1 อนโุ มทนา ในวงการปริยัติเรามีบุคลากรที่สําเร็จการศึกษาเปนเปรียญธรรม ๙ ในประโยคจํานวนมาก และแวดวงวิชาการก็มีขอมูลทางวิชาการมากมาย แตในวงการปฏิบัติยังขาดแคลนบุคลากรและ ขอ มลู ทางการปฏบิ ัติกม็ นี อ ย ไมเพยี งพอตอการตอบสนองความตองการของประชาชน “วิปสสนาวิถี” นี้ เปนขอมูลทางการปฏิบัติประกอบไปดวยหลักการและวิธีการท่ีขยาย ประโยชนใหแกผูปฏิบัติโดยตรง ซึ่งผูนําเสนอคือ พระมหาอุเทน ปญญาปริทัตต ไดรับมาจากคณะ พระวปิ สสนาจารยในและการปฏิบตั ศิ าสนกจิ ของตน จากทาทีท่ีพระมหาอุเทนไดแสดงออกทางดานน้ี เปนการบงบอกวา เธอสามารถเปน บุคลากรทางการปฏบิ ัติและยังประโยชนใ หเกดิ แกป ระชาชนได ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของพระมหาอุเทน ปญญาปริทัตต ที่มีวิริยะอุตสาหะและ สาํ นกั พมิ พส ุขภาพใจทไ่ี ดรว มใจจดั ทํา “วปิ สสนาวถิ ”ี น้ี เพ่ือพิมพเ ผยแผใ หแ กป ระชาชนสบื ไป พระธรรมโมลี (สมศักด์ิ อปุ สโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D) เจา อาวาสวัดพชิ ยญาติการาม เจาคณะภาค ๑
2 คาํ นํา นานนับกวา ๔ ทศวรรษท่ีวิเวกอาศรม ชลบุรี ยังคงความเปนสํานักวิปสสนากรรมฐานที่ คงทน เปด ทางใหผมู จี ติ ศรัทธาไดเขามาสูเอกายนมรรค (ทางสายเอก) ดวยความมงุ ม่ันของคณะพระ วิปสสนาจารยที่รวมยืนหยัดอยูเคียงขางเอกายนมรรค คอยช้ีแนะนําทาง และดวยการอุปถัมภของ มูลนิธิวิเวกอาศรม เอกายนมรรคจึงทอดทางอยางยาวไกลใหผูใฝในธรรมกาวเขามาปฏิบัติไดทุก เวลา ดวยบุญกุศลมากระตุนเตือนหรือเหตุปจจัยอะไรก็ไมอาจทราบ มาเปนแรงผลักดันให ขา พเจากาวเขาสสู ํานกั น้ีตั้งแตป ๒๕๓๖ ในฐานะผูปฏบิ ตั ิธรรมรูปหนึง่ ซง่ึ พกพาศรัทธามาเตม็ เปยม ใจเต็มรอย ยอมตนปฏิบัติตามคําแนะนําของคณะพระวิปสสนาจารยอยางจริงจัง หลังจากนั้นในแต ละชวงปที่วา งเวนจากภารกิจการสอนพระปริยัติธรรม กม็ กั จะแวะเวียนเขาไปพบคณะพระวปิ สสนา จารย และปฏิบัติบางตามแตโอกาสจะอํานวย มาในชวงหลัง ๆ ทางสํานักไดไววางใจใหสอน กรรมฐาน สอบอารมณผูปฏิบัติ และบอยคร้ังท่ีมีกลุมนิสิตนักศึกษา รวมท้ังขาราชการทหารตํารวจ มาฝกอบรม ทางสํานักจะอาราธนาใหเปนพระวิปสสนาจารยฝกอบรม บางครั้งก็ไดออกนอกพื้นท่ี ไปเปนพระวิทยากรถวายการฝกอบรมใหแกคณะพระสังฆาธิการ เปนเวลารวม ๗ ปที่ขาพเจาอยูใน วงการวิปส สนา จึงไดร บั ขอมูลทางวิปสสนามามากพอสมควร ลุมาถึงป ๒๕๔๓ ประหน่ึงวาขอมูลทางวิปสสนาพรอมจะขยายผลออกไปเผยแผแกทาน สาธุชน ทางสํานักไดอาราธนาใหขาพเจาเปนองคแสดงธรรมประจําวันพระ ขอมูลทางวิปสสนาท่ี เก็บรวบรวมมาหลายแรมปก็ถูกคลี่คลายขยายความมาปรากฏในรูปของวิปสสนาเทศนา จากเสียง สะทอนของผูสดับท่ีออกมาในแงบวก วิปสสนาเทศนาจึงไมควรอยูในรูปของตลับเทป แตควรอยู ในรูปของหนังสือท่ีเหมาะสมกวา ขาพเจาจึงทําการถอดเทปเรียบเรียงใหม จากภาษาพูดเปล่ียนไป เปนภาษาเขียนตองพิถีพิถันกลั่นกรอง วิปสสนาเทศนาจึงถูกทุมเทดวยแรงกายแรงใจที่ไมยอหยอน เลย การนําเสนอขอมูลทางวิปสสนาในคร้ังน้ี จะมุงตรงไปที่ความจริง ไมลําพังเพียงการ นําเสนอใหถ ูกตองตามหลกั การและวธิ กี ารเทาน้ัน หากแตตองมีสภาวะรองรับ (Nature of thing) อยู ดวย ดังนั้นขาพเจาจึงคํานึงถึงสภาวะความจริงเปนประการสําคัญและนําเสนออยางสังวรระวังย่ิง แตถ งึ อยา งไรขอใหขนึ้ อยกู ับผูส ดบั จะสนองตอบดวยวจิ ารณญาณของตน ดวยจุดประสงคท่ีมุงตรงตอความจริง ใหส่ือไปสัมผัสใจของผูสดับไดอยางถูกสภาวะ อีก ทั้งผูสดับจะไดมีใจคลอยไหลไปตามกระแสธรรม (ธมฺมานุสาเรน) จึงขอตัดความยุงยากตามหลัก วิชาการ คือการอางอาคตสถานที่มาที่ไป ไมวาจะเปนพระพุทธดํารัส บทกลอน เรื่องเลาประกอบ และอื่น ๆ นอกจากน้ัน รวมทั้งหลีกเลี่ยงภาษาพระ (ภาษาบาลี) ทวาถาผูสดับเกิดแคลงใจ ไมเช่ือวา
3 จริง ตอ งอิงหลักฐานถา ยเดียว ขาพเจาขอใชความเปนพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคของตนมากา รนั ตขี ้ยี ังวา ขอ มูลทางวิปสสนานมี้ ีทีม่ าทีไ่ ปไมโ มเมแนน อน บัดนี้วิปสสนาวิถีพรอมท่ีจะทําหนาที่แสดงหลักการและวิธีการตามสายทางเอกายนมรรค แลว ขอใหทานสาธชุ นจงสดบั รับฟงเถิด ดวยความเคารพในธรรม พระมหาอุเทน ปญ ญาปรทิ ัตต วดั ชนะสงครามราชวรมหาวหิ าร ๒๒ มิถนุ ายน ๒๕๔๓ วปิ ส สนาเทศนา วปิ สสนาเทศนักรอ ย เรียงพจี ประทปี ธรรมเปลงรังสี สวางแลว ฉานฉายดง่ั ดวงระวี วันสอ ง ทางสายเอกอนั เพรศิ แพรว พบพรอ ม เผยแถลง ทุกสมัย ขอแสดงธรรมท่ีแท สรางสนิ้ เพอ่ื คล่ีคลายความสงสัย วาบวาง ธรรมสวางทางไสว มอดไหม มลายสูญ ไฟกเิ ลสจงดับดนิ้
4 ถอ ยแถลงแสดงธรรม ขอโอกาสพระสงฆองคสามเณรทุกรูป และขอความเจริญในธรรมจงมีแกทานสาธุชนคนดี โยคีและโยคินีทั้งหลาย วันน้ีเปนวันพระขึ้น ๑๕ ค่ํา พระจันทรวันเพ็ญขึ้นเต็มดวง พระจันทรดวงน้ี เปน ดวงเดียวกันกบั พระจนั ทรเ มือ่ ครงั้ ท่พี ระพุทธเจา ยงั ทรงพระชนมอยู อาศัยความที่พระจันทรเต็ม ดวงในครั้งหนึ่ง พระพุทธองคก็ทรงประกาศอุดมการณหรือท่ีเรากลาวกันเปนภาษารวมสมัยวา จุดยืน น่นั คอื โอวาทปาฏิโมกข ซ่งึ เปนศาสนธรรมของพระพุทธเจาทั้งหลาย ดว ยเหตนุ ี้ จึงมีการสบื สานศาสนธรรมขององคบ รมศาสดามาตราบเทา ปจจบุ ัน และเกิดเปน ธรรมเนียมข้ึนมาอยางหน่ึง คือ วันพระ ๘ คํ่า หรือ ๑๕ ค่ํา จะมีการแสดงธรรม เพ่ือยํ้าเตือน เจตนารมณขององคพระศาสดาผูเปยมลนดวยพระมหากรุณาคุณตอเวไนยสัตว และเพ่ือความเจริญ ในธรรมของผูสดับ การฟงธรรมนั้นนับวาเปนกิจกรรมที่ทําไดโดยยาก มิใชทําไดโดยงาย จัดเปน ความยากประการหน่ึงในส่ปี ระการ ดงั พระพุทธคาถาวา กิจโฺ ฉ มนสุ สฺ ปฏลิ าโภ กจิ ฉฺ ํ มจจฺ าน ชีวิตํ กจิ ฺฉํ ธมมฺ สฺสวนํ กิจโฺ ฉ พทุ ฺธานมปุ ปฺ าโท ฯ การเกิดเปนมนษุ ยน ้ันสุดยาก ชพี ชนมมากยากแคน สดุ แสนเขญ็ การฟงธรรมลาํ บากยิ่งยากเย็น อบุ ัติเปนองคพ ุทธสุดยากจรงิ ฯ เหตุท่ีการฟงธรรมเปนเร่ืองยาก เพราะผูท่ีจะมาแสดงธรรมน้ันหาไดยาก ทั้งผูที่จะมารับฟง ธรรมก็หาไดยากเชนกัน ตองมีจิตเล่ือมใส มีใจศรัทธา จึงจะมารับฟงธรรมได ทวาการฟงธรรมก็ จดั เปนอุดมมงคลอยา งหนงึ่ ในมงคล ๓๘ ประการ ดังปรากฏในมงคลสตู รวา คารโว จ นิวาโต จ สนฺตุฏฐี จ กตฺตุ า กาเลน ธมฺมสสฺ วนํ เอตมฺมงฺคลมุตตตฺ มํ ฯ ความเคารพนบนอ ม ความสันโดษ ความกตัญูรคู ณุ และการฟงธรรมตามกาล ทัง้ ๓ ประการน้ี เปนอุดมมงคลฯ การท่ีจะเกิดเปนอุดมมงคลไดน้ัน ผูฟงก็ตองมีความต้ังใจฟง ต้ังใจจริง และตั้งใจจํา นําไป ใครครวญพิจารณา จะเกิดอานิสงสอ กี ๕ ประการตามมา คอื ๑. ไดฟ งเรื่องทไ่ี มเคยไดย ินไดฟง มากอน ๒. เร่ืองที่เคยไดย นิ ไดฟ ง มาแลว กเ็ กิดความชดั เจนกวา เดิม ๓. คลค่ี ลายความเคลือบแคลงสงสยั เสียได ๔. เกดิ ความเขาใจไมหลงผิด ๕. ทําใหจิตผองใส
5 บัดนก้ี ็ถึงกาลอนั ควรทอี่ าตมภาพในนามของพระสงฆองคสามเณรทุกรูป จักไดแสดงธรรม เพื่อเปนเคร่ืองเจริญศรัทธาของทา นสาธชุ นสบื ไป
6 กณั ฑท ่ี ๑ กระแสธรรมกถา ความเพียรทบ่ี ริสุทธคิ์ ือความเพียรทไ่ี มม ผี ลประโยชนใด ๆ ไมหวังผลตอบแทนเลย ครน้ั เรา มาปฏิบัติก็ตองตระหนักในเรื่องความเพียรที่บริสุทธิ์ มิใชมีอะไรมาหนวงเหนี่ยวไว เชน มีโลภะ หนวงในอารมณ ปฏิบัติเพ่ืออยากไดสมาธิสงบนิ่ง หรือสภาวธรรมดี ๆ การปฏิบัติธรรมท่ีมีโลภะ หนวงในอารมณเปนไปเพื่อตอบสนองความตองการของโลภะ ก็ไมแตกตางจากการทํางานเพื่อ ไดรับคาจางหรือผลตอบแทนเปนเงินตรา ภาษาจิตวิทยาเรียกการกระทําในแนวน้ันวา Reward Dependent ข้ึนอยูกับผลตอบแทนของรางวัล ซ่ึงเปนวิถีทางโลกลวน ๆ หากผูปฏิบัตินําการ กระทําตามวิถีทางโลกมาใชในวิถีทางธรรม จะประสบความลมเหลวอยางส้ินเชิง เพราะวิถีทาง ธรรมนั้น ย่ิงยึดอยากได ยง่ิ หางเหนิ ไกล ยิ่งปลดปลอ ยวาง ย่ิงเดินทางเขา ไปใกล นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สสฺ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสสฺ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสฺส เย ธมมฺ า เหตปุ ฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต (อาห) เตสจฺ โย นโิ รโธ เอววํ าที มหาสมโณตฯิ ณ บัดนี้ อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงกระแสธรรมกถา วาดวย กระแสธรรม เพ่ือเปนเคร่ืองเจริญศรัทธา เพ่ิมพูนปญญาบารมี ใหแกทานสาธุชนคนดี โยคีและ โยคนิ ี ท้งั ท่ีเปนคฤหสั ถและบรรพชติ การแสดงธรรมในครัง้ นี้ มจี ุดประสงคเพอ่ื ทาํ ความเขาใจในการเจริญวปิ สสนากรรมฐานให ชัดเจนมากย่ิงข้ึน อาตมาเองมีความเชื่อวาพระคุณเจาและญาติโยมที่มาอยู ณ สถานที่น้ี ตางก็มี ความรูและความเขาใจในหลักการและวิธีการทางการปฏิบัติพอสมควร แตท่ีตองแสดงธรรมเพราะ ตองการกระตุนเตือนหรือเนนย้ําวาวิปสสนากรรมฐานนี้คือกิจกรรมอะไร เหตุใดจึงปฏิบัติ การมา กระตุนเตือนหรือเนนย้ําน้ัน นับวาเปนพุทธประสงคโดยตรง การฟงธรรมก็ตองฟงบอย ๆ ซ้ําแลว ซ้ําเลา การทําทานก็ตองทําบอย ๆ ขยันหมั่นปนแจก การรักษาศีลก็ตองหมั่นรักษาสํารวมกิริยาทาที และการเจริญภาวนายิ่งตองทําซํ้ายํ้าอยูบอย ๆ การทําซํ้ายํ้าอยูบอย ๆ นี้ คือกระบวนการทําซํ้านั่นเอง ทวาสงิ่ ใดทําไปเพยี งประเดยี๋ วประดา วชว่ั ครูชั่วยาม ขาดการติดตอตอเนื่อง ก็ไมเกิดผลดีมีความชํานิ ชํานาญหรือทักษะคลองตวั ในส่งิ น้นั ส่งิ ใดทที่ ํายํา้ อยกู บั ท่นี าน ๆ ก็พบรายละเอียดขอ ปลีกยอยในส่ิง นนั้ และเกิดความเชยี่ วชาญชํานาญในที่สุด โดยเฉพาะการทําความเพียร ยิ่งตองทําใหติดตอตอเนื่อง เชื่อมโยงกันไปไมขาดสาย ใหไดช่ือวา สาตจฺจกิริยานุโยโค คือขยันหมั่นทําความเพียรอยาง ตอเนื่องเกาะเกี่ยวสัมพันธกันไปเปนลูกโซ อยามีชองวางระหวางการกระทําบําเพ็ญ อยาเหมือน
7 กิ้งกา ก้ิงกาว่ิงไป ครูเดียวก็หยุด ว่ิงอีกครูเดียวก็หยุด การทํายึก ๆ ยัก ๆ ทํา ๆ หยุด ๆ กะปริดกะปรอย จะไมเกิดผลดีแตประการใด ดังนั้นการมาปฏิบัติหรือการทําส่ิงใดก็ตาม ถา ประสงคจะใหเกิดผลดี ตองทําใหติดตอตอเนื่อง ซ่ึงสอดคลองกับพระพุทธดํารัสวา “เจริญทําให มากประดุจเปนยวดยาน” พุทธธรรมนําทางปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมเปนนามธรรม มิใชรูปธรรม แตตองทําใหเปนเหมือนรูปธรรม ดูวาจะใช ความเพยี รพยายามกนั เพยี งใด แสดงวา จะตองย้าํ ซา้ํ อยกู บั ทีจ่ นนับไมถ ว น ขวายา งหนอ ซา ยยา งหนอ ยกหนอ เหยยี บหนอ ยกหนอ เหยยี บหนอ ยกหนอ ยา งหนอ เหยยี บหนอ พองหนอ ยบุ หนอ คดิ หนอ ไดยินหนอ ถูกหนอ ชาหนอ ปวดหนอ เหลานี้เปนตน จะตองสับเปล่ียนเวียนวนกันเร่ือยไป กระบวนการทําซ้ํานี้จะทําใหเกิดทักษะคลองตัวและพัฒนาการทางการปฏิบัติก็เกิดข้ึนงอกงาม อุปมาเหมือนกับการดูภาพ ๓ มิติ ในการมองครั้งแรก จะไมเห็นภาพอะไรที่ซอนเรนอยูในภาพ ๓ มิติน้ัน ครั้นดูมาก ๆ เขา ภาพสามมิติก็จะเผยภาพท่ีซอนเรนอยูภายในปรากฏตอสายตาเรา ในการ ปฏิบัติก็เชนกัน จะตองมีการดู การรู การกําหนดอยางซํ้าแลวซํ้าเลา ในชวงแรกเริ่มแทบจะไม ปรากฏอะไรใหเห็นเลย ตกอยูในสภาพเดิม ๆ รูสึกไดแตเพียงบัญญัติ ความจริงคือสภาวะอาการยัง ไมเผยโฉมออกมาใหเห็น ตอเม่ือมีการกระทําย้ําซ้ําแลวซํ้าเลาเรื่อยไป ความจริงจึงคอย ๆ เผยตัว ปรากฏใหเ หน็ และจะแจม ชดั ไปตามลําดบั ผปู ฏบิ ัตกิ ็เห็นรายละเอียดขอ ปลีกยอยตาง ๆ ของรูป-นาม ประดจุ ภาพสามมติ ทิ ่เี ผยภาพใหเ ราไดเห็นฉะนัน้ การฟงธรรมในคร้ังน้ี จึงมีความจําเปนท่ีจะตองมาฟงซ้ําในเร่ืองหลักการและวิธีการ ตลอดจนถงึ เปา หมายของการปฏิบตั ิ ในเบอื้ งตนขอกลา วถงึ เปา หมายกอนวา ควรดําเนินไปสูทิศทาง ใด มีอะไรเปนจุดหมายปลายทาง อาตมามาสอบอารมณผูปฏิบัติ พบวา บางทานมีการบนบานศาล กลาว วิงวอนขอส่ิงท่ีตนตองการ คร้ันไดสมประสงคแลว ก็มาปฏิบัติธรรมเพ่ือแกบน น้ีคือตัวอยาง หนึ่งของการปฏิบัติธรรมท่ีไมสอดคลองตองตามพุทธธรรม แตวากันวาดีกวาไมมาปฏิบัติ ดวยเหตุ น้ีจึงตองมาช้ีแจงเพ่ือปรับความเขาใจในเร่ืองของการปฏิบัติ วาควรมีเปาหมายอยางไร และดําเนิน ไปสูทิศทางใด จุดยนื คงท่นี ี้คือพุทธธรรม พทุ ธธรรมมลี กั ษณะเดนอยอู ยา งหน่ึง คอื กรรมวาที กลาวถงึ เรื่องการกระทาํ สรรเสริญการ กระทําบําเพ็ญมากกวาการวิงวอนขอหรือบนบานศาลกลาว และเนนยํ้าในเรื่องการกระทํา โดยเฉพาะ มีเหตุยอมมีผล มีกรรมยอมมีวิบากกรรมติดตามมา ซึ่งเราทานทั้งหลายไดประจักษแลว วา ความดีความชั่ว ความบริสุทธิ์หรือความเศราหมอง ลวนแตเกิดจากเราท้ังสิ้น ไมเกิดจากคนอ่ืน
8 และไมขึ้นอยูกับรูปรางหนาตาฐานะผิวพรรณยศถาบรรดาศักด์ิ ความรํ่ารวยหรือความยากจน แต ขึ้นอยูกับการกระทําของตัวเราเอง ซึ่งเปนตัวแปรสําคัญผันไปในวังวนของกิเลส กรรม วิบาก ดัง พระพทุ ธคาถาวา อตตฺ นา ว กตํ ปาป อตตฺ นา สงฺกิลิสฺสติ อตฺตนา อกตํ ปาป อตตฺ นา ว วสิ ชุ ฌฺ ติ สทุ ฺธิ อสทุ ธฺ ิ ปจจฺ ตตฺ ํ นาฺโญ อฺญํ วิโสธเย ฯ กระทําชวั่ ดวยตนผลสนอง ยอมเศรา หมองดว ยตนผลปรากฏ กระทําดดี ว ยตนผลแทนทด ยอ มหมดจดดวยตนผลสามญั ความหมดจดเศรา หมองของเฉพาะ ยอ มเกิดเกาะอยกู ับจติ ยากพลิกผัน ใครไมอาจเปลย่ี นสับรบั ประกนั คนอื่นอันเศราหมองหรือผอ งเพญ็ ฯ น่ันหมายถึง ความดี ความช่ัว ความบริสุทธ์ิหรือความเศราหมองเปนเร่ืองเฉพาะตน ใครทํา ใครได ไมมีผูใดสามารถมาลางบาปใหแกกันและกัน คดีทางโลกหากหาพยานหลักฐานไมได ก็ยก ฟอ งลม คดี แตค ดที างกรรมแมห าพยานหลกั ฐานไมไดก ไ็ มล มเลิกละเวน ไมเคยบิดพลิ้วท่ีจะใหผล มี ความยุติธรรมเท่ียงแทจริง ๆ เมื่อมีการกระทํายอมเกิดผลตามติด และจะตองไดรับผลกรมน้ันอยาง แนน อน ไมชา กเ็ ร็ว ดว ยเหตุนี้ พระพทุ ธศาสนาจึงมกี ารจาํ แนกประเภทของกรรมออกมา ๔ อยา ง คอื ๑. กัณหกรรม คือกรรมดํา ไดแกกรรมช่ัวไรประโยชนมีแตโทษ เชน การฆาสัตว ลักทรัพย ประพฤติผดิ ในกาม พูดปดมดเทจ็ ดมื่ สรุ าเมรัย เปนตน ๒. สุกกรรม คือกรรมขาว ไดแกกรรมดีมีประโยชน ไมมีโทษ เชนการบริจาคทาน อนเุ คราะหชวยเหลอื เก้ือกลู คนอ่ืน เปนตน ๓. กัณหสกกรรม คือกรรมทั้งดําและขาว ไดแก กรรมชั่วและดีท้ังสองอยางเจือกัน เชน การลักขโมยสิง่ ของมาใหท าน เปน ตน ๔.อกัณหอสุกกรรม คือ กรรมไมดําและไมขาว ไดกรรมไมชั่วและไมดี นั่นคือ โพธิปกขิย ธรรม ๓๗ ประการ ไดแ กการเจรญิ ภาวนา ซึ่งถือวา เปน กรรมท่ปี ระเสรฐิ สูงกวากรรมทง้ั ปวง มาพิจารณากรรมท้ัง ๔ อยางเหลาน้ีวา มีขอแตกตางกันอยางไร พบวา กรรมดําก็ดี กรรม ขาวกด็ ี กรรมทั้งดาํ และขาวกด็ ี หมายถงึ กรรมช่ัวกรรมดีทั้งช่ัวและดีเหลาน้ัน มีเจตนารวมทําดวยกัน ได กรรมช่ัวก็สมรูรวมคิดทําผิดรวมกัน เชน โจรกรรม นัดแนะจับกลุมกันไปปลนจี้ สวนกรรมดีก็ ทาํ บญุ รว มชาตติ ักบาตรรว มขัน เชน ทอดกฐินผาปา ไปเปนกลุมคณะพรอมกันถวาย นั่นคือลักษณะ ของการกระทํากรรมชั่วกรรมดี หรือทั้งชั่วและดีที่เกิดเจตนารวมทําดวยกัน แตสําหรับอกัณหอสุ กกรรม คือ โพธิปกขิยธรรมน้ัน มีเจตนารวมทําดวยกันไมได ถึงแมวาจะมีการปฏิบัติธรรมเปน
9 กิจกรรมหมูมาเปนกลุมคณะก็ตาม ผูปฏิบัติจะตองสนใจแตตัวเอง ทําเพียงคนเดียว คือยืนคนเดียว เดินคนเดียว นั่งคนเดียว และกําหนดอารมณตามลําพังเพียงคนเดียว จะมาทําแทนกันหรือกําหนด อารมณรว มกันไมได ดังพระพทุ ธดาํ รสั วา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางสายเอกน้ีดําเนินไป เพ่ือความบริสุทธ์ิแหงสัตวท้ังหลาย ผานพน ความเศราโศกพิไรรํ่าคร่ําครวญ ใหความทุกขโทมนัสต้ังอยูไมได บรรลุญาณและทํามรรคผล นิพพานใหแ จม แจง นน่ั คอื สติปฏ ฐาน ๔” วิถีทางน้เี รยี กวา เอกายนมรรค คอื ทางสายเอกเปน เอกวถิ มี เี พียงหน่งึ ทางอ่นื ๆ นอกจากนน้ั จะตอ งมาบรรจบกับทางสายนี้ จึงจะเขาสูม รรคผลนิพพาน เพราะมรรคผลนพิ พานเปนปรมัตถธรรม อันสงู สดุ มีเพยี งหนึ่งไมมีสอง จึงตอ งมีสายทางเพียงหน่ึงเดียว จะสังเกตไดวา ทุกส่ิงทุกอยางตางก็มี คู ไมมีหน่ึงเดียวโดด ๆ เชน เย็นคกู ับรอน ออนคูกับแข็ง หญิงคูกับชาย แมแตอวัยวะของคนเราก็มีคู ตามี ๑ คู จมกู มี ๒ รู หมู ี ๒ หู ดงั บทกววี า ในโลกนม้ี ีอะไรท่ไี มคู เห็นกนั อยทู ั่วถวนลวนเปนสอง แมพ ระจันทรยงั มีอาทิตยปอง ไดพ บพอ งกันบา งเปนบางคราว รอนคูเย็นเหน็ ชดั ถนดั แน ออ นคูแ กมากหมหู นมุ คสู าว หมาคูแ มวแจวคูพ ายสนั้ คูยาว หนุม คูส าวบา วคูน ายตายคเู ปน ฯ ทุก ๆ อยางตางก็มีคู แตทางสายเอกน้ีมีพียงหนึ่งไมมีคู เมื่อเขามาสูทางสายน้ี จะมาเกาะ เก่ยี วควงคกู นั ไมได ตอ งเขา มาตามลาํ พงั เพยี งคนเดยี ว และยืน เดิน นั่งกําหนดอารมณตามลําพัง จึง จะไดช่ือวาเดินเขาสูเอกายนมรรค ซึ่งเปนวิถีทางที่ทวนกระแสโลก ไมเหมือนทางโลก เพราะทาง โลกทํากิจกรรมทุกอยางรวมกันดวยการพูดคุย สนทนาปรึกษาหารือ แตการปฏิบัติธรรมจะทําตาม วถิ ีทางโลกไมได กลา วคอื จะไปจับกลุมคยุ กนั ไมไ ด ตอ งทวนกระแสไมไหลไปตามกระแส ขอใหยอนกลับไปในคร้ังท่ีพระโพธิสัตวอธิษฐานจิตลอยถาดทอง ครั้งนั้นพระองคทรง อธิษฐานวา ถาจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอใหถาดทองนี้ลอยทวนกระแสน้ําไป แลวทรง วางถาดทองที่แมนํ้าเนรัญชรา ก็ปรากฏเหตุอัศจรยคือ ถาดทองไดลอยทวนกระแสนํ้าไป ปรากฏชัด ใหพระองคทรงทอดพระเนตรเห็นเปนนิมิตหมายบงบอกวา พระธรรมที่พระองคจะทรงแสดง หลังจากตรัสรู เปนธรรมทวนกระแสเหมือนถาดทองท่ีลอยทวนกระแสนํ้าไป หากปลอยใหลอยไป ตามกระแส กต็ กเขา สหู ว งแหง วังวนเวยี นวา ยตายเกิดไมรูจ กั จบสน้ิ ดงั มีเร่อื งหนึ่งเปนตวั อยา ง มีพระราชาพระองคหนึ่งทรงพระนามวา อรินทมะ หรือพระเจากาสีที่ชาวพระนครนิยม เรียกกัน พรอมดวยขาราชบริพารเขาไปพบพระปจเจกพุทธเจาชื่อวา โสณก ณ สวนอุทยาน คร้ัน แลวก็ตรัสวา “โยมยังของอยูในกาม มีความเพลิดเพลินพอใจ จะทําไฉนหนอ พระคุณเจา” พระ โสณกปจเจกพุทธเจากลาวตอบวา “ผูท่ียังหมกมุนมัวเมาอยูในกามไมอาจขามเขาสูความเงียบสงบ บรรลุแดนสุขเกษม ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนอีกาปญญาเบา เห็นซากศพของชางลอยอยูใน แมน้ําคงคา ก็ดีใจวา “เราไดซากชางเปนอาหารยานลําใหญ” รีบบินไปเกาะจิกกินจิบนํ้าดื่มดวย
10 ความชอบใจ แมซากชางน้ันจะเริ่มเปอยไป ก็ไมยอมบินหนี ตามปกติแมนํ้าคงคาจะไหลลงสู มหาสมุทร ไดพัดพาซากชางพรอมอีกาตัวโงเขลาเขาสูมหาสมุทร ซากชางไดเปอยไปจนหมดส้ิน อีกาตกอยใู นทา มกลางมหาสมุทรอนั เวงิ้ วา งเสียแลว มันมองไมเหน็ ฟากฝง ใดเลย จะหาอาหารกนิ ได ท่ีไหน ทั้งเร่ียวแรงกําลังของมันก็หมด บินไปไมได ฝูงปลาหรือจะรอรีรีบปร่ีเขามารุมท้ึงกัดกินมัน ดูกรมหาบพิตร ผูท่ียังของอยูในกาม ประมาทมัวเมา ไมยอมละทิ้ง ก็ไมตางอะไรกันกับอีกาที่ หลงใหลในซากชางเนา ตกไปเปนเหยื่อของฝูงปลาในมหาสมุทรคือสังสารวัฏ ไมเห็นฝงคือพระ นพิ พาน” พุทธธรรมไมไหลไปตามกระแส ดวยเหตุน้ีจึงตองทวนกระแส เหมือนปลาเปนวายทวนนํ้า ไมไหลไปตามน้ํา มีแตปลาตาย เทา นนั้ ท่ลี อยไหลไปตามนํา้ การทวนกระแสน้นั มคี วามหมายไดค า การไหลไปตามกระแสไมทา ทาย อะไรไรคา กลาวถึงการปฏิบัติธรรมยิ่งตองทวนกระแส มิไหลไปตามกระแส กระแสที่ตองทวนฝน น้ันคือ กระแสโลกและกระแสกิเลส กลาวโดยเฉพาะกระแสกิเลสซึ่งมีอิทธิพลทรงพลังอยู ยิ่งตอง ทวนตอบตอมันจะปลอยไปตามอําเภอใจไมได การทวนก็คือการฝนจะตองฝนสูไมยอมอยูเฉย การ ทวนฝนก็ตองใชเร่ียวแรงกําลังและเกิดความเหน็ดเหน่ือยเม่ือยลาเปนธรรมดา ซ่ึงไมเกิดผลดีใน เบื้องแรก แตคร้ันนานวันจะเกิดผลดีเอง น่ันหมายถึงวาเราจะมีความเคยชิน เกิดทักษะคลองตัวและ ชํานาญในทส่ี ุด และแลวก็กลายเปน เรอ่ื งปกตธิ รรมดาเปน ธรรมชาติอยางหน่ึงซึ่งถูกตองตามกระแส คือกระแสธรรม ดังที่ยกขึ้นเปนหัวขอพระธรรมเทศนาวากระแสธรรมกถา คือกระแสธรรม เปน กระแสธรรมชาตนิ ่นั เอง การทีเ่ ราเขา มาปฏิบตั ิในเบอื้ งตน กด็ ี หรือวา ในขณะท่ีปฏบิ ัตอิ ยกู ด็ ี ยังไมค ุนเคยกับกระแสนี้ จึงมีความรสู กึ วาฝนใจไมเ ปน ธรรมชาติ คร้ันมาทําบอยครั้งก็จะเกิดความคุนเคย กลายเปนเรื่องปกติ เปนเร่ืองธรรมชาติไปเอง เรียกวา ธัมมนิยามตา คือเปนไปตามกฎเกณฑของธรรมชาติ ขอ เปรียบเทียบใหเห็นวาสมมติมีโลกหรือสังคมหนึ่ง เด็กเกิดมาลืมตาดูโลกก็เห็นคนเดินเหินไปไหน มาไหนในอากาศได และเมื่อโตขึ้นมา เขาก็สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนในอากาศไดเชนกัน คน ท้ังหมดในโลกหรือสังคมนั้นเห็นเปนเร่ืองปกติไมแปลกประหลาดอะไร แตในโลกหรือสังคมของ เราหากเห็นใครมาเดินเหินไปไหนมาไหนในอากาศก็เกิดความพิศวงงงงวยตกตะลึง เปนไปได อยางไร แสดงวาเราไมชินกับการเห็นภาพเชนนั้น ถาชินก็เปนเร่ืองปกติ ในเรื่องการปฏิบัติธรรมก็ เชนกัน เพราะเราไมคุนเคยน่ันเอง จึงเห็นเปนเรื่องผิดปกติที่สํานักวิปสสนาสาสยิตสาของมหาสี สยาดอร นครยางกุงในประเทศพมา การเดินไปมาของคนภายในสํานักจะเช่ืองชา เดินดวยความ สํารวมระวัง จะเปดประตูจะเขาจะออกก็กําหนดสติเหยียดหนอ ๆ ถูกหนอ จับหนอ เปดหนอ ๆ ปลอยหนอ วางหนอ ๆ ดวยอาการชา ๆ เปนเร่ืองปกติในสํานักนั้น คนท่ีเขา-ออกจากหองเปด-ปด
11 ประตูดวยอาการรวดเร็วกลับเปนเรื่องผิดปกติ ในสํานักวิปสสนาวิเวกอาศรมก็เชนกัน ในกาลกอน จะปรากฏภาพเชนนี้ ภาพท่ีผูปฏิบัติเดินจงกรมขวายางหนอ ซายยางหนอมาสงอารมณ ภาพท่ีผู ปฏิบัติเอื้อมมือไปจับประตู เปดประตูชา ๆ เปนภาพปกติของสํานักวิปสสนาวิเวกอาศรม แตใน ปจจบุ นั คร้ันใครมาทาํ ชา ๆ หรอื วากาํ หนดเปด ประตูชา ๆ กลับดูวาเปนเรื่องผิดปกติ ในท่ีนี้อยากจะ ทําความเขาใจกับผูปฏิบัติวาไมตองเคอะเขินในการทําชา ๆ ไมควรเคอะเขินในการรับประทาน อาหาร หรอื กาํ หนดอาการตาง ๆ ที่เช่ืองชาอยู แตควรเคอะเขินท่ีตองเดินเร็ว ๆ ดวยกิริยาอาการท่ีไม สํารวมระวัง ไปจับกลุมคุยกัน น่ันคือสิ่งที่นาเคอะเขินและนาละอายในสํานักปฏิบัติเชนน้ี ดังนั้น ขอใหผูปฏิบัติไดใสใจไตรตรองวาตนไดสละเวลาออกจากวิถีทางโลกเขามาสูวิถีทางธรรม กําลัง เดินไปสูกระแสธรรม จึงมีความจําเปนที่จะตองปฏิบัติใหสอดคลองกับกระแสธรรม เพราะกระแส ธรรมนี้เปนไปเพื่อการขจัดขัดเกลามลทินของจิตใจใหสะอาดหมดจด มิไดเปนไปเพื่อการเพ่ิมพูน กิเลสแตอยา งใด. พุทธธรรมเนน ย้ําวา กําจัด ลักษณะอีกอยางหน่ึงของพุทธธรรมคือ ธุตวาที กลาวสรรเสริญการกําจัด หมายถึงกําจัด กิเลส ดงั พระพทุ ธดํารัสวา “ดูกรภิกษุท้ังหลาย ตถาคตผูประพฤติพรหมจรรย เพื่อหลอกลวงประชาชนก็หามิได เพ่ือ เกลี้ยกลอมประชาชนกห็ ามไิ ด เพือ่ อานิสงสคือลาภสักการะและคําสรรเสริญก็หามิได เพ่ืออานิสงส คือการอวดอางวาทะก็หามิได โดยที่แทต ถาคตผปู ระพฤติพรหมจรรยน ้ีเพ่อื สังวรระวัง คลายกําหนด และดบั กเิ ลส” น้ีคือวาทะพระพุทธเจา พระองคจึงทรงพระนามวา ธุตวาท กลาววากําจัด ในพุทธกาลมี พราหมณคนหน่ึงช่ือ ภารทวาชโคตร มีทรรศนะไมดีตอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ไมเคารพ เลอื่ มใสศรัทธาเลย ถึงกบั ดา บรภิ าษพระภกิ ษทุ อ่ี อกเดินรับบิณฑบาตในยามเชาวามาขอขาวชาวบาน เขากิน เปนสมณะโลนที่ไมประกอบอาชีพการงานอะไร ไดอาหารแลวก็ไปกินและนอน ไมยัง ประโยชนใหเกิดขึ้น แตนางพราหมณีช่ือธนัญชานีท่ีเปนภรรยาของพราหมณน้ัน กลับเคารพ เลอ่ื มใสมใี จศรทั ธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆอยางย่ิง เพราะนางไดดวงตาเห็นธรรมเปนพระ โสดาบัน มีความม่ันคงในพระรัตนตรัยไมคลอนแคลน ทุกเชาสายบายเย็นมักจะระลึกถึง พระพทุ ธเจา เปลง วาจาวา “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสฺส ขอความนอบนอมจงมี แดพระผูมีพระภาคเจาผเู ปน พระอรหันต ตรสั รูเองไดโ ดยชอบพระองคน นั้ ” อยเู ปนประจาํ ถอยวาจาน้ีเปนที่เสียดแทงพราหมณที่ไดยินเปนย่ิงนัก แตก็ไมรูวาจะทําอยางไร เพราะเปน ภรรยาของตน ตอมาพราหมณภารทวาชโคตรตองการจัดงานเลี้ยงประชุมพราหมณท้ังหลาย ได กลาวตักเตือนนางพราหมณีวา “เมื่อบรรดาพราหมณมารวมรับประทานอาหารภายในเรือนของเรา
12 เธออยาไดก ลาวคําวา นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เปนอันขาดเชียวนะ ถาเธอกลาว ฉันจะทําโทษเธอ” นางพราหมณีกลาวตอบวา “พราหมณ ทานจะทําอะไรก็ทําไป แตจะไมใหฉัน ระลึกถึงพระพุทธเจา พระธรรมเจา พระสงฆเจายอมเปนไปไมได” พราหมณโกรธขึ้นมาทันที พรอมขูวา “ถาเธอขืนกลาวจริง ๆ ละก็ ฉันจะฆาเธอ” แลวชักกฤชออกมา นางพราหมณีหาได ประหว่ันกลัวไม กลา วอีกวา “เชิญเลยพราหมณ ทําตามท่ีทานประสงคเถิด ฉันไมกลัวหรอก” นี้คือ ถอยวจีที่หนักแนนของพระโสดาบัน แมแตความตายก็ไมหวาดกลัว พราหมณโกรธจนหัวฟดหัว เหวย่ี งท่ีหา มปรามนางไวไมไ ด และแลว คราววนั งานกม็ าถงึ มบี รรดาพราหมณผูเ ฒาและสหายหลาย คนมารวมรับประทานอาหารภายในเรือนของภารทวาชโคตรพราหมณ นางพราหมณีก็ทําหนาที่ บริการอังคาสขาวปลาอาหารใหแกพราหมณเหลานั้น ในขณะท่ีนางกําลังเดินไปเติมอาหารอยูน้ัน พลนั สะดุดเส่ือที่ปูไวไมดี ลื่นลมลง ดวยความตระหนกตกใจจึงเปลงคําวา “นโม ตสฺส ภควโต อรห โต สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ สสฺ ” ออกมา บรรดาพราหมณท่ีกําลังรับประทานอาหารอยูไดยินประโยคนั้นแลว ก็เกิดความขัดเคืองย่ิง นัก บางคนท่กี ําลังตกั ขา วเขา ปาก บางคนท่กี ําลงั เคี้ยวขาวอยู ก็วางชอนลงบว นคาํ ขา วทิ้งทันที พรอม กันดา บริภาษพราหมณว า “นที่ า นปลอยใหนางถอยมาอยูท่ีนไ่ี ดอ ยางไร มันมีลัทธิความเช่ืออยางอ่ืน ไมใชลัทธิของพวกเรา” พลันลุกพรวดพราดหนีไป ภารทวาชโคตรพราหมณโกรธจนตัวสั่น จะดา จะวานางพราหมณีก็ไมมีประโยชน จะฆาจะแกงก็ไมอาจทําได จําตองเดินรุดหนาดวยอาการโกรธ จัดเขาไปหาพระพุทธเจาที่พระเชตวันมหาวิหาร ไปถึงก็ไมยอมทําความเคารพ กลาววา “ทานพระ สมณโคดม ทานแสดงธรรมมานานนักหนานี่ มีจุดประสงคอยางไร ทานเห็นวาควรกําจัดอะไร” พระพทุ ธเจาตรสั ตอบวา “ดูกรพราหมณ เรากลาวการกําจัดความโกรธ บุคคลกําจัดความโกรธเสียได จึงนอนเปน สุข กําจัดความโกรธเสียไดจึงไมเศราโศก พระอริยเจาทั้งหลายสรรเสริญการกําจัดความโกรธอันมี รากเปนพิษ มยี อดหวาน เพราะวา ผูทีก่ ําจัดความโกรธน้นั ไดแ ลว ยอ มไมเ ศราโศกเลย” พราหมณคร้ันฟงพระดํารัสน้ันแลวก็เกิดความเล่ือมใสศรัทธา กลาวชื่นชมภาษิตของ พระองค และขอบรรพชาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนา นี้คือถอยพระวาจาของพระผูมีพระภาคเจาท่ีตรัสเพื่อกําจัดราคะ โทสะ และโมหะ อันเปน รากเหงาของกิเลสท้ังมวลใหสลัดรื้อถอนตัณหาอุปาทานที่เกาะกุมจิตใจทําใหเกิดความทุกข กลาว ไดวาน้ีคือธรรมกระแสท่ีเปนไปเพื่อปลอยลดปลดวาง ไมปฏิบัติเพื่อกอเพิ่มอัตตาตัวตน มุงเปาเขา ไปสูอ นตั ตาอนั หาตวั ตนมไิ ด มใิ ชปฏิบัติแลวอัตตาตัวตนเติบใหญขยายโต เผยอเยอหย่ิงวาตนไดไป ปฏิบัติธรรม สวนคนอื่นมิไดไปปฏิบัติธรรมเชนตน นี้คือผลขางเคียงที่ไมพึงประสงคของการ ปฏิบัติ แทจริงเปาหมายแรกของการปฏิบัติคือ ประหาณสักกายทิฏฐิ ถายถอนความสําคัญมั่นหมาย วากายของเราตัวของเรา ซ่ึงกอใหเกิดมานะกระดางถือตัว เพราะเห็นวากายของเรา รูปของเรา นาม ของเรานี่เอง จึงถือเนื้อถือตัว เพราะมีเรามีเขาน่ีเอง จึงมีเรื่อง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงปฏิบัติเพื่อ
13 กาํ จัดความเหน็ วามตี วั ตนโดยเฉพาะ หากกาํ จดั ความสําคัญมั่นหมายวามีตัวตนไดแลว อัตตามานะก็ กอตัวเติบโตไมได แสดงใหเห็นวากระแสธรรมน้ีเปนไปเพ่ือการกําจัดอัตตาตัวตน มุงเปาเขาไปสู อนัตตา ซ่ึงเปนเปาหมายของการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานโดยแทดังพระพุทธพจนวา “สพฺเพ ธมมฺ า อนตตฺ า ธรรมทง้ั ปวงอนตั ตา” มิใช สพฺเพ ธมมฺ า อตตฺ า ธรรมทั้งหลายเปน อัตตา ถาทานใดหรือสํานักใดมีความเห็นวาอัตตา ขอใหทุกทานทําความเขาใจวา ไมถูกตองตาม พุทธประสงค พุทธประสงคคืออนัตตามิใชอัตตา ถาอัตตาเปนวิถีทางโลกเปนไปเพื่อความมีความ เปน แตวิถีทางธรรมคืออนัตตาเปนไปเพ่ือความไมมี ไมเปน เมื่อเราทานท้ังหลายมาปฏิบัติธรรม แลว ก็พึงตระหนักวาจะตองบางเบาจากความมีตัวตน โลงโปรงปลอดจากทิฐิมานะ นี้คือกระแส ธรรมทเี่ ปน เปา หมายปลายทางของพทุ ธธรรม ขึน้ อยูกบั เหตปุ จ จยั มิใชเ หตผุ ล อาตมามีความเชื่อวา หลายทานที่เขามาปฏิบัติมักจะมีความคาดหวังวา จะตองเกิดผล ทางการปฏิบัติ คือตองสงบนิ่ง มีสมาธิ เกิดสภาวะดี ๆ ซ่ึงเปนการหวังผลปรากฏ วากันแลวผูปฏิบัติ ไมควรมงุ หวงั ในลักษณะเชนนน้ั ควรมาทําหนาท่ีปฏิบตั ติ ามเหตตุ ามปจ จยั ดังท่ีพระพุทธเจาไดตรัส เปรยี บเทยี บไวว า “เปรียบเหมือนแมไกออกไขมาแลว แมไกตองการใหลูกไกใชเล็บหรือจะงอยปากเจาะ กระเปาะฟองไขออกมา แตแมไกไมกกไขใหไออุนอันพอเหมาะ ลูกไกก็ไมสามารถใชเล็บหรือ จะงอยปากเจาะกระเปาะฟองไขออกมา ฉันใด ภิกษุก็ฉันน้ัน เธอมีความปรารถนาอยางแรงกลาวา เราจะตอ งบรรลุวิมุตติหลุดพนใหได แตเธอไมยอมประกอบความเพียร ไมทําเหตุปจจัยใหถึงพรอม ก็ไมอาจประสบผลอันเลิศตามความปรารถนา ถึงแมวาแมไกจะไมตองการใหลูกไกใชเล็บหรือ จะงอยปากเจาะกระเปาะฟองไขออกมา ทวากกไขใหไออุนอันพอเหมาะ คร้ันถึงกาลอันควร ลูกไก กเ็ จาะกระเปาะฟองไขอ อกมาไดเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ถึงแมวาเธอจะไมตั้งความปรารถนาเลยวา ขอใหเราบรรลุวิมุตติหลุดพน แตเธอประกอบความเพียรทําเหตุปจจัยใหถึงพรอม คร้ันถึงกาลอัน ควร เธอกป็ ระสบผลอันเลิศถงึ วิมุตติหลุดพนไดฉะนแี้ ล” จากพระพุทธูปมาน้ีเราก็ทราบวา ไมควรมุงหวังเร่ืองผลปรากฏ ควรมาใสใจในเร่ืองของ การปฏิบัติทําเหตุปจจัยใหถึงพรอม มีความยินดีพอใจในการกระทํามากกวาที่จะไปรอรับผล เรา สามารถมีความสุขกับการปฏิบัติ กลาวคือมีความสุขกับการยืน เดิน น่ัง และกําหนดอารมณตาง ๆ มิใชไปพึงพอใจในผลปรากฏท่ีเกิดในชวงระยะเวลาหน่ึง ในขณะท่ีเราปฏิบัติแตละครั้งก็มีความสุข หรอื เกดิ ฉนั ทะพงึ พอใจในการกระทาํ นัน้ ๆ ได
14 ความบริสทุ ธิ์หยุดอยกู ง่ึ กลาง ขอกลาวถึงชาดกเรื่องหนึ่งที่องคพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวฯ (ร.๙) ไดนํามาพระราช นิพนธ คือ เร่ืองพระมหาชนกในชวงท่ีพระมหาชนกกําลังวายนํ้าอยูในทามกลางมหาสมุทร มองไม เห็นฟากฝงทะเลเลย แตยังเพียรพยายามวายนํ้าอยู พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวฯ ไดตรัสความใน เหตุการณนั้นไววา “ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธ์ิ มีปญญาเฉียบแหลม มีรางกายท่ีสมบูรณ” มีความ เพียรท่ีบริสุทธิ์ดุจดังพระมหาชนกกําลังวายน้ําอยูในทามกลางมหาสมุทรมองไมเห็นฟากฝงทะเล เลย แตยังประกอบความเพียรดวยความรื่นเริงบันเทิงใจ หากเรามาตีความตามนัยน้ี จะพบวาพระ มหาชนกมองไมเห็นเปาหมายอะไร แตยังเพียรพยายามอยู มีความยินดีในการกระทําบําเพ็ญ นั่น แหละเปนความเพยี รท่ีบริสุทธิ์ ตอมามีนักวิชาการหลายทานมาประชุมกันเพื่อแสดงความคิดเห็นวา ความเพียรท่ีบริสุทธิ์ คืออะไร พวกเขาพากันแสดงความคิดเห็นไวหลายประเด็น แตไมมีใครเลย กลา ววา ความเพียรทบี่ ริสทุ ธิ์คอื ความเพยี รทไ่ี มมผี ลประโยชนใ ด ๆ ไมห วังผลตอบแทนเลย คร้ันเรา มาปฏิบัติก็ตองตระหนักในเรื่องความเพียรที่บริสุทธิ์ มิใชมีอะไรมาหนวงเหนี่ยวไว เชน มีโลภะ หนวงในอารมณ ปฏิบัติเพื่ออยากไดสมาธิสงบนิ่งหรือสภาวธรรมดี ๆ การปฏิบัติธรรมที่มีโลภะ หนวงในอารมณเปนไปเพื่อตอบสนองความตองการของโลภะ ก็ไมแตกตางจากการทํางานเพ่ือ ไดรับคาจางหรือผลตอบแทนเปนเงินตรา ภาษาจิตวิทยาเรียกการกระทําในแนวน้ันวา Reward Dependent ขน้ึ อยูกบั ผลตอบแทน รางวัล ซึ่งเปนวิถีทางโลกลวน ๆ หากผูปฏิบัตินําการกระทําตามวิถีทางโลกมาใชในวิถีทาง ธรรม จะประสบความลมเหลวอยางส้ินเชิง เพราะวิถีทางธรรมนั้น ย่ิงยึดย่ิงอยากได ย่ิงหางเหินไกล ย่ิงปลดปลอ ยวาง ยิ่งเดนิ ทางเขาไปใกล ในวิถีทางธรรม เหตุปจจัยจะตองบริสุทธิ์จึงจะยังผลที่บริสุทธิ์ใหเกิดข้ึน กลาวคือ ประกอบความเพียรโดยไมตองการผลปรากฏใด ๆ และไมยึดหนวงเหน่ียวสภาวะใด ๆ ไว ปลอยให ไหลไปตามกระแสธรรมชาติ ทาํ ความเพียรในขณะนี้เด๋ียวนี้เวลาน้ี และจบลงไปในขณะน้ันเด๋ียวน้ัน เวลานน้ั นน่ั แลคือความเพียรทบี่ รสิ ุทธิ์ น้ีคือสารัตถะของการปฏิบัติธรรม สอดคลองกับพระพุทธดํารัสวา “กําจัดอภิชฌาและ โทมนัสเสียไดในโลก” อภิชฌาคือความชอบใจทะยานอยาก โทมนัสคือความเสียใจ ขุนเคืองแคน กลาวกนั งา ย ๆ วา อภิชฌา คอื ความโลภ โทมนสั คอื ความโกรธ การปฏบิ ตั ิก็เพื่อกาํ จัดกเิ ลสทัง้ ๒ ตัว น้ี ซ่ึงจะกําจัดไดดวยการอยูกึ่งกลางระหวางความโลภและความโกรธ กลาวคือยินดีก็ไมโยกไป ดานซาย ยินรายก็ไมยายไปดานขวา ในนัยหนึ่งเรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา (การเดินทางสายกลางไม หยอนยานและเครงตึงจนเกินไป) หรืออีกนัยหน่ึงคือ ความเพียรท่ีบริสุทธิ์ ไมตกไปสูกระแสของ ความโลภและความโกรธ
15 เพียงสักแตว าหามอี ะไรไม การมาปฏิบัติตามสติปฏฐานท่ีแสดงไววา ดูตามกายในกาย… ดูตามเวทนาในเวทนา... ดู ตามจิตในจิต... ดูตามธรรมในธรรม... มีคําวา กายสองกาย เวทนาสองเวทนา จิตสองจิต และธรรม สองธรรม เมื่อศึกษาสติปฏฐานสูตรอยางถี่ถวน อานใหจบทุกหมวดหมู จะพบวา ขอความสุดทาย ของทุกหมวดหมูมีความเหมือนกันวา “สติของเธอต้ังม่ันวามีกาย เวทนา จิต ธรรมอยูก็เพียงสักแต วา ความรู เพียงสกั แตว า อาศัยการระลึกรเู ทานน้ั ” ตามขอ ความนี้สรุปไดว า กายก็สักแตวากาย เวทนาก็สักแตวาเวทนา จิตก็สักแตวาจิต ธรรม ก็สักแตวาธรรม เปนเพียงสักแตวาไมมีอะไร เปนเพียงปรากฏการณทางกาย เวทนา จิต ธรรม มิใช สัตว บุคคล ตัวตน เราเขา พูดงาย ๆ วาไมตองเติมอะไรลงไปในสภาพน้ัน ๆ เพราะสภาพนั้นเปน เพียงปรากฏการณธรรมชาติ ไมมีอะไรนอกจากความไมมีอะไร จึงใหมองดูเปนเพียงสักแตวา เทานั้น แมแตการเห็น การไดยินที่เราพบจากพระพุทธดํารัสวา “เห็นก็สักแตวาเห็น ไดยินก็สักแต วา ไดย ิน” ไมปรุงแตง อะไร นั่นแลคือการปฏิบัติที่ไมเอนเอียงไปสูโลภะและโทสะ อยูก่ึงกลางระหวางโลภและโกรธ จึงจะเปนความเพียรที่บริสุทธิ์ เม่ือมาอยูก่ึงกลางไดแลว กิเลสท้ัง ๒ ตัวนี้จะเริ่มยายออกไป ๆ ใน ที่สุดก็หมดสิ้น ถาเกิดสภาวะดี ๆ ยินดีชอบใจ ก็หันพวงมาลัยรถลงดานซายตกคลอง เขาสูโลภะไป ถาเกิดสภาวะไมดี ยินรายเสียใจ ก็หันพวงมาลับรถไปดานขวาชนรถคันอ่ืน เขาสูโทสะไป ดังน้ัน ตองดํารงคงความเปนกลาง กําหนดรูเพียงสักแตวาเทานั้น และทําความเพียรดวยความบริสุทธ์ิใจ ดําเนินไปสูเปาหมายปลายทาง คืออนัตตาอันโลง โปรงปลอดจากสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา ซึ่งเปน จดุ หมายปลายทางของพทุ ธธรรมอยา งแทจริง พระธรรมเทศนาในวันนี้ไดแสดงถึงเปาหมายของการปฏิบัติท่ีตองตามพุทธประสงค ให ยินดีพอใจในการกระทําเหตุมากกวาการเสวยผล และการกระทําบําเพ็ญเพียงดวยความบริสุทธิ์ใจ ไมห วงั ผลปรากฏโดยวางจติ ใหอ ยกู ่ึงกลางระหวา งโลภะและโทสะ กลาวโดยเฉพาะเรื่องของการทํา เหตุปจจัยใหถึงพรอม นับวาเปนหนาที่ของผูปฏิบัติโดยตรง เพราะวาธรรมกระแสนี้ข้ึนอยูกับเหตุ ปจจัย พระพุทธองคจึงตรัสเหตุเกิดข้ึนและผลดับไปแหงธรรมท้ังหลาย ดังภาษามคธท่ีอาตมาได ยกข้นึ เปน นกิ เขปบทในเบื้องตน วา เย ธมมฺ า เหตปุ ฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต (อาท) เตสฺจ โย นโิ รโธ เอวํวาที มหาสมโณฯ ธรรมเหลา ใดเกิดแตเหตุ พระตถาคตเจา ตรสั เหตุแหงธรรมเหลา นั้น และความดับ แหง ธรรมเหลา น้ัน พระมหาสมณเจา มปี กติตรัสอยางนีฯ้
16 ดังแสดงพระธรรมเทศนามาก็สมควรแกเวลา ขอยุติลงปลงไวแตเพียงเทาน้ี เอวํ ก็มีดวย ประการฉะน้ีฯ
17 กัณฑที่ ๒ สติปฏฐานกถา ดังพระพุทธดํารัสวา “ครั้นตถาคตรัสรูเขาถึงแลว ก็มาบอกแสดงจัดวางระบบตั้งระเบียบ แบบแผน เปดเผยจําแนกแจกแจงใหเขาใจงาย” สติปฏฐานจึงเปนสูตรสําเร็จท่ีถูกวางระบบเปน หลักการและวิธีการปฏิบัติโดยพระพุทธองค และขอความชวงทายของสติปฏฐานสูตรไดแสดงไว อีกวา “ผูใดยังสติใหแลนลองทองเที่ยวไปในกาย เวทนา จิต ธรรม อยางตอเน่ือง ๗ ป สามารถ บรรลุถึงระดับของพระอรหันตหรือพระอนาคามีภายในปจจุบันชาติ ๖ ป ๕ ป ๔ ป ๓ ป ๒ ป ๑ ป ๗ เดือน ๖ เดอื น ๕ เดือน ๔ เดอื น ๓ เดอื น ๒ เดอื น ๑ เดือน ๑๕ วัน ๗ วัน ก็สามารถบรรลุถึงระดับ พระอรหันตหรือพระอนาคามีภายในปจจุบันชาติ” นั่นเปนสูตรสําเร็จที่พระองคตรัสยืนยันไวจริง การที่เราจะปฏิบัติบรรลุตามพระพุทธดํารัสนั้นไดหรือไม จึงไมขึ้นอยูกับสูตรสําเร็จนี้ แตข้ึนอยูกับ ตัวเราโดยเฉพาะ. นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ สฺส เยเนว ยนฺติ นิพพฺ านํ พุทฺธา เตสฺจ สาวกา เอกายเนน มคเฺ คน สติปฏฐานสญฺ นิ าฯ ณ บัดนี้ อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงสติปฏฐานกถา วาดวยสติปฏ ฐาน ๔ เพอื่ เปนเคร่ืองเจริญศรทั ธา เพมิ่ พูนปญญาบารมี ใหแกท านสาธุชนคนดี โยคีและโยคินี ท้ังท่ี เปน คฤหสั ถแ ละบรรพชติ อนุสนธิสืบตอจากวันพระที่แลวไดแสดงกระแสธรรมกถาวาดวยกระแสธรรมซึ่งเปน กระแสทวนตอบตอ กระแสโลก กลาวคือ ศาสนธรรมของพระผูมีพระภาคเจาที่ทรงแสดงไวท้ังมวล ก็ลวนแตใหไปยืนอยูคนละมุมหนึ่งกับกิเลส มิใหไปยืนอยูในมุมเดียวกัน หรือคลุกคลีตีโมงรวมวง กับกิเลส นั่นคือสารัตถะแหงพุทธธรรมและไดแสดงสาระสําคัญของการเจริญสติปฏฐาน ๔ ไววา กายก็สักแตวากาย เวทนาก็สักแตวาเวทนา จิตก็สักแตวาจิต ธรรมก็สักแตวาธรรม กลาวคือกายก็ เพียงกิริยาอาการทางกาย เวทนาก็เพียงความรูสึกทางเวทนา จิตก็เพียงการตรึกนึกคิดทางจิต และ ธรรมก็เพียงสภาพทางธรรม ดังพระพุทธดํารสั ทปี่ รากฏในสตปิ ฏ ฐานสตู รวา “อน่ึง สติของเธอท่ีต้ังม่ันอยูวา กายมีอยู ก็เพียงสักแตวาความรู เพียงสักแตวาอาศัยระลึก เทานั้นเธอเปนผูอันตัณหาและทิฐิไมอาศัยอยูแลว และไมถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อยา งนี้แล ภกิ ษุชือ่ วา พจิ ารณาเห็นกายในกายอยู
18 สติของเธอตั้งมั่นอยูวา จิตมีอยู ก็เพียงสักแตวาความรู เพียงสักแตวาอาศัยระลึกเทาน้ัน เธอ เปน ผมู อี นั ตณั หาและทฐิ ไิ มอาศยั อยูแลว และไมถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อยางนี้แล ภิกษุช่ือวา พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาอยู สติของเธอตั้งม่ันอยูวา จิตมีอยู ก็เพียงสักแตวาความรู เพียงสักแตวาอาศัยระลึกเทานั้น เธอ เปนผูอันตัณหาและทิฐิไมอาศัยอยูแลว และไมถือม่ันอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุท้ังหลาย อยางน้ีแล ภิกษชุ อ่ื วา พจิ ารณาเห็นจติ ในจิตอยู สติของเธอตั้งมั่นอยูวา ธรรมมีอยู ก็เพียงสักแตวาความรู เพียงสักแตวาอาศัยระลึกเทานั้น เธอเปนผูอันตัณหาและทิฐิไมอาศัยอยูแลว และไมถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อยางน้ี แล ภกิ ษุช่ือวาพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมอยู สติปฏฐานสูตรไดบงบอกวา “เพียงสักแตวา” ทุกส่ิงทุกอยางเพียงสักแตวาเทานั้น ไม สําคัญม่ันหมายอะไร ไมเขาไปทึกทักทัดทายหรือยึดหนวงเหน่ียวไว ทําความเขาใจไดอยางนี้ก็ให สติแลนลองทองเที่ยวไปในกาย เวทนา จิต ธรรม อยางตอเนื่อง ทวาทําอยางไรจึงจะรูเพียงสักแตวา ใหมาอยูก่ึงกลางระหวางอภิชฌาและโทมนัส อภิชฌาคือโลภะ โทมนัสคือโทสะ กลาวคืออยู กึ่งกลางระหวางอิฏฐารมณและอนิฏฐารมณ อิฏฐารมณคืออารมณท่ีนาปรารถนา อนิฏฐารมณคือ อารมณท ี่ไมน าปรารถนา ไมเอนเอียงไปดา นใดดา นหน่ึง เม่ืออยูก่ึงกลางไดตัณหามานะทิฐิ ก็ไมอาจ เขามาแทรกแซง ชอบหรอื ไมชอบก็ไมก อปรดวยธรรม อนึ่งคําวา “อภิชฌาและโทมนัส” นั้นคืออะไร มาทําความเขาใจกันงาย ๆ วาคือ ความชอบและความไมชอบ โดยปกติ ปุถุชนคนธรรมดามักจะแสดงพฤติกรรมไปตามอํานาจของ ความชอบหรอื ความไมช อบอยรู ํ่าไป จนแทบจะเรียกวาเปนธรรมชาติอยางหนึ่ง มองไมเห็นโทษภัย ของความชอบหรือความไมชอบนั้น เชน เราชอบคนนี้ ก็เขาไปหาพูดจาสนทนาดวย ไมชอบคนน้ัน ก็ไมเขาไปหา ไมทักทายถามถึง โดยความหมาย ความชอบคือการนําเขา ความไมชอบคือการนํา ออกหรือผลักออก พุทธธรรมไดแสดงวา ความชอบคือโลภะความไมชอบคือโทสะนี้ ควรแกการ ขจัดขัดเกลาใหเบาบางลง เหตุใดจึงแสดงเชนนั้น เพราะวาถาเรามีความชอบมากจนเกินไป ก็ กลายเปนฉันทาคติ ลําเอียงเพราะชอบ คนท่ีเราชอบไปทําความผิด มักจะไมเห็นความผิดของเขา ถึงแมรูอยูวาเขาทําความผิดจริง ก็ปกปองเขาขาง สวนความไมชอบคือโทสะ ถามีปริมาณมากไป ก็ กลายเปนโทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบ คนท่ีเราไมชอบและไมเห็นความพอดีของเขา ชอบและไม ชอบลวนแตเ ปน ปจจัยใหเกดิ ภาพอคติ ไมมีความยุตธิ รรม แมแสดงโทษภัยใหทาํ ความเขา ใจอยา งนี้ บางทานกย็ งั ไมเหน็ ดว ย
19 ขอเปรียบเทียบใหเห็นดวยการนําแกวนํ้ามาสองใบ ใบแรกเติมนํ้าครําหรือนํ้าโคลนเขาไป ใบสองเติมนํ้าโอวัลตินหรือกาแฟเขาไป ถามวาเราจะด่ืมนํ้าแกวไหน ก็ตองตอบวาด่ืมแกวที่มีนํ้า โอวัลตินหรือกาแฟ จะไมดื่มน้ําโคลนหรือน้ําครําแนนอน นั่นแสดงวา เราจะตองด่ืมน้ําโอวัลตินที่ เห็นวานําเขามาตอบสนองความตองการได สวนนํ้าครําและนํ้าโคลนเห็นวานําเขามาตอบสนอง ความตองการไมได ตองผลักออกดวยอํานาจของความไมชอบ หรือรังเกียจวาสกปรก แตบางครั้ง อาจจะตอบสนองความตองการคือโกรธข้ึนมาก็รีบจับฉวยสาดใสคนที่โกรธน้ันทันที แตยังเปนการ ตอบสนองความไมชอบคือโทสะอยูดี ดวยเหตุผลใดก็ตาม ขอสรุปวา เราจะตองเลือกด่ืมน้ําโอวัล ตินหรือกาแฟแนนอน ไมด่ืมน้ําครําหรือนํ้าโคลนเด็ดขาด แตถาถามวา น้ําโอวัลติน นํ้ากาแฟ หรือ นํ้าครํานํ้าโคลนมาเปอนเส้ือผาของเรา จะซักไหม โดยเฉพาะมาเปอนผาขาวสะอาดจะซักหรือเปลา ก็ตองซักแนนอน ขอน้ีฉันใด ความชอบหรือความไมชอบก็ฉันนั้น ควรแกการขจัดขัดเกลาใหเบา บางลง เพราะวา ธรรมชาติของจิตจริง ๆ เปรยี บประดจุ ผาขาวสะอาดปราศจากความดางดํา แตเพราะ ความชอบหรือความไมชอบนั่นเองเขามาเจือ จึงขุนมัวหมอง จําเปนตองกําจัดกิเลสทั้ง ๒ ตัวน้ี ออกไป เพ่ือเขา ไปสธู รรมชาตทิ ่ขี าวสะอาดนั้น ความจริงธรรมชาตขิ องจิตมีความสะอาดเปนทุนเดิม ดังพระพุทธดาํ รสั วา “ดกู รภิกษทุ ้ังหลาย จติ นีม้ ีธรรมชาติสกุ ใสสะอาด ที่ขุนมัวเพราะอุปกิเลสจรมา เจอื ” ทง้ิ ชอบและไมชอบจงึ กอปรดว ยธรรม โดยธรรมชาติของจิต ทานแสดงตามแนวอภิธรรมไววา ในขณะท่ีจิตตกภวังคหลับสนิทไม เกดิ การปรงุ แตง ใด ๆ จะผองใสอมิ่ ตวั สังเกตไดว าเวลาต่นื ขึ้นมาจะไมหวิ กระหายอะไร ครั้นตื่นจาก ภวงั ค จิตขึ้นสูว ิถที างตา หู จมกู ลิ้น กาย กิเลสภายนอกจะไหลเขา มาทางตา หู จมูก ลิ้น กายน้ัน จิตก็ รับมาปรุงแตงเกิดความขุนมัว หากไมมีกิเลสภายนอกเขามาแทรกซอนหรือเจือจิต จิตก็ไมขุนมัว และอยูในสภาพสะอาดหมดจด ทวาเราไมเห็นสภาพน้ันวา มีความเอิบอิ่มสุขเกษมเพียงใด จึงไม เห็นขอจําเปนวาตองกําจัดความชอบหรือความไมชอบออกไป จนกระทั่งเห็นเปนธรรมชาติอยาง หน่ึงที่ไมควรกําจัด ในทางตรงกันขามกลับจะแสวงหาความสุขความสะใจจากความชอบหรือไม ชอบนั้น แตถามองตามสภาพความเปนจริงดังกลาวมาน้ี จะพบวาความชอบหรือความไมชอบควร แกการกําจัดเปนอยางยิ่ง สวนผลปรากฏหลังจากการกําจัดแลวจะเปนเชนไร ขอใหยกไปเปนเร่ือง เฉพาะตน เมื่อพิจารณาจิตอีกประการหนึ่ง ก็พบพฤติกรรมทางจิตที่มักจะไหลลงสูเบ้ืองตํ่าเหมือน สายน้ําไหลจากเบื้องบนลงสูเบ้ืองลาง เพราะไมไดกําจัดความชอบหรือความไมชอบน่ันเอง จิตจึง ตกไปสูกระแส ๓ ประการน้ี คอื
20 ๑. กามวิตก จิตมักตรึกนึกหนวงไปหากามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสถูกตอง อนั นา ปรารถนานา ใครนา พอใจ กเ็ กิดความทะยานอยาก ๒. พยาบาทวิตก จิตมักตรึกนึกหนวงไปหาอารมณขุนมัววา คนนั้นวาเรา คนโนน กระทบกระทั่งเรา ก็เกดิ ความเคืองแคนพยาบาทอาฆาต ๓ วิหิงสาวิตก จิตมักตรึกนึกคิดจะกระทําตอบทางกาย วาจาตอผูที่ทําใหเจ็บช้ํานํ้าใจ ก็ เกดิ การเบียดเบยี น จิตมักจะไหลไปตามกระแสทั้ง ๓ ประการน้ีอยูบอยคร้ัง กลาวโดยสรุป จิตมักตกไปตาม อารมณท่ีนาปรารถนาและไมนาปรารถนา (อิฏฐาราณและอนิฏฐารมณ) แลวผลักดันใหแสดง พฤติกรรมออกมาทางกาย วาจา ดังน้ันจึงมีความจําเปนท่ีจะตองยกระดับจิตใหสูงขึ้น เพื่ออยูเหนือ อารมณเหลานี้ ดวยการพัฒนาคุณภาพจิตตามแนวสติปฏฐาน ๔ ซ่ึงเปนวิธีการยกระดับจิต โดยเฉพาะ นค้ี อื ความจําเปน ท่จี ะตอ งมาเจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ แสดงใหเ หน็ วาเปนสตู รสาํ เรจ็ ถามวา สติปฏฐาน ๔ นี้คืออะไร ขอตอบวา คือหลักการและวิธีการปฏิบัติที่มุงตรงเขา ไปสูความบริสุทธ์ิ ผานพนความเศราโศกพิไรรํ่าครํ่าครวญ บรรลุญาณเห็นมรรคผลนิพพานอยาง แจมแจง หลักการและวิธีการเหลานี้ไดผานการรวบรวมขอมูล พิเคราะหตรวจสอบและสัมฤทธิ์ผล มาแลว มิใชเกิดจากการตรึกนึกคิดต้ังเปนทฤษฎีข้ึนมา เหมือนนักปรัชญาที่ใชกระบวนการทาง เหตุผลมาชั่งนํ้าหนัก แลวบอกวา น้ีคือทฤษฎีกําจัดกิเลส หาไดเปนเชนน้ันไม ดวยวาพระพุทธองค ทรงผานการปฏิบัติตรัสรูแลวตองไปดูรางกายและจิตใจของคนอ่ืน ใหใสใจไตรตรองมองมาท่ีตน อยางเดียว บางคนมาปฏิบัติธรรมก็มาดูคนน้ันมองคนน้ี ข้ึนกุฏิโนนลงกุฏินี้ มิไดช่ือวาปฏิบัติธรรม เลย อาจจะเปนขอเสียหรือขอผิดพลาดของมนุษยท่ีเกิดมาลืมตาดูโลก ไมทอดสายตามาหาตน แต ทอดสายตาไปหาคนอ่ืน มองแตสิ่งรอบขาง จึงเปนเหตุใหเห็นขอผิดพลาดของคนอ่ืนอยูเปนประจํา สวนขอ ผิดพลาดของตัวเองก็ไมเห็น ถึงแมจะสงกระจกดูหนาตาของตน ก็เพียงแตมองรูปเงาเทาน้ัน ไมมองเขา ไปในเบือ้ งลุกสาํ รวจดูขอบกพรองของตนวาควรแกไขอะไรบาง มีแตทอดสายตาออกไป มองคนอ่ืน ดวยเหตนุ จ้ี ึงเหน็ โทษของคนอน่ื วา ใหญหลวง ดงั บทกวีวา โทษผูอ ืน่ และเห็นเปนภเู ขา โทษของเราแลไมเ หน็ เทาเสนขน ตดคนอืน่ เหม็นเบอ่ื เราเหลอื ทน ตดของตนถึงเหม็นไมเ ปน ไรฯ การไมหันกลับมามองตัวสํารวจตนจึงไมเห็นขอบกพรองของตน และไมรูวาจะปรับปรุง แกไ ขอยางไร ในทางตรงกันขา ม กลับหาทางไปปรับปรงุ แกไ ขคนอื่น ดงั เรอื่ งหน่งึ เปน ตัวอยา ง
21 มีสาม-ี ภรรยาอยคู ูหนงึ่ อยูก นิ กนั มานานหลายป อยูมาวนั หน่ึง สามเี รม่ิ สงสัยภรรยาของตน วาหูตึง คร้ันจะถามวา “เธอหูตึงจริงหรือเปลา” ก็กลัววาเธอจะอายโกรธเอา จึงตัดสินใจไปปรึกษา แพทย แพทยไ ดแนะนําวิธีทดลองวาภรรยาหตู ึงจริงหรือไมใ หแกเขา เมื่อเขาไดวิธีทดลองจากแพทย แลวกเ็ ดินทางกลบั ทนั ทีที่ถงึ หนาบา น ก็ตะโกนถามดัง ๆ วา “น่เี ธอ วันนท้ี ําอะไรทานบา ง” ปรากฏวาเงยี บ ไมไ ดยนิ เสียงตอบจากภรรยา เขาเดินเขาไปภายในบา น ถามเสยี งดงั ๆ วา “นี่เธอ วันน้มี ีอะไรทานบาง” เงยี บ ไมไดย ินเสยี งตอบจากภรรยา เขาเดินเขาไปที่หองครวั ยืนอยูหนาประตูเห็นภรรยายืน หนั หลังกาํ ลังทํากับขา วอยู ถามเสียงดงั ๆ เปนครั้งท่สี ามวา “นเ่ี ธอ วันนีท้ าํ อะไรทานบางฮ”ึ เงยี บอีก เขารสู ึกสงสารภรรยาจบั ใจ “โถ แฟนของเราหตู งึ แน ๆ ไมน าเลย” จึงเดนิ เขา ไปสวมกอดขางหลงั ดวยความสงสารพรอ มกบั ถามที่หูของเธอวา “เธอ วนั นี้ ทาํ อะไรทานบางละ ถามต้ังหลายครง้ั ไมเห็นตอบเลย” ภรรยาหนั ขวับมาทันที ตอบดว ยหนาดุ ๆ เสียงดงั ๆ วา “น่คี ุณ ชั้นตอบคณุ ตั้ง ๓ ครัง้ แลวนะ หูตึงไมไ ดย นิ หรือไง” “อาวเหรอ” สามรี องอาวยืนตะลึง สรุปวา ใครหูตงึ กันแน เรามักจะมองไมเห็นขอบกพรองของตนเลย เม่ือมีขอบกพรองบางประการเกิดข้ึน ก็มักจะ ต้ังขอสงสัยคนอื่นเปนอันดับแรก ไมคิดจะสงสัยตัวเอง หรือแมแตเกิดความผิดพลาดขึ้นมาจริง ๆ ก็ ไมโ ทษตวั เอง กลบั ไปโทษเทวดาฟา ดนิ ดาโนน วา นี่ ดังนั้น ควรหันกลับมาดูตัวเอง มาดูขอบกพรองของตน คนอ่ืนจะเปนอยางไรเรื่องของเขา แตเรอ่ื งของเราใหเ ฝามองดู ดังบทกววี า อยา มวั มุงหมายมองเร่อื งของเขา เร่อื งของเราทาํ ไมไมข วนขวาย แกทเ่ี ราทพี่ รอ งอยูอยา ดดู าย เปนเปา หมายเชยี วนะอยาละเลยฯ ใหกลับมาดูรูป-นามคือรางกายและจิตใจของเรา วามีนิสัยใจคออยางไร เปนคนเจาอารมณ ฉนุ เฉยี วเกรย้ี วกราดหรือสุขมุ เยือกเย็น การปฏบิ ัตวิ ปิ ส สนากรรมฐานก็อยูตรงน้ีน่ีเอง
22 ท้งิ อดีต ตัดอนาคต กาํ หนดปจจุบัน การปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน จําเปนตองมีหลักปฏิบัติ หลักท่ีจะกลาวนี้ถือวาเปนจุดเดน จุดสําคัญ ผูปฏิบัติจะตองอยูตรงจุดนี้ ถาไมตรงจุดจะปฏิบัติไมถูกตามสติปฏฐาน น่ันคือปจจุบัน ไมใชอดีตและอนาคต อดีตเปนเพียงภาพพจน อนาคตเปนเพียงความฝน แตปจจุบันคือความจริง ใหมาอยูกับปจจุบันอันเปนจุดก่ึงกลางระหวางอดีตและอนาคต อะไรที่ลวงไปแลวก็ขอใหลวงไป อะไรท่ีมาไมถึงก็ยังไมมาถึง อยาไปปริวิตกกังวล ขณะน้ีบานชองหองหอจะเปนอยางไร จะคิด ขนาดไหน หรือเปนหวงเพียงใด ก็ไมสามารถไปทําอะไรได เพราะเรายังอยูที่นี่ตรงนี้ ก็ใหมาอยูท่ีนี่ ตรงน้ีเทานั้น อยูกับยืนเดินนั่งท่ีกําลังปรากฏในแตละชวง เชน ขวายางหนอ ซายยางหนอ อยูกับ อาการท่ีกําลังเคลื่อนไหว ใหจับที่กิริยาอาการซ่ึงกําลังเปนไปในแตละชวงอยางไมคลาดเคลื่อน อุปมาเหมือนแมวจับหนู หนูวิ่งมาแมวจะตองจับไดอยางเหมาะเจาะ หนูเปรียบเหมือนตัวสภาวะ หรือกิริยาอาการตาง ๆ ของรูป-นามที่เกิดปรากฏการณข้ึนมา แมวเปรียบเหมือนผูปฏิบัติจะตองจับ ตัวสภาวะหรือกิริยาอาการนั้น ๆ ไดอยางพอเหมาะพอดี ถาหนูวิ่งไปแลวแมวจับทีหลังก็ไมไดหนู กลายเปนอดีตไป ถาแมววิ่งตะครุบจับกอนก็ไมไดหนูอีก ยังเปนอนาคต ตองตะครุบจับไมกอนไม หลัง จับปุบไดปบ จึงจะเปนปจจุบัน อารมณท่ีผานไปแลวกําหนดทีหลัง หรืออารมณท่ียังไมมาถึง แตกําหนดกอนก็ไมตรงกับปจจุบันอารมณ ตองกําหนดใหทันพอดิบพอดี อารมณใดทันถือวาดี ไม ทันก็ทิ้งไปไมเสียดาย กําหนดตามอาการที่ปรากฏ อาการที่ปรากฏชัดก็กําหนดตามท่ีปรากฏชัด อาการท่ีปรากฏไมชัดก็กําหนดตามที่ปรากฏไมชัด แตถาอาการทั้ง ๒ อยางเกิดปรากฏพรอม ๆ กัน เทาๆ กัน เชน ท่ีขาก็เกิดอาการชา ท่ีหนาผากก็เกิดอาการคัน จะทําอยางไร ผูปฏิบัติเกิดความลังเล สงสัยไมแนใจวาจะเลือกอาการใดดี ใหกําหนดวา “สงสัยหนอ หรือ ลังเลหนอ” กอน ความสงสัย (วิจิกิจฉา) หายไป อาการทั้ง ๒ อยางยังปรากฏเหมือนเดิน ใหกําหนดวา “รูหนอ” คลุมท้ัง ๒ อาการนัน้ เปรยี บเหมอื นเอาสุม ไปสวมลงจบั ปลา มปี ลาอยูภ ายในสุม ๒ ตัว ตัวใดโผลขึ้นมาก็จับตัว น้ัน อาการใดปรากฏชดั กก็ ําหนดอาการนัน้ เชน อาการชาทขี่ าชดั เจนกวา กก็ าํ หนดอาการชานนั้ เร็วไวไปไมถ งึ จงึ ตอ งชา ตอมาผูปฏิบัติจะตองทํากิริยาเหมือนแมวจับหนู แมวท่ีไปจับหนูถาบุมบามรีบว่ิงเขาไปหา หนู หนูก็รูตัวทัน รีบหลบหนีไป แตถาแมวคอย ๆ ยองเบาเขาไปหาไมใหหนูรูตัว เขาไปใกล ๆ ตะครุบปบจับทันที หนูก็ว่ิงหลบไปไมทัน ผูปฏิบัติก็เชนกันตองคอย ๆ คอยเปนคอยไปใจเย็น ๆ อยา ใจรอน เดินก็ตองชา ลงกวาการเดนิ ตามปกติ หากเดนิ เร็วไปจะไมท ันอาการจบั สภาวะไมได ดว ย ความจําเปนดังกลาวจึงตองทําใหชาลงเพื่อจับกิริยาอาการไดทัน มีเหตุที่จะตองทําชาอยู ๔ ประการ คอื ๑. ขึ้นภูเขา ตอ งข้ึนชา ๆ อยารีบวิ่งข้ึนไปจะหอบเหนด็ เหนอ่ื ย
23 ๒. รบั ประทานอาหาร ตองคอย ๆ ทาน อยา ตะกรมุ ตะกรามมูมมาม ขา วจะตดิ คอ ๓, เรียนหนงั สือ ตองคอยอานคอยเขียนเรียนศึกษา หม่ันทบทวน คอย ๆ เก็บความรู มิใช รบี อา นใหจบภายในวนั เดียว สมองรับไมทันจะเกิดอาการตึงเครยี ด ๔. บําเพ็ญสมณธรรม ตองคอย ๆ กระทําบําเพ็ญ อยาทําเร็วดวยอาการรีบเรง ทําชา ๆ ดู กิรยิ าอาการตามทป่ี รากฏ เหมือนเราปลกู ตนไมใหม ๆ ตองคอย ๆ รดน้ําพรวนดิน ตนไมก็จะคอย ๆ เจริญเติบโตแตกกิ่งกานสาขาผลิดอกออกผล แตถาใจรอนรีบโหมกระหนํ่ารดน้ําพรวนดินจนเกิน ปรมิ าณ ตน ไมจะไมโตแตจ ะตาย เชนกัน ตองคอ ยเปนคอยไปในชวงเริ่มแรก หรือแมแตผูปฏิบัติเกา รูวิธีการปฏิบัติแลวก็ตาม ก็ตองคอยเปนคอยไป เพิ่มระยะเวลาของการปฏิบัติไปตามเวลาอันควร มี เร่ืองหน่งึ จะเลา ประกอบเปน เร่อื งสุดทา ย ในอดีตกาลมีพระราชาพระองคหน่ึงยังทรงหนุมแนน ไมมีพระมเหสี ทรงครํ่าเครงกับการ บําเพ็ญพระราชกรณียกิจ จนบางคร้ังเกิดอาการตึงเครียด เหลาอํามาตยขาราชบริพารตางก็เปนหวง เกรงวา พระองคจ ะทรงงานหนกั ไป จงึ พากนั ไปเขาเฝา กราบทลู วา “ขาแตสมมติเทพ ขอพระองคทรงมีพระมเหสีเถิด จะไดเปนคูพระทัยเพื่อคอยผอนหนัก ผอนเบาในพระราชกรณยี กิจ” พระราชาตรัสตอบวา “ถาพวกทานประสงคจะใหเรามีพระมเหสีเราก็จะมี แตวาเราจะตอง เฟนหาสตรีที่มีภูมิปญญามากพอมาเปนคูพระทัยของเรา ทานทั้งหลายจงไปปาวประกาศท่ัวพระ ราชอาณาจักร รับสมัครสตรีมาตอบปญหา ๓ ขอ สตรีนางใดสามารถตอบปญหาไดทั้ง ๓ ขอ เราจะ ยกยอ งแตงตง้ั ใหเ ปน พระมเหสี แตถ า ตอบไมไ ดจ ะถกู ประหารชวี ิต พวกอํามาตยขาราชบริพารรับพระราชโองการแลวก็ออกไปประกาศท่ัวพระราชอาณาจักร เปนเวลารวมเดือนไมมีสตรีนางใดกลามาสมัครตอบปญหาของพระราชาเลย เพราะกลัววาจะถูก ประหารชวี ติ ลวงไปอกี เปนเวลานานพอสมควร มหี ญงิ ชราคนหนึ่งแกมาก ผมหงอกขาวโพลน เน้ือ หนังเห่ียวยน หลังคอม ถือไมเทาจั้ก ๆ ยักแยยักยันเดินเขามาหาเจาหนาที่รับสมัคร เจาหนาท่ีก็ถาม วา “ยาย มาทาํ อะไรที่นี”่ “ยายจะมาตอบปญหานะ ” “อา ว ยายทาํ ไมถึงมาตอบปญหา” “ก็ยายอยากจะเปนพระมเหสีนะ ” “ยายรหู รอื เปลา ถา ตอบไมไ ดนี่ ถูกประหารชวี ติ เชียวนะ” “ไมเปนไร ๆ ยายแกมากจะเขาโลกอยแู ลว จะตายกไ็ มเ ปนไรหรอก” หญงิ ชราดงึ ดนั จะตอบปญ หาใหไ ด เจา หนาท่ีพากันทดั ทานอยา งไรก็เอาไมอ ยู “เอา เปน ไงเปนกัน ตอบก็ตอบ เขา ไปพบพระราชากแ็ ลว กนั ”
24 เจาหนาที่พาหญิงชรานั้นเขาไปเฝาพระราชา ณ หองสวนพระองค พระราชาทอดพระเนตร เหน็ กต็ กพระทัย “อา ว ยายมาทําไมน”ี่ “ยายมาตอบปญหา” “ทําไมถึงอยากตอบปญหาละ ” “กอ็ ยากมีผวั หนุมนะ เหน็ พระองคทรงหนมุ แนนอยากไดเ ปน สามี” “ขนาดน้ันเชียว ยายนี่ชักจะไมเจียมสังขารละกระมัง รูหรือเปลาถาตอบไมไดจะถูก ประหารชีวติ นะ” “รู ๆ แตไมเ ปนไรหรอก ยายแกม ากแลวจะตายกไ็ มเ ปนไร” “ปญหาของเรายากนะ จะตอบไดห รอื ” “จะยากขนาดไหนเชียว พระองคแนพระทัยแลวหรือท่ีจะทรงถามปญหานะ เดี๋ยวจะเสีย พระทัยในภายหลงั ยายมีปญ ญามากนะจะบอกให” “กเ็ ลยอยแู กแ ดดแกล ม หาผัวไมไดล ะส”ิ “เพราะรอพระองคอ ยูน่ีแหละ” “เออ ยายนี่ แกไมอ ยสู ว นแกจ รงิ ๆ เอาละเราจะถามเตรยี มตัวเตรยี มใจตอบใหด ี” พระราชาทรงถามวา “อะไรท่ีแนน อน อะไรท่ีจวนจะแนนอน อะไรทไี่ มแ นน อน” หญิงชราไดฟง คาํ ถามแลว ก็นิง่ อึง้ หนา เศราสลดลงทันใด พระราชาไดทเี ยาะเยย “เห็นมย้ั ละ วา แลว ไมฟ ง แกไมอยสู วนแก ไมรูจักเจียมสังขาร เศราละสิคราวน้ี กลัวตายละ สิทา ไหนวา มีปญญาไง” หญงิ ชรายิม้ กวา ง หัวเราะ พดู วา “จะไดผ ัวหนุม กค็ ราวน้แี หละ” หญิงชราตอบวา “ทแ่ี นนอน คืออดีต ทจ่ี วนจะแนน อน คือปจ จุบนั ทไ่ี มแนน อน คอื อนาคต” จรงิ หรอื ไม อดตี ทผ่ี านมาเราไดท าํ สิง่ ใดลงไป ส่งิ นน้ั ก็แนนอน กรรมดเี ปน กรรมดี กรรมชวั่ เปนกรรมช่ัว แกไขอะไรไมได ปจจุบันจวนจะแนนอน ทําปุบก็แนนอนปบ กลายเปนอดีตไปทันที ที่ไมแนนอนคืออนาคต เราคิดไววาพรุงน้ีจะทําสิ่งน้ัน ครั้นถึงเวลาจริง ๆ อาจจะไมไดทํา หรือ อาจจะตายวันตายพรุงก็เปนได อดีตน้ันแนนอน ปจจุบันน้ีจวนจะแนนอน อนาคตโนนไมแนนอน อดีตและอนาคตเราจึงหมดสิทธิ์ มีสิทธิ์เฉพาะท่ีปจจุบันนี้เทานั้น ดังนั้นมาอยูกับปจจุบันทําใหดี ท่สี ุด หากปจจุบันดี อดตี กด็ หี มด อนาคตจะลงตัว หญิงชราตอบไดถูกตองตรงประเด็น พระราชาทรงจองมองดวยความฉงน หญิงชรายิ้ม อยางยียวน
25 “บอกแลว อยา ดถู ูกยาย พระองคยังเปลยี่ นพระทยั ทันนะ อีก ๒ ขอน่นั นะไมถ ามกไ็ ด” “อยาทาทายเรายาย อยาเพ่ิงไดใจไป ปญหา ๒ ขอหลังนี้ยากกวาขอแรกนะ ถาตอบไมไดก็ ตองถูกประหารชีวิต ไมย กเวน หรอก” พระราชาทรงถามปญหาขอที่ ๒ วา “อะไรมัน่ คงกเ็ พราะคน ไมมั่นคงก็เพราะคน ไมม ีในสตั วเดรัจฉานท้งั หลาย” หญิงชราฟงปญ หาแลว กต็ ีหนา เศรา นั่งซึม “น่นั อยางไร วา แลว อยา เพ่งิ ไดใ จ ตอบไมไดหรอกขอนี้ ยอมแพเ ถอะ” พระราชาดพี ระทยั “สญั ญาและสจั จะ” หญิงชราตอบอยา งมั่นใจ จริงอยางนั้น สัญญาและสัจจะน้ีจะม่ันคงก็เพราะคน ไมมั่นคงก็เพราะคน ถาเราไปกูหนี้ยืม สินทําสัญญากันไว รักษาสัญญาก็ม่ันคงไมรักษาก็ไมมั่นคง สัจจะก็เหมือนกัน จะมีสัจจะหรือไมก็ ขึ้นอยูกับการรักษา สัตวเดรัจฉานไมเคยมาทําสัญญิงสัญญาตอกันและไมรูจักสัจจะ แตคนรูจัก สัญญาและสัจจะ ดังน้ันเราทานท้ังหลายเขามาปฏิบัติจึงควรมีสัจจะตอตนเองวาเราไดสละเวลามา ปฏิบัติก็ควรตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจวาจะเดินจงกรม ๓๐ นาที หรือ ๔๕ นาที ก็ทําใหไดตามน้ัน อยา หาทางหลบเลี่ยง เดินไดสักพัก เดี๋ยวไปเดินนอกศาลาดีกวา เดินขางนอกไดสักพัก เดี๋ยวเดินไปชม สํานักดีกวา เดินชมสํานกั แลว ออกไปนอกสํานักทาจะดี เลยออกจากการปฏบิ ัติ ถอื วา ไมร ักษาสัจจะ เราตงั้ ใจวา จะต่นื กต็ อ งต่ืน ตัง้ ใจวาจะเดนิ กต็ อ งเดิน อยา หลบเลีย่ ง ครั้งหนึง่ หลบไดค รัง้ สองก็ตามมา ๒ ขอหญิงชราตอบไดถูกตอง เหลืออีกหนึ่งขอสุดทาย พระราชาชักพระทัยแปว ถายายแก หนังเหีย่ วนตี่ อบปญหาไดอกี เราไมล ําบากแยหรือ พระราชายงั ตรสั ขวู า “ขอสุดทายตอบไมไดก็ตองถูกประหารชีวิตนะ ไมใช ๒ ใน ๓ ก็จะชนะ ตองถูกต้ัง ๓ ขอ จึงจะรอด” “พระองคไ มเปลี่ยนพระทยั แนนะ” หญิงชราแสรา งกระเชา “เออนะ ไมเปลยี่ นหรอก เปน อยางไรเปนกนั ” พระราชาทรงถามปญหาขอท่ี ๓ วา “อะไรจบั ไมได ขงั กไ็ มไ ด” หญงิ ชราไดย ินคําถามแลวก็ยิ้มรา หวั เราะลั่น “ไดผ ัวหนมุ คราวนีจ้ ริง ๆ ดว ย คือ จิต” ถูกตามที่หญิงชราตอบ จิตเปนนามธรรมจับตองสัมผัสไมได เพราะไมมีรูปพรรณสัณฐาน อสรีรํ ไรทรวดทรงองครูป เอกจรํ ทองเท่ียวไปตามลําพังเพียงหนึ่งเดียว ทุกรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ รักษา ยากหา มไดย าก เรามาปฏิบัติเดินน่ัง เด๋ียวมันก็แวบไปโนนเด๋ียวก็แวบมานี่ คิดเรื่องน้ียังไมเสร็จเรื่อง นั้นก็เขามา พองหนอยังไมทันยุบก็คิด ยุบหนอยังไมทันพองก็คิด ผูปฏิบัติใหมตองคอย ๆ กําหนด จติ วา “คดิ หนอ ๆ” ในเยน็ ๆ กําหนดทันก็ดีไมทันก็ท้ิงไป อยาไปบังคับจับใหอยูกับท่ีอยางเด็ดขาด เพราะย่งิ บังคับยิง่ ดน้ิ รน ปลอยไปตามธรรมชาติและกําหนดดูเทา น้นั
26 ๓ ขอปรากฏวาหญิงชราตอบไดถูกตองทุกประการ พระราชาทรงจองมองหญิงชราท่ีสอ แววตาอยา งยยี วนน้ันดวยความไมพ อพระทัย ตายแลวเราจะมีพระมเหสีทั้งทีคราวยายคราวยาไมอับ อายขายหนาประชาราษฎรหรือ ทรงอดกล้ันไวไมไหว ชักดาบออกมาฟนไปที่คอของหญิงชราน้ัน ทันที หญิงชรากมลงหลบทัน เพราะคนนี้เปนนางเอกตายไมได ดาบไปถูกผมของนาง ผมเผาที่ขาว โพลนพรอ มหนากากทเ่ี หี่ยวยนหลดุ กระเด็นออกไปทนั ที ปรากฏเปนดวงหนาใหม แทจริงหญิงชรา เปนหญิงดรุณีท่ีปลอมตัวมา เปนสตรีที่สวยงามมาก วงหนาขาวผองเปนยองใย คิ้วโกงดังวง พระจันทร ดวงตากลมโตดังตาเนือ้ จมกู โดง คม รมิ ฝปากบางจม้ิ ลม้ิ พระราชาทรงจองมองดวยความ ตกตะลงึ หญงิ สาวตอ วาพระราชา “พระองคผ ิดสญั ญา ไมรกั ษาสัจจะ” รบี ผละหนี พระราชากร็ บี ควา แขนจบั ไว พรอ มตรสั วา “กอ สัญญาและสัจจะนั้นม่ันคงก็เพราะคนไมมั่นคงก็เพราะคนน่ีนา เปล่ียนแปลงไดมิใช หรอื ” ไมท ราบวา หญิงสาวจะยอมรบั พระราชาหรือเปลา เร่อื งนี้กจ็ บเพยี งเทา นี้ พระธรรมเทศนาในวันนี้ไดแสดงถึงหลักการและวิธีการของการปฏิบัติตามสติปฏฐาน ๔ วามีอะไรบาง สติปฏฐาน ๔ กลาวไดวาเปนสูตรสําเร็จทางการปฏิบัติที่พระพุทธเจาตรัสรับรองไว หากผูใดสามารถปฏิบัติตามหลักการและวิธีการดังกลาวน้ี จะเกิดผลดีทางการปฏิบัติ และหากเหตุ ปจจัยของการปฏิบัติเต็มพรอมบริบูรณ ก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ดวยวาพระพุทธเจาทุกพระองค รวมท้ังพระอรหันตสาวกท้ังหลายไดบรรลุมรรคผลนิพพานดวยการเจริญสติปฏฐาน ๔ น้ี ดังบท คาถาที่อาตมภาพไดย กขนึ้ เปน นิกเขปบทในเบ้ืองตน วา เยเนว ยนฺติ นิพฺพานํ พุทฺธา เตสฺจ สาวกา เอกายเนว มคฺเคน สตปิ ฏฐานสญฺ นิ าฯ พระพุทธเจาและพระสาวกทั้งหลายเขา สูพ ระนพิ พานดวยทางสายเอก คือสติปฏ ฐาน ๔ฯ ดังแสดงพระธรรมเทศนามาก็สมควรแกก าลเวลา ขอยตุ ลิ งปลงไวแตเพียงเทานี้ เอวํ ก็มีดวย ประการฉะนี้
27 กัณฑท ่ี ๓ กายานปุ ส สนากถา ถาทาํ เร็ว ๆ จะจบั กริ ิยาอาการของรูป – นามท่ีเคล่ือนท่ีเคล่ือนยายไปไมทัน จึงตองทําชาลง เพ่ือจับกิริยาอากาน้ัน ๆ ไดทวงทัน อุปมาเหมือนการขับรถ สมมติวาเราขับรถไปบนทองถนนท่ี ปลอดจากรถคันอ่ืน ๆ วิ่งสวนมา สามารถเรงความเร็วในอัตรา ๑๒๐ – ๑๓๐ ไดอยางสบาย ๆ ขณะนั้นหันไปดูส่ิงรอบขางใกล ๆ พบวาเลื่อนไหลไปโดยเร็ว เห็นไมชัดวาอะไรคืออะไร แตถาขับ รถไปชมววิ ทวิ ทัศนจะขบั อยางไร จะตองขับใหชาลงเพ่ือเห็นวิวทิวทัศนไดอยางชัด ๆ ถามวาขับเร็ว เห็นวิวทิวทัศนหรือเปลา ตอบวาเห็นแตไมชัด ฉันใด ในการปฏิบัติก็ฉันน้ัน หากผูปฏิบัติอยูใน อาการรบี เรงไมท าํ ชา ๆ จะเห็นกิรยิ าอาการของรูป – นามไดไมชดั เจน นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ฺธสสฺ กาเย กายานปุ สฺสี วิหรติ อาตาป สติมา สมฺปชาโน วเิ นยฺย โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ นติ ฯ ณ บัดนี้ อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงกายานุปสสนากถา วาการ กําหนดดูกาย เพื่อเปนเครื่องเจริญศรัทธา เพิ่มพูนปญญาบารมี ใหแกทานสาธุชนคนดี โยคีและ โยคนิ ี ท้ังท่เี ปนคฤหัสถแ ละบรรพชติ ตามคัมภรี ท างพระพทุ ธศาสนากลาววา วปิ ส สนากรรมฐานเปนแกนพุทธศาสน มิใชเปลือก กระพี้ หรือเน้ือ หากแตคือสภาพความจริงท่ีเปนแกนแท ซึ่งจะตองเขาไปมีประสบการณสัมผัสจาก การปฏบิ ตั ติ รง ๆ โดยปราศจากการนกึ โนมคิดพจิ ารณาวิเคราะหวิจารณต ามกระบวนการของเหตผุ ล (Reasoning) กอนเขาสูเนื้อหาของวิปสสนากรรมฐานเริ่มจากกายานุปสสนาวาดวยการกําหนดกายตาม รายละเอียดตาง ๆ ควรมาทําความเขาใจในเบ้ืองตนเก่ียวกับกรรมฐานสายนี้วามีชื่อเรียกอยางไร มี อะไรเปนอารมณสําหรับปฏิบัติ ตามท่ีเรียกกันโดยท่ัวไปดวยช่ือแบบไทย ๆ วา “สายพองหนอ-ยุบ หนอ” เปนช่ือท่ีคุนเคยในกลุมของผูปฏิบัติ สวนช่ือจริงที่ปรากฏในคัมภีรทางพระพุทธศาสนา เรียกวา ยุคนัทธสมถวิปสสนา คือสายสมถะและวิปสสนาคูกัน เน่ืองจากกรรมฐานสายน้ีไดนํา บัญญัติมาเปนองคประกอบกับการกําหนดปรมัตถ เรียกวา “กําหนดอารมณบัญญัติพรอมดวย กําหนดอารมณปรมัตถ” บัญญัติ คือถอยภาษาคํากําหนด ปรมัตถ คือสภาพความจริงที่เปนกิริยา
28 อาการหรือปรากฏการณทางกายและจิต ใหใชคํากําหนดน้ันประกอบรวมกับกิริยาอาการ เชน ในขณะที่ผูปฏิบัติยก ยาง เหยียบ ก็มีคํากําหนดสําทับหรือประกอบรวมกับอาการที่กําลังยก ยาง เหยียบน้ันวา “ยกหนอ” “ยางหนอ” “เหยียบหนอ” หรือทองที่กําลังพอง-ยุบก็มีคํากําหนดควบคู ไปพรอมกันวา “พองหนอ” “ยุบหนอ” ซึ่งเปนการปฏิบัติควบคูกันระหวางสมถกรรมฐานและ วิปสสนากรรมฐาน จึงไดชื่อวา ยุคนัทธสมถวิปสสนา ตอเม่ือผูปฏิบัติเกิดผลทางการปฏิบัติเจริญ รุดหนา ไปในระดับหนึ่ง บัญญัติจึงคอย ๆ ถอยรนตีตัวออกหาง ปรมัตถจะตีตื้นขึ้นมาปรากฏเดนชัด มีเพียงกิริยาอาการลวน ๆ เปนอารมณ และแลวก็ไดชื่อวา สุทธวิปสสนายานิก มีวิปสสนาลวน ๆ เปน ยานพาหนะ ชาวพมาวา “แด” แตชาวไทยวา “หนอ” ทวามีคํา ๆ หน่ึงซ่ึงถือวาเปนคําท่ีไมมีอยูในกิริยาอาการน้ันเลย กิริยาอาการน้ัน ๆ มิไดบงช้ี วามีคํานี้อยู เปนการบัญญัติคําที่ไมตรงกับความจริง แตกลับมีคํา ๆ น้ีประกอบกับคํากําหนดทุก ๆ คร้ัง เปนเหตุใหผูปฏิบัติใหมเกิดความฉงนฉงายวา เหตุใดตองมีคํานี้ดวย ไมมีไมไดหรือ น่ันคือคํา วา “หนอ” เม่ือกาํ หนดวาหนอหนอและหนอ เหมือนตดั พอเพอบน ฟงหมน หมอง แตฟ ง ดูดดี มี ที าํ นอง นา จะมองหาทีม่ าพาไปยล คาํ วา “หนอ” ขอ นั้นสาํ คัญหรือ หนอน้นั คืออะไรไฉนฉงน มมี าแตคราไหนในผองชน ยังสบั สนวกวนนาสนใจ “อญญาสิ วต โภ โกณฑฺ ฺโญ” พระพุทโธทรงรชู ดั จงึ ตรสั ไว อุทานเปลงเลง็ แลเพราะแนใ จ ครงั้ แรกใหม ีหนอพอไดยิน “อนิจฺจา วต สงขฺ ารา” ปลงอนจิ จาวาหนอตอทั้งสิน้ โอ...ชีวาของคนเดินบนดิน เกิดดบั สน้ิ เสอ่ื มเหน็ เปน ธรรมดา “อจริ ํ วตยํ กาโย” ชวี ิตโธไมแ นเปล่ียนแปรผวา ตองถกู ถมทับดินสิน้ กายา คร้นั ถูกคราวญิ ญาณตองซานซม ทมี่ าของ “หนอ” พอใจหอื ไมครับ ทุกทานรบั ฟง ไวไมข ืน่ ขม “หนอ” มคี า ทานวาชา งนา ชม “หนอ” ตรอมตรมมบี า งบางเวลา วปิ ส สนาวา “หนอ” อยาทอ แท กําหนดแนย อมเห็นเปนหรรษา มี “หนอ” ตอ ตดิ ไปในชีวา จะนําพาพนทกุ ขพบสุขเอยฯ ดังกลาวมานี้คือท่ีมาของคําวา “หนอ” ดังปรากฏหลักฐานตามคัมภีรทางพระพุทธศาสนา หลายแหง เร่ิมแรกพระพุทธองคทรงทราบวาโกณฑัญญะไดดวงตาเห็นธรรมจึงเปลงอุทานวา “อญญาสิ วต โภ โกณฺฑฺโญ โกณฑัญญะไดรูแลวหนอ” เพื่อใหถูกตองตามพระพุทธดํารัส กรรมฐานสายน้จี งึ นําคําวา “วต” ซงึ่ แปลวา “หนอ” นั้นมาประกอบกบั การกําหนด
29 กลาวถึงตนตํารับของกรรมฐานนี้ ที่ไดกอต้ังเปนสํานักสืบทอดกันมาอยางมั่นคง คือสํานัก สาสนยิตสา ของมหาสี สะยาดอร (โสภณมหาเถระ) ท่ีนครยางกุงแหงประเทศพมา ไดใชคําวา “แด” แปลวา “รู” เขามาพวงทายกับคํากําหนดทุก ๆ คํา เปนตนวา พองแด เพงแด จัวะแด รันแด ชะแด คือพองหนอ ยบุ หนอ ยกหนอ ยา งหนอ เหยยี บหนอน่นั เอง ประวตั คิ วามเปน มานา สนใจ ขอเลาประวัติความเปนมาของกรรมฐานสายนี้โดยสังเขปวามาสูประเทศไทยนี้ไดอยางไร จงึ ไดปฏิบตั กิ ันมาตราบเทาปจ จบุ นั ยอ นหลงั ไปประมาณ ๔๐ กวา ปทผ่ี านมา พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถระ) สังฆมนตรี วาการปกครอง (ตอมาดํารงตําแหนงเปนสมเด็จพระพุฒาจารย) ไดเดินทางไปดูการพระศาสนาท่ี ประเทศพมา เหน็ พระภกิ ษุชาวพมา จาํ นวนมากพากันรา่ํ เรยี นพระปริยตั ธิ รรมกันอยางเปนล่ําเปนสัน และปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานกันอยางเขมขน โดยเฉพาะวิปสสนากรรมฐาน ซ่ึงเปนการปฏิบัติ สอดคลองกับคัมภีรทางพระพุทธศาสนา จึงมีความประสงคจะนํามาเผยแผในประเทศไทย เมื่อ เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแลวก็ไดทําการสงพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีอุปนิสัยทางธรรม คือ พระ มหาโชดก ญาณสทิ ธฺ ิ (ตอมาดํารงสมณศักดิเ์ ปน พระราชาคณะชนั้ ธรรมนามวา พระธรรมธีรราชมหา มุนี) ใหไปปฏิบัติที่สํานักวิปสสนาสาสนยิตสา ณ นครยางกุง โดยมีพระอาจารยภัททันตะ อาสภ เถระ เปนผูสอบอารมณ ใชเวลาประมาณ ๓ เดือน พระมหาโชดก ญาณสิทธิ สามารถผาน กระบวนการปฏิบัติและเรียนวิธีสอบอารมณ (วิชาครู) หลังจากเสร็จภารกิจการปฏิบัติและเรียนรู หลกั การและวธิ กี ารตา ง ๆ แลว ไดอยดู กู จิ การปฏบิ ัตแิ ละเรยี นรูหลักการและวธิ ีการตา ง ๆ แลวไดอยู ดูกิจพระศาสนาในประเทศพมาจนเปนที่พอใจ จึงเดินทางกลับพรอมพระวิปสสนาจารยและพระ อาจารยผูทรงอภิธรรม ๒ รูป คือ พระภัททันตะ อาสภเถระ และพระสัทธัมมโชติกะ ในนามของ พระโสภณมหาเถระ และคณะรัฐบาลอูนุแหงประเทศพมามาสูประเทศไทย ดวยการอาราธนาของ คณะสงฆไ ทยโดย พระพิมลธรรม และ ฯพณฯ สญั ญา ธรรมศกั ด์ิ เมื่อมาอยูเมืองไทย พํานักอยูที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ กรุงเทพมหานคร เร่ิมจะทําการ สอนกรรมฐานสายนี้ พระอาจารยภ ทั ทนั ตะและพระมหาโชดก ก็ปรึกษาหารือกนั วา ภาษาพมา ใชค ํา วา “แด” ประกอบกับคํากําหนดทกุ คํา ภาษาไทยควรใชคําพูดใดจึงจะเหมาะสม เห็นคําวา “หนอ” แปลมาจากคําวา “วต” เปนคําท่ีเหมาะสม จึงตกลงนําคําวา “วต” ซ่ึงแปลวา “หนอ” นั้น มา ประกอบกบั คาํ กาํ หนดทกุ ๆ คํา และไดทําการสอนวิปสสนากรรมฐานต้ังแตกาลน้ันเปนตนมา ดวย การอุปถมั ภของพระพิมลธรรม การวิปส สนาจึงถึงความเจริญรุงเรือง สมเด็จยา พระศรีนครินทราบ รมราชชนนี ไดทรงสดบั ขา ว กเ็ สด็จมาปฏิบตั ิ โดยมีพระมหาโชดก เปน องคพ ระวปิ ส สนาจารย และ เศรษฐีคฤหบดผี มู ฐี านะทางสังคม เชน ทา นผหู ญิงดิษฐการภกั ดี (สายหยุด บณุ ยรัตพันธุ) ก็มาปฏบิ ัติ
30 จนไดเขียนหนังสือเลมหนึ่งออกมา คือ “ปรากฏการณอันนาพิศวงทางจิต” กลาวไดวาในกาลนั้น เปน ยุคทองของกรรมฐานสายนี้ “หนอ” คํานม้ี คี วามหมาย มีพระภิกษุรูปหน่ึงอยูที่วัดมหาธาตุเห็นพระเณรมากหลายท้ังญาติโยมก็ลนหลามมา รวมกลุมปฏิบัตกิ ัน สงสยั วา ปฏิบตั อิ ะไร ครั้นรวู าปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน มีคํากําหนดวา “หนอ” ดวย กร็ สู กึ อดึ อดั กับคําน้ี ใหปฏิบัติก็ไมยอมปฏิบัติ จนตองหนีออกมาจากวัดมหาธาตุไปตางจังหวัด อยูท่ีสํานักแหงหนึ่ง บังเอิญเหลือเกินที่สํานักน้ันก็สอน “หนอ” เหมือนกัน หนีเสือปะจระเข ทํา อยางไรดีจะหนีไปไหน กรรมฐานสายน้ีแผขยายออกมาถึงที่นี่เชียวหรือ ตองมีดีเปนแน อยางไร นา จะลองปฏบิ ัตดิ ู ทา นก็ลงมอื ปฏบิ ัตดิ ว ยความต้ังใจ ปฏิบัติไปจนในท่ีสุดก็เกิดสภาวธรรมเปนท่ีนา พอใจถึงบางออรองออออกมาอยางน้ีนี่เอง จึงมาพูดวา “หนอ” คําน้ีมีราคาเปนแสนเชียวนะ อยา รังเกยี จหนอ อยาติหนอ อยา วาหนอ ทําไปหนอ ใหถ งึ หนอ จะรอ งออถงึ บางออ เองเอย ดังกลา ววา “หนอ” มีรากศพั ทมาจากคาํ วา “วต” ซง่ึ ทา นไดวเิ คราะหร ูปศพั ทไววา “วฏฏสํ สารํ ตาเรตีติ วโต” ธรรมที่ยังหมูสัตวใหพนผานการเวียนวายตายเกิด ช่ือวา วต แปลวา “หนอ” หากผูปฏิบัติใชคําวา “หนอ” ประกอบกับคํากําหนดทุกคํา จะเกิดผลดีทางการปฏิบัติ จนสามารถ ขามพนจากการเวียนวายตายเกิด (พนทุกข) เพราะคําวา “หนอ” เปนคํากลาง ๆ สามารถส่ือ ความหมายไดทุกระดับ ทุกสถานการณและทุกอารมณ ไมวาจะสุข ทุกข เฉย ๆ ดีใจ เสียใจ ก็ กําหนดไดวา สุขหนอ ทกุ ขห นอ เฉยหนอ ดีใจหนอ เสยี ใจหนอ จึงเหมาะท่จี ะนาํ มาประกอบกบั การ ปฏิบัติ และคําวา “หนอ” น้ีเปนคําท่ีไมสื่อความหมายไปในทางกิเลสทั้งฝายราคะและโทสะ ถา สมมติใชคําใหมแทน เชน พองจะ ยุบจะ ก็เอนเอียงไปทางราคะเกิดความยินดีชอบใจ พองโวย ยุบ โวย กโ็ อนไปทางโทสะขัดเคอื งไมช อบใจ ความจําเปนประการตอมาคือ คําไทยเปนคําเดียวโดด ๆ มิใชสองคํา หากใชคําไทยคําเดียว สาํ ทับกับกิริยาอาการของรูป-นามจะไมครบกับอาการน้ัน ๆ เชน พอง ยุบ ยก ยาง เหยียบ แตถามีคํา วา “หนอ” พวงทายเขาไปดวย จะครบกับอาการน้ัน ๆ พอดี เหมือน ๔ สลึงเปน ๑ บาท กําหนด เพียงพอง ยุบ ยก ยาง เหยียบ จะได ๓ สลึง เติมคําวา “หนอ” เขาไป เพ่ิมมีอีก ๑ สลึงเปนหน่ึงบาท ครบพอดี และคําวา “หนอ” จะทําใหสมาธิแนนตัว สวนภาษาอังกฤษใช “ing” แปลวา “กําลัง” เขาไปพวงทายเปน ๒ คําวา Rising Falling Lifting Moving Treading เทากับ คําไทยวา พองหนอ ยุบหนอ ยกหนอ ยางหนอ เหยียบหนอ ครบพอดี จึงไมจําเปนตองเติมคําใดเขา ไป
31 เห็นอยา งไรจึงใชว ปิ ส สนา ตามท่ีกรรมฐานสายน้ี เรียกชื่อวา สุทธวิปสสนายานิก มีวิปสสนาลวน ๆ เปนยานพาหนะ หรือเรียกชือ่ งา ย ๆ ตามท่เี ขาใจกนั วา วปิ ส สนากรรมฐาน ถามวา การปฏิบตั วิ ปิ ส สนากรรมฐานเพอื่ รู เห็นอะไร ตอบวา เพื่อรูแจงอารมณเห็นชัดอาการตาง ๆ ทางกายและใจ ดังบทวิเคราะหท่ีพระอรรถ กถาจารยไดใหความหมายไววา “อนิจฺจาทิวเสน วิวิเธหิ อากาเรหิ ธมฺเม ปสฺสตีติ วิปสฺสนา” การ เห็นธรรมดวยอาการตาง ๆ อยางที่ไมเที่ยงเปนตน ชื่อวา “วิปสสนา” กลาวคือ เห็นอนิจจังสภาพท่ี เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ทุกขัง สภาพท่ีตั้งอยูอยางเดิมไมได และอนัตตา สภาพท่ีหาตัวตนไมได บังคับ ตานทานไวไมอยู มิใชเห็นนรก สวรรค นางฟาเทพธิดา หรือเห็นกายตาง ๆ ดังท่ีสํานักปฏิบัติธรรม บางแหง เห็น การเหน็ ดงั กลา วไมเ ปนทพี่ ึงประสงคของวปิ ส สนากรรมฐาน ตองเห็นความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงแตกดับของรูป-นาม ดวยเหตุปจจัยของการกําหนดที่ไมกด เกร็ง เพง จอง โดยเล่ือน ไหลไปตามกฎเกณฑของธรรมชาติ จึงจะไดช ่ือวา วปิ ส สนากรรมฐาน รวดเรว็ วองไวมิใชว ิปสสนา การทีจ่ ะปฏบิ ตั เิ ห็นปรากฏการณท างกาย เวทนา จติ ธรรม วา แปรเปลี่ยนไปอยางไร มีความ จําเปนอยางหน่ึงที่ผูปฏิบัติจะตองปฏิบัติอยางชา ๆ อยาเร็วรีบ เพราะถาทําเร็ว ๆ จะจับกิริยาอาการ ของรูป-นามที่เคลื่อนท่ีเคล่ือนยายไปไมทัน จึงตองทําใหชาลงเพ่ือจับกิริยาอาการน้ัน ๆ ไดทวงทัน อุปมาเหมือนการขับรถ สมมติวาเราขับรถไปบนทองถนนที่ปลอดจากรถคันอื่น ๆ ว่ิงสวนมา สามารถเรงความเร็วในอัตรา ๑๒๐ – ๑๓๐ ไดอยางสบาย ๆ ขณะนั้นหันไปดูส่ิงรอบขางใกล ๆ พบวาเลื่อนไหลไปโดยเร็ว เห็นไมชัดวาอะไรคืออะไร แตถาขับรถไปชมวิวทิวทัศนจะขับอยางไร จะตองขับใหชาลงเพื่อเห็นวิวทิวทัศนไดอยางชัด ๆ ถามวาขับเร็วเห็นวิวทิวทัศนหรือเปลา ตอบวา เห็นแตไมชัด ฉันใด ในการปฏิบัติก็ฉันน้ัน หากผูปฏิบัติอยูในอาการรีบเรงไมทําชา ๆ จะเห็นกิริยา อาการของรปู -นามไดไ มชัดเจน ดวยเหตุนี้จึงตองทําชาเพ่ือจับกิริยาอาการนั้น ๆ ไดทวงทันและเห็น ปรากฏการณของรูป-นามอยา งชดั เจน อีกทง้ั จะเปน การฝกใหใ จเยน็ ดวย การทําชาเปนเหตุปจจัยหนึ่งซ่ึงมีความสําคัญตอการปฏิบัติ ทวาการทําชาอยางเดียวก็ยังไม เพียงพอ จะตองมีเหตุปจจัยอีกอยางหน่ึงเขามาเปนสวนสําคัญ น่ันคือ การทําตอเน่ือง ผูปฏิบัติตอง ทาํ ความเพยี รอยางตอ เน่ืองเช่อื มโยงกนั ไปไมขาดระยะ หากทําชา และตอเนือ่ งไดจ ะเกดิ ผลดีทางการ ปฏบิ ตั ิ ดูตามธรรมชาตปิ ราศจากการบงั คบั กอนทีจ่ ะเขาสูเนื้อหาสติปฏฐาน ๔ เร่ิมจากกายานุปสสนาสติปฏฐาน ควรมาทําความเขาใจ กับคํา ๆ หนึ่ง ซ่ึงคํา ๆ น้ีจะประกอบกับสติปฏฐานทุก ๆ ฐาน นั่นคือคําวา อนุปสฺสี กลาวคือ กายา
32 นุปสฺสสี เวทนานุปสฺสสี จิตฺตานุปสฺสสี ธมฺมานุปสฺสสี แยกออกมาจะได ๒ คํา คือ กาย+อนุปสฺสี เวทนา+อนปุ สสฺ ี จติ ตฺ +อนุปสสฺ ี ธม+ฺ อนุปสสฺ ี อนุปสฺสี แปลวา “ตามดู” ใหตามดู ตามรู ตามกําหนดกิริยาอาการตาง ๆ ตามสภาพความ จริง การแปลความหมายเชนน้ีกเ็ กิดขอทักทวงไดว า ถาตามดูก็แสดงวาไมท ัน เพราะคอยแตตามดูอยู นนั่ ตองดูใหท ันสิ จะไปตามไดอยา งไร แทจริงคําวา อนุปสฺสี แปลตรงตัวตามภาษามคธจะไดความ วา ดูตาม มิใชตามดู อนุ แปลวา ตาม ปสฺสี แปลวา ดู (ภาษามคธนิยมแปลหลังมาหาหนา ไมนิยม แปลหนาไปหาหลัง) รวมแลวแปลวา ดูตาม คือใหดูตามความจริง ความจริงของรูป-นามจะมี สภาวะอยางไร จะชัดหรือไมชัดก็ตาม ก็ตองดูตามที่ชัดหรือไมชัดอยางนั้น โดยปราศจากการฝน สภาพหรอื บังคบั ใหปรากฏชัดตามความตอ งการของตน เชน ขณะท่ีกําหนดพอง-ยุบ พอง-ยุบไมชัด ก็ดูตามท่ีไมชัด อยาไปฝนหรือบังคับอาการดวยการสูดลมหายใจเขา-ออกแรง ๆ เพื่อใหเห็นอาการ พองยุบชัด จะเปนการฝนสภาวะซ่ึงไมเปนไปตามธรรมชาติ ตองดูตามอาการที่ชัดหรือไมชัดน้ัน เทา ท่มี ที เ่ี ปน อยู นน่ั เองคือความหมายของคําวา อนุปสฺสี อุปมาเหมือนไปดูหนังดูละคร สมมติวาเรา เขาไปดูหนังที่โรงภาพยนตรหรือดูละครทางหนาจอทีวี หนังและละครแตละเร่ืองก็มีพระเอก นางเอก ตัวรอง ตัวราย ตัวริษยา มารวมแสดงในเร่ืองน้ัน ๆ ก็ทําหนาที่ของผูดู คือดูตามตัวละครแต ละตัวที่แสดงบทบาทออกมา พระเอกแสดงแบบนี้ ดูไป นางเอกแสดงแบบน้ี ดูไป ตัวราย ตัวริษยา แสดงแบบน้ี ดูไป ตัวรองแสดงแบบนี้ ก็ดูไป ใหทําหนาท่ีของผูดูตามอยาทําหนาที่ของผูกํากับหรือ ผูแสดง ถาเราไปช้ีบอกวา พระเอกแสดงอยางน้ีไมสมบทบาทเลย ตองแสดงอยางนั้นสิ นางเอก แสดงอยางนี้ไมเหมาะหรอก ตองแสดงอยางน้ันจึงจะเหมาะกวา หรือตัวรายตัวริษยาก็แสดงนา เกลยี ดไป นาจะลดความนา เกลยี ดลงบา ง ถา เราชี้บอกแบบนี้ เทากับไปกํากับการแสดงหรือบงั คบั ตวั ละครใหแสดงตามความตองการของตน หรือไมก็อยากจะแสดงเสียเอง ขอน้ีฉันใด ในการปฏิบัติก็ ฉนั นน้ั การกําหนดดกู ําหนดรูกิริยาอาการตาง ๆ ของรูป-นาม ไมวาทางกาย หรือจิต จะมีลักษณะ ๓ ประการดวยกัน คือ ดี ไมดี และเฉย ๆ บางคร้ังรางกายของเรารูสึกกระปรี้กระเปราสดช่ืน ก็กําหนด ดูตามที่กระปร้ีกระเปราสดชื่น บางครั้งอิดโรยออนลา ก็กําหนดดูตามที่อิดโรยออนลา หรือบางครั้ง เฉย ๆ ก็ตองกําหนดดูตามท่ีเฉย ๆ ทางจิตก็เชนกัน มีดี ไมดี และเฉย ๆ ทางภาษาอภิธรรมเรียกวา กุศลจิต อกุศลจติ และอัพยากตจิต ใหดูตามนั้น บางคร้ังจิตแจมใส ก็กําหนดดูตามที่แจมใส บางครั้ง ขุนมัว ก็กําหนดดูตามท่ีขุนมัว หรือบางคร้ังเฉย ๆ ก็ตองกําหนดดูตามที่เฉย ๆ ดีเปรียบเปนพระเอก นางเอก ไมดีเปรยี บเปนตัวรา ยตวั อจิ ฉา เฉย ๆ เปรยี บเปนตัวรอง ใหด ูตามสภาพความจริงดว ยอาการ นนั้ ๆ โดยไมฝนแตอยา งใด
33 นั่งอยา งไรใหถ กู หลกั วิปส สนา ฐานแรกที่จะตองกําหนดดูคือฐานกาย ชื่อวากายานุปสสนา คือดูตามกาย รางกายอันกวาง ศอกยาววาหนาคืบน้ีควรดูอยางไร ในพระไตรปฎกไดแสดงฐานกายท่ีควรไปทําความเขาใจเปน อันดับแรก คือการนั่ง หรืออิริยาบถน่ัง ดังพระพุทธดํารัสวา “ดูกรภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในพระธรรม วินยั นี้อยูท่โี คนตน ไม ทปี่ า หรอื ท่ีเรอื นวา ง นงั่ คูบัลลังกต ้ังกายตรงดาํ รงสตไิ วเ ฉพาะหนา” แสดงใหเ ห็นวา กิริยาทา นัง่ นั้นจะตอ งนัง่ คบู ลั ลังกต้งั กายใหต รง กลา วคือไมนั่งยืดเงยแหงน หรือกมคุดคู อยูในลักษณะท่ีไมเกร็งเครงตึงหรือหยอนยาน หากผูปฏิบัติน่ังยืดเงยแหงนจะเหนื่อย เม่ือยลา (วิริยะมากเกินไป) ถาน่ังกมคุดคูจะเคล็ดคอเจ็บหลังปวดเอว และเซื่องซึม (วิริยะนอยไป) จึงตองนั่งใหตรง ในอิริยาบถน่ังมี ๓ แบบ คือ ๑. นั่งเรียงขา ๒. น่ังขาขวาทับขาซาย ๓. นั่งขัดสมาธิ เพชร การวางมือใหวางที่เขาทั้ง ๒ ขาง หรือวางที่หนาตัก มือขวาทับมือซาย ในทานั่ง ๓ แบบ แบบ ที่ ๑ เหมาะแกคนอวนขาใหญยกขาขึ้นมาซอนทับกันไดยาก แบบที่ ๒ เหมาะแกคนผอมขาเล็ก ยกข้ึนมาซอนทับกันไดงาย แบบท่ี ๓ เหมาะแกคนมักงวงเหงาหาวนอนหรือออนวิริยะ และการนั่ง ในทาที่ ๑ จะสบายเปดโอกาสใหความงวง (ถีนมิทธะ) เขามาครอบงําไดงาย นั่งทาท่ี ๓ ก็เครงตึง หนักจนเกินไป ในที่น้ีขอแนะนําใหนั่งในทาท่ี ๒ อยางไรก็ตาม ทาน่ังท้ัง ๓ แบบนี้ ก็ข้ึนอยูกับผู ปฏิบัติวา จะเลอื กน่ังทา ใดที่เหมาะแกต นและกาํ หนดอารมณไดส ะดวก ตอมาคือการกําหนด เมื่อนั่งต้ังกายตรงแลว ควรกําหนดอะไรกอน ตามพระพุทธดํารัสวา “กายต้ังอยูดวยอาการใด ๆ ก็รูท่ัวกายดวยอาการนั้น ๆ” แสดงใหเห็นวาจะตองกําหนดการน่ังกอน ซึ่งพระวิปสสนาจารยไดแนะนําไววา “น่ังหนอ” ใหดูเพียงอาการนั่งหรือกิริยาท่ีนั่ง ไมตองเพงนึก หนวงตั้งแตศีรษะจนถึงสะโพกที่ทับกับพ้ืน ตามพระพุทธดํารัสวา “น่ังก็รูวานั่ง” ไมตองเพงรูปน่ัง ถาเพง รปู น่งั จะเปนการเพง สณั ฐานบญั ญตั ิ ใหร ูเพยี งอาการนงั่ ซ่ึงเปนภาพรวมมิไดเจาะจงทีใ่ ดทห่ี นง่ึ กําหนดวา “นั่งหนอ” เทานั้น ตอมาคือที่สะโพกนั่งทับกับถ้ืนตรงที่กนกบหรือกนยอย กําหนดวา “ถกู หนอ” การนงั่ ถกู จงึ เปนฐานแรกทีต่ องกําหนดรู ลมคือชีวิตใหพ ินิจดู ฐานกายที่ ๒ รองลงมาจากการนั่งถูก คือ ลมหายใจ ซึ่งแสดงไวในอานาปานบรรพวา “มี สติรวู าหายใจเขา มสี ติรวู าหายใจออก หายใจเขายาวก็รูวาหายใจเขายาว หายใจออกยาวก็รูวาหายใจ ออกยาว หายใจเขา สน้ั ก็รูว าหายใจเขาสนั้ หายใจออกสน้ั กร็ วู าหายใจออกสัน้ ” ลมถือวาเปนกาย เพราะยังกายสังขารใหดํารงอยู ขาดลมก็ขาดใจไมมีชีวิต ลมเปนชีวิตรูป เริ่มแรกจงึ ใหมาดูลม ในอานาปานบรรพวา ดวยเรอ่ื งลมที่ปรากฏในสติปฏฐานสูตรนเ้ี ปน จตุกกะที่ ๑ ซึง่ เหมือนในอานาปานสตวิ าดวยการกําหนดลมมีอีก ๓ จตุกกะ เปนอานาปานสติ ๑๖ ข้ัน ในวิสุทธิ มรรคไดแสดงจตกุ กะที่ ๑ วาดว ยการกาํ หนดไว ๓ ระดับ ดงั น้ี
34 ๑, คณนา คือนบั ลม หายใจเขานับ ๑ หายใจออกนับ ๒ หายใจเขานับ ๓ หายใจออกนับ ๔ หายใจเขานบั ๕ หายใจออกนบั ๖ จนถงึ ๑๐ จงึ ยอ นกลับมาเริ่มตน นบั ๑ ใหม ๒. อนุพนฺธนา คือตามลม ลมเขายาวก็รูวาเขายาว ลมออกยาวก็รูวาออกยาว ลมเขาสั้นก็รู วาเขาสั้น ลมออกส้ันก็รูวาออกส้ัน เหมือนชางตีเหล็กชักเคร่ืองสูบลมเขาเตาไฟ ชักเขาชักออก เพือ่ ใหเ กดิ ความรอ น ใหดูลักษณะเชน นัน้ ๓. ผุสนา ดูการกระทบของลม ลมมากระทบท่ีปลายจมูก (นาสิกคฺเค) หรือริมฝปากเบื้อง บน ใหดูการกระทบน้ัน ในข้ันที่ ๑-๒ เปนสมถะลวน ๆ สวนข้ันที่ ๓ คือ ผุสนา เปนไดท้ังสมถะ และวิปสสนา หากผูปฏิบัติดูเพียงการกระทบ โดยไมใสใจลมเขาออกและปลายจมูกหรือริมฝปาก เบื้องบนวาเปนอยางไร (ท้ิงบัญญัติ) ดูเพียงอาการท่ีถูกลมกระทบเทาน้ัน กําหนดวา “ถูกหนอ” เรียกวา วาโยโผฏฐัพพรูป คือดกู ารกระทบของลม จดั เปน วปิ สสนากรรมฐานโดยแท ในเบ้ืองแรกจริง ๆ จะใหปฏิบัติแบบนี้ ซ่ึงถือวาเปนวิปสสนาโดยตรง (พอง-ยุบโดยออม) ทวาการปฏิบัติดังกลาวเปนเรื่องท่ีทําไดยาก เพราะอานาปานสติเปนพุทธวิสัยและปจเจกพุทธวิสัย คือเปน วสิ ัยของพระพทุ ธเจาและพระปจ เจกพทุ ธเจา เพราะลมเปน สภาพสขุ ุมละเอียดกําหนดไดยาก เหมือนผาเนื้อเกลี้ยงท่ีตองคอย ๆ รอยดวยเข็มเล็ก ๆ อยางระมัดระวัง จึงไมเหมาะแกคนทั่วไป บาง คนที่ทําตามแนวน้ีก็รูสึกอึดอัดและฟุงซานเพราะจับกําหนดไมได ดวยเหตุนี้เองจึงมีการเลื่อนออก จากการกระทบลงมาสูทองท่ีกําลังพอง ๆ ยุบ ๆ ซึ่งหยาบและกําหนดไดงายกวา โดยใหดูอาการ เคลื่อนไหวท่ีแผนทองซ่ึงมีเหตุปจจัยมาจากลม แทจริงการกําหนดเชนนี้ เรียกวา ดูการเคลื่อนไหว ของวาโยธาตุ จะเรียกวา วาโยโผฏฐัพพรูปเห็นทีจะไมถูก เพราะวาโยโผฏฐัพพรูป คือดูการกระทบ ของลมน้ัน จะตองดูอาการท่ีถูกกระทบมิใชดูการเคล่ือนไหว ใหไปดูตรงทองท่ีถูกลมกระทบ กําหนดวา “ถกู หนอ” ซึ่งจะยากย่ิงกวาการดูที่ปลายจมูกหรือริมฝปากเบ้ืองบน จะกําหนดวา “พอง หนอ-ยบุ หนอ” ไมไ ด การกาํ หนดวา “พองหนอ ยบุ หนอ” คือการดูปฏิกริ ิยาของวาโยธาตุท่เี ปนไป ดวยอาการตาง ๆ มิใชดูการกระทบ กลาวโดยสรุป การกําหนดพอง-ยุบ คือการดูอาการเคล่ือนไหว ของวาโยธาตนุ ่ันเอง การกําหนดอาการพอง-ยุบน้ันจะทําไดงาย สมาธิจะกอตัวไดเร็วและพัฒนาไปสูสภาวะตาง ๆ ทางกายและจิตไดด ี ในปจ จุบนั จงึ นยิ มใหก ําหนดอาการพอง-ยบุ ยบุ -พอง หรอื พอง-ยุบจะสรปุ อยา งไร มีปญหาท่ีนาสงสัยวา กรรมฐานสายนี้ควรเรียกวา พองหนอ-ยุบหนอ หรือยุบหนอ-พอง หนอ โดยสวนมากมักจะเรียกวา ยุบหนอ-พองหนอ คร้ันมาปฏิบัติที่สํานักวิปสสนาวิเวกอาศรมจะ ใหเรียกวา พองหนอ-ยุบหนอ มิใหเรียกวา ยุบหนอ-พองหนอ โดยอธิบายวา เด็กแรกเกิดออกมาจาก ครรภของมารดาใหม ๆ จะหายใจเขากอนจึงจะหายใจออก หายใจเขาทองจะพอง หายใจออกทอง ยบุ ตามปกติถา เราอยใู นหอ งอับทึบอากาศไมถายเทจะรูสึกอึดอัด ออกมาจากหองน้ันก็จะหายใจเขา แรง ๆ กอนระบายลมออก จะถอนหายใจกต็ องสูดลมเขาเต็มปอดกอนแลวปลอยเฮอออกมา หรือจะ
35 ยกของหนัก ๆ ก็ตองสูดลมเขาเต็มปอดกอนจึงยกของหนัก ๆ นั้นข้ึน สวนใหญจะหายใจเขากอน หายใจออก พองจึงมากอนยุบ ซึ่งสอดคลองกับพระไตรปฎกท่ีวาดวยลมหายใจคือ อัสสาสะ ปสสาสะ อสั สาสะ แปลวา หายใจเขา ปสสาสะ แปลวาหายใจออก ดังพระพุทธดํารัสวา “เธอมีสติรู วา หายใจเขา มสี ติรูว า หายใจออก” ดวยเหตุนี้จงึ ใหเ รียกวา พองหนอ-ยบุ หนอ อยา งไรกต็ าม ดงั กลาวมาน้ีเปน เพียงบัญญัติ ลมจะเขา กอนหรือออกกอน เรียกวา พองหนอ- ยุบหนอ หรือ ยุบหนอ-พองหนอ มิใชเร่ืองสําคัญอะไร สําคัญอยูที่การกําหนดรูตามอาการที่ปรากฏ ตา งหาก เพราะบางครัง้ หายใจเขา ทอ งกลับยบุ หายใจออกทอ งกลับพองก็มี พอง-ยุบชดั ที่ใดใหก าํ หนดทนี่ ่นั มีปญหาอีกวา (ปญหาเยอะ) พอง-ยุบควรอยูท่ีใด มีสํานักบางแหงสอนวาอยูเหนือสะดือ ๒ นิ้ว หรืออยูขาง ๆ สะดือ ตรงนั้นแหละใหกําหนดวา พองหนอ-ยุบหนอ แตพระอาจารยใหญภัททัน ตะ อาสภเถระ มีมติวา กําหนดท่ีสะดือ ใหการระบุแนชัดตรงน้ัน โดยกลาววา รางกายอันกวางศอก ยาววาหนาคบื น้ี มจี ุดกึ่งกลางคือสะดอื เปนเขตแดนก้ันกลางระหวางลางกับบน การกําหนดทีสะดือ น้ันเปนการใหจุดแกผูปฏิบัติจะไดรูวาจุดท่ีควรกําหนดอยูที่ใด เทาท่ีอาตมาสอบถามผูปฏิบัติมา ทราบวากําหนดท่ีสะดือไมคอยได ดวยเหตุน้ีอาตมาจึงเห็นวา ไมควรระบุท่ีใดที่หนึ่งเปนการเฉพาะ ที่ใดปรากฏชัดก็กําหนดที่น่ัน หากระบุวาที่สะดือ ผูปฏิบัติจะจดจองท่ีสะดืออยางเดียว ไมยอม กําหนดท่ีอ่ืน หรือพยายามบังคับจับเฉพาะที่สะดือ แทจริงธรรมชาติของลมเมื่อเขาไปแลวจะขยาย ลําตวั ทั่วราง เหมอื นกบั กบหรอื องึ่ อา งพองตัว ในท่นี ้อี าตมาเห็นวา ทวั่ แผนทองนั่นเอง เปนท่ีปรากฏ ชดั ของอาการพอง-ยุบ เพยี งแตท่ีใดปรากฏชัดกก็ าํ หนดท่ีนน่ั ในการกาํ หนดดูอาการพอง-ยุบ ใหดูอยางไร ใหดูเฉพาะอาการที่พอง-ยุบเทานั้น อยาดูลมท่ี เขาไปหรือลมท่ีออกมา เหมือนกับเราดูลูกโปง ไมตองดูวาคนเปาจะเปาลมเขาอยางไร ดูแตลูกโปงที่ พองโตข้นึ มา ถา ปลอ ยลมออก ลกู โปงจะแฟบลงไป กด็ ูแตลูกโปงท่แี ฟบลงไป ไมต อ งดลู มออก ถาไป ดทู ัง้ ๒ อยา ง คืออาการพอง-ยุบและลมเขา-ออก ก็กลายเปนสองอารมณตีกัน สมาธิไมมั่นคงและจะ ฟงุ ซา น สําหรับผูปฏิบัติใหมไมเคยกําหนดอาการพอง-ยุบก็เปนเรื่องยากอยู กําหนดไมได กําหนด ไมทัน เพราะพอง-ยุบไมปรากฏชัด บางคร้ังพระวิปสสนาจารยจะแนะนําใหใชฝามือแตะเบา ๆ ตรงหนาทอง คอยดูอาการกระเพื่อมเคลื่อนไหว ซึ่งเปนวิธีหนึ่งท่ีจะชวยใหกําหนดดูอาการพอง-ยุบ ไดงายข้ึน แทจริงเรื่องนี้ไมตองวิตกกังวลวาจะกําหนดจับอาการพอง-ยุบไมได ยังมีคิดหนอ ไดยิน หนอ ชาหนอ ปวดหนอ และอีกมากมายที่จะตองกําหนดในขณะปฏิบัติ ทวาในเบ้ืองตนจะให กําหนดดูพอง-ยุบกอน หากพอง-ยุบไมปรากฏชัดก็กําหนดวา “น่ังหนอ ถูกหนอ” ไปเร่ือย ๆ ปรากฏชัดขึ้นมาเม่ือใดคอยกําหนดเมื่อนั้น ตามปกติพอง-ยุบจะปรากฏในเบ้ืองตนของการน่ัง
36 หลังจากการเดิน และจะปรากฏชัดมากหากเดินจนเหน่ือยแลวมานั่ง เหมือนเราวิ่งออกกําลังกาย หายใจเขา-ออกแรง ๆ แลวมาน่ังพักเหน่ือย ทั่วท้ังลําตัวจะกระเพื่อมอยางชัดเจน ถาตองการกําหนด ดอู าการพอง-ยุบไดชดั จริง ๆ ใหเ ดินจนเหนอ่ื ยแลวมานั่งกําหนดดู จะรูวาอาการพอง-ยุบชดั เจน และ กําหนดไดไมยากเลย พอง-ยบุ เปลีย่ นไปใสใจใหมากขน้ึ คร้ันผูปฏิบัติกําหนดอาการพอง-ยุบไปเร่ือย ๆ ตอมาอาการพอง-ยุบจะแปรเปลี่ยนไป บางคร้งั พองยาว-ยุบยาว กําหนดวา พองหนอยังไมหมด กําหนดวายุบหนอก็ยังเหลือ ผูปฏิบัติจะตอง กําหนดตามอาการที่พองยาวออกไปวา “พองหนอๆๆ” และยุบยาวลงไปวา “ยุบหนอๆๆ” อยา บังคบั พองยาว-ยบุ ยาวน้นั ใหส้นั ลงเพอ่ื เหมาะกบั คํากําหนดวา “พองหนอ-ยุบหนอ” เพยี งครงั้ เดยี ว ตอมาพอง-ยุบเร่ิมแผวลง ทีแรกก็ชัดเจนดีไมนานนักเร่ิมแผวเบาบางลง ๆ พอง-ยุบ ๆ กําหนดตามอาการท่ีบางเบาน้ันวา “พองหนอ ยุบหนอ ๆ” ถาส้ันนิดเดียวเติมคําวา “หนอ” ไมได ก็กําหนดวา “พอง-ยุบ ๆ” จนกระท่ังพองยุบหายไปไมปรากฏ กําหนดวา “นั่งหนอ ถูกหนอ” ทันที ตอมาพอง-ยุบจะเร็วข้ึน ก็กําหนดแบบเร็ว ๆ วา “พองหน-ยุบหนอ ๆๆ” ถาเติมคําวา “หนอ” ไมทัน ก็กําหนดเพียง “พอง ยุบ ๆๆ ” ถากําหนดเพียงพองยุบไมทัน ก็กําหนดวา “รูหน” แมแตการกําหนดวา รหู นอ ยงั ไมทนั อีก ก็ใหด เู ฉย ๆ ไมต อ งมคี าํ กําหนดพดู ดูตามอาการทเี่ ร็วนนั้ ถา ตามมากไปจะเกิดอาการเกร็งเครยี ดได ตอมา พอง-ยุบจะปรากฏพองขึ้นมา หยุดนิดหนึ่ง ยุบลงไปหยุดนิดหน่ึง นั่นแสดงวา พอง- ยุบเกิดอาการแยกตัวไมติดเน่ืองเปนอันเดียว และสิ้นสุดยุบลงจะมีชองวางอยู ใหกําหนดวา “นั่ง หนอ” ทันที จะไดการกําหนด ๓ ระยะ คือ พองหนอ ยุบหนอ น่ังหนอ ถาชองวางเหลืออีกพอท่ีจะ กําหนดวา “ถูกหนอ” จะไดการกําหนดอีก ๔ ระยะ คือ พองหนอ ยุบหนอ น่ังหนอ ถูกหนอ ประการสําคัญคือการกําหนดวา “น่ังหนอ ถูกหนอ” น้ี จะตองมีชองวาจริง ๆ ถาพองขึ้นมาชั่วครู แตยุบลงไปยาวกวา กําหนดวา พองหนอ ไดครั้งเดียว แตอาการหมด จะไปกําหนดวา “ยุบหนอ น่ัง หนอ” ไมได ตองกําหนดวา “พองหนอ-ยุบหนอ ๆ ” อยาไปกําหนดวา “พองหนอ ยุบหนอ น่ัง หนอ” เปนอันขาด ถาไมมีชองวางในขณะที่ยุบลงไป ยังขืนกําหนดวา “นั่งหนอ” อีก จะไมตรง สภาพความจริง และเปนการฝนสภาวะ คือไปหยุดกลั้นยุบไวมิใหพองเพ่ือเติมคํากําหนดวา “น่ัง หนอ” การเตมิ คํากาํ หนดวา “นั่งหนอ” จะตองตรงกับสภาพความจริง มีชองวางเพียงพอจริง ๆ ยุบ ขาดวับหายไปไมปรากฏเลย น่ันแหละจึงจะกําหนดวา “น่ังหนอ” ได และยังเหลือชองวางอยูอีกก็ กําหนดวา “ถูกหนอ”
37 ถากําหนดอาการพอง-ยุบไดในชวงแรก ๆ (ประมาณ ๕ – ๑๐ นาที) ตอมาพอง-ยุบเริ่มแผว เบาลงและไมปรากฏเลย ก็กําหนดวา “น่ังหนอ ถูกหนอ” เร่ือยไป ไมตองกังวลวา พอง-ยุบไมมา พอง-ยุบไมมีจะทําอยางไร กําหนดไปวา “น่ังหนอ ถูกหนอ” พอง-ยุบจะมาก็มาเอง อยาหายใจเขา- ออกแรง ๆ เพอื่ ใหเห็นอาการพอง-ยุบชัดอยางเด็ดขาด การกําหนดวา “น่ังหนอ ถูกหนอ” น้ีจะใชอยูใน ๒ กรณี คือ ๑. จับอาการพอง-ยุบไมได หรอื พอง-ยุบไมปรากฏ ๒. ผูปฏิบัติเคยฝกสมถะสายพทุ โธมากอ น มีความเคยชินกับการดูลมหายใจ เขา-ออก คร้ันมากําหนดพอง-ยุบก็ตีกัน เดี๋ยวไปหาลมหายใจเขา-ออก เด๋ียวมาหาพอง-ยุบ จะแกไข อยางไร แกด วยการทงิ้ ทง้ั ๒ อารมณ กําหนดเพียง “น่ังหนอ ถูกหนอ” และดูพอง-ยุบเปนคร้ังคราว พอจะข้ึนไปที่ลมหายใจเขา-ออกก็ทิ้งทันที กําหนดน่ังหนอ-ถูกหนอไดสักระยะก็มาดูพอง-ยุบอีก อยางนี้เรื่อยไป จนกวาจะสามารถทิ้งลมหายใจเขา-ออกและกําหนดพอง-ยุบไดโดยไมตีกัน จึงคอย กาํ หนดพองหนอ ยุบหนอ ตอไป ทุกอริ ิยาบถกาํ หนดดอู าการ ฐานกายท่ีจะตองกําหนดดูอีก คือ อิริยาบถ มีอิริยาบถหลัก อิริยาบถรอง หรืออิริยาบถใหญ อิริยาบถยอยอิริยาบถใหญคือ ยืน เดิน น่ัง นอน อิริยาบถยอยคือ เหยียด คู กม เงย เหลียวหนา แล หลัง เปนตน คําวา “อิริยาบถ” แปลวา “เคล่ือนไหว” จะสังเกตไดวา อิริยาบถใหญจะเคลื่อนขยับ ท้ังตัว ยืนก็ตรงทั้งตัว เดินก็สะเทือนทั้งกาย น่ังก็ต้ังทั้งรูป นอนก็เหยียดยาวทั้งราง อิริยาบถใหญจะ เปนอากปั กริ ิยาทีเ่ คลื่อนขยับไปทั้งหมด เชน น่ังจะพลกิ เปลี่ยนก็เคลอื่ นขยบั ท้ังหมด แตอิริยาบถยอย จะเคลือ่ นท่ีเพียงบางสวน เชน เหยียดแขนออกหรือคูแขนเขา จะเคลื่อนเฉพาะชวงแขนเทานั้น นี้คือ ขอแตกตางกัน เมื่อแตกตางกันการกําหนดดูอิริยาบถใหญและยอยก็มีผลแตกตางกัน อิริยาบถใหญ เหมอื นนา้ํ หยดใหญหนอย คอย ๆ รวมตัวกนั แลว หยดตง๋ิ ลงมา ขวายา งหนอ หยดนํ้าติ๋งใหญ ซายยาง หนอ หยดน้ําติ๋งใหญ สวนอิริยาบถยอยเหมือนนํ้าหยดเล็ก ๆ แตถากําหนดถี่จะหยดลงเร็ว เชน คู หนอ ๆ ๆ จะหยดต๋ิง ๆ ๆ ลงมา ไมคอย ๆ รวมตัวกันหยดเหมือนอิริยาบถใหญ ซึ่งอิริยาบถยอยนี้ แหละทานจะเนนมากกวาอิริยาบถใหญ ถึงแมวาจะหยดเล็ก ๆ แตมีความถี่ กิเลสหรือความคิดก็ แทรกเขามาลําบาก สวนอิริยาบถใหญนั้นไมแนนสนิทเทาท่ีควร กิเลสหรือความคิดยังแทรกเขามา ไดอยู กลาวโดยสรุป อิริยาบถใหญใหความมั่นคงแกอิริยาบถยอย อิริยาบถยอยคอยหนุนอิริยาบถ ใหญ อยางไรก็ตาม ผปู ฏบิ ัตจิ ะตอ งปฏิบตั ทิ ุก ๆ อิริยาบถท้ังใหญและยอย ใหเ ก่ยี วเกาะกันไปไม ขาดสาย อยา คดิ วา อริ ิยาบถใหญทําไดดไี มต อ งกําหนดอริ ยิ าบถยอ ยกไ็ ด หรอื อริ ิยาบถยอ ยทานเนน ไมต อ งใสใ จอริ ิยาบถใหญก ไ็ มเปน ไร ผปู ฏิบตั ติ องปฏิบตั ทิ ุก ๆ กิริยาอาการ ไมวาจะเปน ยนื เดิน
38 นั่ง นอน เหยียดคู กมเงย เหลยี วหนา แลหลงั จึงจะไดช่ือวาปฏบิ ตั ิตรงตอฐานกาย คอื กายานปุ สส นาสตปิ ฏ ฐานน่นั เอง สาํ หรับอริ ิยาบถยืน เดิน นอน ขออธิบายวธิ ปี ฏิบตั ิดังตอ ไปน้ี ๑. การยืน ใหย นื ตรงแขนสองขางไขว หลังมือจับกันไว จะใชมือขวาจับมือซาย มือซายจับ มือขวา หรือจับทอนแขนซายขวาก็ไดตามแตสะดวก การใหยืนแขนไขวหลังเพื่อมิใหมือแขนแกวง ไกว และการยืนตรงน้ีจะดูทะมัดทะแมงสงาผาเผย ลมหายใจเขา-ออกสะดวกคลองตัว เมื่อยืนตรง แลวคอก็ตองตรงดวย ไมกมหรือเงยแหงนมองโนนแลนี่ ทอดสายตาไปชั่วแอก คือท้ิงสายตาไปท่ี พื้นตรงหนาประมาณ ๔ ศอก ไมมองออกไปขางหนาไกล ๆ เหลียวซายแลขวาอยู ท่ีสําคัญคือตอง ลืมตามิใชหลับตาเพื่อปองกันการซวนเซลม ถามีหลุมมีบอจะแลเห็น ถาหลับตาเพ่ือจะเกิดอาการ ซวนเซลมได เหมือนคนขับรถ ตาที่มองไปขางหนาเพ่ือปองกันอันตรายตาง ๆ เผ่ือมีรถคันอื่นว่ิงเขา มาชนหรือรถของตนอาจจะไปชนรถของคนอ่ืน จะไดหลบทัน ฉะน้ันจึงใหลืมตาโดยหร่ีตาลงหรือ ลืมตาครึ่งหน่ึง มองดวยอาการสํารวม ในขณะยืนอยูใหสติไปจับที่การยืน มิใหเพงรูปยืนวามี รูปพรรณสณั ฐานอยางไร ยืนกร็ ูวา ยืนเทา น้นั พอ กาํ หนดวา “ยนื หนอ ๆ ๆ” สามครง้ั ๒. การเดิน คอย ๆ เคล่ือนเทาไปขางหนา เทาแรกคือเทาขวา กําหนดอาการเคล่ือนยายไป ในขณะนั้นวา “ขวายา งหนอ” สตจิ ับที่อาการเคล่ือนไหว ไมใหกมดูเทาที่กําลังขวายางหรือซายยาง สติรูมิใชตาดู และการกาวยาง อยายางยาวเกินไป หรือสั้นเกินไป พอดี ๆ ประมาณคืบกวา ๆ หรือ เทาความยาวของชวงเทา อยายกเทาสูงเกินไปหรือต่ําเกินไป การเดินระยะที่หน่ึงจะตางจากการเดิน ตามปกตเิ พยี งเลก็ นอย ที่สําคัญคือใหกําหนดรูแตเพียงอาการเคล่ือนยายเทานั้น อยากมดูเทา ถากมดู เทา จะเหน็ เปนรูปรา งกลายเปน สณั ฐานบญั ญตั ิไป สัณฐานบญั ญตั นิ ั้นจะปกปดปรมัตถ และสําคัญวา นี่เทาของเรา ถาเราเขาใจอยางนี้ ความเห็นวากายของเรา (สักกายทิฏฐิ) จะเขามาแทรกทันที ฉะน้ัน จึงใหเห็นเพยี งอาการเคล่ือนไหวเทาน้ัน ขอ ควรปฏิบัติในขณะที่ยืน-เดิน หากอารมณภายนอกมีความชัดเจน เชน รูปปรากฏชัดหรือ เสียงไดยินชัด ใหกําหนดรูปหรือเสียงน้ันกอน จึงคอยเดินจงกรมตอไป แตถาอารมณภายนอกไม คอยชัด ก็ไมตองใสใจ กําหนดการยืนและอาการเคล่ือนไหวคือขวายาง ซายยางอยางเดียว หรือ ในขณะเดินเกิดความคิดมาชัดเชนกัน ใหหยุดเดินกําหนดความคิดน้ัน เพราะถาไมหยุดยืนกําหนด จะกลายเปนสองอารมณ สมาธิไมม่ันคง สติจับอารมณไดไมดีและฟุงซาน เม่ือยืนกําหนดอารมณ น้ันหายไปจึงคอยเดินจงกรมตามเดิม จนมาถึงระยะทางท่ีกําหนดไว (ประมาณ ๕-๖ เมตร หรือ ตามแตจะกําหนดระยะทางได) จึงใหเทาขวาหรือซายคูกันยืนกําหนดวา “ยืนหนอ ๆ ๆ” สามครั้ง แลวกลบั กําหนดวา “กลับหนอ” กลับก่ีครั้งก็ได ส่ีคร้ังหรือหกคร้ังตามแตสะดวก แตอยาไปนับวา มีเทาไหร หรือมกี ่คี อู ยา งเด็ดขาด การเดนิ จงกรมมอี ยู ๖ ระยะ การเพิม่ ระยะของการเดินใหข ึ้นอยกู ับพระวปิ สสนาจารยท ่ีเห็น วาเหมาะสมเทาน้ัน จะไปเพิ่มระยะเดินเองไมได ไมไดหมายความวา วันหน่ึงเดินระยะที่ ๑ วันสอง
39 เดนิ ระยะที่ ๒ มิไดเพมิ่ ตามรายวัน บางคนอาจจะเดินระยะท่ี ๑-๒ เปนเดือน เปนป ไมแนนอน ท้ังน้ี ขึ้นอยูก บั สภาวธรรมของผูปฏบิ ตั นิ ัน่ เอง เวลามาตรฐานในเบ้ืองแรกของการปฏิบัติคือ เดินและน่ัง ๓๐ นาที สลับสับเปลี่ยนกันไป เดิน ๓๐ นาที น่ัง ๓๐ นาที สว นการเพ่มิ เวลาของการปฏิบัติกใ็ หข้นึ อยกู บั พระวิปส สนาจารยเชน กนั ๓. การนอน ใหน อนตะแคงขวา มใิ หน อนตะแคงซา ย เพราะจะทับหวั ใจ มอื ซายวางเรยี บ ไปตามลําตัว มอื ขวาวางไวท ่ีหมอนขา ง ๆ หากไมถนัด อนโุ ลมใหน อนหงายหรอื นอนในทา ทต่ี น เคยชนิ แตตองกาํ หนดวา “พองหนอ ยบุ หนอ” หรอื “นอนหนอ ๆ” จนกวาจะหลับไป พระธรรมเทศนาในวนั นไ้ี ดแ สดงถึงเรอ่ื งการกาํ หนดดกู าย โดยอธิบายขยายความไวหลาย ประเดน็ หวังวา คงจะเปน ประโยชนแ กผ ปู ฏิบตั ไิ มมากก็นอ ย หากทา นใดเขาไปกําหนดรตู าม สภาวธรรมทางกายน้ี ก็สามารถกาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนัสได ดังพระพุทธดาํ รัสทอี่ าตมาไดยกขนึ้ เปนนกิ เขปบทในเบอื้ งตนวา กาเย กายานุปสฺสี วหิ รติ อาตาป สติมา สมปฺ ชาโน วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมมนสสฺ ฯํ ภิกษุตามดกู ายในกายอยู เพียรพยายามอยางมีสติสัมปชญั ญะ กาํ จัดอภิชฌาและ โทมนสั เสียไดในโลกฯ ดงั แสดงพระธรรมเทศนามาก็สมควรแกเวลา ขอยตุ ลิ งปลงไวแตเ พยี งเทา นี้ เอวํ ก็มีดวย ประการฉะน้ี.
40 กัณฑท ี่ ๔ เวทนานปุ สสนากถา ดังพระพุทธคาถาวา “นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา ไมมีความทุกขที่เสมอดวยขันธ ๕” ทุกคน ตางก็ปรนเปรอขัน ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณน้ี คอยบรรเทาทุกขบํารุงสุขอยูเปน ประจํา ตื่นเชามาก็ตองลางหนาแปรงฟน ทานขาวปลาอาหาร พักผอนหลับนอน ถึงคราวเจ็บไขได ปว ยก็ตอ งเยยี วยา รักษาดแู ล ถามวา ทเ่ี ฝา ดูแลเอาใจใสอ ยอู ยางน้ี รูปนามสงั ขารเคยเต็มบา งหรอื เปลา กตัญูหรือไม ไมเห็นวาจะเต็มสักที ยังปรากฏดวยความเปนสภาพพรองที่ตองเติมสิ่งตาง ๆ เขาไป อยูเสมอ และแลวเมื่อถึงคราวแกก็ตองแก ถึงคราวเจ็บก็ตองเจ็บ ถึงคราวตายก็ตองตาย น้ีหรือคือ ผลตอบแทนของการทะนุถนอม รักษาดูแล ไฉนไยยังยินดีอยูเลา เรามีความทุกขแลวและจะไมเพ่ิม ความทกุ ขใ หแกต วั เราอีก นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสสฺ เวทนาสุ เวทนานปุ สฺสี วิหรติ อาตาป สตมิ า สมปฺ ชาโน วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ นติ ฯ ณ บัดน้ี อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงเวทนานุปสสนากถา วาการ กําหนดดูเวทนา เพ่ือเปนเครื่องเจริญศรัทธา เพ่ิมพูนปญญาบารมี ใหแกทานสาธุชนคนดี โยคีและ โยคินี ทง้ั ทเ่ี ปน คฤหัสถและบรรพชิต อนสุ นธิสบื ตอ จากวันพระท่แี ลว ไดแสดงกายานุปสสนากถา วาดวยการกําหนดกาย ในชวง หน่งึ กลาวถึงเรอ่ื งการทาํ ชาและตอเนือ่ งไว กลา วไดว าการทําชาและตอเน่ืองน้ันเปนสาระสําคัญของ การเจริญวิปสสนากรรมฐาน หากผูใดไมสามารถทําชาและตอเน่ืองได ผูน้ันก็ไมอาจยังสภาวธรรม ใหเกิดข้ึนและไมประสบผลอันพึงประสงคในวิปสสนากรรมฐานอยางแนนอน มีขอที่นาสงสัยวา ทําชา และทาํ ตอเน่อื งนั้นทาํ อยางไร “ชา ” จะชาในระดับไหนจงึ เหมาะสม พระวิปสสนาจารยไ ดส ืบ ท อ ด ม า ว า ใ ห ทํ า ป ร ะ ห น่ึ ง ค น ป ว ย ห นั ก ห รื อ ค น ที่ เ พิ่ ง ถู ก ผ า ตั ด ใหม ๆ มีบาดแผลอยู จะยกมือยกเทาหรือพลิกกายไปซายขวา ก็ตองคอย ๆ ทําอยางระมัดระวัง ทํา เร็วไมไ ด คนท่ปี วยหนักก็ไรเรยี่ วแรงกาํ ลัง คนท่มี บี าดแผลจากการผาตัด ก็เจ็บแผลกลัววาจะไมหาย จึงตองคอย ๆ เคลื่อนตัวชา ๆ การปฏิบัติใหทําดุจดังคนปวยหนักหรือคนท่ีเพิ่งถูกผาตัดน้ัน แตวา ผู
41 มาปฏบิ ัติใหมใหท าํ ชาอยางนัน้ เลยทีเดียวจะทาํ ไดหรือไม ในชว งเรมิ่ แรกก็เปนเรื่องยากอยู ดังน้ันใน เร่ืองความชาจึงตองมีการไตระดับกันไป ไมอาจชาลงในทันทีทันใด ในชวงแรกจะตองเดินจงกรม ระยะที่ ๑ คือ ขวายางหนอ ซายยางหนอ กิริยาอาการของเทาขวาและซายที่เคลื่อนยายไปพรอม ๆ กับคํากําหนดวา “ขวายางหนอ ซายยางหนอ” น่ันเอง เปนระดับของความชาในชวงแรก ซ่ึงจะชา ลวกวา การเดนิ ปกติไมถึงกบั ชามาก ถา ผูใดไปทําชากวานั้นโดยกําหนดวา “ขวา...ยาง...หนอ...” จะ ไมเปนการเดินระยะที่ ๑ กลายเปนการเดินระยะที่ ๓ คือ “ยกหนอ ยางหนอ เหยียบหนอ” เพราะ แยกหรือตัดทอนคํากําหนดออก แทจริงจังหวะจะตองไปพรอมกับคําวา “ขวายางหนอ ซายยาง หนอ” น้ันไมแยกหรือตัดทอนคําใดคําหน่ึงออก ใหเปนคําพูดประโยคเดียวเหมือนไมทอนหนึ่งที่ นําไปใชเลย จึงไดช่ือวาระยะที่ ๑ เมื่อผูปฏิบัติกาวเขาสูระยะท่ี ๒-๓ จึงจะเริ่มชาลง เพราะแยกคํา กําหนดวา “ยกหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ ยางหนอ เหยียบหนอ” แสดงใหเห็นวาการปฏิบัติ วิปสสนากรรมฐานก็มีข้ันตอน (Step) ใหไตไปตามลําดับ การกําหนดอิริยาบถยอยก็เชนกัน ใน เบ้ืองแรก การเหยียดออกหรือคูเขา ก็เหยียดคูประมาณ ๓-๔ คร้ัง เหยียดหนอ ๆ ๆ คูหนอ ๆๆ ไม อาจจะเหยีดคูไดทีละหลาย ๆ ครั้ง คร้ันปฏิบัตินานวันเขามีความเปนไปไดเหมาะสม พระวิปสสนา จารยจึงใหทําชาลงและเพ่ิมความถี่เขาไป เหยียดคูจะชาลงเร่ือย ๆ (๒๕-๓๐ คร้ัง) จนเทียบเทากับ อาการของคนปว ยหนักหรือคนเพงิ่ ถูกผา ตดั ใหมน ้นั จดจออยา งตอเนือ่ งเปน เรอ่ื งสําคัญ ตอมาคือการทําตอเนื่อง เหตุใดจึงตองทําตอเนื่อง เพราะวิปสสนากรรมฐานจะตองเกาะ เก่ียวกับทุกอิริยาบถทุกกิริยาอาการและทุก ๆ อารมณ มิไดเจาะจงเปนการเฉพาะวาตองเดินกับน่ัง เทาน้ัน นอกจากนั้นมิใชวิปสสนากรรมฐาน แทจริงการปฏิบัติมิไดอยูในเฉพาะหองกรรมฐาน เทาน้ัน นอกหองกรรมฐานก็ตองปฏิบัติดวย ในขณะที่ผูปฏิบัติเดินมาสงอารมณหรือมาปฏิบัติที่ ศาลาก็ตองเดินกําหนดมา ขวายางหนอ ซายยางหนอ เห็นก็เห็นหนอ ไดยินเสียงก็ยืนกําหนดไดยิน หนอ และไมไดเลือกเฉพาะอารมณดี ๆ มากําหนด อารมณไมดีไมตองกําหนด หาเปนเชนน้ันไม เพราะองคพระศาสดาทรงสอนการปฏิบัติในทุกสถานท่ี แมแตในหองสุขาก็ยังใหมีสติสัมปชัญญะ (อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม สมฺปชานการี) น้ีเปนขอบงชี้วา ไมมีศาสดาองคใดในโลกท่ีสอนตั้งแตเขาหอง สว มจนถงึ มรรคผลนพิ พานเหมือนดังพระพุทธเจา ดังนั้นผูปฏิบัติจึงตองกําหนดอารมณสกปรกไม สะอาดหมดจดน้ันดวย แมแตอารมณไมดีอารมณเสียก็ตองกําหนด เชน ในขณะที่ผูปฏิบัติเกิดความ หงุดหงิดงุนงานฟุงซานรําคาญใจ จะบอกวาขณะนี้อารมณไมดีไมปฏิบัติดีกวา ก็ไมไดอีก ตอง กําหนดวา “หงุดหงิดหนอ” “ฟุงซานหนอ” “รําคาญหนอ” การปฏิบัติจะตองเกาะเก่ียวกันไปทุก อารมณ กลาวคือ เกียจครานตองปฏิบัติแบบเกียจคราน งวงเหงาหาวนอนเซื่องซึมตองปฏิบัติแบบ งวงเหงาหาวนอนเซ่ืองซึม ฟุงซานตองปฏิบัติแบบฟุงซาน รําคาญตองปฏิบัติแบบรําคาญ เพราะ
42 เกียจครานไดกข็ ยันได งวงเหงาหาวนอนเซ่ืองซึมไดก็สดชื่นกระปรี้กระเปราได ฟุงซานไดก็สงบได รําคาญไดก็หายรําคาญได หากไมยอมปฏิบัติตรงตออารมณฝายลบ เลือกเฉพาะอารมณฝายบวก อยางเดียว ก็ไมสามารถเกาะเกี่ยวการปฏิบัติใหเชื่อมโยงกันไปและไมตอเนื่อง ดังนั้นการปฏิบัติ จะตองปฏิบัติอยางตอเน่ืองใหเปนปฏิกิริยาลูกโซท่ีเกาะเกี่ยวกันไปไมขาดสาย จึงจะไดช่ือวาทํา ตอเนื่อง ภาษาพระทานเรียกวา สาตจฺจกิริยานุโยโค คือการประกอบความเพียรอยางตอเน่ือง กลาว สรุปเปน สาระสําคญั ไวว า การปฏิบัติวปิ ส สนากรรมฐานคือการทาํ ดวยสตอิ ยางจดจอ ตอเนื่อง อน่ึง ในเรื่องการทําตอเนื่อง พระวิปสสนาจารยไดสืบทอดมาวา ใหปฏิบัติเหมือนมือสนิท ชิดกัน อยาหางกางน้ิว การกําหนดตองชิดกันไป เพื่อตัดชองวางมิใหกิเลสเขามาแทรกซอน คือ กําหนดอิริยาบถน้ีแลวกําหนดอิริยาบถนั้น กําหนดอาการนี้แลวกําหนดอาการนั้นตอติดกันไป ถา ปฏิบัตทิ ิ้งชวงหา งไมต อตดิ กนั กิเลสจะไดช องแทรกเขามา ในครัง้ หน่ึงคณุ ยาเจริญ สุวรรณ รองประธานกรรมการมูลนิธิวิเวกอาศรม ไดม าเลา วา “การ ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานนี้ มีเคล็ดลับอยูที่การทําตอเน่ืองเทานั้น เวลาโยมไปสงอารมณแกพระ อาจารย ทานจะเนน อยเู สมอวา “โยมตองทําตอเนือ่ งนะ ตอ งทําใหต ดิ ตอ ไมขาดสาย เหมือนมือที่ชิด กันน่”ี ไปทีไรอาจารยก พ็ ดู อยูอยางนั้น โยมไมพอใจ “อะไร ไปปฏิบัติมาสงอารมณทีไรก็มีแตบอก วา ใหทาํ ตอเนอ่ื ง ๆ ฉันทําธุรกิจไดเงินเปนหม่ืนเปนแสน เหน่ือยก็ยังพักได เบ่ือก็ไปเที่ยวได ไมเห็น ตอ งทาํ ตอ เนื่องถงึ ขนาดนี้เลย” พระอาจารยย ้มิ ตอบวา “โยม น่ยี ิง่ กวาเงินหมน่ื เงินแสนเชียวนะ เปน อริยทรัพย เงินหมื่นเงินแสนนะ ซ้ือเอาไมไดหรอก” โยมไดยินก็อ้ึง “เออ ใชจริง ๆ เงินหม่ืนเงิน แสนซื้อสภาวธรรมไมได ซื้อญาณก็ไมได จะตองมาปฏิบัติเทาน้ัน” และถามาปฏิบัติไมพยายามทํา ตอเน่ือง ก็ไมอาจยังสภาวธรรมใหกอเกิดและไมประสบความสําเร็จในการปฏิบัติธรรมเปนแน ตง้ั แตบดั น้นั เปนตนมา คุณยา เจริญจึงต้งั ใจทําตอ เนอื่ ง จนในท่สี ดุ ก็ไดช ื่อวา ผูประสบความสาํ เรจ็ ใน การปฏิบัตธิ รรมในระดบั หน่ึง สหายทางธรรมมาเยือนอยาเคล่ือนหนี คร้นั ผปู ฏิบัติอยกู ับทกุ กริ ยิ าอาการและทุกอารมณกําหนดดวยสติ อยางจดจอตอเน่ือง สมาธิ รวมตวั กนั มากขน้ึ แลว กจ็ ะเกิดปรากฏการณท างธรรมชาติของรูป-นามอยางหนึ่ง เรียกวา สหายทาง ธรรม ซ่ึงเปน สหายของเราตั้งแตแรกเกดิ น่ันคอื เวทนา ไดแก ความรูสึกเสวยอารมณทางกายและจิต ในเร่ืองของเวทนาน้ันมีปรากฏในหมวดของเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ๕ ประการ ดวยกันคือ ๑. สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อุเบกขาเวทนา ๔. โสมนัส ๕. โทมนัส แบงประเภทออกเปน ๒ คือ เวทนาทางกาย มีสมุฏฐานมาจากกายและเวทนาทางจิต มีสมุฏฐานมาจากจิต ทางกายมีสุขและทุกข ทางจิตมีดีใจ เสียใจและเฉย ๆ ซ่ึงธรรมชาติไดมอบเวทนาเหลานี้มาใหเราตั้งแตแรกเกิด จะบอกวา
43 เวทนามาปรากฏเฉพาะในเวลาปฏิบัติกรรมฐานเทานั้นไมได เพราะเวทนามาพรอมกับการเกิดข้ึน ของรูป-นาม มีสังขารขน้ึ มาคราใด ก็มีเวทนาตามมาคราน้ัน ในทน่ี ้ีจะขออธบิ ายเฉพาะทกุ ขเวทนา มีอาการเจ็บ ปวด มนึ ชา เปนตน ซงึ่ เปนสภาพบบี คั้น ท่ียากจะทน ตามปกตเิ รามกั จะไมเ หน็ ทุกขเวทนาของรปู นามสังขารวามีสภาพเปนอยางไร หรือเห็น ก็ไมใสใจ เพราะการผลัดเปล่ียนอิริยาบถมาคล่ีคลายจึงไมเห็น ในทางธรรมทานกลาววา “อิริยาบถ เปนเคร่ืองปกปดทุกข” นั่งเหน่ือยก็เปล่ียนไปยืน ยืนเหนื่อยก็เปล่ียนไปเดิน เดินเหน่ือยก็กลับมานั่ง นั่งเมื่อยก็พลิกไปพลิกมา เมื่อมีการสับเปล่ียนอยูอยางนี้จึงไมเห็นทุกขเวทนา ครั้นมาปฏิบัติน่ัง กําหนดมิใหพลิกเปล่ียนอิริยาบถ ตองเจอสหายทางธรรมคือทุกขเวทนานี้แนนอน ซึ่งไมอยูท่ีใด อยู ท่ีรูปนามอันสําคัญวาเปนของเราน่ีเอง มิใชของคนอื่น บางคนกลัวทุกขเวทนามากไมอยากเจอ มา เจอเขาก็พูดจาไพเราะวา “ขอบใจนะจะที่มาเยือนฉัน ฉันจะไดกําหนดเธอ” ปรากฏวาทุกขเวทนา น้ันหายไป ดีใจรีบไปเลาใหเพื่อนรวมปฏิบัติฟง “เธอ ถาทุกขเวทนามานี่ พูดจากับเขาดี ๆ นะ เด๋ียว หาย” ญาตโิ ยมกล็ องพดู เพราะ ๆ ดูนะ เผอื่ จะหายบาง ทุกขเวทนามีอยูในทุก ๆ อิริยาบถ ไมเฉพาะอิริยาบถนั่งเทาน้ัน อิริยาบถยืน เดิน ก็มี ทกุ ขเวทนา ในอิรยิ าบถทัง้ ๔ อิริยาบถใดเปนที่สบายคิดวา ไมม ีทกุ ขเวทนา ตองตอบวาอริ ยิ าบถนอน นอนสบายไมมีทุกขเวทนาใชหรือไม ถาวานอนสบายแลวทําไมนอนอยูเฉย ๆ ไมได ทําไมตองพลิก ไปพลิกมา น่ันแสดงวาอิริยาบถนอนยังมีทุกขอยู รางกายจึงหลีกเลี่ยงสับเปลี่ยนดวยตัวของมันเอง ดงั นัน้ อยา ไปหลีกเล่ียงเลย ใหกําหนดรูตามสภาพความจริงจะดีกวา ถาคอยแตละหลบเล่ียงถือวาไม กลา เผชญิ ความจริง และไมมีทางรูแจงธรรมไดเลย หมั่นดูแลรักษาแตว า ไมก ตัญู ดังกลาววา ทุกขมาพรอมกับสังขารต้ังแตแรกเกิด สังขารจึงมีทุกขเปนพื้นฐาน เหมือนโลก น้ีมีความรอนเปนพื้นฐาน ความรอนมาพรอมกับโลกน้ี ที่มีความรูสึกวาเย็นเพราะความรอนลดลง สังขารก็เปนทุกขที่มีความสุขเพราะความทุกขลดลง เพราะการบําบัดทุกขดวยการผลัดเปล่ียน อิริยาบถน่ันเองจึงมีความสุข แทจริงกองสังขารเต็มไปดวยทุกข ดังพระพุทธคาถาวา “นตฺถิ ขนฺธ สมา ทุกฺขา ไมมีทุกขท่ีเสมอดวยขันธ ๕” ทุกคนตางก็ปรนเปรอขันธ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนี้ คอยบรรเทาทุกขบํารุงสุขอยูเปนประจํา ต่ืนเชามาก็ตองลางหนา แปรงฟน ทานขาวปลาอาหาร พักผอนหลับนอน ถึงคราวเจ็บไขไดปวยก็ตองเยียวยารักษาดูแล ถามวา ท่ีเฝาดู แลเอาใจใสอยูอยางนี้ รูปนามสังขารเคยเต็มบางหรือเปลา กตัญูหรือไม ไมเห็นวาจะเต็มสักที ยัง ปรากฏดวยความเปนสภาพพรองที่ตองเติมสิ่งตาง ๆ เขาไปอยูเสมอ และแลวเมื่อถึงคราวแกก็ตอง แก ถงึ คราวเจ็บก็ตองเจ็บ ถงึ คราวตายกต็ องตาย นี้หรอื คอื ผลตอบแทนของการทะนุถนอมรักษาดูแล ไฉนไยยังยนิ ดีอยเู ลา เรามีความทุกขแ ลว และจะไมเพมิ่ ความทุกขใหแกตัวเราอีก มีพระรูปหน่ึงบวช
44 มานาน โยมมาถามวา “ทําไมทานจึงบวชอยูนานไมยอมสึกออกไปมีเมียมีลูกเสียที” ทานตอบวา “โยม ขนั ธ ๕ เปน ทกุ ข ขณะนีอ้ าตมามีอยู ๕ ขันธก็ทุกขจ ะแยอยแู ลว หากไปมภี รรยาก็เพ่ิมมาอีก ๕ ขนั ธ ภรรยามลี กู ก็เพ่มิ มาอกี ๕ ขันธ เปน ๑๕ ขันธ จะตองไปดูแล ไมตองการเพิ่มทุกขใหแกตัวเอง นะ เลยไมสึกออกไป” เปน คาํ ตอบท่เี หน็ แกตวั หรอื เปลา กไ็ มทราบ กลวั ทกุ ขท ําไมในเมอื่ มีแตท ุกข ในคร้ังพุทธกาล มีพระภิกษุณีรูปหนึ่งชื่อวา วชิรา กําลังเพียรเพงเขาสมาธิอยูในท่ีพัก กลางวัน มารตนหน่ึงตองการใหทานสะดุงกลัวออกจากสมาธิ จึงแสรางกลาวเสียงดังวา “สัตวใคร เปนคนสราง คนสรา งอยูท ไ่ี หน สัตวเ กิด ณ ทีใ่ ด และดับ ณ ที่ใด” พระวชิราภิกษุณีคิดใครครวญวา น่ีเปนเสียงของใคร ทราบวาเปนเสียงของมาร จึงไดกลาว ตอบวา “เหตุใดเจาจึงปกใจเช่ือวาเปนสัตวละ ใครจะไปสรางสัตว ไมมีใครที่ไหนสรางสัตวหรอก ดวยการประชุมรวมตัวกันของธาตุทั้ง ๔ จึงสมมติวาเปนสัตว เหมือนรถท่ีประกอบชิ้นสวนตาง ๆ เขา ดวยกัน แลวรวมเรยี กวา รถ แยกชิ้นสวนออกไปก็ไมมีอะไรใหเรียกวารถ” และพระวชิราภิกษุณี ก็กลา วตอบดว ยบทคาถาวา ทุกขฺ เมว หิ สมฺโภติ ทกุ ขฺ ํ ติฏฐติ เวติ จ นาญฺ ตฺร ทุกฺขา สมโฺ ภติ นาฺญตฺร นริ ุชฺฌตฯิ ทกุ ขเ ทานัน้ ท่ีเกิดข้ึน ทกุ ขเ ทานน้ั ทต่ี ัง้ อยู ทุกขเ ทานนั้ ที่ดบั ไป นอกจากทกุ ขแลวไมม อี ะไรเกดิ นอกจากทุกขแ ลว ไมมีอะไรดับฯ สรรพสงิ่ แลมากลว น หลากหลาย ทุกขบเคยกลบั กลาย เกลอ่ื นแท ทนทุกขจวบจนตาย ตราบลว ง ลาแล นา เบอ่ื หนา ยเกินแก เกดิ ข้นึ ทุกขเสมอฯ เราเกดิ มามสี งั ขารคือกองทุกขเ ปนสมบัติ อยาไดก ลวั ทกุ ขเลย ครั้นเจอทกุ ขเวทนาก็อยากลัว เหตใุ ดผปู ฏิบัตเิ จอทุกขเวทนาจึงมีความรูสึกวา ชามาก ปวดมาก นั่งอยูท่ีบานถึงแมจะนั่งซอนขาทับ กันอยกู ็มคี วามรูสึกวา ชาปวดไมมาก เพราะในขณะน้ันมีอารมณอ่ืน ไมรับทุกขเวทนาอยางเดียว จึง มคี วามรูสึกวาไมบ บี ค้ันอะไร ไมค อ ยชาปวดสักเทา ไหร เชน ในขณะนัง่ ดูละคร ก็สนใจแตหนังและ ละคร บางทีดูหนังชุดเปน ๗-๘ มวน ยังนั่งหลังขดหลังแข็งดูกันไดสบาย ๆ ไมเห็นวาจะทุกขรอน
45 คร้ันมาปฏิบัตินั่งไมนานเทาไหรชาปวดขึ้นมาก็โอดครวญแลว ทําไมไมนึกถึงเวลาที่นั่งดูหนังดู ละครกันบาง ทวาท่ีเปนเชนนั้น เพราะในขณะปฏิบัติจะตองรับทุกขเวทนาน้ีเต็ม ๆ เสวยอารมณ เดียว จงึ มีความรสู กึ วา ปวดมาก ทุกขแ รงกลาเกิดจนกําเนิดอรหันต ทกุ ขเวทนาที่เราทา นท้ังหลายเจอนถี้ อื วาเล็กนอย หากเทยี บกับทุกขเวทนาที่พระภิกษใุ น อดตี กาลรูปหนึง่ เจอ เปน ทกุ ขเวทนาท่หี นกั หนาแสนสาหสั จนกลายเปนตํานานเลา ขานกนั มาตราบ เทาปจ จบุ ัน เร่อื งมอี ยวู า ในสมยั ทพี่ ระพุทธศาสนาถงึ ความเจริญรุงเรืองในประเทศศรลี ังกา ครั้งนนั้ มพี ระภกิ ษรุ ูป หน่ึงชื่อ ทปี มลั ละ พรอ มดว ยพระภกิ ษกุ ลมุ ใหญ ทานทปี มลั ละผเู ปนหัวหนา แหง ภกิ ษกุ ลมุ นัน้ มี ความเพยี รมาก มีความอดทนมาก เดินจงกรมไปมาบนแผนหนิ จนเทาบวมเปง ปรแิ ตกเดนิ ไมไ หว ทา นจงึ เดนิ เขา คลานไปมาตวมเตี้ยม ๆ ไมย อมผละออกจากการปฏบิ ัติ ในเวลาพลบคํา่ มนี ายพราน เน้อื คนหนึ่งเขา มาในบรเิ วณนั้น ยามเย็นกาํ ลังมืดสลวั เหน็ คลานตะคุม ๆ อยู นึกวา เปนเนือ้ ก็เลง็ เปา พงุ หอกออกไปทนั ที ฉกึ เขา ไปทีล่ าํ ตวั เตม็ เหนย่ี ว รีบวิ่งเขาไปดู กร็ องอุทานออกมา “ตายแลว ! ไมใ ชเน้ือน่ี พระ ทานมาทาํ อะไรอยูแถวน”้ี ทา นทีปมลั ละตอบวา ”โยมอยา เพิง่ ตกอกตกใจไป ชว ย ดึงหอกออกมาหนอย หาหญามามว นอดุ รูแผลหามเลือดกอ นนะ แลวชวยพยุงอาตมาขน้ึ ไปบนแผน หนิ สงู ๆ น่ัน ท่ลี มพดั เยน็ ๆ นะ” นายพรานเนอื้ รบี ทาํ ตาม ดึงหอกออกมามว นหญา อดุ รูแผล เสร็จ แลว ก็พยุงทานขึ้นไปท่ีแผน หนิ นนั้ ทานทปี มลั ละน่ังกาํ หนดทกุ ขเวทนาทนั ที ความเจบ็ ปวดรุนแรง ก็มสี มาธกิ อ ตวั ข้นึ มาอยางแรงกลา เปน เหตุใหทานบรรลุอรหัตผลในทีน่ ั้น ถาเปนโยมจะวาอยางไร เจอเขาไปแบบนมี้ ีแตจ ะหนั ซายหันขวาเรยี กหาคนมาชว ย อรหนั ตพ กั ไวก อน แตพ ระในกาลกอน ทานมีศรทั ธา ความเพยี ร และความอดทนมาก ยอมมอบกายถวายชวี ติ ไมค าํ นงึ ถึงความตายเลย คดิ ดู วา หอกเสยี บเขาไปดึงออกมาอดึ ดว ยหญาเลอื ดไหลชมุ อยจู ะเปน อยางไร ก็ตองเจบ็ ปวดทกุ ขทรมาน อยางแสนสาหสั เราทานทั้งหลายมานัง่ กาํ หนดอยูน บี้ าดแผลไมมี ไมถ งึ กบั เลอื ดตกยางออกเลย เพียงแคช าก็ราํ คาญ ปวดข้ึนมาก็หาทางเลี่ยงหลบพลิกเปลีย่ นอยากจะใหห ายเสียแลว ทุกขเวทนามคี า อยา เพกิ เฉย เมื่อผปู ฏบิ ัตปิ ระสบทุกขเวทนาก็จะกระสบั กระสา ยเพราะรสู กึ วา บบี คน้ั ครั้นมาสง อารมณ ใหแ กพ ระวิปส สนาจารย ทานกลับบอกวา “ทุกขเวทนานด้ี นี ะ มาเจอขมุ ทรัพยข องวปิ สสนาเขา แลว ใหตัง้ ใจกําหนด” ทกุ ขเวทนาจะเกิดผลดีดงั ตอไปน้ี ๑. ปรากฏชดั บรรดาอารมณหรืออาการทางกาย จิต ธรรม ทุกขเวทนาจะปรากฏชดั กวา อาการอน่ื ๆ พอง-ยบุ บางครง้ั ก็ชดั บา งไมช ัดบา ง คิดกก็ าํ หนดยากไมค อ ยทนั ขวา-ซายบางทีก็เผลอ
46 ไป เพราะสภาวะเหลา นน้ั ยงั ไมชัดพอ แตท กุ ขเวทนาท่ีกอ ตัวตงั้ ขึน้ นีจ้ ะชัดมาก ความชดั ของ ทุกขเวทนาจะเปนขมุ พลงั ใหแกส มาธิ กาํ หนดทนั ทีวา “ปวดหนอ ๆ” สมาธจิ ะกอ ตวั แนน และ พฒั นาไปไดเ รว็ ๒. นวิ รณธรรมสงบลง ในขณะที่ทกุ ขเวทนาปรากฏชดั นน้ั นวิ รณจะตีหา งออกไป กลา วคอื กามฉันทความพงึ พอใจในกามคุณ ๕ (รปู เสียง กล่ิน รส สมั ผัสถูกตอง) จะไมเขา มา พยาบาท ความ อาฆาตมาดรา ยจะจางคลาย ถีนมิทธะ ความโงกงว งหาวนอนจะหา งกาย อุทธจั จกุกกุจจะ ความ ฟุง ซา นรําคาญใจจะสลายตัว วจิ ิกจิ ฉา ความเคลือบแคลงสงสัยกบ็ างเบา ๓. ชว ยกาํ ราบกิเลส จติ ท่ยี งั ไมไ ดรับการฝก อบรมก็เต็มไปดวยกิเลสหยาบกระดาง เวทนาที่ กอตวั ขึน้ แรงกลาจะมาชว ยกาํ ราบเผารนจิตใหออนตวั (มุทุตา) ทกุ ขเวทนาจงึ เปรยี บเปน ไฟมาเผา ผลาญกเิ ลสท่เี กาะกรงั จติ ใหม อดไหม หากเจอทุกเวทนาก็จงรูวา ไดเครอ่ื งมอื เผากิเลสแลว ๔. เปนขุมพลงั ของสมาธิ อาการตา ง ๆ ของรปู -นามจะเกดิ พลังงานขนึ้ มาทกุ คร้งั ทท่ี าํ การ กาํ หนด พองหนอ เกิดพลังงาน ๑ หนว ย ยุบหนอ เกดิ พลังงาน ๑ หนว ย ทวาพอง-ยุบหรืออาการอนื่ ๆ จะปรากฏดว ยความชัดบา งไมช ัดบา ง พลงั งานจากการกําหนดจงึ เกดิ ไมเ ต็มเม็ดเต็มหนว ย แต ทกุ ขเวทนาทป่ี รากฏชัดจะเกดิ พลงั งานเตม็ อตั รา พลังงานจากทกุ ขเวทนานจี้ ะเปน พนื้ ฐานท่ีมนั่ คง ของกรรมฐานและเปนแรงหนนุ ใหเกดิ พฒั นาการทางการปฏิบัติสงู ย่งิ ขนึ้ ไป ทกุ ขเวทนาจึงเปน ขมุ พลังงานใหเกบ็ สะสมสมาธิไดอยา งดียงิ่ ๕. เห็นทุกขโทษ รา งกายอนั กวา งศอกยาววาหนาคืบนี้ ในกาลกอนเราสาํ คัญวา เปนสุข มี ความยินดพี อใจไมเ บื่อหนา ย คร้นั เห็นทกุ ขเวทนาปรากฏดวยสภาพบบี คัน้ ยากทจ่ี ะทนน้ี กาํ หนดดกู ็ รงู า เปนกองทุกขเต็มไปดว ยโทษที่นาอดิ หนาระอาใจ ก็เกิดความเบอื่ หนา ยคลายกาํ หนดั ตองการ ออกไปจากรูปนามสังขารนี้ การเหน็ ทกุ ขโ ทษเชนน้ีจะเปน ปจจยั ขัว้ ตอ สาํ คัญใหเกดิ ความตอ งการ ขามพนสังสารวฏั เขาสูมรรคผลนิพพาน ทั้ง ๕ ประการเหลานี้ เปนผลดีของทกุ ขเวทนา ซึ่งวปิ ส สนากรรมฐานถอื วา เปนขุมทรพั ย และเปนแหลง กําเนดิ พลังงานอยางมหาศาล ถาใครมาปฏิบตั วิ ิปสสนากรรมฐานไมเ กิดทุกขเวทนา หรือไมเ จอทุกขเวทนาเลย ถอื วา เดินไมถูกทาง ทกุ ขเวทนาจึงเปน สภาวะทีพ่ งึ ประสงคข องกรรมฐาน สายนีเ้ ปน ตวั ชวี้ า ผลทางการปฏิบตั ิเกดิ ขึน้ หรือไม และจะพฒั นาไปอยางไร หากผปู ฏิบัติมาเจอ ทุกขเวทนาขอใหท ําความเขา ใจวา ตนไดเ ดนิ มาถูกทางและเกดิ ผลทางการปฏิบตั แิ ลว ทุกขเวทนาคอื ปญหาทแ่ี กตก สวนมากผปู ฏบิ ัตเิ จอทุกขเวทนาก็ตองการใหหาย ขอใหทาํ ความเขา ใจวา ทกุ ขเวทนาน้นั หายแนนอน แตต อ งใชเ วลาพอสมควร ในบรรดาอายขุ องสภาวะทัง้ หมด ทกุ ขเวทนาจะมีอายนุ าน กวา ซ่ึงเราไดพ บแลววา พอง-ยบุ ไมน านกห็ ายไป ความคดิ กแ็ ผล็บเดยี วดับ แตท ุกขเวทนานจี้ ะมีอายุ
47 นานหนอย ปฏบิ ตั ิได ๑ บลั ลงั ก หรอื ๒-๓ บัลลังกกย็ ังไมหาย ตองปฏบิ ตั อิ กี หลายวนั ทกุ ขเวทนาจงึ จะเรม่ิ ลดอายลุ งและจางคลายหายไปในทส่ี ดุ ดงั พระพุทธดาํ รสั วา “ส่ิงใดเกดิ ขึน้ เปนธรรมดา สิง่ น้ัน ทงั้ หมดกด็ บั ไปเปนธรรมดา” สรรพสงิ่ ลวนตกอยูในสภาพธรรมคอื เกิดขน้ึ ตัง้ อยู ดบั ไป ทวา อยาอยากใหหาย เหน็ ทา น บอกวาหายแนก ็อยากจะหายจงึ กําหนดดว ยอารมณน ัน้ ครนั้ ไมห ายก็รูส กึ หงุดหงิด ขอ ปฏิบัตติ อทุกขเวทนามอี ยู ๒ ประการ คอื ๑. อยาอยากเอาชนะ ๒. อยาอยากใหห าย ถา ปฏิบตั ิดวยอารมณท ง้ั ๒ อยา งนี้ ถอื วา มโี ลภะหนว งนําและโทสะจะตามมา มโี ยมคนหนง่ึ มาสง อารมณแ กพ ระวปิ ส สนาจารยเ ลาวา “ฉนั กาํ หนดทกุ ขเวทนาตามคาํ แนะนําของพระอาจารยน นั่ แหละ คอื ไมอ ยากเอาชนะและไมอ ยากใหห าย กําหนดไปตงั้ หลายบลั ลังกแ นะ ทาํ ไมไมหายสักทลี ะ พระอาจารย” ทาํ ไมไมหายโผลมาตอนทา ยจนได แสดงวายงั อยากอยู ขอใหทาํ หนา ทก่ี าํ หนดไป เร่อื ย ๆ ในไมช าทุกขเวทนาจะบางจางคลายเอง ไมม ีสง่ิ ใดอยคู ฟู า ได มเี กิดกม็ ดี ับ มที กุ ขก็มสี ขุ เปน ของคูกันเสมอ ทกุ ขเวทนานเ้ี รียกวาตน รา ยปลายดี เปน ละครเรื่องท่อี อกจะรันทดระทมทุกขใ นชว งตน ๆ ขอใหท นตดิ ตามดตู อไป ในชวงทายรับรองวา Happy ending มีความสุขสมหวังหลังจาก หมดทกุ ขเวทนาแนน อน และเราจะตองหันมาขอบใจสหายทางธรรมนี้ทมี่ าเยือนใหไ ดฝก ความ อดทนอดกลน้ั ไดก าํ หนดรสู ภาพธรรม ในท่สี ดุ ทุกขเวทนาก็นาํ พาเขา ไปสูอีกสภาวะหนง่ึ ซึ่งไมเ คย สัมผัสมากอ นในชวี ติ ดว ยเหตนุ ้เี อง พระวปิ ส สนาจารยจ งึ ใหค าํ แนะนาํ วา อยา พลกิ เปล่ียนอริ ิยาบถ เพราะเราน่ัง ตามเวลาท่กี ําหนดไว ๓๐-๖๐ นาที ครบเวลาแลว ก็ตอ งกาํ หนดออกจากสมาธอิ ยดู ี ถารีบไปพลิก เปลย่ี นเสียกอ น ทกุ ขเวทนาทีก่ าํ ลงั กอ ตัวไดทจ่ี ะคลายตวั ไป และไมพ บสภาพธรรมท่แี ทจริง ความ จรงิ ทุกขเวทนาตกอยใู นสภาพอนัตตาคอื บงั คบั บัญชาไมได ไมไดขออนญุ าตเลยวา “ขอเวลาสกั ๕ นาทีนะ ปวดหนอ ย” จะมาเมอื่ ไหรก ็ไมรู จะไปเม่ือไหรก็ไมท ราบ เกดิ เองดับเอง มาเองไปเอง แลว เราจะไปวิตกทําไม อยาเกรงกลวั เตรยี มตวั ปฏิบตั ิการ กลา วถึงวธิ ีการกําหนดทกุ ขเวทนา มวี ธิ กี ารกําหนดอยา งไร พระวปิ ส สนาจารยไ ดใ ห คําแนะนาํ ในเชงิ ปฏบิ ตั ิการไววา ๑. ปฏิบตั ิการแบบขุนพลประจญั บาน ขนุ พลประจัญจานทีอ่ อกไปรบ เจอขา ศกึ แลว กไ็ ม หลบเลีย่ งเลย ยงิ กราดรวั เปรยี้ ง ๆ ใครดใี ครอยูสูกันชนดิ ตาตอตาฟนตอ ฟน ตายกนั ไปขา งหนง่ึ การ กําหนดทุกขเวทนาก็ดงั น้นั คอื กาํ หนดอยา งไมล ดราวาศอกไมใ หคลาดสายตาแบบซึง่ หนาชนกันจะ ๆ อยา งถนดั ถน่ี ปะทะกันจัง ๆ ไมย ั้งมอื กําหนดอาการปวดอยางหนกั เนนวา “ปวดหนอ ๆ ๆ”
48 ๒. ปฏิบัติการแบบกองโจร หนวยลาดตระเวนออกไปสํารวจพื้นท่ี พบขาศึกศัตรูก็แอบซุม เหมือนกองโจร คอยดูลาดเลายังไมเขาไปโจมตีในทันทีทันใด แนใจแลวจึงเรียกกองกําลังหนุนบุก เขาไปโจมตี เขาไปโจมตีแลวเห็นทาไมดีก็ถอยฉากออกมาหลบซุมหาทางเขาบุกโจมตีใหม สูบาง ถอยบาง การกําหนดทุกขเวทนาก็ดังนั้น คือกําหนดบาง ถอยบาง ออกมาดูบาง กําหนดหาง ๆ แบบ ทงิ้ ระยะวา “ปวดหนอ...ปวดหนอ...” แตว าคอยดูอยู ไมเ บย่ี งเบนความสนใจไปท่อี ่นื ๓. ปฏบิ ตั กิ ารแบบคมุ เชิง นกั กฬี าลงสสู นาม จะมีโคชอยูน อกสนามคอยดูคมุ เกมการเลน ของนักกฬี า ไมเขา ไปรว มแขง ขนั ดว ย การกาํ หนดทกุ ขเวทนากด็ ังน้ัน จะไมเ ขา ไปคลกุ วงในกบั ทกุ ขเวทนา อยวู งนอกคอยดวู า จะเปน อยางไร จะปวดขนาดไหน ไมก ําหนดคําวา “ปวดหนอ ๆ” สําทบั เขาไป เพียงแตด ตู ามอาการปวดทก่ี อตัวขน้ึ มาเทา นน้ั ท้งั ๓ ประการนี้ ใหเลอื กใชต ามแตกรณพี อเหมาะแกความหนักเบาของทกุ ขเวทนา ถา ทกุ ขเวทนามาเบาแบบบาง ๆ ก็กําหนดแบบขุนพลประจัญบาน ถา ทกุ ขเวทนามาแรงพอทนไหวก็ กําหนดแบบกองโจร ถา ทุกขเวทนา กลา มาอยา งหนกั หนว ง ทนไมไ หว กก็ ําหนดแบบคมุ เชิง ไมม ีเราเฝามองกต็ อ งเฉย เหตใุ ดการปฏบิ ัติตอ ทุกขเวทนา ความรสู กึ ของผูป ฏิบัติจงึ ไมอ าจกําหนดไดอ ยา งเฉย ๆ หรือ วางใจเปนกลาง ๆ วา ทุกขเวทนาเปนเพียงอาการเจบ็ ปวดมนึ ชา เพยี งสกั แตว า เทา น้นั ในทาง กลบั กันกก็ ลัวจะเปนอนั ตรายตอ สขุ ภาพ บางคนคดิ ไปวา เปน การทรมานตน (อตตฺ กลิ มถานุโยค) จึง ไมก ลา นง่ั ตามเวลาทกี่ าํ หนด รีบพลิกเปล่ยี น หรอื ทกุ ขเวทนาแรงกลา เกิดข้นึ กไ็ มอดทนกําหนด ในขอนม้ี อี ุปมาเปรียบเทยี บไวว า สมมตวิ าเราขบั รถไปเจอคนถูกรถชนนอนตายอยขู างถนน คนท่นี อนตายนัน้ ไมใ ชญ าตพิ น่ี อ งของเรา จะรูสึกอยา งไร กร็ ูส กึ เฉย ๆ ผานไปไมเกบ็ มาเปน อารมณ แตถ า คนทีน่ อนตายนน้ั เปนญาตพิ ่ีนองของเรา เปนพอแมห รือลกู หลาน จะรสู กึ อยา งไร กร็ ูสกึ เฉย ๆ ผา นไปไมเกบ็ มาเปน อารมณ แตถาคนที่นอนตายนน้ั เปน ญาติพ่ีนอ งของเรา เปนพอ แมห รอื ลกู หลาน จะรสู ึกอยา งไร กร็ ูสึกเศรา โศกเสยี ใจรอ งหม รอ งไหเ พราะอะไร เพราะมคี วามรูสึกวา ของ เราหรอื ไมใชข องเรานน่ั เอง ทกุ ขเวทนาทผ่ี ปู ฏบิ ตั ิเจอกเ็ หมอื นกนั มีความรสู กึ วาปวดมากจนถงึ กับกระสับกระสาย เพราะพว งคําวา “เรา” เขาไปดว ย เขาใจวา เราเจบ็ สาํ คญั วาเราปวด จงึ เปนหว งตัวกลัวจะเปน โนน เปน นี่ ทนกาํ หนดดไู มไ ด แตถา ทําความเขาใจวา ทุกขเวทนามิใชของเราเปนเพยี งอาการปวด เปน เพียงปรากฏการณของรปู -นามอยา งหน่ึง ก็สามารถกําหนดทุกขเวทนาน้ันไดอ ยา งสบาย ๆ ไมบ บี คน้ั อะไร เหมอื นไปเจอคนนอนตายทไี่ มใชญ าติพนี่ อ งของเรากร็ สู ึกธรรมดาเฉย ๆ ฉะน้ัน
49 หากหนั มาพิจารณาถงึ เร่ืองเหตุปจจยั กพ็ บวา ทกุ ขเวทนาทกี่ อตัวขนึ้ มานนั้ เน่อื งดว ยการ รวมตวั ของสมาธิ เปนผลเกิดขน้ึ จากการปฏิบตั ซิ ึ่งบา ยออกมาจากฐานกายเขา สูฐานเวทนา การ ปฏบิ ตั กิ ําลงั แสดงผลทางเวทนาใหป รากฏเหน็ หากละเลยเสยี ก็เทากบั ปฏิเสธผลของการปฏบิ ัติ อน่ึง ในขณะท่ีกําลงั กาํ หนดทุกขเวทนาอยนู ัน้ ถา ใจเริ่มอดึ อดั ระอาหรอื หงุดหงดิ รําคาญกับ อาการเจ็บปวด ไมอาจวางใจเปน กลาง ๆ ได ผปู ฏิบตั ิตอ งกาํ หนดความรูสกึ นน้ั ดว ยวา “อดึ อัดหนอ หงดุ หงดิ หนอ รําคาญหนอ” เพราะนั่นคือเวทนาทางจติ มีสมุฏฐานมาจากจติ หรือเรียกวา โทมนัส เม่ือผูป ฏบิ ัตไิ มละเลยทอดทงิ้ ทกุ ขเวทนา มีความเพยี รพยายามและอดทนกําหนดไปเร่อื ย ๆ กจ็ ะผานทกุ ขเวทนานนั้ ไปในทสี่ ดุ ทวา ปจ จัยสาํ คัญของการผานดา นทกุ ขเวทนา คอื การทําตอ เน่ือง มิใหก รรมฐานรว่ั ถาผปู ฏิบตั ไิ มท ําตอ เนอ่ื ง ปลอ ยใหกรรมฐานร่วั ดว ยการไปพูดคยุ สนทนา ละทงิ้ การกําหนด ทกุ ขเวทนาจะวนเวยี นไปมาขน้ึ ลงอยูอยา งนน้ั ปฏบิ ัตไิ ปนกึ วาหายแลว กก็ ลบั มาอกี ถา ตอ งการผานดา นทุกขเวทนาตอ งทาํ ตอ เนือ่ งและอยาปลอยใหก รรมฐานร่วั พระธรรมเทศนาในวันนไ้ี ดแ สดงถึงเนื้อหาสาระของเวทนาและการกาํ หนดดว ยวิธกี ารตา ง ๆ ไวห ลายประเด็น โดยอาศยั นัยทป่ี รากฏในพระไตรปฎกและการสืบทอดของพระวิปส สนาจารย มาอธิบายขยายความตอ หากทานใดเขา ไปกาํ หนดรูต ามปรากฏการณของเวทนาน้ี ก็สามารถกําจดั อภชิ ฌาและโทมนสั ได ดังพระพุทธดาํ รสั ทีอ่ าตมาไดย กข้นึ เปน นิกเขปบทในเบ้อื งตน วา เวทนาสุ เวทนานุปสสฺ ี วหิ รติ อาตาป สตมิ า สมฺปชาโน วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโท มนสฺสํฯ ภิกษุดูตามเวทนาในเวทนาอยู เพียรพยายามอยางมีสติสัมปชัญญะ กําจัดอภิชฌาและ โทมนสั เสียไดใ นโลกฯ ดงั แสดงพระธรรมเทศนามาก็สมควรแกก าลเวลา ขอยตุ ิลงปลงไวแตเ พยี งเทา นี้ เอวํ กม็ ดี วย ประการฉะนี.้
50 กัณฑท่ี ๕ จิตตานปุ ส สนากถา จิตของคนเรานั้นเปน ทหี่ มักหมมกเิ ลสสะสมมาเปนเวลายายนาน ไมเฉพาะเพยี งชาตนิ ้ี เทา นน้ั นานแสนนานไมร ูกภี่ พก่ชี าติ เกิดมาแลว ไมม ใี ครสอนใหโ ลภมันก็โลภเปน ไมมใี ครสอน ใหโ กรธมนั กโ็ กรธเปน ไมมใี ครสอนใหห ลงมนั กห็ ลงเปน เม่ือมาปฏิบัตกิ เ็ ปน เรื่องยากทเี ดียวทจ่ี ะ ขับไลใหออกไป เพราะเทา กบั ไลเ จาท่ี สมมติวาเราไปอาศัยอยูทีแ่ หง หน่งึ ซงึ่ มเี จา ถน่ิ อยปู ระจาํ มา กอน ตองการใหเจาถ่นิ ออกไปจากพนื้ ท่นี น้ั เขาจะยอมออกไปงา ย ๆ หรือเปลา ยงิ่ ถาเจาถิ่นเปนคนมี อทิ ธิพลครอบครองมาเปนเวลานาน ก็เปนเร่อื งยากมาก ดจุ เดยี วกนั เจาที่ ๆ อยูประจําขนั ธสนั ดานนี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ซ่งึ ครอบครองมาเปนเวลานานแสนนาน ไมเ ฉพาะเพยี งชาตนิ ี้ ไมรูกภี่ พกี่ ชาติท่ีผา นมา จะไลออกไปมใิ ชเรอ่ื งงายเลย เปนเรอ่ื งยากจริง ๆ แตย ากน่ีทําไดห รอื เปลา ยากยงั ทํา ไดอ ยู ทาํ ไดแตยาก มใิ ชย ากแลว ทาํ ไมได. นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สสฺ จติ ฺเต จิตตานุปสสฺ ี วหิ รติ อาตาป สตมิ า สมฺปชาโน วิเนยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสฺสนติ ฯ ณ บัดน้ี อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงจิตตานุปสสนากถา วาการ กําหนดดูจิต เพอ่ื เปน เคร่ืองเจริญศรัทธา เพิ่มพูนปญญาบารมี ใหแกทานสาธุชนคนดี โยคีและโยคินี ทงั้ ท่เี ปน คฤหัสถและบรรพชติ มพี ระคาถาบทหนงึ่ แสดงถงึ เร่ืองจติ ไวว า ผนทนํ จปลํ จติ ฺตํ ทรุ กขฺ ํ ทนุ นฺ วิ ารยํ จิตตฺ สฺส ทมโถ สาธุ จติ ตฺ ํ ทนฺตํ สุขาวหฯํ จิตมีธรรมชาตดิ ้ินรนสบั สนซดั สา ย รกั ษายาก คุมครองยากหามไดยาก การฝก จติ นั้นเปนเร่ืองดี เพราะจิตท่ีฝก ดีแลว นําความสุขมาใหฯ คนจะดไี ดเพราะฝกและศึกษา กายวาจาตอ งอบรมบมนิสัย ตอ งฝกจิตใหแ นน หนกั เปนหลักชยั ชนะภยั สารพดั สวสั ดฯี
Search