Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 30000-1301 การจัดการทรัพยากร พลังงานและสิ่งแวดล้อม 2-2564

30000-1301 การจัดการทรัพยากร พลังงานและสิ่งแวดล้อม 2-2564

Published by sirinun2563, 2021-10-29 07:48:38

Description: 30000-1301 การจัดการทรัพยากร พลังงานและสิ่งแวดล้อม 2-2564

Search

Read the Text Version

กิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในโลกได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ และธาตุอาหารต่าง ๆ ในดิน พลังงานจากดวง อาทิตย์เข้าสู่ระบบนิเวศในรูปของแสง พืชใบเขียวมีหน้าท่ีตรึงพลังงานจากแสงอาทิตย์มาแปรสภาพเป็นอินทรียสาร และสัตว์ก็ได้ใช้พลังงานนั้นโดยการบริโภคพืชน่ันเอง ส่วนแบคทีเรียจะเป็นผู้ย่อยสลาย กาก ของเสีย และซาก สิง่ มีชวี ิต ซ่ึงในท่ีสุด พลังงานจะถูกปลดปล่อยออกไปจากระบบนิเวศในรูปของพลังงาน ความร้อน ส่วนธาตุ อาหารจะกลับไปสะสมอยใู่ นดิน และพรอ้ มทีจ่ ะเปน็ ประโยชนแ์ กพ่ ชื ต่อไป 3.3.2 การถา่ ยเทอาหาร การถ่ายเทอาหารในระบบนิเวศ ก็คือ การถ่ายเทพลังงานน่ันเอง การถ่ายเทอาหารจะเร่ิมจากผู้ผลิตไปสู่ ผบู้ ริโภค เชน่ เดยี วกบั การถา่ ยทอดพลังงาน สำหรับการถา่ ยเทอาหารนี้ เรียกวา่ ห่วงโซอ่ าหาร (food chain) หว่ งโซอ่ าหาร สามารถแบง่ ได้เป็น 3 ประเภท คอื (1) ห่วงโซ่อาหารแบบจับกิน (Grazing food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากพืช ไปยัง สตั ว์กนิ พชื และสตั ว์กินสัตว์ ตามลำดบั เช่น แพลงตอนพชื → แพลงตอนสตั ว์ → ลูกปลา → ปลาใหญ่ → นก → มนษุ ย์ หรือ หญา้ → กวาง → สิงโต (2) ห่วงโซ่อาหารแบบกินเศษอินทรีย์ (Detritus food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารท่ีเริ่มจากซาก เศษอนิ ทรยี ซ์ ่งึ ถกู สลายตวั ดว้ ยจุลนิ ทรีย์ หรอื ผยู้ ่อยสลาย และจะถูกกนิ โดยสตั ว์ และผู้ลา่ อ่นื ๆ ต่อไป เช่น เศษใบไม้ → ปู, กุ้ง, หอย → ปลา → นก (ทยี่ ่อยสลายโดยจุลนิ ทรยี ์) (3) ห่วงโซ่อาหารแบบปรสิต (Parasite chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่เร่ิมจากผู้ถูกอาศัย ซ่ึงเป็น สัตว์ตัวใหญ่กว่า ไปยงั สตั ว์ตวั เล็ก หรอื ผ้อู าศยั ลำดับตอ่ ๆ ไป เช่น นก → ไรนก → โปรโตซวั → แบคทีเรีย → ไวรัส เครือข่ายอาหาร (Food Web) ในระบบนเิ วศ การกินอาหารของสง่ มีชวี ิตจะมีลักษณะซับซ้อนกว่าหว่ งโซ่อาหาร เนื่องจากส่ิงมชี ีวิตชนิดน้ัน ๆ สามารถบริโภคอาหารได้หลายชนิด และสัตว์บางชนิดก็อาจเป็นเหยื่อของส่ิงมีชีวิตได้หลายชนิดด้วยเช่นกัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศจึงเปรียบเสมือนห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่อาหาร มาสัมพันธ์โยงใยซึ่งกัน และกัน และมีความซับซ้อนมาก ๆ ในระบบนิเวศ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศนั้นอยู่ได้อย่างดี เช่น คนบริโภคปลา ผัก หมู นก และนกอาจจะบริโภคต๊ักแตน เมล็ดข้าว แมลงอ่ืน ๆ และนกอาจเป็นอาหารของคน งู สัตว์ป่าอื่น ๆ ต่อไป 84

4. ผลกระทบของการใช้พลังงานตอ่ การดำรงชีวิต ประชากรมนุษย์ท่ีเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็ว ประกอบกับกิจกรรมต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ก่อให้เกิด การรบกวนต่อวัฏจักรของสสารที่หมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งอาจจะเป็นระบบนิเวศขนาดเล็ก จนถึงระบบ นิเวศของโลก ประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของโลก ระบบนิเวศที่เปล่ียนแปลงไป มีผลมาจาก ประชากรในประเทศมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้พลงั งานจากถ่านหินและน้ำมันก็มากข้นึ เป็นเงาตามตัว การทำลายทรพั ยากรป่าไม้เพื่อการขยายพื้นที่ทำการเกษตรก็เพิ่มมากขน้ึ และการสังเคราะห์สารเคมตี ่าง ๆ มาใช้ใน การผลิตท้ังการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอย่างมากมาย สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศเป็นผลกระทบมา จากหัวขอ้ ทีจ่ ะกล่าวดังตอ่ ไปนี้ 4.1 ผลกระทบจากการใชพ้ ลงั งานจากถ่านหิน นำ้ มัน และการทำลาย ทรัพยากรป่าไม้ ถ่านหินและนำ้ มันเกดิ จากซากของส่ิงมีชีวติ ท่ีทบั ถมกนั ภายใต้ภาวะความดันที่สูงมาก ซ่ึงเข้าใจว่า เป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงของเปลือกโลก ที่ทำให้ส่วนของซากสิ่งมีชีวิตไม่สามารถที่จะย่อยสลายได้ตาม ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตท่ีทับถมกันเป็นเวลานานราว 200-300 ล้านปี โดยไม่มีการย่อยสลาย ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่าน้ัน กลายเป็นนำ้ มนั ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ปลายศตวรรษท่ี 18 มนุษย์ได้ค้นพบถ่านหินและน้ำมันเชื้อเพลิง และได้ นำมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม ด้านยานยนต์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ถ่านหินและน้ำมันเช้ือเพลิงอย่าง มหาศาล จนมาถึงปัจจุบันนี้ และไม่มีท่าทีว่ามนุษย์จะใชถ้ ่านหินและน้ำมันลดลง การเพ่ิมอัตราการใช้ถ่านหินและ น้ำมันเช้ือเพลิง ทำให้เกิดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากสู่บรรยากาศ ซ่ึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มี คณุ สมบตั ิท่ีไมไ่ วต่อปฏิกิริยากับสารชนดิ อน่ื ๆ ทำให้คงตัวอยู่ไดใ้ นบรรยากาศ นอกจากบางส่วนท่ีจะละลายไปกบั น้ำ แต่สว่ นใหญจ่ ะถูกใช้ไปในกระบวนการสังเคราะห์แสง การสังเคราะห์แสงในพ้ืนท่ตี ่าง ๆ ทั่วโลก ข้ึนอยู่กับ สภาพพื้นที่ สภาพต้นไม้ ป่าไม้ ความหนาแน่น ของป่าไม้ในแต่ละแห่ง ถ้าเป็นป่าดิบช้ืน หรือป่าชายเลน ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงจะดีที่สุด เน่ืองจาก พ้นื ท่ีในเขตร้อนมีแสงแดดจัดและมีพืชอยู่หนาแนน่ ขึ้นเป็นชั้น ๆ ทำใหม้ ีพ้ืนที่สเี ขยี ว หรือคลอโรฟิลลท์ ี่จะจับพลังงาน จากแสงอาทิตย์ได้จำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ได้ทำลายป่าดิบชื้น ป่าชายเลนลงไปจำนวนมาก ประสิทธิภาพในการ สงั เคราะห์แสงของพ้นื ผิวโลกก็ลดลง ทำให้อตั ราการใช้ก๊าซคาร์บอน-ไดออกไซด์ลดลงไปด้วย จึงสง่ ผลให้มีการสะสม กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มมากข้ึน ซ่ึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีคุณสมบัติในการปล่อยให้รังสีคล่ืนส้ัน คือ แสงสว่างและ รังสีอัลตราไวโอเลต จากดวงอาทิตย์ผ่านมายังพื้นโลกได้ แต่เม่ือพลังงานแสงและรังสี อัลตราไวโอเลต เปล่ียนเป็นพลังงานความร้อนสะท้อนกลับออกไปจากพ้ืนโลก จะถูกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดูดซับ และกั้นรังสีความร้อนไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกเพ่ิมสูงขึ้น เม่ือต้นไม้ ป่าไม้น้อยลง การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อการสังเคราะหก์ ็ลดลง และกา๊ ซออกซิเจนที่ได้จากการสังเคราะห์แสงก็ย่อมลดลงไปด้วยเชน่ กัน สำหรับการใช้ถ่านหินและน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น นอกจากจะมีผลต่อการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน บรรยากาศแล้ว ยังก่อให้เกิดก๊าซพิษต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ แต่ก๊าซพิษ เหล่าน้ีมักจะมีอันตรายในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากก๊าซเหล่าน้ีมีความไวต่อการทำปฏิกิรยิ ากับสารอ่ืน ๆ และละลาย 85

น้ำได้ดี จึงถูกกำจัดออกไปจากช้ันบรรยากาศได้เร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามนุษย์ได้รับสารพิษเหล่านี้เป็นประจำ และ ต่อเน่ือง ก็อาจสง่ ผลใหเ้ ป็นอันตรายต่อสขุ ภาพได้ 4.2 ผลกระทบจากการขยายพ้นื ทที่ ำการเกษตร การขยายพ้ืนที่การเกษตรเป็นจำนวนมากและรวดเรว็ ก่อให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่า สัตว์ป่า และ พนั ธุ์ไม้ต่าง ๆ ทำให้สญู เสียพ้ืนท่ีต้นน้ำลำธาร และส่งผลถงึ การหมุนเวียนธาตุอาหารในดิน เน่ืองจากในระบบนิเวศ ป่าธรรมชาติ เมื่อมีซากของ สิ่งมีชีวิต เช่น ซากพืชซากสัตว์ ก่ิงไม้ ใบไม้ เม่ืออยู่ในดิน จะเกิดการย่อยสลาย กลายเป็นแร่ธาตุ ฮิวมัส ซ่ึงเป็นอาหารของพืชต่อไป แต่การเกษตรสมัยใหม่นั้น ไม่ได้รอกระบวนการทางธรรมชาติ เพอื่ ให้มีการย่อยสลายซากพชื ซากสัตว์ แตจ่ ะใชว้ ิธกี ารนำผลผลิตออกจากพนื้ ท่ี และกำจัดซาก ต่าง ๆ ออกจากพ้นื ท่ี ด้วย จึงไมม่ ีกระบวนการคืนธาตุอาหารลงสดู่ นิ เม่ือทำการเกษตรซำ้ ๆ เดมิ อยู่ตลอดปี จึงทำใหด้ นิ เสื่อมสภาพลง อย่างรวดเร็ว เพราะมีแต่กระบวนการใช้ธาตุอาหาร กระบวนการหมุนเวียนของธาตุอาหารในดินจึงถูกรบกวน สง่ ผลกระทบต่อพืชซึง่ เป็นผูผ้ ลติ ในระบบนเิ วศนั้น ๆ 4.3 ผลกระทบจากการใชส้ ารประกอบท่สี งั เคราะหข์ ึน้ มาใหม่ การเกษตรในปจั จุบัน นอกจากจะไมร่ อเวลาใหเ้ กิดกระบวนการหมุนเวียนธาตุอาหารตามธรรมชาติ แล้ว ยังจะตอ้ งใชส้ ารสังเคราะหอ์ ่ืน ๆ เข้ามาช่วยในการเกษตรอีกด้วย เช่น การใชป้ ุ๋ยวิทยาศาสตร์ การใชย้ าฆ่า แมลง ยาปราบศัตรูพืช โดยเฉพาะเขตท่ีมีการเพาะปลูกตลอดปี การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างต่อเน่ือง ทำให้แมลงมี โอกาสดอ้ื ยา ซึ่งเกษตรกรจะต้องใช้ยาฆา่ แมลงในจำนวนมากขึ้นทุกปี หรอื ใช้ยาที่มีความเข้มขน้ มากขึ้น การควบคุม ประชากรแมลงด้วยวิธนี ้ี ทำใหศ้ ัตรูของแมลง เช่น นก ถูกควบคุมปรมิ าณไปด้วย เม่ือนกไปกินแมลง นกจะไดร้ ับ สารพิษและอาจตายได้ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เป็นผู้บริโภคท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุดของระบบนิเวศก็ย่อมได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกนั สำหรับสาร CFC หรือ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน เป็นสารสังเคราะห์ท่ีมนุษย์นำมาใช้ใน อุตสาหกรรมกระป๋องสเปรย์ ตเู้ ย็น เคร่อื งปรับอากาศ และ โฟม สารตัวน้เี ป็นก๊าซเฉือ่ ย มคี วามคงตวั สูงมาก ไม่ทำ ปฏิกิริยากับสารอ่ืน ๆ จะล่องลอยอยู่ในบรรยากาศได้เป็นเวลานาน และสามารถท่ีจะลอยไปถึงบรรยากาศชั้นของ โอโซน (O3) ซ่ึงห่อหุ้มโลกอยู่ โอโซนเป็นสารท่ีไวต่อปฏิกิริยากับสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ทำให้ โอโซน(O3) กลายเป็น ออกซิเจน (O2) และช้ัน โอโซน(O3) จะเบาบางลง เป็นเหตใุ ห้ปรมิ าณรังสีจากดวงอาทิตย์สามารถผ่าน ชน้ั โอโซนมายังโลกไดม้ ากข้ึน ซึ่งความแรงของรงั สีจะเป็นอันตรายต่อสง่ิ มีชวี ิตเล็ก ๆ ในโซ่อาหาร อนั ตรายตอ่ สายตา และผิวหนังของมนษุ ย์ และส่งผลให้ปริมาณความรอ้ นบนพื้นโลกเพิม่ ข้ึนดว้ ย นอกจากนี้ยังมกี ารใช้สารเคมีสังเคราะห์ อีกหลายชนิดท่ีผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ไม่สามารถทำหน้าที่ย่อยสลายได้ เช่น พลาสติก โฟม ดังนั้น เม่ือมีสาร เหล่านี้จำนวนมากข้ึน และไม่สามารถยอ่ ยสลาย ก็จะตกค้างอยใู่ นสิ่งแวดลอ้ มที่มนษุ ย์อาศยั อยู่ หรือคืนกลับสู่ระบบ ของส่งิ มีชวี ิตนนั่ เอง 86

การรักษาความสมดลุ ของระบบนิเวศ ระบบนิเวศใด ๆ ย่อมมีการเปลีย่ นแปลงตามธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเปน็ ค่อยไปตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดอันตรายต่อส่ิงแวดล้อมน้อยมาก ต่างจากการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดจากฝีมือของมนุษย์เอง มนุษย์ได้ใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ประกอบกับความเห็นแก่ตัว ละขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบทำให้ระบบนิเวศเสียความสมดุล ซึ่งก่อใ ห้เกิด อันตรายต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อมอย่างย่ิง ดังนั้น เราจึงควรหาวิธีดำเนินการเพื่อให้ระบบนิเวศอยู่ในภาวะสมดุล หรือเสียสมดุลให้น้อยท่ีสุด การดำเนินการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ มีท้ังมาตรการระยะยาว และมาตรการท่ัว ๆ ไป สำหรับมาตรการระยะยาว ในการดำเนินการรกั ษาสมดุลของระบบนิเวศมดี งั น้ี 1) ควบคมุ จำนวนประชากร ซงึ่ เปน็ ปัญหาหลักในการพัฒนา เพราะถา้ ประชากรมากเกินไป หรือ เกินความสมดุลแล้ว การพัฒนาหรือการอนุรักษ์ก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก เน่ืองจากยิ่งประชากรมากเท่าใด การใช้ทรัพยากรกจ็ ะเพิ่มมากข้ึนเท่านน้ั ดงั น้ันจงึ ควรมกี ารควบคุมประชากรให้เหมาะสม 2) การทำการเกษตร ควรใช้วิธีปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน จะช่วยให้ระบบนิเวศมี เสถียรภาพดีกว่าการปลูกพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว เนื่องจากพืชต่างชนิดกันอาจให้แร่ธาตุแก่ดินหรือ ต้องการแร่ธาตุแตกต่างกัน และพืชต่างชนิดกันอาจจะมีแมลงศัตรูพืชต่างกัน พืชบางชนิดยังสามารถควบคุมแมลง ศัตรูพืชได้อีกด้วย เช่น เกษตรกรอาจปลูกมะเขือเทศ สลับแถวกับกระเทียม แมลงศัตรูของมะเขือเทศ ก็จะไม่มา รบกวนมะเขือเทศ เนื่องจากกลิ่นกระเทียมเป็นตัวขับไล่แมลงศัตรูของมะเขือเทศน่ันเอง วิธีการป ลูกพืชหลาย ๆ ชนดิ ร่วมกนั จึงทำใหผ้ ลผลิตเพ่ิมขึ้น และสามารถรกั ษาดุลยภาพของส่งิ แวดลอ้ มได้ดีข้นึ 3) ด้านการใช้ความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยใี หเ้ หมาะสม เช่น การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ยาฆ่าแมลง ควรมีการแนะนำและควบคุมวิธีการให้สารเคมีต่าง ๆ ให้ถูกต้องและ ปริมาณเหมาะสม เพ่ือให้เกิดผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อมนอ้ ยทสี่ ดุ 4) รัฐควรกำหนดนโยบายการใช้ที่ดนิ ท่ถี ูกต้อง เหมาะสม และสามารถปฏบิ ัตไิ ด้ ทุกคร้งั ท่มี กี าร กำหนดนโยบายการใช้ที่ดิน ควรคำนึงถึงระบบนิเวศด้วย ต้องพัฒนาโดยให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และ ส่ิงแวดลอ้ มนอ้ ยท่ีสุด มาตรการการรักษาสมดลุ นเิ วศ สำหรบั มาตรการทวั่ ๆ ไป ทคี่ วรปฏบิ ตั ใิ นการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ได้แก่ 1) ใช้ทรพั ยากรทกุ อย่างอยา่ งประหยัด เชน่ ดิน น้ำ ปา่ ไม้ แรธ่ าตุ และเช้ือเพลิง 2) การนำกลับมาใช้ประโยชนใ์ หม่ ◼ Reuse เช่น การใช้ถุงพลาสตกิ ทใ่ี สข่ อง หรือ ขวดนำ้ พลาสติก ใชแ้ ลว้ นำมาใช้ซ้ำอีก ◼ Recycle เช่น การหลอมเศษแก้ว เพ่ือทำแก้วใหม่ ๆ การหลอมเศษเหล็กและนำเหล็กมาทำ กนั ชนรถยนต์ เปน็ ตน้ ◼ Repair เชน่ ซ่อมแซมเกา้ อชี้ ำรดุ ใหก้ ลับมาใช้ไดด้ ังเดมิ 87

3) การใช้ส่ิงอ่ืนทดแทน โดยใช้ส่ิงท่ีหาง่ายหรือมีมาก ทดแทนสิ่งที่หาได้ยาก หรือมีน้อยกว่า เช่น การสร้างบ้านโดยใช้ปนู แทนไม้ 4) การป้องกันส่ิงท่ีใช้แล้วมิให้เป็นพิษ ไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรม เสียหาย หรือถูกทำลาย เช่น การรณรงค์ไม่ใช้วัสดุโฟม เพราะโฟมมีสารประกอบ CFC (Chloro Fluoro Carbon) ซ่ึงเป็นอันตรายต่อช้ัน โอโซน ทำใหเ้ กิดชอ่ งโหวใ่ นช้ันโอโซน เปน็ ต้น 5) การปรบั ปรงุ คณุ ภาพให้ดีขึน้ เช่น การปรับปรงุ ดินเค็มใหส้ ามารถเพาะปลกู ได้ 6) การสร้างจิตสำนกึ ให้ประชาชน ระลึกว่าตนเป็นส่วนหน่ึง ของธรรมชาติ จะต้องช่วยกันรักษา ธรรมชาติไว้ เพ่อื ใหท้ กุ คนสามารถดำรงชีวติ อยไู่ ด้ ทัง้ ในปจั จุบนั และอนาคต การจดั การส่ิงแวดลอ้ ม การจัดการส่ิงแวดล้อม หมายถึง การดำเนินงานกิจกรรมต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพท่ีไม่ก่อให้เกิด อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม หรือกล่าวโดยง่าย คือ การจัดการส่ิงแวดล้อมนั้นเป็นการกำหนดกิจกรรมท่ีจะทำ ซ่ึงเป็น กิจกรรมใดก็ได้และกิจกรรมเหล่านั้นต้องไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (เกษม จันทร์แก้ว, 2551: 295) การ จัดการส่ิงแวดล้อมต้องกระทำควบคู่กับการอนุรักษ์ สาเหตุที่ต้องมีการจัดการสิ่งแวดล้อมนั้นสืบเนื่องมาจาก จำนวน ประชากรท่ีเพ่ิมข้ึน มีความต้องการในการใช้ทรัพยากร เพ่ือนำมาเข้าสู่กระบวนการผลิตสินคา้ เพื่อการอุปโภค บริโภค มากข้ึนตามไปด้วย หากไมม่ แี นวคิดในการจัดการสิ่งแวดลอ้ มอย่างถูกวธิ ีแลว้ อาจกอ่ ให้เกิดปัญหาหลายประการตามมา เชน่ ขยะ ส่ิงปฏิกูล มลพษิ สง่ิ แวดล้อม ภัยแลง้ ฯลฯ ได้ โดยมแี นวคิดคือ การสงวน การอนุรกั ษ์ การพฒั นา และการใช้ ประโยชน์ ซ่ึงแนวทางในการจัดการส่ิงแวดล้อมอย่างยั่งยืน คือ 1. การควบคุมการเพิ่มข้ึนของประชากร 2. การใช้ ทรัพยากรอย่างถูกหลักอนุรักษ์ 3. ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์ เรียกว่า “นิเวศพัฒนา” 4. กำหนดแผนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ชัดเจน 5. ใช้มาตรการควบคุมของเสียอย่าง จริงจัง การจัดการส่ิงแวดล้อมในระดับสากล การจัดการสิ่งแวดล้อมมีหลายระดับและหลายแนวทาง แต่ละ ประเทศจะมีการกำหนดขอ้ กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎขอ้ บังคบั หรือมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมของตนเอง ซ่ึงอาจมี หลักการดำเนินงานท่ีแตกต่างกันไป เพือ่ ให้เกิดความเขา้ ใจตรงกันอย่างเป็นสากล จึงได้ปรับปรุงมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อ ใช้เป็นมาตรฐานสากล นำมาใช้ในการจัดการสงิ่ แวดล้อมองคก์ ร เพื่อให้เกิดผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อมน้อยท่ีสุด ซึ่งเป็น มาตรฐานที่สมัครใจ มิได้บังคับใช้ มาตรฐาน ISO 14000 คือ มาตรฐานสากลว่าด้วยการจัดการสิ่งแวดล้อม ควบคุม โดยองค์กรระหวา่ งประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน การดำเนินกิจกรรมการจดั การสง่ิ แวดล้อมในงานอาชพี ISO 14000 ประกอบดว้ ยมาตรฐานหลายฉบับ ที่มี ความสำคัญมากทสี่ ุดคือ ISO 14001 คือ มาตรฐานระบบการจดั การส่ิงแวดล้อม (EMS) หรือ มอก.14001 ซ่ึงเป็น มาตรฐานเพยี งฉบับเดียวท่สี ามารถสรา้ งความเชื่อมน่ั แกผ่ ู้ท่ีเก่ยี วข้องไดโ้ ดยการออกใบรบั รองเพ่ือแสดงวา่ องค์กรได้มี การดำเนินธรุ กิจที่จะไม่ทำให้ส่งิ แวดลอ้ มเสียหาย องค์กรท่ีจะได้รับรองมาตรฐานต้องดำเนนิ การดังนี้ 1. กำหนด นโยบายส่งิ แวดล้อม 2. วางแผน 3.นำนโยบายไปปฏบิ ตั แิ ละดำเนินการ 4.ตรวจสอบและแก้ไข 5. ทบทวน ระบบการจดั การสงิ่ แวดลอ้ ม 88

การจัดการสิ่งแวดล้อม หมายถึง การดำเนินการต่อส่ิงแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สิ่งแวดล้อม สามารถเอ้ืออำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์ได้ตลอดไปโดยไม่ขาดแคลน และไม่มีปัญหาใด ๆ แนวคิดในการจัดการ สง่ิ แวดลอ้ ม มดี งั นี้ 1. การสงวน (Preservation) หมายถึง การธำรงไว้ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติ โดยปล่อยให้ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีการเจริญเติบโตและมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซ่ึงกัน และกันตามธรรมชาติทุก ประการ โดยมนษุ ยไ์ มค่ วรเข้าไปเกี่ยวข้อง 2. การอนุรักษ์ (Conservation) หมายถึง การดูแล ป้องกัน รักษา ซ่อมแซม และการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมเพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์มากท่ีสุด โดยไม่ทำลาย หรอื ให้เกิดความเสียหาย น้อยที่สุด นับว่าเป็นการรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมมากที่สุด และใช้ได้เป็น เวลานานท่สี ุด โดยสูญเสยี ทรัพยากรน้อยทส่ี ดุ และกระจายการใชป้ ระโยชน์ใหท้ ่ัวถึง 3. การพัฒนา (Development) หมายถึง การปรับปรุง ฟื้นฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมให้มีสภาพที่ดีข้ึน และสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 4. การใช้ประโยชน์ (utilization) หมายถึง การนำทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมาใช้ ประโยชน์อย่างถูกหลักวิชาการ การวางแผนจัดการสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นไปตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยขั้นตอน ตามลำดับตอ่ ไปน้ี 1. การสำรวจเบ้ืองต้น เป็นการสำรวจเพื่อให้ได้ข้อมูล ลักษณะพื้นท่ีท้ังด้านโครงสร้างและการ ทำงานของระบบทรพั ยากร เพอื่ ใชใ้ นการวางแผนสำรวจและวิเคราะหต์ ่อไป 2. การวางแผนเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล นำผลการสำรวจเบื้องต้นร่วมกับผลศึกษาจากเอกสาร รวมทัง้ ขอ้ กำหนดโครงการมาวางแผนเกบ็ และวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยแสดงในแผนท่ี 3. การสำรวจ/เก็บขอ้ มูล ดำเนินการตามแผนท่กี ำหนดในการเก็บขอ้ มลู 4. การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทุกประเภท/กลุ่ม ข้อมูลบางประเภทสามารถตรวจ วิเคราะหใ์ นพืน้ ทด่ี ว้ ยเคร่ืองมอื ข้อมูลบางประเภทตอ้ งนำไปวเิ คราะห์ในห้องปฏบิ ตั ิการ 5. เปรียบเทียบ/ประเมินผลการวิเคราะห์กับค่ามาตรฐาน นำข้อมูลท่ีวิเคราะห์ได้เปรียบเทียบกับ ค่ามาตรฐาน/ธรรมชาติ พร้อมท้ังสรุปผลการเปล่ียนแปลง ซ่ึงเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญทำให้เห็นการเปล่ียนแปลงของ ส่ิงแวดลอ้ ม ที่จะนำไปส่ปู ญั หา และสาเหตุของปัญหา 6. การประเมินสถานภาพของระบบทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม แลว้ ประเมินท้ังระบบส่งิ แวดลอ้ ม 7. การหาปัญหา และสาเหตุของปัญหา การประเมินสภาพจะให้แนวทาง ชี้ประเด็นปัญหาและ สาเหตขุ องปญั หา 8. การสร้างมาตรการ หลังจากได้ปัญหาและเหตุของปัญหาแล้ว จะต้องสร้างมาตรการแก้ไข ป้องกัน ฟน้ื ฟู พฒั นา สงวน ซอ่ มแซม หรือการใชว้ ธิ ีหนง่ึ วิธใี ดของการอนุรกั ษ์ โดยพจิ ารณาจากปัญหา 9. การสร้างแผนงาน ประกอบด้วย โครงการและกิจกรรม หมายถึง ลกั ษณะงาน ซงึ่ ประกอบดว้ ยปญั หา และสาเหตุของปญั หา เวลา และสถานท่ี กำหนดเวลา และสถานทีข่ องกจิ กรรมให้ชดั เจน งบประมาณ กำหนดงบประมาณให้เพียงพอกับการดำเนนิ งาน บุคลากร กำหนดใหเ้ หมาะสมกับหน้าที่ 89

การจัดการส่ิงแวดล้อมเป็นการบริหารงานที่เป็นระบบ ป้องกันการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้ไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา หรือเสียน้อยลง ช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากร และทำให้ใช้ทรัพยากรอย่างมี ประสิทธิภาพ รวมท้งั ทำใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ตอ่ ชีวติ และสงิ่ แวดล้อม แนวทางการจัดการสิง่ แวดลอ้ มในระดับสากล แนวทางในการจัดการสิ่งแวดลอ้ มมหี ลายแนวทาง แต่ละประเทศจะมีการกำหนดกฎหมายสิ่งแวดลอ้ ม กฎข้อบังคับ หรือมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐานของตนเอง ซึ่งอาจจะมีหลักการดำเนินการบริหาร จัดการท่ีแตกต่างกันไป ซ่ึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่เท่าเทียมกันด้านการค้าระหว่างประเทศ ดังน้ัน องค์การค้าโลก (World Trade Organiaztion : WTO) จึงได้มีการปรับปรุงมาตรฐานต่าง ๆ ข้ึน เพื่อใช้เป็น มาตรฐานสากล (International Organization for Standardization : ISO) สำหรับนำมาเป็นมาตรฐานที่ใช้ จดั การคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการจดั การสิ่งแวดล้อม มาตรฐานสากลทีเ่ กีย่ วกบั การผลิตและการจัดการสงิ่ แวดล้อมท่ี สำคัญ ๆ มีดงั น้ี 1) มาตรฐาน ISO 9000 เป็นมาตรฐานที่วา่ ดว้ ยระบบการบรหิ ารงานทัง้ อตุ สาหกรรมการผลติ และบริการ โดยมีเป้าหมายคือ ให้ลูกค้าพอใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งมีการนำเอามาตรฐานดังกล่าวมาพัฒนา ธุรกจิ อตุ สาหกรรม เพ่ือการแบง่ จำหนา่ ยสนิ ค้าในตลาดโลก 2) มาตรฐาน ISO 14000 เปน็ มาตรฐานสำหรบั การจดั การสงิ่ แวดลอ้ มขององค์กรเพื่อให้เกิดผล กระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อยท่ีสุด โดยองค์กรสามารถจัดทำระบบและขอการรับรองได้โดยความสมัครใจ แต่ต้องมี การประกาศเปน็ นโยบายอยา่ งชัดเจน และเปิดเผยตอ่ สาธารณชน มาตรฐาน ISO 14000 จะประกอบดว้ ยมาตรฐาน หลายฉบบั ที่เปน็ ส่วนช่วยในการปฏิบัติ ซง่ึ ในมาตรฐานน้ี ISO 14001 (Environmental Management System : EMS) จะเป็นมาตรฐานของระบบการจดั การสงิ่ แวดล้อม มาตรฐาน ISO 14000 เป็นมาตรฐานท่ีสมัครใจไม่มีการบังคับใช้ แต่ก็มีแนวโน้มว่าประเทสผู้นำเข้า สนิ ค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศท่ีพัฒนาแล้ว จะนำการรับรอง ISO 14000 มาเป็นเงื่อนไขในการนำเข้าสินค้า ด้วย สาเหตุนี้จึงทำให้ในการปฏิบัติคล้ายกับเป็นมาตรฐานบังคับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ส่งออกที่มีระบบการ จัดการส่ิงแวดลอ้ มทไ่ี ด้มาตรฐาน ISO 14000 จะสามารถค้าขายในตลาดโลกได้ดีขึ้น 90

ภาคผนวก 91

แบบบูรณาการความร้ทู ไี่ ดจ้ ากการเรยี นรูห้ นว่ ยเรียนท่ี …………กับหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง พอประมาณ มีเหตผุ ล มีภูมคิ ้มุ กนั ท่ีดี ............................................ ......................................... ............................................ ............................................ ......................................... ............................................ ............................................ ......................................... ............................................ ............................................ ......................................... ............................................ ............................................ ... ............................................ ............................................ ............................................ ............................................ หน่วยเรียนที่ ....... ............................................ ............................................ เร่ือง............................................ ............................................ ความรู้ คณุ ธรรม ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ ............................................................ อนั จะนำไปสกู่ ารพัฒนาที่ย่ังยนื ในดา้ นต่าง ๆ ดังนี้ เศรษฐกิจ สงั คม ส่ิงแวดล้อม วฒั นธรรม ..................................... ..................................... ..................................... ................................... ..................................... ..................................... ..................................... ................................... ..................................... ..................................... ..................................... ................................... ..................................... ..................................... ..................................... ................................... ..................................... ..................................... ..................................... ................................... 92


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook