การสรางเสรมิ สุขภาพชอ งปาก ประตู...สูส ุขภาพท่ีดใี นทกุ ชว งวยั ของชีวิต ทีป่ รึกษา ทพ.สุธา เจียรมณีโชติชยั ทพญ.จนั ทนา อ้ึงชูศกั ด์ิ ทพ.คณิศร พากเพียร ทพญ.สณุ ี วงศค งคาเทพ คุปพทิ ยานนั ท บรรณาธิการ ศรวี ิรยิ กลุ ทพญ. เมธนิ ี ทพญ.สพุ รรณี พมิ พค ร้ังที่ 1 : ธนั วาคม 2555 จำนวน : 1,000 เลม โรงพิมพ : สำนักงาน กจิ การโรงพมิ พอ งคการสงเคราะหท หารผา นศกึ
คำน ำ หนังสือเล่มน้ีจัดทำข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์ ใช้เป็นคู่มือประกอบการสอน และเป็น เอกสารประกอบการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับนักศึกษาหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันสูงสาธารณสุขศาสตร์ (ทันตสาธารณสุข) รวมท้ังใช้เป็นคู่มือสำหรับการเรียนรู้ด้านการ สร้างเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับพยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และทันตาภิบาล ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทั้งน้ีเพ่ือให้นักศึกษาและผู้ปฏิบัติงานในทีม สุขภาพมีความรู้ และตระหนักถึงการทำงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากที่จะต้อง ดำเนินการไปพร้อมกับงานสร้างเสริมสุขภาพอ่ืนๆ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพท่ีสมบูรณ์ แข็งแรง และมีคุณภาพชีวติ ที่ดีในทุกช่วงวัยของชีวิต เนื้อหาของหนังสือประกอบด้วยความรู้พ้ืนฐานด้านสุขภาพช่องปาก โรคใน ช่องปากท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนซึ่งพบได้ในทุกช่วงวัย รวมถึงหลักวิธีการที่ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก โดยเน้ือหา ส่วนแรกเป็นความรู้พ้ืนฐานด้านชีววิทยาช่องปาก ได้แก่เรื่อง รู้จักช่องปาก โรคและ การป้องกันโรคในช่องปากที่พบบ่อย และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ท่ีใช้ดูแลสุขภาพ ช่องปาก ส่วนที่สองเป็นรายละเอียดสภาพปัญหา วิธีการที่ใช้สร้างเสริมสุขภาพ และป้องกัน โรคในช่องปากของประชากรกลุ่มวัยต่างๆ และประชากรกลุ่มพิเศษ เช่น ผู้พิการ ซ่ึงแต่ละ กล่มุ จะมลี กั ษณะ และบรบิ ทของปญั หาที่แตกตา่ งกัน ต้องจดั การใหเ้ หมาะสมตามกลมุ่ วัยและ ลกั ษณะพิเศษน้ันๆ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย หวังว่าเอกสารชุดน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อ การเรียนการสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต และ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูงสาธารณสุขศาสตร์ (ทันตสาธารณสุข) รวมท้ังเป็น ประโยชน์ต่อทีมสุขภาพในการเรียนรู้เพ่ือนำไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานสร้างเสริม สุขภาพอย่างเป็นองค์รวม เพ่ือบรรลุเป้าหมายประชาชนไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตท่ีดี ตลอดทุกช่วงวัย หากทา่ นมขี อ้ เสนอแนะ สำนกั ทันตสาธารณสุข กรมอนามยั ขอน้อมรับด้วย ความขอบคุณ และจะไดน้ ำไปปรบั ปรงุ ในโอกาสตอ่ ไป ขอขอบคณุ ผู้เรียบเรียง ผเู้ อ้อื เฟ้ือภาพ และบรรณาธิการที่รว่ มกนั จดั ทำเอกสารชดุ นี้
สารบญั หน้า 1-4 5 รู้จกั ช่องปาก 6-7 ● ฟัน โครงสรา้ งของฟัน และการขึ้นของฟันในชอ่ งปาก 8 ● หนา้ ท่ี และรปู ร่างลกั ษณะของฟัน 9 ● รหสั ชื่อ และด้านต่าง ๆ ของฟัน 10 ● อวัยวะปริทนั ต์ 10-12 ● ผลกระทบจากปัญหาสุขภาพชอ่ งปาก และการสูญเสียฟัน 12-13 โรคในช่องปากท่พี บบ่อย 13-15 ● โรคฟันผ ุ 15 ■ สาเหตุ กลไก และปัจจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเกดิ โรคฟันผ ุ 15-18 ■ การปอ้ งกนั โรคฟันผ ุ 18 ■ การวินิจฉยั และแนวทางการดูแลรักษาโรคฟนั ผุ 18-19 ● โรคปรทิ นั ต ์ 19 19 ■ ประเภท สาเหตุ และปจั จยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับโรคปริทนั ต ์ 19-21 ■ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งโรคปรทิ ันต์ กับ โรคทางระบบ 22-23 24-27 ■ การป้องกนั การวินิจฉัย และแนวทางการดแู ลรกั ษาโรคปรทิ นั ต์ 27 ● ปญั หาสขุ ภาพช่องปาก อืน่ ๆ 28-30 ■ อบุ ตั ิเหตกุ บั ฟนั 30-32 ■ กล่ินปาก 32 การสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกนั โรคในชอ่ งปาก 33 ● พฤติกรรมการบริโภคอาหารทีม่ ีประโยชน์ 33-34 ● การดแู ลอนามัยชอ่ งปาก 35-36 ● การตรวจและเฝา้ ระวงั สุขภาพช่องปาก 36 ผลิตภณั ฑด์ แู ลสุขภาพชอ่ งปาก 36-37 ● แปรงสีฟนั และยาสีฟัน 38 ● อุปกรณท์ ำความสะอาดซอกฟัน อปุ กรณ์ทำความสะอาดล้ิน ● เครอ่ื งฉดี นำ้ ทำความสะอาดชอ่ งปาก ● ผลติ ภณั ฑท์ ำความสะอาดฟันปลอม ● น้ำยาบว้ นปาก การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปากหญิงตง้ั ครรภ์ ● ปัญหาสขุ ภาพช่องปาก ผลกระทบต่อการตงั้ ครรภ์ และการคลอด ● ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสุขภาพช่องปากแม่ กบั สขุ ภาพช่องปากลูก ● การสรา้ งเสริมสุขภาพช่องปากช่วงการตง้ั ครรภ์ และชว่ งการเลีย้ งดบู ตุ ร ● การบูรณาการงานสรา้ งเสรมิ สุขภาพช่องปากในคลนิ ิคฝากครรภ์
หน้า การสร้างเสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากเดก็ ปฐมวยั 39-40 ● ความสำคญั ของฟนั นำ้ นม ผลกระทบของโรคฟันนำ้ นมผตุ อ่ สขุ ภาพเด็ก 40-41 ● สาเหตุ และลกั ษณะของโรคฟันผุในเดก็ เล็ก 41 ● การสรา้ งเสริมสขุ ภาพชอ่ งปากเดก็ ปฐมวัย และการป้องกนั ปญั หาฟนั นำ้ นมผุ 41-43 ■ การจัดอาหารและโภชนาการใหเ้ ดก็ 44-45 45 ■ การดแู ลความสะอาดช่องปากเด็ก 46-48 ■ การตรวจสขุ ภาพชอ่ งปากเด็ก และการพาเด็กไปรบั บริการทนั ตกรรม 48 ■ การพัฒนาพฤตกิ รรมสขุ ภาพเดก็ 49 ● ระบบบรกิ ารสุขภาพชอ่ งปากเด็กปฐมวยั 50 การสรา้ งเสรมิ สุขภาพช่องปากเดก็ วยั เรียนและเยาวชน 50-51 ● ปญั หาสขุ ภาพชอ่ งปากของเด็กวยั เรียนและเยาวชน 52 ● สร้างเสริมสขุ ภาพ และปอ้ งกนั โรคในชอ่ งปาก เดก็ วยั เรยี น และเยาวชน 53 ■ การแปรงฟัน 53 ■ การตรวจฟันดว้ ยตนเอง 54-56 ■ การบริโภคอาหารและการควบคมุ การบรโิ ภค 56 ● กจิ กรรมส่งเสริมสขุ ภาพชอ่ งปากในโรงเรียนสง่ เสรมิ สขุ ภาพ 57 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพช่องปากประชากรวัยทำงาน 58-59 ● ผลของการสบู บุหร่ี และดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ ตอ่ สขุ ภาพช่องปาก 60 ● ความสมั พันธร์ ะหวา่ งโรคในช่องปาก กับ โรคทางระบบ 61-66 ■ โรคปรทิ ันต์ กับ โรคเบาหวาน 66 ■ โรคปริทนั ต์ กับ โรคผนังหลอดเลือดแดงหนาตัว 67-69 ■ แนวทางการดำเนินงานสร้างเสรมิ สุขภาพช่องปากประชากรกลุ่มวัยทำงาน 69 การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากผูส้ ูงอาย ุ 69-72 ● ปัญหาสุขภาพชอ่ งปาก และปัจจัยที่มีผลตอ่ ความผิดปกติในช่องปากผู้สูงอายุ 72 ● การดแู ลสขุ ภาพ และสขุ ภาพช่องปากของผู้สูงอายุ 73-75 ■ การแปรงฟันในผสู้ งู อาย ุ 75-76 ■ การแนะนำด้านอาหาร และกรณปี ากแหง้ 77 ● การเสรมิ สรา้ งความแขง็ แรงใหก้ ลา้ มเนอ้ื ของชอ่ งปาก 77 ● บทบาทของทีมสุขภาพให้การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากผูส้ ูงอายุ การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปากกล่มุ ผ้พู ิการ ● ประเภทของความพิการ วิธีการสอ่ื สาร ● การฝกึ ทักษะการแปรงฟันใหผ้ ูพ้ ิการ ● การปรบั พฤติกรรมเพอ่ื ลดความเสี่ยงตอ่ การเกดิ โรคในช่องปาก ● การตรวจสุขภาพช่องปากผ้พู ิการ
รู้จักชอ่ งปาก เมธนิ ี คุปพิทยานนั ท,์ สพุ รรณี ศรีวริ ิยกลุ ช่องปาก (oral cavity) คือ ส่วนท่ีอยู่ถัดจากริมฝีปากเข้าไปจนถึงล้ินไก่ ช่องปากเป็นพื้นท่ี ส่วนแรกสุดที่รับอาหารเข้าสู่ร่างกาย และเป็นจุดเร่ิมต้นของระบบย่อยอาหาร โดยมีฟันเป็นอวัยวะสำคัญท่ี ทำหนา้ ทีต่ ดั ขบ และบดเคีย้ วอาหารใหเ้ ป็นชิ้นเลก็ ๆ จากนั้นอาหารจะถกู ส่งต่อเพือ่ การย่อยที่สมบรู ณ์ต่อไป การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของตนเอง และให้คำแนะนำแก่ประชาชนเร่ืองการดูแลรักษาสุขภาพ ช่องปากได้อย่างถูกต้อง บุคลากรในทีมสร้างเสริมสุขภาพควรมีความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับฟัน และอวัยวะ ทเ่ี กยี่ วข้อง คอื เนื้อเยอื่ ปริทนั ต์ ซ่ึงเป็นเน้ือหาหลักทีจ่ ะไดศ้ กึ ษาในบทน้ี ฟ ัน และโครงสร้างของฟนั ฟันธรรมชาติของมนุษย์มี 2 ชุด ชุดแรกคือ ฟันน้ำนม (primary teeth) อยู่ในช่องปาก ช่วงวัยเด็ก (ตั้งแต่อายุประมาณ 6 เดือน – 12 ปี) ลักษณะเป็นฟันซี่เล็กๆ สีขาว มีทั้งหมด 20 ซ่ี ฟันธรรมชาติชุดที่ 2 เรียกว่า ฟันถาวร (permanent teeth)1 มีขนาดใหญ่ และมีสีเหลืองกว่าฟันน้ำนม มีจำนวนท้ังหมด 32 ซ่ี ฟันถาวรท่ีดูแลรักษาดีจะอยู่และใช้งานได้ตลอดชีวิต ทั้งฟันน้ำนมและฟันถาวร มโี ครงสรา้ งภายนอก และภายในเหมือนกนั ดงั นี้ โครงสร้างภายนอก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ตัวฟัน และ รากฟัน ตัวฟันคือส่วนของฟันที่โผล่พ้นเหงือก ปรากฏให้เห็นในช่องปาก ตัวฟัน ส่วนรากฟันจะฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรและมีเหงือกปกคลุมอีกชั้น ทำให้ ไม่สามารถมองเห็นได้จากในช่องปาก สำหรับแนวเส้นท่ีเชื่อมต่อจุดท ่ี ตัวฟันและรากฟันมาบรรจบกัน เรียกว่า แนวคอฟัน ซึ่งในคนที่มีเหงือกปกติ แนวคอฟนั จ ะอย่ปู ระมาณแนวเส้นขอบเหงอื ก รากฟัน โครงสร้างภายใน แบง่ ออกเปน็ 3 ชนั้ คอื ช้ันนอก คือ ช้ันเคลือบฟัน2 (enamel) และเคลือบรากฟัน2 (cementum) เคลือบฟันมสี ีขาวใส เป็นมันวาว ส่วนเคลือบรากฟันมสี เี หลืองออ่ น ทึบแสง ชนั้ กลาง คือ ชน้ั เนือ้ ฟนั (dentine) มสี เี หลือง มีโครงสรา้ งเปน็ ท่อเลก็ ๆ เรียงเบียดอดั กนั แน่น ช้ันใน คือ ชั้นเน้ือเยื่อในโพรงฟัน (dental pulp) เป็นเน้ือเย่ืออ่อน ประกอบด้วย เส้นเลือด ท่อนำ้ เหลอื ง และเสน้ ประสาทเลก็ ๆ มหี นา้ ท่ีหล่อเลย้ี งใหฟ้ ันมีชีวติ และรับรู้ความรสู้ กึ เจบ็ ปวดได ้ 1 เรยี กอกี อย่างหนงึ่ วา่ ฟนั แท้ 2 เคลือบรากฟัน นบั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของตวั ฟนั และเปน็ สว่ นหนึ่งของอวยั วะปริทนั ตด์ ้วย ประตูสู่สุขภาพที่ดีในทุกชว่ งวัยของชีวิต 1
เคลือบฟัน เนื้อฟัน และเคลือบรากฟัน มีส่วน ประกอบส่วนใหญ่เป็นสารอนินทรีย์ เมื่อสัมผัสกับกรด จะเกิดกระบวนการสูญเสีย และคืนกลับของแร่ธาตุที่เป็น องค์ประกอบ เคลือบฟันเป็นส่วนท่ีแข็งที่สุด ประกอบด้วย ผลึกของสารแคลเซียมไฮดรอกซ่ีอะพาไทต์ ประมาณร้อยละ 96 ส่วนเนอื้ ฟันประกอบดว้ ยผลกึ ของสารแคลเซียมไฮดรอกซ่ี อะพาไทต์ประมาณร้อยละ 70 มีความแข็งน้อยกว่าเคลือบฟัน สำหรับเคลือบรากฟันมีผลึกของสารแคลเซียมไฮดรอกซี่ อะพาไทต์ ประมาณร้อยละ 45 – 50 มีความแข็งน้อยกว่า เน้ือฟนั โครงสรา้ งฟนั ภายในฟัน การขนึ้ ของฟันในช่องปาก ฟันน้ำนมเร่ิมสร้างตัวฟันตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา เม่ืออายุครรภ์ 6 สัปดาห์ จะเกิด หน่อฟันในบริเวณที่จะเจริญเป็นกระดูกขากรรไกร ฟันทุกซี่จะสร้างตัวฟันก่อน แล้วจึงสร้างรากฟัน ฟันนำ้ นมซีแ่ รกข้ึนมาในช่องปาก เม่ือเด็กอายุ 6 + 2 เดือน และทยอยขึน้ จนครบ 20 ซี่ เม่อื เด็กอายุ 2 ½ - 3 ปี (6 + 2 เดอื น) ภาพวาดแสดงการเรียงตัวของหนอ่ ฟนั นำ้ นมในกระดกู ขากรรไกร ภาพถา่ ยแสดงการขึ้นของฟันนำ้ นมซแ่ี รกในชอ่ งปาก ในเดก็ อายุ 6 + 2 เดือน 2 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
อายุ 12 เดือน จะมีฟนั น้ำนมข้ึนมาในชอ่ งปาก ประมาณ 8 ซี่ อายุ 2 ½ - 3 ปี ฟนั นำ้ นม บน - ลา่ งข้นึ ครบรวม 20 ซ ่ี อายุ 18 เดอื นจะมีฟันน้ำนมข้นึ มา ในช่องปากประมาณ 12 ซ่ ี การขึ้นของฟันถาวร เม่ือเด็กอายุ ประมาณ 6 ปี จะมีฟันถาวรกลุ่มแรกขึ้นถัดจาก ฟันกรามน้ำนมซ่ีในสุด มี 4 ซี่ ซ้าย-ขวา บน/ล่าง ตำแหน่งละ 1 ซี่ จากนั้นฟันน้ำนมจะทยอยหลุด และ มีฟันถาวรข้ึนแทนที่ ฟันน้ำนมซ่ีที่ขึ้นก่อนจะหลุดก่อน โดยหน่อฟันถาวรท่ีจะขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนมซ่ีน้ัน จะดันส่วนที่เป็นรากฟันน้ำนมให้ค่อยๆ ละลายตัวจน ฟันโยกหลุดไปได้เอง ...การดูแลฟันน้ำนมให้อยู่ในช่องปากได้ จนถึงวาระท่ีฟันน้ำนมโยกหลุดไปตามธรรมชาติ จะช่วย ให้ฟันถาวรท่ีข้ึนมาในช่องปาก มีการเรียงตัวเป็น ระเบียบ... ภาพการเรียงตวั ของฟนั น้ำนม และการขึ้นของ ฟนั ถาวรซีแ่ รกในชอ่ งปากเม่ือเดก็ อายุประมาณ 6 ป ี - สีชมพู คอื หนอ่ ฟนั ถาวรท่กี ำลังสรา้ งอย่ใู ตร้ ากฟนั นำ้ นม - ฟันกรามถาวรซ่ีท่ี 1 ข้ึนถัดจากฟันกรามน้ำนมซี่ในสุด เรียกอกี อยา่ งวา่ ฟันกราม 6 ขวบ ประตสู ูส่ ุขภาพที่ดีในทกุ ช่วงวัยของชีวิต 3
เด็กช่วงอายุ 6-12 ปี จะมีท้ังฟันน้ำนมและฟันถาวรในช่องปาก เรียกระยะนี้ว่า ฟันชุดผสม เม่ือเด็กมีอายุประมาณ 12-13 ปี ในช่องปากจะมีแต่ฟันถาวรจำนวน 28 ซี่ ฟันถาวรซ่ีที่ 29-32 คือ ฟันถาวรท่อี ย่ใู นสดุ จะขึ้นในช่วงอายุ 18-20 ปี3 ฟันถาวรท่ีข้ึนมาในช่องปากในช่วงวัยเด็กนี้ ฟันซี่ท่ีควรใส่ใจเป็นพิเศษคือ ฟันถาวรกลุ่มแรกท่ี ขึน้ มาในช่องปาก (ฟันกรามซี่ท่ี 1) มี 4 ซี่ มชี อ่ื เรียกรวมๆ กนั วา่ ฟนั กราม 6 ขวบ ฟนั ซ่นี ี้มีความสำคญั ตอ่ การบดเค้ียวมาก เนอ่ื งจากมีพื้นทดี่ ้านบดเคย้ี วใหญ่ และมรี ากฟนั แขง็ แรง แตเ่ นอื่ งจากฟันซนี่ ้ีอยใู่ นตำแหนง่ ถัดจากฟันกรามน้ำนมซ่ีในสุด ผู้ปกครองจึงไม่ทราบและไม่ได้สังเกต ในขณะเดียวกันเด็กก็ไม่สามารถแปรง ฟันใหส้ ะอาดได้อยา่ งทั่วถึง ฟนั ซน่ี จ้ี งึ มีโอกาสเกิดฟนั ผไุ ด้งา่ ย ช่วงอายทุ ฟี่ นั ขน้ึ ในช่องปาก ฟันหน้ากลางบน (Central Incisor) ฟนั หนา้ ข้างบน (Lateral Incisor) 7-8 ป ี ฟนั เข้ยี วบน (Canine (cuspid) 8-9 ปี ฟันกรามน้อยบนซ่ีที่ 1 (1st. Premolar) 11-12 ปี ฟันกรามน้อยบนซี่ท่ี 2 (2nd. Premolar) 10-11 ปี ฟันกรามบนซที่ ่ี 1 (1st. Molal) - ฟันกราม 6 ขวบ 10-12 ป ี 6-7 ป ี ฟนั กรามบนซท่ี ่ี 2 (2nd. Molar) ฟนั กรามบนซท่ี ี่ 3 (3rd. Molar) 12-13 ป ี 17-21 ปี 17-21 ป ี ฟันกรามล่างซท่ี ่ี 3 (3rd. Molar) 11-13 ป ี ฟันกรามลา่ งซีท่ ่ี 2 (2nd. Molar) 6-7 ปี ฟันกรามลา่ งซี่ที่ 1 (1st. Molar) - ฟันกราม 6 ขวบ 11-12 ปี ฟันกรามนอ้ ยซ่ีท่ี 2 (2nd. Premolar) 10-12 ป ี ฟนั กรามนอ้ ยซี่ท่ี 1 (1st. Premolar) 697---7180ปปป ี ี ี ฟฟฟันันันหเหขนนยี้ ้า้าวกขล้าลา่ งางลง(า่ลCงา่ aง(nL(iaCnteeenr(atcrluasIlnpIcnidisc)oi sro) r) ภาพแสดงช่วงอายทุ ฟ่ี นั ถาวรซ่ตี ่างๆขน้ึ มาในช่องปาก 3 ฟันถาวรซ่ใี นสุดมักพบวา่ เป็นฟันคดุ เพราะไมส่ ามารถขึ้น หรอื ขึ้นได้ไม่ตรง เน่อื งจากมพี น้ื ท่ีในขากรรไกรไมเ่ พียงพอ 4 การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปาก
หนา้ ท่ีของฟนั หน้าที่หลักของฟันคือ ตัดและบดเคี้ยวอาหารให้เป็นช้ินเล็กๆ นอกจากนี้ฟันยังเป็น ส่วนประกอบที่ทำให้ใบหน้าสวยงาม และช่วยให้พูดออกเสียงได้ชัดเจน ประโยชน์ของการใช้ฟันบดเค้ียว อาหาร นอกจากทำให้อาหารเป็นช้ินเล็กๆ เพ่ือให้อวัยวะในระบบย่อยอาหารที่อยู่ถัดไปย่อยต่อไปได้ง่าย และสมบูรณ์มากขึน้ แล้ว การเคยี้ วยังทำให้กระดกู ใบหนา้ และกระดกู ขากรรไกรเจรญิ เตบิ โตสมส่วน กระตุน้ ใหต้ ่อมนำ้ ลายหลัง่ นำ้ ลายเพมิ่ มากข้ึน และช่วยกระตนุ้ ให้เลอื ดไปเลย้ี งสมองไดด้ ีขึ้น รปู รา่ งลักษณะของฟัน เพื่อให้การบดเค้ียวมีประสิทธิภาพ ธรรมชาติจึงสร้างให้ฟันมีรูปร่างแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ฟันตัด มีลักษณะเหมือนคมมีดใช้ตัดอาหารเป็นช้ินๆ ฟันเข้ียว มีรากยาวท่ีสุด ปลายฟัน แหลมคมใชส้ ำหรับฉีกอาหาร และ ฟนั กราม มีรปู ร่างคล้ายกล่องสี่เหล่ียมมีพ้ืนทใี่ ชข้ บและบดอาหาร กลมุ่ ฟัน จำนวน ตำแหนง่ ลกั ษณะ อย่สู ่วนหน้าของขากรรไกร รูปร่างแบน ปลายฟนั เรียบ มจี ำนวน 8 ซ่ี อยู่ใน ฟันตัด 4 ขากรรไกรบน 4 ซ่ี ขากรรไกรลา่ ง 4 ซี่ ซ้าย - ขวา ดา้ นละ 2 ซี่ 21 12 อยู่บริเวณมุมปาก ปลายฟันมีลักษณะแหลม มีจำนวน 4 ซี่ อยู่ใน 21 12 ขากรรไกรบน 2 ซี่ ขากรรไกรล่าง 2 ซ่ี ซ้าย - ขวา ดา้ นละ 1 ซี่ อยู่ที่ส่วนหลังของขากรรไกร ซ่ีใหญ่ ปลายฟันเป็นพ้ืนท่ีกว้างใช้ ฟนั เข้ยี ว 4 บดอาหาร ชุดฟันน้ำนมมีฟันกราม 8 ซ่ี อยู่ในขากรรไกรบน 4 ซ ่ี ขากรรไกรล่าง 4 ซ่ี ซา้ ย – ขวา ดา้ นละ 2 ซ่ี ชดุ ฟันถาวรมีฟนั กราม 20 ซี่ 3 3 ซี่ที่มีขนาดเล็กเรียกว่า ฟันกรามน้อย ใช้ขบอาหารให้แตก อยู่ใน 3 3 ขากรรไกรบน 4 ซี่ ขากรรไกรล่าง 4 ซ่ี ซา้ ย – ขวา ดา้ นละ 2 ซ่ี ซที่ ่ีมีขนาด ใหญ่เรยี กว่าฟนั กราม ใช้บดอาหาร อยู่ในขากรรไกรบน 6 ซี่ ขากรรไกรล่าง ฟนั กราม 5 6 ซี่ ซ้าย – ขวา ดา้ นละ 3 ซ่ี 87654 45678 87654 45678 4 ฟนั ตัด และ ฟันเขี้ยว เรยี กรวมกันวา่ ‘ฟนั หนา้ ’ 5 ฟันกราม (รวมทั้งฟันกรามนอ้ ย) เรยี กรวมกันว่า ‘ฟนั หลงั ’ ประตูสสู่ ขุ ภาพที่ดีในทุกชว่ งวัยของชีวิต 5
รหสั ชอื่ ฟนั เนอ่ื งจากฟนั ในช่องปากมจี ำนวนหลายซี่ และแตล่ ะซ่ยี งั มหี ลายด้าน เพอ่ื สือ่ สารใหเ้ ข้าใจตรงกนั จงึ ได้กำหนดรหัสตัวเลขของฟนั แตล่ ะซขี่ นึ้ เป็นเลข 2 หลกั โดยมีเกณฑ์ดงั นี้ 1. ขดี เส้นแนวราบแบง่ แนวฟนั ออกเป็น ฟันบน (ขากรรไกรบน) และฟันลา่ ง (ขากรรไกรลา่ ง) 2. ขีดเส้นแนวด่ิงตรงกลางใบหน้าแบ่งฟันในแต่ละขากรรไกรเป็น 2 ส่วน ขวา – ซ้าย ถงึ ตอนนี้ จะเหน็ ได้วา่ ฟันในช่องปากแบ่งเป็น 4 ส่วน 3. กำหนดชื่อฟันแต่ละซ่ี เป็นรหัสตัวเลข 2 ตัว เลขตัวแรก บอกตำแหน่งที่อยู่ใน แต่ละส่วน เรยี งลำดบั ดังนี ้ ตำแหน่งในชอ่ งปาก รหสั ตวั แรกของฟนั ถาวร รหสั ตวั แรกของฟันนำ้ นม ส่วนท่ี 1 ฟันบนขวา ใช้เลข 1 ใชเ้ ลข 5 ส่วนท่ี 2 ฟนั บนซา้ ย ใชเ้ ลข 2 ใช้เลข 6 สว่ นท่ี 3 ฟันล่างซา้ ย ใช้เลข 3 ใชเ้ ลข 7 สว่ นท่ี 4 ฟนั ลา่ งขวา ใชเ้ ลข 4 ใชเ้ ลข 8 4. เลขตัวท่ีสองบอกลำดับของฟันนับจากเส้นด่ิงกลางใบหน้า ในฟันน้ำนมจะมีส่วนละ 5 ซี่NOW! NOW! และฟันแท้จะมสี ่วนละ 8 ซ่ี จะเห็นได้ว่า การเรียงตัวของฟันจะมีลักษณะสมมาตรคือ ฟันบน ซ้าย - ขวา มีลักษณะbuy buy กาPDF-XCHANGE รเรียงตัวเหมือนกัน และฟันล่าง ซ้าย - ขวา มีลักษณะการเรียงตัวเหมือนกัน ในบันทึกการ PDF-XCHANGE ตรวจรักษานิยมใช้สญั ญลกั ษณ์ # นำหนา้ ชอ่ื ฟันแต่ละซ่ี to to Click Click m m ww ww w.docu-track.co w.docu-track.co øĀÿĆ ßĂęČ ôîŦ îĚĞćîö # 61 ïîàšć÷ # 62 ïî×üć # 51 # 63 # 52 # 64 # 53 # 54 # 55 #65 #85 # 75 # 84 # 74 úŠćÜ×üć # 83 # 73 # 82 # 72 úćŠ Üàćš ÷ # 81 # 71 ฟนั น้ำนมและรหัสช่อื ฟนั น้ำนม øĀÿĆ ßęČĂôîŦ ëćüø 6 การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปาก
øĀÿĆ ßęČĂôîŦ ëćüø #11 #21 #12 #22 #13 #23 #14 # #24 #15 ## #25 #16 # #26 #17 ## #27 #18 # #28 #48 #47 # #38 #46 #45 # # #37 #44 ## ## #36 #43 # # #35 #42 ## ## #34 #41 # # #33 # # #32 #31 ฟÖันćถøาđøว÷Ċ รÖแßลČĂę ะéรćš หîสั êชćŠ ื่อÜėฟǰนั ×ถĂาÜวôรîŦ Āöć÷đĀêč ĔîïîĆ ìÖċ ÖćøêøüดÝø้าĆÖþนćǰตîĉ÷า่ öงĔßๆšÿĆâขúĆÖอþงèŤฟ# นัîćĞ Āîćš øĀĆÿßĂČę ôŦîĒêŠúąàĊę ฟันแต่ละซีม่ ี 5 ดา้ น ดังน้ี 7 ดา้ นท่ีสบกับฟันตรงขา้ ม เรียกวา่ ปลายฟัน (ในฟนั หนา้ ) ดา้ นบดเคีย้ ว (ในฟันหลัง) ด้านนอก (ใกล้ริมฝีปากและแกม้ ) เรยี กวา่ ด้านทางริมฝีปาก (ในฟันหน้า) ด้านทางแกม้ (ในฟนั หลงั ) ดา้ นใน (ใกลเ้ พดานและลนิ้ ) เรียกว่า ด้านทางเพดานปาก (ในฟันบน) ด้านทางลน้ิ (ในฟนั ล่าง) ด้านของฟนั ท่ตี ิดกับฟนั ซ่ขี ้างๆ ซ้าย – ขวา เรยี กว่า ดา้ นทางประชดิ (ในฟันทุกซ่)ี ดา้ นประชิด ดา้ นทางรมิ ฝปี าก ดา้ นทางลิน้ ดา้ นทางแกม้ (ฟันล่าง) ด้านทางเพดานปาก 7 (ฟันบน) ประตูสู่สุขภาพที่ดีในทุกช่วงวยั ของชีวิต
อวยั วะปริทันต์ (periodontium) หรือเนอ้ื เย่อื ปริทนั ต์ คอื กลุม่ ของเนือ้ เย่ือท่อี ยูล่ ้อมรอบ รากฟัน และรองรับฟัน ทำหน้าที่ยึดและพยุงให้ฟันสามารถอยู่ในกระดูกขากรรไกรได้ อวัยวะปริทันต์ ประกอบด้วยเนือ้ เยอื่ 4 ชนดิ คอื เหงือก กระดูกเบา้ ฟนั เอน็ ยดึ ปรทิ นั ต์ และเคลือบรากฟัน 1. เหงือก (gingiva) คือเน้อื เยื่อท่ปี กคลมุ กระดกู เบ้าฟนั (alveolar bone) มีหน้าทีต่ า้ นทาน แรงเสียดสจี ากอาหารระหว่างการบดเคย้ี ว เหงอื กปกติมลี ักษณะแน่น (firm) สชี มพูอ่อน 2. กระดูกเบ้าฟัน (alveolar bone) คือส่วนของกระดูกขากรรไกรบนและล่างที่อยู่รอบ รากฟัน ทำหนา้ ทร่ี องรับฟัน 3. เอ็นยึดปริทันต์ (periodontal ligament) คือเน้ือเยื่อที่อยู่รอบรากฟันทำหน้าท่ียึด รากฟนั เข้ากบั กระดกู เบ้าฟัน และชว่ ยกระจายแรงบดเค้ียวจากฟัน 4. เคลือบรากฟัน6 (cementum) เป็นเนื้อเยื่อแข็งคล้ายกระดูก ปกคลุมห่อหุ้มรากฟัน เคลือบรากฟนั ทำหนา้ ท่ปี อ้ งกันอนั ตรายใหเ้ น้ือฟนั ทีอ่ ยขู่ ้างใต้ 6 เคลอื บรากฟัน นับเป็นสว่ นหนึง่ ของโครงสร้างฟนั และเปน็ ส่วนหนึ่งของอวัยวะปรทิ นั ตด์ ้วย 8 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
ผลกระทบจากปัญหาสุขภาพชอ่ งปาก และการสูญเสียฟนั สุขภาพช่องปากเป็นเสมือนประตูนำไปสู่การมีสุขภาพร่างกายท่ีดี ขณะเดียวกันปัญหา ในช่องปากอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระบบได้ ในเด็กเล็กท่ีมีปัญหาฟันน้ำนมผุ จะม ี ผลกระทบต่อพัฒนาการ การเรียนรู้ และการเจริญเติบโต ซ่ึงจะส่งผลต่อสุขภาพท้ังในช่วงวัยเด็กและ ต่อเนื่องถึงวัยผู้ใหญ่ (รายละเอียดอยู่ในบท การสร้างเสริมสุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัย) การปล่อยให้เป็น โรคฟันผุ และโรคปริทันต์อักเสบในทุกช่วงวัย นอกจากทำให้เจ็บปวดแล้ว ยังทำให้ช่องปากเป็นแหล่งแพร่ กระจายเชื้อโรคไปสู่อวัยวะต่างๆ และอาจทำให้โรคทางระบบท่ีสำคัญเช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด หัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองมีความรุนแรงมากข้ึน (รายละเอียดอยู่ในบทการสร้างเสริมสุขภาพ ชอ่ งปากประชากรวัยทำงาน) การถอนฟันออกโดยไม่ได้ใส่ฟันเทียมทดแทน จะทำให้ฟันท่ีเหลือในช่องปากเช่น ฟันซี่ท่ีอยู่ ข้างเคียงฟันที่ถูกถอนเคล่ือน ส่งผลให้การสบฟันผิดปกติ ทำให้กระดูกข้อต่อขากรรไกรเสื่อม เกิดอักเสบ เจ็บปวดได้ การสูญเสียฟันหลายซี่จะส่งผลต่อคุณภาพของการเคี้ยว ทำให้ไม่สามารถเคี้ยวได้ละเอียด กินอาหารไม่อร่อย ระบบย่อยอาหารถัดไปต้องทำงานหนัก เกิดปัญหาอาหารไม่ย่อย ท้องอืด เป็น โรคกระเพาะ บุคคลเหล่าน้ีจึงหลีกเลี่ยงท่ีจะรับประทานผักและผลไม้เนื่องจากต้องเค้ียว แต่รับประทาน อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลแทน ทำให้เพ่ิมปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน เกิดภาวะปัญหา ทุโภชนาการ ร่างกายได้รับสารอาหารท่ีมีประโยชน์ต่อสุขภาพจำพวกเกลือแร่และวิตามินไม่เพียงพอ สุขภาพร่างกายจึงเส่ือมโทรม นอกจากนี้การสูญเสียฟันยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เพราะมีผลโดยตรง ต่อความสวยงามของใบหน้า และการท่ีสุขภาพช่องปากไม่ดี มีปัญหาฟันผุ เป็นโรคปริทันต์ มีกลิ่นปากยัง ทำใหข้ าดความมน่ั ใจในการเข้าสงั คม ประตสู ู่สขุ ภาพที่ดีในทุกช่วงวัยของชีวิต 9
โรคในช่อง ปากที่พบบอ่ ย เมธนิ ี คปุ พิทยานนั ท,์ วรวทิ ย์ ใจเมอื ง ปากเป็นประตูสู่สุขภาพ ปัญหาสุขภาพช่องปากอาจเป็นจุดเร่ิมต้นท่ีก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ อื่นๆ ที่รา้ ยแรง หรือเปน็ ส่วนท่ีเกยี่ วเนอ่ื งโดยมีสาเหตมุ าจากปญั หาสุขภาพอ่ืนๆ ได้ ปัญหาสุขภาพช่องปาก ท่สี ำคัญคือโรคฟนั ผุ และโรคปรทิ ันต์อักเสบ ซึ่งพบในประชากรสว่ นใหญ่ของประเทศ และสง่ ผลกระทบต่อ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีในประชากรเกือบทุกช่วงวัย ดังนั้นทีมสร้างเสริมสุขภาพจึงจำเป็นต้องมีความรู้ เกี่ยวกับโรคดังกล่าว เพ่ือให้รู้วิธีการป้องกัน เข้าใจแนวทางการรักษา สามารถตรวจ ให้คำแนะนำ บำบัด ฉกุ เฉิน และส่งต่อเพ่อื การรักษา ได้อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม โรคฟันผุ (Dental Caries) โรคฟันผุ หมายถึง สภาวะที่ฟนั มีการสูญเสยี เคลอื บฟนั และเนอ้ื ฟัน ทำให้ผวิ ฟนั เกดิ เปน็ หลุมหรอื โพรง เรียกว่า รูผุของฟัน โรคฟันผุเป็นปัญหาท่ีพบมากใน ประชากรตั้งแต่วัยเด็ก และเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญของ ประชากรกลุ่มวัยน้ี ฟันท่ีผุแล้วไม่อาจกลับคืนมาเป็น ฟันปกติ แต่สามารถยับย้ังไม่ให้การผุลุกลาม และบูรณะ ให้ใช้งานได้ สำหรับวัยทำงานและผู้สูงอายุ อัตราฟันผุ ใหม่จะน้อยลง ฟันที่ผุส่วนใหญ่จะเป็นฟันท่ีผุสะสมมา ก่อนหนา้ และพบการผบุ รเิ วณรากฟนั เพ่ิมขึ้น ฟนั ผหุ ลายซี่ บางซี่ผเุ หลือแต่รากฟัน สาเหตุ และกลไกการเกิดโรคฟันผุ กลไกการเกิดโรคฟันผุทางชีวเคมีเกิดจากแบคทีเรีย ที่รวมกลุ่มกันอยู่บนผิวฟัน (คราบจุลินทรีย์ หรือขี้ฟัน) ย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ทำให้ เกิดกรด กรดจะไปทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุท่ีอยู่ในฟัน ทำให้สูญเสียแร่ธาตุออกไปจากฟัน หากสภาพ ความเป็นกรดเกิดขึ้นต่อเนื่องจะทำให้ฟันสูญเสียแร่ธาตุมากจนเคลือบฟันและเน้ือฟันอ่อนตัวหลุดไป ทำให้ เกิดรูผุขึ้น การเกิดกรดและการละลายเกลือแร่ออกจากฟันต้องเกิดภายใต้คราบจุลินทรีย์เสมอ ผิวฟัน ทีส่ ะอาดไมม่ ีคราบจลุ นิ ทรีย์จะไม่เกดิ ฟนั ผุ กระบวนการเกิดโรคฟันผุ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของผิวเคลือบฟันท่ีเสียสมดุล เม่ือ pH. บริเวณผิวฟันต่ำกว่า 5.5 จะมีการสูญเสียแร่ธาตุออกไปจากผิวฟัน (demineralization) แต่ใน ช่องปากมีน้ำลายที่ช่วยเจือจาง และปรับระดับความเป็นกรดด่าง (buffer) ช่วยปรับระดับ pH. ให้เพ่ิม สูงขึ้น เม่ือ pH.บริเวณผิวฟันสูงกว่า 5.5 จะเกิดกระบวนการคืนกลับของแร่ธาตุกลับมาท่ีผิวฟัน (remineralization) 10 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
น้ำตาล Ca Ca นำ้ ลาย จลุ นิ ทรยี ์ กรด ฟัน F ยาสฟี ัน Ca pH. >5.5 pH. <5.5 ภาพจำลองกระบวนการสูญเสยี และคืนกลบั ของแร่ธาตทุ ผี่ ิวฟัน ฟันแต่ละซี่จะมีการสูญเสียและการคืนกลับของแร่ธาตุตลอดเวลา หากอยู่ในภาวะสมดุลจะ ไม่เกิดเปน็ รผู ุขนึ้ แต่ถ้าสภาพความเปน็ กรดเกิดขึน้ ซ้ำๆ ตอ่ เน่อื ง สมดลุ น้จี ะเสยี ไป มกี ารสญู เสียแร่ธาตมุ าก กว่าการคืนกลับ ในท่ีสุดก็จะเกิดรูผุข้ึน ภาวะเสียสมดุลน้ีพบได้บ่อยในคนท่ีชอบรับประทานจุบจิบ หรือไม่ ทำความสะอาดช่องปากหลังรับประทานอาหาร ทำให้มีแป้งและน้ำตาลตกค้างในช่องปาก จุลินทรีย์จึงมี แปง้ และนำ้ ตาลมาใช้ผลิตกรดได้อย่างตอ่ เนอื่ ง มีการสญู เสยี แรธ่ าตุตอ่ เนอ่ื งจนเกดิ รูผุ เวลา กราฟแสดงสภาพความเปน็ กรดท่ีเกิดต่อเนือ่ งจนทำให้เกดิ ฟันผ ุ ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการเกิดโรคฟันผุ โรคฟันผุเป็นโรคติดเช้ือท่ีไม่ได้เกิดคร้ังเดียวเหมือน โรคติดเชื้อทั่วไป แต่เป็นกระบวนการที่เกิดต่อเน่ืองเป็นเวลานาน รูผุจะเกิดข้ึนในคนที่ได้สัมผัสกับปัจจัย ที่เป็นสาเหตุบ่อยๆ หรือเป็นระยะเวลานาน โอกาสท่ีจะเกิดฟันผุยากหรือง่ายในแต่ละบุคคลอาจพิจารณา ไดจ้ ากลกั ษณะขององค์ประกอบ และสภาพแวดลอ้ มท่ีเกีย่ วข้องไดด้ ังน้ี 1. ฟัน ผวิ ฟนั บรเิ วณทีม่ หี ลุมร่องลกึ เชน่ ด้านบดเคีย้ ว ผวิ ฟนั บริเวณด้านประชิด และฟนั ที่ขึน้ ซอ้ นเก เป็นบริเวณท่ขี จดั คราบจุลินทรียไ์ ดไ้ ม่ดี และมักมเี ศษอาหารตกค้าง จงึ เปน็ บริเวณทเี่ กิดฟนั ผไุ ดง้ า่ ย ฟันท่ีผิวฟันไม่แข็งแรง เน่ืองจากการสะสมแร่ธาตุยังไม่สมบูรณ์ เช่น ฟันท่ีเพ่ิงข้ึนมาในช่องปากใหม่ๆ หรือ ฟันท่ีมีความผิดปกติในการสร้างจะผุได้ง่าย ส่วนฟันท่ีขึ้นมาในช่องปากระยะหนึ่ง มีการสะสมแร่ธาตุท ่ี ผิวฟันสมบูรณ์ รวมท้ังได้รับฟลูออไรด์ ผิวฟันจะแข็งแรง มีความทนต่อการกัดกร่อนของกรดได้มากข้ึน การเคลือบหลมุ ร่องลึกทผ่ี ิวฟัน การทำให้ฟันสะอาด และการทำใหผ้ วิ เคลอื บฟนั แข็งแรงทนตอ่ การกัดกรอ่ น ของกรดด้วยการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ หรือการทาฟลูออไรด์วานิช เป็นวิธีการท่ีนำมาใช้ใน การป้องกันการเกดิ โรคฟนั ผุ 8 ประตสู สู่ ุขภาพที่ดีในทุกชว่ งวัยของชีวิต 11
2. จุลินทรีย์ และอาหารที่ตกค้างในช่องปาก จุลินทรีย์ท่ีพบในช่องปากมีหลายชนิด ชนิดท่ี พบว่าสมั พันธ์กบั การเกดิ โรคฟนั ผุ คือเชอ้ื Mutans Streptococci และ Lactobacilli การรบั ประทานแปง้ และน้ำตาลบ่อยๆ (กินจุบจิบ) การปล่อยให้มีคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน และมีอาหารตกค้างในช่องปาก จะทำให้เชื้อจุลินทรีย์สร้างกรดได้ตลอดเวลา จึงมีการสูญเสียแร่ธาตุจากผิวฟันมากกว่าการคืนกลับ การลด ความถี่ในการบริโภคแป้งและน้ำตาล การขจัดเศษอาหารท่ีตกค้างในช่องปาก และขจัดคราบจุลินทรีย์จาก ผวิ ฟนั เปน็ การลดปริมาณเชื้อจลุ ินทรยี ์ และลดการสร้างกรดจงึ เป็นการปอ้ งกันการเกดิ โรคฟันผ ุ 3. สภาพแวดล้อมในช่องปาก น้ำลายมีคุณสมบัติในการเจือจาง และสะเทินความเป็นกรด (buffer) รวมทั้งยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุท่ีจะคืนกลับสู่ผิวฟัน คนที่ปากแห้งน้ำลายน้อยจะเกิดฟันผุได้ง่าย ในภาวะร่างกายขับน้ำลายออกมาน้อย เช่นขณะหลับ หากมีเศษอาหารตกค้างในช่องปาก กรดท่ีจุลินทรีย์ สร้างขึ้นจะไมถ่ กู เจือจาง และคงอย่ใู นช่องปากเป็นเวลานานขึ้น จงึ เกดิ ฟนั ผไุ ด้งา่ ย ดงั นั้นการแปรงฟนั หลัง อาหารมือ้ เย็นหรอื แปรงฟนั ก่อนเข้านอนจงึ มคี วามสำคัญมากตอ่ การปอ้ งกันการเกิดฟนั ผุ 4. แบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง แม้นว่ากลไกทางชีวเคมีของการเกิดโรคฟันผุเป็นแบบ เดียวกันในทุกช่วงวัย แต่เน่ืองจากลักษณะสภาพช่องปาก ลักษณะของอาหาร และแบบแผนพฤติกรรมที่ เก่ียวข้องกับการเกิดโรคฟันผุของบุคคลแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน จึงทำให้ปัญหาฟันผุในแต่ละช่วงวัย มีลักษณะเฉพาะ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเชิงพฤติกรรมทางสังคมแตกต่างกัน การส่งเสริมสุขภาพช่องปากและ ป้องกันโรคฟันผุในแต่ละช่วงวัย จึงต้องพิจารณาปัจจัยที่เก่ียวข้อง และวางแนวทางป้องกันแก้ไขให้ สอดคลอ้ งเหมาะสม การป้องกันโรคฟันผุ จากการวิเคราะห์องค์ประกอบและปัจจัยแวดล้อมท่ีเป็นสาเหตุของ การเกิดโรคฟันผุข้างต้น จะเห็นได้ว่าการป้องกันโรคฟันผุทำได้หลายแนวทาง เช่น การทำให้ฟัน และ ผิวเคลือบฟันสมบูรณ์แข็งแรงยากต่อการกัดกร่อนของกรด การลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ท่ีอยู่ในช่องปาก และผิวฟัน การลดโอกาสในการสร้างกรดของจุลินทรีย์ หรือการทำให้สภาพความเป็นกรดเกิดเพียง ช่วงส้ันๆ แล้วกลับคืนสู่ภาวะปกติ รวมท้ังการแก้ไขปัญหาปากแห้งน้ำลายน้อยในบางคน ซ่ึงโดยรวมแล้ว ปัจจยั เหลา่ น้เี กีย่ วขอ้ งกับพฤติกรรมสว่ นบคุ คล 2 ประการคือ พฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร และพฤติกรรม การดูแลรักษาอนามัยช่องปาก ดังน้ันแนวทางการป้องกันฟันผุท่ีสำคัญจึงต้องสร้างเสริมและพัฒนา พฤติกรรมทั้งสองประการน้ี (รายละเอียดอยู่ในเร่ืองการสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก) ส่วนเทคโนโลยีที่ใช้ ป้องกนั ฟันผุ เช่น การใช้ฟลอู อไรด์ และการเคลือบหลุมร่องฟัน เป็นมาตรการเสรมิ เพอื่ ใหก้ ารป้องกนั ฟนั ผ ุ ในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ มีประสิทธิผลเพ่ิมขึ้น ในอนาคตอาจมีเทคโนโลยีอ่ืนๆ ท่ีนำมาใช้ในการป้องกันฟันผุ เช่น นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีด้านพันธุวิศวกรรม อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการใช้ฟลูออไรด์ และ การเคลือบหลุมร่องฟัน เป็นมาตรการเสริมเพื่อป้องกันฟันผุท่ีมีประสิทธิผล และได้รับการยอมรับให้มีการ ดำเนนิ การอย่างกวา้ งขวาง การใช้ฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ ฟลูออไรด์เป็นสารที่มีอยู่ในธรรมชาติ เข้าสู่ร่างกายได้จาก การด่ืมน้ำท่ีมีฟลูออไรด์ และจากการรับประทานอาหารท่ีทำจากผักบางชนิด เช่น กุยช่าย มะระ ยอ แครอท กะหล่ำปลี ใบชา และปลาทะเล ฟลูออไรด์ช่วยป้องกันโรคฟันผุ โดยยับยั้งการสร้างกรดของ เชื้อจุลินทรีย์ ช่วยเพ่ิมความต้านทานต่อกรดให้แก่เคลือบฟัน ชะลอการย่อยสลายของแร่ธาตุ และ เสริมกระบวนการคืนกลบั ของแร่ธาตบุ นผวิ เคลอื บฟนั และการใช้ฟลูออไรดเ์ พ่อื ปอ้ งกนั ฟันผุ มี 2 แบบ คือ 12 การสร้างเสริมสขุ ภาพชอ่ งปาก
1. การใช้ทางระบบ โดยรับประทานยาน้ำหรือยาเม็ดฟลูออไรด์ ดื่มน้ำหรือนมที่เติม ฟลูออไรด์ ฟลูออไรด์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต และนำไปเก็บสะสมไว้ท่ีกระดูกและฟัน การให้ ฟลูออไรด์วิธีน้ีจะได้ผลเฉพาะในฟันที่ยังไม่ขึ้น จึงใช้ในระยะท่ีรา่ งกายกำลังสร้างฟัน คือตงั้ แต่แรกเกิดจนถงึ อายุ 14 ปี การใหฟ้ ลูออไรด์ทางระบบจะตอ้ งปรับขนาดของยา โดยพจิ ารณาปรมิ าณฟลอู อไรด์ท่ีเด็กอาจได้ รบั จากทางอ่ืนด้วย เชน่ จากแหลง่ น้ำที่เดก็ ใชบ้ รโิ ภค ดงั นัน้ การใหย้ านำ้ หรอื ยาเม็ดฟลูออไรด์รับประทานจึง มรี ายละเอียดมาก และควรอยู่ในดลุ พนิ ิจของแพทย์หรอื ทนั ตแพทย์ ในการสัง่ จ่ายและปรับขนาดยา 2. การใช้เฉพาะท่ี โดยให้ฟลูออไรด์สัมผัสกับผิวฟัน ได้แก่การใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ และ น้ำยาบว้ นปากผสมฟลูออไรด์ การทาฟลอู อไรด์เจล ฟลอู อไรดว์ าร์นิช บนผิวฟนั ฟลูออไรด์ที่ดดู ซมึ เข้าสู่รา่ งกาย หากได้รับมากเกินไปจะมีโทษ ซง่ึ พบได้ 2 ลกั ษณะ คอื การเปน็ พิษแบบเฉียบพลัน และการเป็นพิษแบบเรื้อรัง พิษแบบเฉียบพลันเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์ปริมาณ สูงมากในคร้งั เดยี ว ทำใหม้ ีอาการคลนื่ ไส้ อาเจยี น ปวดท้อง ท้องเสีย (ปรมิ าณท่สี งู มากๆ จะมผี ลต่อระบบ หัวใจทำให้เสียชีวิตได้) ส่วนพิษแบบเร้ือรังเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์ในขนาดท่ีสูงกว่าระดับท่ีเหมาะสม ตอ่ เนือ่ งเป็นเวลาหลายปี ทำใหฟ้ นั ตกกระ และกระดูกผดิ ปกติ ดงั นั้นการใชฟ้ ลูออไรดท์ างระบบจงึ ใช้เฉพาะ ในพ้ืนท่ีท่ีพบเด็กมีฟันผุสูง และแหล่งน้ำท่ีเด็กบริโภคไม่มีฟลูออไรด์ หรือมีฟลูออไรด์ต่ำมาก (< 3 ppm.) เท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ท่ัวไป ส่วนการใช้แบบเฉพาะท่ีมีข้อควรระวังในการใช้กับเด็กท่ียังควบคุม การกลืนไม่ได้ ซ่ึงอาจกลืนยาสีฟัน และทำให้ได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป ดังน้ันในเด็กเล็กจึงควรใช้ยาสีฟัน สำหรับเด็กที่มีปริมาณฟลูออไรด์น้อยกว่า และใช้ยาสีฟันในปริมาณที่กำหนด (รายละเอียดอยู่ในบทการ สรา้ งเสริมสุขภาพชอ่ งปากเดก็ ปฐมวัย) การเคลือบหลุมร่องฟันเพ่ือป้องกัน ฟันผุ (Sealant) เป็นการใช้สารจำพวกเรซ่ินเคลือบ ปิดร่องลึกบนผิวฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์ เ ข้ า ไ ป อ า ศั ย แ ล ะ ส ร้ า ง ก ร ด ม า ท ำ ล า ย ผิ ว ฟั น การเคลือบหลุมร่องฟันเป็นการป้องกันฟันผุบน ด้านบดเคี้ยว ซ่ึงเป็นบริเวณที่เกิดฟันผุได้ง่าย และ เป็นบริเวณที่เกิดฟันผุมากที่สุด การเคลือบหลุม ร่องฟันนิยมทำในฟันเด็ก เน่ืองจากฟันที่ข้ึนมาใหม่ มักมีหลุมร่องลึก และเด็กยังไม่สามารถแปรงฟันให้ สะอาดได้ท่ัวถึง ควรแนะนำให้ผู้ปกครองพาเด็ก ไป รับการตรวจและเคลือบหลุมร่องฟันจาก การเคลือบหลมุ รอ่ งฟนั บนด้านบดเคย้ี ว ทันตบุคลากรก่อนท่ีฟันเด็กจะผุ โดยเฉพาะอย่างย่ิง เม ื่อเด็กมีฟันกรามถาวรขึ้นมาในช่องปาก หรือ เมอ่ื เดก็ มอี ายุประมาณ 6 ปี การวนิ จิ ฉยั ความรุนแรงของโรคฟนั ผุ แบง่ การลุกลามของโรคฟันผุ เป็น 3 ระยะ ดงั น้ี ระยะที่ 1 การผุในช้ันเคลือบฟัน จะเห็นเคลือบฟันเป็นรอยขุ่นขาว ไม่มีรูผุ ผู้ป่วยยังไม่ม ี อาการใดๆ หากหยุดยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดฟันผุ และเสริมการคืนกลับของแร่ธาตุที่ผิวฟัน รอยโรคจะหยุด และกลับไปมีลกั ษณะเหมอื นเคลือบฟันปกติ หรือเป็นสีขาว หรอื สีนำ้ ตาล ประตสู ู่สุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัยของชีวิต 13
รอยผใุ นชนั้ เคลือบฟนั รอยข่นุ ขาวบริเวณคอฟนั ระยะท่ี 2 การผุถึงช้ันเนื้อฟัน แต่ไม่ถึงโพรงประสาทฟัน เป็นระยะท่ีเห็นรอยโรคชัดเจน เพราะเกิดหลุมหรือโพรงบนผิวฟันและเนื้อฟัน ซ่ึงอาจเห็นได้โดยตรง หรือเป็นเงามืดใต้เคลือบฟัน ผู้ป่วย อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเสียวฟัน ปวดฟันบ้าง เป็นระยะท่ีต้องได้รับการรักษาโดยวิธีอุดฟัน เพ่ือ ให้ฟนั ใช้งานได้ตามปกติ และหยดุ การลกุ ลามของโรคฟันผุ รอยผุถงึ ช้ันเนอื้ ฟัน ระยะท่ี 3 การผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดฟันมาก เช้ือโรคอาจ ลุกลามเกิดฝีท่ีปลายรากฟัน รวมทั้งอาจลุกลามไปยังเน้ือเยื่อและอวัยวะข้างเคียง ทำให้ใบหน้า ลำคอบวม เจ็บปวดมาก บางคร้ังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การรักษาเพ่ือเก็บฟันไว้ใช้งานต้องรักษารากฟัน และทำครอบฟนั ซึ่งยงุ่ ยาก เสียเวลา และมคี ่าใช้จา่ ยสงู หรือบางครงั้ อาจทำไม่ได้ ต้องถอนฟันซี่นัน้ ท้งิ การผลุ กุ ลามถงึ โพรง ประสาทฟัน 14 การสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก
แนวทางการดแู ลรกั ษาโรคฟันผุ ฟันผุระยะที่ 1 เป็นการผุในชั้นเคลือบฟัน หากตรวจพบควรแนะนำให้ใส่ใจดูแลรักษา ความสะอาดของช่องปากให้มากขึ้น โดยแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 คร้ัง และแปรงบริเวณที่มีรอยขาวขุ่น หรือเป็นจุดสีน้ำตาลให้สะอาดท่ัวถึง กรณีที่ สามารถทาฟลูออไรด์ใหไ้ ด้ ควรทาหรือเคลอื บฟลอู อไรดเ์ ฉพาะทบ่ี รเิ วณนั้น ผวิ ฟัน จะกลับแข็งแรงขน้ึ และ หยุดการลุกลามของโรคได้ นอกจากน้ีควรให้คำแนะนำพฤติกรรมการบริโภคท่ีเหมาะสมด้วย เช่น ลด ละ เลิก การรับประทานจุบจิบ ขนมหวานควรรับประทานพร้อมอาหารม้ือหลัก แล้วแปรงฟันให้สะอาด และ แ นะนำใหร้ บั ประทานผลไมเ้ ป็นอาหารว่าง เพอ่ื ลดโอกาสทฟ่ี ันจะผเุ พิม่ ขน้ึ ฟันผุระยะที่ 2 และ 3 เป็นระยะที่เกิดรูผุแล้ว บางคร้ังเห็นเป็นรูผุชัดเจน บางคร้ังเห็นเป็น รอยดำ และอาจลุกลามจนทะลุโพรงประสาทฟันแลว้ หากตรวจพบฟนั ผุระยะน้ี แตผ่ ู้ป่วยยงั ไม่มีการอักเสบ รุนแรง ควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยรีบเข้ารับการรักษาจากทันตบุคลากร เพราะหากทิ้งไว้การผุจะลุกลามจนต้อง ถอนฟันทง้ิ หรอื อาจเกดิ การอักเสบทรี่ ุนแรงได้ ในรายท่ีผู้ป่วยมีอาการปวด ควรให้การดูแลช่วยเหลือเบื้องต้น โดยเข่ียเศษอาหารออกจากรูผุ ใหผ้ ู้ป่วยบ้วนนำ้ ให้สะอาด ใช้สำลีสะอาดปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ซบั นำ้ ในรผู ใุ หแ้ หง้ แล้วใช้สำลีชุบนำ้ มันกานพลู (clove oil) พอหมาดๆ ใส่ในรูผุ จ่ายยาระงับปวด และส่งต่อไปทำฟัน หากพบการอักเสบติดเช้ือควรให ้ ยาปฏชิ วี นะ ในผปู้ ่วยท่ไี ม่มีประวตั ิแพ้ยา ใหจ้ ่ายยา Amoxycillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 คร้ัง เน่ืองจาก ใช้ได้ผลดีกับการติดเช้ือในช่องปาก นอกจากให้การดูแลรักษาเบื้องต้นแล้ว ควรแนะนำให้ไปรับการรักษา ต่อกับทันตบุคลากร และในครั้งต่อไปท่ีมารับการตรวจรักษาควรสอบถาม ให้คำแนะนำเรื่องการดูแลรักษา ความสะอาดในชอ่ งปาก และให้คำแนะนำเรือ่ งพฤติกรรมการบรโิ ภคท่เี หมาะสมด้วย โรคปรทิ ันต์ โรคปริทันต์ เป็นพยาธิสภาพท่ีเกิดกบั เหงอื ก กระดูกเบ้าฟนั เอ็นยดึ ปริทนั ต์ และเคลือบรากฟนั โรคนี้เกิดขึ้นได้ท้ังแบบเฉียบพลัน และเร้ือรัง โดยส่วนใหญ่เป็นชนิดเร้ือรัง โรคปริทันต์แบ่งตามลักษณะ อ าการ และความรุนแรงไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 1. โรคเหงือกอักเสบ (gingivitis) เป็นการอักเสบท่ีเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณขอบเหงือก ลักษณะอาการที่ตรวจพบคือ เหงือกบวมแดง มีเลือดออกเวลาแปรงฟัน แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด การอักเสบของเหงือกจะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ เมื่อผปู้ ว่ ยสามารถแปรงฟนั ตนเองไดส้ ะอาดและทั่วถงึ โรคเหงือกอักเสบพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก เน่อื งจากไม่มอี าการเจบ็ ปวด จึงถูกปล่อยปละละเลย ทำให้โรคดำเนินต่อไปจนเข้าสู่การเป็นโรคปริทันต์ ลักษณะเหงอื กอกั เสบ : ขอบเหงอื กบวมแดง เลอื ดออกงา่ ย อักเสบในวัยผใู้ หญ่ และวยั สูงอายุ มักพบคราบจุลินทรยี ห์ นาแน่นบนผวิ ฟนั ที่ตดิ กบั เหงือก ประตูสู่สุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัยของชีวิต 15
2. โรคปรทิ นั ตอ์ ักเสบ (periodontitis) เปน็ ภาวะทกี่ ารอักเสบลุกลามจากเหงือกไปทำลาย กระดกู เบ้าฟนั เอน็ ยึดปริทนั ต์ และเคลอื บรากฟนั ทำใหก้ ารยึดติดของฟนั กับกระดูกเบา้ ฟนั ลดลง ฟนั โยก จนไม่อาจใช้งานได้ เน้ือเยื่อปริทันต์ท่ีถูกทำลายไปแล้ว เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้คืนกลับสู่ สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ การรักษาจะช่วยยับย้ังไม่ให้โรคลุกลาม หากมีการปลูกกระดูกก็อาจช่วย ซอ่ มแซมกระดูกที่ถูกทำลายไปไดบ้ า้ ง โรคปริทันต์อักเสบส่วนใหญ่เป็นแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดจึงปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา ลักษณะท่ี ตรวจพบคือ สภาพช่องปากไม่สะอาด มีคราบจุลินทรีย์มาก กลิ่นปากรุนแรง มีหินน้ำลาย ฟันย่ืนยาว ฟนั หา่ ง หากใส่ฟันปลอมอาจเป็นสาเหตใุ หฟ้ ันปลอมไมพ่ อดี บางครง้ั มคี ราบหนอง ในกรณีทีเ่ กดิ การอักเสบ เฉยี บพลนั จะมีอาการปวด บวม ฟันโยก มีฝหี นองทปี่ ลายรากฟัน ทำให้เจ็บปวดทรมาน โรคปริทันต์อักเสบ เปน็ สาเหตสุ ำคญั ของการสญู เสียฟันในวัยผู้ใหญ่ และผสู้ งู อายุ อวยั วะปริทนั ต์ในสภาพปกติ เปรยี บเทยี บกับ สภาพชอ่ งปากผูป้ ว่ ยปรทิ ันต์อักเสบ เม่ือเป็นโรคปริทันต์อกั เสบ สาเหตุ และปจั จยั ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั โรคปรทิ นั ต ์ โรคปริทันต์เป็นโรคติดเช้ือ เกิดจากเช้ือแบคทีเรียหลายชนิดทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ ปริทันต์ โดยการอักเสบเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อสารพิษท่ีเชื้อจุลินทรีย์สร้างขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้น เม่ือจุลินทรีย์ที่ก่อตัวเป็นคราบข้ีฟันบริเวณคอฟันและขอบเหงือกไม่ถูกขจัดออก คราบจุลินทรีย์ที่สะสม อยู่เป็นเวลานานจะมีการเปล่ียนแปลงชนิดของเช้ือจุลินทรีย์ โดยมีจุลินทรีย์ชนิดท่ีสร้างสารพิษเพ่ิมจำนวน มากขน้ึ สารพษิ นี้จะซมึ เขา้ สเู่ หงอื กและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำใหเ้ กดิ การอกั เสบของเหงอื ก เหงือกมีลักษณะเป็นสีแดงช้ำ บวม เลือดออกง่าย เมื่อการอักเสบลุกลามทำลายเอ็นยึดปริทันต์ เคลือบรากฟนั และกระดูกเบ้าฟนั จะทำใหฟ้ ันโยกและเหงอื กร่น 16 การสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก
ภาพจาก medicalook.com คราบจุลินทรีย์ท่ีเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์อยู่บริเวณคอฟันและขอบเหงือก โดยชนิดของ เชื้อจุลินทรีย์ในคราบจุลินทรีย์ระยะแรกเป็นจุลินทรีย์ชนิดแกรมบวก ใช้ออกซิเจน (aerobic) จุลินทรีย์ กลุ่มน้ีไม่ทำให้เกิดโรคปริทันต์ แต่ถ้าคราบจุลินทรีย์ไม่ถูกขจัดออก จะเพ่ิมจำนวนสะสมลงไปใต้เหงือก คราบจุลินทรีย์ท่ีมีอายุมากนี้ จะเปลี่ยนเป็นชนิดแกรมลบ ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic) เป็นจุลินทรีย์ ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดโรคปรทิ ันต์ ปัจจัยเสริม ที่ร่วมเป็นสาเหตุ และเพ่ิม ความรุนแรงของโรคปรทิ นั ต์ได้แก่ 1. สภาพในช่องปาก ได้แก่ การมีฟัน ซ้อนเก ทำให้แปรงฟันได้ไม่ทั่วถึง การมีหินน้ำลาย (หินปูน) ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือก และ ทำความสะอาดยาก คราบจุลินทรีย์จึงยึดเกาะสะสม เป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่าย และโรคมีโอกาสลกุ ลามมากขนึ้ ฟันชอบเกทำให้ทำความสะอาดยาก 2. สภาพร่างกาย บุคคลแต่ละคนจะ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการกระตุ้นของสารพิษ และเกิดการทำลายกระดูกเบ้าฟันได้ไม่เท่ากัน อันเป็น ความแตกต่างในแต่ละบุคคลท่ีกำหนดโดยพันธุกรรม น อ ก จ า ก นี้ บ า ง ช่ ว ง วั ย แ ล ะ บ า ง ภ า ว ะ ที่ มี ก า ร เปล่ียนแปลงของระดับฮอร์โมนและการเผาผลาญ ของร่างกาย เช่น ในวัยรุ่น ในหญิงมีครรภ์ และ การอักเสบของเหงือกในหญิงตงั้ ครรภ์ บางคร้ังมีลกั ษณะ ในภาวะเครยี ด จะเกิดเหงอื กอักเสบไดง้ ่ายยิ่งขน้ึ เป็นกอ้ นเนื้อเรียกว่า pregnancy tumor ประตสู ู่สขุ ภาพที่ดีในทกุ ชว่ งวยั ของชีวิต 17
3. พฤติกรรมเส่ียงบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ทำให้อาการของโรคปริทันต์รุนแรงขึ้น ซึ่งอธิบายว่า นิโคตินในบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัว การหมุนเวียนของเลือดที่มาเล้ียงเนื้อเยื่อปริทันต์น้อยลง จึงทำให้ความต้านทานต่อโรคและการซ่อมแซมฟ้ืนตัวของเน้ือเย่ือลดลง ทำให้การดำเนินของโรค หรือ การติดเช้ือเกิดได้ง่ายข้ึน โรคปริทันต์ในผู้สูบบุหร่ีมักไม่พบลักษณะบวมแดงท่ีเหงือกชัดเจน แต่จะมีการ ทำลายของเนื้อเย่ือปริทันต์ท่ีค่อนข้างรุนแรง (รายละเอียดอยู่ในบทการสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก ประชากรวยั ทำงาน) 4. การเป็นโรคทางระบบบางโรค เช่น โรคเบาหวาน (รายละเอียดอยู่ในบทการสร้างเสริม สขุ ภาพชอ่ งปากประชากรวยั ทำงาน) และภาวะบางอยา่ งทที่ ำให้ไม่สามารถแปรงฟันได้สะอาด เช่น ผพู้ ิการ เปน็ ตน้ ความสมั พันธ์ระหว่าง โรคปรทิ ันต์ กับ โรคทางระบบ ในปัจจบุ นั พบวา่ การท่ีอวยั วะปริทันต์ติดเชือ้ และมีการอกั เสบเรอ้ื รงั เปน็ ปัจจัยหนงึ่ ที่ทำให้โรค ทางระบบหลายโรครุนแรงมากขึ้น เพราะเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคปริทันต์สามารถเข้าสู่กระแสโลหิต และ ก่อให้เกิดการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ (มีรายงานการศึกษาพบโรคปริทันต์อักเสบที่ไม่ได้รับ การรักษาสามารถทำให้พ้ืนผิวเน้ือเย่ือปริทันต์เปิดเป็นแผล มีขนาดรวมกันได้ตั้งแต่ 8 ถึง 20 ตาราง เซนติเมตร ซ่งึ มขี นาดประมาณฝ่ามือของผูใ้ หญ)่ นอกจากนี้สารต่างๆ ทีท่ ำให้เกิดการอักเสบ ยังอาจมผี ลต่อ อวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ ผลการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบความเกี่ยวข้องกันระหว่างโรคปริทันต์กับโรคทางระบบ หลายโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลอื ดหวั ใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคของระบบสมองและประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคเก่ียวข้องกับการอักเสบของข้อต่างๆ ของร่างกาย เป็นต้น (รายละเอียดอยู่ใน เรื่องการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากประชากรวัยทำงาน) นอกจากน้ีโรคปริทันต์อักเสบในหญิงตั้งครรภ์ เป็นสาเหตหุ น่ึงท่ที ำใหล้ ูกคลอดกอ่ นกำหนด และมนี ้ำหนกั ตวั แรกคลอดน้อยกวา่ ปกติ การปอ้ งกนั การวินิจฉัย และแนวทางการดแู ลรกั ษาโรคปริทนั ต์ โรคปริทันต์มีสาเหตุจากคราบจุลินทรีย์ท่ีเกาะอยู่บริเวณขอบเหงือกและคอฟัน ดังนั้นหลักการ สำคัญที่จะป้องกันและหยุดย้ังโรคปริทันต์ได้ คือการขจัดคราบจุลินทรีย์ในบริเวณนี้ออกไป อย่าให้สะสม พอกพูนจนเชื้อจุลินทรีย์ชนิดท่ีทำให้เกิดโรคปริทันต์เพ่ิมจำนวนมากข้ึนและก่อให้เกิดโรคได้ วิธีท่ีดีที่สุดคือ การฝึกแปรงฟันให้สามารถทำความสะอาดได้ท่ัวถึงท่ัวทั้งปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพ้ืนท่ีบริเวณคอฟัน และต้องแปรงฟันอย่างสมำ่ เสมอจนเป็นสุขนสิ ัย เม่ือตรวจสุขภาพหรือให้การดูแลรักษาผู้ป่วย ควรสังเกตสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยด้วย เช่น ดูเร่ืองความสะอาดของช่องปาก ดูสภาพฟันและเหงือก เหงือกปกติมีสีชมพูอ่อน หรือสีชมพูคล้ำตามสีผิว มเี นือ้ แน่น ขอบเหงอื กบางรดั แนน่ รอบคอฟัน ในภาวะทเี่ กดิ เหงือกอกั เสบ เหงือกจะบวม แดง เม่ือมแี รงกด หรือเมอ่ื แปรงฟนั จะมเี ลือดออกไดง้ า่ ย 18 การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปาก
เหงอื กปกตมิ ีสีชมพูอ่อน ขอบเหงอื กบาง แนบกบั ตวั ฟัน เหงอื กปกตขิ องคนผวิ ดำจะมีสีคล้ำกวา่ คนท่ีมีสีผวิ อ่อนกวา่ คนเป็นโรคปริทันต์ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องความสะอาดของช่องปาก และมักมีกลิ่นปากรุนแรง หากตรวจพบควรแนะนำการแปรงฟนั และวธิ ีแปรงฟันท่ีเหมาะสมให้ ซง่ึ ในชว่ งแรกอาจพบวา่ แปรงฟนั แลว้ เลอื ดออก ก็ใหแ้ ปรงตอ่ ไปใหส้ ะอาด เมอ่ื ฟันสะอาดการอักเสบของเหงอื กจะลดลง การแปรงฟนั ตอ่ ไปกจ็ ะ ไม่มีเลือดออก ถ้าตรวจพบว่ามีหินน้ำลาย(หินปูน) ควรแนะนำให้ไปรับการรักษากับทันตบุคลากร กรณีท ่ี สูบบุหร่ี แนะนำให้เลิกบุหร่ี ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ต้องตรวจรักษาโรคปริทันต์ควบคู่ไปกับการรักษา โรคเบาหวาน ถ้ามกี ารอักเสบเฉยี บพลนั ควรให้ยาแกป้ วด ยาปฏชิ ีวนะ และอมบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก ที่มีฤทธ์ิในการฆ่าเช้ือ ซึ่งในปัจจุบันน้ำยาบ้วนปากท่ีพบว่ามีผลดีในการฆ่าเช้ือจุลินทรีย์ท่ีทำให้เกิด โรคปริทันต์ คือ น้ำยาบ้วนปากคลอเฮ็กซิดีน ส่วนน้ำยาบ้วนปากท่ีผสมสมุนไพรก็เร่ิมเป็นที่สนใจและกำลัง ศึกษาถึงประสิทธิผลมากขึ้น แต่การใช้น้ำยาบ้วนปากผสมคลอเฮ็กซิดีนในระยะยาวจะมีผลเสีย ทำให้เกิด คราบสีทีฟ่ ัน และทีส่ ำคญั ควรแนะนำให้ผ้ปู ว่ ยไปรบั การรักษาตอ่ กับทนั ตบคุ ลากร ประเด็นปัญหาสขุ ภาพชอ่ งปากอื่นๆ คำแนะนำ และการจัดการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น 1. การจัดการเมอื่ เกดิ อุบัติเหตกุ บั ฟัน ฟันซี่ที่เสี่ยงกับอุบัติเหตุมากท่ีสุด คือ ฟันหน้าบน ซ่ึงมักจะได้รับแรงกระแทกจนทำให้ฟันบิ่น ฟนั หกั ฟันโยก ฟนั เคล่ือนที่ หรอื ฟนั หลุดจากเบ้าฟนั การปฐมพยาบาลเบ้อื งตน้ ในกรณีท่ฟี ันหลดุ ออกจาก เบ้าฟัน และต้องการเก็บฟันซ่ีนั้นไว้ ให้จับฟันทางด้านตัวฟัน (ห้ามจับบริเวณรากฟัน) ล้างน้ำเย็นเบาๆ ห้ามขัดถูและแปรง แล้วนำตัวฟันใส่กลับเข้าไปในเบ้าฟันตามเดิม หรืออมไว้ในปาก หรือแช่ไว้ในน้ำนมจืด หรือน้ำเย็น แล้วสง่ ตอ่ ใหท้ นั ตแพทย์รักษาโดยเร็วที่สุด 2. ปัญหากลิ่นปาก กล่ินปากเป็นปัญหาท่ีทำให้หลายคนกังวลใจ และรู้สึกไม่ม่ันใจ การใช ้ น้ำยาบ้วนปาก ยาอมหรือสเปรย์ดับกลิ่นปาก ก็ให้ผลแค่ช่ัวคราว ต้องแก้ไขที่สาเหตุ กล่ินปากเกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ คอื 2.1 สาเหตุในช่องปาก เช่น การรับประทานอาหารที่มีกล่ินฉุน เช่น ทุเรียน หอม กระเทยี ม กยุ ช่าย เครื่องเทศ สะตอ หรือดืม่ กาแฟ แอลกอฮอล์ แลว้ มีกลน่ิ ตกคา้ งในชอ่ งปาก อย่างไรก็ตาม สว่ นใหญ่ของปัญหากลน่ิ ปากมีสาเหตุเกย่ี วข้องกับสขุ ภาพชอ่ งปาก เนอ่ื งจากชอ่ งปากมแี บคทีเรยี หลายชนิด ท่ีสามารถย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างหมักหมมในช่องปาก ทำให้เกิดสารระเหยของซัลเฟอร์ เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และเม็ททิล เมอร์แคปแทน ซึ่งมีกล่ินเหม็น ดังนั้นช่องปากท่ีไม่สะอาด มีเศษอาหารตกค้าง เป็นโรคฟันผุ มีคราบจุลินทรีย์ มีหินน้ำลาย เป็นโรคเหงือกอักเสบ ปริทันต์อักเสบ จึงเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของ ปญั หากลน่ิ ปากท่พี บไดท้ ่วั ไป ประตูส่สู ุขภาพที่ดีในทุกช่วงวยั ของชีวิต 19
สภาพชอ่ งปากท่ีไม่สะอาด เปน็ สาเหตุของกลิ่นปาก แผลเน้อื งอกในช่องปากทำใหม้ ีกล่ินปากเหม็นรนุ แรง นอกจากนี้ แผลในช่องปากก็ทำให้เกิดกลิ่นได้ เช่น แผลจากการถอนฟัน หรือการผ่าตัดใน ช่องปาก กล่ินปากท่ีรุนแรงมากอาจมีสาเหตุมาจากแผลของเนื้องอกในช่องปาก สำหรับผู้ท่ีใส่ฟันเทียม แล้วไม่ทำความสะอาด รวมทงั้ ใส่ฟนั ปลอมทถ่ี อดไดใ้ นเวลานอนโดยไม่ถอดแชน่ ำ้ ไว้ ฟนั ปลอมจะดูดซับกลิน่ และเศษอาหารที่ละเอยี ด ทำใหเ้ กิดกลน่ิ เหมน็ ได้ ในกรณีที่ใสเ่ คร่อื งมือต่างๆ ในปาก เช่น เครอื่ งมือจัดฟัน เคร่ืองมือกันฟันล้มเก แล้วทำความ สะอาดในช่องปากได้ไม่ดี ก็เป็นสาเหตุ ของกลน่ิ ปากได้เช่นกนั กล่ินปากอาจมีสาเหตุมา จากภาวะปากแห้ง มนี ำ้ ลายน้อย เพราะ การชะล้างในช่องปากไม่ดี ภายหลังต่ืน นอนใหมๆ่ จะมีกลิ่นปากแรง เพราะขณะ นอนหลับน้ำลายถกู ขับออกมาน้อย คราบอาหารและแบคทเี รยี ทีผ่ วิ ด้านบนของลน้ิ เป็นสาเหตทุ ำใหม้ ีกลิน่ ปากได้ เศษอาหารท่ีตกค้างอยู่บูด จึงเกิดกลิ่นปาก นอกจากน้ี ล้ินก็เป็นส่วนหน่ึงที่เป็นสาเหตุของกล่ินปากได้ เนื่องจากมีการสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรียที่ผิวด้านบนของลิ้นซึ่งมีลักษณะเป็นร่องเล็กๆ ดังน้ัน ในการแนะนำวิธีดแู ลความสะอาดช่องปากโดยการแปรงฟนั จึงแนะนำให้แปรงลิ้นด้วย 2.2 สาเหตุนอกช่องปาก เช่น กลิ่นที่มาจากระบบย่อยอาหาร และระบบทางเดิน หายใจ ทำให้มีกล่ินออกมากับลมหายใจและออก จากปาก เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคต่อมทอนซิล อักเสบ โรคปอดอักเสบเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือ มะเร็งท่ีปอด ผู้ท่ีสูบบุหรี่นานๆ ก็ทำให้ลมหายใจ และลมปากมกี ลิน่ ได้ 20 การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปาก โพรงอากาศบรเิ วณใบหนา้ (ไซนัส) ดา้ นซา้ ย มกี ารอักเสบ ติดเชอื้ มหี นองเปน็ สาเหตุทำใหม้ ีกล่ินปาก
โรคจากระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ผู้ท่ีเป็นโรคกระเพาะอาหารเช่นระบบย่อยอาหาร ไม่ดี ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เม่ือมีลมออกจากกระเพาะก็จะมีกลิ่นตามออกมาด้วย ซ่ึงจะมีกลิ่น เหมือนอาหารบูด ผู้ท่ีระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกบ่อยๆ เม่ือมีลมดันข้ึน หรือเรอออกก็จะทำให้มีกลิ่นได ้ เช่นกนั นอกจากน้ีการรับประทานยาบางชนิดก็อาจเกิดกล่ินปากได้ เช่นยา Disulfiram ท่ีใช้รักษา ผู้ป่วยโรคพิษสุราเร้ือรัง จะทำให้มีกล่ิน acetyldehyde ออกมา ยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคจิตบางตัว ก็ทำใหม้ ีกลนิ่ ปากได้ รวมทัง้ โรคทางระบบบางโรค เช่นโรคเบาหวาน กลิ่นปากอาจมกี ลิน่ อะซโี ตนได้ คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่ามีกลิ่นปากหรือไม่ มีวิธีการทดสอบง่ายๆ โดยเอามือปิดปากและจมูก หลวมๆ แล้วเป่าลมแรงๆ ออกจากปากและดมดู หรือจะใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู หรือใช้น้ิวถ ู ท่ีบริเวณเหงือกแล้วนำมาดม หรือสอบถามจากคนใกล้ชิด เช่นสมาชิกในครอบครัว ให้ช่วยบอก ความจริง ข้อแนะนำเพ่อื การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหากลน่ิ ปาก 1. พบทันตแพทย์เพื่อรักษาโรคฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ ปริทันต์อักเสบ หรือแผลในปาก 2. ดูแลรักษาอนามยั ช่องปากอย่างจริงจงั แปรงฟันและแปรงลิน้ ทกุ คร้ังหลงั อาหาร 3. ใชไ้ หมขัดฟัน เพื่อกำจดั คราบจุลนิ ทรีย์และเศษอาหารบรเิ วณซอกฟนั เปน็ ประจำ 4. ด่ืมน้ำมากๆ ให้ปากชุ่มช้ืนเสมอ อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะเมื่อปากแห้งทำให้การ ชะลา้ งน้อยลง ความเขม้ ข้นของแบคทีเรียในปากจะเพ่ิมมากขนึ้ ทำให้เกิดกล่ินปากได้งา่ ย 5. งดอาหารกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ สะตอ หลีกเลี่ยงการด่ืมกาแฟ หรือ เครอื่ งด่ืมอืน่ ๆ ทท่ี ำใหเ้ กิดกล่นิ ปาก รวมทง้ั งดสบู บหุ ร่ี 6. หากกล่ินปากมีสาเหตุจากความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หรือระบบทางเดิน หายใจ จำเป็นต้องรบั การรักษาทางรา่ งกาย และดแู ลใหร้ ่างกายมสี ุขภาพแขง็ แรงสมบรู ณอ์ ยู่เสมอ 7. หลังม้ืออาหาร ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำยาบ้วนปาก หรือเคย้ี วหมากฝรงั่ ชนิดที่ไม่มนี ำ้ ตาล 8. นำ้ ยาบ้วนปากมสี ว่ นผสมหลกั คอื สารแต่งรส แอลกอฮอล์ และสารตอ่ ตา้ นเช้อื จลุ นิ ทรยี ์ ซึง่ จะช่วยยับยั้งการเจรญิ เตบิ โตของแบคทเี รียในชอ่ งปาก ทำใหร้ ะงับกล่นิ ปากไดน้ านขึ้น และมีผลเล็กนอ้ ย ในการชว่ ยรกั ษาอาการติดเชอื้ ในช่องปากและลำคอ การใชเ้ ปน็ คร้ังคราวไม่มีผลเสียอะไร แต่น้ำยาบ้วนปาก ที่ผสมยาฆ่าเช้ือบางชนิด ถ้าใช้นานๆ ติดต่อกันอาจทำให้เสียสมดุลของจุลินทรีย์ในช่องปาก ทำให้เกิด โรคเชื้อราในช่องปากได้ ส่วนการอมลูกอมหรือทอฟฟี่แต่งกล่ินหอมของผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำให้ ปากหอมชวั่ คราว แตจ่ ะก่อใหเ้ กิดปญั หาฟันผุซึ่งเปน็ ผลเสยี ระยะยาวได้ 9. การใช้ยาหรือสเปรย์ดับกล่ินปาก จะช่วยกลบกลิ่นปากช่ัวคราวเท่านั้น สามารถใช ้ เม่ือต้องการให้กลิ่นปากหอม เช่น เมื่อจะพบปะพูดจากับผู้อ่ืน ซึ่งจะมีประสิทธิผลชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 30 นาที หรือเป็นชั่วโมง แล้วแต่ชนิดของยาดับกล่ินปากน้ันๆ ตัวยาสำคัญที่ช่วยกลบกลิ่นปากก็คือ Menthol และ Peppermint ซ่ึงมีกลิน่ หอม เย็น และกระตุ้นให้มีนำ้ ลายออกมามากขึ้น ทำให้รู้สกึ ชมุ่ คอ ประตูส่สู ขุ ภาพทีด่ ีในทุกชว่ งวยั ของชีวิต 21
การสรา้ งเสริมสขุ ภาพแล ะป้องกันโรคในช่องปาก เมธนิ ี คปุ พทิ ยานนั ท์, วรวทิ ย์ ใจเมือง ปัญหาสุขภาพช่องปากสามารถป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติพฤติกรรมท่ีเหมาะสม ซ่ึงเรียกรวมๆ กันว่าพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก ประกอบด้วยพฤติกรรมท่ีสำคัญ 3 ด้าน คือ พฤติกรรมการ บริโภคอาหารตามชนิด รูปแบบ และแบบแผนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่เป็น โทษต่อสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการตรวจและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปาก ของตนเอง พฤติกรรมเหล่าน้ีเป็นเรื่องของการปฏิบัติในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะต้องสร้าง และปลูกฝัง ตั้งแตเ่ ดก็ เพอ่ื ใหป้ ฏิบัติจนเกดิ เป็นความเคยชนิ และพฒั นาเปน็ นิสยั ถาวรเม่อื เตบิ โตเปน็ ผูใ้ หญ่ เพ่ือให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพ สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของตนเอง และให้คำแนะนำกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง ในบทน้ีจะได้ศึกษาภาพรวมของหลักการ เหตุผล แนวปฏิบตั ิ และบรบิ ททเ่ี กย่ี วข้องกับพฤติกรรมทง้ั 3 ประการ ดงั น้ี 1 . พฤติกรรมการบริโภคอาหารทม่ี ีประโยชน์ตอ่ สุขภาพชอ่ งปาก ชนิดของอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปาก คืออาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ทุกระบบ ส่วนอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากคือ อาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาล ซึ่งอาจเป็น อันตรายต่อสุขภาพทั่วไปด้วย การบริโภคแป้งและน้ำตาลจำนวนมากเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วน โรคเบาหวาน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ น้ำตาลเป็นสารท่ีเช้ือจุลินทรีย์ในช่องปากใช้สร้างกรด และสร้างสารที่ช่วยให้เชื้อจุลินทรีย์ยึดติดกับผิวฟัน น้ำตาลที่ทำให้เกิดโรคฟันผุได้มากท่ีสุดคือน้ำตาลซูโครส หรือน้ำตาลทราย ส่วนน้ำตาลกลโู คส มอลโตส ฟรกุ โตสทำใหเ้ กิดฟนั ผรุ องลงมา และนำ้ ตาลแลคโตสทำให้ เกิดฟันผุน้อยท่ีสุด สำหรับอาหารจำพวกแป้งจะถูกเอนไซม์อะไมเลส (enzyme amylase) ในน้ำลาย ย่อยสลายให้เป็นน้ำตาลซึ่งเชื้อจุลินทรีย์นำมาสร้างกรดได้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับการเกิดโรคฟันผุ ไมใ่ ช่มีแตเ่ พียงชนดิ ของอาหาร ยังมปี ระเด็นอน่ื ๆ ท่ีตอ้ งพจิ ารณารว่ มด้วยไดแ้ ก่ 1. ความถ่ีในการบริโภค ลักษณะของอาหาร และระยะเวลาที่อาหารตกค้างในช่องปาก.. เมื่ออาหารเข้าสู่ช่องปาก อาหารบางสว่ นจะถูกยอ่ ยสลายโดยจลุ นิ ทรยี ์ บางส่วนถกู ดดู ซึมผ่านเย่อื บุชอ่ งปาก บางส่วนถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ในน้ำลาย และส่วนใหญ่คลุกเคล้าไปกับน้ำลายและถูกกลืนลงไป อาหาร ในรปู แบบของแขง็ ของเหนียวข้น จะคงอยู่ในปากนานกวา่ อาหารที่อยู่ในรปู แบบของเหลว การรบั ประทาน จุบจบิ รับประทานอาหารเหนยี วติดฟนั เช่น ตังเม ทอฟฟ่ี ผลไม้กวน มะขามหวาน รวมท้ังขนมถุง อาหาร เหล่านี้จะอยู่ในช่องปากเป็นเวลานาน จุลินทรีย์จึงสร้างกรดได้อย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้ผิวฟันสูญเสียแร่ธาตุ ไปมากกว่าที่คืนกลับสู่ผิวฟัน อาหารจำพวกแป้ง เช่น เบเกอร่ีต่าง ๆ ที่รวมตัวกับน้ำลายเป็นก้อนเละๆ ขจัดออกได้ยาก อาจก่อให้เกิดโรคฟันผุได้มากกว่าน้ำตาล เพราะตกค้างในปากได้นานกว่า ดังน้ันขนมท่ีมี แป้งและนำ้ ตาล เช่น ขนมปัง เบเกอรี่ คุกก้ี ขนมหวานจะทำให้เกิดฟนั ผุไดม้ าก 22 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
2. ความสามารถของอาหารที่จะกระตุ้นการไหลของน้ำลาย อาหารจำพวกเนยแข็ง และ อาหารท่ีมีเส้นใยเช่น ผัก ผลไม้ท่ีต้องเคี้ยว สามารถกระตุ้นการหลั่งของน้ำลายได้มาก น้ำลายจะช่วย ชะล้าง ลดการตกค้างของเศษแป้งและน้ำตาลในช่องปาก เจือจางและสะเทินฤทธิ์กรดที่เกิดข้ึน แร่ธาตุใน น้ำลาย สามารถช่วยป้องกันการละลายเกลือแร่ออกมาจากฟัน (demineralization) และช่วยใน กระบวนการคืนกลับเกลอื แรส่ ูฟ่ นั (remineralization) 3. องค์ประกอบโดยรวมของอาหาร ดูท้งั มื้อว่ากินอะไรไปบา้ ง ลำดับอาหารที่กนิ ดผู ลรวม ท่ีเกิดจากอาหารทั้งม้ือ อาหารจำพวกโปรตีนและไขมันจะขัดขวางการนำน้ำตาลเข้าเซลล์ของจุลินทรีย์ จึงไม่เกิดกรด หรือทำให้เกิดกรดได้น้อยลง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยแข็งมีแคลเซียมฟอสเฟต และเคซีน ซึง่ มฤี ทธ์เิ ปน็ ด่าง จะช่วยส่งเสรมิ การคืนกลับของแร่ธาตสุ ูผ่ วิ ฟนั 4. ปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น ปริมาณ การไหล และระดับความเป็นกรดด่างของน้ำลาย การดูแลอนามัยชอ่ งปาก การมีประวัติฟันผุ การกนิ ยาบางอย่าง หรอื มีโรคประจำตัวบางอยา่ ง โดยท่ัวไปอาจกล่าวได้ว่า การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับการเกิดโรคฟันผุ สิ่งท่ี อาจมีผลมากกวา่ ชนดิ ของอาหารคอื ความถใ่ี นการบริโภค ลักษณะอาหาร และวธิ ีการกนิ ขอ้ แนะนำการกนิ อาหารเพือ่ ลดความเสีย่ งตอ่ การเกิดโรคฟันผุ ✦ กินอาหารที่สมดลุ อุดมไปดว้ ยธญั พืช ผกั ผลไม้ ✦ กินอาหารที่มีองค์ประกอบหลากหลาย เช่น เพิ่มผัก ผลไม้สดในมื้ออาหาร ผลิตภัณฑ์จากนม อาจกินในมื้ออาหารหรือระหว่างมื้ออาหารก็ได้ ส่วนอาหารท่ีทำให้ฟันผุและเคร่ืองดื่มรสหวาน เปรี้ยว ใหก้ นิ ในม้ืออาหาร ✦ แปรงฟนั หรอื บว้ นปาก หรือเคี้ยวหมากฝรงั่ ทไี่ มม่ ี น้ำตาล หลังรับประทานอาหาร เพื่อกระตุ้นการ ไหลของน้ำลาย ✦ การดืม่ นมหลังกินอาหาร จะชว่ ยสนับสนุนการคืน กลับของแร่ธาตุสู่ผิวฟัน เพราะนมอุดมไปด้วย แคลเซยี ม ✦ เคร่ืองด่ืมรสหวานควรด่ืมรวดเดียวมากกว่าจบิ อมในปาก ✦ ลำดับการกินก็มีผล เช่น กินน้ำหวานกอ่ นเนยแขง็ ดีกวา่ กนิ เนยแขง็ กอ่ นกนิ นำ้ หวาน ✦ ลดการกินจุบจิบ และไมด่ ื่มนำ้ หวาน หรอื รับประทานอาหารกอ่ นเข้านอน ✦ ไม่พาเด็กเขา้ นอนพรอ้ มใหด้ ูดขวดใส่นมหรอื น้ำผลไม้ ประตูสู่สขุ ภาพทีด่ ีในทกุ ช่วงวยั ของชีวิต 23
2. การดแู ลอนามยั ช่องปาก วิธีดูแลรักษาอนามัยช่องปากขั้นพื้นฐานที่บุคคลต้องปฏิบัติด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอเป็น ประจำทุกวันคอื การแปรงฟนั การแปรงฟัน มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความสะอาดช่องปาก ขจัดเศษอาหารตกค้าง กำจัดและ ควบคุมคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน ทำให้รู้สึกปากสะอาดสดช่ืน การแปรงฟันเป็นวิธีการป้องกันโรคฟันผุและ โรคปริทันต์ท่ีมีประสิทธิภาพ เพราะการแปรงฟันทำให้ปากสะอาด ขจัดเศษอาหารไม่ให้ตกค้างในช่องปาก และช่วยลดจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปาก รวมท้ังยาสีฟันส่วนใหญ่มีฟลูออไรด์ซ่ึงเป็นสารป้องกันฟันผุ รวมอยู่ด้วย และเพื่อให้การแปรงฟันเกิดประสิทธิผลด้านการป้องกันโรคปริทันต์ จึงต้องให้ความสำคัญกับ การแปรงบริเวณคอฟัน เพราะคราบจุลินทรีย์ในบริเวณดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ และโรคปรทิ ันตอ์ ักเสบ การแปรงฟันท่ีมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคฟันผุและโรคปริทันต์ จะต้องเป็นการแปรงฟันที่ มีคุณภาพ คือสามารถขจัดเศษอาหารท่ีตกค้างในช่องปาก และขจัดคราบจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่บนผิวฟันได้ เป็นส่วนใหญ่ รวมท้ังต้องไม่ทำอันตรายต่อเหงือก และมีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติด้วย การแนะนำ ประชาชนให้สามารถแปรงฟันได้อย่างมีคุณภาพ ทีมสร้างเสริมสุขภาพจะต้องมีความรู้มิติต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง ก บั พฤติกรรมการแปรงฟัน และคณุ ภาพของการแปรงฟัน ซึง่ มอี ยูห่ ลายประการ ดังน้ี 1. วิธีการแปรงฟัน รูปแบบการแปรงฟันตามความถนัดเป็นพฤติกรรมถาวร การปลูกฝังวิธี การแปรงฟันให้กับเด็กจะต้องคำนึงถึงพัฒนาการของการใช้กล้ามเนื้อมือของเด็ก และต้องให้เวลาฝึกฝน จนกระทั่งเด็กมีความชำนาญ และรู้สึกเป็นความถนัดตามวิธีท่ีสอน วิธีแปรงฟันมีผู้คิดค้นไว้หลายวิธ ี วิธีท่ีเหมาะสมสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี คือ วิธี Horizontal scrub หรือวิธีถูไป-มา (รายละเอียด อยู่ในเร่ืองการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัย) สำหรับเด็กท่ีมีอายุมากกว่า 6 ปี และผู้ใหญ่ ใช้วิธี Modified Bass หรือวิธีขยับปัด การแปรงฟันทั้ง 2 วิธีนี้ ต้องแปรงฟันให้ทั่วทุกซี่ ท้ังด้านนอก ด้านในและด้านบดเคี้ยว รวมทั้งเน้นการแปรงบริเวณคอฟัน ดังนั้นจึงต้องใช้แปรงสีฟันชนิดขนอ่อนนุ่ม ปลายขนแปรงมน เพ่ือป้องกันไม่ให้เหงือกร่นและคอฟันสึก ในประเทศไทยมีการสอนและฝึกวิธีแปรงฟัน แบบ Horizontal scrub ให้แม่และผู้เลี้ยงดูแปรงฟันให้เด็กเล็กๆ และฝึกให้เด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหัด แปรงฟันตนเอง (รายละเอียดอยู่ในเร่ืองการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัย) ส่วนการแปรงฟันวิธี Modified Bass ได้จัดให้มีการฝึกในเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา (รายละเอียดอยู่ในเรื่องการสร้าง เสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากเด็กวัยเรยี นและเยาวชน) 2. เวลาที่ใช้แปรงฟัน มีความสัมพันธ์ กับความสะอาดของช่องปาก และความสามารถในการ ขจัดคราบจุลินทรีย์ การแปรงฟันแต่ละคร้ังควรใช้เวลา ประมาณ 2 นาที เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันมีเวลาได้ สัมผัสผิวฟัน และสามารถแปรงฟันได้ท่ัวถึงท้ังปาก ควรแปรงฟันให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยครั้งที่ สำคัญท่สี ดุ คือการแปรงฟนั กอ่ นนอน เพราะช่วงนอนหลับ 24 การสร้างเสริมสขุ ภาพชอ่ งปาก
ร่างกายขับน้ำลายออกมาน้อยกว่าเวลาต่ืน ถ้ามีอาหารตกค้างในช่องปาก จะเกิดการบูดเน่าทำให้มี กลนิ่ ปากรนุ แรง และจลุ ินทรีย์จะสรา้ งกรดไดต้ ่อเนอ่ื ง รวมทง้ั กรดท่เี กดิ ขนึ้ จะคงอยใู่ นช่องปากเปน็ เวลานาน เน่ืองจากไม่มีน้ำลายช่วยเจือจางและสะเทินความเป็นกรด อย่างไรก็ตามการแปรงฟันหลังรับประทาน อ าหารทกุ ครัง้ จะมผี ลในการขจัดเศษอาหารตกคา้ งในชอ่ งปากได้ดที ีส่ ดุ 3. การเลือกใช้แปรงสฟี ัน และยาสีฟัน แปรงสีฟันท่มี ีขนแปรงแข็ง หรือมีขนแปรงทไี่ ม่ได้มน ปลายขนแปรง จะทำให้คอฟันสึกและเหงือกถลอกเป็นแผลได้ง่าย จึงควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่ขนแปรงทำ จากไนล่อนชนิดขนอ่อนนุ่ม หรือนุ่มพิเศษ ปลายขนแปรงมน ด้ามแปรงตรงหรือเอียงทำมุมเล็กน้อย ขนาดของด้ามแปรงจับถนัดมือ แข็งแรงไม่เปราะหักง่าย ขนาดของหัวแปรงเหมาะกับช่องปากสามารถ สอดแปรงเข้าถงึ ฟนั ไดท้ วั่ ทุกซี่ และมขี นแปรงหนาแน่นจดั เปน็ กระจกุ เรยี งกนั เป็นแถวชดิ กนั 3-4 แถว เพ่ือ ให้ง่ายต่อการเลือกใช้ อาจพิจารณาเลือกใช้แปรงสีฟันที่แสดงมาตรฐานแปรงสีฟันที่ได้รับการตรวจ โดยกรมอนามัย ซ่ึงใชส้ ญั ลกั ษณ์ “แปรงติดดาว” และมฉี ลากซง่ึ ระบวุ า่ เปน็ แปรงใช้ในชว่ งอายุใด ดงั ภาพ รมอนา รมอนา มยั มยั ก ก รบั รอง คุณภาพ รบั รอง คุณภาพ 1 2 สญั ลักษณ์ แปรงสฟี นั ติดดาว - ตวั อักษรและพน้ื สมี ่วง รูปฟนั สีทองตามตน้ แบบ (ตวั อย่างหมายเลข 1) - หรอื ใช้สใี ดกไ็ ดเ้ พยี งสีเดียว (ตัวอยา่ งหมายเลข 2) สำหรับยาสีฟันมีการจัดทำหลายรูปแบบเช่น เป็นผง เป็นครีม และเป็นเจล โดยส่วนใหญ่เป็น แบบครีมบรรจุในหลอด คุณสมบัติของยาสีฟันคือช่วยให้ทำความสะอาดช่องปากได้ดีข้ึน ซ่ึงจะมีผลในการ ป้องกันฟันผุ และทำให้เหงือกแข็งแรง ยาสีฟันส่วนใหญ่ใช้สารชนิดเดียวกันเป็นส่วนประกอบพื้นฐาน ยกเว้นสารเสริมที่อาจจะแตกต่างกันเพื่อจุดประสงค์ท่ีต่างกัน และเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะการใช้ที่ เฉพาะเจาะจงย่ิงขึ้น เช่น การใช้สารป้องกันฟันผุ การใช้สารควบคุมหินน้ำลาย การใช้สารควบคุม แผ่นคราบจุลินทรีย์ การใช้สารแก้ปัญหาเสียวฟัน เป็นต้น นอกจากน้ียาสีฟันต่างชนิดกันอาจมีผลในการ ขจัดคราบจุลินทรีย์ได้ต่างกัน อันเนื่องมาจากผงขัดมีขนาดต่างกัน โดยผงขัดที่หยาบจะขจัดคราบจุลินทรีย์ ไดด้ ีกวา่ ผงขดั ที่ละเอยี ด แต่จะทำให้เคลอื บฟันสกึ มากกวา่ คำแนะนำสำหรับบุคคลท่ัวไปคือเลือกใช้ยาสีฟันที่ไม่แพ้ มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อช่วย ป้องกนั ฟันผุ และผ้ใู ช้ชอบสรรพคณุ กล่ิน และรส ถ้าผิวฟนั มคี ราบบหุ รี่ ชา กาแฟ ตดิ บนตวั ฟนั อาจเลอื ก ใช้ยาสีฟันขจัดคราบสีบนตัวฟัน ผู้ท่ีมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือกอาจเลือกใช้ยาสีฟันท่ีมีสรรพคุณช่วยลดอาการ อักเสบของเหงือก หรือเลือกใช้ยาสีฟันเพ่ือลดอาการเสียวฟัน แต่ต้องปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรักษาสาเหตุ ของโรคเหงือก และอาการเสียวฟันด้วย นอกจากนี้ควรเลือกใช้ยาสีฟันที่มีเลขทะเบียน อย. หรือมีตรา ประตสู สู่ ุขภาพทีด่ ีในทกุ ชว่ งวัยของชีวิต 25
รับรองจากสำนกั งานคณะกรรมการมาตรฐานอตุ สาหกรรมไทย (มอก.) และตรวจสอบ วัน เดือน ปีทีผ่ ลติ ไ มค่ วรนานเกนิ 3 ปี (รายละเอียดเก่ยี วกบั ยาสีฟนั แบบต่างๆอยู่ในเร่อื งผลิตภณั ฑด์ แู ลสขุ ภาพชอ่ งปาก) สรุป ขอ้ แนะนำสำหรับบุคคลทั่วไป คือ 1. ให้แปรงฟนั วิธีขยบั ปดั อย่างนอ้ ยวันละ 2 ครง้ั ที่สำคญั เวลานอนไม่ควรมีเศษอาหารตกค้าง ในชอ่ งปาก และแปรงฟนั ใหท้ ว่ั ถงึ ทุกซี่ ทกุ ด้าน 2. ใช้เวลาแปรงฟนั แตล่ ะครั้งไมต่ ่ำกวา่ 2-3 นาที 3. การเลือกใช้แปรงสีฟัน ควรเลือกแปรงขนอ่อน มีจำนวนกระจุกขนแปรงมาก ปลาย ขนแปรงมน หรอื แปรงทไี่ ดร้ บั การรบั รองคุณภาพจากกรมอนามัย 4. แตล่ ะคนควรมแี ปรงสฟี ันเปน็ ของตนเอง ไมใ่ ชร้ ว่ มกบั ผอู้ ืน่ 5. หลังการใช้แต่ละคร้ังควรล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง ไม่เก็บแปรงสีฟันในที่อับชื้นเพราะจะ ทำใหข้ ึน้ ราได้ง่าย และควรเปลีย่ นแปรงสีฟนั เม่อื ขนแปรงขนึ้ รา รูปทรงบดิ เบีย้ ว หรอื บาน จากปกติ ขนแปรงท่ีเสียรูปอาจทำอันตรายต่อเหงือกได้ โดยทั่วไปแปรงสีฟันมีอายุ การใช้งานประมาณ 3 - 4 เดือน 6. ข้อควรระวังคือ ถ้าใช้แปรงสีฟันท่ีขนแปรงแข็ง หรือเวลาแปรงฟันออกแรงกดมากเกินไป จะทำให้คอฟันสึก เหงือกเป็นแผล และเหงือกร่น การวางขนแปรงสีฟันไม่ถูกต้อง จะทำให้ประสทิ ธิผลของการกำจัดคราบจลุ ินทรีย์ลดลง 7. ยาสีฟนั ใหเ้ ลอื กใช้ตามขอ้ แนะนำขา้ งตน้ 8. สิ่งสำคัญคอื ตอ้ งปฏิบัติอย่างสมำ่ เสมอ เปน็ กิจวตั รประจำวนั ทกุ ๆวนั การดแู ลอนามัยชอ่ งปากดว้ ยการใชไ้ หมขดั ฟนั การแปรงฟันไม่สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ท่ีซอกฟันได้หมด ด้านของฟันที่ชิดติดกันจึงมี โอกาสเกิดฟันผุ และเหงือกบริเวณซอกฟันเกิดการอักเสบได้ง่าย การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากให้ด ี อยู่เสมอ ต้องกำจัดคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟันเป็นประจำทุกวัน โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ไหมขัดฟัน ทำความสะอาดฟันในบริเวณนเี้ ป็นประจำอย่างน้อยวนั ละคร้งั ก่อนหรือหลงั การแปรงฟนั ไหมขัดฟันเป็นกลุ่มของเส้นใยไนล่อนหลายๆ เส้นอยู่รวมกัน เม่ือแทรกอยู่ระหว่างซี่ฟันและ ถูกดึงให้โอบรอบตัวฟัน ขยับไป-มา ขึ้น-ลง เส้นใยจะแตกออก ช่วยครูดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหาร ท่ีติดอยู่ตามซอกฟันออกมา ไหมขัดฟันส่วนใหญ่มีสีขาว มีการแต่งกล่ิน และมีท้ังชนิดท่ีเคลือบและ ไม่เคลือบขผี้ ง้ึ การใชไ้ หมขัดฟนั ถ้าทำไมถ่ ูกวิธีอาจทำให้เกิดอันตรายตอ่ เหงอื กได้ จงึ ตอ้ งฝกึ วธิ ีใชใ้ หถ้ ูกต้อง การใช้ในคร้ังแรกๆ ควรเลอื กไหมขดั ฟันชนดิ เคลอื บข้ีผง้ึ เพราะจะใชไ้ ดง้ า่ ยกว่า วิธีใชไ้ หมขดั ฟัน 1. ใช้ไหมขัดฟันยาวประมาณ 1 ฟุต ผูกปลาย 2 ข้างเข้า ด้วยกนั ให้เปน็ วงกลม ใชน้ ิ้วหัวแมม่ ือและน้วิ ชด้ี งึ เสน้ ใยใหต้ ึง 2. ค่อยๆ ถูเส้นใยไปมาใหผ้ า่ นจุดสัมผสั ของฟนั 2 ซ่ี ทตี่ อ้ งการ ทำความสะอาด ห้ามใช้แรงกดผ่านจุดสัมผัสโดยตรง เพราะอาจย้ังมือไม่อยู่ 26 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
และเส้นใยบาดเหงือกได้ เม่ือผ่านจุดสัมผัสเข้าไปอยู่ระหว่างฟันสองซี่แล้ว ดึงเส้นใยให้โอบแนบกับด้านข้าง ของฟนั ทลี ะซี่ 3. ขยับเส้นใย ข้ึน-ลง ไป-มา คล้ายเลื่อยเพ่ือครูดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ออก ทำแบบน้ีจนครบทุกซอกฟนั และอยา่ ลมื ใช้ไหมขดั ฟนั กับดา้ นท้ายของฟนั ซี่ในสุดด้วย ปกติไหมขัดฟันจะไม่ขาดในขณะใช้งาน ถ้าขาดอาจมีฟันผุท่ีตำแหน่งน้ันหรือวัสดุอุดบิ่น แตก หรือมีหินปูน จงึ ควรแนะนำใหไ้ ปตรวจกับ ทันตบุคลากร 3. การตรวจและเฝ้าระวังสขุ ภาพช่องปาก โรคในช่องปากมีธรรมชาติเช่นเดียวกับโรคทาง ร่างกายอ่ืนๆ คือ ถ้าค้นพบและทำการรักษาต้ังแต่เร่ิมแรก ผลการรักษาจะดี ไมเ่ สยี เวลา ไม่ทรมาน และใช้งบประมาณการ รักษาน้อยกว่า การตรวจฟันด้วยตนเองเป็นวิธีการเบ้ืองต้นท่ีจะ ทำให้ทราบว่าเราแปรงฟันสะอาดดีหรือยัง มีฟันผุ หรือเหงือก อักเสบท่ีใด มีสิ่งผิดปรกติอะไรในช่องปาก เมื่อตรวจพบว่ามี ปญั หาจะได้รีบแก้ไข และถา้ พบวา่ สขุ ภาพชอ่ งปากของเราดีก็จะ ได้รกั ษาสภาพนไ้ี วต้ ่อไป การตรวจฟันด้วยตนเองเป็นทักษะที่ควรฝึกปฏิบัติ ตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อให้คุ้นเคยและปฏิบัติได้เป็นประจำ (วิธีการ ตรวจฟันด้วยตนเอง รายละเอียดอยู่ในเร่ืองการสร้างเสริม สุขภาพช่องปากเด็กวัยเรียนและเยาวชน) อย่างไรก็ตามเป็นการ ยากท่ีจะตรวจฟันด้วยตนเองได้ทั่วทุกซี่ ทุกด้าน ดังน้ันจึงควรไปรับการตรวจจากทันตบุคลากรด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเร่ิมมีอาการบางอย่าง เช่น เสียวฟัน เศษอาหารติดตามซอกฟัน เหงือกเป็นแผล เปน็ ต้น ประตสู ่สู ขุ ภาพทีด่ ีในทกุ ชว่ งวยั ของชีวิต 27
ผลติ ภณั ฑด์ แู ลส ขุ ภาพช่องปาก วกิ ุล วสิ าลเสสถ์, นนทนิ ี ตัง้ เจริญด ี ผลติ ภัณฑ์ที่ใชด้ ูแลสุขภาพช่องปาก (oral hygiene products) ส่วนใหญม่ สี ำหรบั ใช้ทำความ สะอาดช่องปาก กำจัดและลดการสะสมคราบจลุ ินทรีย์ทีเ่ หงอื กและฟนั บางอยา่ งใช้เพ่ือบำบัดอาการ หรือ เพอ่ื ความสวยงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสขุ ภาพช่องปากแบ่งตามลกั ษณะการใชง้ านได้ 2 กลุ่ม คอื 1. กลุ่มเคร่ืองมือ อุปกรณ์ ได้แก่ แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน แปรงซอกฟัน ไม้จิ้มฟัน อุปกรณ์ ทำความสะอาดลนิ้ 2. กลุ่มเครื่องสำอางหรือยา ได้แก่ ยาสีฟัน สารฟอกสีฟัน สารระงับอาการเสียวฟัน และ น้ำยาบว้ นปาก การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่องปากให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรใช้ให้เหมาะสมกับสภาพ ช่องปากของแต่ละบุคคล โดยพิจารณาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การใช้อย่างถูกวิธี ความถนัดและ ความสอดคล้องกับวิถีชีวิต ช่วงวัย และความใส่ใจของผู้ใช้ รวมท้ังอาจมีข้อจำกัดในกลุ่มผู้มีปัญหาพิเศษ ซึ่งต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากเกินความจำเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ช ่องปากทม่ี จี ำหน่ายทัว่ ไป ไดแ้ ก่ 1. แปรงสีฟัน (toothbrush) ในการเลือกใช้แปรงสีฟันจุดที่พิจารณาคือหัวแปรง ด้ามแปรง ขนแปรง และฉลาก ควรเลือกแปรงสีฟันท่ีระบุกลุ่มอายุตรงกับผู้ใช้ เพราะจะมีขนาดหัวแปรง เหมาะสมกับช่องปาก แปรงสีฟันท่ีมีหัวแปรงใหญ่ เวลาแปรงฟันจะกระแทกเหงือกและกระพุ้งแก้มได้ง่าย เมื่อแปรงฟันด้านทางลิ้นจะทำได้ไม่ถนัด และอาจกระตุ้นให้อยากอาเจียน รูปร่างหัวแปรงควรมน ไม่เป็น เหล่ียมมุม ด้ามแปรงมีรูปร่างตรงหรือเอียงเล็กน้อย จับถนัดมือ แข็งแรงไม่เปราะหักง่าย ตรวจสอบข้อมูล ขนแปรงบนฉลาก ให้เลือกแปรงสีฟันท่ีขนแปรงทำจากไนล่อนชนิดนุ่มถึงนุ่มพิเศษ และมนปลายขนแปรง เพือ่ ไม่ให้ทำอนั ตรายต่อเหงอื กและฟัน นอกจากแปรงสีฟันท่ัวไปที่กล่าวข้างต้น ยังมีแปรงสีฟันไฟฟ้าซึ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ที ่ ไม่สามารถใช้มือได้ดี เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยท่ีต้องช่วยแปรงฟันให้ คนท่ัวไปท่ีแปรงฟัน ถูกวิธี การแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันไฟฟ้ามีประสิทธิผลในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ไม่ต่างจากการใช้ แปรงสฟี นั ทัว่ ไป มเี พยี งแปรงสฟี ันไฟฟา้ ชนิดหัวแปรงหมุนเปน็ วงกลม ไป-กลบั (rotation oscillation) ท่ี พบว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าแปรงสีฟันทั่วไปเล็กน้อย แต่แปรงสีฟันไฟฟ้ามีราคาสูง ทำให้ต้นทุนในการดูแล ส ขุ ภาพ ชอ่ งปากเพมิ่ ขึน้ และยงั ต้องใช้ตามคำแนะนำของบริษัทผูผ้ ลติ อยา่ งเคร่งครดั 2. ยาสีฟัน (toothpaste) มสี ว่ นผสมประกอบด้วย สารขัดถู สารลดแรงตงึ ผิว สารทำให้ เกิดฟอง สารยึดเกาะทำให้ข้น สารควบคุมความเป็นกรด-ด่าง สารกันเสีย สารปรุงแต่งกล่ิน รส ส ี สารคงความชุ่มชื้น และสารเสริมเช่น ฟลูออไรด์ สารลดอาการเสียวฟัน สารยับย้ังแบคทีเรีย สารทำให้ ฟันขาว สารให้ความเยน็ สารกระชบั เหงอื ก สารสกัดสมนุ ไพร ลกั ษณะยาสฟี นั ทด่ี คี ือ ถา้ เปน็ ยาสีฟันผงต้อง เป็นผงละเอียด ถ้าเป็นยาสีฟันเหลวหรือเหลวข้นต้องเป็นเน้ือเดียวกันตามลักษณะเฉพาะของยาสีฟันนั้นๆ 28 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
และตอ้ งปราศจากสง่ิ แปลกปลอม มีค่า pH. 5.5 - 10.5 และกรณมี ีฟลอู อไรดเ์ ป็นสว่ นผสม ควรมีปรมิ าณ ฟลอู อไ รด์ 500 - 1500 ppm. ยาสีพันท่ีเติมสารเสริม มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะการใช้เฉพาะเจาะจง ซ่ึงปัจจุบันมีแพร่หลายมากขึ้น และส่วนใหญ่มีราคาแพงกว่ายาสีฟันท่ัวไป ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงควรใช้ยาสฟี นั ให้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ ดังน้ี 2.1 ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ป้องกันฟันผไุ ด้รอ้ ยละ 20 - 40 เหมาะสำหรับคนทกุ วยั ทมี่ ี ปัญหาหรือมีปจั จยั เสยี่ งโรคฟันผุ คำแนะนำการใช้คอื 1. ควรใช้ยาสีฟันผสมฟลอู อไรดอ์ ย่างน้อยวันละ 2 ครง้ั และแปรงฟนั นาน 2-3 นาที เพื่อให้ ฟลอู อไรด์จากยาสฟี ันสัมผสั ผิวฟนั เป็นเวลานานพอท่จี ะเกิดผลในการปอ้ งกนั ฟนั ผุ 2. สูตรท่ีนิยมคือ ฟลูออไรด์เข้มข้น 1,000 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) ซึ่งให้ผลในการป้องกัน ฟันผดุ ีกวา่ สตู รฟลอู อไรด์ 500 ppm. 3. เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เด็กที่รับประทานฟลูออไรด์เสริมในรูปยาเม็ด ยาน้ำ วิตามิน หรือ นมผสมฟลูออไรด์ รวมทั้งเด็กท่ีด่ืมน้ำจากแหล่งน้ำท่ีมีฟลูออไรด์สูง (ได้แก่บางพ้ืนท่ีใน จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สงขลาฯลฯ ซ่ึงสอบถามข้อมูลปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภคได้ท่ีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) เด็กกลุ่มนี้ควรใช้ยาสีฟันที่มีความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในขนาดต่ำ และเก็บยาสีฟันให้พ้น มือเด็ก การกลืนหรือกินยาสีฟันอาจทำให้เด็กได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป ซ่ึงทำให้เกิด ฟันตกกระได้ จึงควรใชย้ าสฟี ันแต่น้อย โดยปรมิ าณทีแ่ นะนำให้ใช้คือ อายเุ ด็ก ปริมาณยาสีฟนั โดยประมาณ 6 เดอื น - 1 ปี 6 เดอื น แตะขนแปรงพอชน้ื 1 ปี 6 เดือน – 3 ป ี เทา่ เมลด็ ถ่ัวเขยี ว 3-6 ป ี เท่าเมล็ดขา้ วโพด 6 ปขี ้นึ ไป ยาว 1 เซนตเิ มตร 2.2 ยาสีฟันสมุนไพร ยาสีฟันสมุนไพรบางชนิดสามารถลดการอักเสบของเหงือกได้ แต่ไม่ได้ป้องกันฟันผุ จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฟันผุ แต่เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาเหงือกอักเสบ ข้อควร ระวังคือยาสีฟันสมุนไพรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน อาจพบสารปนเปื้อนหรือเชื้อจุลินทรีย์ที่ติดมากับวัตถุดิบได้ จ งึ ควรเลือกซือ้ ยาสีฟันท่ีมีตรา อย. หรอื มอก. และดวู นั ผลติ ทไี่ ม่ควรนานเกนิ 3 ปี 2.3 ยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน อาการเสียวฟันมักพบในกรณีที่มีเหงือกร่น คอฟันสึก ซ่ึงเกิดจากการแปรงฟันผิดวิธีคือวางขนแปรงต้ังฉากกับคอฟันและใช้แรงมากเกินไป หรือใช้แปรงสีฟันที่มี ขนแปรงแข็ง นอกจากน้ีอาจพบในกรณีเป็นโรคฟันผุ หรือมีฟันกร่อนจากการรับประทานอาหารรสเปรี้ยวจัดบ่อยๆ ยาสฟี นั ทีใ่ ชล้ ดอาการเสียวฟนั มีสารเสริม ได้แก่ สตรอนเทียมคลอไรด์ (strontium chloride), โปตัสเซ่ียม ไนเตรท (potassium nitrate), โซเดียมซิเตรท (sodium citrate), อาร์จีนีนไบคาร์บอเนต (arginine bicarbonate) และส่วนใหญ่ต้องใช้ต่อเน่ืองกันสองสัปดาห์ขึ้นไป จึงลดอาการเสียวฟันได้ชัดเจน อย่างไร ก ็ตามควรพบทนั ตแพทยเ์ พอื่ ตรวจวินจิ ฉัย และรับการรกั ษาสาเหตทุ ีท่ ำให้เสียวฟันด้วย 29 ประตสู ู่สขุ ภาพที่ดีในทกุ ชว่ งวยั ของชีวิต
2.4 ยาสีฟันควบคุมหินปูน มีสารเสริม ได้แก่ ไพโรฟอสเฟต (pyrophosphates), ไตรโคลซาน (triclosan), ซิงก์ซิเตรท (zinc citrate) การใชอ้ ยา่ งต่อเนื่องจะสามารถควบคมุ การเกิดหนิ ปนู เหนือเหงอื กได้ แต่ข้อควรระวัง คือ อาจมอี าการเสยี วฟัน หรอื เกิดการแพ้สารท่ผี สมในยาสฟี นั ได้ 2.5 ยาสฟี นั ทำใหฟ้ นั ขาว มี 2 ประเภท คอื 1. ยาสีฟันท่ีมีส่วนผสมของสารฟอกสีฟัน ได้แก่ 10% คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ หรือ 3% ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ยาสีฟันกลุ่มนี้อนุญาตให้ขายได้เฉพาะในร้านขายยา และควรปรึกษา ทนั ตแพทยก์ ่อนใช้ เพราะอาจมผี ลแทรกซ้อนทำใหเ้ สียวฟนั ได ้ 2. ยาสฟี ันทีม่ ผี งขัดหยาบ หรือผสมสารบางชนิดที่ทำให้คราบทตี่ ิดแน่นหลุดงา่ ยขึ้น ใช้กำจัดคราบสีบนตัวฟัน เช่น คราบน้ำชา กาแฟ บุหรี่ ทำให้ฟันขาวข้ึนเท่ากับสีฟันเดิมตามธรรมชาติ ยาสีฟนั กล่มุ น้ีไมแ่ นะนำใหใ้ ช้เป็นประจำ เน่อื งจากผงขัดท่ีหยาบอาจขดั ถผู ิวเคลอื บฟันให้สกึ กร่อน 3. อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟัน อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันมีหลายแบบ ได้แก่ ไหมขัดฟัน แปรงซอกฟนั ไมจ้ ้ิมฟนั และเครอื่ งฉดี นำ้ ในปาก การเลอื กใช้ให้พจิ ารณาจากสภาพเหงือกและ ฟนั ของแต่ละคน จากนัน้ จึงเลอื กตามความชอบหรอื ความถนัด 3.1 ไหมขดั ฟัน (dental floss) ประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ หลายเส้นเรียงตัวขนานกัน คล้ายเส้นด้าย เวลาใช้งานเส้นใยเล็กๆ จะคล่ีแผ่ออกเป็นแถบเพื่อทำความสะอาดผิวฟัน เส้นด้ายนำมาใช้ แทนไหมขัดฟันไม่ได้ เพราะเส้นใยของด้ายถูกถักรวมกันไม่สามารถแผ่ออกได้ การเลือกใช้ไหมขัดฟัน แนะนำให้ใช้ชนิดเคลือบขี้ผึ้ง (waxed) กับฟันท่ีสัมผัสกันไม่แน่นมาก และสำหรับผู้ที่เริ่มใช้ ส่วนชนิดไม่ เคลือบข้ีผึ้ง (unwaxed) เหมาะสำหรับฟันที่อยู่ชิดกันแน่นมาก ไหมขัดฟันทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพ เหมือนกันหากใช้ถูกวิธี ปัจจุบันมีการผลิตไหมขัดฟันในรูปแบบต่างๆ เช่น ไหมขัดฟันชนิดพิเศษสำหรับผู้ที่ ใส่ฟนั ปลอมชนดิ ติดแน่น หรอื ใสเ่ ครื่องมือจัดฟนั ไหมขดั ฟนั แบบเสน้ แถบซง่ึ มแี ถบแบนกว้างกว่าไหมขัดฟนั ปกติ ไหมขดั ฟันทม่ี ีดา้ มจบั ชว่ ยให้ใช้ได้ง่ายขน้ึ เวลาใช้กบั ฟนั กรามท่ีอยู่ดา้ นในแตพ่ บวา่ ประสิทธิภาพยังไม่ดี เท่าการใชน้ ้วิ มอื พันไหมขัดฟัน เนือ่ งจากไม่สามารถโอบรอบซ่ีฟันไดด้ ี และทำใหบ้ าดเหงือกเปน็ รอ่ งได้ ไหมขดั ฟันชนิดพิเศษ (Superfloss) ไหมขัดฟนั แบบเสน้ แถบ ไหมขัดฟนั พร้อมดา้ มจบั 30 การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปาก
แปรงซอกฟนั แบบตา่ งๆ ใช้ทำความสะอาดซอกฟนั ท่มี ขี นาดใหญ่ การใชแ้ ปรงกระจุกเดียว 3.2 แปรงซอกฟัน ใช้ทำความสะอาดบริเวณซอกฟันท่ีมีฟันห่าง ซอกฟันใหญ่ หรือ ใช้ทำความสะอาดบริเวณช่องระหว่างรากฟันในกรณีที่เหงือกร่น แปรงซอกฟันมีลักษณะคล้าย แปรงล้างขวดอันเล็กๆ หัวแปรงมีสองแบบ คือ แบบทรงกระบอก (cylinder) และแบบต้นสน (taper) ให้เลือกใช้ตามขนาดความกว้างของซอกฟัน วิธีใช้ โดยใส่เข้าไปในซอกฟันหรือร่องระหว่างรากฟัน ใหข้ นแปรงชิด ผิวฟนั แล้วถเู ข้าออก 5-6 ครัง้ ควรใช้ดา้ มจับช่วยเพือ่ ใหใ้ ช้งานไดถ้ นดั ขนึ้ โดยเฉพาะการใช้ กบั ฟนั กรามทอ่ี ยดู่ า้ นใน 3.3 แปรงกระจุกเดียว (single tufted brush) ใช้ทำความสะอาดฟันบริเวณ ท่ีเขา้ ถงึ ยาก เชน่ ด้านทา้ ยสดุ ของฟันลา่ ง ฟันเก ฟันล้มเอยี ง หรอื ผู้ท่ีใสเ่ คร่ืองมอื จดั ฟนั วิธีใช้ กวาดขนแปรง ไปตามคอฟัน เมื่อถึงซอกฟันให้ขยับขนแปรงอยู่กับท่ี แล้วปัดออกทางด้านบดเคี้ยว ทำเช่นน้ีกับฟันทุกซ ี่ ทต่ี ้องการแปรง 3.4 ไม้จิ้มฟัน ใช้สำหรับเขี่ยเศษอาหารท่ีติดซอกฟัน และทำความสะอาดซอกฟัน มีทั้ง ชนิดท่ีทำด้วยไม้และพลาสติก ไม้จ้ิมฟันท่ีดีต้องมีผิวเรียบ ไม่เป็นขุยหรือมีรอยฉีก สะอาดไม่มีส่ิงเจือปน หรือผ่านการฆ่าเช้ือแล้ว ควรเลือกใช้ไม้จิ้มฟันที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายเรียวแหลม (triangular shape) เพ่ือใหส้ ามารถเขา้ ตามชอ่ งว่างระหวา่ งฟนั และเหงือกได้ ถ้าทำจากไมเ้ นอื้ อ่อนอมน้ำได้ดี ไม้จมิ้ ฟนั ชนิดนี้ทางทันตกรรมเรียกว่าไม้กระตุ้นเหงือก วิธีใช้ สอดปลายแหลมของไม้เข้าไประหว่างซอกฟัน ให้ฐาน ของสามเหลี่ยมอยู่ที่เหงือก ด้านข้างของไม้จิ้มฟันแนบด้านข้างของฟันซ่ีใดซ่ีหน่ึง หรือ 2 ซ่ีพร้อมกัน แล้ว ถูเขา้ ออก 4- 5 คร้ัง ทำเชน่ น้ีทกุ ซอกฟนั ทม่ี ชี ่องวา่ งระหว่างฟัน ดังรปู ประตสู ูส่ ขุ ภาพที่ดีในทกุ ช่วงวยั ของชีวิต 31
ข้อควรระวัง 1. ห้ามใช้ไม้จ้ิมฟันทุกประเภทในลักษณะดัน แคะ หรืองัดเพื่อกำจัดเศษอาหาร เพราะจะทำอันตรายต่อเหงือก และอาจทำให้วัสดอุ ุดฟันชำรุดเสียหาย 2. ในผู้ท่ีเหงือกร่น รากฟันโผล่ การใช้ไม้จ้ิมฟัน อยา่ งรุนแรงจะทำให้ผิวรากฟันสกึ ได้ 3. การเสียบไม้จิ้มฟันค้างไว้ตรงซอกฟัน หรือหมุน ไม้จิ้มฟันในซอกฟัน จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันมากข้ึน และทำใหเ้ หงอื กร่นได้ วิธใี ชไ้ ม้จ้ิมฟัน 4. อุปกรณ์ทำความสะอาดล้ิน ผู้ใหญ่โดย เฉพาะผู้สูงอายุควรทำความสะอาดล้ินเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากด้านบนของลิ้นเป็นที่กักเก็บคราบจุลินทรีย์ ซ่ึงเป็น สาเหตุของกล่ินปาก การทำความสะอาดลิ้นอาจใช้แปรงสีฟัน แปรงลิ้นเบาๆ หรือใช้อุปกรณ์ที่ผลิตมาเฉพาะทำความสะอาด ลิ้น อุปกรณ์ทำความสะอาดลิ้นท่ีดีต้องไม่แหลมคม มีด้ามจับ ถนัดมือ วิธีใช้ ครูดหรือแปรงท่ีด้านบนของล้ิน โดยกวาด จากโคนล้ินออกมาทางปลายลนิ้ ในทศิ ทางเดยี ว ไมค่ วรถูเข้า-ออก เพราะจะกระตนุ้ ให้อยากอาเจยี น ข้อควรระวัง คืออย่าใช้แรงมากเกินไปจะทำอันตรายต่อตุ่มรับรสบนล้ินได้ และยังไม่มี คำแนะนำให้ใช้กับเด็กเล็ก หากจำเป็นต้องทำความสะอาดลิ้นให้เด็กเล็กควรใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซชุบน้ำ สะอาดเชด็ เบาๆ ก็เพยี งพอ 5. เครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดช่องปาก เป็นอุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดซอกฟัน โดยใช้แรงดันน้ำช่วยชะล้างเศษอาหารให้หลุด เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ฟันเทียมแบบติดแน่น ผู้ที่ใส่เครื่องมือ จัดฟัน ผู้ท่ีมีรากฟันเทียม ผู้สูงอายุ และใช้ช่วยทำความสะอาดช่องปากให้กับผู้ที่ช่วยตนเองไม่ได้ วิธีใช้ ฉดี น้ำให้ตั้งฉากกบั ตวั ฟนั ใหเ้ ส้นนำ้ พุ่งเข้าในซอกฟนั โดยปรบั แรงดันที่ตวั เครือ่ งตามตอ้ งการ ในผู้ท่ีมเี หงือก อักเสบรุนแรงอาจเติมยาฆ่าเชื้อลงไปในน้ำ เพ่ือช่วยควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ และลดอาการอักเสบของ เหงือก ซึ่งตอ้ งใช้ตามคำแนะนำของทันตแพทยเ์ ท่านัน้ ขอ้ ควรระวัง การตง้ั แรงฉดี น้ำที่แรงเกนิ ไปอาจทำอนั ตรายตอ่ เหงือกได้ และเคร่ืองมือนี้ไม่สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่ติดแน่น บนผวิ ฟนั ได้ จงึ ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟนั หรอื การใช้ไหมขัดฟนั ได ้ เคร่อื งมอื ฉดี นำ้ ทำความสะอาด ซอกฟัน (Oral irrigator) 32 การสร้างเสริมสขุ ภาพช่องปาก
6. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฟันปลอมหรือฟันเทียม การทำความสะอาดฟันปลอมตาม ปกติใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่ม ร่วมกับน้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างจาน แปรงฟันปลอมเบาๆ (ห้ามใช้ ผงซักฟอก) จากน้ันล้างน้ำให้สะอาด ไม่ลวกหรือแช่ในน้ำร้อนเพราะจะทำให้ฟันปลอมท่ีทำจากพลาสติก ผิดรูป ในกรณีท่ีฟันปลอมติดคราบสี คราบบุหร่ี คราบอาหาร ล้างไม่ออก หรือมีกลิ่นตกค้าง อาจใช ้ สารทำความสะอาดฟันปลอมโดยเฉพาะซึ่งจะช่วยกำจัดเชื้อโรค คราบติดแน่น และกล่ิน ทำให้ฟันปลอม ส ะอาด และผใู้ ช้รู้สกึ สดชืน่ ขน้ึ มีทง้ั แบบครมี เจล สารละลาย และแบบเมด็ สำหรบั ใสน่ ้ำใหเ้ กดิ ฟองฟู่ ข้อควระวัง การใช้สารทำความสะอาดฟันปลอมผิดวิธี อาจทำให้ฟันปลอมเสื่อมสภาพได้เร็ว จึงควรใช้ตามคำแนะนำของบริษทั ผ้ผู ลติ อย่างเครง่ ครดั หรือขอคำแนะนำจากทนั ตแพทย์ 7. น้ำยาบ้วนปาก แบ่งเปน็ 2 ประเภทตามจุดประสงคข์ องการใช้ คอื 1) ใช้บ้วนปากเพื่อช่วยให้เศษอาหารหลุดง่ายขึ้น ลดเช้ือจุลินทรีย์ในปาก และช่วยลด กล่ินปาก ทำให้รู้สึกสดช่ืน น้ำยาบ้วนปากท่ีจำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นน้ำยาบ้วนปากประเภทน้ี สามารถซื้อมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามถ้าแปรงฟันให้สะอาดท่ัวถึง และใช้อุปกรณ ์ ทำความสะอาดซอกฟันเปน็ ประจำ ไม่จำเปน็ ต้องใชน้ ้ำยาบ้วนปากอีก 2) ใช้เพ่ือป้องกันหรือบำบัดรักษา ได้แก่ น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ น้ำยาบ้วนปากควบคุมคราบจุลินทรีย์ และป้องกันเหงือกอักเสบ ซึ่งมีส่วนผสมของสารท่ีมีฤทธ์ิทำลาย เช ้อื จลุ ินทรยี ์ จงึ ควรใชภ้ ายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ น้ำยาบ้วนปากเป็นสิ่งท่ีใช้เสริมการแปรงฟันเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันและ การใช้ไหมขัดฟันได้ โดยทั่วไปให้ใช้อมบ้วนปากหลังการแปรงฟันและทำความสะอาดซอกฟันแล้ว วิธีใช้ ให้อมกลวั้ น้ำยาใหส้ มั ผัสเหงือกและฟนั ทวั่ ปากแลว้ บว้ นทิง้ หา้ มกลืน หลงั ใชน้ ้ำยาบ้วนปากหา้ มรับประทาน อาหาร นำ้ เครอื่ งด่ืม หรือสูบบหุ รอ่ี ยา่ งนอ้ ย 30 นาที รวมทั้งห้ามเดก็ อายุตำ่ กว่า 6 ปี ใชน้ ำ้ ยาบว้ นปาก การเลอื กน้ำยาบว้ นปากชนดิ ต่าง ๆ มขี ้อแนะนำดงั น้ี น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ แนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีฟันผุง่าย ผู้ที่ใส่เคร่ืองมือจัดฟัน หรือ ผปู้ ่วยที่ได้รบั การฉายรงั สรี ักษามะเร็งบริเวณช่องปากและลำคอ น้ำยาบ้วนปากผสมสารสกัดจากพืชหรือสมุนไพร สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพรช่วยให้น้ำยา บ้วนปากมีกล่ินหอมและรสชาติดีข้ึน ช่วยระงับกลิ่นปาก และช่วยลดการอักเสบในช่องปากได้ เนื่องจาก มคี ณุ สมบัตเิ ปน็ สารฆา่ เช้ือ และชว่ ยลดการเกิดคราบจลุ ินทรียไ์ ด้บ้าง พชื หรือสมุนไพรที่นิยมใช้ ได้แก่ มงั คุด เปลือกทุเรียน ชาเขยี ว ไพล ใบฝรง่ั ว่านหางจระเข้ ชะเอม กานพลู เป็นต้น น้ำยาบ้วนปากก่อนการแปรงฟัน ใช้อมก่อนการแปรงฟันเพื่อช่วยทำให้คราบจุลินทรีย์อ่อนตัว และหลุดออกง่าย กลไกการทำงานยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน และรายงานการวิจัยยังไม่ยืนยันถึง ประสิทธิภาพทแี่ น่นอน ประตูสูส่ ขุ ภาพทีด่ ีในทกุ ช่วงวยั ของชีวิต 33
น้ำยาบ้วนปากผสมคลอเฮ็กซิดีน คลอเฮ็กซิดีนมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และ ยดึ เกาะผวิ ฟนั และเนอ้ื เยือ่ ในช่องปากได้ดี จงึ คงประสทิ ธิผลในการฆา่ เช้ือในปากได้นาน ส่วนใหญใ่ ช้ควบคุม การติดเช้ือในช่องปาก เช่นใช้ระหว่างหรือหลังการรักษาโรคปริทันต์ หลังการผ่าตัดในช่องปาก หรือใช้ลด ความรนุ แรงเฉียบพลนั ของโรคปริทนั ต์ ซง่ึ จะใชใ้ นระยะเวลาสนั้ ๆ นอกจากนย้ี งั ใช้เสริมการทำความสะอาด ชอ่ งปากในผสู้ ูงอายุ หรือผ้ทู ม่ี ีขอ้ จำกัดทางการแพทยบ์ างประการ เชน่ ผู้ป่วย ผู้พิการ การใชน้ ำ้ ยาบ้วนปาก ชนิดน้ีติดต่อกันนานๆ จะทำให้เกิดคราบสีน้ำตาลบนตัวฟัน บนลิ้น บนวัสดุอุดฟัน อาจทำให้การรับ รสอาหารเสียไป และหา้ มใช้ในผทู้ ่แี พ้สารคลอเฮก็ ซิดีน น้ำยาบ้วนปากผสมเอสเซนเชียลออยล์ ช่วยลดกลิ่นปาก และลดคราบจุลินทรีย์ ลดการ อักเสบของเหงือกเมื่อใช้อย่างต่อเน่ือง สารสำคัญในเอสเซนเชียลออยล์ คือ eucalyptol, thymol, methyl salicylate และ menthol ซ่งึ ทงั้ หมดนล้ี ะลายในแอลกอฮอล์ ข้อควรระวัง น้ำยาบ้วนปากท่ีมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอาจทำให้รู้สึกแสบร้อนในปาก และ เป็นอันตรายหากกลืนกินลงไป จึงไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และไม่เหมาะกับผู้สูบบุหร่ีเพราะเพิ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งช่องปาก นอกจากน้ีน้ำยาบ้วนปากหลายชนิด หากใช้ในความเข้มข้นสูง อาจทำให้เกิดคราบสีติดผิวฟัน เกิดการระคายเคืองต่อเน้ือเยื่ออ่อนในปาก เกิดแผลในปากทำให้เจ็บปวด การรบั รสผิดปกติ เกดิ อาการชา และเสียวบรเิ วณรากฟันได้ 34 การสร้างเสริมสขุ ภาพชอ่ งปาก
การสร้างเสริมสุขภาพช่องปากหญงิ ตัง้ ครรภ ์ จนั ทนา อึง้ ชศู ักด,ิ์ เมธนิ ี คปุ พิทยานนั ท ์ ปัญหาสขุ ภาพชอ่ งปากของหญิงตงั้ ครรภ ์ ช่วงต้ังครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ผู้ต้ังครรภ์มีโอกาสเกิดโรคเหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบรุนแรง กว่าช่วงเวลาอื่น รวมท้ังอาจเกิดฟันผุได้มากขึ้นด้วย จนมีคำกล่าวว่ามีลูกหนึ่งคนจะเสียฟันไปหน่ึงซ ่ี เก่ียวกับเร่ืองนี้เดิมเข้าใจว่ามีสาเหตุมาจากลูกแย่งแคลเซียมจากฟันแม่ไปสร้างกระดูก ซ่ึงเป็นความเข้าใจ ที่ไม่ถูกต้อง สาเหตุท่ีทำให้หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดโรคเหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบรุนแรงกว่า ช่วงเวลาอ่ืนเพราะมีการเปล่ียนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น มากข้ึน จึงเกิดการอักเสบมากข้ึน ส่วนท่ีเกิดฟันผุได้มากขึ้นเน่ืองจากมีการรับประทานอาหารบ่อยคร้ัง รวมท้ังการอาเจียนบ่อยๆ ขณะแพ้ท้องยังทำให้เกิดปัญหาฟันกร่อน จากการที่ฟันสัมผัสน้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์ เปน็ กรด ปัญหาสุขภาพในช่องปากแม่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของลูก การเป็น โรคเหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบในระยะตั้งครรภ์ จะส่งผลกระทบต่อภาวะต้ังครรภ์และการคลอด ในชว่ งการเลย้ี งดลู กู แม่ทีเ่ ปน็ โรคฟนั ผยุ งั ทำใหล้ ูกมคี วามเสย่ี งที่จะเปน็ โรคฟนั ผเุ พิ่มขนึ้ ดว้ ย การสนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพช่องปากและสามารถดูแล สุขภาพช่องปากตนเองได้อย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเส่ียงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะต้ังครรภ์ และการคลอด รวมทง้ั ลดความเส่ยี งต่อการเกดิ โรคฟันผใุ นเดก็ เลก็ ด้วย ผลกระทบของปัญหาสุขภาพช่องปากช่วงการตั้งครรภ์ต่อการตั้งครรภ์และ การคลอด จากการศึกษาของ Offenbacher S. และคณะ พบ หญิงต้ังครรภ์ท่ีเป็นโรคปริทันต์มีความเสี่ยง ที่จะมีปัญหาการคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกคลอดมีน้ำหนักตัวน้อยสูงถึง 7.5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบ กับหญิงตั้งครรภ์ท่ีไม่ได้เป็นโรคปริทันต์ โดยอธิบายกลไกความสัมพันธ์ระหว่างโรคปริทันต์อักเสบ กับผลกระทบนี้ว่า การท่ีร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านเช้ือจุลินทรีย์ท่ีทำให้เกิดโรคปริทันต์ซ่ึงอยู่ในบริเวณ ร่องเหงือกมากกว่าปกติ นอกจากทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดการทำลายของอวัยวะปริทันต์แล้ว กลไก การอกั เสบทเ่ี กิดขน้ึ ยงั กระตนุ้ ใหร้ ะดบั ของ inflammatory cytokines และ C-reactive protein (CRP) ในกระแสเลือดเพ่ิมขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดที่มดลูกไม่ทำงานตามปกติ ทำให้เด็กในครรภ์ได้รับสารอาหาร น้อยลง อจุ้งึงเไชมิง่เกตริบาโนตขตยามายอตายัวุครแรลภะ์ เกแิลดะกมาีผรฉลีตก่อขเานดื่อขงอไปงเกนร้ือะเตยุ้นื่อกทาี่ปราสกร้ามงดลpูกrosจtึงaทgำlaใnหd้มiีโnอกEา2สทคำลใอหด้มกด่อลนูก บีบตัว กำหนดได้ ประตสู ู่สุขภาพที่ดีในทุกช่วงวยั ของชีวิต 35
การคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาสาธารณสุข ท่ีสำคัญ เพราะเป็นสาเหตุการตายของทารกที่พบบ่อย และอาจทำให้ทารกพิการ รวมท้ังยังมีผลกระทบต่อการ เจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็กในระยะยาวด้วย ทารก ที่คลอดก่อนกำหนดจะมีน้ำหนักตัวน้อย อวัยวะต่างๆ ยงั ไมส่ ามารถทำงานไดอ้ ย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ระบบ การหายใจ ทำให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ จึงมีค่าใช้จ่ายสูง เปน็ ภาระทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั และประเทศชาติ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสุขภาพชอ่ งปากแมก่ บั สุขภาพชอ่ งปากลกู ในช่วงการเล้ียงดูลูก สุขภาพช่องปากของแม่และ ผู้เลี้ยงดูมีผลต่อการเกิดฟันผุในเด็ก โดยแม่และผู้เล้ียงด ู ที่สุขภาพช่องปากไม่ดี มีฟันผุมาก ลูกก็จะมีปัญหาฟันผุมาก ด้วยเช่นกัน ท้ังน้ีเพราะเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ มิวแทนส์ สเตร็พโตค็อกไซ จะส่งต่อจากแม่หรือคนเล้ียงดู ไปสู่เด็กผ่านทางน้ำลาย เช่น จากการใช้ช้อน/ถ้วยน้ำร่วมกัน การเป่าอาหาร ชมิ อาหารเดก็ การจูบ และอมมอื เด็ก การเกิด ฟันผุในเด็กจะเกิดได้ง่ายขน้ึ หากไดร้ ับเชื้อซ้ำๆ และบ่อยครง้ั จากการศึกษาพบ แม่หรือผู้เลี้ยงดูที่มีมิวแทนส์ สเตร็พโตค็อกไซ ในน้ำลายสูงถึงระดับ 105 colony เช้อื จุลนิ ทรีย์ในชอ่ งปากแมส่ ่งผา่ นไปยังช่องปากลกู forming unit (CFU) ตอ่ มิลลลิ ติ ร จะทำใหท้ ารกมีโอกาส เม่อื แม่อมมอื ลกู และลูกเอามือตนเองไปอมตอ่ ติดเช้ือชนิดน้ีสูงถึงร้อยละ 52 เปรียบเทียบกับ แม่หรือคนเล้ียงท่ีมี มิวแทนส์ สเตร็พโตค็อกไซในน้ำลาย ทร่ี ะดับต่ำกว่า หรือเท่ากับ 103 CFU ตอ่ มลิ ลลิ ติ ร ซ่งึ ทารกจะมโี อกาสตดิ เชอื้ ชนิดนีเ้ พยี งรอ้ ยละ 6 เทา่ นั้น การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากชว่ งการต้งั ครรภ์ เนื่องจากหญิงต้ังครรภ์มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากได้ง่าย แต่ไม่สะดวกที่จะเข้ารับการรักษา ดังนั้นส่ิงท่ีดีท่ีสุดคือการแนะนำคู่สมรสให้ วางแผนการมลี ูก โดยเตรยี มตัวใหพ้ ร้อมกอ่ นการมลี ูก และการเตรียมพร้อมน้คี วร รวมถึงการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากด้วย อย่างไรก็ตามหญิงต้ังครรภ์ส่วนใหญ่ยัง ไม่ได้รับคำแนะนำให้เตรียมพร้อมในเรื่องนี้ ดังนั้นในการรับฝากครรภ์จึงควร สอบถามถึงปัญหาเก่ียวกับเหงือกและฟัน รวมทั้งส่งต่อหญิงต้ังครรภ์ท่ีมาฝาก ครรภค์ รั้งแรกทกุ คน ให้ไปรับการตรวจสุขภาพช่องปากกับทนั ตบุคลากร การดูแลสุขภาพช่องปากช่วงตั้งครรภ์ แนะนำให้แปรงฟันอย่างน้อย วันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เพ่ือให้ หญิงต้ังครรภ์แปรงฟันตนเองได้อย่างมีคุณภาพ ควรฝึกหญิงตั้งครรภ์แปรงฟัน วิธีขยับ-ปัด โดยใช้สีย้อมคราบจุลินทรีย์ เพ่ือให้ทราบว่ามีบริเวณใดบ้างท่ียังทำความสะอาดได้ไม่ดี จะได้ ใส่ใจตอ่ การแปรงฟนั บรเิ วณน้ันให้มากขนึ้ (plaque control) 36 การสร้างเสริมสขุ ภาพชอ่ งปาก
สำหรับอาหาร แนะนำให้รบั ประทานอาหารท่มี ีประโยชนใ์ ห้ครบทั้ง 5 หมูใ่ นปรมิ าณท่เี พยี งพอ เพื่อให้ลูกมีโครงสร้างฟันที่สมบูรณ์ ไม่ควรกินอาหารที่มีรสจัด ของหมักดอง น้ำชา กาแฟ อาหารหวาน ใส่น้ำตาลควรรับประทานในมื้ออาหาร ระวังไม่กินอาหารท่ีมีน้ำตาลมากเกินไป แนะนำให้เลือกด่ืมน้ำเปล่า หรอื นมไขมันตำ่ แทนน้ำอัดลมและน้ำหวาน และเลือกบริโภคผลไมส้ ดแทนนำ้ ผลไม้ ในกรณีที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แนะนำให้รับประทานอาหารคร้ังละน้อยๆ วันละหลายคร้ัง และใชผ้ งฟู (baking soda หรือ sodium bicarbonate) ประมาณ 1 ชอ้ นชาต่อนำ้ 1 แก้ว อมบ้วนปาก หลังอาเจียน เพื่อช่วยปรับสภาพกรดในช่องปากให้เป็นด่าง หรือแปรงฟันหลังอาเจียน โดยใช้แปรงสีฟัน ขนอ่อน และยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เพื่อป้องกันการสลายของแร่ธาตุบริเวณผิวเคลือบฟัน การเค้ียว หมากฝร่ังปราศจากน้ำตาลหรือผสมไซลิทอลหลังรับประทานอาหารจะช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลาย ช่วยชะลา้ งช่องปาก จงึ มีผลดชี ว่ ยป้องกนั ฟนั ผุ การใหค้ ำแนะนำการรกั ษาในกรณีมีปญั หาระหว่างต้ังครรภ ์ ในกรณีท่ีหญิงตั้งครรภ์มีปัญหาสุขภาพช่องปาก ควรแนะนำ และกระตุ้นให้ไปรับบริการตรวจรักษาตามการนัดของทันตบุคลากร สิ่งสำคัญคือต้องส่งต่อข้อมูลด้านสุขภาพท่ัวไปของหญิงต้ังครรภ์ให้แก่ ทันตบุคลากรด้วย เพ่ือให้ทันตบุคลากรสามารถวางแผนการรักษาได ้ ถกู ต้องเหมาะสม การรักษาทางทันตกรรมในช่วงการตั้งครรภ์สามารถทำได้ แต่การวางแผนให้บริการแก่หญิงตั้งครรภ์ ทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาต้อง พิจารณาปัจจัยเกี่ยวข้องอ่ืนๆ เพิ่มข้ึนคือ ต้องคำนึงถึงอายุครรภ์ พฤติกรรมของหญิงตั้งครรภ์ท่ีอาจเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ประวัติสุขภาพ และการได้รับยา โดยช่วงเวลาท่ีเหมาะสมที่สุดท่ีจะให้หญิงต้ังครรภ์ไป รบั บริการรักษาปัญหาในชอ่ งปากคอื ระยะ 2nd Trimester ซงึ่ เป็นชว่ งเวลาระหวา่ งอายุครรภ์ 4 – 6 เดอื น หรือระหว่างสัปดาห์ท่ี 14 - 20 (ในช่วงอายุครรภ์ 1 - 3 เดือนแรก ไม่เหมาะจะไปรับบริการทันตกรรม เพราะหญิงตั้งครรภ์มักมีอาการแพ้ท้อง และอาจเกิดความเครียดได้ง่าย ส่วนระหว่างช่วงอายุครรภ์ 7 - 9 เ ดือน ครรภ์จะมีขนาดใหญ่ ไม่สะดวกทจ่ี ะนอนทำฟนั ) การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพช่องปากแม่ช่วงเลีย้ งดบู ตุ ร เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปากของแม่หรือผู้เล้ียงดูสามารถส่งผ่านไปยังเด็กได้ ดังนั้น การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กจึงมีความสำคัญเช่นกัน ในช่วงตั้งครรภ์แม้นว่าจะ สามารถให้การรักษาทางทันตกรรมได้ แต่ก็ไม่สะดวก รวมทั้งต้องระวังไม่ให้แม่(ซ่ึงกำลังต้ังครรภ์)เครียด ดังน้ันสำหรับแม่ท่ีมีปัญหาสุขภาพช่องปากในช่วงการตั้งครรภ์ ทันตแพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาเฉพาะ ท่ีจำเป็น หรือใหก้ ารรกั ษาแบบชัว่ คราว ซ่ึงจะต้องนัดมารกั ษาเพิ่มเติมหลังคลอดบุตรแลว้ คำแนะนำสำหรับคุณแม่หรือคนเล้ียงดูเด็กในช่วงน้ีคือต้องใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพช่องปาก ตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ การลดปริมาณเชื้อในช่องปากแม่ทำได้โดยการแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหม ขัดฟัน ลดปริมาณและความถ่ีในการบริโภคน้ำตาล และอุดฟันเพ่ือกำจัดรูผุท่ีจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อใน ช่องปาก ดังนั้นจึงควรไปรับบริการตรวจรักษาสุขภาพช่องปากตามการนัดของทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง นอกจากน้ีในช่วงเวลาท่ีคุณแม่พาลูกมาตรวจรับวัคซีนก็ควรให้สุขศึกษา เพื่อเตรียมแม่ให้สามารถเล้ียงลูก และดแู ลสุขภาพในชอ่ งปากลูกไดอ้ ย่างถกู ต้อง (รายละเอียดอยูใ่ นบทการสรา้ งเสริมสขุ ภาพชอ่ งปากเดก็ ปฐมวัย) ประตูสู่สขุ ภาพที่ดีในทกุ ชว่ งวยั ของชีวิต 37
การบูรณาการงานสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากในคลนิ กิ ฝากครรภ์ เพ่ือส่งเสริมและสนับสนุนหลักการดูแลสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม จึงได้บูรณาการการดำเนินงาน ส่งเสริมสุขภาพช่องปากเข้าในคลินิกฝากครรภ์ ซึ่งพยาบาลและนักวิชาการสาธารณสุขท่ีดูแลหญิงต้ังครรภ์ ควรประสานและทำงานร่วมกับทันตบุคลากรในการให้บริการ ตรวจช่องปาก ให้ความรู้ และกระตุ้นให ้ หญงิ ตั้งครรภ์เอาใจใส่อนามยั ชอ่ งปากของตนเองให้มากขนึ้ โดยมแี นวทางปฏิบตั ดิ ังนี้ 1. สอบถามปญั หาเกยี่ วกับเหงือกและฟัน และให้คำแนะนำท่ีเหมาะสม 2. สง่ ต่อหญงิ ต้งั ครรภ์ทม่ี าฝากครรภค์ รั้งแรก ใหไ้ ปรบั การตรวจชอ่ งปากกับทนั ตบคุ ลากร 3. ทำแบบบันทึกการได้รับบริการของหญิงต้ังครรภ์ เขียนใบส่งต่อ และส่งต่อข้อมูล ดา้ นสขุ ภาพท่วั ไปของหญงิ ตั้งครรภใ์ ห้ทันตบุคลากรรบั ทราบ 4. ใหค้ วามรู้แกห่ ญงิ ต้ังครรภ์เพ่ือการมอี นามยั ช่องปากที่ดี ดงั นี ้ 4.1 แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง โดยใช้แปรงสีฟันขนอ่อน และยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เพ่ือ ป้องกันการสลายของแร่ธาตุบริเวณผิวเคลือบฟัน และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน (ควรให้ หญงิ ตั้งครรภฝ์ ึกแปรงฟนั และใช้ไหมขดั ฟนั โดยการยอ้ มสีฟนั กอ่ นฝกึ แปรงฟัน เพื่อ ชว่ ยเพ่ิมประสิทธผิ ลการฝกึ แปรงฟันใหด้ ียิง่ ขนึ้ ) 4.2 จำกดั การบริโภคอาหารท่ีมีน้ำตาลโดยให้รับประทานในมื้ออาหารเทา่ นัน้ 4.3 เลอื กดืม่ นำ้ เปลา่ หรอื นมไขมันต่ำแทนน้ำอัดลมและนำ้ หวาน 4.4 เลือกบรโิ ภคผลไมส้ ดแทนน้ำผลไม ้ 4.5 กระตนุ้ ใหไ้ ปรบั บริการสง่ เสรมิ สขุ ภาพชอ่ งปากตามการนดั ของทันตบุคลากร 5. ใหค้ ำแนะนำหญงิ ตง้ั ครรภเ์ มอื่ เกิดอาการคล่ืนไส้ อาเจยี น ดงั น้ ี 5.1 รับประทานอาหารทม่ี ีคณุ ค่า คร้งั ละนอ้ ย ๆ วนั ละหลายคร้ัง 5.2 ใช้ผงฟู (baking soda หรือ sodium bicarbonate) ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว อมบ้วนปากหลังอาเจียน เพ่ือช่วยปรับสภาพกรดในช่องปากให ้ เปน็ ดา่ ง หรอื แปรงฟันหลังอาเจียน 6.3 เคี้ยวหมากฝร่ังปราศจากน้ำตาลหรือหมากฝร่ังผสมไซลิทอลหลังรับประทานอาหาร เพือ่ กระตนุ้ การหลง่ั ของนำ้ ลาย ทำให้มกี ารชะลา้ งในช่องปากเพมิ่ ข้ึน 38 การสร้างเสริมสขุ ภาพชอ่ งปาก
กา รสรา้ งเสริมสุขภาพ ชอ่ งปากเดก็ ปฐมวยั ศรีสุดา ลลี ะศธิ ร, เมธนิ ี คุปพิทยานนั ท ์ แนวค ิดการดแู ลสขุ ภาพช่องปากเด็กปฐมวัย 1. เดก็ ปฐมวยั หมายถึงเดก็ ทีม่ ีอายุระหว่าง 0 – 6 ปี เป็นชว่ งเวลาท่ีฟันน้ำนมมพี ัฒนาการข้ึน มาทำหน้าที่ในช่องปาก ปัจจุบันพบเด็กเล็กเป็นโรคฟันน้ำนมผุในระดับที่รุนแรงจำนวนมาก ทำให้กระทบ ต่อพฒั นาการของเดก็ เกดิ ผลเสียต่อสขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ ในระยะยาว 2. การป้องกันปัญหาฟันน้ำนมผุท่ีมีประสิทธิผลต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของทมี สขุ ภาพ ต้ังแต่ระยะท่ีแม่ตง้ั ครรภ์ ช่วงของการเลี้ยงดูที่บา้ น และในศนู ย์พัฒนาเด็กเลก็ 3. ทีมผู้ปฏิบัติงานสร้างเสริมสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานสุขภาพท่ีดีให้ กับเด็ก และเพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่สมบูรณ์ท้ังร่างกายและจิตใจ ควรแนะนำพ่อแม่และผู้เลี้ยงดู ให้การดูแล เด็กอย่างถูกวิธี ท้ังเรื่องการให้อาหาร การสง่ เสริมพฒั นาการ และการดแู ลสุขภาพช่องปาก ความ สำคญั ของฟนั น้ำนมและกระทบของโรคฟนั นำ้ นมผุตอ่ สุขภาพเด็ก ฟันน้ำนมมีการสร้างตัวฟันตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา และเริ่มทยอยขึ้นมาในช่องปาก เมื่อเด็กมีอายุประมาณ 6 เดือน จนถึงอายุ 2 ปีครึ่ง เด็กจึงมีฟันน้ำนมขึ้นครบ 20 ซ่ี ถ้าไม่มีปัญหาฟันผุ ในชว่ งอายุ 6 ปี ถงึ 12 ปี ฟนั น้ำนมจะค่อยๆ ทยอยหลดุ และมีฟันถาวรข้ึนมาแทนที่ การมฟี ันนำ้ นมอยู่ครบ วาระและโยกหลุดตามธรรมชาติจะทำให้เด็กมีระบบการบดเคี้ยวที่ดี และสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการท่ี สมบูรณ์ ดังนี้ 1. ช่วยใหเ้ ดก็ ออกเสียงไดช้ ดั เจน 2. การใช้ฟันบดเค้ียวอาหารเป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าและขากรรไกรของเด็ก เติบโตสมสว่ น มใี บหน้าสวยงาม ฟันถาวรขึน้ ได้ตรงไมซ่ ้อนเก 3. เด็กสามารถรบั ประทานอาหารได้ทกุ ประเภท ทำใหไ้ ด้สารอาหารครบถ้วน รา่ งกายเตบิ โต มพี ัฒนาการท่ดี ี เกดิ ผลดีตอ่ สุขภาพร่างกายและจติ ใจ การปล่อยให้เด็กมีฟันน้ำนมผุจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก และมีผลเสียต่อเน่ืองในระยะยาว หลายประการ ดังนี้ 1. เกิดการอักเสบติดเช้ือที่อวัยวะต่างๆ โรคฟันผุท่ีลุกลามถึง โพรงประสาทฟนั และมีการอักเสบตดิ เชอื้ เปน็ หนองท่ีรากฟนั เชอื้ โรคอาจแพร่ ไปยังอวัยวะอ่ืนๆ ของร่างกายได้ ท้ังบริเวณคอและใบหน้า หรือเข้าสู่กระแส โลหิตไปทำให้เกิดการติดเชื้อท่ีอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ไต ทำใหเ้ ด็กเจ็บปวดทกุ ขท์ รมาน และอาจมอี ันตรายถึงชีวิต ประตสู ู่สุขภาพที่ดีในทกุ ชว่ งวัยของชีวิต 39
2. มีปัญหาด้านโภชนาการ การเจริญเติบโต พัฒนาการ และการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นผลเสีย ระยะยาว โดยโรคฟันนำ้ นมผกุ อ่ ให้เกดิ ปญั หาตา่ งๆ ตอ่ เนื่องเป็นลกู โซ่ ดังน ้ี 2.1 ปัญหาด้านโภชนาการ เด็กที่ฟันน้ำนมผุจะมีปัญหาการบดเค้ียว จึงเลือกกินเฉพาะ อาหารทนี่ มิ่ อ่อน เหลว ซ่งึ สว่ นใหญเ่ ปน็ อาหารจำพวกแปง้ และน้ำตาล เดก็ บางคนกินแตน่ ม น้ำอัดลม และ ขนม ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน พฤติกรรมการกินเช่นน้ีในท่ีสุดจะกลายเป็นความเคยชินต่อเน่ืองถึงวัยผู้ใหญ่ ทำให้เพิ่มความเส่ยี งต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ มไี ขมนั ในเลือดสูง และความดันโลหติ สูง 2.2 ปัญหาด้านการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการเรียนรู้ การเค้ียวมีผลต่อ I.Q. ของเด็ก เด็กท่ีมีปัญหาการบดเค้ียวมักขาดสารอาหารที่มาจากเน้ือสัตว์ ผักและผลไม้ จากการศึกษา พบเด็กที่มฟี ันน้ำนมผุมีเส้นรอบวงสมองเล็ก และมีภาวะแคระแกร็นกว่าเด็กท่ไี ม่มีปัญหาน้ี รวมท้ังยังพบว่า เด็กอายุ 0-2 ปี ท่ีมีภาวะแคระแกร็น มีระดับสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้เมื่ออายุ 8 และ 11 ปี น้อยกว่าเดก็ ปกติ 2.3 ปัญหาพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ สุขภาพช่องปากมผี ลต่อ E.Q. ของเดก็ การ นอนหลับมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต ทำให้เด็กมีพัฒนาการและสมองท่ีดี แต่ความเจ็บปวดจากฟัน น้ำนมท่ีผุและอักเสบทำให้เด็กมีปัญหานอนไม่หลับ นอกจากนี้ความเจ็บปวดเรื้อรังจากฟันผุยังทำให้เด็ก หงุดหงิด ไม่อยากเล่น ไม่มีสมาธิในการเรียนรู้ เด็กฟันหลอเม่ือถูกล้อเลียนจะขาดความสุข และขาดความ เชอ่ื ม่ันในตนเอง 3. เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพช่องปากและสุขภาพร่างกาย เน่ืองจากมี พ ฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร และพฤติกรรมการดแู ลสุขภาพช่องปากไมถ่ ูกตอ้ ง สภาวะปัญหาโรคฟันน้ำนมผุในเด็กไทย จากการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากระดับประเทศ พ.ศ. 2550 พบเด็กอายุ 3 ขวบเป็นโรคฟันน้ำนมผุร้อยละ 61.37 โดยผุเฉลี่ยคนละ 3.21 ซ่ี ในจำนวนน้ี มเี พียงรอ้ ยละ 0.61 ที่ได้รับการรกั ษา ในขณะทีเ่ ด็กอายุ 5 ขวบเปน็ โรคฟนั น้ำนมผุ ร้อยละ 80.64 โดยผุ เฉลี่ยคนละ 5.43 ซี่ และมีเพียงร้อยละ 1.89 ทไ่ี ดร้ ับการรักษา โดยการรักษาส่วนใหญ่เปน็ การถอนฟัน สาเหตุ และลักษณะของโรคฟันผุในเด็กเล็ก ในทางชีวเคมีกลไกที่ทำให้ฟันน้ำนมและฟันถาวรผุเป็นแบบเดียวกัน แต่ปัจจัยด้านพฤติกรรม และบริบททางสังคมที่ทำให้เด็กปฐมวัยมีปัญหาฟันน้ำนมผุ มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากช่วงอายุอื่น เด็กเมื่อแรกคลอดในช่องปากปราศจากเช้ือ เด็กจะค่อยๆ ได้รับเชื้อชนิดต่างๆ เข้าสู่ช่องปากผ่านอาหาร ที่รับประทาน และการสัมผัสติดต่อจากคนใกล้ชิด ดังนั้นถ้าคนเลี้ยงเด็กมีปัญหาฟันผุมากก็จะส่งต่อเช้ือโรค ฟันผุไปสู่เด็กได้มาก ในเด็กไทยมีรายงานตรวจพบฟันน้ำนมผุตั้งแต่เด็กอายุ 9 เดือน ซ่ึงเป็นช่วงเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากมีฟันขึ้นมาในช่องปาก โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาฟันน้ำนมผุสูงมาจากพฤติกรรม การเล้ียงดูเด็กไม่เหมาะสม เช่น ให้เด็กดูดนมและหลับคาขวดนม ให้เด็กดื่มนมหวาน และให้ดูดนมม้ือดึก เมือ่ อายุมากกว่า 6 เดอื น รวมทัง้ ให้ดูดนมจากขวดเมือ่ อายมุ ากกวา่ 1 ปี และให้กินขนมระหวา่ งม้ือมากกว่า วนั ละ 2 ครงั้ (กนิ จุบจบิ ) รวมถงึ ขาดการทำความสะอาดช่องปากเดก็ อย่างเหมาะสม 40 การสร้างเสริมสขุ ภาพชอ่ งปาก
ลักษณะการผุ ระยะแรกมีการเปล่ียนแปลงท่ีผิวฟัน โดยผิวฟันมีลักษณะเป็นฝ้าขาวขุ่น คล้ายชอล์ก (ต่างจากผิวฟันปกติซึ่งเรียบเป็นมัน) ฝ้าขาวขุ่นนี้มักพบอยู่ใต้แผ่นคราบจุลินทรีย์บริเวณใกล้ ขอบเหงือก การเปลี่ยนแปลงในระยะนี้ถ้าท้ิงไว้ไม่แก้ไข เน้ือฟันบริเวณน้ีจะหลุดออกเกิดเป็นรูผุ และรูผ ุ จะลุกลามเป็นรูผุใหญ่ข้ึนเร่ือยๆ ฟันน้ำนมผุจะลุกลามทะลุถึงโพรงประสาทฟันได้อย่างรวดเร็ว เพราะม ี เนื้อฟนั บาง ผวิ ฟนั ปกติมีลกั ษณะ คราบจุลนิ ทรียท์ ีเ่ กาะบนผวิ ฟนั ภาพขยายเชื้อโรคท ี่ รอยขาวขนุ่ บรเิ วณคอฟนั เรียบเปน็ มัน เปน็ สาเหตขุ องโรคฟันผุ เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ เป็นบรเิ วณผวิ ฟนั ท่เี ร่มิ ผิดปกติ ฟนั ผรุ ะยะแรก ฟนั ผลุ ุกลามและผเุ กอื บทกุ ซี่ การผลุ ุกลาม เชื้อแพรก่ ระจายไปท่ใี บหน้าและลำคอ พบในเด็กที่ดืม่ นมและหลับคาขวดนม การป้องกันปัญหาฟันน้ำนมผุอย่างมีประสิทธิผล ต้องดำเนินการอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่การเล้ียงดู ท่ีบ้าน และการดูแลในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยต้องได้รับความร่วมมือจากพ่อแม่ ผู้เล้ียงดู และ มบี คุ ลากรที่เก่ียวขอ้ งใหค้ ำแนะนำ สนับสนนุ ชว่ ยเหลอื การสร้างเสรมิ สขุ ภาพช่องปากเด็กปฐมวัย และการป้องกนั ฟนั นำ้ นมผ ุ แนวปฏิบัติสำหรับพ่อแม่และผู้เล้ียงดูเด็ก มีหลักปฏิบัติที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ เรื่องการจัด อาหารและโภชนาการให้เด็ก เร่ืองการดูแลความสะอาดช่องปากเด็ก และเรื่องการตรวจสุขภาพฟันเด็ก การปฏิบตั ทิ ง้ั 3 เร่ืองนี้ พ่อแมแ่ ละผเู้ ลยี้ งดเู ดก็ คือผปู้ ฏบิ ตั ทิ ี่สำคัญทสี่ ุด จึงตอ้ งแนะนำและกระตุน้ ใหพ้ ่อแม่ และผู้เล้ียงดูเด็กเกิดการเรียนรู้และใส่ใจปฏิบัติ โดยมแี นวทางและวธิ ปี ฏบิ ัติดงั นี้ 1. การจัดอาหารและโภชนาการให้เด็ก ส่ิงท่ีต้องคำนึงถึงคือคุณค่าทางโภชนาการท่ีเหมาะสม และการสร้างนิสัยการกินท่ีดีให้กับเด็ก ซึง่ จะสง่ ผลดตี ่อสขุ ภาพของเด็กในระยะยาว โดยปฏบิ ัติดังน ้ี ✦ เดก็ ขวบปีแรก แรกเกิดถงึ 6 เดอื น ใหก้ นิ นมแมอ่ ย่างเดียว ไม่ตอ้ งให้อาหารอืน่ แมแ้ ตน่ ำ้ เดก็ ที่ กินนมแม่จะมีอัตราการเกิดฟันผุต่ำกว่าเด็กท่ีกินนมผสมใส่ขวด เพราะนมแม่มีภูมิคุ้มกัน และมีเอ็นไซม์ช่วย ยับย้ังการเจริญเติบโตของเชื้อโรค รวมทั้งกลไกการดูดนมแม่ น้ำนมจะพุ่งไปสู่บริเวณโคนลิ้น ทำให้ฟันมี โอกาสสมั ผสั กับน้ำนมน้อย และการออกแรงดูดนมยงั กระต้นุ ใหใ้ บหนา้ และขากรรไกรเดก็ เจริญเติบโตสมส่วน ประตูสูส่ ุขภาพที่ดีในทุกชว่ งวยั ของชีวิต 41
ในกรณีท่ีแม่ทำงานนอกบ้านไม่สามารถให้เด็กด่ืมนมจากเต้าได้ จำเป็นต้องให้นมจากขวด มหี ลกั การเลือกจกุ นมคอื เมอ่ื ควำ่ ขวดนมลง นำ้ นมจะไหลเปน็ สายในช่วงแรก และเปล่ยี นเปน็ หยดๆ จกุ นม ทีม่ ีรูใหญ่ เด็กไม่ตอ้ งออกแรงดดู ทำให้ขากรรไกรและใบหนา้ ขาดการกระตนุ้ รวมทง้ั นำ้ นมท่ีไหลเรว็ เกนิ ไป จะทำให้เด็กสำลัก จึงต้องเอาล้ินมาดุนจุกนม ทำให้พัฒนาการกลืนที่ผิดปกติ ส่งผลให้การเรียงตัวของฟัน ผิดปกติได้ ในการให้นมลูกไม่ว่าจะให้โดยดูดจากเต้าหรือจากขวด แม่ควรนั่งและอุ้มให้เด็กนอนใน อ อ้ มแขน ไมค่ วรใหเ้ ด็กนอนราบ เมื่อให้นมเสรจ็ แล้วจงึ ใหเ้ ด็กนอนราบได ้ เดก็ อายุ 6 เดือน ฟันเร่ิมขนึ้ ควรเลกิ นมมอ้ื ดึก เพราะเด็กสามารถนอนหลบั ชว่ งกลางคืนตดิ ตอ่ กันได้โดยไม่หิว การให้นมมื้อดึกจะเป็นการรบกวนวงจรการนอนของเด็ก ถ้าเด็กต่ืนให้กอด กล่อม ตบก้น เบาๆ เด็กจะหลับต่อได้ ควรให้อาหารเสริมควบคู่กับนมแม่ การให้อาหารเสริมยึดหลัก สมวัย ตามความพร้อมของเด็ก เพียงพอ ตามปริมาณพลังงานและสารอาหารท่ีต้องการในแต่ละวัย และ ปลอดภัย จากสง่ิ สกปรกและสารเคมี ผู้ปกครองควรปรุงอาหารเองจากวัตถุดิบในทอ้ งถ่ิน เพอ่ื ใหไ้ ด้อาหาร ท่ีสด ใหม่ มีคุณค่าทางโภชนาการ ประหยัดและเป็นการฝึกให้ทารกกินอาหารที่มีในท้องถิ่น ไม่ควรใส่ เคร่ืองปรุงรส หรือผงชูรส เพ่ือให้ทารกคุ้นเคยกับรสอาหารตามธรรมชาติ ไม่ติดรสหวาน สำหรับนมแม่ สามารถใหไ้ ด้จนเดก็ อายุถึง 2 ปี การป้อนอาหารและน้ำ ควรใช้ภาชนะแยกสำหรับเด็ก ไม่ใช้ช้อน ถ้วยน้ำร่วมกับผู้อ่ืน ไม่เคี้ยว อาหารป้อนเด็ก เพอ่ื ปอ้ งกันไมใ่ ห้เดก็ ได้รับเชือ้ ที่จะทำใหเ้ กดิ ฟันผผุ ่านทางน้ำลายของผเู้ ลย้ี งดู ถ้าจำเป็นต้องใช้นมผงควรเลือกนมสำหรับเด็กช่วงวัยน้ีเท่าน้ัน ให้เด็กดูดนมและด่ืมน้ำตาม ห้ามหลับคาขวดนม เพราะเป็นสาเหตุท่ีทำให้เด็กมีฟันผุมาก รวมทั้งควรเริ่มฝึกให้เด็กกินนมจากถ้วย โดย เริ่มจากจำนวนนอ้ ยๆ และค่อยๆ เพม่ิ จำนวนจนเด็กสามารถดม่ื นมจากถ้วยไดท้ ้ังหมด ✦ เดก็ อายุ 1 ปีขึ้นไป ให้อาหารหลัก 3 มือ้ และอาหารว่างไมเ่ กนิ 2 คร้ังต่อวัน ชนิดของ อาหารว่างควรเป็นอาหารท่มี ีคุณคา่ เช่น ผลไม้ หรือนมรสจืด ไมค่ วรใหเ้ ด็กกินขนมหวานเหนียวตดิ ฟนั ขนม ถงุ กรบุ กรอบ ทอฟฟ่ี นำ้ หวาน นำ้ อดั ลม และอาหารใส่สหี รือผงชรู ส รวมทั้งควรดูแลไมใ่ ห้เดก็ กินจบุ จบิ เด็กวัยน้ีควรเลิกดูดนมจากขวดได้แล้ว เนื่องจากสามารถจับแก้วยกด่ืมเองได้ ถ้ารอจนถึงอายุ 2-3 ปีเด็กติดขวดนมไปแล้วจะเลิกได้ยาก การปล่อยให้เด็กติดขวดนมจนโต การให้เด็กหลับคาขวด หรือให้ดูดนมจากขวดบ่อยๆ นอกจากทำให้ฟันผุแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ เช่น เด็กไม่ยอมกินข้าว ชอบอมข้าว ไม่ยอมทานอาหารอื่น ปฏิเสธอาหารที่ต้องเคี้ยว เพราะคุ้นเคยกับอาหารเหลวท่ีกลืนง่าย เด็กติดขวดนมมักเส่ียงต่อการเกิดโรคท้องผูกเรื้อรัง เพราะน้ำนมไม่มีกากใยอาหาร และยังเสี่ยงต่อการ ขาดธาตุเหล็กซ่ึงสำคัญต่อการพัฒนาสมอง เพราะน้ำนมอย่างเดียวมีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ รวมทั้งแคลเซ่ียม ในน้ำนมยังมีฤทธ์ยิ บั ย้งั การดูดซึมของธาตุเหล็ก นอกจากนี้ยังพบว่าเดก็ ทต่ี ิดขวดนมมักจะดูดนมวนั ละหลายมือ้ ทำใหต้ ดิ นิสัยรับประทานจุบจบิ บางรายใช้ขวดนมเป็นส่ิงปลอบโยนลดความคับข้องใจ จึงอาจมีผลไปลดโอกาสท่ีจะพัฒนาทักษะ ดา้ นภาษา อารมณ์ และสังคม 42 การสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก
วธิ ีการฝึกใหเ้ ดก็ ด่มื นมจากแก้ว และเลิกดืม่ นมจากขวด การฝึกเด็กแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามระดับพัฒนาการของเด็ก จะทำให้เด็กด่ืมนมจากแก้วเป็น และเลิกขวดนมได้เม่อื ถงึ เวลาท่ีควรเลิก ขน้ั ตอนการฝกึ เดก็ ดมื่ นมจากแก้วตามระดับพัฒนาการมีดงั น ้ี อาย ุ พัฒนาการ การฝกึ 6 เดือน คอต้ังไดม้ ่ันคง ปฏิกิรยิ าดนั ลน้ิ ออก คอ่ ยๆ เริม่ ฝึกลูกด่มื นมจากแก้ว และเร่มิ ให้อาหารเสริม 180 เเ ดดอื อื นน มหเนขืองั่า้าไยไใดดจไ้เป้คอ ำง สถั่งือชขออบงเมลอื ียเนดแยี บวบแพล่อะถแา่มย่ โอนไปอีก โดยเร่มิ ท่ปี ริมาณน้อยๆ และใหง้ ดนมมอ้ื ดึก ให้เดก็ ถือแก้วพลาสตกิ ใบเลก็ ฝึกให้เดก็ ดื่มของเหลว ทุกชนิดจากแกว้ โดยค่อยๆ เพิ่มปริมาณทลี ะน้อย พอ่ แมค่ วรดม่ื น้ำจากแกว้ ใหเ้ ด็กดบู อ่ ยๆ และคอ่ ยๆ เพิ่มปรมิ าณนมทใ่ี ห้เดก็ ดมื่ จากแกว้ ใหม้ ากขน้ึ 1 ปี เริม่ เดินได้ สนใจส่งิ แวดล้อม ชอบให้ชม ให้ดม่ื นมจากแกว้ และค่อยๆ ลดนมขวดตอ่ เนอื่ ง 1 1 2 ป ี หว่ งเล่นมากกว่ากิน กลา้ มเนือ้ มือพฒั นาดขี ึ้น ชื่นชมเมือ่ เดก็ ปฏิบัติ และไมใ่ หเ้ ด็กถือขวดนมติดตวั เดก็ ใช้แกว้ ไดเ้ กง่ ขนึ้ ควรเลกิ ขวดนมได้แลว้ พร้อมๆ ไปกับการฝึกให้เด็กด่ืมนมจากแก้ว เด็กก็จะค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มนมจากขวด ซง่ึ เปน็ การเตรียมพร้อมสำหรบั การเลิกขวดนมซงึ่ ทำได้ 2 แบบ คื อ 1) แบบเลิกทันทีทนั ใด (หักดิบ) เหมาะกบั เด็กท่ีลดขวดนมบ้างแล้ว ไม่ค่อยสนใจขวดนมวิธกี ารคือ • บอกให้เด็กรู้ลว่ งหนา้ ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยบอกเด็กทุกวนั ว่าหนูโตแล้ว ไมต่ อ้ งใชข้ วดนมแล้ว • เกบ็ ขวดนมใหพ้ น้ มือเดก็ หรอื ให้เดก็ ชว่ ยเกบ็ ใสถ่ งุ ไปทิ้งหรือบริจาคเพือ่ ใหเ้ ดก็ ตัดใจจากขวดนม • เตรียมนำ้ เปลา่ หรือน้ำผลไม้ใส่แก้ว พร้อมสำหรับใหเ้ ดก็ ดื่ม เมอื่ เด็กร้องหาขวดนม • ให้เดก็ มตี ัวแทนขวดนม อาจเป็นตุ๊กตาหรอื ของเลน่ ทชี่ อบ เอาไวก้ อดเมือ่ คดิ ถงึ ขวดนม • ระหวา่ งฝกึ ตอ้ งอดทน เด็กงอแงสักพกั กจ็ ะปรบั ตัวได้เอง ควรเพ่มิ การกอดและช่ืนชมถา้ ลกู ทำได ้ 2) แบบคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป เหมาะกับเดก็ ท่ตี ดิ ขวด มีวธิ กี าร คอื • คอ่ ยๆ ลดปรมิ าณนมในมอ้ื ดกึ จาก 8 ออนซ์ เหลือ 4 ออนซ์ จนงดได้ในทส่ี ุด • ค่อยๆ ลดขวดนมทีละขวดทุก 2-4 วนั โดยลดมื้อทไี่ มส่ ำคัญกอ่ น เชน่ ม้ือกลางวนั • ให้เด็กดมื่ นมจากแกว้ หรือกลอ่ งแทน หากเดก็ งอแง อาจใส่น้ำในขวดใหเ้ ดก็ ดดู แทนนม • หากเด็กยังงอแง อาจใช้วิธีขยายจุกนมให้รูกว้างข้ึน เพ่ือให้เด็กระมัดระวังการดูดมากข้ึน ไมส่ ามารถนอนดดู สบายๆ เหมอื นก่อน แตต่ ้องไม่กวา้ งจนเด็กสำลัก • ระหว่างการหยา่ ขวดนม อาจใชแ้ ก้วสวยๆ หลอดดูดแบบแปลกๆ ดึงดดู ความสนใจของเดก็ • ถ้าเลิกแบบค่อยเปน็ ค่อยไปไมไ่ ด้ผล ให้ใช้วิธหี กั ดิบ ประตสู ่สู ุขภาพที่ดีในทกุ ชว่ งวยั ของชีวิต 43
2. การดูแลความสะอาดชอ่ งปากเดก็ ✦ การแปรงฟันใหเ้ ดก็ เมือ่ ลกู เร่มิ มฟี นั ขน้ึ แม่ตอ้ งแปรงฟันให้ลูก หรอื ใชผ้ า้ สะอาดชุบน้ำ ต้มสุกเชด็ ฟนั ลกู ใหส้ ะอาดวันละ 2 คร้งั (ปัจจบุ ันแนะนำใหแ้ มแ่ ปรงฟนั ลกู ดว้ ยยาสีฟนั ผสมฟลอู อไรด์ต้งั แต่ ฟันซ่ีแรกข้ึนมาในช่องปาก เน่ืองจากมีฟันขึ้นเฉพาะด้านหน้าไม่กี่ซี่ สามารถแปรงได้ง่าย เด็กไม่ค่อยขัดขืน เป็นการเร่ิมต้นท่ีดีทั้งแม่และลูกท่ีจะทำความคุ้นชินกับการแปรงฟัน) เม่ือเด็กอายุ 2-3 ปี เด็กท่ีเข้าสู่ศูนย์ พัฒนาเด็กเล็ก จะได้รับการฝึกให้แปรงฟันด้วยตนเอง ที่บ้านเด็กอาจอยากแปรงฟันตามผู้ใหญ่ จงึ ควรหดั ใหเ้ ด็กแปรงฟนั ไปพร้อมๆ กนั แตแ่ ม่ยงั ตอ้ งแปรงซ้ำใหเ้ ช้า-เยน็ จนกวา่ กล้ามเนอื้ มือมัดเลก็ ของ เด็กจะพัฒนาได้เต็มท่ี ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถแปรงฟันให้สะอาดได้เองเมื่อเด็กอายุประมาณ 8 ปี สำหรับ แปรงสีฟันใช้แปรงสีฟันที่ฉลากระบุช่วงอายุตรงตามวัยเด็ก ส่วนยาสีฟันใช้ยาสีฟันสำหรับเด็ก โดยช่วงแรก ใช้ยาสีฟันเล็กน้อยแตะปลายขนแปรงสีฟันพอช้ืน เม่ือเด็กอายุขวบคร่ึงถึง 3 ขวบ ใช้ยาปริมาณเท่า เมล็ดถ่ัวเขียว เด็กอายุ 3-6 ปี ใช้ยาสีฟันขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด และ 6 ปีข้ึนไปใช้ยาสีฟันยาว ห นึ่งเซนติเมตร วิธกี ารแปรงฟันให้เด็ก ใชว้ ธิ ีถไู ปมา มีขัน้ ตอนดงั น้ี ขนั้ เตรยี มการ ผู้แปรงฟนั ใหเ้ ดก็ ควรล้างมือ ให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ เตรียมแปรงและยาสีฟันสำหรับเด็ก แตะยาสีฟันเป็นจุดเล็กๆ ข้ันปฏิบัต ิ ผแู้ ปรงนั่งพน้ื ให้เดก็ นอนหนุนตัก หรือน่ังบนเก้าอ้ีใหเ้ ดก็ ยืนหันหลงั ให้ (ดังภาพ) ใช้นิว้ แหวกกระพุ้งแก้มเด็ก เพ่ือให้มองเห็นฟันท่ีจะแปรงได้ชัดเจน และช่วยกันไม่ให้แปรงสีฟันกระแทกริมฝีปากและกระพุ้งแก้ม ผู้แปรงจับแปรงแบบจับดินสอเขียนหนังสือ วางขนแปรงตั้งฉากกับตัวฟันให้ขนแปรงครอบคลุมถึง บริเวณคอฟันและขอบเหงือก ขยับโยกแปรงไปมาบรเิ วณละ 10 ครั้ง จงึ เปลยี่ นท่ใี หมใ่ หซ้ ้อนกับบริเวณเดิม เ ล็กนอ้ ย ขยับไปเรือ่ ยๆ จนครบทกุ ซ่ี ทง้ั ด้านในและด้านนอก แล้วใช้ผา้ สะอาดเช็ดยาสฟี นั ออก ถ้าเดก็ ดน้ิ ใชข้ าควบคุมแขนและขาของเดก็ ไวใ้ ห้นิ่ง ทา่ นง่ั บนพน้ื ให้งอเข่าและวางขาทีง่ อบนหน้าขาอีกขา้ ง ระวังอยา่ ใหข้ าทบั ตวั เด็ก การแปรงฟันเป็นส่ิงจำเป็นต้องทำทุกวันเหมือนการอาบน้ำ เป็นวินัยท่ีต้องฝึกให้เด็ก ในช่วงแรกเด็กอาจไม่ยอม แม่หรือผู้เล้ียงดูเด็กต้องใจแข็งและปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างสม่ำเสมอ ประสบการณ์ที่เด็กแปรงฟันไม่เจ็บจะสร้างความคุ้นเคย ทำให้เด็กจะเรียนรู้และยอมรับการแปรงฟันได้ การเรม่ิ แปรงต้งั แตม่ ฟี ันข้ึน เดก็ จะตอ่ ตา้ นนอ้ ยกวา่ มาเรม่ิ แปรงเม่ือเดก็ โตแล้ว 44 การสร้างเสริมสุขภาพชอ่ งปาก
Search