51 4. กำหนดเวลาสง่ งาน 4.1 เค้าโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สง่ ในชั่วโมงท่ี 11 4.2 ผลงานและรปู เลม่ รายงานวิทยาศาสตร์ สง่ สัปดาหท์ ่ี 10 5. แนวทางการปฏิบตั ิงาน ขัน้ ที่ 1 การคิดและเลอื กชือ่ เร่อื งหรอื ปญั หาทจี่ ะศกึ ษา ขั้นที่ 2 การวางแผนในการทำโครงงาน ขน้ั ท่ี 3 การลงมือเขียนเคา้ โครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ ขน้ั ที่ 4 นำเสนอเคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขั้นท่ี 5 ลงมือผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ตามขนั้ ตอน พร้อมบันทึกผล ข้ันท่ี 6 เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั ที่ 7 จดั แสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ 6. แหล่งข้อมูลคน้ คว้าเพมิ่ เติม 6.1 หนังสือเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทักษะชวี ติ 6.2 อนิ เตอรเ์ นต็ 6.3 ใบความรู้ท่ี 2.1 6.4 ห้องสมุด 7. การประเมนิ ผล - ประเมนิ จากการทำงานตามใบมอบหมายงาน โดยคะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์
52 แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท.ี่ ..3........ หลักสูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ (ปวช.) สอนคร้งั ที่..5-6..(ชวั่ โมงท่ี 13-17) รหัสวิชา...20000-1301....ชื่อวิชา..วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต...........ท-ป-น..(1-2-2)... ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู.้ .หน่วยและการวดั ...........................................................ทฤษฏ.ี ..2...ชม. ปฏิบัติ.....3.....ชม. 1. สาระสำคญั การวัดเป็นการปฏิบตั ิเพอื่ ใหไ้ ด้มาซึ่งข้อมลู ที่มีความถูกตอ้ ง มีความแม่นยำ โดยมคี วามคลาดเคล่อื นน้อย ท่ีสดุ ดว้ ยการใช้เครื่องมอื วัดท่เี หมาะสม ทั้งนกี้ ารวดั จะตอ้ งกำหนดหนว่ ยการวัดท่ถี กู ต้อง เพ่ือใหเ้ กิดความเข้าใจ และความชัดเจนมากขน้ึ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย - แสดงความร้เู ก่ยี วกบั หนว่ ยวัดระบบเอสไอ คำนำหน้าหนว่ ย และคำนวณค่าการแปลงหน่วยและคา่ ความ คลาดเคลื่อนจากการวัด 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 อธบิ ายความหมายของการวดั ได้ 3.2 แสดงความรแู้ ละใช้หนว่ ยในการวดั ระบบเอสไอได้ 3.3 ใช้คำนำหน้าหนว่ ยเปลย่ี นหนว่ ยให้ใหญข่ ึน้ หรอื เล็กลงได้ 3.4 คำนวณและสามารถเปลี่ยนหน่วยได้ 3.5 เลือกใช้เคร่ืองมอื วัดใหเ้ หมาะสมกับสง่ิ ที่ตอ้ งการวัดได้ 3.6 อา่ นและคำนวณค่าความคาดเคล่ือนท่ีเกดิ จากการวัดได้ 3.7 แสดงความรเู้ ก่ียวกบั เลขนัยสำคญั ได้ 3.8 แสดงความรู้เกี่ยวกบั สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเขียนจำนวนหรอื ปริมาณในรปู สญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์ได้ 3.9 บันทกึ ผลการวัดปริมาณได้ 3.10 ให้มีเจตคติท่ีดีตอ่ วิชาวิทยาศาสตร์ และกจิ นิสัยท่ีดใี นการทำงาน 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความหมายของการวดั 4.2 หน่วยวดั ระบบเอสไอ (SI) 4.3 คำนำหน้าหน่วย
53 4.4 การเปลย่ี นหน่วย 4.5 เครอ่ื งมือทใี่ ช้วัด 4.6 ค่าความคาดเลอ่ื นในการวดั 4.7 เลขนยั สำคญั 4.8 สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์ 4.9 การบันทึกผลการคำนวณ 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ่ี 5-6) ข้ันสนใจปัญหา (Motivation) 1. ครูช้ีแจงวัตถปุ ระสงค์ ประจำหน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เร่ือง หนว่ ยและการวัด 2. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยที่ 3 เรือ่ ง หนว่ ยและการวดั 3. ครใู ห้นักเรียนดูเครอ่ื งมือวดั ต่างๆ เชน่ บกี เกอร์ ขวดวัดปริมาตร ตลบั เมตร กระบอกตวง โวลมิเตอร์ แอมมเิ ตอร์ เป็นต้น จากนั้นรว่ มกันอภปิ รายการใชเ้ ครือ่ งมอื วดั ปรมิ าณต่างๆ 4. ครใู หน้ กั ศึกษาตรวจสอบเครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวัดปรมิ าณตา่ งๆ ต่อไปนี้ เวลา ความยาวของโต๊ะเรียน มวลของวัตถุ ความยาวรอบเอว กระแสไฟฟ้า ปรมิ าตรของน้ำในแกว้ ขนั้ ใหเ้ นอ้ื หา (Information) 1. ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบบรรยายเพื่ออธบิ ายความหมายของการวดั และหน่วยวัดระบบเอสไอ (SI) 2. ครแู ละผูเ้ รียนใช้สอื่ Power Point ประกอบการอธบิ ายคำนำหนา้ หน่วย และการเปล่ยี นหน่วย โดยระบบเอสไอมีการกำหนดคำนำหน้าหน่วย (prefix) เพ่ือทำให้หน่วยที่ใช้เล็กลงหรือโตข้ึน เพ่ือสะดวกในการ เขียน และอ่านได้ง่ายข้ึน เช่น 0.000000002 เมตร (m) สามารถเขียนค่าน้ันเป็นตัวเลขด้วยตัวคูณ (เลขสิบกำลัง บวกหรือลบ) 2 x 10-9 เมตร (m) โดย 10-9 สามารถเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ของคำนำหน้าหน่วยนาโน คือ n ดงั น้นั จึงสามารถเขยี นใหมไ่ ดว้ ่า 0.00000002 เมตร (m) เทา่ กับ 2 นาโนเมตร (nm) การแปลงหน่วยจากหน่วยหน่ึงเป็นหน่วยอื่นในระบบเดียวกันต้องอาศัย ตัวประกอบแปลงผัน (conversion factor) ก็คือ คำนำหนา้ หน่วยเดิม / คำนำหน้าหนว่ ยทต่ี ้องการเปล่ียน การหาค่าหน่วยใหม่สามารถ ทำไดโ้ ดยนำตัวประกอบแปลงผันเขา้ ไปคณู กบั ค่าในหนว่ ยเดิม 3. ครูแสดงรปู ภาพและอธิบายเคร่ืองมือท่ีใช้วัด และค่าคาดเคลื่อนในการวัดผ่านสื่อ Power Point โดย เคร่ืองมอื วัดทุกชนดิ จะมภี าคแสดงผลการวัดให้ผวู้ ดั ได้ทราบค่าเพ่ือจะไดน้ ำไปบันทกึ ผล การวดั แลว้ นำไปวเิ คราะห์ เพ่อื ใชง้ านต่อไป ในปัจจบุ นั ภาคแสดงผลของการวดั ของเครื่องมอื วัดมี 2 แบบ คอื แบบขีดสเกล และแบบตวั เลข
54 4. ผเู้ รยี นบอกเคร่ืองมอื วดั ทเี่ ป็นมาตรฐานและใช้ในการหาปรมิ าณกายภาพได้ 5. ครูแสดงรูปภาพและอธิบายเลขนยั สำคัญผ่านส่ือ Power Point และครูใช้สือ่ วีดทิ ัศน์เพ่ือให้ผู้เรียนได้ ศึกษาเลขนัยสำคัญ โดยเลขนัยสำคัญ (Significant figure) คือตัวเลขท่ีได้จากการวัด จำนวนหลักของตัวเลขท่ี แสดงความเท่ียงตรงของปริมาณท่ีวัดหรือคำนวณได้ ดังนั้นตัวเลขนัยสำคัญจึงประกอบด้วยตัวเลขทุกตัวที่แสดง ความแนน่ อน (certainty) รวมกบั ตัวเลขอีกตัวหน่งึ ที่แสดงความไม่แน่นอน (uncertainty) 6. ผเู้ รียนยกตวั อย่าง และนับจำนวนเลขนยั สำคญั 7. ครูใช้สื่อ Power Point ประกอบการอธิบายสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ คือรูปแบบของการเขียนตัวเลขอยู่ ในรูปการคณู ของเลขยกกำลังท่ีมฐี านเป็นสิบและเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็ม เปน็ การเขียนแทนจำนวนที่มีค่ามากๆ หรือนอ้ ยๆ มีรปู แบบทั่วไปเปน็ A x 10n เม่อื 1 <= A < 10 และ n เป็นจำนวนเตม็ เช่น 678000000000 เขียนได้ เปน็ 6.78 x 1011 และ 0.000000000456 เขียนได้ 4.56 x 10-10 เปน็ ตน้ 8. ครูใช้ส่ือ Power Point ประกอบการอธิบายว่าสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งในการทดลองคือการบันทึก ข้อมูลตามความเป็นจริง ไม่เพียงแต่ใช้ข้อมูลที่วัดได้โดยตรงเท่านั้น ยังมีการนำข้อมูลที่ได้มาคำนวณเพื่อใช้ ประโยชน์ต่อไป การนำเอาจำนวนที่มีเลขนัยสำคญั ต่างกันมาบวก ลบ คณู และหารกันจะมีวิธีทำอย่างไรเพ่ือให้ได้ ตัวเลขที่มีความหมาย และแสดงตัวอย่างใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษา และฝกึ ปฏบิ ตั ิตอ่ ไป 9. ครูเสนอแนะและเป็นที่ปรึกษาในการนำเอาแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงในกระบวนการทำงาน ทุกประเภทนั้น จะต้องเน้นสัจจะซ่ึงเปน็ ตัวคณุ ธรรม จริยธรรม เน้นความซอื่ สัตย์สุจริต เน้นให้ช่วยกันคดิ ชว่ ยกัน ทำ เน้นให้รู้จักความพอดี พอประมาณ มีเหตุผล ท้ังหมดนี้คือ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถนำไป ประยกุ ตใ์ ชก้ ับการดำเนนิ ชีวติ ของทุกคนได้ 10. ครูชี้แจงและอธิบายใบงานท่ี 3.1 และใบกิจกรรมท่ี 3.1 ใหน้ ักเรียนเข้าใจ พร้อมแจกใบความรทู้ ี่ 3.1 11. เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นซักถามขอ้ สงสยั
55 ขนั้ พยายาม (Application) 1. นักเรียนทำใบงานท่ี 3.1 และ ใบกจิ กรรมที่ 3.1 โดยใช้ใบความรู้ที่ 3.1 ประกอบการคน้ คว้าหาคำตอบ จนเสร็จ จากน้ันให้นักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลจากการทำกจิ กรรมในแต่ละกิจกรรม 2. ใหน้ ักเรยี นแลกเปล่ยี นความคิดเห็น เรอ่ื ง หนว่ ยและการวดั 3. เปดิ โอกาสให้นกั เรียนซักถามข้อสงสัย ขน้ั สำเรจ็ ผล (Progress) 1. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุปสาระสำคัญ เร่อื ง หนว่ ยและการวดั 2. ให้นกั เรียนตอบประเมนิ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 ในหนังสอื วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทกั ษะชีวติ จากน้ัน นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายคำตอบ และแสดงความคิดเห็นร่วมกันตรวจและบันทึกคะแนนของนักเรียนท่ีได้ จากการทำแบบประเมนิ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 3. ครใู หน้ กั เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 3 เรือ่ ง หน่วยและการวัด 6. สอื่ และแหล่งการเรียนรู้ 6.1 แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี นหนว่ ยที่ 3 6.2 ใบความรู้ท่ี 3.1 6.3 ใบงานท่ี 3.1 6.4 ใบกิจกรรมที่ 3.1 6.5 แบบประเมินผลการเรยี นรู้หนว่ ยที่ 3 6.6 หนังสือเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต (20000-1301) 6.7 สไลดน์ ำเสนอเนอ้ื หาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลกั ฐานการเรยี นรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการตอบคำถามแบบประเมนิ ผลการเรียนรหู้ นว่ ยที่ 3 - ผลการทำแบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี นหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 7.2 หลกั ฐานการปฏิบตั ิงาน - ผลการทำใบงานท่ี 3.1 และใบกิจกรรมท่ี 3.1 - สมดุ เช็คช่อื การเข้าเรียนในวิชาและสมดุ บนั ทึกการส่งงาน
56 8. การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วิธกี าร - ตรวจใบงานท่ี 3.1 และใบกจิ กรรมท่ี 3.1 - ตรวจคำถามทา้ ยหนว่ ยท่ี 3 และแบบประเมินผลการเรียนรหู้ น่วยท่ี 3 ในหนงั สอื เรยี น - ตรวจแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 - สังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม - สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล - สงั เกตและประเมินพฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เครอ่ื งมอื - ใบงานที่ 3.1 และใบกจิ กรรมที่ 3.1 - แบบประเมินผลการเรยี นรหู้ น่วยท่ี 3 ในหนังสอื เรียน - ตรวจแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 - แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกลมุ่ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล - แบบสงั เกตและประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบงาน ใบกิจกรรม และแบบประเมินผลการเรียนรู้หน่วยท่ี 3 ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - แบบทดสอบหลังเรยี น ตอ้ งได้คะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั กิ ิจกรรมกลุ่ม ต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ต้องได้ คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
57 9. บนั ทกึ ผลหลงั การจัดการเรียนรู้ 9.1 ขอ้ สรุปหลงั การจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปญั หาทีพ่ บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................
ใบความรทู้ ่ี 3.1 58 หลกั สตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หนว่ ยที่ 3 สอนครง้ั ท่ี 5-6 (ชั่วโมงที่ 13-17) รหสั วิชา 20000-1301 เวลา 5 ชม. ชื่อวชิ า วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชวี ิต ชอ่ื เร่อื ง หนว่ ยและการวดั 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.1 จดุ ประสงคท์ ั่วไป 1) อธิบายความหมายของการวัดได้ 2) ใช้คำนำหน้าหน่วยเปลย่ี นหน่วยใหใ้ หญ่ขน้ึ หรือเลก็ ลงได้ 3) คำนวณและสามารถเปล่ยี นหน่วยได้ 4) อา่ นและคำนวณค่าความคาดเคลอ่ื นท่เี กิดจากการวดั ได้ 5) บันทึกผลการวดั ปรมิ าณได้ 1.2 จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1) แสดงความรแู้ ละใช้หน่วยในการวัดระบบเอสไอได้ 2) เลือกใชเ้ คร่ืองมือวัดให้เหมาะสมกบั สิ่งทตี่ ้องการวัดได้ 3) แสดงความรู้เก่ียวกับเลขนยั สำคญั ได้ 4) แสดงความรูเ้ กย่ี วกบั สญั กรณว์ ิทยาศาสตรแ์ ละเขียนจำนวนหรือปริมาณในรูปสญั กรณว์ ิทยาศาสตรไ์ ด้ 5) ให้มีเจตคตทิ ่ีดตี ่อวิชาวิทยาศาสตร์ และกจิ นสิ ัยทด่ี ใี นการทำงานทด่ี ีในการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรู้เก่ยี วกบั หนว่ ยวดั ระบบเอสไอ คำนำหน้าหนว่ ย และคำนวณคา่ การแปลงหนว่ ยและค่าความ คลาดเคล่ือนจากการวดั 3. เนือ้ หาสาระ 3.1 การวัด การวดั คอื การคำนวณค่าปรมิ าณทีไ่ ม่ทราบคา่ วา่ มีปริมาณท่ีกำหนดคงที่เทา่ ใด ปรมิ าณทีก่ ำหนดคงที่น้ี เรียกว่า หน่วย (unit)ฉะนน้ั การวัดจึงต้องมรี ะบบหนว่ ยวัดท่ีถกู ตอ้ งเชื่อถือได้ และใช้สะดวก เพ่ือให้เปน็ สากลทั่ว โลก หน่ ว ยวั ดจึง ต้ อง ใช้ ค่ าเหมื อ น กั น ซ่ึ งจำเป็น ต้อ ง มี คำจำ กั ดคว าม ท่ี ชั ดเจน เก่ีย ว กับ หน่ วย วั ดและ วิธี คำน ว ณ
59 ปรับเทียบกับระบบวัด ลักษณะนี้เรียกว่า มาตรฐาน (standard)เป็น การปรับเทียบ (calibration) คือ การ ตรวจสอบระบบวดั ใหต้ รงกับมาตรฐานเมือ่ ระบบอยู่ในสภาพท่ีสอดคลอ้ งกบั สภาพทกี่ ำหนดไวใ้ นมาตรฐาน 3.2 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หน่วยวัด ปี ค.ศ. 1960 การประชุม The 11th Conference General des Poised Measures ได้ ยอมรับระบบ System International Unit's ให้เป็นระบบหน่วยวัดสากลระบบนี้เรียกว่า ระบบ SI ในการ ประชมุ ครัง้ ต่อมาได้มีการปรับแต่งระบบจนปัจจุบันน้ีมีหน่วยวัดพ้ืนฐาน 7 ประเภท คือ วัดมวลเป็นกิโลกรัม วัด ความยาวเป็นเมตร นับเวลาเป็นวินาที วัดกระแสเป็นแอมแปร์ วัดอุณหภูมิเป็นองศาเคลวิน วัดความเข้มแสง สว่างเป็นแคนเดลา และวัดปรมิ าณสสารเป็นโมล จากหน่วยวดั พ้ืนฐานเหล่านีท้ ำใหไ้ ด้หนว่ ยอนพุ นั ธอ์ นื่ ๆ - ระบบองั กฤษ - ระบบสากลระหว่างชาติ (SI) - ระบบเมทรกิ (CGS) หนว่ ย SI แบ่งเปน็ หนว่ ยฐาน และ หน่วยอนพุ ัทธ์ หนว่ ยฐาน(Base Unit)เป็นหน่วยของปรมิ าณฐานซึง่ มี 7 ปริมาณ ดงั น้ี ปริมาณ (Base Quantity) ชอ่ื หน่วย(Name of units) สัญลกั ษณ์(Symbol of units) 1. ความยาว เมตร(Metre) M 2. มวล กโิ ลกรัม (Kilogram) Kg 3. เวลา วนิ าที (Second) s 4. กระแสไฟฟ้า แอมแปร์ (Ampere) A 5. อณุ หภูมิอณุ หพลวัต เคลวิน (Kelvin) K 6. ปรมิ าณของสาร โมล (Mole) Mol 7. ความเขม้ ขน้ ของการส่องสวา่ ง แคนเดล่า (Candele) cd หน่วยอนุพัทธ์(Derived Unit)คือ หน่วยท่ีมีหน่วยฐานหลายหน่วยมาเกี่ยวเนื่องกัน เช่น ความเร็ว มี หนว่ ย m/s ,โมเมนตัม มหี น่วย kg.m/s, แรง มหี นว่ ย kg. m/s2 หรือ นวิ ตนั , N 3.3 การเปล่ียนหนว่ ย - เปลี่ยนจาก หนว่ ยท่เี ลก็ ไปสู่ หน่วยทใ่ี หญก่ วา่ เช่น เปลย่ี นจาก mm. ไปเปน็ m. - เปล่ียนจาก inch ไปเปน็ m. **นำ conversion factor ไป หาร - เปล่ียนจาก หน่วยท่ีใหญ่ ไปสู่ หน่วยที่เลก็ กว่า เช่น เปลย่ี นจาก m. ไปเป็น mm.
60 - เปลย่ี นจาก m. ไปเปน็ inch **นำ conversion factor ไป คูณ การเปลีย่ นหนว่ ย การหา conversion factor ถา้ ต้องการเปล่ียนชวั่ โมง , h เปน็ วินาที,s 1 h = 60 min และ 1 min = 60 s 1 h = 60*60 = 3600 s ถ้าตอ้ งการเปลี่ยน km/h เปน็ m/s จาก 1 km = 103 m และ 1 h = 3600 s ถา้ ต้องการเปลย่ี น km/h เป็น m/s ให้เอา 5/18 ไป คณู ถ้าต้องการเปลี่ยน m/s เปน็ km/h ใหเ้ อา 5/18 ไป หารการเปล่ยี นหน่วย
61 4. แบบทดสอบ/แบบฝกึ หัด แบบฝกึ หดั หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 หน่วยและการวดั คำชแ้ี จง จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ กู ตอ้ ง 1. ความแมนยํา หมายถึง ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 2. ความเทย่ี งตรง หมายถึง ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 3. ความคลาดเคลื่อนของการวัดเกิดไดจากอะไรบาง ............................................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................................
62 4. เพราะเหตใุ ดการเลอื กใชเคร่ืองมือวดั จึงมีความจําเปนในวิชาวิทยาศาสตร ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 5. การวัดคาที่ถกู ตองเหมาะสม ควรเลือกใชเคร่ืองมอื ทม่ี ีความละเอยี ดในการวัดอยางไร ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 6. 0.01 x 10-9 m จงแสดงคาในรูปของพโิ กเมตร ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 7. จงรายงานคา โดยรายงานผลใหมเี ลขนัยสําคัญ 7 ตําแหนง ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 8. จงเปลยี่ น 2 กิโลกรัม เปน ไมโครกรัม ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 9. การอานคาจากเคร่อื งมือวัด ผูวัดควรกระทําในลักษณะใด ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 10. จงระบุคา ตวั ประะกอบการแปลงผนั ของการเปลีย่ นหนวยตอไปนี้ 10.1 เซนตเิ มตรเปนเมตร 10.2 ปอนดเปนกโิ ลกรมั 10.3 เมตรเปนฟตุ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 5. เอกสารอ้างอิง ภาสติ า เปล่งปลัง่ และมนสกิ าร กีรตผิ จญ. วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ิต (20000-1301). กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พเ์ อมพนั ธ์, 2562.
ใบงานที่ 3.1 63 หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ หน่วยท่ี 3 สอนคร้งั ท่ี 6 (ชัว่ โมงท่ี 16) รหสั วชิ า 20000-1301 เวลา 50 นาที ช่อื วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาทักษะชวี ิต ชอื่ งาน หนว่ ยและการวดั 1. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1.1 แสดงความรูแ้ ละใช้หนว่ ยในการวัดระบบเอสไอได้ 1.2 ใชค้ ำนำหน้าหน่วยเปลย่ี นหนว่ ยให้ใหญ่ขึ้นหรอื เลก็ ลงได้ 1.3 คำนวณและสามารถเปล่ยี นหนว่ ยได้ 1.4 อา่ นและคำนวณค่าความคาดเคลอื่ นทเี่ กิดจากการวัดได้ 1.5 มเี จคตทิ ีด่ ตี อ่ วทิ ยาศาสตร์ และกจิ นิสยั ทดี่ ใี นการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรู้เก่ียวกับหน่วยวัดระบบเอสไอ คำนำหน้าหน่วย และคำนวณค่าการแปลงหน่วยและค่าความ คลาดเคลื่อนจากการวัด 3. เคร่ืองมือ วัสดุ และอปุ กรณ์ - สมดุ ปากกา ดินสอ ยางลบ ท่ีใชใ้ นการบันทึกขอ้ มูล 4. ลำดบั ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ตอนที1่ การวัด ในการวัดความยาวของผ้าชนิ้ หน่ึง จำนวน 10 คร้ัง ผลทว่ี ัดได้ แสดงตามตาราง ใหว้ ิเคราะห์หาตัวเลขที่ดี ที่สดุ เพื่อใช้เปน็ ความยาวของผ้าชิ้นนี้ คร้ังท่ีวดั คา่ ทว่ี ดั ได้(เซนตเิ มตร)(±0.01) ครงั้ ทว่ี ัด คา่ ท่วี ดั ได(้ เซนตเิ มตร)(±0.01) 1 15.68 6 15.74 2 15.55 7 15.5. 3 15.60 8 15.64 4 15.70 9 15.62 5 15.58 10 15.72
64 ให้ทำการสืบค้นและคำนวณดังนี้ 1) สืบคน้ สูตรการหาค่าเฉล่ยี และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2) คำนวณหาค่าเฉล่ยี และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานตามสูตร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..... ......................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
65 3) ค่าความยาวของผ้า = ( ค่าเฉลยี่ ± ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน ) = _________________________________cm. 4) ความคลาดเคลือ่ นของการวดั ทีไ่ ด้ตามตารางเกิดขน้ึ เนือ่ งจาก 1. .................................................................................................................................................................. 2. .................................................................................................................................................................. ตอนที่ 2 จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1) ให้สรุปสาระสำคญั ของระบบหน่วยเอสไอ .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2) ความหนาแน่นเป็นหนว่ ยพน้ื ฐานหรอื หน่วยอนพุ ันธเ์ พราะอะไร .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 3) แรงเปน็ อนพุ นั ธ์ เพราะอะไรและใหร้ ะบทุ ่มี าของ F โดยการสบื คน้ ทางส่อื อิเล็กทรอนกิ ส์ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 4) ระยะ 0.15 m เทา่ กบั ระยะกกี่ ิโลเมตร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5) งาน 15.4 kJ เทา่ กบั งานก่จี ูล .................................................................................................................................................................................... 6) เวลา 10 msเท่ากบั เวลาก่วี นิ าที .................................................................................................................................................................................... 7) เวลา 15 MW เท่ากบั กำลังก่วี ตั ต์ .................................................................................................................................................................................... ตอนที่ 3 จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี 1) หน่วยการวัดทางวิทยาศาสตร์ให้หน่วยมาตรฐานอะไร……………………………………………………………………….. 2) ในระบบเอสไอ หนว่ ยอนุพันธุข์ องปรมิ าณตอ่ ไปน้ีมีหน่วยเปน็ อะไร 2.1) ความเรว็ ............................................................................ 2.2) ระยะทาง...........................................................................
66 2.3) เวลา................................................................................... 2.4) ความเร่ง............................................................................ 2.5) งาน .................................................................................. 2.6) พลงั งาน............................................................................ 2.7) พื้นท่ี................................................................................ 2.8) ปริมาตร............................................................................ 2.9) ปริมาณสาร..................................................................... 3) ความยาวของดินสอ 10.52 เซนติเมตร จะสามารถแปลงเป็นหนว่ ยต่อไปนี้ได้เทา่ ใด 3.1) เมตร............................................................................ 3.2) มลิ ลิเมตร..................................................................... 3.3) เดซเิ มตร...................................................................... 4) ความยาวของสิ่งตอ่ ไปนี้ ผเู้ รียนจะใชเ้ คร่อื งมอื ชนดิ ใดตอ่ ไปนใ้ี นการวดั ตลบั เมตร ไมบ้ รรทดั ไม้เมตร เวอรเ์ นยี รค์ าลปิ เปอร์ และไมโครมเิ ตอร์ 4.1) ความสงู ของโต๊ะเรียน............................................................................ 4.2) ความกว้างของห้องเรยี น............................................................................ 4.3) รัศมีของลวดสายไฟ............................................................................ 4.4) ความสูงของห้องเรียน............................................................................ 4.5) เส้นผ่านศูนยก์ ลางของลูกปิงปอง............................................................................ 5) ในการทดลองเพ่ือหาปริมาณสารในหน่วยกรัมซ่ึงมีค่ามาตรฐานจากการเตรียมการทดลองพบว่าสารมีมวล 10.2346 กรัม เม่ือการทดลองเสร็จส้ินพบว่าสารมีมวล 11.9865 กรมั จงคำนวณหาเปอร์เซ็นความคลาดเคล่ือน และวิจารณผ์ ลทเ่ี กดิ ขึ้น .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 5. การประเมนิ ผล (ตอ้ งระบเุ กณฑ์การประเมนิ ให้ชัดเจน) - นกั เรยี นทำใบงานและตอบคำถามได้ถกู ตอ้ ง ครบถว้ น รอ้ ยละ 60 ถอื วา่ ผ่าน 6. เอกสารอ้างองิ : จุติมา จนั ทรต์ ระกูล และนภดล ทองอยู่สขุ . วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิต (2000-1301). กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์เอมพันธ,์ 2557.
ใบกจิ กรรม ท่ี 3.1 67 หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพ หนว่ ยที่ 3 สอนครั้งท่ี 5 (ช่ัวโมงท่ี 14) รหัสวชิ า 20000-1301 เวลา 20 นาที ช่อื วิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทกั ษะชีวิต ชอ่ื เร่ือง อา่ นคา่ ปริมาตรของน้ำในกระบอกตวง 1. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1.1 เลอื กใชเ้ ครอ่ื งมือวดั ใหเ้ หมาะสมกับสง่ิ ท่ตี อ้ งการวัดได้ และบนั ทกึ ผลการวัดปรมิ าณได้ 1.3 ให้มีเจตคตทิ ่ีดีต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ และกจิ นสิ ัยทีด่ ใี นการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรู้เก่ียวกับหน่วยวัดระบบเอสไอ คำนำหน้าหน่วย และคำนวณค่าการแปลงหน่วยและค่าความ คลาดเคลือ่ นจากการวดั 3. เครือ่ งมอื วสั ดุ และอปุ กรณ์ 1 อัน 3.1 กระบอกตวง ขนาด 100 cm3 100 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร 3.2 นำ้ สะอาด 4. ลำดบั กิจกรรม 4.1 รนิ ใส่กระบอกตวงประมาณครึ่งหนงึ่ แล้วตัง้ บนโต๊ะ 4.2 อ่านปริมาตรของน้ำในกระบอกตวงโดยให้อย่รู ะดบั ตาอยสู่ ูงจากระดบั น้ำประมาณ 1 ฟตุ 4.3 อ่านปริมาตรของนำ้ ในกระบอกตวงให้ระดบั ตาต่ำกวา่ ระดบั น้ำประมาณ 1 ฟุต 4.4 อ่านปรมิ าตรของน้ำในกระบอกตวงให้ระดบั ตาอยตู่ รงระดับน้ำ 4.5 ให้เพ่ือนทำตามข้อ 2-4 แล้วนำผลการทดลองท่ไี ดม้ าเปรยี บเทยี บกนั 5. การประเมินผล 5.1 นักเรียนทำการทดลองไดถ้ กู ต้องตามลำดับขั้นตอน และใหค้ วามรว่ มมือกันในกล่มุ รอ้ ยละ 60 ถอื ว่าผ่าน เกณฑ์ 5.2 นักเรยี นบันทกึ ข้อมูลจากการทำกจิ กรรมไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น ร้อยละ 60 ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์ 6. เอกสารอ้างองิ : จตุ ิมา จนั ทรต์ ระกูล และนภดล ทองอยู่สขุ . วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชีวิต (2000-1301). กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พเ์ อมพันธ์, 2557.
68 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี...4........ หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.) สอนคร้งั ท.่ี .6-8..(ช่วั โมงที่ 18-23) รหัสวชิ า...20000-1301....ชื่อวิชา..วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต...........ท-ป-น..(1-2-2)... ชือ่ หน่วยการเรียนรู้....แรงและการเคลือ่ นท่ี....................................................ทฤษฏี...2...ชม. ปฏิบัต.ิ ....4.....ชม. 1. สาระสำคญั แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ ซึ่งมีทั้งขนาดและทศิ ทาง การออกแรงกระทำตอ่ วตั ถุจะสามารถทำให้วัตถทุ ่ีอยู่ น่ิงเคลื่อนท่ี หรือวัตถุท่ีกำลังเคลื่อนท่ีอยู่หยุดน่ิงหรือเคลื่อนท่ีช้าลง เร็วขึ้น หรือเปล่ียนทิศทางการเคลื่อนที่ได้ นอกจากนี้การเคล่ือนที่ยังเกิดได้หลายรูปแบบในลักษณะของการเล่ือนตำแหนง่ ได้แก่ การเคลื่อนท่ีแนวเส้นตรง การเคลือ่ นที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลอื่ นท่แี บบวงกลม การเคล่ือนทแี่ บบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ย 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย - แสดงความรู้เก่ียวกับปริมาณทางวิทยาศาสตร์ แรงและการเคลื่อนที่ และคำนวณคา่ ขนาดของแรงจาก การเคลอื่ นท่ีของวตั ถุ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 อธบิ ายปริมาณทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ 3.2 อธิบาย และคิดคำนวณเกยี่ วกบั แรงได้ 3.3 อธิบาย และคิดคำนวณเก่ียวกับการเคลอ่ื นทตี่ ามหลกั การได้ 3.4 ใหม้ เี จตคติที่ดีต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และกิจนิสยั ที่ดใี นการทำงาน 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ปรมิ าณทางวิทยาศาสตร์ 4.2 แรง 4.3 การเคลื่อนที่ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาหท์ ่ี 6-8) ขัน้ สนใจปัญหา (Motivation) 1. ครูช้ีแจงวัตถุประสงค์ ประจำหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 เรื่อง แรงและการเคลือ่ นท่ี 2. ครูใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยท่ี 4 เรอ่ื ง แรงและการเคลือ่ นที่
69 3. ครแู ละนกั ศกึ ษา 2 คนใส่รองเทา้ สเกต ออกมาทำการทดลอง โดย ใหท้ ้ัง 2 คน ออกแรงผลักผนงั หอ้ ง ให้ทง้ั 2 คน หันหนา้ เข้าหากนั ออกแรงผลกั กนั 4. ครูและนกั ศกึ ษา ร่วมกันอภปิ รายผลการทดลอง ข้ันให้เนอ้ื หา (Information) 1. ครูสอนและอธิบาย เร่ือง แรงและการเคลื่อนท่ี โดยใช้โปรแกรม Microsofe Power Point และ หนงั สอื เรียนประกอบการสอน 2. เปดิ โอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสยั 3. ครูชแ้ี จงและอธบิ ายใบงานที่ 4.1 ใบกจิ กรรมที่ 4.1 และใบปฏิบัติงานท่ี 4.1 ใหน้ กั เรียนเข้าใจ พรอ้ ม แจกใบความรทู้ ่ี 4 ขัน้ พยายาม (Application) 1. นักเรียนทำใบงานที่ 4.1 ใบกิจกรรมท่ี 4.1 และใบปฏิบัติงานที่ 4.1 โดยใช้ใบความรู้ประกอบการตอบ คำถามจนเสรจ็ จากนน้ั ใหน้ ักเรียนรว่ มกันอภิปรายผลจากการทำกจิ กรรมในแตล่ ะกิจกรรม 2. เปดิ โอกาสให้นกั เรียนซกั ถามขอ้ สงสยั ข้ันสำเร็จผล (Progress) 1. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรุปสาระสำคญั เรอ่ื ง แรงและการเคล่อื นที่ 2. ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายหน่วยที่ 4 และประเมินหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 ในหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์ เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต จากน้ันนักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายคำตอบ และแสดงความคิดเห็นร่วมกันตรวจและ บนั ทึกคะแนนของนักเรียนท่ไี ด้จากการทำแบบประเมนิ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 3. ครใู ห้นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียนหนว่ ยท่ี 4 เรอื่ ง แรงและการเคล่ือนที่ 6. ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้ 6.1 แบบทดสอบก่อน-หลังเรียนหนว่ ยที่ 4 6.2 ใบความรู้ท่ี 4 6.3 ใบงานที่ 4.1 6.4 ใบกจิ กรรมที่ 4.1 6.5 ใบปฏิบัตงิ านท่ี 4.1 6.6 หนังสอื เรยี นวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทักษะชีวติ (20000-1301) 6.7 สไลดน์ ำเสนอเนือ้ หาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint
70 7. หลักฐานการเรียนรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการตอบคำถามท้ายหนว่ ยท่ี 4 - ผลการตอบคำถามแบบประเมนิ ผลการเรียนรหู้ นว่ ยที่ 4 - ผลการทำแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียนหนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 7.2 หลักฐานการปฏบิ ตั ิงาน - ผลการทำใบงานท่ี 4.1 ใบกิจกรรมที่ 4.1 และใบปฏิบตั งิ านที่ 4.1 - สมุดเชค็ ช่ือการเข้าเรียนในวชิ าและสมุดบันทกึ การสง่ งาน 8. การวดั และประเมินผล 8.1 วิธกี าร - ตรวจใบงานที่ 4.1 ใบกิจกรรมที่ 4.1 และใบปฏบิ ัติงานท่ี 4.1 - ตรวจคำถามท้ายหนว่ ยท่ี 4 และแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้หนว่ ยท่ี 4 ในหนงั สือเรียน - ตรวจแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียน หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 - สงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติกิจกรรมกลุ่ม - สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล - สงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.2 เคร่อื งมือ - ใบงานท่ี 4.1 ใบกจิ กรรมท่ี 4.1 และใบปฏิบตั ิงานท่ี 4.1 - คำถามท้ายหน่วยท่ี 4 และแบบประเมินผลการเรยี นร้หู น่วยที่ 4 ในหนงั สือเรียน - ตรวจแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 4 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบัติกิจกรรมกลุม่ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล - แบบสงั เกตและประเมินพฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบงาน ใบกิจกรรม ใบปฏิบัติงาน คำถามท้ายหน่วย และแบบประเมินผลการเรียนรู้หน่วยท่ี 4 ต้องไดค้ ะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - แบบทดสอบหลงั เรียน ตอ้ งได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60% ผ่านเกณฑ์
71 - แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม ต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ต้องได้คะแนนไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ต้องได้ คะแนนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ 9. บนั ทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้ 9.1 ขอ้ สรุปหลังการจดั การเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปัญหาท่พี บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแกป้ ญั หา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................
ใบความรู้ที่ 4.1 72 หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) หนว่ ยที่ 4 สอนครั้งที่ 6-8 (ช่ัวโมงที่ 18-23) รหสั วชิ า 20000-1301 เวลา 6 ชม. ช่ือวิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทักษะชวี ิต ชอื่ เร่อื ง แรงและการเคลื่อนท่ี 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จดุ ประสงค์ทัว่ ไป 1) อธบิ ายปริมาณทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 2) อธิบายและคิดคำนวณเกี่ยวกับแรงได้ 3) อธบิ ายและคดิ คำนวณเก่ียวกบั การเคลอ่ื นทต่ี ามหลักการได้ 1.2 จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1) อธิบายและยกตวั อยา่ งลกั ษณะการเคลือ่ นที่แบบตา่ งๆ ได้ 2) ใหม้ ีเจตคตทิ ีด่ ีตอ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ และกจิ นสิ ัยทดี่ ีในการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรู้เก่ียวกับปริมาณทางวทิ ยาศาสตร์ แรงและการเคลื่อนที่ และคำนวณค่าขนาดของแรงจาก การเคลือ่ นท่ีของวัตถุ 3. เน้อื หาสาระ ในชีวิตประจำวัน ทุกคนออกแรงกระทำต่อวัตถุต่างๆ เช่น เปิด – ปดิ ประตู ยกเก้าอ้ีและเดินข้ึนบนั ได เราไม่สามารถบอกขนาดของแรงที่ใช้ได้ เรามองไม่เห็นแรง แรงเป็นนามธรรมที่ทำให้วัตถุเปลี่ยนสภาพการ เคลอ่ื นที่ เปลยี่ นรปู ร่างของวัตถุ 3.1 แรงและชนิดของแรง
73 3.2 ความหมายของแรง แรง หมายถึง อำนาจภายนอกท่ีสามารถทำให้วตั ถุเปลี่ยนสถานะได้ เช่นทำให้วตั ถทุ ่ีอยู่นิง่ เคลื่อนท่ีไป ทำ ใหว้ ัตถุที่เคล่ือนทีอ่ ย่แู ลว้ เคลอ่ื นท่เี ร็วหรอื ช้าลงทำใหว้ ตั ถุมีการเปลย่ี นทิศตลอดจนทำใหว้ ัตถมุ กี ารเปลี่ยนขนาดหรือ รูปทรงไปจากเดิมได้แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ท่มี ีท้งั ขนาดและทศิ ทางการรวมหรือหักล้างกันของแรงจงึ ต้องเป็นไป ตามแบบเวกเตอร์ มหี นว่ ยตามระบบเอสไอ คือ นิวตัน (N) 3.3 เวกเตอร์ของแรง ปริมาณบางปริมาณท่ีใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันบอกเฉพาะขนาดเพียงอย่างเดียวก็ได้ความหมายสมบูรณ์ แลว้ แตบ่ างปรมิ าณจะตอ้ งบอกทงั้ ขนาดและทศิ ทางจึงจะได้ความหมายที่สมบรู ณป์ ริมาณในทางฟสิ ิกส์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1) ปริมาณสเกลาร์ (scalar quantity) คือ ปริมาณที่บอกแต่ขนาดอย่างเดียวก็ได้ความหมายที่สมบูรณ์ โดยไม่ต้องบอกทิศทาง เช่นเวลา ระยะทาง มวล พลังงาน งาน ปริมาตร ฯลฯในการหาผลลพั ธ์ของปรมิ าณสเกลาร์ ทำไดโ้ ดยอาศยั หลกั ทางพชี คณิต คอื ใช้วธิ ีการบวก ลบ คูณ หาร 2) ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) คือ ปริมาณที่ต้องการบอกท้ังขนาดและทิศทางจึงจะได้ ความหมายทส่ี มบูรณ์ เชน่ ความเรว็ ความเร่ง การกระจัด โมเมนตมั แรง ฯลฯ 3.3.1 ลกั ษณะท่ีสำคัญของปริมาณเวกเตอร์ 1) สัญลักษณ์ของปริมาณเวกเตอร์การแสดงขนาดและทิศทางของปริมาณเวกเตอร์จะใช้ลูกศรแทนโดย ขนาดของปริมาณเวกเตอร์แทนด้วยความยาวของลูกศรและทิศทางของปริมาณเวกเตอร์แทนด้วยทิศทางของ หวั ลูกศร สัญลักษณ์ของปรมิ าณเวกเตอร์ใชต้ วั อกั ษรมีลูกศรครงึ่ บนชี้จากซา้ ยไปขวาแสดงปรมิ าณเวกเตอร์ ดงั รูป จากรปู เวกเตอร์ A มีขนาด 4 หน่วย ไปทางทิศตะวันออก เวกเตอร์ B มีขนาด 3 หน่วย ไปทางทิศใต้ 2) เวกเตอร์ท่ีเท่ากัน เวกเตอร์ 2 เวกเตอร์จะเท่ากันก็ต่อเมื่อมีขนาดเท่ากันและทิศทางไปทางเดียวกัน ดงั รปู
74 จากรูป เวกเตอร์ A เท่ากับ เวกเตอร์ B เขียนเป็นสัญลกั ษณ์ เวกเตอร์ Cเท่ากบั เวกเตอร์ D เขยี นเปน็ สญั ลักษณ์ 3) เวกเตอร์ตรงข้ามกัน เวกเตอร์ 2 เวกเตอร์จะตรงข้ามกันก็ต่อเม่ือเวกเตอร์ทั้งสองมีขนาดเท่ากัน แต่มี ทศิ ทางตรงข้ามกัน จากรปู เวกเตอร์ A ตรงข้ามกับเวกเตอร์ B เขียนเป็นสญั ลกั ษณ์ ได้ว่า เวกเตอร์ Cตรงข้ามกบั เวกเตอร์ D เขยี นเป็นสัญลักษณไ์ ด้ว่า 3.3.1 ขอ้ ควรทราบ ในการหาผลลัพธ์ของปริมาณเวกเตอร์ ทำได้โดยอาศัยวิธีการทางเวกเตอร์ซงึ่ ต้องหาผลลัพธ์ทั้งขนาดและ ทิศทาง การหาผลลัพธ์ของแรงหลายแรง การรวมแรงซึ่งมีหลายแรงเพ่ือจะหาแรงลัพธ์เพียงแรงเดียวนิยมใช้ สัญลักษณ์ เรียกวา่ แทนเพือ่ รวมผลบวกท่ีมแี รงหลายๆ คา่ เชน่ กระทำพรอ้ มๆ กันทจี่ ุดเดียว ดังน้ี 3.3.3 การรวมแรง คือ การหาคา่ แรงลัพธ์ () ของแรงย่อยท้ังหมด มวี ิธีการหาเหมอื นกนั กบั เวกเตอรล์ พั ธ์ เพราะแรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ ซึง่ อาจสรุปวธิ กี ารหาแรงลพั ธไ์ ด้ดงั น้ี 1. โดยวิธกี ารวาดรปู แบบหางตอ่ หัวการหาแรงลพั ธ์ดว้ ยวธิ กี ารนี้ทำไดโ้ ดยนำหางของแรงทีส่ องไปต่อกบั หวั ลูกศรของแรงแรกและนำหางของแรงทสี่ ามไปตอ่ กับหวั ของแรงท่ีสองทำเช่นน้ีไปเร่อื ยๆ จนครบทุกแรง แรงลพั ธ์ที่ ได้ คือแรงท่ลี ากจากหางของแรงแรกไปยงั หัวของแรงสดุ ทา้ ย ดังรปู
75 2. โดยวิธีการคำนวณ ใชห้ าแรงลัพธข์ องแรงยอ่ ยทมี่ ี 2 แรง 1) แรงสองแรงไปในทางเดียวกัน แรงลัพธ์มีขนาดเท่ากับผลบวกของแรงท้ังสองส่วนทิศทางของแรง ลพั ธไ์ ปทิศทางเดียวกับแรงท้ังสอง ดงั รูป ผลของแรงลัพธ์ต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ วัตถุต่างๆ เมื่อมีแรงมากระทำ วัตถุจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ เดมิ ใน 3 ลักษณะ คอื 1. มกี ารเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง 2. มกี ารเปลย่ี นแปลงความเร็ว 3. มกี ารเปลีย่ นแปลงรูปรา่ งและขนาด เมื่อแรงท่กี ระทบตอ่ วัตถุแตกต่างกนั ยอ่ มทำให้ผลของการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกนั ไปดว้ ย ถ้าแรงที่กระทำ มคี ่ามากการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลของแรงนั้นยอ่ มมีการเปลี่ยนแปลงมากด้วย ในชีวิตประจำวัน การท่ีวตั ถุมีการ เปล่ียนแปลงต่างๆ จะเกิดจากอิทธิพลของแรงแรงที่พบตามธรรมชาติมีอยู่มากมายหลายชนิด ซ่ึงก็มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของวัตถไุ ดแ้ ตกต่างกนั ขอ้ ควรทราบ - แรงทก่ี ระทำไปในทิศทางเดยี วกับการเคลือ่ นที่ จะทำให้วัตถุมีความเร็วเพมิ่ ข้นึ - แรงท่กี ระทำไปในทศิ ทางตรงข้ามกับการเคล่อื นที่ จะทำให้วตั ถุมคี วามเร็วลดลง 3.4 การเคลื่อนที่ กฎการเคลื่อนท่ีของนิวตัน เซอร์ไอแซกนิวตัน (Sir Issac Newton) นักฟิสิกส์ ชาวอังกฤษ ได้สรุป เก่ียวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุท้ังที่อยู่ในสภาพอยู่น่ิงและในสภาพเคล่ือนท่ีเป็นกฎการเคล่ือนท่ีของนิวตัน ซึ่ง สามารถทำให้เราเขา้ ใจการเคลื่อนท่ีต่างๆ ได้ทง้ั หมด กฎของนิวตนั มี 3 ข้อ ได้แก่ 3.4.1 กฎการเคลือ่ นท่ขี ้อทีห่ น่งึ ของนิวตัน หรอื อาจเรียกวา่ กฎแหง่ ความเฉื่อย (inertia law) กล่าวว่า \"วตั ถจุ ะคงสภาพอยู่นิ่ง หรือสภาพเคลือ่ นที่ด้วยความเรว็ คงตวั ในแนวตรงนอกจากจะมแี รงลัพธ์
76 จากกฎการเคล่ือนท่ีข้อที่ 1 ของนิวตันอธิบายไดว้ ่า ถ้ามีวัตถุวางน่ิงอยู่บนพื้นราบแลว้ ไม่มแี รงใดมากระทำ ตอ่ วัตถุวัตถุก็ยังคงอยู่นิ่งเช่นเดิมต่อไปหรือถ้ามีแรงสองแรงมากระทำต่อวัตถุโดยแรงท้ังสองมีขนาดเท่ากันแต่ทิศ ทางตรงขา้ มกนั จะพบวา่ วัตถุยงั คงหยุดนง่ิ เชน่ เดิม จึงสรปุ ได้ว่า \"วัตถุท่ีอยนู่ ิ่งถา้ ไมม่ แี รงภายนอกอนื่ ใดมากระทำต่อวัตถหุ รือมีแรงภายนอกหลายแรงมากระทำต่อวตั ถแุ ต่ แรงลพั ธเ์ หลา่ นั้นเป็นศูนยแ์ ล้ววตั ถนุ น้ั ยงั คงรกั ษาสภาพน่งิ ไว้อยา่ งเดิม\" ดงั รปู วัตถุก็จะรักษาสภาพการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวค่าหนึ่ง หรือถ้าพิจารณาวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่บนพื้น ระดับราบลื่นซึ่งไม่มีแรงภายนอกใดมากระทำต่อวัตถุหรือถ้าให้แรงสองแรงมากระทำต่อวัตถุขณะวัตถุกำลัง เคล่อื นท่ี โดยแรงท้ังสองมีขนาดเทา่ กนั แตม่ ีทศิ ทางตรงข้ามกัน จะพบว่า วตั ถุยงั คงรกั ษาสภาพการเคลื่อนท่ีดว้ ย ความเร็วคงตัวนั้นต่อไป จึงสรปุ ได้ว่า \"วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วค่าหนึ่งถ้าไม่มีแรงภายนอกมากระทำต่อ วตั ถุหรือถ้ามีแรงภายนอกหลายแรงมากระทำต่อวัตถุแต่แรงลพั ธข์ องแรงเหล่าน้ันเป็นศูนย์แลว้ วัตถนุ ้ันยังคงรักษา สภาพการเคลอื่ นทีด่ ้วยความเรว็ คงตวั น้นั ตลอดไป\" ดังรปู
77 จากท่ีกลา่ วมาแลว้ ข้างต้นสามารถสรุปไดว้ ่า\"ถ้าแรงลัพธท์ ีก่ ระทำต่อวัตถุเป็นศูนยว์ ตั ถจุ ะไมเ่ ปลีย่ นสภาพการ เคลื่อนที่กลา่ วคือ ถ้าเดิมวัตถุอยู่นิ่งก็จะอยู่น่ิงตลอดไปแต่ถา้ เดิมวัตถุกำลังเคล่ือนท่ีอยู่ด้วยความเร็วคา่ หนึ่งวัตถุ นัน้ กจ็ ะยงั คงเคล่ือนทตี่ อ่ ไปในแนวตรงตามทิศทางเดมิ ดว้ ยความเรว็ คงตวั นัน้ ตลอดไป\" 3.4.2 กฎการเคล่ือนท่ีข้อท่ีสองของนิวตัน หรืออาจเรียกว่า กฎแห่งความเร่ง ถ้ามวลของวัตถุคงตัวแต่ เปลี่ยนขนาดของแรง (F) ให้มากข้ึน ความเรง่ (a) ของวตั ถุก็จะมากข้นึ ดว้ ยจงึ สรปุ ได้ว่า ขนาดของความเร่งแปรผัน ตรงกบั ขนาดของแรงลพั ธ์ทก่ี ระทำต่อวตั ถุ เมื่อมวลคงตัวเขยี นเปน็ สญั ลกั ษณ์ไดว้ ่า และถ้าแรงลัพธ์ (F) ท่กี ระทำตอ่ วตั ถคุ งตัว แต่ถา้ เปลี่ยนมวล (m)ใหม้ ากข้ึนความเร่ง (a) ของวัตถกุ ็จะลดลง จึง สรปุ ได้วา่ ขนาดของความเรง่ แปรผกผนั กบั มวลของวัตถุ เขยี นเปน็ สัญลักษณ์ไดว้ ่า จากขา้ งต้นสรปุ ไดว้ ่า ความเร่ง (a) เป็นสัดสว่ นโดยตรงกับแรง (F) ดังนน้ั อตั ราสว่ นของแรงกบั ความเร่ง จะเปน็ ค่าคงท่ีซึ่งตรงกบั มวล (m) ของวัตถุ เขยี นเปน็ ความสมั พันธจ์ ะได้
78 ดงั น้ัน จึงสรุปเป็นกฎขอ้ ทส่ี องของนวิ ตัน ไดว้ า่ \"เมือ่ มแี รงลัพธ์ซึง่ มขี นาดไมเ่ ป็นศูนยม์ ากระทำตอ่ วัตถุจะ ทำให้วัตถุเกิดความเร่งในทิศเดียวกับแรงลัพธ์ที่มากระทำและขนาดของความเรง่ จะแปรผันตรงกับขนาดของแรง ลพั ธแ์ ละจะแปรผกผันกับมวลของวตั ถ\"ุ ตวั อย่างที่ 1 ถ้าออกแรง 8 นิวตัน กระทำกับวตั ถุมวล 32 กโิ ลกรัม วตั ถุจะมีความเรง่ เท่าใด ตัวอย่างที่ 2 มวล 10 กิโลกรัม ต้องการให้เคลอ่ื นที่ดว้ ยความเร่ง 6 เมตรต่อวนิ าทกี ำลงั สองจะต้องออกแรงกระทำ เท่าใด 4.4.3 กฎการเคลื่อนท่ีข้อที่สามของนิวตัน จากกฎการเคล่ือนที่ข้อที่หนึ่งและสองของนิวตันจะอธิบาย สภาพการเคลื่อนทข่ี องวตั ถุเมื่อมีแรงภายนอกมากระทำต่อวัตถุซ่ึงจากการศึกษาในขณะทีม่ ีแรงมากระทำตอ่ วัตถุ วัตถุจะออกแรงโต้ตอบต่อแรงที่มากระทำน้ันด้วย เช่น เมื่อเราออกแรงดึงเครื่องช่ังสปริงเราจะรู้สึกว่าเคร่ืองช่ัง สปรงิ กด็ ึงมือเราด้วยและยิ่งเราออกแรงดึงเคร่อื งชั่งสปริงด้วยแรงมากข้ึนเทา่ ใดเราก็จะรู้สึกว่าเคร่ืองชง่ั สปรงิ ย่ิงดึง มอื เราไปมากข้ึนเท่านน้ั ดงั รปู
79 จากตัวอย่างจะพบว่าเมือ่ มีแรงกระทำตอ่ วัตถหุ นง่ึ วัตถุนน้ั กจ็ ะออกแรงโตต้ อบในทศิ ทางตรงข้ามกบั แรงท่ีมา กระทำซึ่งแรงท้งั สองแรงนี้จะเกดิ ข้นึ พร้อมกันเสมอ เราเรียกแรงท่ีมากระทำตอ่ วัตถุว่า \"แรงกริ ยิ า\" (action force) และเรยี กแรงที่วัตถุโตต้ อบตอ่ แรงที่มากระทำว่า \"แรงปฏิกริ ิยา\" (reaction force) แรงทัง้ สองนี้จึงเรยี กรวมกันวา่ \"แรงกิริยา-แรงปฏิกริ ิยา\" (action-reaction) จงึ สรปุ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งแรงกิริยากบั แรงปฏิกิริยา ได้เป็นกฎการเคล่ือนท่ีขอ้ ท่ี3 ของนิวตัน ได้ว่า\"แรงกิรยิ าทกุ แรงต้องมแี รงปฏกิ ริ ิยาซงึ่ มขี นาดเทา่ กันและทิศทางตรง ข้ามกันเสมอ\"หรือ action = reaction หมายความว่าเม่ือมีแรงกิริยากระทำต่อวัตถุใดก็จะมีแรงปฏิกิริยาจาก วัตถนุ นั้ โดยมีขนาดแรงเท่ากนั แตก่ ระทำกับวตั ถคุ นละกอ้ นเสมอ จึงนำแรงกิรยิ ามาหักลา้ งกับแรงปฏกิ ริ ิยาไม่ได้ เช่น กรณีรถชนสุนัข แรงกิริยา คือ แรงท่ีรถชนสุนัข จึงทำให้สุนัขกระเด็นไป ในขณะเดียวกันจะมีแรงปฏิกิรยิ าซึ่ง เป็นแรงทส่ี นุ ัขชนรถ จึงทำให้รถบบุ จะเห็นว่าเสยี หายท้งั 2 ฝา่ ย แสดงว่าแรงไมห่ กั ลา้ งกนั ดงั รปู ข้อควรจำ ลกั ษณะสำคญั ของแรงกริ ยิ าแรงปฏิกริ ยิ า 1. จะเกิดขึ้นพรอ้ มๆกันเสมอ 2. มีขนาดเท่ากนั 3. มีทศิ ทางตรงขา้ มกนั 4. กระทำต่อวตั ถุคนละก้อน
80 4. แบบทดสอบ/แบบฝึกหัด แบบฝกึ หดั หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 แรงและการเคลือ่ นที่ คำชีแ้ จง จงตอบคำถามต่อไปน้ีให้ถูกตอ้ ง 1. ปรมิ าณทางฟสกิ สหมายถึงอะไร ประกอบดวยอะไรบาง ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 2. จงบอกความหมายและยกตัวอยางปริมาณทางฟสิกสตอไปนี้ 2.1 ปริมาณสเกลาร (Scalar quantity) 2.2 ปรมิ าณเวกเตอร (Vector quantity) ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 3. จงอธิบายความแตกตางของระยะทางและกระกระจดั ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 4. กฎของแรงของนวิ ตัน 3 ขอประกอบดวยอะไรบาง ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................................
81 5. “วตั ถุ 2 วัตถุทอี่ ยูหางกันจะเกิดแรงดึงดดู ซงึ่ กนั และกัน โดยขนาดของแรงจะแปรผันตรงกบั ขนาดของมวล ท้งั 2 และแปรผกผันกับระยะหางระหวางมวลทงั้ 2 ยกกาํ ลงั สอง” คอื กฎของแรงอะไร ............................................................................................................................................................................... 6. ยกตวั อยางปรากฏการณทเี่ ก่ียวกบั แรงโนมถวงของโลก ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 7. ใหนกั เรยี นยกตวั อยางแรงทเี่ กดิ จากธรรมชาตแิ ละแรงทีเ่ กิดจากการกระทําของสิ่งตาง ๆ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 8. ใหยกตัวอยางสิง่ ของ เหตุการณ หรือเครอื่ งลน ท่ีมลี ักษณะการเคลอื่ นที่แบบฮารมอนิกอยางงาย ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 9. แรงเสยี ดทาน มีผลตอการเคล่ือนที่ตอวตั ถอุ ยางไรบาง ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 10. นกั เรยี นออกแรงคาหน่ึง (F) เพอ่ื ผลกั วตั ถบุ นพน้ื ทม่ี คี วามขรขุ ระระหวางออกแรงจะมีแรงเสยี ดทาน (ƒ) เกดิ ข้ึนระหวางผิวของวัตถแุ ละพ้นื ทศิ ทางของแรงทัง้ สองจะเปนไปในลกั ษณะใด ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... 5. เอกสารอ้างอิง ภาสติ า เปล่งปลั่ง และมนสกิ าร กีรติผจญ. วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทักษะชวี ิต (20000-1301). กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์เอมพันธ,์ 2562.
ใบงานท่ี 4.1 82 หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ หนว่ ยท่ี 4 สอนครงั้ ท่ี 6 (ชั่วโมงที่ 18) รหัสวิชา 20000-1301 เวลา 10 นาที ชอ่ื วชิ า วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชวี ติ ชือ่ งาน ปรมิ าณทางวทิ ยาศาสตร์ 1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1.1 อธบิ ายปรมิ าณทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 1.2 มเี จคติท่ดี ีตอ่ วทิ ยาศาสตร์และกจิ นสิ ยั ทด่ี ใี นการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรูเ้ กี่ยวกับปริมาณทางวิทยาศาสตร์ แรงและการเคลื่อนท่ี และคำนวณค่าขนาดของแรงจากการ เคล่ือนทขี่ องวตั ถุ 3. เครอ่ื งมือ วสั ดุ และอปุ กรณ์ - สมุด ปากกา ทใ่ี ชใ้ นการบนั ทึกขอ้ มลู 4. ลำดับขั้นตอนการปฏิบตั งิ าน คำช้ีแจง ให้ผูเ้ รยี นจำแนกปริมาณเชงิ กายภาพที่กำหนดใหโ้ ดยใส่เครอื่ งหมาย / ในชอ่ งคำตอบทเี่ ลือก ขอ้ ปริมาณเชิงกายภาพ ปรมิ าณสเกลาร์ ปริมาณเวกเตอร์ 1 มวลสาร 2 แรง 3 นำ้ หนกั 4 ความหนาแน่น 5 ความเร็ว 6 พืน้ ท่ี 7 ปริมาณ 8 อตั ราเรว็ 9 การกระจดั 10 ความเร่ง
83 5. การประเมินผล (ตอ้ งระบุเกณฑก์ ารประเมินใหช้ ดั เจน) - นกั เรียนทำใบงานได้ถูกตอ้ ง รอ้ ยละ 60 ถอื ว่าผ่าน 6. เอกสารอา้ งอิง: จุติมา จนั ทร์ตระกูล และนภดล ทองอยู่สขุ . วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชวี ติ (2000-1301). กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พ์เอมพนั ธ์, 2557.
ใบกจิ กรรม ที่ 4.1 84 หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี รหัสวชิ า 20000-1301 หนว่ ยที่ 4 ชอื่ วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทักษะชีวิต สอนครง้ั ท่ี 7 (ช่วั โมงท่ี 20) เวลา 40 นาที ช่อื เร่อื ง แรง 1. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1.1 ทดลองและอธบิ ายเกยี่ วกับแรงที่เกิดจากแท่งแม่เหล็กได้ 1.2 มีความรู้และความเข้าใจเกยี่ วกับการเกิดแรงชนดิ ตา่ งๆ ได้ 1.3 ให้มเี จตคติทด่ี ตี ่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และกจิ นสิ ัยท่ีดีในการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรูเ้ ก่ียวกับปริมาณทางวทิ ยาศาสตร์ แรงและการเคลื่อนท่ี และคำนวณค่าขนาดของแรงจากการ เคล่ือนที่ของวตั ถุ 3. เครอื่ งมอื วสั ดุ และอปุ กรณ์ 3.1 แท่งแมเ่ หลก็ ธรรมชาติ 3.2 แทง่ เหล็กสเ่ี หลีย่ ม 3.3 สายไฟ 3.4 แทง่ เหลก็ 3.5 ถา่ นไฟฉาย 4 กอ้ นพรอ้ มกลอ่ งใส่ 4. ลำดบั กจิ กรรม ตอนที่ 1 แรงท่เี กิดจากแท่งแม่เหลก็ การทำแทง่ เหล็กให้เป็นแมเ่ หล็ก 1. นำแท่งแม่เหลก็ มาถกู บั เหล็ก วธิ กี ารทดลอง - นำแท่งแมเ่ หลก็ ไปถูกบั แท่งเหลก็ โดยลากไปจนสุดปลาย แล้วยกไปจดทีเ่ ดิมแลว้ ถูต่อไป ทำหลายๆ คร้ัง แท่งแม่เหล็กก็จะกลายเป็นแม่เหล็กในการถูถ้าใช้ข้ัวเหนือถูด้าน A จะเป็นข้ัวเหนือ B เป็นข้ัวใต้ และถ้าใช้ขั้วใต้ถู ดา้ น A จะเปน็ ข้วั ใต้ B เป็นข้วั เหนอื 2. แมเ่ หล็กไฟฟ้า
85 วิธกี ารทดลอง 1) นำสายไฟพนั รอบแท่งเหล็ก แล้วเอาปลาย 2 ข้างไปต่อกบั ถ่านไฟฉาย แทง่ เหล็กจะกลายเปน็ แม่เหล็กในขณะท่ีมกี ระแสไหลผ่าน และจะหมดอำนาจแม่เหลก็ เมื่อไมม่ ีกระแสไหลผา่ น 2) ตรวจสอบขวั้ ของแมเ่ หลก็ ท่ีเกดิ ข้นึ โดยใชแ้ ท่งแมเ่ หล็กธรรมชาติไปวางใกลๆ้ แท่งเหลก็ 3) ลองพันสายไฟ แลว้ ตรวจสอบข้ัวของแม่เหลก็ ท้ัง 2 ขา้ ง ผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. สรปุ ผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ตอนท่ี 2 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1) น้ำหนกั ของวัตถุจะเปลย่ี นแปลงอย่างไรเม่ือ - นำไปชั่งบนดวงจนั ทร์ .............................................................................................................................................................................. - นำไปชั่งบนดวงพฤหสั บดี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2) เพราะเหตใุ ดดวงใจจงึ มีผลต่อการเคล่อื นท่ขี ึน้ ลงของนำ้ ทะเล .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3) สภาพไร้นำ้ หนกั หมายถึงอะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4) ในการขงึ สายไฟแรงสูงระหว่างเสาไฟฟา้ ทำไมสายไฟจึงหย่อนลง ไมต่ งึ เปน็ เสน้ ตรง .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
86 5. การประเมินผล 5.1 นกั เรียนทำการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งตามลำดบั ข้ันตอน และให้ความรว่ มมอื กันในกล่มุ รอ้ ยละ 60 ถอื ว่าผ่าน เกณฑ์ 5.2 นกั เรยี นบันทกึ ขอ้ มลู จากการทำกจิ กรรมไดถ้ ูกต้องครบถ้วน ร้อยละ 60 ถือว่าผา่ นเกณฑ์ 5.3 นักเรียนตอบคำถามได้ถูกตอ้ ง รอ้ ยละ 60 ถือว่าผ่าน 6. เอกสารอา้ งองิ : จตุ ิมา จันทรต์ ระกูล และนภดล ทองอยู่สุข. วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทักษะชวี ิต (2000-1301). กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์เอมพนั ธ,์ 2557.
ใบปฏบิ ัติงาน ที่ 4.1 87 หลักสูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ หนว่ ยที่ 4 สอนครง้ั ท่ี 8 (ชวั่ โมงที่ 22) รหัสวิชา 20000-1301 เวลา 50 นาที ช่อื วิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทกั ษะชวี ติ ชื่องาน การเคล่ือนที่แบบต่างๆ 1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1.1 ทดลองและอธบิ ายลักษณะการเคล่ือนที่ของวตั ถใุ นแนวตรง 1.2 เพ่อื สำรวจลักษณะการเคลอื่ นที่ของวตั ถใุ นแนวตรงในชีวิตประจำวัน 1.3 เพ่อื สงั เกตและอธบิ ายการเคลือ่ นท่แี บบโพรเจกไทล์ 1.4 เพื่อทดลองและศึกษาการเคลอ่ื นท่ีแบบวงกลม 1.5 ให้มเี จตคติทดี่ ีต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และกิจนสิ ัยทดี่ ใี นการทำงาน 2. สมรรถนะ - แสดงความรู้เกี่ยวกบั ปริมาณทางวิทยาศาสตร์ แรงและการเคล่ือนท่ี และคำนวณค่าขนาดของแรงจากการ เคล่อื นทข่ี องวัตถุ 3. เคร่อื งมือ/อปุ กรณ์ วัสดุ ตอนท่ี 1 การเคลือ่ นที่ของวตั ถใุ นแนวตรง - กระดาษ จำนวน 2 แผ่น ตอนท่ี 2 การเคลอื่ นท่แี บบโพรเจกไทล์และการเคล่อื นที่ในแนวดิ่ง 1) ไมบ้ รรทัด 2) เหรยี ญ 10 บาท 2 เหรยี ญ ตอนท่ี 3 การเคลอ่ื นที่แบบวงกลม 1) อปุ กรณร์ างโคง้ วงกลม 2) ลูกเหล็กทก่ี ลิ้งบนรางโค้งได้ 4. ลำดบั ข้นั ตอนการปฏิบัติงาน ตอนที่ 1 การเคลือ่ นทข่ี องวัตถุในแนวตรง วธิ ที ดลอง 1) เตรียมกระดาษขนาดเท่ากนั 2 แผน่ โดยบบี แผน่ หนง่ึ ใหเ้ ป็นก้อนเล็ก
88 2) ปล่อยแผ่นกระดาษและก้อนกระดาษพร้อมกันจากท่รี ะดับสูงเหนือพ้นื หอ้ ง ประมาณ 1.5 เมตร สังเกต และบนั ทกึ ลักษณะการเคลือ่ นที่ของกระดาษ ผลการทดลอง (ใหว้ าดภาพแสดงลักษณะการเคล่ือนทีข่ องแผ่นกระดาษและกอ้ นกระดาษ) สรปุ ผลการทดลอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. อภิปรายผลการทดลอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. คำถามหลังการทดลอง - เม่ือปล่อยกระดาษและก้อนกระดาษพร้อมกัน ลักษณะของการเคล่ือนท่ีของแผ่นกระดาษและก้อนกระดาษ เหมือนกนั หรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
89 ตอนที่ 2 การเคล่อื นท่แี บบโพรเจกไทล์และการเคลื่อนทใ่ี นแนวด่ิง วธิ ีการทดลอง 1. นำเหรยี ญ 1 เหรยี ญไปวางบนโตะ๊ อีกเหรียญวางบน ไมบ้ รรทดั ด้านทอ่ี ยบู่ นโต๊ะใหแ้ น่น 2. ตไี ม้บรรทดั ที่อีกปลายดา้ นหนึ่ง 3. สังเกตการณ์เคล่ือนท่ีของเหรียญและการตกของเหรียญทั้ง 2 เหรียญ ผลการทดลอง (ใหว้ าดภาพแสดงลกั ษณะการเคล่ือนที่ของเหรียญ) สรุปผลการทดลอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. อภิปรายผลการทดลอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
90 ตอนที่ 3 การเคลอื่ นที่แบบวงกลม วิธีการทดลอง - ทดลองปล่อยลกู เหล็กตำแหน่งตา่ งๆ เพ่ือหาตำแหนง่ ที่ต่ำสดุ ที่ปลอ่ ยแลว้ ลกู เหลก็ วิง่ ผ่านรางโคง้ ไปโดยไม่ หล่นลง 5. การประเมนิ ผล 5.1 นักเรยี นทำการทดลองได้ถกู ต้องตามลำดับขั้นตอน และให้ความร่วมมือกันในกลุ่ม ร้อยละ 60 ถือว่าผ่าน เกณฑ์ 5.2 นกั เรยี นบนั ทกึ ขอ้ มลู จากการทำกจิ กรรมได้ถูกตอ้ งครบถ้วน ร้อยละ 60 ถอื ว่าผ่านเกณฑ์ 5.3 นักเรยี นตอบคำถามไดถ้ กู ต้อง ร้อยละ 60 ถือวา่ ผ่าน 6. เอกสารอ้างอิง: จตุ มิ า จันทรต์ ระกลู และคณะ. วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทักษะชีวติ . กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์เอมพนั ธ์, 2557.
91 แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท.่ี ..5........ หลักสูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ปวช.) สอนคร้งั ท่.ี .8-10..(ชั่วโมงที่ 24-29) รหัสวชิ า...20000-1301....ชื่อวิชา..วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต...........ท-ป-น..(1-2-2)... ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้..นาโนเทคโนโลยี....................................................ทฤษฏี...2...ชม. ปฏิบัติ.....4.....ชม. 1. สาระสำคญั นาโนเทคโนโลยีเป็นวิทยาการที่ผสมผสานระหวา่ งวิทยาศาสตร์หลายแขนงเพ่อื ทำให้เกิดวสั ดุ อุปกรณ์ที่มี ขนาดเล็กและยังมีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ท่ีมีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพท่ีดีขึ้น และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้เป็น อย่างดี 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย - แยกและเปรยี บเทียบผลติ ภัณฑน์ าโนเทคโนโลยีตามประเภทนาโนเทคโนโลยี 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 แสดงความรูเ้ กย่ี วกบั ความหมาย และความเปน็ มาของนาโนเทคโนโลยีได้ 3.2 บอกประเภทของนาโนเทคโนโลยีได้ 3.3 ความรู้ในการประยกุ ต์ใชข้ องนาโนเทคโนโลยใี นธรรมชาติได้ 3.4 บอกประโยชนข์ องนาโนเทคโนโลยีในดา้ นตา่ งๆ ได้ 3.5 ยกตวั อย่างผลติ ภณั ฑ์นาโนเทคโนโลยีที่ควรรูจ้ ักได้ 3.6 ยกตัวอย่างผลติ ภณั ฑน์ าโนเทคโนโลยีและบอกถงึ ประโยชนข์ องผลติ ภัณฑ์ดังกล่าวได้ 3.7 ใหม้ ีเจตคติทดี่ ตี อ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ และกิจนสิ ยั ที่ดีในการทำงาน 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความหมายและความเปน็ มาของนาโนเทคโนโลยี 4.2 ประเภทของนาโนเทคโนโลยี 4.3 นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ 4.4 ประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยใี นด้านต่างๆ 4.5 ผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยี 4.6 ปผลติ ภณั ฑน์ าโนเทคโนโลยีท่ีควรรจู้ ัก
92 5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ที่ 8-10) ขั้นสนใจปญั หา (Motivation) 1. ครชู ้ีแจงวตั ถปุ ระสงค์ ประจำหน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 เรือ่ ง นาโนเทคโนโลยี 2. ครูใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยท่ี 5 เร่อื ง นาโนเทคโนโลยี 3. ครซู ักถามนกั เรยี นวา่ นักเรยี นรจู้ กั ผลิตภณั ฑ์นาโนเทคโนโลยอี ะไรบ้างที่มีอยใู่ นชีวิตประจำวัน 4. นกั เรยี นร่วมกนั ตอบคำถาม ข้นั ให้เนอ้ื หา (Information) 1. ครูสอนและอธิบาย เรอ่ื ง นาโนเทคโนโลยี โดยใช้โปรแกรม Microsofe Power Point และหนงั สือ เรยี นประกอบการสอน 2. เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซักถามข้อสงสัย 3. ครชู ี้แจงและอธบิ ายใบมอบหมายงานที่ 5.1 ให้นักเรยี นเขา้ ใจ พร้อมแจกใบความรู้ ขั้นพยายาม (Application) 1. นักเรยี นทำใบมอบหมายงานท่ี 5.1 จนเสร็จ จากนั้นให้นักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการทำกจิ กรรม ในแตล่ ะกิจกรรม 2. ให้นกั เรียนแลกเปล่ยี นความคดิ เห็น เร่อื ง นาโนเทคโนโลยี 3. เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนซักถามข้อสงสยั ขั้นสำเร็จผล (Progress) 1. ครูและนักเรยี นร่วมกนั สรุปสาระสำคัญ เรื่อง นาโนเทคโนโลยี 2. ให้นักเรียนตอบคำถามแบบประเมินผลหน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ในหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนา ทกั ษะชวี ติ จากนนั้ นักเรียนและครรู ่วมกนั อภิปรายคำตอบ และแสดงความคดิ เห็นรว่ มกันตรวจและบนั ทึกคะแนน ของนกั เรยี นท่ีได้จากการทำแบบประเมินหน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 5. ครูใหน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 5 เรอ่ื ง นาโนเทคโนโลยี 6. ส่ือและแหลง่ การเรียนรู้ 6.1 ใบความรู้ท่ี 5.1 6.2 ใบมอบหมายงานท่ี 5.1 6.3 หนังสือเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทักษะชีวิต (20000-1301) 6.4 วีซีดี 6.5 สไลดน์ ำเสนอเน้ือหา จากโปรแกรม Microsoft Power Point
93 7. หลักฐานการเรยี นรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการตอบคำถามแบบประเมนิ ผลการเรยี นร้หู นว่ ยท่ี 5 - ผลการทำแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 7.2 หลกั ฐานการปฏิบตั ิงาน - ผลการทำใบมอบหมายงานท่ี 5.1 - สมดุ เช็คช่ือการเข้าเรียนในวชิ าและสมุดบันทกึ การสง่ งาน 8. การวัดและประเมินผล 8.1 วธิ กี าร - ตรวจใบมอบหมายงานท่ี 5.1 - ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรหู้ นว่ ยท่ี 5 ในหนังสือเรยี น - ตรวจแบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 5 - สังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ - สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล - สงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เคร่ืองมอื - ใบมอบหมายงานท่ี 5.1 - แบบประเมินผลการเรยี นรหู้ นว่ ยที่ 5 ในหนงั สือเรียน - ตรวจแบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี น หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุ่ม - แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล - แบบสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบมอบหมายงาน และแบบประเมินผลการเรียนรหู้ น่วยท่ี 5 ต้องไดค้ ะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60% ผ่านเกณฑ์ - แบบทดสอบหลังเรียน ตอ้ งได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติกิจกรรมกลมุ่ ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
94 - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ต้องได้ คะแนนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 9. บันทึกผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลงั การจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปญั หาที่พบ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................
ใบความรู้ที่ 5.1 95 หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ปวช.) หน่วยท่ี 5 สอนครง้ั ที่ 8-10 (ชัว่ โมงท่ี 24-29) รหสั วิชา 20000-1301 เวลา 6 ชม. ชอ่ื วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทักษะชวี ติ ชื่อเร่อื ง นาโนเทคโนโลยี 1. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จดุ ประสงค์ท่ัวไป 1) แสดงความรเู้ กีย่ วกบั ความหมาย และความเปน็ มาของนาโนเทคโนโลยีได้ 2) บอกประเภทของนาโนเทคโนโลยไี ด้ 1.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1) แสดงความรู้ในการประยุกต์ใช้ของนาโนเทคโนโลยใี นธรรมชาตไิ ด้ 2) บอกประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยใี นดา้ นต่างๆ ได้ 3) ยกตวั อยา่ งผลิตภณั ฑ์นาโนเทคโนโลยที คี่ วรรู้จักได้ 4) นกั เรยี นมเี จตคติที่ดีตอ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ และกิจนสิ ยั ที่ดใี นการทำงาน 2. สมรรถนะ - - แยกและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยตี ามประเภทนาโนเทคโนโลยี 3. เนื้อหาสาระ 3.1 ความหมายของนาโนเทคโนโลยี นาโนเทคโนโลยี หมายถงึ เทคโนโลยีประยุกต์ซ่งึ เก่ียวข้องกับการจัดการ การสร้าง การสังเคราะห์วัสดุ หรืออุปกรณ์ในระดับของอะตอม โมเลกุลหรือช้ินส่วนที่มีขนาดเล็กในช่วงประมาณ 1 ถึง 100 นาโนเมตร ซ่ึงจะ ส่งผลใหว้ ัสดุหรืออปุ กรณ์ต่างๆ มีหน้าท่ใี หม่ๆ และมคี ุณสมบัตทิ ่ีพเิ ศษข้นึ ท้ังทางด้านกายภาพ เคมี และชวี ภาพ ทำ ให้มปี ระโยชน์ต่อผใู้ ชส้ อยและเพ่มิ มลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ได้
96 คำว่า “นาโน (Nano)” เป็นคำท่ีมีรากศัพท์มาจากคำในภาษากรีกว่า Nanos ซ่ึงแปลว่าแคระหรือเล็ก เมือ่ นำคำว่า นาโน มาใช้นำหนา้ หน่วยวัดทางวิทยาศาสตรห์ รอื คณิตศาสตร์ จะหมายถึงขนาดเศษหนง่ึ ส่วนพนั ลา้ น สว่ นของหน่วยวัดนัน้ คำว่า นาโนเมตร มาจากคำ 2 คำมารวมกัน คือ คำว่า “นาโน” กับ “เมตร” ดังนั้นคำว่านาโนเมตรจึง หมายถงึ หนว่ ยวัดท่มี ีขนาดเท่ากบั “เศษหนงึ่ ส่วนพันล้านส่วนของหนึง่ เมตร” นน่ั คอื หนง่ึ นาโนเมตร (1 nm) = เศษหน่ึงสว่ นพันล้านส่วนของหนง่ึ เมตร = 1 = 0.000 000 001 เมตร = 10-9 ขนาด 1 นาโนเมตรน้ันมีขนาดเล็กกว่าเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของเส้นผมมนุษย์ประมาณ 8 หมื่นถงึ 1 แสนเท่า โดยขนาดส่ิงของที่เล็กท่ีสุดท่ีมนุษย์สามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่านั้นมีขนาดประมาณ 10,000 นาโนเมตร ดังนั้น ขนาดหนึ่งนาโนเมตรจึงเป็นส่ิงที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือแม้แต่การใช้กล้องจุลทรรศน์ธรรมดา ดังน้ันการทีน่ ักวิทยาศาสตร์จะสามารถมองเห็นขนาดเล็กระดับหนง่ึ นาโนเมตรไดน้ ้ันจะต้องให้กล้องจุลทรรศน์ที่มี กำลังขยายสูงมาก เช่น กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน หรือ กล้องจุลทรรศน์ชนิดใหม่ๆท่ีถูกสร้างขึ้นมาเพ่ือใช้ใน การศึกษาและวจิ ยั ทางดา้ นนาโนเทคโนโลยโี ดยเฉพาะ 3.2 ความสำคัญของนาโนเทคโนโลยี ริชาร์ด ฟายน์แมน นักฟิสิกส์รางวลั โนเบล ได้กลา่ วไวใ้ นปี ค.ศ.1960 วา่ \"เม่ือผมพดู ถึงเทคโนโลยีจ๋ิว ก็มี บางคนพูดถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยียอ่ ส่วนขนึ้ ทันที พวกเขาพดู ถึงมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดเท่ากบั ปลาย เลบ็ น้ิวกอ้ ย และก็เริ่มมีสนิ ค้าออกสทู่ ้องตลาดกันบ้างแล้ว นอกจากนัน้ ยังมคี นพูดถงึ วา่ เดี๋ยวน้ีเราสามารถเขียนคำ สวดคัมภีร์ไบเบิ้ลลงบนหัวเข็มหมุดได้ แต่ทว่าเรื่องท่ีผมจะพูดถึงน้ันยังห่างไกลมากและเป็นเพียงจุดเร่ิมต้นของ เทคโนโลยที ี่ผมจะกล่าวถึง ซงึ่ เปน็ โลกขนาดเล็กทซี่ ับซ้อนและอยู่ลึกลงไป เมอ่ื ถึงปี ค.ศ.2000 คนในยุคน้ันเม่ือลอง ย้อนกลับมาดู ก็คงจะนึกสงสัยว่าทำไมเทคโนโลยีที่ทุกคนให้ความสำคญั อย่างจริงจังและมุ่งสู่ทิศทางน้ีจงึ ไม่เร่ิมมา ก่อนหนา้ ปี ค.ศ.1960\" ในปจั จุบันคำปาฐกถาของ ดร.ฟายนแ์ มนได้ถูกสลกั ลงเป็นตัวหนังสือท่ีมีขนาดราว 400 นา โนเมตร คำกล่าวของดร.ฟายน์แมน เมื่อ 44 ปีที่แล้วถือเป็นการจุดประกายความสนใจ และปลูกฝังแนวคิด ทางด้านนาโนเทคโนโลยขี ้นึ เป็นครง้ั แรกในตอนนั้น แม้จะมีหลายฝา่ ยออกมาวจิ ารณว์ า่ เปน็ \"ความฝนั \" ท่ีไกลเกนิ ไป แตท่ ว่าทุกคนก็เร่ิมให้ความสำคญั กับเทคโนโลยีการลดขนาดลง โดยจะเห็นได้จากเคร่ืองจักรกลตา่ งๆ คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ท่ีมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่กลับมปี ระสิทธภิ าพสูงข้ึนและปัจจุบันก็ได้พิสูจน์แลว้ ว่าการคาดการณ์ของดร. ฟายน์แมนนั้นถกู ต้องแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ เครอื่ งมือ อปุ กรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ไดเ้ ริม่ มงุ่ สทู่ ศิ ทางในระดบั นาโนขนาน ใหญ่ อันที่จริงกระบวนการผลิตในระดับนาโนไม่ใช่ของใหม่ หากแต่เป็นกระบวนการท่ีมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะ เป็นการสร้างดีเอ็นเอ การแลกเปลี่ยนแร่ธาตุระหว่างเซลล์ การหมุนของซีวมอเตอร์ที่หางของตัวอสุจิ หรือ
97 แบคทเี รยี การส่งสัญญาณในเซลลป์ ระสาท การซอ่ มแซมตัวเองของอวัยวะเม่ือเกิดบาดแผล หัวเป็นโครงสร้างท่ีมี ความสลับซับซ้อนในพืชและในสัตว์ เป็นต้น องค์ประกอบของส่ิงเหล่านี้ล้วนมีขนาดในระดับนาโนท้ังสิ้น ส่วน มนุษย์เองก็ได้รจู้ ักการนำวัตถุมาทำให้มีขนาดเล็กลงต้ังแตส่ มัยโบราณนบั พันปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลติ สีต่างๆ จากอนุภาพขนาดนาโนของโลหะต่างๆ เช่น สีฟา้ ท่ชี าวอียิปต์โบราณใชใ้ นการตกแต่งหีบศพฟาโรห์ หรือแผ่นกระจก สโี มเสคที่ใช้ทำหน้าต่างของโบสถ์ศาสนาคริสต์ในยุคกลางและยุควิคตอเรีย รวมถึงภาชนะเคร่ืองแก้วในสมัยกรีก- โรมันที่สามารถเปล่ียนสีได้ โดยใช้หลักการดูดซับและการกระเจิงแสง เพ่ือสะท้อนกับอนุภาคท่ีมีขนาดเล็ก (ใน ระดบั นาโนเมตร) เช่นอนุภาคนาโนของทองสามารถให้ สีส้ม ม่วง แดง หรือเขยี วได้ขึ้นอยู่กับขนาดของอนุภาคนา โนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี คนในสมัคยุคโบราณกย็ ังไม่สามารถอธิบายในปรากฏการณ์ที่เกิดข้นึ ได้ จึงไม่สามารถ นำเทคนิคดงั กล่าวไปประยกุ ต์ไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง ศาสตร์ทางด้านนาโนจึงเป็นการผสมผสานของสหวิทยาการ ดังเช่น การอธิบาย และการศึกษา ปรากฏการณ์การเปล่งสีของอนุภาคทองนาโนท่ีค้นพบตั้งแต่สมัยโบราณ ต้องอาศัยนักเคมีท่ีเข้าใจในปฏิกิริยาใน ระดับโมเลกุลที่สัมพันธ์กับขนาด รวมถงึ นักฟิสิกส์ท่ีศึกษาคุณสมบัติของแสงและสสารท่ีเปล่ียนแปลงตามเงื่อนไข ซง่ึ ถ้าจะนำไปประยุกต์ใช้ ก็จำเป็นต้องอาศัยวิศวกรและนักวัสดุศาสตร์ที่เช่ียวชาญในการศึกษาโครงสร้างโมเลกุล จนสามารถดัดแปลงโครงสร้างโมเลกุลให้มีคุณสมบัติตามต้องการ รวมท้ังมีเคร่ืองมือท่ีมีประสิทธิภาพสูงในการ นำไปประยกุ ต์ใช้ด้วย ดังนั้นความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบันจึงทำให้นาโนเทคโนโลยีเกิดการพัฒนาได้อย่าง รวดเรว็ เชน่ ความสามารถในการสร้างเคร่อื งมอื ทม่ี ีประสิทธภิ าพสงู สามารถมอง วัด หรือสรา้ งวัตถใุ นระดับนาโน ได้อย่างแม่นยำ และยังได้ผนวกกับวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถแลกเปลีย่ นขอ้ มลู และศึกษาคุณสมบตั ิของสสารได้รวดเรว็ อยา่ งทไ่ี มเ่ คยมีมาก่อน 3.3 ประเภทของนาโนเทคโนโลยี การนำนาโนเทคโนโลยมี าประยุกต์ใชน้ น้ั สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คอื 3.3.1 นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Nanobiotechnology) เป็นการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีศาสตร์ ด้านชีวภาพ เช่น การพัฒนานาโนไบโอเซนเซอร์ หรือ หัวตรวจวัดสารชีวภาพ และสารวินิจฉัยโรคโดยใช้วัสดุ ชีวโมเลกุล การปรับโครงสร้างระดับโมเลกุลของยา ท่ีสามารถหวังผลการมุ่งทำลายชีวโมเลกุลท่ีเป็นเป้าหมาย เฉพาะเจาะจง เช่น เซลส์มะเร็ง การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเคร่ืองสำอาง ในการส่งผ่านสารบำรุงเข้าช้ันใต้ ผวิ หนังไดด้ ยี ิง่ ข้ึน เป็นตน้ 3.3.2 นาโนอิเล็กทรอนิกส์ (Nanoelectronics) เป็นการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีศาสตร์ด้านนาโน อิเล็กทรอนิกส์ (ไฮเทค) เพ่ือทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและทำงานด้วยประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเช่น การพัฒนา ระบบไฟฟ้าเครื่องกลซูปเบอร์จิ๋ว การผลิตเซลส์แสงอาทิตย์ การพัฒนา นาโนซิป ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ รวดเรว็ และมปี ระสิทธภิ าพสูง การพฒั นา High density probe storage device เปน็ ต้น
98 3.3.3 วสั ดุนาโน (Nanomaterials) การประยกุ ตใ์ ช้นาโนเทคโนโลยีศาสตรด์ ้านวัสดนุ าโน เชน่ การเป็น ตัวเร่งปฏิกิรยิ าในอุตสาหกรรม การพัฒนาฟิล์มพลาสติกนาโนคอมโพสิทท่ีมีความสามารถในการสกัดก้ันการผ่าน ของก๊าซบางชนิดและไอน้ำ เพ่ือใช้ทำบรรจุภัณฑ์เพ่ือยืดอายุความสดของผักและผลไม้และเพ่ิมมูลค่าการส่งออก การผลิตผลอนุภาคนาโนมาใชใ้ นการฆ่าเชื้อแบคทเี รยี ไวรัส หรอื ทำใหไ้ ม่เปยี กน้ำ เปน็ ต้น 3.4 นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ เมอ่ื พูดถึงนาโนเทคโนโลยี คนทั่วไปไดย้ ินแล้วอาจจะนึกภาพไม่ออกและดูเหมือนจะไมไ่ ด้สมั ผสั กบั มนั แต่ จริง ๆ แลว้ นาโนเทคโนโลยน้นั มีอยู่แล้วในธรรมชาติ อยู่ในสิง่ ต่าง ๆ รอบตวั เรา เพียงแต่บางคนอาจจะไม่ไดส้ ังเกต หรือไม่ได้ให้ความสนใจ ตวั อยา่ งนาโนเทคโนโลยที ่มี ีอยู่ในธรรมชาติ ยกตวั อย่างเช่น 3.4.1 ตนี ตกุ๊ แก สตั ว์เลอื้ ยคลานอยา่ งตุก๊ แกและจ้ิงจกสามารถปนี กำแพงหรือเกาะติดผนังที่ราบเรียบและล่นื ไดอ้ ย่างมั่นคง และในบางคร้ังก็สามารถห้อยตัวติดเพดานอยู่ด้วยน้ิวตีนเพียงนิ้วเดียว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบริเวณใต้อุ้งตีนของ ตกุ๊ แกจะมีขนขนาดเล็กที่เรยี กว่าซีเต้ (setae) จำนวนนับล้านเส้นเรยี งตัวอัดแนน่ อยู่ โดยที่สว่ นปลายของขนซเี ต้แต่ ละเส้นนี้ก็ยังมีเส้นขนทม่ี ีขนาดเล็กกว่าทเี่ รยี กวา่ สปาตูเล่ (spatulae) ประกอบอยู่อีกหลายร้อยเส้น โดยที่สปาตูเล่ แตล่ ะเส้นจะมขี นาดเลก็ ประมาณ 200 นาโนเมตรและทป่ี ลายของสปาตเู ล่แต่ละเส้นจะสามารถสร้างแรงดึงดูดทาง ไฟฟ้าท่ีเรียกว่าแรงวานเดอวาลส์ (van der Waals force) เพื่อให้ในการยึดติดกับโมเลกุลของสสารท่ีเป็น ส่วนประกอบของผนังหรือเพดานได้ ถึงแม้ว่าแรงวานเดอวาลส์จะเป็นแรงยึดเหนี่ยวท่ีอ่อนแอมาก แต่การท่ี ตีนตุ๊กแกมีเส้นขนสปาตเู ลอ่ ยูห่ ลายล้านเส้นจงึ ทำให้เกดิ แรงยึดเหน่ียวทางไฟฟา้ ขน้ึ อยา่ งมหาศาลจนสามารถทำให้ ตนี ตุ๊กแกยึดติดกับผนังได้อย่างเหนียวแนน่ ด้วยหลกั การน้ีเองจึงทำใหน้ ักวิทยาศาสตรไ์ ดค้ ิดค้นเทคโนโลยีแถบยึด ตุ๊กแก (gecko tape) ขึ้นมาจากวัสดุสังเคราะห์ชนิดใหม่ที่มีลักษณะเป็นขนขนาดนาโน (nanoscopic hairs) เลียนแบบขนสปาตูเล่ท่ีอยู่บนตีนตุ๊กแกในธรรมชาติ เพื่อนำไปผลิตแถบยึดที่ปราศจากการใช้กาว และผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ อย่าง ถุงมือ ผา้ พันแผล ตลอดจนสามารถพัฒนาไปเป็นล้อของหุ่นยนต์ทส่ี ามารถไต่ผนงั หรือเคลือ่ นที่ขึน้ ลง ในแนวดงิ่ ได้อีกดว้ ย
99 3.4.2 ใบบวั (สารเคลือบนาโน) การที่ใบบัวมีคุณสมบัติท่ีเกลียดน้ำก็เพราะว่าพื้นผิวของใบบัวมีลักษณะคล้ายกับหนามขนาดเล็กจำนวน มหาศาลเรียงตัวกระจายอยู่อย่างเป็นระเบยี บโดยท่ีหนามขนาดเล็กเหลา่ น้ีก็ยงั จะมีป่มุ เล็กๆ ทม่ี ีขนาดในช่วงระดับ นาโนเมตรและเป็นสารท่ีมีคณุ สมบัติคล้ายขผี้ ้ึงซึ่งเกลียดน้ำเคลือบอยู่ภายนอกอีกดว้ ย จึงทำให้น้ำท่ีตกลงมาบนใบ บวั มีพื้นท่ีสัมผัสนอ้ ยมาก และไมส่ ามารถซมึ ผา่ นหรอื กระจายตัวแผ่ขยายออกในแนวกวา้ งบนใบบัวได้ ดังนั้นน้ำจึง ต้องม้วนตัวเป็นหยดน้ำขนาดเล็กกลง้ิ ไปรวมกันอยู่ท่ีบริเวณท่ีต่ำที่สุดบนใบบัว นอกจากนี้ส่ิงสกปรกทงั้ หลายไม่ว่า จะเป็นผงฝนุ่ เช้อื แบคทีเรีย และเช้ือรา ก็ไมส่ ามารถเกาะตดิ แน่นอยู่กบั ใบบวั ได้เช่นเดยี วกันเพราะวา่ มีพ้ืนที่สมั ผัส กับใบบัวได้แค่เพียงบริเวณปลายยอดของหนามเล็กๆ แต่ละอันเท่านั้น ดังนั้นเม่ือเวลาท่ีมีน้ำตกลงมาส่ิงสกปรกที่ เกาะอยู่บนใบบัวก็จะหลดุ ติดไปกับหยดน้ำอย่างง่ายดายจึงทำให้ใบบัวสะอาดอยู่ตลอดเวลา นักวทิ ยาศาสตรจ์ ึงได้ นำหลักการของน้ำกลง้ิ บนใบบัว (lotus effect) มาใช้ในการสังเคราะห์วัสดุชนิดใหม่เลียนแบบคุณลักษณะของ ใบบัว หรือการนำไปประยุกต์ใช้เป็นสีทาบ้านที่สามารถไม่เปียกนำ้ และสามารถทำความสะอาดตวั เองได้ รวมไปถึง การพฒั นาเป็นเสอ้ื ผ้ากันน้ำไร้รอยคราบสกปรก 3.4.3 เปลอื กหอยเปา๋ ฮ้ือ (นาโนเซรามิกส์) สารเคมที ่ีเปน็ องคป์ ระกอบหลักของเปลยื กหอยเป๋าฮอื้ คอื แคลเซยี มคารบ์ อเนต (CaCO3) ซ่ึงเป็นสารชนิด เดียวกันกับชอล์คเขียนกระดาน อย่างไรก็ตาม ลักษณะทางกายภาพและคุณสมบัติทางเคมีของเปลือกหอย และชอล์คมีความแตกต่างกันอย่างส้ินเชิง โดยท่ีชอล์คจะเปราะ หักง่าย เป็นผงฝุ่นสีขาว แต่เปลือกหอยจะมี ลักษณะเป็นมันวาวและมีความแข็งแรงสูงมาก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการจัดเรยี งตัวในระดับโมเลกุลของแคลเซียม คาร์บอเนตท่ีพบในชอล์คและเปลือกหอยมีความแตกต่างกันมาก โดยเม่ือใช้กล้องขยายกำลังสูงส่องดูโครงสร้าง ระดับโมเลกุลของเปลือกหอยเป๋าฮ้ือพบว่าการจัดเรียงตัวของโมเลกุลแคลเซียมคาร์บอเนตมีลักษณะคล้ายเป็น กำแพงอิฐก่อท่ีเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ โดยที่ก้อนอิฐขนาดนาโนแต่ละก้อนนี้จะเช่ือมติดกันด้วยกาวท่ีเป็น โปรตีนและพอลิแซคคาไรด์ จากโครงสร้างท่ีจัดเรยี งกันอย่างเปน็ ระเบียบนี้จึงทำให้เปลือกหอยเป๋าฮ้ือทนทานต่อ แรงกระแทกมาก ยกตวั อย่างเชน่ ให้ค้อนทุบไม่แตก เปน็ ต้น
100 เปลือกหอยเป๋าฮ้ือ เป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของวัสดุต่างๆ ที่มี องค์ประกอบเป็นสารเคมีชนิดเดียวกันทกุ ประการแต่มีคุณสมบัติเปล่ียนแปลงไปตามการจัดเรียงตวั ของโครงสร้าง ในช่วงนาโน เช่น อะตอมและโมเลกุล ดังน้ันนักนาโนเทคโนโลยีจงึ สามารถใช้ความรู้นี้ในการสร้างวัสดุใหม่ๆ ให้มี คุณสมบัติตา่ งไปจากเดมิ ได้ 3.4.4 ผีเสื้อบางชนิด (Polyommatus sp.) สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามหรือหลบหนีศัตรูได้โดยการ เปล่ียนสีปีก เช่นจากสีน้ำเงินไปเป็นสีน้ำตาล ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงสีปีกน้ีไม่ได้อาศัยสารมีสีชนิดต่างๆ ที่อยู่ในปีก ผีเส้ือ แต่กลบั อาศัยหลกั การหักเหและการสะท้อนของแสงแดดท่มี าตกกระทบลงบนปีก โดยถ้ามมุ ท่ีแสงตกกระทบ มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย สที ่ีปรากฎบนปกี ผเี สอื้ ก็จะแตกต่างกัน ยกตัวอยา่ งเช่น ถ้าแสงแดดมาตกกระทบ กบั โครงสร้างทอี่ ย่ใู นปีกผีเส้อื ในมมุ ใดมุมหนงึ่ จะสะท้อนแสงสนี ้ำเงินออกมา แต่ในขณะเดียวกนั ก็ดูดซับแสงสอี ื่นๆ ไว้ทั้งหมด ทำให้เราเห็นผีเส้ือมีปีกสีน้ำเงิน เมอื่ นักวิทยาศาสตรใ์ ช้กล้องขยายกำลังสูงส่องดปู ีกผีเส้ือชนิดท่ีสามารถ เปลี่ยนสีก็พบรูพรุนท่ีมีขนาดในช่วงนาโนจำนวนมหาศาลเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซ่ึงทำหน้าที่เป็นเสมือน ผลึกโฟโต้นิกส์ในธรรมชาติ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังได้ต้ังสมมุติฐานว่าการเปล่ียนสีของปีกผีเส้ือชนิดน้ียัง เปล่ียนแปลงไปตามอุณหภูมิได้อีกด้วย ซึ่งจากการค้นพบน้ีทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ในการ สร้างผลึกโฟโต้นิกส์สังเคราะห์ท่ียืดหยุ่นได้ดีและเปล่ียนคุณสมบัติไปตามอุณหภูมิที่เปลยี่ นไป ซึ่งสามารถนำไปใช้ ผลติ เส้อื ผ้าป้องกันความร้อนทีใ่ ชใ้ นทะเลทรายหรอื หว้ งอวกาศ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175