แต่ นัน่ จงึ จะเป็ นปัญญา รเู้ หตุ รผู้ ล เห็นความจริง จงึ จะเป็ นปัญญา แต่การรวู้ ิชาการทาง โลก รวู้ ิธีการปลน้ รวู้ ธิ ีการในการทากบั ขา้ วใหอ้ รอ่ ย อยา่ งน้ ีไมใ่ ช่ ปัญญา ตอ้ งเป็ นการรเู้ หตุ รผู้ ล เขา้ ใจความจริง เชน่ รวู้ า่ การ ทาบุญ เจตนาเป็ นตวั ต้งั ใจ เจตนานี่แหละเป็ นกรรมที่ทาใหเ้ กิด วิบาก เจตนาเป็ นตวั เหตุ วิบากคือผลของบุญ หรือผลของบาป (รวมท้งั กมั มชรูป) อนั น้ ีคือตวั ผล ถา้ อยา่ งน้ ี เรียกวา่ ปัญญาได้ เป็ นกมั มสั สกตาปัญญา ดงั น้ัน สตเิ กิดกบั กุศล เกิดกบั โสภณจติ (จิตท่ีมีเจตสิกดี งามเกิดร่วมดว้ ย) ถา้ เป็ นไปในกุศลเมื่อไร จึงมีสติ ถา้ เป็ นไปใน ศีลเม่ือไร มีสติ ถา้ เป็ นไปในบุญกิริยาวตั ถุเมื่อไร ถึงจะมีสติ ตอ้ ง เป็ นบุญ เชน่ ขณะท่ีขบั รถ ขบั ดีมากเพราะวา่ กลวั โดนปรบั ก็เลย ขบั อยา่ งต้งั ใจ อยา่ งน้ ีถือวา่ มีสติไหม ? ... ไมม่ ีสตินะ เป็ นกุศล _18-1133 (�����).indd 51 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๒52 อนตั ตา บังคับบญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? ไหม ? คือ กลวั โดนปรบั ... ไม่เป็ นกุศลนะ แต่ถา้ ขบั รถดว้ ย ความต้งั ใจ เพราะวา่ เกรงผูโ้ ดยสารจะไม่ปลอดภยั จึงตอ้ งขบั อยา่ ง ระมดั ระวงั รกั ษากฎจราจร ไม่ใหเ้ ป็ นภาระของสงั คม อยา่ งน้ ีขบั อยา่ งมีสติไหม ? ... มีสตินะ เพราะขบั ดว้ ยกุศลจิต คิดถูกตอ้ ง ถา้ มีปัญญาตอ้ งรูค้ วามจริง รวู้ า่ ถา้ เราทาส่ิงที่ดี ผลดีจะเป็ น อยา่ งไร ถา้ ทาส่ิงที่ไม่ดี ผลท่ีไมด่ ีจะเป็ นอยา่ งไร ? เชน่ ขบั รถ ปาดหนา้ กนั ผลคืออะไร ? ถา้ เกิดอุบตั ิเหตุ ผูโ้ ดยสารจะตอ้ ง ไดร้ บั ความทุกขข์ นาดไหน ? พอ่ แม่ ลกู ครอบครวั ของเขาจะ เป็ นอยา่ งไร ? นี่คือการรเู้ หตุ รผู้ ล ถา้ ขบั รถดีแลว้ จะมีผล อยา่ งไร ? ทุกคนก็กลบั ถึงบา้ นไดอ้ ยา่ งปลอดภยั มีความสุข เราก็ ไดร้ บั ความสุขไปดว้ ย อนั น้ ีเป็ นเหตุผลทางโลกๆ แต่เป็ นเหตุผลที่ มีปัญญา ถา้ เป็ นปัญญาทางธรรมก็ยง่ิ รูเ้ รื่องของกรรม วบิ ากของ กรรม รเู้ รื่องของนามธรรม รูปธรรม รเู้ ร่ืองการกระทาคือกรรม ไดแ้ ก่ เจตนา ความต้งั ใจ ท้งั ท่ีดีและที่ชวั่ เป็ นกุศลกรรม อกุศล กรรม ฉะน้ัน ควรพิจารณา สติเกิดไดก้ บั กุศล เกิดกบั โสภณจติ เท่าน้ัน ไมเ่ กิดกบั อกุศลเลย แตส่ ่วนใหญ่ไปใชค้ าผิดๆ กนั จึงทา ใหป้ ัจจุบนั น้ ี เกิดความสบั สนมาก ขณะน้ ี กาลงั นัง่ ฟังธรรม เป็ นกุศลหรืออกุศล ? (กุศล) มีสติ ไหม ? (มีสติ) มีคิดถึงบา้ นบา้ งไหม ? ถา้ มีคิดถึงบา้ น มีสติไหม ? (ไม่มี) สปั หงก มีสติไหม ? (ไมม่ ี) ขณะฟังธรรมอยู่ อกุศลเกิด สลบั กนั ก็ยงั ได้ ในชวี ติ ประจาวนั แมเ้ ราสมาทานศีล อกุศลก็ยงั เกิดข้ นึ สลบั ได้ เจริญวิปัสสนาอยู่ อกุศลเกิดข้ ึนสลบั ไดเ้ หมือนกนั ดว้ ยความรวดเร็วของจติ เป็ นสิ่งท่ีจะตอ้ งสงั เกตใหร้ ู้ _18-1133 (�����).indd 52 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๓อนตั ตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 53 ถา้ ขณะเขา้ ฌาน อกุศลเกิดสลบั ไดไ้ หม ? (ไมไ่ ด)้ แตถ่ า้ ยงั ไมเ่ ขา้ ฌาน กาลงั นัง่ สมาธิอยู่ อกุศลเกิดข้ ึนไดน้ ะ ถา้ เป็ นขณิก- สมาธิ อุปจารสมาธิ อกุศลเกิดสลบั ได้ แตถ่ า้ เป็ นฌานจติ เป็ น อปั ปนาสมาธิแลว้ อกุศลเกิดสลบั ไมไ่ ดแ้ ลว้ หมายถึง ไดฌ้ าน เป็ นกระแสของฌานแลว้ ในระหวา่ งเขา้ ฌานจะยนิ ดีในฌานไมไ่ ด้ กอ่ นเขา้ ฌานและออกจากฌาน อกุศลสามารถเกิดได้ แตว่ า่ ความ ยนิ ดีในฌานที่เป็ นอกุศล เรียกวา่ ภวตณั หาหรือรปู ตณั หา ไม่ได้ เป็ นเคร่ืองก้นั ของฌาน ตอ้ งเป็ นกามตณั หา จงึ จะเป็ นเคร่ืองก้นั ของฌาน เพราะรูปตณั หาเป็ นความยนิ ดีในฌาน ถา้ เราไมอ่ ยาก ไดฌ้ าน ไม่สนใจในฌานเลย ก็จะไม่ทาฌาน แตบ่ างคนอยากได้ ฌานก็ลงมือศึกษาปฏิบตั ิ เรียกวา่ อาศยั ตณั หาละตณั หาก็ได้ ถา้ อยใู่ นฌานจะไม่สามารถพิจารณาอะไรไดเ้ ลย ขณะอยใู่ น ฌานจะมีอารมณข์ องสมถะเป็ นนิมิตเท่าน้ัน ไมส่ ามารถพิจารณา อะไรได้ ถา้ พจิ ารณาไดเ้ ม่ือไร หมายถึง เป็ นกามาวจรจิตแลว้ ไมใ่ ชฌ่ านจิตแลว้ คือ ออกจากฌานแลว้ เป็ นเรื่องท่ีเราควรทา ความเขา้ ใจ คาสอนของพระพุทธเจา้ ละเอียดลึกซ้ ึง ตอ้ งอาศยั การสนทนาดว้ ย การสนทนามีประโยชน์มาก แต่ตอ้ งต้งั จิตไวช้ อบ เพราะระหวา่ งสนทนา จะมีความยดึ ถืออตั ตามาแทรกได้ ตณั หา มานะ ทิฏฐิ จะแทรกตลอด กุศลเกิดสลบั กบั อกุศล จะเห็นไดว้ า่ ในยคุ น้ ี พระภกิ ษุจะไม่คอ่ ยสนทนาธรรมกนั เพราะวา่ ถา้ สนทนากนั แลว้ เด๋ียวจะทะเลาะกนั เพราะต่างคนตา่ งยึดมนั่ แต่ ถา้ หากคนไหนชอบที่จะสนทนา ทาใจได้ คือ วางตนไดว้ า่ การ สนทนาจะเกิดประโยชน์อยา่ งไร มีสติ สมั ปชญั ญะ มีเมตตาและ ขนั ติต่อกนั ก็จะเกิดประโยชน์มากทีเดียว _18-1133 (�����).indd 53 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๔54 อนตั ตา บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? สภาวลกั ษณะ สามญั ญลกั ษณะคอื อะไร ? สภาวลกั ษณะ หมายถึง ลกั ษณะที่มีตวั ธรรมะ มีภาวะจริงๆ ลกั ษณะ หมายถึง เคร่ืองกาหนด ภาวะ แปลวา่ มี, เป็ น, อย,ู่ ลกั ษณะท่ีมีอยจู่ ริงๆ เป็ นปรมตั ถธรรม เชน่ แข็ง อ่อน เยน็ รอ้ น ตึง ไหว โกรธ หิว สุข ทุกข.์ ปรมตั ถธรรมของหิว คือ เป็ น ทุกขเวทนา ... หนัก เป็ นปรมตั ถธรรมอะไร ? ... ปฐวีหรือ ? ลกั ษณะของปฐวี ถา้ ไปอยบู่ นอวกาศ ไปจบั วตั ถุส่ิงหน่ึง จะรูไ้ หมวา่ ของสิ่งน้ันแข็งหรืออ่อน อยา่ งจบั ยานอพอลโล จะรูไ้ หม วา่ แข็งหรือออ่ น ? ... (รู)้ ถา้ จุดไฟไดแ้ ลว้ ไปจบั ไฟ จะรูไ้ หมวา่ รอ้ น ? ... (ร)ู้ แต่ถา้ เราไปจบั วตั ถุ เช่น จบั แกว้ ขา้ งบนอวกาศ จะรูไ้ หม วา่ หนักหรือเบา ? ... (ไมร่ ู้ เนื่องจากไมม่ ีแรงโนม้ ถ่วง) แสดงวา่ หนัก เบา เป็ นปรมตั ถ์ หรือ บญั ญตั ิ ? ... ใหจ้ าไวว้ า่ สภาวธรรม ไม่วา่ อยทู่ ี่ไหน ตอ้ งแสดงสภาวะของ ตนเสมอ จะไม่เปล่ียนแปลง เชน่ ไปอยทู่ ่ีอเมริกา โดนไฟ มือพอง ไหม ? ... (พอง) ไม่วา่ จะโดนไฟไหมท้ ่ีไหน ก็ตอ้ งมือพอง โดน น้าแขง็ จะเยน็ ไหม ? อยทู่ ี่ไหนๆ มนั ก็ตอ้ งแสดงภาวะของมนั ออกมา คนตาบอดไปจบั ของส่ิงหนึ่งจะรไู้ หมวา่ แขง็ หรือออ่ น ? ... (รู)้ จะรไู้ หมวา่ มนั หยาบ-ละเอียด ? ... (ไมร่ )ู้ เพราะจะรวู้ า่ หยาบ-ละเอียดได้ ตอ้ งลบู (สมั ผสั กบั ส่ิงน้ัน) ท้งั หนักกบั เบา หยาบกบั ละเอียด ไม่ใช่เป็ นสภาวะท่ีรไู้ ดท้ ุกสถานท่ี (เป็ นบญั ญตั ิ) แต่แข็ง-ออ่ น รไู้ ดท้ ุกสถานท่ี (เป็ นปรมตั ถ)์ (จะรวู้ า่ หนักหรือเบา วตั ถุน้ันจะตอ้ งอยดู่ า้ นบน ส่วนของร่างกายตอ้ งอยดู่ า้ นลา่ ง จะเบา มากหรือหนักมาก ก็ข้ นึ อยกู่ บั ความรูส้ ึก ความอดทนของแตล่ ะคน _18-1133 (�����).indd 54 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๕อนตั ตา บงั คับบญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? 55 ไม่เท่ากนั คนไหนแข็งแรง อดทนไดม้ าก วตั ถุท่ียกจะเบา คน ไหนไมแ่ ข็งแรง อดทนไม่มาก วตั ถุสิ่งเดียวกนั น้ันก็จะรูส้ ึกหนัก) ลกั ษณะของธาตดุ ิน คือ ลกั ษณะแข็งหรืออ่อนเท่าน้ัน แต่วา่ ความหนกั ความเบา หรือความหยาบ ละเอยี ด เป็ นบญั ญตั ิ ไม่อาจรไู้ ดเ้ หมือนกนั ในสถานที่ที่ตา่ งกนั ลกั ษณะของธาตุดิน คือ แขง็ และอ่อนเท่าน้ัน แต่ความหนักเบา หยาบละเอียด มีพุทธพจน์ แสดงอธิบายขยายความธาตุดิน หลายคนจึงเขา้ ใจวา่ เป็ นปรมตั ถ์ จึงเอามาแสดงกนั แต่ความจริงไม่ใช่ พระพุทธเจา้ แสดงโดยโวหาร เหมือนกบั รูปธาตุ (สี) ท่านก็แสดงวา่ เป็ นความสวา่ ง มืด เงา หมอก ส่ีเหลี่ยม หกเหล่ียม ... ส่ีเหล่ียม หกเหล่ียมเป็ นบญั ญตั ิ แตพ่ ระพุทธเจา้ ก็แสดงวา่ เป็ นรูปารมณ์ เป็ นสิ่งที่เห็นทางตา เพราะชาวโลกเขา้ ใจวา่ รูปบญั ญตั ิเหล่าน้ันเห็นไดท้ างตา แต่ความ เป็ นจริงแลว้ รูปารมณม์ ีลกั ษณะเดียว คือ เป็ นส่ิงที่ปรากฏกบั จกั ข-ุ วญิ ญาณเท่าน้ัน (ในปัจจุบนั ขณะ จิตในมโนทวารก็รไู้ ดท้ ้งั ๓ กาล) ถามวา่ ส่ีเหล่ียม หกเหลี่ยมน้ ี ปรากฏแก่จกั ขุวญิ ญาณหรือ เปล่า ? ... ไม่ใช่ ปรากฏแก่มโนวญิ ญาณ อาศยั ทางตา ผ่านทาง ตาแลว้ ไปถึงทางใจ จงึ รวู้ า่ เป็ นส่ีเหลี่ยม หกเหล่ียม. หนัก เบา หยาบ ละเอียดก็เชน่ กนั อาศยั ทางกาย ผ่านทางกายไปถึงทางใจ แลว้ จึงรวู้ า่ หนักหรือเบา หยาบหรือละเอียด ... สภาวลกั ษณะเป็ นปรมตั ถ์ แตส่ ามญั ญลกั ษณะหรือไตรลกั ษณ์ เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ แตกตา่ งกนั แต่เรียกวา่ ลกั ษณะเหมือนกนั เพราะเป็ นตวั กาหนดสภาวธรรม _18-1133 (�����).indd 55 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๖56 อนัตตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? แทรกพระรัตนตรัย กอ่ นเขา้ ใจสภาวธรรม เราจะถึงพระรตั นตรยั ไดอ้ ยา่ งไร ? พระรตั นตรยั อยทู่ ่ีไหน ? พระรตั นตรยั อยใู่ นพระไตรปิ ฎก ถา้ ไม่มีใครเอาเรื่องของพระ รตั นตรยั จากในพระไตรปิ ฎกออกมาแสดง ออกมาทาเป็ นหนังสือ เราจะรูจ้ กั พระพทุ ธเจา้ ไหม ? จะรูจ้ กั พระธรรมไหม ? จะรูจ้ กั อริยสจั ไหม ? จะรูจ้ กั พระอริยสงฆไ์ หม ? แตว่ า่ ขณะน้ ี เรามีพระ รตั นตรยั เป็ นที่พึง่ แบบเงาๆ ยงั ไมไ่ ดเ้ ป็ นท่ีพ่งึ อยา่ งแทจ้ ริง เป็ นแค่ เงาๆ เพราะเราอาจจะขาดจากพระรตั นตรยั เม่ือไรก็ได้ ... คนท่ีไปไหวเ้ ทวรปู เจา้ พอ่ เจา้ แม่ สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ ดว้ ยความ เขา้ ใจผิด มีโอกาสขาดจากพระรตั นตรยั ได้ เพราะไมร่ จู้ กั พระ รตั นตรยั ไม่เขา้ ใจพระรตั นตรยั ไมร่ วู้ า่ วตั ถุเหลา่ น้ันเป็ นวตั ถุนอก พระพทุ ธศาสนา ไมใ่ ชว่ ตั ถุในพระพทุ ธศาสนา และไมไ่ ดม้ ีตวั ตน จริงๆ เป็ นเรื่องท่ีแตง่ ข้ นึ มาในลทั ธิความเชื่อบางกลุ่ม ที่เรียกกนั วา่ เจา้ แม่กวนอิม แทจ้ ริง คือ พระนางเมี่ยวซนั เป็ นพระธิดาองคเ์ ล็กที่ ๓ ของพระเจา้ แผ่นดินจีน มีคุณธรรมสูง สามารถที่จะบริจาคดวงตาใหพ้ ระบิดาได้ มีใจเมตตา ชอบชว่ ย เหลือคนทุกขย์ าก ชอบปลอ่ ยนักโทษ คนจงึ สรรเสริญยกยอ่ งวา่ เป็ นเจา้ แมก่ วนอิม กวนอิมเพ้ ยี นมาจากอวโลกิเตศวร เป็ นพระ โพธิสตั วข์ องลทั ธิมหายาน อวโลกิเตศวรมาจากอินเดีย เผยแพร่ มาในจีน เพ้ ยี นเป็ นกวนอิม. ตามหลกั คาสอนของเถรวาท ถือวา่ ลทั ธิมหายานไมไ่ ดช้ ว่ ยรกั ษาแกน่ แทข้ องพระพุทธศาสนา แต่กลบั ทาลาย เพราะปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงหลกั คาสอน ท้งั พระธรรม และพระวินัย ประพฤติยอ่ หยอ่ น ผิดจากหลกั คาสอนมากมาย _18-1133 (�����).indd 56 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๗อนัตตา บังคับบญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? 57 ถา้ ใครนับถือ กราบไหวพ้ ระนางเมี่ยวซนั ในฐานะเป็ นคนดีมีคุณ ธรรมสูง อยา่ งน้ ีไมม่ ีโทษ แตถ่ า้ นับถือเคารพบูชาเจา้ แม่กวนอิม ในฐานะพระโพธิสตั ว์ มีฤทธ์ิเดช สามารถชว่ ยเหลือคุม้ ครองผูท้ ่ีไป กราบไหว้ สวดมนตข์ อพร อยา่ งน้ ีเป็ นสีลพั พตปรามาส ถา้ เขา้ ใจ วา่ มีคุณเหนือพระรตั นตรยั อยา่ งน้ ีก็ทาใหข้ าดจากพระรตั นตรยั ได้ ใครเป็ นคนสรา้ งพฆิ เนศข้ นึ มา มีโอกาสขาดจากพระรตั นตรยั ไดเ้ ลย เพราะไมร่ คู้ ุณของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไปนับถือวตั ถุอื่น วา่ มีคุณ มีความวเิ ศษมากกวา่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนใหญ่คนไปไหวพ้ ิฆเนศ ไปไหวเ้ พ่ืออะไร ... เพือ่ ใหม้ งั่ มี ขอให้ เจริญรุง่ เรือง ทามาคา้ ข้ นึ ไมเ่ ขา้ ใจเหตุผลของกรรมตามหลกั พุทธ ศาสนา แตไ่ ปทาตามแนวศาสนาอ่ืนที่ตอ้ งทาใหพ้ ระเจา้ พอใจแลว้ ขอพรจากพระเจา้ ลว้ นเป็ นความเห็นผิด เป็ นอกุศล และทาให้ พระพุทธศาสนาเส่ือม การถึงพระรตั นตรยั ถึงไดจ้ ากการศึกษาพระธรรมคาสอน ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ที่อยใู่ นพระไตรปิ ฎก แตย่ งั ไม่ไดถ้ ึงจริงๆ ผูท้ ี่ถึงพระรตั นตรยั โดยแทจ้ ริง ตอ้ งถึงดว้ ยโลกุตตรสรณคมน์ ตอ้ งรูแ้ จง้ อริยสจั ๔ จึงจะไม่ขาดจากพระรตั นตรยั ไม่มีการเศรา้ หมองดว้ ย แต่ปุถุชนเศรา้ หมองไดง้ า่ ยมาก และอาจขาดจากพระ รตั นตรยั ไดโ้ ดยไม่รตู้ วั เพราะไมร่ คู้ ุณของพระรตั นตรยั เรานับถือกราบไหวร้ ชั กาลที่ ๑ รชั กาลท่ี ๕ รชั กาลท่ี ๙ เจา้ แมก่ วนอิม เจา้ พอ่ กวนอู เปาบุน้ จ้ นิ ฯลฯ ได้ โดยคิดถึงคุณ เชน่ ความซื่อสตั ย์ ความเท่ียงธรรม คุณธรรมความดี แต่ตอน ทาบาปตอ้ งแยกออกไป อยา่ งน้ ี ไม่ขาดจากการถึงพระรตั นตรยั _18-1133 (�����).indd 57 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๘58 อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? การนับถือครูบาอาจารย์ พอ่ แม่ ญาติพ่ีนอ้ ง ฯลฯ แมพ้ อ่ แม่ที่เป็ น มิจฉาทิฏฐิ เราก็กราบไหว้ ดูแล กตญั ญไู ด้ ในฐานะท่ีมีบุญคุณ แต่ไม่บชู า ไม่เคารพในความเห็นผิด ก็ไม่ขาดจากพระรตั นตรยั ปัจจุบนั น้ ี การถึงพระรตั นตรยั เลือนลางมาก เพราะเราขาด ความรคู้ วามเขา้ ใจ เพราะวตั ถุเจริญมากข้ นึ ความสนใจพระธรรม วนิ ัยนอ้ ยลง ไมต่ อ้ งพดู ถึงทางธรรมเลย มีแต่เล่นไลน์ เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ฯลฯ คนสมาธิส้นั มีมาก สมยั น้ ีจะหาคนท่ีไดฌ้ าน หรือเป็ นพระอริยเจา้ หาไดย้ ากอยา่ งยงิ่ ... สภาวลักษณะ สามญั ญลักษณะ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? สภาวลกั ษณะ เป็ นลกั ษณะของปรมตั ถธรรม ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ ๕ และพระนิพพาน ปรมตั ถธรรม ๔ มีสภาวธรรม คือ มีตวั จริง สภาวลกั ษณะ คือ สิ่งที่แสดงตวั จริงของปรมตั ถธรรม ๔ สามญั ญลกั ษณะ เป็ นลกั ษณะที่เสมอกนั เรียกอีกช่ือหนึ่งวา่ ไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตตลกั ษณะ ที่ เรียกวา่ เป็ นสามญั ญลกั ษณะ เพราะวา่ มีลกั ษณะท่ีเสมอกนั ใน สงั ขารธรรมท้งั หลาย คือ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา จิต เจตสิก รปู ไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา. ส่วน นิพพาน เที่ยง เป็ นสุข เป็ นอนัตตา พระนิพพานไมม่ ีไตรลกั ษณ์ มีแค่เอกลกั ษณ์ คือ อนัตตลกั ษณะ. แต่วา่ สงั ขารธรรมท้งั หลาย คือขนั ธ์ ๕ ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาเสมอกนั ลกั ษณะที่ ไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ท่ีเสมอกนั ของสงั ขารธรรมท้งั ปวง เรียกวา่ สามญั ญลกั ษณะ หรือไตรลกั ษณ์ _18-1133 (�����).indd 58 12/18/2561 BE 2:18 PM
๕๙อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรอื ? 59 ตารางความตา่ งกนั ของสภาวะะฯ กบั สามัญญะะฯ ลาดบั สภาวลกั ษณะ สามญั ญลกั ษณะ ๑ ปัจจตั ตลกั ษณะ ไตรลกั ษณ์ ๒ วิเสสลกั ษณะ อริยกรธรรม ๓ เป็ นอารมณข์ องญาตปริญญา เป็ นอารมณข์ องตีรณ- ปหานปริญญา ๔ มีในทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค นับเนื่องในทุกขสจั และสจั จวิมุติ เพอ่ื การทาปริญญา ๕ เป็ นปรมตั ถธรรม เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ ๖ เป็ นตวั กาหนด เป็ นอาการของ ปรมตั ถธรรม ๔ ปรมตั ถธรรม ๓ ๗ เป็ นส่วนหนึ่งของ ส่วนหน่ึงของอาทีนวะ ลกั ขณาทิจตุกกะ (จากเนตติปกรณ)์ ๑. สภาวลกั ษณะ ก็คอื ปจั จตั ตลักษณะ สามัญญลักษณะ กค็ อื ไตรลักษณ์ ลกั ษณะ แปลวา่ เครื่องกาหนด ปัจจตั ตลกั ษณะ แปลวา่ ลกั ษณะเฉพาะตน สภาวลกั ษณะ แปลวา่ ลกั ษณะของสภาวธรรม สภาวะ แปลวา่ ภาวะที่มีอยจู่ ริง มีตวั จริง สภาวลกั ษณะเป็ น ลกั ษณะท่ีมีจริงๆ ของปรมตั ถธรรม ๔ ท่ีมีตวั จริง ไตรลกั ษณ์ คือ ลกั ษณะ ๓ อยา่ ง ไดแ้ ก่ อนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ อนัตตลกั ษณะ เป็ นลกั ษณะของปรมตั ถธรรม ๓ _18-1133 (�����).indd 59 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๐60 อนตั ตา บงั คับบัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? ยกเวน้ นิพพาน สามญั ญลกั ษณะเป็ นลกั ษณะท่ีทวั่ ไปแก่สงั ขตธรรม ท้งั ปวงก็คือไตรลกั ษณน์ ัน่ เอง เป็ นอาการของสภาวธรรมที่มีตวั จริง แตว่ า่ ตวั ไตรลกั ษณไ์ ม่มีอยจู่ รงิ เป็ นบญั ญตั พิ เิ ศษท่ีเก้ ือกูลแก่ การเจรญิ วิปัสสนา เพ่ือออกจากวฏั ฏะ สภาวลกั ษณะเป็ นส่ิงที่มีสามญั ญลกั ษณะ เชน่ เยน็ รอ้ น ออ่ น แข็ง ฯ นี่เป็ นสภาวลกั ษณะ แตว่ า่ สภาพเยน็ รอ้ น ออ่ น แขง็ ฯ มีแลว้ ก็ไม่มี คือ ไม่เท่ียง ทนอยไู่ ม่ได้ คือ เป็ นทุกข์ และบงั คบั บญั ชาไม่ได้ คือ เป็ นอนัตตา สภาวลกั ษณะมีสามญั ญลกั ษณะ เขา้ ไปทบั อีกทีหน่ึง เป็ นอาการของสภาวลกั ษณะ (ปัจจตั ตลกั ษณะ) ปัจจตั ตลกั ษณะเป็ นลกั ษณะเฉพาะตน เย็น-รอ้ นเป็ นลกั ษณะ ของธาตุไฟ ตึง-ไหวเป็ นลกั ษณะของธาตุลม เอิบอาบ-เกาะกุม เป็ นลกั ษณะของธาตุน้า อ่อน-แขง็ เป็ นลกั ษณะของธาตุดิน การ เสวยอารมณเ์ ป็ นลกั ษณะของเวทนา ความจาไดห้ มายรเู้ ป็ นลกั ษณะ ของสญั ญา การรแู้ จง้ อารมณเ์ ป็ นลกั ษณะของวญิ ญาณ เรียกว่า ปัจจตั ตลกั ษณะ หรือสภาวลกั ษณะ ก็เป็ นส่ิงเดียวกนั ๒. สภาวลกั ษณะ เรยี กว่า วเิ สสลกั ษณะ สามญั ญลักษณะ เรยี กว่า อริยกรธรรม ปัจจตั ตลกั ษณะ สภาวลกั ษณะ วิเสสลกั ษณะ ใชส่ ิ่งเดียวกนั หรือไม่ ? ... เป็ นส่ิงเดียวกนั เป็ นคาไวพจน์ที่มีอรรถเหมือนกนั สภาวลกั ษณะคือตวั ปรมตั ถ์ มีปัจจตั ตลกั ษณะ เป็ นลกั ษณะ เฉพาะตนของใครของมนั แขง็ -ออ่ นเป็ นลกั ษณะของธาตุดิน รอ้ น -เยน็ เป็ นลกั ษณะของธาตุไฟ เป็ นตน้ _18-1133 (�����).indd 60 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๑อนัตตา บงั คับบญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? 61 วเิ สสลกั ษณะ หมายถึง ลกั ษณะที่พเิ ศษกวา่ เชน่ ธาตุไฟมี ลกั ษณะรอ้ น-เยน็ ธาตุดินมีลกั ษณะแขง็ -อ่อน, ธาตุไฟวเิ ศษกวา่ ธาตุดินน้า ธาตุดินก็วเิ ศษกวา่ ธาตุไฟ, วเิ ศษ แปลวา่ ต่างจากกนั ลกั ษณะที่ตา่ งกนั แต่ละอยา่ งๆ ต่างกนั ดิน น้า ไฟ ลม จิต เจตสิก เจตนา (ความจงใจ ต้งั ใจ) เอกคั คตา (ความต้งั มนั่ ใน อารมณ)์ สติ (การระลึกไดใ้ นอารมณ)์ ฯ ลว้ นแลว้ แต่มีความต่าง ปัจจตั ตลกั ษณะ สภาวลกั ษณะ วเิ สสลกั ษณะ คือสิ่งเดียวกนั มีช่อื ที่ตา่ งกนั แต่มีความหมายเหมือนกนั เรียกวา่ คาไวพจน์ ตวั ธรรมะเป็ นองคธ์ รรมอนั เดียวกนั เป็ นปรมตั ถธรรม สามญั ญลกั ษณะ หรือ ไตรลกั ษณ์ เป็ นบญั ญตั ิพิเศษ เป็ นอาการของสภาวลกั ษณะ เป็ นอาการของปัจจตั ตลกั ษณะ เป็ น อาการของวเิ สสลกั ษณะ สมมุติ กับ บัญญัติ ตา่ งกนั อย่างไร ? ถามวา่ สมมุติ กบั บญั ญตั ิ ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ... บญั ญตั เิ ป็ นส่ิงที่จติ คิดข้ ึน แต่งต้งั ข้ นึ แตส่ มมุติเป็ นสิ่งที่กลุ่ม คนตกลงกนั ต้งั ข้ นึ ถา้ เป็ นสมมุติ เป็ นสิ่งที่กลุ่มคนสมมุติกนั ข้ นึ สมมุติแตล่ ะท่ีๆ ไมเ่ หมือนกนั เชน่ ในเมืองไทยเคารพพระภิกษุ เพราะสมมุติใหพ้ ระอยใู่ นฐานะสูง แตถ่ า้ ไปแถวเอธิโอเปี ย ไมม่ ีคน ไหวพ้ ระ เขาไม่เคารพพระ เพราะเขาไม่รูจ้ กั สมมุติในความเป็ นพระ เพราะกลุม่ คนเขาไม่ไดต้ กลงกนั แตเ่ ขารวู้ า่ คนหวั โลน้ ตา่ งจาก คนอ่ืน เพราะจิตบญั ญตั ิวา่ คนหวั โลน้ ตา่ งจากคนธรรมดา _18-1133 (�����).indd 61 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๒62 อนตั ตา บังคับบญั ชาไม่ได้ จริงหรอื ? จิตเหน็ ไดย้ นิ ไดก้ ลิ่น ล้ ิมรส ถูกตอ้ งสมั ผสั จิตทางปัญจทวาร รแู้ ต่ปรมตั ถเ์ ท่าน้ัน ไมร่ รู้ ปู รา่ ง แตจ่ ติ ทางมโนทวารจะรวบรวม เป็ นรปู รา่ ง สณั ฐาน และแปลความหมาย ตอนแปลความหมาย เป็ นบญั ญตั ิแลว้ เพราะฉะน้ัน จึงกล่าววา่ จติ เป็ นตวั บญั ญตั ขิ ้ นึ จติ บางดวงมีปรมตั ถเ์ ป็ นอารมณเ์ ท่าน้ัน จติ บางดวงมีบญั ญตั ิเป็ น อารมณเ์ ท่าน้ัน จิตบางดวงรไู้ ดท้ ้งั อารมณท์ ี่เป็ นปรมตั ถแ์ ละบญั ญตั ิ จิตบญั ญตั ิ คิดเห็นเป็ นรปู ร่าง สณั ฐาน แตผ่ ูค้ นสมมุติเรียก กนั วา่ อะไร เชน่ แกว้ คนไทยเรียกแกว้ แตค่ นฝรัง่ ไม่รเู้ รื่อง เพราะสมมุติเป็ นเร่ืองเฉพาะกลุ่มคน กลุ่มไหนก็สมมุติกนั ไปตาม ภาษา วฒั นธรรม อาชพี วตั ถุส่ิงเดียวกนั เรียกชอ่ื ไม่เหมือนกนั สมมุติคือส่ิงที่ผูค้ นจดั สรรข้ นึ ในกิจการงาน ประเทศ สภาวะ สถานการณต์ ่างๆ ที่แตกต่างกนั ไป แต่ทุกคนจะเหน็ เป็ นแกว้ เหมือนกนั เห็นรปู รา่ งเหมือนกนั เพราะวา่ จิตบญั ญตั ิเหมือนกนั ฉะน้ัน สมมุติกบั บญั ญตั ิ จงึ ไม่เหมือนกนั มีความแตกต่างกนั แต่ท่ีเหมือนกนั คือ ท้งั คไู่ มใ่ ชป่ รมตั ถธรรม การเจริญวปิ ัสสนาตอ้ งรู้ และสามารถแยกแยะออกท้งั สภาว- ธรรม ท้งั บญั ญตั ิ ตอ้ งรทู้ ้งั สมมุติ และรไู้ ตรลกั ษณด์ ว้ ย ถา้ รคู้ า หรือชื่อ คาหรือชื่อน้ันเป็ นท้งั สมมุติ และบญั ญตั ิดว้ ย เป็ นนาม- บญั ญตั ิ เพราะคนบญั ญตั ิคาหรือชอื่ น้ันข้ นึ มา เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจกนั เฉพาะกลุม่ จึงเป็ นสมมุติ แต่ถา้ เหน็ แลว้ รคู้ วามหมายวา่ เป็ นอะไร คนทุกประเทศเหน็ เหมือนกนั รวู้ า่ เป็ นแกว้ เหมือนกนั นัน่ เป็ น อตั ถบญั ญตั ิ แต่คาพดู ตา่ งกนั คาเรียกต่างกนั เป็ นนามบญั ญตั ิ และเป็ นสมมุติดว้ ย _18-1133 (�����).indd 62 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๓อนตั ตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรือ ? 63 สามญั ญลกั ษณะ เป็ นบญั ญตั ิ แต่เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ ไม่ใช่ บญั ญตั ิทวั่ ไป เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ พิเศษตรงท่ีวา่ เป็ นอาการของ สภาวลกั ษณะ เป็ นอาการของปรมตั ถธรรมซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ อาการเหลา่ น้ ี อาการท่ีไม่เท่ียง จากสาวเป็ นแก่ จากรวยเป็ นจน ถามวา่ ถา้ เคยจนแลว้ เปล่ียนมารวย คนจะบอกวา่ อนิจจงั ไหม ? มีแต่บอกวา่ โชคดีจงั เลย แตถ่ า้ รวยกลบั มาจน จะบอกวา่ ไม่เที่ยง ถา้ ไดด้ ีมีสุข จะบอกวา่ ไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาไหม ? ... ไตรลกั ษณ์ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา เป็ นอาทีนวะ (เป็ นโทษ) ความงาม ความเที่ยง เป็ นสุข เป็ นอสั สาทะ (น่ายนิ ดีเพลิดเพลิน) คนสว่ นใหญไ่ ม่ชอบที่จะเห็นวา่ ไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ทุกคนอยากใหเ้ ท่ียง เป็ นสุข อยากใหเ้ ป็ น ตวั ตน อยากเป็ นเรา ฉะน้ัน การพิจารณาไตรลกั ษณ์ ตอ้ ง พจิ ารณาดว้ ยโยนิโสมนสิการ ดว้ ยสติสมั ปชญั ญะ ดว้ ยปัญญา ถา้ ไมม่ ีปัญญา แลว้ มาพิจารณาวา่ ไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ น อนัตตา พจิ ารณาไปพจิ ารณามา อาจทาใหเ้ กิดโทมนัส สามารถ ฆา่ ตวั ตายได้ เพราะพจิ ารณาอาทีนวะ เป็ นอนิฏฐารมณ์ เป็ นท่ีนอน เน่ืองของปฏิฆานุสยั (โทสะ) ฉะน้ัน พระภิกษุหลายรปู ท่ีพิจารณา ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา แลว้ นอ้ มไปในการฆา่ ตวั ตาย ยงั โชคดีวา่ ท่านเจริญวปิ ัสสนามาถูกตอ้ ง รวู้ า่ ญาตปริญญาอ่อน จงึ เริ่มเจริญวปิ ัสสนาใหม่ ในที่สุดก็ไดบ้ รรลุธรรม (ก่อนตาย) ไตรลกั ษณ์ เรียกวา่ อรยิ กรธรรม หมายถึง ธรรมะที่ กระทาความเป็ นพระอริยะ พระอริยะทุกท่านจะตอ้ งรูช้ ดั ในอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา. จนประจกั ษ์แจง้ อนิจจลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ _18-1133 (�����).indd 63 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๔64 อนตั ตา บงั คับบัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? อนัตตลกั ษณะ คนที่จะรูช้ ดั ประจกั ษ์แจง้ ไตรลกั ษณ์ จะพจิ ารณา ไตรลกั ษณไ์ ด้ ตอ้ งรชู้ ดั ตวั อนิจจงั ทุกขงั อนัตตาก่อน อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา มีสภาวะจริงๆ คือ ขนั ธ์ ๕ คาวา่ ขนั ธ์ แปลวา่ หมวด กอง สามารถแยกออกไดเ้ ป็ น ๑๑ อาการ ไดแ้ ก่ อดีต-อนาคต-ปัจจุบนั ภายใน-ภายนอก หยาบ-ละเอียด ทราม-ประณีต ในที่ไกล-ในท่ีใกล้ น้ ีเป็ นอาการของขนั ธ์ ที่มี สภาวะจริงๆ แตท่ ่ีมีอดีต มีอนาคต มีปัจจุบนั เป็ นการแสดง ความไม่เท่ียง ที่มีปัจจบุ นั เพราะอดีตดบั ไปแลว้ ท่ีมีอนาคตเพราะ ปัจจุบนั ยงั ไม่ดบั ถา้ ปัจจุบนั ดบั กลายเป็ นอดีต อนาคตก็จะกลาย เป็ นปัจจุบนั จึงแสดงถึงความไมเ่ ท่ียง ขนั ธเ์ ป็ นหมวด เป็ นกอง มีอดีต-อนาคต-ปัจจุบนั ภายใน- ภายนอก แสดงวา่ แปรปรวน ไม่เท่ียง จงึ เรียกวา่ เป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เป็ นตวั สภาวธรรม สว่ นไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจ- ลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ และอนัตตลกั ษณะ เป็ นอาการของอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา ซึ่งก็คือ อาการของขนั ธ์ ๕ น้ันเอง คำที่เกี่ยวขอ้ งกับไตรลกั ษณ์ ๔ คำ มีคา ๔ คาท่ีเกี่ยวกบั อนิจจงั ไดแ้ ก่ ๑. อนิจจงั คือ ขนั ธ์ ๕ สภาวะที่ไมเ่ ที่ยง ๒. อนิจจลกั ษณะ (อนิจจตา) คือ อาการของ ขนั ธ์ ๕ ท่ีไมเ่ ที่ยง ๓. อนิจจานุปัสสนา คือ ปัญญาที่เขา้ ไปตาม เห็นวา่ ขนั ธ์ ๕ น้ัน ไม่เท่ียง ๔. อนิจจานุปัสสี คือ ผูม้ ีปกติ พจิ ารณาขนั ธ์ ๕ โดยความเป็ นของไม่เที่ยง เม่ือเหน็ สิ่งใดไมเ่ ท่ียง ก็ตอ้ งเห็นส่ิงน้ันวา่ เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาดว้ ย เพราะเป็ นส่ิงเดียวกนั _18-1133 (�����).indd 64 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๕อนตั ตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? 65 มีคา ๔ คาที่เกี่ยวกบั ทุกขงั ไดแ้ ก่ ๑. ทุกขงั คือ ขนั ธ์ ๕ สภาวะที่เป็ นทุกข์ ๒. ทุกขลกั ษณะ (ทุกขตา) คือ อาการของขนั ธ์ ๕ ท่ีทนอยไู่ ม่ได้ ทนไดย้ าก ถูกเบียดเบียน ๓. ทุกขานุปัสสนา คือ ปัญญาท่ีเขา้ ไปเห็นขนั ธ์ ๕ โดยความทนอยไู่ ม่ได้ ๔. ทุกขานุปัสสี คือ ผูม้ ีปกติพิจารณาขนั ธ์ ๕ โดยความเป็ นของทนไดย้ าก มีคา ๔ คาท่ีเกี่ยวกบั อนัตตา ไดแ้ ก่ ๑. อนตั ตา คือ ขนั ธ์ ๕ เป็ นปรมตั ถ์ เป็ นนามรปู ไมใ่ ชอ่ ตั ตา ๒. อนตั ตลกั ษณะ (อนัตตตา) คือ อาการของขนั ธ์ ๕ ที่บงั คบั บญั ชาไม่ได้ ไมม่ ีอตั ตาอยใู่ นขนั ธ์ ๕ ๓. อนตั ตานุปัสสนา คือ ปัญญาท่ีเขา้ ไปเห็นขนั ธ์ ๕ โดยความ เป็ นอนัตตา และ ๔. อนตั ตานุปัสสี คือ ผูม้ ีปกติพจิ ารณาขนั ธ์ ๕ โดยความเป็ นอนัตตา ผูท้ ่ีจะบรรลุเป็ นพระอริยบุคคลได้ ตอ้ งพิจารณาไตรลกั ษณ์ แตก่ ่อนที่จะเหน็ ไตรลกั ษณ์ ตอ้ งเหน็ วิเสสลกั ษณะกอ่ น ตอ้ งเห็น ปัจจตั ตลกั ษณะกอ่ น ตอ้ งเห็นสภาวลกั ษณะกอ่ น ตอ้ งเห็นสภาวะ ตวั จริงก่อน จะเรียกวา่ ขนั ธ์ อายตนะ หรือธาตุก็ตาม มีตวั จริง ไตรลกั ษณเ์ ป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ ไม่ใชเ่ ป็ นสภาวะ ไตรลกั ษณ์ เป็ นอาการของสภาวธรรม เป็ นอาการของรูปท่ีไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ไตรลกั ษณเ์ ป็ นอาการของเวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ท่ีมีแลว้ ก็ไม่มี ต้งั อยไู่ มไ่ ด้ ทนอยไู่ ม่ได้ ถูกเบียดเบียน เป็ นนามธรรม รปู ธรรม ท่ีไม่อยใู่ นอานาจบงั คบั บญั ชาของใคร เพราะฉะน้ัน ไตรลกั ษณ์ ไมใ่ ชต่ วั สภาวะ แต่ไตรลกั ษณเ์ ป็ น อาการของสภาวธรรม จึงเขา้ ไปพจิ ารณาไตรลกั ษณก์ ่อน ... ไม่ได้ _18-1133 (�����).indd 65 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๖66 อนตั ตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? ... เพราะถา้ พิจารณาไตรลกั ษณก์ ่อน ก็จะเขา้ ไปยดึ ถืออตั ตาตวั ตน ตวั เรา คน สตั ว์ พอ่ แม่ ฯลฯ วา่ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา พอ่ แม่ไมม่ ีจริง คน สตั วไ์ ม่มีจริง ฉะน้ัน จงึ ตอ้ งไถ่ถอนความ เป็ นพอ่ แม่กอ่ น ถา้ บอกวา่ พอ่ แม่ไมม่ ีตวั ตน เกิดจากเหตุปัจจยั ไม่ตอ้ งตอบแทนคุณ ก็ไมถ่ ูกตอ้ ง ตอ้ งเขา้ ใจท้งั ปรมตั ถแ์ ละบญั ญตั ิ และทาหนา้ ท่ีใหถ้ ูกตอ้ งดว้ ย ฉะน้ัน จึงตอ้ งเขา้ ใจและประจกั ษ์แจง้ สภาวธรรมกอ่ น จงึ จะไปพิจารณาไตรลกั ษณไ์ ด้ ถา้ ไมเ่ ขา้ ใจ สภาวธรรม ไปพจิ ารณาไตรลกั ษณ์ ก็ไม่มีตวั ธรรมะของไตรลกั ษณ์ จริงๆ ใหป้ ระจกั ษ์ เป็ นการคิดเรื่องไตรลกั ษณ์ เป็ นการปฏิบตั ิ ขา้ มขน้ั ซ่ึงจะยงั ไม่เกิดผลจริงๆ ถา้ ยงั ไม่ไดผ้ ่านปริญญาขน้ั ตน้ คือ ญาตปริญญาเสียก่อน แลว้ จะไปเจริญตีรณปริญญาขน้ั กลาง ไดอ้ ยา่ งไร ฉะน้ัน ตอ้ งผ่านญาตปริญญาก่อน จงึ สามารถเจริญ ตีรณปริญญาได้ ถึงจะสามารถไปเจริญปหานปรญิ ญาได้ อรยิ กรธรรม มี ๒ อยา่ ง คือ ไตรลกั ษณ์ และอริยสจั ๔ (ฎกี ามูลปรยิ ายสตู ร ม.มู.) อริยสจั ๔ ก็เป็ นธรรมท่ีทาใหบ้ รรลุ เป็ นพระอริยบุคคล ไตรลกั ษณเ์ ก่ียวขอ้ งกบั อริยสจั ๔ อยา่ งไร ? ... คือ ไตรลกั ษณเ์ ป็ นอารมณข์ องโลกียมคั คสจั ที่ตอ้ งเขา้ ไป กาหนดรใู้ นทุกขสจั ไตรลกั ษณเ์ ป็ นอาการของทุกขสจั แต่ตอ้ งรู้ ดว้ ยโลกียมคั คสจั จงึ สามารถที่จะปหานสมุทยั และรูแ้ จง้ นิโรธได้ ๓. สภาวลกั ษณะเปน็ อารมณข์ องญาตปริญญา ไตรลกั ษณ์เป็นอารมณข์ องตีรณปริญญา ปหานปริญญา _18-1133 (�����).indd 66 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๗อนตั ตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? 67 สภาวลักษณะ หรอื ปัจจตั ตลักษณะ หรอื วเิ สสลักษณะ เปน็ อารมณข์ องญาตปริญญา ญาตปริญญา คือ สุตมยญาณ จินตามยญาณและภาวนามย- ญาณบางส่วน ญาตปริญญา ข้นั ปริยตั ิ เป็ นสุตมยญาณและจินตามยญาณ แต่ถา้ เป็ นข้นั ปฏิบตั ิ ญาตปริญญามี ๒ ข้นั คือ นามรูปปริจเฉท- ญาณและปัจจยปริคหญาณ ฉะน้ัน ญาตปริญญาตอ้ งรอบรู้ หรือ รโู้ ดยรอบ ท้งั ข้นั ปริยตั ิ และข้นั ปฏิบตั ิ ขณะที่ศึกษาเรียนรเู้ ป็ นปัจจยั เก้ ือกูลแกญ่ าตปริญญา เมื่อจะ เอาความรไู้ ปปฏบิ ตั ิ ถึงแมท้ รงพระไตรปิ ฎก แต่ไมน่ อ้ มไปปฏิบตั ิ แมท้ รงจาได้ ก็ไม่เรียกวา่ เป็ นญาตปริญญา เพราะยงั ไมค่ ิดออกจาก วฏั ฏะ ไมค่ ิดจะกาหนดรทู้ ุกขเ์ ป็ นตน้ แตถ่ า้ นอ้ มไปในการปฏิบตั ิ จึงเป็ นญาตปริญญา ข้ ึนอยกู่ บั การต้งั จิตวา่ จะทรงจาไวเ้ พือ่ อะไร ทรงไวแ้ ลว้ จะเอาไปปฏบิ ตั ิไดห้ รือไม่ ? บางคนทรงไว้ แต่ปฏิบตั ิ ไมไ่ ด้ เหมือนคนที่เรียนจบปริญญาตรี โท เอก สาขาตา่ งๆ มาแลว้ เรียนจบกลบั ไปขายก๋วยเต๋ียวเสียน่ี ! ... สามัญญลักษณะหรือไตรลกั ษณเ์ ป็นอารมณ์ ของตรี ณปรญิ ญาและปหานปริญญา ตีรณปริญญาเป็ นวิปัสสนาญาณ ๒ ขน้ั คือ สมั มสนญาณ และอุทยพั พยญาณ เป็ นการพิจารณาเหน็ โดยไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา สมั มสนญาณเป็ นการพิจารณาไตรลกั ษณใ์ นขนั ธ์ ๕ _18-1133 (�����).indd 67 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๘68 อนตั ตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? โดยยอ่ เป็ นปุพพภาคของอุทยพั พยญาณ อุทยพั พยญาณเป็ นการ เหน็ ความเกิดดบั และตอ้ งรูว้ า่ ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาดว้ ย ปหานปริญญา ต้งั แต่ภงั คานุปัสสนาญาณเป็ นตน้ ไป ภงั คา- นุปัสสนาญาณพจิ ารณาเหน็ แต่ความดบั ทาใหเ้ กิดความเบ่ือหน่าย คลายกาหนัด ทาใหล้ ะกิเลสไดเ้ ป็ นกอบเป็ นกา ปริญญา ๒ ข้นั น้ ี (ตีรณ-ปหาน) มีไตรลกั ษณเ์ ป็ นอารมณ์ แต่ถามว่า ไตรลกั ษณข์ องอะไร ? ตอบว่า ไตรลกั ษณข์ อง สภาวธรรม ขณะท่ีมีไตรลกั ษณ์ ก็มีสภาวธรรมดว้ ย ตอนที่เรียน ก ข ค ง ช้นั อนุบาลหรือชน้ั ประถม ตอ้ งจาและ สะกดทีละตวั แต่พอข้ ึนชน้ั มธั ยม อา่ นเป็ นคาเป็ นประโยคไปเลย ก็มี ก ข ค ง อยใู่ นน้ัน ไม่ตอ้ งสะกดแลว้ ไม่เคยคิดถึง ก ข ค ง แตอ่ ่านเป็ นคา เป็ นประโยค และรคู้ วามหมายไดเ้ ลย ดว้ ยความ ชานาญ เชน่ เดียวกบั ตอนท่ีอ่านไตรลกั ษณไ์ ด้ ก็ไม่ใชไ่ มม่ ีสภาว- ลกั ษณะ เพราะประจกั ษ์แจง้ สภาวลกั ษณะมาแลว้ แตถ่ า้ ยงั ไม่ ประจกั ษ์แจง้ สภาวลกั ษณะมา ไปพิจารณาไตรลกั ษณ์ ในเมื่อไม่ เคยเห็นสภาวธรรม ยงั ไมป่ ระจกั ษ์แจง้ สภาวธรรม ก็จะเป็ นไตร- ลกั ษณแ์ บบลอยๆ คิดเอาเองวา่ นัน่ ไมเ่ ท่ียง น่ีไมเ่ ท่ียง นี่เป็ นทุกข์ น่ีเป็ นอนัตตา จะคิดก็ได้ เป็ นกุศลไดด้ ว้ ย ดีกวา่ ไปคิดอยา่ งอื่น แต่วปิ ัสสนาญาณไม่เกิด เพราะไมไ่ ดเ้ ป็ นไปตามลาดบั ใหร้ ไู้ วเ้ ป็ นหลกั เบ้ ืองตน้ วา่ สภาวลกั ษณะหรือปัจจตั ตลกั ษณะ หรือวิเสสลกั ษณะ เป็ นอารมณข์ องญาตปริญญา ส่วนไตรลกั ษณ์ เป็ นอารมณข์ องตีรณปริญญา และปหานปริญญา _18-1133 (�����).indd 68 12/18/2561 BE 2:18 PM
๖๙อนตั ตา บังคบั บัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? 69 ๔. สภาวลักษณะมใี นทุกข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค สัจจวมิ ุติ ไตรลกั ษณ์นับเน่ืองในทุกขสัจ ทุกขสจั มีสภาวลกั ษณะ อุปาทานขนั ธ์ ๕ มีลกั ษณะของตน สมุทยั สจั มีลกั ษณะของตน เชน่ โลภะมีลกั ษณะยนิ ดี พอใจ เพลิดเพลิน ติดขอ้ ง นิโรธมีลกั ษณะ คือ สนั ติ สงบจากสงั ขาร และกิเลสท้งั ปวง ถา้ สงบจากกิเลสเป็ นสอุปาทิเสสนิพพาน (ยงั มีขนั ธเ์ หลือ) ถา้ สงบ จากสงั ขารเป็ นอนุปาทิเสสนิพพาน (ไม่มีขนั ธเ์ หลือ) มรรคมีองค์ ๘ มีลกั ษณะ คือ สมั มาทิฏฐิ-เหน็ ชอบ สมั มา สงั กปั ปะ-ดาริชอบ ตรึก กา้ วไป สมั มาวาจา-กาหนดโดยชอบ สมั มากมั มนั ตะ-ต้งั ข้ นึ โดยชอบ สมั มาอาชีวะ-ผ่องแผว้ ชอบ สมั มา- วายามะ-เพียรชอบ สมั มาสติ-ระลึกชอบ สมั มาสมาธิ-ต้งั จิตมนั่ ชอบ มคั คจติ ผลจิต เป็ นสจั จวิมุติ มีลกั ษณะ คือ จิตทุกดวง เป็ นใหญใ่ นการรอู้ ารมณ์ ลกั ขณาทิจตกุ กะของจิต วิชานนลกฺขณ จิตมีการรแู้ จง้ อารมณ์ เป็ นลกั ษณะ ปุพฺพงฺ คมรส มีสภาพถึงกอ่ นหรือเป็ นใหญ่ เป็ นกิจ สนฺ ธานปจฺ จุปฏฺ €าน มีการสืบตอ่ ไม่ขาดสาย เป็ นผลปรากฏ นามรูปปทฏฺ €าน มีนามรปู เป็ นเหตุใกลใ้ หเ้ กิด อริยสจั ๔ รวมท้งั สจั จวิมุติ ต่างก็มีสภาวลกั ษณะท้งั ส้ ิน แต่สามญั ญลกั ษณะเป็ นสิ่งท่ีนับเน่ืองในทุกขสจั นับเนื่อง คือ เก่ียวขอ้ ง ไมไ่ ดม้ ีตวั จริง เป็ นอาการของทุกขสจั ที่ตอ้ งเขา้ ไปทา _18-1133 (�����).indd 69 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๐70 อนตั ตา บังคับบัญชาไมไ่ ด้ จริงหรือ ? ปริญญากิจ ถา้ พดู อยา่ งละเอียด สมุทยั ก็ยงั มีไตรลกั ษณ์ มรรคก็มี ไตรลกั ษณ์ แตไ่ มต่ อ้ งเขา้ ไปกาหนดรู้ ท่ีตอ้ งเขา้ ไปกาหนดรโู้ ดย ไตรลกั ษณค์ ือทุกขสจั ทุกขสจั มีปริญญากิจ ตอ้ งทาปริญญา กาหนดรใู้ นทุกขสจั ปหานกิจในสมุทยั สจั สจั ฉิกิริยากิจ ทาใหแ้ จง้ ในนิโรธสจั และ ภาวนากิจในมคั คสจั การรไู้ ตรลกั ษณเ์ ป็ นปริญญากิจในทุกขสจั เท่าน้ัน (ตณั หาในอดีตเป็ นสมุทยั สจั ตณั หาในปัจจุบนั เป็ นทุกขสจั ) ๕. สภาวธรรมเป็นปรมตั ถธรรม ไตรลกั ษณเ์ ปน็ บญั ญัติพเิ ศษ สภาวลกั ษณะ เป็ นปรมตั ถธรรม ปรมตั ถธรรม ๔ ไดแ้ ก่ จิต เจตสิก รปู นิพพาน ปรมตั ถธรรม = ปรม (ประเสริฐ, สงู สุด) + อตั ถ (เน้ ือความ) + ธรรม (สภาวะ) ปรมตั ถธรรม หมายถึง สภาวะท่ีมีเน้ ือความ คือ มีลกั ษณะ จริงๆ ที่ทาใหส้ ามารถเขา้ ไปตรสั รถู้ ึงความประเสริฐ คือ เป็ นพระ อริยบุคคล สามารถตรสั รเู้ น้ ือความของปรมตั ถธรรม คือ สภาว- ธรรม สามารถเขา้ ถึงความประเสริฐได้ ปรมตั ถธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเป็ นประธานของบญั ญตั ิก็ได้ ถา้ ไมม่ ีปรมตั ถธรรม ก็ไมม่ ีบญั ญตั ิ เพราะบญั ญตั ิมาจากปรมตั ถ์ ผูห้ ญิง ผูช้ าย บญั ญตั ิมาจากขนั ธ์ ๕ ที่มีอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ฯ บญั ญตั ิมีข้ นึ มาไดก้ ็มาจากปรมตั ถ์ ถา้ ไมม่ ีปรมตั ถ์ บญั ญตั ิจะ มีไมไ่ ด้ ฉะน้ัน ปรมตั ถธรรมจึงเป็ นประธานของบญั ญตั ิ _18-1133 (�����).indd 70 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๑อนตั ตา บังคับบญั ชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 71 ไตรลกั ษณ์ เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ บญั ญตั ิทวั่ ๆ ไป ทาใหเ้ วยี น วา่ ยอยใู่ นวฏั ฏะยาวนาน แต่ไตรลกั ษณเ์ ป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ เพราะวา่ สามารถทาใหอ้ อกจากวฏั ฏะได้ บญั ญตั ิอยา่ งอื่นไมส่ ามารถทาให้ ออกจากวฏั ฏะไดโ้ ดยตรง เหมือนสามญั ญลกั ษณะหรือไตรลกั ษณ์ ธรรมะที่มาเรียนกนั เป็ นบญั ญตั ิพเิ ศษ หรือบญั ญตั ิปกติ ? ... ถา้ เรียนแลว้ ทาใหไ้ ปสวรรค์ เป็ นไปในวฏั ฏะ ก็เป็ นบญั ญตั ิปกติ แต่ถา้ เรียนเพื่อออกจากวฏั ฏะ เราตอ้ งเขา้ สู่ไตรลกั ษณ์ นอ้ มไปถึง ไตรลกั ษณ์ จงึ จะออกจากวฏั ฏะได้ เป็ นชอ่ งทางที่ทาใหเ้ บ่ือหน่าย จากขนั ธ์ ๕ เพื่อคลายกาหนัด เพื่อสลดั คืนอุปาทานขนั ธ์ ๕ ไตรลกั ษณ์ เรียกวา่ บญั ญตั ิพิเศษ เพราะวา่ ใกลต้ อ่ การทา ใหอ้ อกจากวฏั ฏะ โดยการเห็นขนั ธ์ ๕ วา่ ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ น อนัตตา ทาใหเ้ บื่อหน่าย คลายกาหนัด ท่ีเรียกวา่ บญั ญตั ิ เพราะไมไ่ ดม้ ีตวั สภาวะจริงๆ แตว่ า่ เป็ นอาการของสภาวธรรมท่ี ทาใหเ้ ราเหน็ ทุกขสจั โดยความเป็ นอาทีนวะ (เห็นเป็ นโทษ) อสั สาทะ (ความน่าเพลิดเพลินยนิ ดี) ไดแ้ ก่ สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ ตณั หา วิปลาส. อสั สาทะ โดยสภาวะ เป็ นวิบากกบั ตณั หา. สุข โสมนัส อิฏฐารมณเ์ ป็ นวบิ ากท่ีดี เป็ นผล, ตณั หา กบั วิปลาส เป็ นเหตุ เป็ นอสั สาทะโดยตรง ทาใหย้ นิ ดีอยใู่ นวฏั ฏะ อาทีนวะ (เป็ นโทษ) ไดแ้ ก่ ทุกข์ โทมนัส อนิฏฐารมณ์ ทุกขตา ๓ หรือไตรลกั ษณ์ ทาใหอ้ อกจากวฏั ฏะได้ ฉะน้ัน การพจิ ารณาเหน็ ไตรลกั ษณ์ เป็ นการมองโดยอนิฏฐารมณ์ เพ่อื ที่ จะใหเ้ บ่ือหน่าย คลายกาหนัด มองดว้ ยปัญญา ถา้ ไม่ใชพ่ จิ ารณา ดว้ ยปัญญา จะทาใหเ้ กิดโทมนัส _18-1133 (�����).indd 71 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๒72 อนัตตา บังคบั บญั ชาไม่ได้ จริงหรือ ? ๖. สภาวลกั ษณะเปน็ ตัวกำหนดปรมตั ถธรรม ๔ ไตรลักษณ์เป็นอาการของปรมัตถธรรม ๓ สภาวลกั ษณะ เป็ นตวั กาหนดปรมตั ถธรรม ๔ เพราะวา่ ลกั ษณะ แปลวา่ เคร่ืองกาหนด สภาวลกั ษณะเป็ นตวั ท่ีกาหนด ปรมตั ถธรรม วา่ ปรมตั ถธรรมแตล่ ะอยา่ งๆ ตวั จริง คือ อะไร ? รอ้ น-เยน็ เป็ นตวั จริงของไฟ แขง็ -ออ่ นเป็ นตวั จริงของดิน ตึง-ไหว เป็ นตวั จริงของลม เอิบอาบ–เกาะกุมเป็ นตวั จริงของน้า ฯลฯ การพจิ ารณาน้า ไมใ่ ชพ่ จิ ารณาวา่ น้าเอิบอาบ-เกาะกุม แบบท่องไปเป็ นคาๆ แต่ตอ้ งหยงั่ ถึงลกั ษณะของอาการเอิบอาบ- เกาะกุม หยอ่ นมือลงไปในน้า กบั แหยม่ ือลงไปในทรายมีความรสู้ ึก ไมเ่ หมือนกนั ทรายไม่มีอาการเอิบอาบ ถา้ หลบั ตาหยอ่ นมือลงไป ในน้า จะรูไ้ ดว้ า่ เป็ นน้า รไู้ ดจ้ ากสมั ผสั และคิดท่ีใจ เยน็ คือธาตุไฟ ความออ่ น-แข็งไมป่ รากฏชดั เจน แต่อาการเย็น-รอ้ นปรากฏชดั เจน ขณะท่ีมือสมั ผสั มีอาการเอิบอาบ รไู้ ดท้ างใจวา่ ไม่ใชข่ องแข็ง เป็ น ของเหลว ก็คือ ธาตุน้า รวู้ า่ เหลวนัน่ คือน้า แต่ผูท้ ่ีไม่ไดเ้ จริญ วปิ ัสสนา เมื่อคิดถึงความเอิบอาบ แลว้ ก็คิดเลยไปถึงบญั ญตั ิวา่ เป็ นน้าอาบ น้าดื่ม น้าใส น้าขุ่น ฯ น้ ีเป็ นบญั ญตั ิ อาการท่ีเอิบอาบ มีแรงยดึ หน่วงมาก-นอ้ ย แสดงถึงความ เหลว ลกั ษณะของน้าจะมีอาการเอิบอาบ ที่มีคุณสมบตั ิพเิ ศษ สามารถลา้ งส่ิงสกปรกได้ เราถึงใชน้ ้าอาบ เราไมไ่ ดใ้ ชด้ ินอาบ ไม่ไดใ้ ชท้ รายอาบ เพราะวา่ มนั ไม่สามารถซึมซาบเขา้ ไปในสว่ น ต่างๆ ของรา่ งกายไดเ้ หมือนกบั น้า น้ามีลกั ษณะเอิบอาบ-ไหลได้ _18-1133 (�����).indd 72 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๓อนัตตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จรงิ หรือ ? 73 ถา้ อาการเอิบอาบนอ้ ยก็จะเป็ นอาการเกาะกุม แยกออกจากกนั ได้ ยาก เป็ นอาการเกาะกุมของธาตุน้าและมีกิจทาใหช้ ุม่ ช้ นื ตรงไหน มีน้ามาก ตรงน้ันจะชุม่ ช้ นื ผลปรากฏคือการยึดไว้ ธาตุน้ามี ๒ ลกั ษณะ คือ ถา้ เอิบอาบมาก จะมีลกั ษณะ ไหลได้ พรอ้ มที่จะไหล ถา้ ที่สมา่ เสมอจะไม่ไหล แตถ่ า้ ท่ีเอียง เมื่อไร หรือมีการเพ่มิ ความดนั จงึ จะไหล แตถ่ า้ ความเอิบอาบ นอ้ ย จะกลายเป็ นเหมือนกาว ยดึ กนั อยู่ เกาะกุมกนั ไว้ ทรายไมม่ ีลกั ษณะเอิบอาบ แต่มนั สามารถไหลได้ ถา้ เราเอา ไปเท อาการไหลของทราย นัน่ คือ ธาตุลมท่ีเคล่ือนไหว แต่ ลกั ษณะของธาตุน้าในเม็ดทราย คือ เกาะกุม ทาใหย้ ดึ กนั อยู่ เป็ นเม็ดทรายได้ นัน่ คือ ลกั ษณะธาตุน้าท่ีแสดงอาการเกาะกุม ไมไ่ ดแ้ สดงอาการเอิบอาบหรือไหลริน วนั สงกรานต์ เล่นน้า สาดน้ากนั เราชอบ เรารวู้ า่ เป็ นน้า จงึ ไมห่ ลบ แต่ถา้ มีคนเอากอ้ นดินจะมาขวา้ งเรา เราเห็นและคิดถึง ธาตุดิน ถา้ ถูกเราจะตอ้ งเจบ็ เราจึงหลบ นัน่ คือ เราคิดถึง ปรมตั ถธรรม แตเ่ ราไม่ไดร้ ตู้ ามเป็ นจริงวา่ เป็ นปรมตั ถธรรม เราคิดเลยไปถึงบญั ญตั ิ บญั ญตั ิที่เป็ นสสมั ภารปถวี น้าท่ีเอามา ด่ืมก็เป็ นบญั ญตั ิ ใจเราคิดถึงปรมตั ถด์ ว้ ย แต่เราไมไ่ ดร้ ตู้ ามความ เป็ นจริงวา่ เป็ นปรมตั ถ์ รเู้ พยี งบญั ญตั ิที่เป็ นสสมั ภารอาโป มโนวญิ ญาณ คือ จิตท่ีรธู้ าตุน้า แตเ่ มื่อปัญญาไม่เกิด ก็ไม่ ไดร้ ธู้ าตุน้าตามเป็ นจริง มีแตจ่ ิตเท่าน้ันที่รูอ้ าการเอิบอาบ แลว้ ลว่ งเลยไปถึงบญั ญตั ิ ธาตุน้าเปล่ียนแปลงได้ เชน่ ถา้ ลดอุณหภูมิ ลงก็จะกลายเป็ นของแขง็ กลายเป็ นธาตุน้าที่เป็ นอาการเกาะกุม เป็ นน้าแข็ง ความเอิบอาบหายไป แตธ่ าตุน้าตอนท่ีอุณหภมู ิปกติ _18-1133 (�����).indd 73 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๔74 อนตั ตา บังคับบัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? ธาตุดินท่ีมีลกั ษณะแข็งไม่ปรากฏ ธาตุดินปรากฏในลกั ษณะอ่อน ถา้ ลดอุณหภมู ิลง ลกั ษณะออ่ นจะหายไป กลายเป็ นของแข็ง ให้ ทราบวา่ เอิบอาบเป็ นธาตุน้า แข็งเป็ นธาตุดิน เยน็ เป็ นธาตุไฟ ควรพจิ ารณาใหเ้ หน็ ตามความเป็ นจริง ความรอ้ น-เยน็ เป็ น ธาตุไฟ ความแขง็ -อ่อน เป็ นธาตุดิน เอิบอาบ-เกาะกุม เป็ น ธาตุน้า ตึง-ไหว เป็ นธาตุลม เป็ นตน้ ท้งั หมดเป็ นรปู ขนั ธ์ เป็ น รปู ธรรม เพราะมีการแตกดบั เส่ือมสลายจากปัจจยั ที่เป็ นขา้ ศึก คนในคร้งั พุทธกาลไม่ไดส้ บั สน เขารวู้ า่ บญั ญตั ิไม่มีสภาวะ ตามความเป็ นจริง จะกล่าวถึงบญั ญตั ิอะไร ก็สามารถลว้ งลึกไปถึง ปรมตั ถไ์ ด้ น้าตา น้าเหลือง น้าเลือด น้าเหง่ือ ฯ เป็ นบญั ญตั ิ แตท่ ่ีออกมาเป็ นน้า เพราะมีอาการเอิบอาบ-เกาะกุม บญั ญตั ิ เรียกวา่ อะไร เชน่ น้าคลอง น้าตก คือ อาการเอิบอาบ เขาไมไ่ ด้ สบั สนบญั ญตั ิ ปรมตั ถ์ พดู ถึงอะไร เขาสามารถหยงั่ ลึกลงไปได้ เหน็ ใบไมร้ ่วง เขาพจิ ารณาถึงความไมเ่ ท่ียง หยงั่ ลงในไตรลกั ษณ์ ก็ตรสั รไู้ ด้ อุตุชรปู (รูปท่ีเกิดจากฤด)ู ภายนอกก็ไมต่ า่ งจากอุตุชรูป ภายใน เพราะเป็ นรูปเสมอกนั ใบไม้ คือ อวนิ ิพโภครูป (รปู มาตรฐานของทุกส่ิง กลุม่ เล็กท่ีสุดท่ีแยกออกจากกนั ไมไ่ ดม้ ี ๘ รูป คือ ดิน น้า ไฟ ลม สี กล่ิน รส โอชา) แต่ในร่างกายของเรา นอกจากมีอวินิพโภครปู แลว้ ยงั มีรปู ท่ีเกิดจากสมุฏฐาน ๔ (เหตุ เกิดของรปู ๔ คือ กรรม จติ อุตุ อาหาร) ถา้ ภายนอกไมเ่ ท่ียง ภายในก็ไม่เที่ยง ถา้ รปู ภายในไม่เที่ยง จติ เจตสิกก็ไมเ่ ที่ยง ฉะน้ัน ตอ้ งนอ้ มมาสขู่ นั ธ์ ๕ อาศยั ใบไมเ้ ป็ นอารมณ์ ใบไมท้ ี่เหลืองรว่ ง ก็ตรสั รไู้ ด้ แตย่ ุคน้ ีตอ้ งมาแยกวา่ อะไรเป็ นปรมตั ถ์ อะไรเป็ น บญั ญตั ิ เพราะยดึ มนั่ วา่ บญั ญตั ิเป็ นอารมณข์ องวปิ ัสสนาไมไ่ ด้ _18-1133 (�����).indd 74 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๕อนตั ตา บงั คับบัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? 75 ในสมยั ก่อน นางอมั พปาลีเถรีพจิ ารณาผมสีดา กลายเป็ นสี หงอกเหมือนป่ านปอ คาสอนของพระพุทธเจา้ เป็ นคาจริงแทไ้ ม่แปร เป็ นอื่น (สจั จวาที) เม่ือก่อนหนา้ อกเตง่ ตึง เดี๋ยวน้ ีเหมือนถุงหนังไม่ มีน้า ฯลฯ พจิ ารณาร่างกายเอาความสวยงามในอดีต เทียบกบั ความทรุดโทรมในปัจจุบนั เป็ นวปิ ัสสนาของท่าน ยงั ตรสั รไู้ ดเ้ ลย... เวลาท่ีน้ามากระทบรา่ งกาย ไมม่ ีอาการแขง็ ที่ไหวไดไ้ มใ่ ชน่ ้า แตเ่ ป็ นลม ควรกาหนดวา่ ท่ีอาบน้าน้ ี น้าเป็ นบญั ญตั ิ แต่ที่สบาย ข้ นึ มา เพราะมีความเยน็ หรืออุน่ นัน่ คือธาตุไฟ ที่ทาใหเ้ น้ ือตวั สะอาดไดค้ ืออาการของน้า ซึ่งมนั เอิบอาบ สามารถพาสิ่งสกปรก ออกไปได้ นัน่ คืออาการของธาตุน้า ท่ีมากระทบ รสู้ มั ผสั ได้ ขณะท่ีรสู้ ิ่งมากระทบ นัน่ คือกายวญิ ญาณ แตส่ ิ่งท่ีมากระทบคือ อะไร เราตอ้ งแยกใหอ้ อก น้าไมไ่ ดก้ ระทบรา่ งกาย เฉพาะธาตุ ดิน ไฟ ลม รปู ๓ รูปน้ ีเท่าน้ัน ท่ีกระทบร่างกายได้ บญั ญตั ิ คือ เขา้ ไปรเู้ รื่องเมื่อไร ถา้ ไปรูค้ วามหมายเม่ือไร นัน่ คือเป็ นบญั ญตั ิแลว้ การเจริญวปิ ัสสนาไมใ่ ชห่ า้ มไมใ่ หร้ บู้ ญั ญตั ิ ถา้ หา้ มรบู้ ญั ญตั ินัน่ เป็ นโทมนัส (เสียใจ) ถา้ อยากจะใหร้ แู้ ตป่ รมตั ถ์ นัน่ เป็ นอภิชฌา (อยากได)้ แต่จะตอ้ งรูว้ า่ ขณะใดเป็ นปรมตั ถ์ ขณะใดเป็ นบญั ญตั ิ เท่าน้ ีก็เป็ นการแยกปรมตั ถอ์ อกจากบญั ญตั ิแลว้ เชน่ เดียวกนั ถา้ รสู้ ภาวะของรูปวา่ เป็ นอย่างน้ ี ไมใ่ ชน่ าม รสู้ ภาวะ ของนามวา่ เป็ นอยา่ งน้ ี ไมใ่ ชร่ ูป จนประจกั ษ์แจง้ รูป ประจกั ษ์แจง้ นาม นัน่ ก็เป็ นการแยกนามรูปแลว้ เรียกวา่ นามรูปปริจเฉท- ญาณ เป็ นวปิ ัสสนาญาณแรก โดยไม่ตอ้ งไปทาอะไรอยา่ งอื่น แค่ เพยี งสงั เกต ใสใ่ จท่ีลกั ษณะของรูปแตล่ ะรูป นามแต่ละนามเท่าน้ัน _18-1133 (�����).indd 75 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๖76 อนตั ตา บังคบั บัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? การกระทบเป็ นปรมตั ถ์ ตอนระลึกไดเ้ ป็ นสติ แตต่ อนที่เกิด ปัญญา ตอ้ งรวู้ า่ อะไรมากระทบ เพราะสิ่งที่มากระทบทางกายได้ มี ๓ รูป คือ ดิน ไฟ ลม ไมม่ ีธาตุน้า ฉะน้ัน การพิจารณา ธาตุน้าได้ คือ ตอ้ งมีการคิด ไมใ่ ชค่ ิดเรื่องราว แตค่ ิดถึงอาการ ที่เอิบอาบ ทาใหส้ ามารถชาระลา้ งส่ิงสกปรกออกไปได้ เป็ น ลกั ษณะพิเศษของธาตุน้า ส่ิงสาคญั คือความเขา้ ใจ หากมีความเขา้ ใจ จงึ สามารถเจริญ ภาวนาได้ การเจริญสติปัฏฐาน เพ่ือละอภิชฌาและโทมนัส ถา้ มี อวชิ ชา (หลง ไมร่ )ู้ มาก หรือเป็ นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีทาใหม้ ีอภิชฌา (โลภะ) มาก หรือทาใหเ้ กิดโทมนัส (โทสะ) มาก ก็เจริญสติปัฏฐานไมไ่ ด้ หลายคนชอบเอาตนไปเปรียบกบั คนท่ีบารมีเต็ม เชน่ เจา้ สรกานิ ดื่มเหลา้ ก็ยงั บรรลุธรรมได้ ? ... ท่านบารมีเต็มแลว้ แต่ในปัจจุบนั ถา้ ด่ืมเหลา้ แลว้ จะบรรลุเหมือนท่านไหม ? ... ก็เป็ นไปไมไ่ ด้ ไมด่ ่ืม เหลา้ ยงั เมาขนาดน้ ี ถา้ ดื่มเหลา้ จะเมายงิ่ กวา่ น้ ีสกั เท่าไร ? (เมา ในวยั ในความไม่มีโรค เมาในชวี ติ มวั เมาโดยประการต่างๆ) สภาวลกั ษณะเป็ นตวั กาหนดปรมตั ถธรรม ๔ ส่วนไตรลกั ษณ์ เป็ นอาการของปรมตั ถธรรม ๓ เพราะพระนิพพานไม่มีไตรลกั ษณ์ มีแต่เอกลกั ษณ์ คือ อนัตตาอยา่ งเดียว ไตรลกั ษณเ์ ป็ นอาการของปรมตั ถธรรม ๓ คือ จติ เจตสิก รปู มีไตรลกั ษณเ์ สมอกนั จึงเรียกวา่ สามญั ญลกั ษณะ ถา้ เป็ นวิเสสลกั ษณะ ปัจจตั ตลกั ษณะ ลกั ษณะไมเ่ หมือนกนั เจตสิกท้งั ๕๒ มีลกั ษณะเหมือนกนั ก็ได้ ไมเ่ หมือนกนั ก็ได้ เหมือนกนั คือเป็ นเจตสิกเหมือนกนั เกิดพรอ้ ม ดบั พรอ้ ม มีอารมณ์ _18-1133 (�����).indd 76 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๗อนัตตา บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? 77 เดียวกนั เกิดท่ีเดียวกนั เป็ นสมั ปยุตตลกั ษณะ เป็ นสงั ขารธรรม เหมือนกนั แตโ่ ดยปัจจตั ตลกั ษณะ หรือวิเสสลกั ษณะไมเ่ หมือนกนั แตว่ า่ สามญั ญลกั ษณะเหมือนกนั เป็ นเจตสิกเหมือนกนั เป็ น สงั ขารธรรมเหมือนกนั มีท้งั ความเหมือนและความตา่ ง ๗. สภาวลักษณะเป็นสว่ นหนงึ่ ของลกั ขณาทจิ ตุกกะ ไตรลักษณ์เป็นสว่ นหนึ่งของอาทีนวะ ลกั ขณาทิจตุกกะ คือ ธรรม ๔ อยา่ ง มีลกั ษณะเป็ นตน้ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะ กิจ ผลปรากฏ เหตุใกลใ้ หเ้ กิด เป็ นหมวดธรรม ท่ีทาใหเ้ ขา้ ถึงปรมตั ถธรรม เพราะปรมตั ถธรรมเขา้ ถึงไม่ไดง้ า่ ยๆ เราชนิ กบั โลกสมมุติบญั ญตั ิมาต้งั แต่เกิด มีชาติไหนที่เราเกิดมาแลว้ ไม่รสู้ มมุติบญั ญตั ิ มีบา้ งไหม ? ... ไม่มี เพราะจิตเป็ นตวั บญั ญตั ิ หลงั จากเหน็ แลว้ จติ ทางมโนทวารก็บญั ญตั ิทนั ที จิตเป็ นตวั บญั ญตั ิ ชาวโลกทุกสงั คมก็สมมุติซอ้ นเขา้ ไปอีก จึงทาใหค้ นส่วนใหญห่ ลง ไปกบั โลก เขา้ ไม่ถึงปรมตั ถธรรม หากไม่ศึกษาเรียนรแู้ ละอบรม วิปัสสนาปัญญา ก็จะหลงใหลไปทุกภพชาติ ลกั ขณาทิจตุกกะ จะมีตวั ลกั ษณะ มีภาวะของเขา มีกิจการ งาน จติ เจตสิก รปู นิพพาน มีกิจการงาน เชน่ ลกั ษณะของ จติ คือเป็ นสภาพรูแ้ จง้ อารมณ์ แตก่ ิจของจติ คือ เป็ นประธานของ สมั ปยุตธรรม เป็ นประธานของเจตสิก จิตเป็ นใหญก่ วา่ เจตสิก ดงั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ มโนปุพฺพงฺ คมา ธมฺ มา มโนเสฏฺ €า มโนมยา มนสา เจ ปสนฺ เนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต น สุขมนฺ เวติ ฉายา ว อนุปายนิ ี _18-1133 (�����).indd 77 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๘78 อนัตตา บังคับบญั ชาไมไ่ ด้ จรงิ หรอื ? ธรรมท้งั หลาย มีใจเป็ นหวั หนา้ มีใจเป็ นใหญ่ สาเร็จ แลว้ ดว้ ยใจ หากบุคคลมีใจผ่องใสแลว้ พดู อยกู่ ็ดี ทาอยกู่ ็ดี (หรือคิดอยกู่ ็ดี) เพราะเหตุน้ัน สุขยอ่ มติดตามเขาไป เหมือนเงาตามตวั ไป ฉะน้ัน (ขุ. ธ.) จติ เป็ นใหญ่ เป็ นประธาน เป็ นสภาพที่ถึงกอ่ นกวา่ เจตสิก เป็ นใหญ่กวา่ สมั ปยุตธรรม อาการปรากฏคือสืบต่อไม่มีระหวา่ งคนั่ มีนามรปู เป็ นเหตุใกลใ้ หเ้ กิด สภาวลกั ษณะหรือปัจจตั ตลกั ษณะ เป็ นส่วนหน่ึงของลกั ขณา- ทิจตุกกะ คือ ตวั ท่ีกาหนดสภาวธรรมใหเ้ ขา้ ใจ จะเขา้ ใจโดย ลกั ษณะก็ได้ เพราะการเขา้ ถึงสภาวธรรมยาก พระพุทธเจา้ จงึ ทรง แสดงธรรมหลายๆ อยา่ ง เพ่อื จะใหเ้ ขา้ ถึงตวั จริง จะเขา้ ถึงปรมตั ถ- ธรรมโดยลกั ษณะ โดยกิจ เขา้ ถึงโดยอาการปรากฏก็ได้ เขา้ ถึง โดยเหตุใกลใ้ หเ้ กิดก็ได้ เชน่ เดียวกบั ตารวจจะจบั โจร แต่ไมเ่ คย เหน็ หนา้ โจร ไมเ่ คยเจอตวั อาศยั คนที่เคยเหน็ สเก็ตภาพ สืบสวน หาเบาะแส ถามคนน้ันคนน้ ี ในที่สุดก็จบั ตวั โจรได้ ลกั ขณาทิจตุกกะ ๔ อยา่ ง เป็ นสิ่งที่เราตอ้ งศึกษา เพื่อจะให้ เขา้ ถึงปรมตั ถธรรม เพราะเขา้ ถึงไม่ไดง้ า่ ย ตอ้ งอาศยั การเรียนรู้ การศึกษา ตอ้ งมีสุตมยญาณกอ่ นซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของญาตปริญญา จึงสามารถมาทาญาตปริญญาท่ีเป็ นข้นั ปฏิบตั ิไดจ้ ริงๆ สามญั ญลกั ษณะเปน็ ส่วนหน่งึ ของอาทนี วะ อาทีนวะ ๕ อยา่ ง คือ ทุกข์ โทมนัส อนิฏฐารมณ์ ทุกขตา ๓ (ทุกขทุกข์ วิปริณามทุกข์ สงั ขารทุกข)์ หรือไตรลกั ษณ์ และ เตภมู ิกสงั ขาร เป็ นการแสดงทุกขสจั _18-1133 (�����).indd 78 12/18/2561 BE 2:18 PM
๗๙อนตั ตา บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? 79 อสั สาทะ ๕ อยา่ ง คือ สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ ตณั หา วิปลาส คือเตภมู ิกธรรม แสดงสมุทยั สจั สมุทยั สจั โดยตรงคือตณั หา วิปลาส สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ โดยตรง เป็ นทุกขสจั แตว่ า่ เป็ น อารมณท์ ่ีทาใหเ้ กิดตณั หา วปิ ลาส จึงสงเคราะหว์ า่ เป็ นอสั สาทะดว้ ย อารมณท์ ี่เป็ นสุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ เราชอบไหม ? ... ชอบ จึงบอกวา่ มีอสั สาทะแรง อารมณท์ ี่ดีๆ ท้งั หลาย มีอสั สาทะแรง จงึ ทาใหเ้ ราตอ้ งการ ดว้ ยอานาจของตณั หา เทศนาหาระ ๖ อย่าง (เนตติปกรณ)์ อสฺ สาทาทีนวตา นิสฺ สรณมฺ ปิ จ ผล อปุ าโย จ อาณตฺ ตี จ ภควโต โยคีน เทสนาหาโร. อสั สาทะ อาทีนวะ นิสสรณะ ผล อบุ ายและอาณัตติ เพ่ือประโยชน์แกโ่ ยคีบุคคลของพระพุทธเจา้ ช่ือวา่ เทสนาหาระ ๑. อสฺ สาโท (๑. สุข ๒. โสมนัส ๓. อิฏฐารมณ์ ๔. ตณั หา ๕. วปิ ัลลาส – เตภูมิกสงั ขาร แสดงถึงสมุทยั สจั ) อสั สาทะ ไดแ้ ก่ สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ ตณั หา วปิ ลาส. สุข โสมนัส อิฏฐารมณ์ เป็ นอสั สาทะโดยออ้ ม ซ่ึงเป็ นตวั เหตุที่ทา ใหเ้ กิดอสั สาทะโดยตรง คือ ตณั หา วิปลาส ตวั อสั สาทะที่แทจ้ ริง คือ ตณั หา อนั เป็ นสมุทยั วิปลาส ๑๒ คือ วปิ ลาส ๓ x อาการ ๔ (งาม เท่ียง สุข อตั ตา) วปิ ลาส ๓ ไดแ้ ก่ สญั ญาวปิ ลาส (ความจาคลาดเคลื่อน) จติ ตวิปลาส (ความคิดคลาดเคลื่อน) ทิฏฐิวปิ ลาส (ความเห็น คลาดเคลื่อน) _18-1133 (�����).indd 79 12/18/2561 BE 2:18 PM
๘๐80 อนัตตา บงั คบั บัญชาไม่ได้ จริงหรือ ? วปิ ลาส คือ ความคลาดเคล่ือน ผิดเพ้ ียน (เป็ นบา้ ) ทุกคน ยงั มีส่วนของความบา้ คือหลงปรมตั ถ์ แตไ่ ม่หลงบญั ญตั ิ วนั ๆ หนึ่ง เราคิดถึงจิต เจตสิก รูปวา่ ไมเ่ ที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา บา้ ง ไหม ? คิดมากนอ้ ยแค่ไหน ? ขณะท่ีเราไมค่ ิดดว้ ยกุศล ก็คิด เป็ นอกุศล นัน่ คือ วิปลาส เรายงั คงมีวิปลาสคนละมากๆ สญั ญาวิปลาส จิตตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ในส่ิงท่ีไม่เท่ียงวา่ เท่ียง ในส่ิงที่เป็ นทุกขว์ า่ เป็ นสุข ในส่ิงที่เป็ นอนัตตาวา่ เป็ นอตั ตา ในสิ่งที่ไม่งามวา่ งาม ปุถุชนยงั มีวปิ ลาสเต็มเป่ี ยม พระอริยบุคคล ต้งั แต่พระโสดาบนั ข้ นึ ไป ละวิปลาสไดต้ ามลาดบั จะหมดวิปลาสก็ ต่อเมื่อเป็ นพระอรหนั ต์ พระโสดาบนั ละวปิ ลาสได้ ๘ คือ ละทิฏฐิวปิ ลาสในอาการ ท้งั ๔ ละสญั ญาวปิ ลาสในส่ิงท่ีไมเ่ ท่ียงวา่ เที่ยง ในส่ิงที่เป็ นอนัตตา วา่ เป็ นอตั ตาไดอ้ ีก ๒ ละจติ ตวปิ ลาสในส่ิงที่ไมเ่ ที่ยงวา่ เที่ยง ในส่ิง ท่ีเป็ นอนัตตาวา่ เป็ นอตั ตา รวมอีก ๒ เหลือวปิ ลาสอีก ๔ พระสกทาคามีไมไ่ ดล้ ะวิปลาสเพิม่ แต่ทาวิปลาสที่เหลืออีก ๔ ใหเ้ บาบางลง พระอนาคามีละวปิ ลาสไดเ้ พิม่ อีก ๒ คือ ละสญั ญาวิปลาส และจิตตวิปลาสในสิ่งท่ีไม่งามวา่ งาม พระอรหนั ตล์ ะวปิ ลาสที่เหลือ ๒ คือ ละสญั ญาวิปลาสและ จิตตวปิ ลาสในส่ิงที่เป็ นทุกขว์ า่ เป็ นสุข พระอรหนั ตจ์ งึ หมดวิปลาส โดยส้ ินเชิง วิปลาส ๑๒ เป็ นมูลเหตขุ องอวิชชา วิปลาสเกิดจาก อโยนิโสมนสกิ าร (เนตติปกรณ)์ _18-1133 (�����).indd 80 12/18/2561 BE 2:18 PM
๘๑อนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ จรงิ หรอื ? 81 ๒. อาทนี โว (๑.ทุกข์ ๒.โทมนัส ๓.อนิฏฐารมณ์ ๔.ทุกขตา ๓ (หรือไตรลกั ษณ)์ – เตภูมิกสงั ขารทุกข์ แสดงถึงทุกขสจั ถา้ เราฟังธรรม มีโยนิโสมนสิการบ่อยๆ วิปลาสก็คลาย อวชิ ชาก็ไม่เกิด การใส่ใจพิจารณาขนั ธ์ ๕ ซึ่งเป็ นทุกขสจั โดย ความไมเ่ ท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา บ่อยๆ (หลงั จากประจกั ษ์ แจง้ นามรูปและปัจจยั ของขนั ธ์ ๕ แลว้ ) ยอ่ มจะทาใหป้ ระจกั ษ์แจง้ ความเกิดดบั เหน็ โดยความเป็ นภยั โดยความเป็ นโทษคืออาทีนวะ ทาใหเ้ บ่ือหน่าย คลายกาหนัด และสลดั คืนไดใ้ นท่ีสุด ๓. นิสฺ สรณ (๑.อริยมรรค ๒.นิพพาน เคร่ืองออกจากวฏั ฏะ – แสดงมคั คสจั และนิโรธสจั ) สว่ นของนิสสรณะ คือ อริยมรรค อนั เป็ นเหตุ (ใหถ้ ึง) และนิพพานอนั เป็ นผล (ของการเจริญมรรค) มรรค ๓ ประเภท สุญญตะ อนมิ ิตตะ อัปปณิหติ ะ อริยมรรคมีท้งั สุญญตะ อนิมิตตะและอปั ปณิหติ ะ คือ เวลา จะออกจากขนั ธ์ ๕ ในขณะสงั ขารุเบกขาญาณ บรรลุอริยมรรค พิจารณามากดว้ ยอนัตตา ออกดว้ ยอนัตตา หรืออนิจจงั หรือทุกขงั จะมีชอ่ื เรียกของมรรคท่ีตา่ งกนั มรรคเรียกวา่ วิโมกข์ มี ๓ ประเภท เรียกชือ่ ตามการเจริญอนุปัสสนา เป็ นสุญญตวิโมกข์ อนิมิตต- วิโมกข์ หรืออปั ปณิหิตวิโมกข์ คือ เป็ นผูย้ ง่ิ และมากดว้ ยอะไร ? ถา้ ยง่ิ ดว้ ยศีล มากดว้ ยอธิโมกข์ ไดส้ ทั ธินทรีย์ พิจารณาอนิจจงั หลุดพน้ ดว้ ยอนิมิตตวิโมกข์ ถา้ ยง่ิ ดว้ ยสมาธิ มากดว้ ยปัสสทั ธิ ไดส้ มาธินทรีย์ พิจารณา ทุกขงั หลุดพน้ ดว้ ยอปั ปณิหิตวิโมกข์ _18-1133 (�����).indd 81 12/18/2561 BE 2:18 PM
๘๒82 อนตั ตา บงั คบั บัญชาไมไ่ ด้ จรงิ หรือ ? ไดป้ ัญญินทรีย์ พจิ ารณา ถา้ ยง่ิ ดว้ ยปัญญา มากดว้ ยเวท อนัตตา หลุดพน้ ดว้ ยสุญญตวิโมกข์ ในวฏุ ฐานคามินวี ปิ สั สนา ปญั ญานิเทศ วสิ ุทธิมรรค แสดงวา่ พระโยคาวจรผูห้ นึ่ง ทีแรก พิจารณาสงั ขารท้งั หลายโดย ความไมเ่ ที่ยง แตเ่ พราะวุฏฐานะ (มรรคที่ออกจากสงั ขาร) จะได้ มีเพียงดว้ ยพจิ ารณาโดยความไม่เท่ียงเท่าน้ันหามิได้ ตอ้ งพจิ ารณา แมโ้ ดยความเป็ นทุกข์ โดยความเป็ นอนัตตาดว้ ย เพราะฉะน้ัน เธอจงึ พจิ ารณาโดยความเป็ นทุกขบ์ า้ ง โดยความเป็ นอนัตตาบา้ ง เม่ือเธอปฏิบตั ิไปอยา่ งน้ัน วุฏฐานะมีข้ นึ ในกาลที่พจิ ารณาโดยความ ไม่เท่ียง เธอผูน้ ้ ีช่อื วา่ ยดึ ถือโดยความไมเ่ ท่ียง (วิปัสสนาภินิเวส) แลว้ ออกโดยความไมเ่ ที่ยง แต่ถา้ วุฏฐานมีข้ นึ ในกาลท่ีเธอพิจารณา โดยความเป็ นทุกข์ ... โดยความเป็ นอนัตตาไซร้ เธอผูน้ ้ ีช่ือวา่ ยดึ โดยความไมเ่ ที่ยงแลว้ ออกโดยความเป็ นทุกข์ ... ออกโดยความ เป็ นอนัตตา แมใ้ นการยดึ ถือโดยความเป็ นทุกข์ ... โดยความเป็ น อนัตตาแลว้ ออกโดยลกั ษณะที่เหลือ ก็นัยน้ ี ก็แล ในชนผูอ้ อกจากความยดึ ถือ (วุฏฐานะ) เหลา่ น้ ี ชนผูท้ ่ี ยดึ ถือโดยความไม่เที่ยงก็ดี ผูท้ ่ียดึ ถือโดยความเป็ นทุกขก์ ็ดี ผูท้ ี่ยดึ ถือโดยความเป็ นอนัตตาก็ดี แต่ในเวลาที่ออก วุฏฐานะมีข้ นึ โดย ความไม่เที่ยง ชนท้งั ๓ น้ ี เป็ นผูม้ ากดว้ ยอธิโมกข์ ไดส้ ทั ธินทรีย์ หลุดพน้ ดว้ ยอนิมิตตวิโมกข์ ยอ่ มเป็ นสทั ธานุสารี ในขณะแหง่ ปฐม มรรค (โสดาปัตติมรรค) เป็ นสทั ธาวิมุติใน ๗ สถาน แตถ่ า้ วุฏฐานะมีข้ นึ โดยความเป็ นทุกขไ์ ซร้ ชนท้งั ๓ น้ันกเ็ ป็ น ผูม้ ากดว้ ยปัสสทั ธิ ไดส้ มาธินทรีย์ หลุดพน้ ดว้ ยอปั ปณิหติ วิโมกข์ _18-1133 (�����).indd 82 12/18/2561 BE 2:18 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134