ประโยชน์ของพลังงานจากถ่านหิน การใช้ถ่านหินเป็นท่ีนิยมกันมากเมื่อหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ และยิ่งเพิ่มมากข้ึน หลายเท่าตัวเม่ือเกิดวิกฤตราคาน้ำมันในปี พ.ศ. 2516 ทำให้มีการใช้ถา่ นหินเป็นเช้ือเพลิงทดแทนน้ำมันมากข้ึน ทั้ง การใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าและในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ การใช้ประโยชนจ์ ากถ่านหินอาจแบง่ ได้หลัก ๆ เปน็ 2 ประเภท คือ 1. การใช้ถา่ นหนิ เป็นเช้อื เพลงิ ถา่ นหินส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยตรงคือ ใช้เป็นเช้ือเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น จาก ขอ้ มูลของสำนักนโยบายและแผนพนังงานเมื่อปี พ.ศ. 2546 พบว่าในประเทศไทยใช้ถ่านหินลิกไนต์ในการผลิตไฟฟ้า ถึงร้อยละ 86 ส่วนท่ีเหลือร้อยละ 14 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่ภาพรวมทั่วโลกพบว่ามีการใช้ ถ่านหินเพ่ือผลิตกระแสไฟฟ้าประมารร้อยละ 64 ซ่ึงจะเห็นว่าปริมาณของถ่านหินที่ขุดข้ึนมาได้นั้นจะถูกใช้เป็น เช้ือเพลงิ ค่อนขา้ งมากโดยเฉพาะการผลติ กระแสไฟฟ้า 2. การใช้ถา่ นหนิ เพื่อวตั ถุประสงคอ์ นื่ มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งวัตถุดิบเพ่ือผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อ่ืนๆ อีกหลายอย่างเช่น การนำมาผลิต เป็นถ่านโคก้ เทียม ถ่านกมั มันต์ ปุ๋ยยเู รีย หรอื การนำมาสกดั เอานำ้ มนั ดบิ เป็นตน้ 3. กา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) คือ เช้ือเพลิงประเภทฟอสซิลอย่างหนึ่ง ซ่ึงพบได้ในแอ่งใต้พ้ืนดินหรือ อาจพบร่วมกับน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วย ธาตุถ่านคาร์บอน ( C) กับธาตุไฮโดรเจน (H) จับตัวกันเป็นโมเลกุล โดยเกิดข้ึนเองธรรมชาติ จากการทับถมของซากส่ิงมีชีวิตตามช้ันหิน ดิน และในทะเลหลายร้อยล้านปีมาแล้ว เช่นเดียวกับน้ำมัน และเนื่องจากความร้อนและความกดดันของผิวโลกจึง แปรสภาพเป็นก๊าซ ก๊าซธรรมชาติ คือส่วนผสมของก๊าซไฮโดรคาร์บอน และส่ิงเจือปนต่าง ๆ ในสภาวะก๊าซสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนท่ีพบ ในธรรมชาตไิ ดแ้ ก่ มีเทน อเี ทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน เป็นต้น สิ่งเจอื ปนอื่น ๆ ทพ่ี บใน ก๊าซธรรมชาติ ไดแ้ ก่ คารบ์ อนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนไดซลั ไฟด์ เปน็ ตน้ ก๊าซธรรมชาติจะไมม่ สี ี ไม่มีกลิน่ (ยกเวน้ กล่นิ ทีเ่ ติมเพ่ือให้รู้เมื่อเกิดการรวั่ ไหล) และไมม่ พี ิษ ในสถานะปกติ มีสภาพเป็นก๊าซหรือไอท่ีอุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศจึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรวั่ ไหลจะฟ้งุ กระจายไปตามบรรยากาศอยา่ งรวดเร็ว จึงไม่มกี ารสะสมลกุ ไหมบ้ นพ้นื ราบ การแยกกา๊ ซธรรมชาติ เราสามารถนำก๊าซธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ต่าง ๆ ได้โดยผ่านกระบวนการแยก หรือแปรสภาพก๊าซ ธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาตทิ ำหน้าทีแ่ ยกกา๊ ซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ซ่งึ ปะปนกนั หลาย ชนิดตามธรรมชาตอิ อกมาเป็นก๊าซชนิดต่าง ๆ เพอ่ื นำไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์สงู สุดตามคณุ คา่ ของกา๊ ซนน้ั ภายใต้ 34
กระบวนการแยกก๊าซ แต่ในการแยกก๊าซต้องใช้อณุ หภูมติ ่ำมาก ทำให้สารประกอบเหล่านีแ้ ข็งตัวและมผี ลทำใหท้ ่อ ตนั ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งกำจดั โดยผา่ นกระบวนการดังน้ี 1. หนว่ ยกำจดั สารปรอทเน่ืองจากกา๊ ซธรรมชาตใิ นอา่ วไทยมสี ารปรอทปนอยู่ดว้ ย ดังนัน้ โรงแยกก๊าซต้องมี หน่วยกำจัดสารปรอท เพื่อแยกสารประกอบออกจากก๊าซ 2. หนว่ ยกำจัดความช้นื การขจัดความช้ืนออกจากกา๊ ซธรรมชาติเป็นสิ่งจำเป็นเพราะความชื้นหรือไอนำ้ จะ กลายเปน็ นำ้ แข็งเม่ือเขา้ กระบวนการลดอุณหภูมิซ่ึงจะทำให้ท่ออุดตนั ไอนำ้ จะถูกกำจัดด้วยวิธีการทางเคมีทีเ่ รียกว่า กระบวนการกรองโมเลกลุ ซึ่งเปน็ สารทมี่ รี ูพรนุ สงู สามารถดูดซบั น้ำออกจากกา๊ ซ 3. หน่วยกำจัดกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ใชส้ ารละลายโปตสั เซียมคารบ์ อเนต (K2CO3) ออกจากก๊าซ ธรรมชาตดิ ้วยดว้ ยการลดความดันเพม่ิ อุณหภมู ิทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ถูกปลอ่ ยออก การใชป้ ระโยชน์จากกา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาตสิ ามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ใน 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ คอื ใชเ้ ปน็ เชื้อเพลิง ใช้ได้โดยตรงด้วยการ ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า หรือในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเซรามิค อุตสาหกรรม สขุ ภัณฑ์ ฯลฯ และเมื่อนำไปอดั ใส่ถังด้วยความดันสงู ก็สามารถนำไปใช้เป็นเช้ือเพลิงสำหรับรถยนต์ได้ (NGV) และ นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซ เพราะในตัวเน้ือก๊าซธรรมชาติ มีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อยมู่ ากมาย เมอื่ นำมาผ่านกระบวนการแยกทโ่ี รงแยกก๊าซแลว้ ก็จะได้ผลติ ภณั ฑ์ต่างๆ มาใชป้ ระโยชน์ไดด้ ังน้ี 1. ก๊าซมีเทน (C1) ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม และนำไปอัดใส่ถัง ดว้ ยความดันสูง เรียกว่า กา๊ ซธรรมชาตอิ ัด สามารถใช้เปน็ เช้ือเพลงิ ในรถยนต์ 2. ก๊าซอีเทน (C2) และก๊าซโพรเพน (C3) ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นสามารถนำไปใช้ ผลิตเม็ดพลาสติก เสน้ ใยพลาสตกิ ชนดิ ตา่ ง ๆ เพื่อนำไปใช้แปรรปู ตอ่ ไป 3. ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) นำเอาก๊าซโพรเพนกับก๊าซบิวเทนมาผสมกัน อัดใส่ถังเป็น ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum Gas-LPG) หรือท่ีเรียกว่า ก๊าซหุงต้ม สามารถนำไปใช้เป็นเช้ือเพลิง ในครวั เรอื น ใชเ้ ช่อื มโลหะ และใชใ้ นอุตสาหกรรมบางประเภทไดอ้ กี ด้วย 4. ไฮโดรคาร์บอนเหลว อยู่ในสถานะท่ีเป็นของเหลวท่ีอุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตข้ึน มาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนท่ีมีสถานะเป็นก๊าซบนแท่นผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท สามารถขนสง่ โดยทางเรือหรือทางท่อ นำไปกลนั่ เป็นน้ำมนั สำเรจ็ รูปตอ่ ไป 5. กา๊ ซโซลนี ธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขน้ึ มาถึงปากบ่อบนแท่นผลผลิต แล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนท่ีมีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่านกระบวนการแยก จากโรงก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊าซโซลีนธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังดรงกลนั่ น้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรปู ไดเ้ ช่นเดียวกบั คอน เดนเสท และยงั เปน็ ตวั ทำละลายซึ่งนำไปใชใ้ นอุตสาหกรรมบางประเภทได้เชน่ กัน 6. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เม่ือผ่านกระบวนการแยกแล้ว จะถูกนำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง เรียกว่า น้ำแข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่าง 35
การขนส่ง นำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำฝนเทียมและนำไปใช้สร้างควันในอุตสาหกรรมบันเทิง อาทิ การแสดง คอนเสริ ต์ หรอื การถ่ายทำภาพยนตร์ คณุ สมบตั ขิ องกา๊ ซธรรมชาติ 1. เปน็ เชื้อเพลิงปโิ ตรเลยี มชนิดหนง่ึ เกดิ จากการทับถมของสงิ่ มีชีวติ นับล้านปี 2. เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ประกอบดว้ ยกา๊ ซมเี ทนเปน็ หลกั 3. ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ปราศจากพิษ (ส่วนมากกลิ่นท่ีเราคุ้นเคยจากก๊าซธรรมชาติเป็นผล มากจากการเติม สารเคมีบางประเภทลงไป เพือ่ ใหผ้ ใู้ ช้ร้ไู ด้ทันท่วงทเี มื่อเกดิ เหตุการณ์ก๊าซรวั่ ) 4. เบากวา่ อากาศ (ความถว่ งจำเพาะ 0.5-0.8 เท่าของอากาศ) 5. ติดไฟได้ โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15% ของปริมาตรในอากาศ และอุณหภูมิท่ีสามารถติดไฟได้เอง คอื 650 องศาเซลเซียส ขอ้ ดีของกา๊ ซธรรมชาติ 1. เป็นเช้ือเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีการเผาไหม้สมบูรณ์ และไม่มีกาก ของเช้ือเพลิงหลงั จากการเผาไหม้ 2. กา๊ ซธรรมชาตไิ มท่ ำลายหรอื กดั กร่อนอุปกรณ์ และวัสดุในกระบวนการผลติ 3. ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน เน่ืองจากปล่อยความร้อนสู่บรรยากาศ โลกนอ้ ยกว่าเช้ือเพลงิ ชนดิ อ่นื 4. มีความปลอดภยั สูงในการใช้งาน เนอ่ื งจากเบากว่าอากาศ จึงลอยขึน้ เม่อื เกดิ การร่ัว 5. มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลงิ ปโิ ตรเลียมอืน่ ๆ เช่น นำ้ มัน นำ้ มนั เตา และกา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว 6. สามารถสรา้ งมูลคา่ เพิม่ ช่วยขบั เคล่อื นการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ ของประเทศ 7. ไม่มฝี นุ่ ออกไซด์ของกำมะถนั และไนโตรเจนซ่งึ เป็นอนั ตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 8. ขนส่งโดยทางท่อ ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชุมชนและส่ิงแวดล้อมมากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอ่ืน ซ่ึงขนส่ง ทางรถยนต์หรือทางเรือ 9. กา๊ ซธรรมชาตสิ ่วนใหญ่ท่ีใช้ในประเทศไทยผลิตได้เองจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการนำเข้าพลังงาน เชอ้ื เพลิงอน่ื ๆ และประหยดั เงินตราต่างประเทศไดม้ าก 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ จงตอบคำถามต่อไปนใี้ หถ้ ูกต้อง 1.พลังงานมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในดา้ นใด 2.จงบอกความหมายของคำว่าพลังงาน 3.พลังงานมีกีป่ ระเภท ได้แกอ่ ะไรบ้าง 4.พลงั งานภายในไดแ้ ก่อะไรบ้าง 36
5.ร่างกายมนษุ ย์ตอ้ งการพลงั งานอะไร 6.พลงั งานประเภทใดใช้แลว้ ไม่มีวันหมด 7.พลังงานท่ีไชใ้ นชวี ติ ประจำวันเปน็ พลงั งานรูปแบบใด 8.ถ่านหนิ ทพ่ี บในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นถ่านหนิ ประเภทใด 9.แหลง่ พลงั งานจำแนกตามกระบวนการผลติ ได้ก่ีประเภท อะไรบา้ ง 10.โทรทศั น์สี 1 นว้ิ กินไฟ 43วัตต์ (จากแผ่นปา้ ยหลงั เครื่อง) ใช้ไฟฟา้ อยู่ในระดบั 200 หน่วย ต่อเดือน เสียคา่ ไฟเฉลีย่ หนว่ ยละ3.6บาท เปิดใช้ 5 ชัว่ โมงต่อวัน จะเสยี ค่าไฟเดือนละเทา่ ไร 37
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 4 หลกั สตู ร ประกาศนยี บัตรวิชาชีพช้ันสงู สอนครง้ั ท่ี 4 (12 คาบ) รหสั 30000-1301 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พลงั งานและส่ิงแวดลอ้ ม ท-ป-น 2-2-3 ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ สารเคมใี นอตุ สาหกรรม 1. สาระสำคัญ ในปัจจุบนั อุตสาหกรรม นบั ว่าเปน็ ภาคสว่ นท่เี ขา้ มามีบทบาทในชีวติ มนุษย์แทนที่ วถิ ีหัตถกรรม เน่ืองจาก สามารถสร้างผลผลติ ไดม้ าก รวดเรว็ ควบคมุ มาตรฐานไดง้ ่าย และเป็นภาคสว่ นทส่ี ร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่าง มาก เช่น อุตสาหกรรมอาหาร สงิ่ ทอ ยาง ปโิ ตรเคมภี ณั ฑ์ สารเคมตี ่าง ๆ ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลาย ประเภท สารเคมบี างประเภทใช้เป็นสารตัง้ ต้น บางประเภทใช้เป็นตวั เรง่ ปฏิกริ ิยาใหเ้ กดิ ผลผลติ ได้รวดเร็วขน้ึ บางชนิด ใชเ้ ป็นสารเติมแตง่ ปรับปรุงคุณภาพของผลติ ภณั ฑ์ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ซ่งึ สารเคมีบางชนิดหากนำมาใช้ มากเกินไปอาจก่อใหเ้ กิดอันตราย โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในอตุ สาหกรรมอาหาร เพราะเปน็ ผลิตภณั ฑท์ ีต่ ้องบรโิ ภคเขา้ สู่ รา่ งกาย 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย แสดงความรู้เกยี่ วกับสารเคมีในอตุ สาหกรรม 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. บอกความหมายของอตุ สาหกรรมได้ 2. จำแนกประเภทอุตสาหกรรมได้ 3. บอกหนา้ ท่ขี องสารเคมชี นิดต่างๆ ที่ใชใ้ นอุตสาหกรรมได้ 4. บอกอนั ตรายจากสารเคมีทถ่ี ูกปลดปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ 5. บอกค่ามาตรฐานของสารเคมีทย่ี อมใหป้ ลดปล่อยจากโรงงานอตุ สาหกรรมได้ 4. สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของอตุ สาหกรรม 2. ประเภทของอุตสาหกรรม 3. สารเคมที ใ่ี ช้ในอตุ สาหกรรม 3.1 สารเคมที ใ่ี ช้ในอุตสาหกรรมอาหาร 3.2 สารเคมีทใ่ี ช้ในอตุ สาหกรรมส่ิงทอ 3.3 สารเคมที ี่ใชใ้ นอตุ สาหกรรมพลาสติก 3.4 อตุ สาหกรรมสแี ละตัวทำละลาย 3.5 สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี 3.6 สารเคมีที่ใช้ในอตุ สาหกรรมสารซกั ฟอก 4. สารเคมอี ื่นๆ ทใี่ ช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท 38
5. สารเคมีท่ีถูกปลดปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ .ี่ ..10-12........) - ครูตรวจสอบรายชือ่ ผู้เขา้ เรยี น - นำเขา้ สู่บทเรยี น - ให้ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน - ให้ความรใู้ นสาระการเรยี นรู้จนครบทุกหัวข้อ - กิจกรรมเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรก์ ารทดลองท่ี 4.1 เร่ือง การทดสอบสารฟอกขาวชนดิ โซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์ อภปิ รายผลและลงข้อสรปุ รว่ มกัน - สรปุ เนอ้ื หาสาระที่สำคัญ - ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น 6. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรียนวิชาการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งานและสง่ิ แวดลอ้ ม 30000-1301 ของสำนกั พมิ พศ์ นู ย์สง่ เสริมอาชีวะ 2.รูปภาพ 3.แผน่ ใส 4.ส่ือ PowerPoint , วดิ ที ศั น์ 5.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 6.กจิ กรรมการเรียนการสอน - กิจกรรมเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4.1 เรื่อง การทดสอบสารฟอกขาวชนิดโซเดยี มไฮโดร ซัลไฟต์ 7.หลกั ฐานการเรียนรู้ 1.บันทึกการสอนของผู้สอน 2.ใบเชค็ รายช่ือ 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วิธีการ 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 39
5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏิบัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.2 เครอื่ งมือ 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม (โดยผูเ้ รยี น) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรู้ และแบบฝกึ ปฏิบตั ิ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครแู ละผู้เรียนรว่ มกนั ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี ่องปรับปรงุ 2. เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกล่มุ คือ ปานกลาง (50 % ข้นึ ไป) 3. เกณฑ์ผา่ นการสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรมู้ ีเกณฑผ์ ่าน และแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 50% 5. แบบประเมินกจิ กรรมใบงานมีเกณฑ์ผ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนข้ึนอยู่ กบั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสำเรจ็ ของผูเ้ รียน - ใบกจิ กรรมทบทวนบทเรยี น - กจิ กรรมเสริมทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4.1 เร่ือง การทดสอบสารฟอกขาวชนิดโซเดยี มไฮโดร ซัลไฟต์ - คะแนนทดสอบหลังเรยี นร้อยละ 60 ข้นึ ไป 40
9.บันทึกผลหลงั การจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรียนรู้ ................................................................................................... ............................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... .............................................................................................. .................................................... 9.2 ปัญหาทีพ่ บ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ................................................................................................................................ .................. ................................................................................................................ .................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ..................... .......................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ........................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ..................... 41
เอกสารอ้างองิ นาท ตณั ฑวิรุฬห์ และคณะ. (2528). วิทยาศาสตรส์ งิ่ แวดลอ้ มและการบริหารทรัพยากร. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พ์ไทยวัฒนาพานชิ จำกัด. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). ศัพท์วทิ ยาศาสตรฉ์ บบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑติ ยสถาน. วินยั วีระวัฒนานนท์ และคณะ. (2537). การศกึ ษาสิ่งแวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์โอเดียนสโตร์, สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั .(2558).พลาสติกใน ชีวิตประจำวัน .[ออนไลน์]. แหล่งข้อมูล : http://kanchanapisek.or.th/kp6.(วนั ท่ีคน้ ข้อมลู : 18 กมุ ภาพันธ์ 2558). สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี (2547). หนังสือเรียนสาระการเรยี นรู้พน้ื ฐานและ เพม่ิ เตมิ เคมี เล่ม 5. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. 42
ใบความรทู้ ี่ 4 หน่วยที่ 4 หลักสตู ร ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้นั สูง สอนครั้งท่ี 4 (12คาบ) รหสั 30000-1301 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน เวลา......12............ชม. และสิ่งแวดลอ้ ม ชือ่ เรื่อง เรอื่ ง สารเคมีในอุตสาหกรรม 1. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของอุตสาหกรรมได้ 2. จำแนกประเภทอุตสาหกรรมได้ 3. บอกหน้าทข่ี องสารเคมชี นิดต่างๆ ทีใ่ ชใ้ นอุตสาหกรรมได้ 4. บอกอนั ตรายจากสารเคมีท่ถี ูกปลดปลอ่ ยจากโรงงานอตุ สาหกรรมได้ 5. บอกคา่ มาตรฐานของสารเคมีทย่ี อมให้ปลดปลอ่ ยจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1. แสดงความรูเ้ ก่ียวกับสารเคมีในอุตสาหกรรม 3. สาระการเรียนรู้ ประเภทของอตุ สาหกรรม การแยกประเภทของอตุ สาหกรรม การแยกประเภทอุตสาหกรรมตามลกั ษณะการใช้ เป็นเกณฑ์ แยกได้ 2 ประเภท คือ 1. อตุ สาหกรรมสนิ ค้าทนุ หมายถึง อุตสาหกรรมทผี่ ลติ สนิ ค้าซ่ึงส่วนใหญน่ ำไปใชเ้ ป็นวตั ถุดบิ ของโรงงานอตุ สาหกรรมอ่นื ๆ เชน่ การทำเครอื่ งจักร เครื่องมือ การถลงุ โลหะ อุตสาหกรรมเคมี อตุ สาหกรรมฟอกหนัง เป็นต้น 2. อตุ สาหกรรมสนิ คา้ บริโภค หมายถึง อตุ สาหกรรมทท่ี ำการผลติ ให้ได้ผลติ ผลสำหรับประชาชน นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นการดำเนินชวี ิตประจำวนั เชน่ อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรปู และของใช้ในครัวเรือน การแยกประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะของการผลิต เปน็ เกณฑ์ จะแบง่ เป็น 3 ประเภท คือ 1. อุตสาหกรรมเบอื้ งตน้ หรืออตุ สาหกรรมที่ 1 เปน็ การผลิตเพ่ือใหไ้ ด้วัตถดุ ิบไปใช้ประกอบการ อย่างอ่ืน เช่น การกสิกรรม การประมง การทำเหมืองแร่ 2. อตุ สาหกรรมท่ี 2 เปน็ การผลิตวตั ถุสำเร็จรปู เช่น การทำอาหารกระปอ๋ ง การสีข้าว 3. อตุ สาหกรรมที่ 3 เปน็ กจิ การด้านบริการ เชน่ การขนสง่ การโรงแรม การแยกประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะและขนาดของกจิ การ เป็นเกณฑ์ จะแบ่งเปน็ 3 ประเภท คอื 1. อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หมายถึง อุตสาหกรรมท่ตี ้องใชแ้ รงงาน เครื่องจักร อปุ กรณ์ และ 43
เงินลงทนุ สงู มาก เชน่ อุตสาหกรรมถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกลา้ 2. อุตสาหกรรมขนาดย่อม หมายถึง อุตสาหกรรมท่ตี ้องใช้แรงงาน เคร่ืองจักร อุปกรณ์ ตลอดจน เงินทุนนอ้ ยกว่าอตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ เชน่ อตุ สาหกรรมน้ำตาล 3. อตุ สาหกรรมในครัวเรือน หมายถึง อุตสาหกรรมทที่ ำกันภายในครอบครวั ในบา้ นทอี่ ยู่อาศัย เป็นอตุ สาหกรรมท่ีใช้แรงงานคนเปน็ ส่วนใหญ่ ผลิตภณั ฑ์ท่ีใชค้ วามชำนาญทางฝมี ือ เคมีอตุ สาหกรรมทพ่ี บใน ชวี ิตประจำวันส่วนใหญจ่ ะใชก้ ับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ซ่งึ จะผลติ สินคา้ จำหนา่ ยภายในประเทศและเปน็ สนิ ค้า สง่ ออกนอกประเทศ ผลติ ภณั ฑ์ที่มสี ารเคมเี ปน็ สว่ นผสม มดี ังน้ี 1. การผลิตสารส้มอะลมู ิเนียมซลั เฟต (Aluminium Sulphate) สารสม้ เปน็ สารทรี่ ู้จักกนั มาตงั้ แต่สมัย โบราณ และปัจจุบันยงั คงมีการใชส้ ารส้มกนั มาก สารส้มในทางเคมี หมายถงึ สารสองชนดิ คอื สารส้มทเี่ ปน็ สารประกอบของเกลือซัลเฟตสองเชิง (double salt) และสารส้มอะลูมเิ นียมซัลเฟต (Al2 (SO4)3. 12H2O) 2. อตุ สาหกรรมเก่ียวกบั ไนโตรเจน (Nitrogen Industries) ไนโตรเจนมมี ากในอากาศ คือ รอ้ ยละ 79 ซง่ึ ใชเ้ ป็นวัตถดุ ิบในอุตสาหกรรมหลายประเภท เชน่ การสังเคราะหแ์ อมโมเนีย การผลติ ยูเรีย การผลิตกรดไนทรกิ การผลติ ดนิ ประสวิ เป็นตน้ 3. อุตสาหกรรมสบแู่ ละผลซักฟอก (Soap and Detergents) กระบวนการผลิตผงซักฟอก (detergents) ผงซกั ฟอกเป็นสารทใี่ ชใ้ นการซักหรอื ทำความสะอาด วตั ถุดิบทใ่ี ชใ้ นการผลติ ได้แก่ สารลดแรงตึงผวิ (surfactant หรือ surface active agent) บลิ เดอร์ (buider) ตัวควบคมุ ขนาด (seed regulation) และสารเตมิ แต่ง (additive) 4. อตุ สาหกรรมสงั กะสี (Zinc Industry) สังกะสี เป็นโลหะสขี าวปนเทา มีความแขง็ แรง แตเ่ ปราะ หกั งา่ ย ไมท่ นต่อกรด สังกะสีบริสุทธส์ิ ามารถนำไปผสมกับโลหะอน่ื ได้ เพื่อให้โลหะผสมมีความแข็งแรงมากขน้ึ แร่ สังกะสที ่ีพบ ได้แก่ hemimorphite [Zn4(Si2O)(OH)2.H2O)] smithsonite (ZnCO3) และ zincite (ZnS) 5. อตุ สาหกรรมนำ้ มนั พืช (Vegetable Oil) อุตสาหกรรมน้ำมนั พืชเกดิ ขน้ึ มานานนับหลายสิบปี ในประเทศไทย ซง่ึ เดิมเป็นโรงงานขนาดเล็กหรือทำเป็นอตุ สาหกรรมในครัวเรอื น ต่อมาไดม้ ีการพฒั นาวธิ ีการสกัด และกลัน่ ทนั สมัย จึงได้มีการตงั้ โรงงานผลิตน้ำมนั พืชขนาดกลางและขนาดใหญ่มากมาย นำ้ มันพชื ทท่ี ำการผลติ ในปัจจุบนั สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 5.1. น้ำมนั พืชสำหรบั การบรโิ ภคโดยตรง เชน่ นำ้ มนั จากถว่ั เหลอื ง ถ่วั ลิสง รำข้าว เมล็ดนนุ่ เมล็ดฝา้ ย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดของผลมะกอก 5.2. นำ้ มนั พชื สำหรบั อุตสาหกรรม ไดแ้ ก่ น้ำมันละหงุ่ น้ำมันจากเมลด็ ยางพารา 5.3. น้ำมนั พืชสำหรบั บรโิ ภคและสำหรบั อตุ สาหกรรม ได้แก่ นำ้ มันมะพร้าว นำ้ มันปาลม์ น้ำมันขา้ วโพด 6. อตุ สาหกรรมแป้ง (StarchIndustry) แป้งประกอบดว้ ยโมเลกุล 2 ชนิด คือ โมเลกุลเชงิ เสน้ amylose และแบบแตกแขนง amylopectin แป้งผลิตได้จากพชื หลายชนิด คือ ข้าวโพด (corn, maiz) ข้าวจ้าว ข้าวสาลี (wheat) ขา้ วฟ่าง (cassawa) มันสำปะหลงั (tapioca root) ปาลม์ สาคู (sago palm) และมันฝรงั่ (potato) เปน็ ต้น 44
7. อุตสาหกรรมนำ้ ตาล (Sugar Industries) น้ำตาลมีชอื่ ทางเคมีว่า ซโู ครส (sucrose, C12H22O11) จดั เป็นนำ้ ตาลประเภทไดแซ็กคาไรด(์ disaccharide) ซ่ึงเกิดจากโมโนแซก็ คาไรด์ (monosaccharide) 2 ชนิดรวมกัน คอื กลโู คสและฟรุคโตส นำ้ ตาลมีรสหวานตามธรรมชาติ มีมากในหัวบีท (beat) ตาล และอ้อย กระบวนการผลติ น้ำตาลมี 2 ชนดิ คือ กระบวนการผลิตน้ำตาลทรายดบิ จากอ้อย และกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายขาว 8. อตุ สาหกรรมการผลิตเยอ่ื กระดาษและกระดาษ (Pulp and Paper Industry) อตุ สาหกรรมการผลิตเยื่อ กระดาษและกระดาษ ซ่งึ ได้นำสว่ นตา่ งๆ ของพชื นานาชนิดมาใช้ในการผลติ เยื่อกระดาษและกระดาษ ดังน้ี 8.1. เย่ือกระดาษและกระดาษ (Pulp and Paper) เยือ่ กระดาษผลิตไดจ้ ากเสน้ ใยของเนื้อไม้ของพชื ตา่ งๆ เชน่ สน ไผ่ ยคู าลปิ ตสั ฟางข้าว ชนั อ้อย หญา้ ขจรจบ เป็นต้น 8.2. องคป์ ระกอบของเน้อื ไม้ องค์ประกอบของเนื้อไม้ซงึ่ นำมาใช้ประโยชนใ์ นการผลิตเย่ือกระดาษ กระบวนการผลติ เย่ือกระดาษ แบง่ ออกเปน็ 2 วิธใี หญ่ๆ คือ การผลิตเยื่อด้วยวิธกี ล (mechanical pulping) และ การผลิตเยอ่ื ด้วยวธิ ีทางเคมี (chemical pulping) 9. อุตสาหกรรมปูนซเี มนต์ (Cement Industry) ปูนซีเมนต์ เป็นวสั ดทุ ่มี คี วามสำคญั ในงานกอ่ สร้างตา่ งๆ เชน่ บ้าน อาคารสูง ถนน สะพานสูง เปน็ ต้น วัตถุดิบในการผลติ ปนู ซีเมนต์ ไดแ้ ก่ แคลเซยี มออกไซด์ ซ่ึงไดจ้ าก หินปูน หรือแคลเซียมคารบ์ อเนท และซลิ กิ าออกไซด์ อะลูมินาออกไซด์ และเฟอรกิ ออกไซด์ ซึง่ ส่วนผสมนไี้ ดจ้ าก หินเชล(shale) วัตถุที่หา้ มใช้ในอาหาร (ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับท่ี 151 (พ.ศ. 2536) เรื่องวัตถุทหี่ า้ มใชใ้ นอาหาร) • นำ้ มนั พชื ทผ่ี ่านกรรมวิธเี ตมิ โบรมนี (brominated vegetable oil) • กรดซาลิไซลิก(salicylic acid) • กรดบอริก(boric Acid) • บอแรกซ์ (borax) • แคลเซียมไอโอเดต (calcium iodate) หรอื โพแทสเซียมไอโอเดต (potassium iodate) ยกเว้นการใช้เพ่ือ ปรบั สภาวะโภชนาการเกี่ยวกบั การขาดสารไอโอดีน ตามที่ไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากสำนกั งานคณะกรรมการ อาหารและยา • ไนโตรฟรู าโซน (nitrofurazone) • โพแทสเซยี มคลอเรต (potassium chlorate) • ฟอร์มาลดไี ฮด์ (formaldehyde) สารละลายฟอรม์ าลดีไฮด์ (formaldehyde solution) และพารา ฟอรม์ าลดีไฮด์ (paraformaldehyde) • คมู ารนิ (coumarin) หรอื 1,2-เบนโซไพโรน (1,2-benzopyrone) หรือ 5,6-เบนโซ-แอลฟา-ไพโรน (5-6- benzo - alpha - pyrone) หรอื ซสิ -ออร์โธ-คมู าริค แอซิด แอนไฮไดร์ด (cis-o-coumaric acid, anhydride) หรอื ออร์โธ-ไฮดรอกซีซนิ นามิค แอซดิ แล็กโทน (O-hydroxycinnamic acid, lactone) 45
• ไดไฮโดรคมู ารนิ (dihydrocoumarin) หรือ เบนโซไดไฮโดรไพโรน (benzodihydropyrone) หรอื 3-4-ได ไฮโดรคูมาริน (3,4-dihydrocoumarin) หรือ ไฮโดรคูมารนิ (hydrocoumarin) • เมทลิ แอลกอฮอล์ (methyl alcohol) หรือ เมทานอล (methanol) • ไดเอทลิ นี ไกลคอล (diethylene Glycol) ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ ฉบบั ท่ี 154 (พ.ศ. 2537) เรอื่ ง อาหารทห่ี ้ามผลติ นำเขา้ หรือจำหนา่ ย • Cyclamate • Saccharin • Aspartame • Acesulframe K • Sucralose • Alitame • Natural Sweet Plants เช่น ชะเอม หญ้าหวาน 46
พษิ ภยั อนั เกดิ จากวตั ถทุ ี่หา้ มใช้ในอาหาร วตั ถทุ ห่ี า้ มใช้ในอาหาร ประโยชน์ พิษภัยในการบริโภค 5) แคลเซียมไอโอเดต ใช้เป็นสารฟอกสีแปง้ ข้าว อาการพิษเฉยี บพลันที่เกดิ ขึน้ ไดแ้ ก่ อาเจยี นอยา่ งรนุ แรง หรอื โพแทสเซยี มไอโอเดต สาลี และเนยแข็ง และ ถ่ายเหลวบอ่ ย ๆ ปวดท้องกระหายนำ้ ช็อค มีไข้ ถ่าย ชว่ ยปรับคุณสมบัตขิ อง ปัสสาวะไม่ออกเพ้อคลัง่ มึนงง และตายเน่ืองจากโลหติ เป็น กลูเตน (gluten) ในแป้ง พิษ การรับประทานเป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้เกดิ ภาวะ ขา้ วสาลใี ห้เหมาะต่อการ ไอโอดีนเกิน โดยมีอาการเบื่ออาหาร ตาแดง ปากอกั เสบ ผ่ืน อบใชเ้ สรมิ ไอโอดนี ใน แดง ลมพิษนำ้ หนกั ลด นอนไมห่ ลบั มีอาการทางประสาท เกลือเพ่อื ป้องกันโรคคอ พอก 6) ไนโตรฟูราโซน ใชเ้ ปน็ ยาต้านจุลชพี อาการคลืน่ ไส้ อาเจียน ผิวหนังเปน็ ผ่นื แดง โลหิตจาง อาการ (nitrofurazone) ดีซา่ น สมองส่วนลา่ ง ทำงานผดิ ปกติ และการไหลเวียน ลม้ เหลว 7) โพแทสเซยี มคลอเรต ใช้ทำหัวไมข้ ีดไฟ ระคายเคืองต่อทางเดินอาหารและไต เซลล์เม็ดเลือดแดง (potassium chlorate) แตก (hemolysis) เลอื ดมี methemoglobin มาก ทำให้ เกิดอาการเลอื ดขาดออกซิเจน ปรมิ าณท่ที ำให้เกดิ พิษ ประมาณ 5 กรมั แต่มรี ายงานว่าเด็กกินเข้าไปเพียง 1 กรัมก็ ทำให้ตายได้ การกินเขา้ ไป 15-46 กรัมจะทำให้อาเจียน ทอ้ งเสีย ปวดท้อง ลม้ ฟบุ และตาย เนื่องจากไตวาย 8) ฟอรม์ าลดีไฮด์ เปน็ แก๊ส ไม่มีสี มีกลิ่นฉนุ ทำใหป้ วดท้องอย่างรนุ แรง มีอาการทอ้ งเสยี อาเจียน ปวด มีขายท่วั ไปในรปู คอและท้อง กระเพาะอาหารอักเสบ และเกดิ แผลใน ฟอร์มาลิน 40%ใช้ กระเพาะอา หารตับไต หวั ใจ และสมอง ถกู ทำลาย เยอ่ื บุ ประโยชนเ์ ป็นยาฆ่าเช้อื อวยั วะภายในอักเสบ หากเข้าสู่รา่ งกาย 60 - 90 ml.ทำให้ ทัว่ ไปและฆ่าเชื้อท่ีผิวหนงั ตายได้ ทำน้ำยาดบั กล่นิ และเปน็ ยาดองศพ 9) คูมาริน (coumarin) เป็นยาปอ้ งกนั โลหติ จบั การศกึ ษาในสตั วท์ ดลองพบวา่ ทำใหเ้ กิดการทำลายตับ ตัวกนั เปน็ ก้อนหรือล่มิ อมั พาต การกดประสาทสว่ นกลาง ไตถูกทำลาย เลือดไม่ (anticoagulant) แข็งตัว 10) ไดไฮโดรคูมาริน ในอดีตมักพบปนเปอื้ นใน ในผูช้ ายการรับประทานเข้าไปในขนาด 4 กรัม ทำให้ 47
(dihydrocoumarin) วตั ถเุ จอื ปนอาหาร กลา้ มเนอื้ เป็นอัมพาตได้ 11) เมทลิ แอลกอฮอล์ (methyl alcohol) ใช้ในอุตสาหกรรมเคมี เมอ่ื เข้าสู่ร่างกายจะถูก oxidize ไดช้ ้ากวา่ เอทธลิ แอลกอฮอล์ 12) ไดเอทธลิ นี ไกลคอล สังเคราะหเ์ ปน็ สารกนั มาก แม้จะผ่านไป 2 วันก็ยงั พบวา่ เหลือตกค้างในรา่ งกายอีก (Diethylene glycol) เยือกแข็ง (antifreeze) 1 ใน 3 การเผาไหมใ้ นรา่ งกายจะทำได้ไมส่ มบูรณ์จะถูก เป็นตัวทำละลายใน เปลี่ยนเปน็ ฟอร์มาลดีไฮด์ และกรดฟอร์มคิ ซึ่งจะมีความเป็น เชลแล็คและวานิช พษิ กว่าเมธิลแอลกอฮอล์ ถึง 6- 60 เทา่ เมธลิ แอลกอฮอล์ มี ใช้ล้างสี ความระคายเคืองสงู ทำใหเ้ ป็นตะคริวในช่องท้อง อาเจียน สายตาพร่ามัว มา่ นตาขยายและไมต่ อบสนองตอ่ แสงรา่ งกาย มคี วามเปน็ กรด การหายใจลำบากผิวหนงั เป็นสีเขยี ว เน่ืองจากเลือดขาดออกซิเจนการหายใจและระบบหมนุ เวียน ล้มเหลว อาจมอี าการเพ้อคลง่ั หรือหมดสติ เปน็ เวลาหลาย ชวั่ โมงหรือหลายวัน และตายในที่สดุ หากโชคดีหายก็มกั จะ ตาบอดถาวร เปน็ ตวั ทำละลาย สำหรับ เม่ือเข้าสรู่ ่างกายจะถูกเปลยี่ นเป็นกรดอ็อกซาลิก (oxalic สารหลายตวั ที่มี acid) ซ่ีงมีพษิ ทำลายสมองและการทำงานของไต และทำให้ คณุ สมบตั ลิ ะลาย น้ำได้ เกดิ โลหติ จาง พษิ เฉยี บพลนั ทำใหม้ ีอาการอาเจยี นปวดหัว รวมทัง้ ยาดว้ ย หัวใจเต้นเรว็ หายใจถ่ี ความดันตำ่ กลา้ มเนื้ออ่อนกำลัง มึนงง หมดสติ ชกั อาจตายภายในไม่กี่ชว่ั โมงจากระบบการหายใจ ลม้ เหลว หรอื ตายภายใน 24 ชัว่ โมง จากน้ำขังท่ีปอด ผปู้ ว่ ย ท่หี มดสติหรือชกั เป็นเวลานานสมองอาจถกู ทำลายโดยไม่ สามารถฟน้ื เปน็ ปกติได้ 48
อุตสาหกรรมการผลติ ส่งิ ทอ อุตสาหกรรมการผลิตส่ิงทอเป็นอตุ สาหกรรมท่ีมีการใช้สารเคมี (และพลังงาน) มากและหลากหลายชนดิ อตุ สาหกรรมหนงึ่ ผลกระทบจากสารเคมจี ึงมตี ่อผู้ปฏิบตั งิ านท่ีใช้สารเคมีโดยตรงและผู้บรโิ ภคสนิ คา้ สิ่งทอ และ ผลกระทบต่อส่งิ แวดลอ้ มในเรื่องของการใชพ้ ลังงานและการปลดปล่อยสารเคมจี ากกระบวนการผลติ ออกสสู่ ิง่ แวดลอ้ ม ดังน้นั การไดร้ ับทราบข้อมูลเก่ียวกับสารเคมีท่ใี ชจ้ ะเป็นประโยชน์ตอ่ การจดั การสารเคมีเหล่านั้นใหเ้ หมาะสมและ ปลอดภยั การผลิตผลิตภณั ฑส์ ง่ิ ทอประเภทหนงึ่ ๆ มี กระบวนการตน้ น้ำและกลางนำ้ ของการผลติ ส่งิ ทอเปน็ กระบวนการท่มี กี ารใชส้ ารเคมจี ำนวนมาก โดยเฉพาะ อย่างย่ิงขน้ั ตอนการเตรียม ย้อม พิมพ์ และตกแตง่ สำเรจ็ สิ่งทอ ประเภทของสารเคมแี ละลักษณะการใชง้ านแบ่งตาม ขั้นตอนการผลิตได้ดงั น้ี ขั้นตอนการผลติ เสน้ ใย เส้นใยสิง่ ทอแบง่ ออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ เสน้ ใยธรรมชาติและเสน้ ใยประดิษฐ์ เสน้ ใย ธรรมชาตทิ ีส่ ำคญั ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ไดแ้ ก่ ฝ้าย ขนสตั ว์ และไหม เส้นใยเหลา่ นี้ได้จากการเพาะปลูกและจากสัตว์ สารเคมที ใ่ี ช้จงึ เปน็ สารเคมีทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการเพาะปลกู เลี้ยงสตั ว์ มีการใชส้ ารฆ่าแมลงและปยุ๋ เคมีในการเพาะปลกู ฝา้ ยปริมาณค่อนข้างมากและสง่ ผลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ ม ปจั จบุ ันจงึ หันมาผลิตฝา้ ยอินทรยี ์ (Organic cotton) ทไ่ี ม่ใช้ สารเคมีในการเพาะปลกู เลยมากขึน้ เพ่ือความเปน็ มติ รต่อส่ิงแวดล้อม สว่ นขนสตั วก์ ม็ ีการใช้สารฆ่าแมลงท่ีรบกวน เช่นกัน สำหรบั กระบวนการผลติ เส้นใยประดิษฐ์ซง่ึ แบง่ เปน็ ประเภทย่อยได้ 2 ประเภท คือ เสน้ ใยปรบั รปู ใหม่ (Regenerated fibers) และเสน้ ใยสงั เคราะห์ การใช้สารเคมีจะข้นึ อยู่กบั ประเภทของเส้นใยทผ่ี ลิต เสน้ ใยปรบั รูปใหม่ ส่วนใหญ่เปน็ เสน้ ใยจากเซลลูโลสที่ถกู นำมาละลายในตัวทำละลายที่เหมาะสมแล้วผ่านกระบวนการปน่ั ออกมาเป็นเส้น ใย ตัวทำละลายทใ่ี ช้ส่วนใหญ่คอ่ นข้างอันตราย อยา่ งไรก็ตาม ในการผลติ เชงิ อุตสาหกรรมสามารถใช้กระบวนการท่ี เปน็ ระบบปดิ และใชเ้ ทคโนโลยีการนำตัวทำละลายกลับมาใช้ใหม่ (Solvent recovery) เพือ่ หลีกเลย่ี งผลกระทบตอ่ มนุษยแ์ ละสงิ่ แวดล้อมได้ กระบวนการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เปน็ การขน้ึ รูปพอลเิ มอร์ออกมาเปน็ เส้นใยโดยเทคนิคการ ปน่ั เส้นใยแบบหลอมเปน็ หลัก มีการใชส้ ารเคมีท้งั ทเี่ ป็นสารต้งั ต้นและสารช่วยในกระบวนการ ตั้งแตข่ ้ันการผลติ พอลิ เมอรท์ ี่ใช้เปน็ วัตถุดบิ ในการผลิตซึง่ สารบางตวั มีความเป็นพิษและไม่เป็นมิตรตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม นอกจากน้ยี ังมตี วั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า (catalyst) ประเภท antimony oxide ที่ใชใ้ นการผลิตพอลเิ อสเตอร์ poly(ethylene terephthalate) จัดเปน็ สารทีค่ วรหลีกเลีย่ งเนื่องจากมผี ลก่อมะเร็ง ขั้นตอนการผลติ เส้นด้าย สารเคมที ใ่ี ช้ในข้นั ตอนนี้ คือ สารหลอ่ ล่นื (Lubricants) ท่ชี ่วยลดแรงเสียดทานท่เี กดิ ขนึ้ กบั เสน้ ใยระหวา่ ง การป่ันด้าย สารหลอ่ ลน่ื ทีใ่ ชส้ ่วนใหญ่เปน็ น้ำมัน mineral oil สารหลอ่ ลืน่ กล่มุ polyaromatic hydrocarbons (PAHs) มผี ลเป็นสารก่อมะเร็งและเปน็ พิษต่อสิ่งแวดลอ้ ม จงึ ควรหลกี เล่ยี งและปัจจุบนั ถูกหา้ มใชส้ ำหรับผลติ ภัณฑส์ ่งิ ทอท่ีจะนำเข้าสหภาพยโุ รป นอกจากนำ้ มันหลอ่ ลน่ื แลว้ ยังมีสารเคมีทใี่ ช้ในกระบวนการน้ีอกี คือสารลดแรงตึงผวิ (Surfactants) ท่ีใชใ้ นการเตรียมอมิ ัลช่ันกับนำ้ มัน สารลดแรงตงึ ผวิ ประเภท Alcohol ethoxylates (AEOs) และ 49
Alkyl phenol ethoxylates (APEOs) เปน็ สารกลุม่ ที่หา้ มใช้เปน็ สว่ นผสมในปริมาณท่ีเกินกวา่ 0.1% ตามข้อกำหนด ของสหภาพยโุ รป Directive 2003/53/EG สาร APEOs มผี ลต่อระบบฮอรโ์ มนและเป็นสารท่ีมีสมบตั ติ กคา้ งยาวนาน (persistent) เนอ่ื งจากสลายตวั ช้า สามารถสะสมได้ในสิง่ มีชวี ิต (Bio-accumulative) โดยสว่ นใหญม่ ักสะสมใน เนอ้ื เยอื่ ไขมันและเปน็ พิษ นอกจากนี้ยังเป็นพษิ ตอ่ สัตวน์ ำ้ หากเจอื ปนในน้ำท้ิงจากกระบวนการท่รี ะบายออกสแู่ หลง่ น้ำ ธรรมชาติ [1] ข้ันตอนการผลิตผ้าผนื กระบวนการผลติ ผ้าผนื ไดแ้ ก่ กระบวนการทอและกระบวนการถัก สารเคมที ี่ใชเ้ ป็นสารท่ที ำหนา้ ที่หล่อล่ืน ลดแรงเสยี ดทานระหวา่ งกระบวนการทอ และถัก สำหรับกระบวนการทอจำเปน็ ต้องมีการเคลอื บเสน้ ด้ายยืนด้วยสาร Sizing (Sizing agent) สาร sizing ทสี่ ำคัญนมี้ ีทั้งสารจากธรรมชาตแิ ละสารสังเคราะห์ ได้แก่ แป้ง (Starch) poly(vinyl alcohol) (PVA) และ carboxymethyl cellulose เป็นตน้ การเลอื กใช้สารเหลา่ น้ีควรคำนงึ ถึงความยาก ความง่ายในการกำจดั ออกจากผา้ ด้วย การใชแ้ ป้งเปน็ สาร sizing เมอื่ ต้องการกำจดั ออกมกั จะต้องใช้สารเคมชี ่วย ในขณะทก่ี ารใช้ PVA ซึ่งมคี ณุ สมบตั ิละลายน้ำได้ สามารถกำจัดออกได้งา่ ยกวา่ และสามารถนำกลบั มาใช้ใหม่ได้ ขั้นตอนการเตรยี มผา้ กระบวนการเตรยี มผา้ ก่อนเข้าสูก่ ระบวนการย้อม ประกอบดว้ ยกระบวนการทส่ี ำคญั คือ - การลอกแป้ง (Desizing) - การทำความสะอาด (Scouring) - การฟอกขาว (Bleaching) - การชุบมนั (Mercerization) สำหรบั เส้นใยฝา้ ย ประเภทของสารเคมที ีใ่ ชใ้ นกระบวนการลอกแป้งขน้ึ อยกู่ ับชนดิ ของสาร sizing ที่ใชใ้ นขัน้ ตอนการลงแป้ง (Sizing) เชน่ หากใช้แปง้ (starch) เคลือบเส้นดา้ ย แป้งมสี มบัตไิ ม่ละลายน้ำเมื่อจะกำจัดออกจงึ ต้องใชส้ ารออกซิไดซิง (Oxidizing agent) หรือเอมไซมอ์ ะไมเลสย่อยแป้งออก ถา้ เปน็ PVA กส็ ามารถกำจัดออกไดง้ ่ายโดยการต้มในน้ำร้อน เนื่องจาก PVA ละลายน้ำได้ การทำความสะอาดโดยทว่ั ไปใชส้ ารลดแรงตงึ ผิว (น้ำสบ)ู่ และดา่ งในการกำจัดสง่ิ สกปรกออกจากผา้ สาร ลดแรงตึงผิวทใี่ ช้เป็นประเภทประจลุ บและไม่มปี ระจุ ส่วนด่างที่ใช้คือโซเดียมคาร์บอเนต นอกจากน้ยี ังมีการใชส้ ารลด แรงตงึ ผวิ เป็นสารชว่ ยเปียกดว้ ย การทำความสะอาดผา้ สามารถทำได้โดยใช้เอนไซม์เชน่ กันเพอื่ ลดการใช้สารเคมี กระบวนการฟอกขาวเป็นกระบวนการที่ทำให้วัสดสุ ่ิงทอมีความขาวเพ่มิ ข้นึ โดยการใช้สารเคมีชว่ ย การฟอก ขาวถือว่ามีความสำคญั ต่อประสิทธภิ าพในการย้อมสวี สั ดุส่งิ ทอโดยเฉพาะการย้อมในเฉดสีออ่ นและการผลติ ผ้าขาว สารฟอกขาวทีใ่ ช้มีดว้ ยกันหลายประเภท สารฟอกขาวประเภทออกซเิ ดทีฟที่สำคัญ ได้แก่ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide) โซเดียมไฮโปคลอไรต์ (Sodium hypochlorite) โซเดยี มคลอไรต์ (Sodium chlorite) สว่ น สารฟอกขาวประเภทรีดกั ทีฟทสี่ ำคัญ ได้แก่ Sodium hydrosulphite สารฟอกขาวประเภททีม่ ีคลอรีนโดยเฉพาะ Sodium hypochorite มกั ก่อให้เกิดสารประกอบ AOX (absorbable organic halogens) ทีป่ ลดปลอ่ ยออกมาสงู 50
ส่วน Sodium chlorite แม้วา่ จะปลดปล่อยสาร AOX ปริมาณตำ่ กวา่ แต่ในการฟอกขาวเกดิ สาร chlorine dioxide ทเี่ ป็นพษิ ดังน้ันการฟอกขาวจงึ นิยมใชไ้ ฮโดรเจนเปอร์ออกไซดซ์ งึ่ ไมม่ ีคลอรีนเปน็ องคป์ ระกอบ ส่วน sodium hydrosulphite เปน็ สารท่ีกอ่ ให้เกดิ การระคายเคืองและเป็นพษิ [1] ในการชุบมันเพ่ือเพิม่ ความมนั เงาและความสามารถในการดูดซับสยี อ้ มให้กบั เส้นใยฝา้ ย มีการใช้โซเดยี มไฮ ดรอกไซดห์ รอื โซดาไฟท่มี ีความเขม้ ขน้ สงู (20 - 30%) โซดาไฟน้ีจะเขา้ ไปทำใหฝ้ า้ ยเกิดการบวมตวั ขึ้น แม้วา่ โซดาไฟ จะเป็นสารทีไ่ ม่เปน็ อนั ตรายร้ายแรงแต่ดว้ ยความเขม้ ขน้ ทีส่ ูง ทำให้นำ้ ทิ้งหลังกระบวนการมีความเปน็ ด่างสูง ดังน้ัน ปจั จุบันจงึ มกี ารพัฒนากระบวนการให้สามารถนำโซดาไฟกลบั มาใช้ใหม่ไดห้ รือนำโซดาไฟทเ่ี หลอื ไปใช้ในกระบวนการ อน่ื แทนเพ่อื ลดปญั หาในการบำบดั น้ำเสีย ขน้ั ตอนการย้อม และพมิ พ์ สารเคมีหลักที่ใช้ในการย้อม คอื สีย้อม (Dyes) และสารชว่ ยย้อม (Auxiliaries) เส้นใยสง่ิ ทอแตล่ ะชนดิ มี สมบตั ิการย้อมติดสีแตกต่างกัน และในการย้อมสีแต่ละประเภทจำเป็นต้องใช้สารช่วยทแี่ ตกตา่ งกันด้วย สียอ้ มใน อุตสาหกรรมสง่ิ ทอมีดว้ ยกันหลายประเภท หลักๆ ได้แก่ สีไดเร็กต์ สรี แี อคทีฟ สแี ว็ต สีซัลเฟอร์ สเี อโซอคิ สดี ีสเพิร์ส สีเบสคิ และสีแอซดิ สยี อ้ มทมี่ ีโครงสร้างพนื้ ฐานเปน็ เอโซเปน็ กลมุ่ ท่ีใชม้ ากทส่ี ุดในอตุ สาหกรรมการย้อมสีสิ่งทอแต่ พบว่าเป็นกลุ่มสที ี่มแี นวโนม้ ที่จะก่อการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ สยี ้อมประเภทเอโซบางชนดิ ที่แตกตวั ใหอ้ ะโร มาติกเอมีนต้องห้าม สหภาพยโุ รปกำหนดหา้ มใช้สียอ้ มทใ่ี หส้ ารต้องห้าม (ทแี่ สดงใน Directive 76/769/EWG) ใน ปริมาณท่ีมากกว่า 30 ppm สำหรบั ผลติ ภณั ฑส์ ง่ิ ทอท่ีสัมผัสกับรา่ งกายโดยตรง สีย้อมประเภทที่ประกอบดว้ ยสาร ฮาโลเจนในโครงสรา้ ง ก่อใหเ้ กิดการปลดปล่อยสาร AOX ส่วนสีที่มโี ลหะหนักเป็นองค์ประกอบในโครงสรา้ ง โลหะ หนกั เหลา่ นี้อาจเจือปนออกมากับน้ำท้งิ ไดจ้ ะมากหรอื น้อยขนึ้ อย่กู ับระดับการผนกึ ของสีบนเส้นใย [2] นอกจากสยี อ้ มแลว้ ในกระบวนการย้อมยังประกอบดว้ ยสารช่วยยอ้ ม ซ่ึงข้นึ อยู่กับชนิดของสียอ้ มท่ใี ช้ แลว้ แตก่ ลไกการย้อมท่ีแตกต่างกนั สียอ้ มหลายประเภทจำเป็นต้องใชเ้ กลือชว่ ยในการย้อมเพ่ือให้สดี ูดซบั เขา้ ไปในเส้น ใยไดด้ ขี ึน้ เชน่ สไี ดเร็กต์ สรี ีแอคทีฟสำหรับย้อมเสน้ ใยเซลลูโลส เปน็ ต้น เกลือที่ใช้ทัว่ ไปในการย้อมคอื เกลอื โซเดียม คลอไรด์ และโซเดียมซัลเฟต แมเ้ กลือจะมีระดบั ความเปน็ พิษต่อสงิ่ มีชวี ิตต่ำแต่หากใชใ้ นปริมาณมากความเข้มขน้ ของ เกลืออาจสูงจนก่อใหเ้ กิดมลภาวะต่อสงิ่ แวดล้อมได้ นอกจากการเติมเกลือแลว้ การย้อมสรี ีแอคทีฟยังจำเป็นตอ้ งใชด้ ่าง เปน็ สารช่วยในการผนึกสดี ้วย ด่างท่ีใช้ ได้แก่ โซเดยี มคารบ์ อเนต และโซเดียมไฮดรอกไซด์ สำหรบั สยี อ้ มเซลลโู ลสกลมุ่ ที่ไม่ละลายน้ำ ไดแ้ ก่ สีแวต็ และสซี ัลเฟอร์ เม่ือจะทำการย้อมบนเสน้ ใยจำเปน็ ต้องเปลีย่ นโมเลกลุ สีใหอ้ ยู่ในรูปท่ี ละลายนำ้ ได้โดยรดี ิวซโ์ มเลกลุ สีด้วยสารรดี วิ ซิงเพื่อให้สีสามารถแทรกซึมเข้าไปย้อมติดเสน้ ใยได้ การย้อมเซลลูโลสด้วย สซี ัลเฟอรใ์ ชโ้ ซเดยี มซัลไฟดเ์ ป็นสารรดี ิวซิง หลังการย้อมซัลไฟดจ์ ะเจือปนในนำ้ ทิ้งซงึ่ เปน็ พิษต่อสตั วน์ ำ้ และทำให้ค่า COD ของน้ำสงู ขึ้น สารรีดิวซิงอีกตัวหนงึ่ ท่ใี ชใ้ นกระบวนการยอ้ ม คือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ แตไ่ มร่ ุนแรงเท่าซลั ไฟด์ สีแอสดิ เป็นสที ี่ใช้ยอ้ มเส้นใยโปรตีน เช่น ไหม สีชนิดนจี้ ะแตกตัวเป็นประจุลบและเกาะกับประจบุ วกบนเสน้ ใยดว้ ยพันธะไอออนิก ส่วนสเี บสกิ เปน็ สีท่ีใชย้ ้อมเส้นใยอะคริลคิ สเี บสกิ มปี ระจุบวกและยึดเกาะกบั ประจลุ บบนเสน้ ใย 51
ด้วยพนั ธะไอออนิกเชน่ กนั มีการใช้สารชว่ ยย้อมประเภทกรด เช่น กรดอะซติ ิก เพ่ือชว่ ยปรับ pH ของนำ้ ย้อม และสาร leveling ลงไปชว่ ยให้การยอ้ มสม่ำเสมอ สีดีสเพริ ์สเปน็ สีย้อมสำหรับเสน้ ใยสังเคราะห์เปน็ สยี อ้ มทีล่ ะลายน้ำได้ต่ำ ดังนั้นจึงต้องเตรียมใหอ้ ยู่ในรปู สาร ทีก่ ระจายอยู่ในนำ้ (Dispersion) เพื่อใหย้ ้อมติดเส้นใยไดอ้ ยา่ งสมำ่ เสมอโดยใชส้ ารช่วยกระจายหรือ dispersing agent สำหรบั การยอ้ มเสน้ ใยพอลเิ อสเตอร์ดว้ ยสีดีสเพริ ส์ ที่อุณหภูมิน้ำเดือด มีการใช้สาร Carrier ช่วยให้สดี ูดซบั เข้าสู่ เส้นใยไดด้ ีขน้ึ สาร Carrier สว่ นใหญเ่ ป็นสารท่ยี ่อยสลายในธรรมชาตไิ ด้ยากและเป็นพษิ ตอ่ มนุษย์และสตั ว์น้ำ นอกจากนย้ี ังมีกลน่ิ เหมน็ และมผี ลต่อความคงทนของสบี นเสน้ ใย การย้อมแบบน้ีจึงถูกแทนท่ดี ้วยการย้อมโดยใช้ อุณหภูมสิ งู ภายใต้ความดนั แทนซง่ึ ไมจ่ ำเปน็ ต้องใชส้ าร Carrier การใหส้ ีผลิตภัณฑส์ ง่ิ ทอโดยเทคนคิ การพิมพน์ นั้ สามารถทำได้ 2 วธิ ี คอื การพิมพ์สยี อ้ ม และการพมิ พ์พิก เมนต์ การพิมพส์ ยี ้อมมีเทคนิคกระบวนการท่ีข้ึนกบั ชนดิ ของสยี อ้ มน้ันๆ ซึ่งสารชว่ ยทเี่ ตมิ ลงไปหลักๆ ก็จะคล้ายคลงึ กับ สารชว่ ยในการยอ้ ม แต่จะมสี ารเพมิ่ เติมที่สำคัญคือสารข้น หรอื Thickener ซึง่ เปน็ สารข้นหนืดทใ่ี ชใ้ นการเตรียมแป้ง พิมพ์ ส่วนการพิมพ์สีพิกเมนต์บนผ้า สีจะถกู ยดึ ตดิ กับผ้าด้วยสาร Binder การพิมพ์สีพกิ เมนต์ด้วยเทคนิค Plastisol เป็นการพิมพล์ ายท่ีมักทำบนเสื้อยดื การพิมพล์ ายแบบน้ีใช้ผงสพี ิกเมนตผ์ สมกบั สาร PVC และ plasticizer แลว้ พิมพ์ ตดิ ไปบนผวิ ผ้าโดย PVC ทำหน้าทยี่ ดึ สใี หเ้ กาะติดกบั ผ้า สาร Plasticizer ทีใ่ ชท้ ั่วไปเปน็ สารกลุ่ม Phthalate ซึ่งพบว่า มอี นั ตรายต่อระบบสบื พนั ธ์ขุ องมนุษย์ อกี ทัง้ ยงั ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มดว้ ย สารกลุม่ น้ีจงึ เป็นสารต้องห้ามตาม ข้อกำหนดของสหภาพยุโรป (Directive 2005/84/EC 1) สำหรบั ผลิตภณั ฑ์สิ่งทอและของเลน่ เด็ก [3] ขนั้ ตอนการตกแต่งสำเรจ็ การตกแต่งสำเรจ็ เปน็ กระบวนการปรับสมบัตขิ องวัสดสุ ง่ิ ทอโดยใชส้ ารเคมหี รือกระบวนการเชงิ กลเพ่ือให้ วสั ดมุ สี มบตั ิทพี่ ึงประสงค์ตามลกั ษณะการใชง้ าน เช่น การตกแตง่ เพื่อทำให้นมุ่ การกนั ยับ การกันนำ้ การหน่วงไฟ การตา้ นรงั สียวู ี และการต้านจลุ ินทรีย์ เป็นต้น การตกแต่งสำเรจ็ เชงิ เคมีเปน็ กระบวนการปรับสมบตั ขิ องผ้า (สว่ นใหญ่ เป็นผ้าท่ยี อ้ มแลว้ ) โดยอาศยั สารเคมีและความร้อนเขา้ มาช่วย สารตกแตง่ สำเรจ็ ทีใ่ ชม้ ีหน้าที่ตา่ งๆ กนั ไป เชน่ เข้าไป ชว่ ยเพ่ิมสมบัตติ ามธรรมชาติบางอย่างของผา้ ให้สูงขึ้น สร้างสมบตั ิใหมใ่ ห้กบั ผ้า เพ่ิมอายุการใชง้ านของผ้า หรือทำให้ ผ้าคงขนาด เป็นตน้ ประเภทของสารเคมที ี่ใช้ในการตกแตง่ สำเร็จจงึ มดี ้วยกนั หลายประเภทตามลกั ษณะสมบตั ทิ ่ี ตอ้ งการหลงั การตกแต่ง ตวั อยา่ งการตกแตง่ สำเร็จและสารเคมที ี่ใช้มีดังน้ี การตกแตง่ สำเรจ็ ผ้าเพ่อื ใหด้ ูแลรักษางา่ ยสำหรบั เสน้ ใยฝ้ายท่พี บบ่อยคือการตกแตง่ เพือ่ กนั ยับ สารตกแต่ง เพอื่ กันยบั (Anti-crease agent) สว่ นใหญเ่ ป็นสารสงั เคราะหท์ ไ่ี ด้จากยเู รยี เมลามีน และฟอรม์ ลั ดีไฮด์ สารกนั ยับจะ เข้าไปทำหน้าท่ีเชือ่ มขวางระหวา่ งสายโซเ่ ซลลูโลสทำใหผ้ ้าตา้ นทานต่อการยบั ได้ดีข้นึ สารตกแตง่ เพื่อกันยบั บางกลุ่ม จะปลดปล่อยฟอร์มลั ดไี ฮด์ออกมาระหว่างอายุการใช้งานของผา้ ฟอรม์ ัลดีไฮด์น้เี ป็นสารท่ีอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นจงึ มีการจำกัดปริมาณของฟอร์มัลดไี ฮด์ในผลิตภณั ฑ์ส่ิงทอ โดยเฉพาะผลิตภณั ฑเ์ สือ้ ผ้าเด็ก ซ่งึ ควรปราศจากฟอร์มัลดีไฮด์ ดังน้ันจงึ ควรเลือกใช้สารเชอื่ มขวางประเภทปราศจากฟอร์มัลดไี ฮดห์ รือประเภทปริมาณฟอรม์ ลั ดีไฮด์ต่ำ (ปรมิ าณฟอร์ 52
มลั ดีไฮด์ในสตู รน้อยกวา่ 0.1 %) แตส่ ารเช่ือมขวางประเภทปราศจากฟอร์มลั ดีไฮด์หรอื ปรมิ าณฟอรม์ ลั ดีไฮด์ต่ำก็มกั มี ราคาแพงกวา่ และต้องใช้ปรมิ าณสารในการตกแตง่ สำเร็จมากกว่า การตกแตง่ สำเรจ็ เพื่อปรบั นุ่มวสั ดุสง่ิ ทอ สารปรับนุ่มเป็นสารลดแรงตึงผิวที่ใช้เคลอื บผิวเสน้ ใยและทำใหเ้ สน้ ใยมสี มบตั ิด้านผวิ สัมผัสซงึ่ ได้แก่ความนุ่มและทิ้งตัวดขี ึ้น สารปรบั นมุ่ มดี ้วยกันหลายประเภท ไดแ้ ก่ ประเภทประจุบวก (Cationic softener) ประจลุ บ (Anionic softener) ประเภทมีท้งั ประจบุ วกและลบ (Amphoteric softener) และ ประเภทไมม่ ปี ระจุ (Nonionic softener) แต่กลุม่ ที่ใชส้ ่วนใหญ่เป็นสารประเภทประจุบวกซงึ่ ใหผ้ ลการปรับนุ่มทีด่ ี ทสี่ ุดและมีความคงทนต่อการซกั ดี [4] การตกแต่งเพอื่ หน่วงไฟมีจดุ ประสงค์เพื่อลดความสามารถในการตดิ ไฟและความรนุ แรงในการเผาไหม้ของ ผลติ ภัณฑ์สง่ิ ทอ ตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรปไม่อนญุ าตใหใ้ ช้สารหนว่ งไฟ (Flame retardant) ประเภท Tris (2,3-dibromopropyl)-Phosphate(TRIS, CAS No. 126-72-7), Tris (aziridinyl)-Phosphinoxide (TEPA, CAS No. 5455-55-1) และ Polybrominated biphenyls (PBB, CAS No. 59536-65-1) เนอ่ื งจากเป็นสารอันตราย [3] จากแตล่ ะกระบวนการท่กี ลา่ วมาข้างตน้ จะเห็นไดว้ า่ ในการผลิตผลิตภณั ฑ์ส่งิ ทอน้ันจำเปน็ ต้องใช้สารเคมี ด้วยกันหลายประเภท อยา่ งไรกต็ าม ในปจั จบุ ันมีการพฒั นาการผลิตสารเคมที ี่เปน็ มิตรต่อส่งิ แวดล้อมและเปน็ พิษต่ำ เพอ่ื ใชท้ ดแทนสารเคมกี ลุ่มท่ีเป็นอนั ตราย สารเคมีทดแทนเหล่าน้ีถือเปน็ ทางเลือกหน่งึ สำหรบั ผู้ผลิตที่ตอ้ งการปรับ กระบวนการผลติ ส่งิ ทอใหส้ อดรับกับกฎระเบียบด้านความปลอดภัยตอ่ มนุษยแ์ ละสิง่ แวดลอ้ มในปัจจบุ ัน ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรมปุย๋ ความหมายของปยุ๋ 'ปุ๋ย' ตามความหมายของพระราชบัญญัตปิ ุ๋ยแห่งชาติ พ.ศ. 2518 หมายถึง สารอินทรียห์ รืออนินทรีย์ไม่ว่าจะ เกิดข้ึนโดยธรรมชาติหรือทำขึ้นก็ตามสำหรับใช้เป็นธาตุอาหารแก่พืชได้หรือไม่ว่าและโดยวิธีใดหรือทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางเคมีในดินเพื่อบำรุงความเติบโตแก่พืช พระราชบัญญัติปุ๋ยแห่งชาติ พ.ศ.2518 (พระราชบัญญัติปุ๋ย (ฉบับแก้ไข) พ.ศ.2550) จัดทำข้ึนเพ่อื ช่วยเหลือเกษตรกรไทยไมใ่ ห้ถูกเอารดั เอาเปรยี บจากพอ่ คา้ คนกลางและไดใ้ ชป้ ุ๋ย ทีม่ ธี าตอุ าหารครบและมคี ณุ ภาพเหมาะสมกับราคา ดังนั้น ปุ๋ย หมายถึง สารหรือธาตุอาหาร ที่ใส่ลงไปในดินเพื่อให้พืชเจริญเติบโตให้ผลผลิตท่ีมีคุณภาพและได้ ปริมาณสูง ธาตอุ าหารท่ีจำเปน็ สำหรับการเจริญเติบโตของพืชมีอยู่ท้ังหมด 16 ธาตุ ไดแ้ ก่ คาร์บอน(C),ไฮโดรเจน (H), ออกซิเจน (O),ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), โพแทสเซียม (K) , แคลเซียม (Ca),แมกนิเซียม (Mg), กำมะถัน (S),(Fe), แมงกานิส (Mn), โบรอน (B), โมลิปดินัม (Mo), ทองแดง (Cu),สังกะสี (Zn) และครอลีน (Cl) โดยทั่วไปแล้ว ธาตุอาหารเหล่าน้ีจะมีอยใู่ นอากาศและในดนิ ซ่ึงเพียงพอต่อความต้องการของพืช แต่ธาตุอาหารหลกั ทพี่ ืชต้องการมาก ที่สุด คือ ไนโตรเจน (N),ฟอสฟอรัส (P)และโพแทสเซียม (K) ท่ีมีในดินมักจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องทำ การใส่ปุ๋ยลงไปในดินเพื่อเพิ่มธาตุอาหาร ทั้ง 3 ชนิด ให้เพียงพอกับความต้องการของพืช ซ่ึงแต่ละชนิดจะมีหน้าที่ สำคญั ดงั นี้ 53
1 .ธาตุไนโตรเจน เป็นธาตุอาหารทพี่ ืชมีความต้องการเป็นจำนวนมาก เพราะธาตุไนโตรเจนเปน็ ส่วนประกอบ ท่ีสำคัญของกรดอะมิโนซึ่งจะเสริมสร้างโปรตีนที่มีอยู่ในพืช ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อพืชได้รับธาตุ ไนโตรเจนอย่างเพียงพอ จะทำให้ใบมีสีเขียวสดแข็งแรง โตเร็วและให้ดอกและผลท่ีสมบูรณ์ ถ้าเป็นพืชท่ีเรานำเอาใบ มารับประทานจะทำให้อวบกรอบ มีเส้นใยน้อยและมีน้ำหนักดี แต่หากพืชได้รับธาตุไนโตรเจนมากจนเกินความ ต้องการไปจะเกดิ ผลเสีย เช่น ทำใหอ้ วบนำ้ มาก ลำต้นออ่ นล้มงา่ ย โรคและแมลงเข้ามารบกวนหรือทำลายงา่ ย เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าพชื ขาดธาตุไนโตรเจนแลว้ จะทำให้ต้นแคระแกรนใบเหลอื งผดิ ปกติและเห่ียวเฉาออกดอกและผลช้า 2. ธาตุฟอสฟอรสั เป็นสว่ นประกอบทส่ี ำคญั ของสารประกอบพวก นวิ คลีโอโปรตีน (nucleoprotein) และฟอสโฟลิพิด (phospholipids) ซึ่งจะมีอยู่ในเมล็ดของพืชทุกชนิด โดยสารประกอบท้ังสองน้ีเป็นส่วนของ โครงสร้างของโปรตีนและเซลล์พืช นอกจากน้ียังเป็นส่วนประกอบท่ีสำคัญอยู่ในเอนไซม์หลายชนิดท่ีจำเป็นต่อ กระบวนการเมตาบอลิซึมของพืช ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของฟอสเฟตเช่น H2PO4- และ HPO42 -โดยจะละลายกับน้ำ ที่อยู่ในดิน โดยปกติแล้วพืชจะต้องการธาตุฟอสฟอรัสน้อยกว่า ธาตุไนโตรเจน แต่ในดินมักมีธาตุฟอสฟอรัสหรือ ฟอสเฟตท่ีละลายน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงต้องใส่ปยุ๋ ท่ีมธี าตุฟอสฟอรัส เพื่อใหพ้ ืชได้รบั ธาตุฟอสฟอรัสอย่าง เพยี งพอซ่ึงจะช่วยให้พืชมีระบบรากท่ีแขง็ แรง แพร่กระจายอยใู่ นดนิ อยา่ งกว้างขวาง สามารถดูดนำ้ และธาตอุ าหารได้ดี การออกดอกและผลจึงเกดิ เร็ว ในทางกลับกันถ้าพืชขาดธาตุฟอสฟอรสั จะทำใหต้ ้นแคระแกรน ใบมีสีเขยี วคลำ้ รากจะ ชะงกั การเจรญิ เตบิ โตไม่สามารถออกดอกและผลได้ 3. ธาตุโพแทสเซียม เป็นธาตุอาหารท่ีมีความสำคัญในกระบวนการสร้างแป้ง และน้ำตาล เพื่อไปเลี้ยงส่วน ต่างๆของพืชให้เจริญเติบโต การสรา้ งคลอโรฟิลล์ สร้างเน้ือไม้ท่ีแข็งของลำต้นช่วยเสรมิ สร้างการเจริญเติบโตของราก และหัวและทำให้ผลไม้มีรสหวานคุณภาพดีเส้นใยน้อย ดังน้ันพืชจำพวกอ้อยมะพร้าว และมัน จึงต้องการธาตุ โพแทสเซียมมาก นอกจากน้ียังช่วยให้ใบมีประสิทธิภาพในการดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในทางกลับกัน ถ้าพืชขาด ธาตุน้ี จะทำให้เมล็ดลีบและมีน้ำหนักเบาผิดปกติ หากเป็นไม้ผลรสชาติจะกร่อย ใบเหลือง เหี่ยวงา่ ย และลำต้นแคระ แกรน ปกตแิ ลว้ พชื จะใช้ ธาตโุ พแทสเซียมได้เมอื่ อย่ใู นรูปของไอออน K+เท่านัน้ ถา้ อยูใ่ นรปู อ่ืนๆ ถึงแมว้ ่า พืชจะไดร้ ับ ธาตุโพแทสเซยี มเข้าไปก็ยงั คงนำไปใช้ประโยชนไ์ ม่ได้ ประเภทของปยุ๋ โดยทว่ั ไปแล้วปุ๋ยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ป๋ยุ อนิ ทรีย์ คือ ปุย๋ ที่ได้จากการหมักวัสดจุ ากพืชหรอื สตั ว์ โดยผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ ซ่ึงปุ๋ยอนิ ทรยี ์ น้ันจะให้ธาตุอาหารพืชครบทุกธาตุ มากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับวัสดุท่ีนำมาใช้ผลิตซ่ึงเราอาจจำแนกปุ๋ยอินทรีย์ ออกเป็นประเภทต่างๆ ตามวตั ถุดิบในการผลิตดงั น้ี 1.1 ปุ๋ยคอก คอื ป๋ยุ ท่ไี ดจ้ ากมลู ของสตั ว์ ไดแ้ ก่ หมู ไก่ วัว เปน็ ต้น เปน็ ปุ๋ยที่นยิ มใชก้ ันอย่าง แพรห่ ลายในสวนผักและสวนผลไม้ ปุ๋ยคอกจะชว่ ยปรบั ปรงุ ดนิ ใหโ้ ปร่งและรว่ นซยุ ทำให้การเตรยี มดนิ งา่ ย 54
1.2 ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยท่ีได้จากการนำเศษหรือซากพืชมากอง หมักร่วมกัน รดน้ำและย้ำให้แน่น ให้ความชื้น สม่ำเสมอมกี ารกลับกองคลุกเคล้าเป็นครัง้ คราว อาจมีมูลสัตว์ ปยุ๋ เคมีและสารเรง่ รว่ มด้วย เพื่อให้ได้ปยุ๋ หมักคุณภาพดี และนำมาใชไ้ ดอ้ ย่างรวดเรว็ ข้นึ เมือ่ ปยุ๋ หมกั สลายตวั โดยสมบรู ณแ์ ลว้ จึงนำไปใช้ในการปลกู พชื ซ่งึ สามารถทำเองได้ 1.3 ปุ๋ยสด คือ ปยุ๋ ไดจ้ ากการปลูกพืชเพ่อื บำรุงดิน จากนั้นทำการไถกลบเม่อื พืชเจริญเติบโตมากทสี่ ดุ คือ ช่วง ที่พืชกำลังออกดอก โดยจะไถกลบขณะที่ยังสดลงไปในดิน ปล่อยให้ย่อยสลายระยะหนึ่งแล้วจึงทำการปลูกพืชหลัก ตามส่วนใหญ่จะนยิ มปลูกพืชตระกูลถ่วั เน่ืองจากเป็นพืชที่ปลูกง่ายและสามารถดูดธาตุไนโตรเจนจากอากาศได้ เชน่ ถั่ว พ่มุ ถว่ั เขยี วถว่ั ลาย เปน็ ตน้ 2. ป๋ยุ เคมหี รือปุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ คือ ปุ๋ยที่ไดม้ าจากการผลติ หรอื สังเคราะห์ทางอตุ สาหกรรมจากแรธ่ าตตุ ่างๆ ทไ่ี ด้ตามธรรมชาตหิ รือเปน็ ผลพลอยได้ของโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด ส่วนใหญ่ จะสงั เคราะห์มาจากก๊าซไนโตรเจน ในอากาศ ก๊าซธรรมชาติ นำ้ มันปิโตรเลียม หนิ ฟอสเฟต และแรโ่ พแทสเซียมชนิดต่างๆในปัจจบุ ันเกษตรกรไทยนิยมใช้ ปุ๋ยเคมีในการเพิ่มผลผลิตในการปลูกพืชมากขึ้นกว่าอดีตและปุ๋ยเคมีส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังน้ันเกษตรกร ไทยจึงจำเป็นต้องรู้ความหมายของศัพท์บางคำที่ใช้เก่ียวข้องกับปุ๋ยเคมี เพ่ือจะได้ใช้ปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึง ศพั ท์ที่สำคัญ มดี งั ตอ่ ไปน้ีคอื เกรดปุย๋ ปจั จบุ ัน ป๋ยุ เคมที ่ีขายในทอ้ งตลาดมีมากมายหลายชนิด หลายตราทง้ั ปุ๋ยเชงิ เดี่ยวเชิงผสมและเชงิ ประกอบ อยูใ่ นผลกึ เม็ด เกรด็ ผง และน้ำ เพ่อื เป็นประโยชนแ์ ก่ผูข้ ายและผ้ซู อ้ื นกั วชิ าการเร่อื ง ดนิ ปยุ๋ จึงได้กำหนด “เกรดปุ๋ย” ขนึ้ มา เพ่อื ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายหรอื ระเบียบทวี่ างไว้ สตู รหรอื เกรดป๋ยุ (fertilizer analysis หรือ fertilizer grade) หมายถึงการบอกการรบั ประกันปรมิ าณธาตุอาหารปยุ๋ ข้ันตำ่ ท่สี ดุ ท่ีมีอยู่ในปยุ๋ น้นั ๆ จะบอก เปน็ เปอร์เซ็นตโ์ ดยนำ้ หนักของปรมิ าณไนโตรเจนทง้ั หมด (total nitrogen) ปริมาณฟอสฟอริกแอซิค (P2O5) ที่เปน็ ประโยชน์ (available P2O5) และปริมาณโปตัสเซียม (K2O) ท่ลี ะลายนำ้ ได้ (water soluble potash) ทมี่ า: คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2541 ปยุ๋ เคมที ี่จำหน่ายตามทอ้ งตลาด ท่ีถูกต้องตามพระราชบัญญตั ปิ ยุ๋ พ.ศ. 2518 บนภาชนะท่บี รรจุปยุ๋ จะต้องมีตัวเลขแสดงเกรดปยุ๋ ให้ชัดเจนประกอบดว้ ยตวั เลข 3 ชุด แตล่ ะชุดจะมเี ครอ่ื งหมาย “-” แยกตัวเลขไว้ โดยตวั เลขแต่ละชุดจะเป็นตวั เลขจำนวนเตม็ ไม่มีจุดทศนยิ ม เชน่ ปุ๋ยสตู ร 46-0-0, 21-0-0, หรือ 13-13-21 เปน็ ต้นสามารถอธบิ ายไดด้ ังน้ี - ตวั เลขชุดแรก จะบอกปรมิ าณเป็นรอ้ ยละของธาตุไนโตรเจน (N) ทง้ั หมด ในปุ๋ย100 กโิ ลกรมั - ตัวเลขชดุ ทส่ี อง จะบอกปริมาณเป็นรอ้ ยละของธาตฟุ อสฟอรสั ในรูปของฟอสเฟต (PO4) ที่เปน็ ประโยชน์ (available P2O5) ในปยุ๋ หมัก 100 กิโลกรมั ตวั เลขชุดท่ีสาม จะบอกปริมาณ เป็นร้อยละของธาตุโพแทสเซียม (K)ในรูปของโพแทสเซียมที่ละลายน้ำ (water soluble K2O) ในปุ๋ยหมัก 100 กโิ ลกรัม เรโซปุ๋ย หมายถึง สัดสว่ นอยา่ งตำ่ ซง่ึ เป็นเลขลงตัวนอ้ ยระหว่างปริมาณของธาตุไนโตรเจนทัง้ หมด (N) ฟอสฟอรกิ แอซคิ ทเี่ ป็นประโยชน์ (P2O5) และโพแทสเซียมทล่ี ะลายนำ้ ได้ (K2O) เช่น สูตรปุย๋ 30 – 30 – 30, 17 – 17 – 17, และ 15 – 15 – 15 จะมเี รโซปุย๋ เทา่ กนั คือ 1 : 1 : 1 เปน็ ตน้ 55
ตัวอยา่ งการตำนวณหาเรโช การดูดความชื้น ปุ๋ยเคมีโดยทัว่ ไปสามารถที่จะดูดความช้ืนได้ ทำให้ปุ๋ยชื้นหรือบางทลี ะลายและจับตัวกันเป็น ของแข็ง อย่างไรก็ตามปุ๋ยแต่ละชนิดจะชื้นได้ยากง่ายต่างกัน และสภาพอากาศร้อนช้ืนก็มีส่วนช่วยให้ปุ๋ยชื้นง่ายยิ่งขึ้น นอกจากน้ี การเอาปุ๋ยต่างชนิดกันมาผสมกันจะย่ิงทำให้ปุ๋ยช้ืนได้งา่ ยมากขึ้น เช่นกัน ดังน้ันการเก็บปุ๋ยไม่ควรเก็บในท่ี อบั รอ้ นช้นื และถา้ เปดิ ถุงใชแ้ ล้วควรปิดให้มิดชิด ความเค็มปุ๋ยเคมี โดยท่ัวไปเป็นเกลือ ดังน้ันจึงมีความเค็ม ซึ่งถ้าใส่ให้กับพืชคร้ังละมากๆและใส่ใกล้ราก อาจจะก่อใหเ้ กดิ อันตรายต่อพืชได้ ปยุ๋ แตล่ ะชนดิ มีความเค็มมากน้อยตา่ งกนั เราอาจจะสังเกตไดง้ ่าย ๆ คือ ป๋ยุ ท่ีละลาย น้ำดีละลายน้ำง่ายและละลายน้ำได้ท้ังหมด โดยปกติจะมีความเค็มมากปุ๋ยที่ละลายช้าหรือละลายได้ไม่หมดมักจะมี ความเค็มน้อย ความเป็นกรด – ดา่ ง ปุ๋ยบางชนิดเมื่อใชต้ ดิ ตอ่ กนั เป็นเวลานาน ๆ มีผลตกค้างทำใหด้ ิน เป็นกรดหรอื เปน็ ดา่ ง ป๋ยุ ไนโตรเจนมักใหผ้ ลตกคา้ งเปน็ กรด ส่วนป๋ยุ ท่ีมแี คลเซียม หรอื โซเดยี มมาก ๆ มกั จะทำใหผ้ ลตกคา้ งเปน็ ดา่ ง อยา่ งไรก็ตามผลอันนีม้ ักเกิดขึ้นนอ้ ยโดยเฉพาะกับดนิ ทเ่ี ป็นดนิ เหนียวชนิดของปยุ๋ เคมีปุ๋ยเคมีที่เกษตรกรนิยมใชใ้ นการเพ่ิมผลผลิตของพชื มรี ูปร่างอยูห่ ลาย ประเภทข้ึนอยกู่ ับความต้องการใชข้ องเกษตรกรสามารถจำแนกตามคุณสมบัติทางกายภาพไดด้ ังน้ี ปุ๋ยผง (power) หมายถึงปุ๋ยเคมที ี่ทำการบดใหล้ ะเอียดอยู่ในรูปผง โดยใชต้ ะแกรงรอ่ นเพอื่ ใหไ้ ดข้ นาดตามทต่ี ้องการ ปุ๋ยเกร็ด (crystal) ท่ีอยู่ในรูปผงหรือผลึกซึ่งมคี วามบริสุทธ์ิสงู ละลายน้ำได้หมด ราคาแพงนิยมใชเ้ ป็นปุ๋ยทางใบปุ๋ยน้ำ (solution) หมายถึงปุ๋ยที่อยู่ในรูปของของเหลวไม่มีสิ่งเจือปนหรือตกตะกอนลักษณะของตลาดปุ๋ยเคมีจากผลการ ศึกษาวิจัยตลาดปุ๋ยเคมีของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2554) พบว่าตลาดปุ๋ยเคมีในประเทศไทยมีลักษณะก่ึง แข่งขันก่ึงผูกขาด (Monopolistic Competition) คือ ผู้ประกอบการนำเข้าปุ๋ยเคมีมาจำหน่ายมีจำนวนมากผู้ซื้อและ ผู้ขายต่างมีอิสระในการซ้ือขายและผู้ขายมีการรวมกลุ่มในการกำหนดราคาขาย เป็นเหตุให้ผู้ขายสามารถผูกขาดได้ อย่างกลายๆแต่ไม่สามารถทำการผูกขาดได้อย่างเด็ดขาด เน่ืองจากปุ๋ยมีความแตกต่างกันตามสูตรและตราผู้ซ้ือจึง สามารถเลือกซื้อปุ๋ยตามตราที่ชอบและเลือกใช้สูตรท่ีทดแทนกันได้จากผลการศึกษา พบว่าระบบตลาดปุ๋ยเคมี ประกอบด้วย ผู้นำเข้า ผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย/ขายส่งชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย ธนาคารเพ่ือ การเกษตรและสหกรณก์ ารเกษตร สหกรณก์ ารเกษตรเพอ่ื ตลาดลูกคา้ ธกส. (สกต.) กลุ่มเกษตรกรและร้านขายปลกี สำหรับวิถีการตลาด มีการส่งผ่านปุ๋ยจากผู้นำเข้าถึงเกษตรกร โดยผ่านตัวแทนจำหน่าย/ผู้ขายส่งสูงสุดร้อยละ 87 ปัจจุบัน มีปุ๋ยเคมีท่ีข้ึนทะเบียนแล้วกับกองควบคุมพืชและวัสดุทางการเกษตรมีมากกว่า 300 สูตร ผู้ผลิตจะผลิตสูตร ใดก็ได้ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับความต้องการของตลาดหรือการวิจัยและพัฒนาของผู้ผลิตหรือแต่ละบริษัทในแต่ละเดือนจะมี ผู้ผลิตมาขอขึ้นทะเบียนปุ๋ยกับกองควบคุมพืชและวัสดุทางการเกษตรอย่างต่อเน่ือง ซึ่งการผลิตโดยส่วนใหญ่จะเป็น การปรับอัตราส่วนของปุ๋ยเดี่ยว แลว้ นำมาผสมกนั ใหไ้ ด้สตู รตามต้องการเท่านน้ั โดยมขี อ้ กำหนดทางกฎหมายคอื ธาตอุ าหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ทัง้ สามธาตุอาหารรวมกันตอ้ งไม่ต่ำกวา่ รอ้ ยละ 20 ข้ึนไปก็สามารถ จดทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมีสูตรใหม่ได้ตามต้องการชนิดของปุ๋ยเคมีที่เกษตรกรนิยมใช้ จะทำการแยกตามประเภทผลผลิต 56
พืช (ชัยทัศน์ วันชัย, 2541) คือ ข้าว ส่วนใหญ่เกษตรกรนิยมใช้ ปุ๋ยสูตร 16-20-0, 16-16-18, 16-12-8, 16-8-0, 20-10-6ป๋ยุ ยูเรีย (46-0-0) และปุย๋ แอมโมเนียซลั เฟต (21-0-0) เป็นปุ๋ยเคมีที่มีเลขตวั หนา้ และเลขตัวกลางสงู เป็นสว่ น ใหญ่ เน่ืองจากต้องการเร่งต้นเร่งใบให้โตเร็วและต้องการให้ข้าวออกดอกขา้ วนาปรัง จะมีช่วงเวลาที่ตอ้ งการใช้ปุ๋ยเคมี ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และข้าวนาปีมีช่วงเวลาที่ต้องการใช้ปุ๋ยเคมีช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนพืชไร่ ส่วนใหญ่ เกษตรกรนิยมใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15, 20-20-0,16-20-0, 12-24-12 และปยุ๋ แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) เปน็ ปุ๋ยเคมที ่ี มเี ลขตัวหน้าและตัวกลางสงู เป็นส่วนใหญ่ซ่ึงต้องการเรง่ ตน้ เร่งใบให้เติบโตเร็วป็นหลัก สำหรบั พืชไร่ต่างๆ มีช่วงเวลาที่ ต้องการใช้ปุ๋ยเคมีช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงท่ีเริ่มปลูกและช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนซ่ึงเป็นช่วง เร่ิมต้นฤดูฝนอีกครั้ง ไม้ผล-ไม้ยืนต้น ส่วนใหญ่เกษตรกรนิยมใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15, 13-13-21, 12-24-12, 9-24-24, 14-14-21, และสูตร 16-11-14สำหรับช่วงเริ่มต้นนิยมใส่ปุ๋ยสูตรที่มีตัวเลขตัวหน้าและตัวกลางสูง เพ่ือเร่งการเติบโต ของต้นและใบให้โตเร็วช่วงที่สอง นิยมใส่ปุ๋ยที่มีเลขตัวท้ายมาก เพ่ือเร่งให้ไม้ผลมีรสหวาน สำหรับไม้ผล-ไม้ยืนต้น มี ช่วงเวลาทตี่ อ้ งการใชป้ ุ๋ยเคมีชว่ งแรกเดือนพฤษภาคม-มถิ ุนายนและในชว่ งทส่ี องเดือนกนั ยายน-ตุลาคมพชื ผกั -ไม้ดอก ไม้ประดบั ส่วนใหญ่เกษตรกรนิยมใชป้ ยุ๋ แอมโมเนียมซัลเฟต 21-0-0 ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0, 13-13-21,16-20-0, 26-14-0, 20-11-11 และสูตร 9-24-24 พืชผกั -ไม้ดอกไมป้ ระดับ มคี วามตอ้ งการปุ๋ยเคมีทง้ั เลขตวั หนา้ ถงึ ตัวกลางและตัวท้ายใน ช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าพืชชนิดอื่น เนื่องจากมีระยะเวลาการปลูกค่อนข้างส้ัน สำหรับช่วงเวลาความต้องการ ใช้ ปุ๋ยเคมีนัน้ มตี ลอดปี ขนึ้ กบั จะเรม่ิ ตน้ เพาะปลกู เมอื่ ใด กระบวนการผลติ ปุ๋ย เราสามารถแบง่ ประเภทของการผลติ ปุ๋ยเคมี ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) การผลิตปุ๋ยเคมีประเภทแม่ปุ๋ย หมายถึง กระบวนการนำเอาวัตถุดิบข้ันพื้นฐาน เช่น แร่ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ มาสังเคราะห์เป็นสารประกอบทางเคมี เพ่ือให้มีธาตุอาหารหลักหน่ึงหรือสองธาตุเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ตัวอย่างได้แก่ โรงงานผลติ ปุ๋ยเคมที ่ีแม่เมาะ จังหวัดลำปางซึง่ ผลติ แมป่ ุ๋ยได้แก่ แอมโมเนยี ,แอมโมเนยี ซัลเฟต และยเู รีย เปน็ ตน้ 2) การผลิตปุ๋ยเคมีประเภทปุ๋ยผสม หมายถึง การที่ได้นำเอาปุ๋ยสำเร็จรูปแล้ว หรือเป็นปุ๋ยเคมีที่เรียกว่า ก่ึง สำเร็จรปู มาผสมกัน หรือทำปฏิกิริยากันให้ได้เป็นสารผสม หรือสารผสมก่ึงสารประกอบเพื่อให้ได้ปริมาณและสัดส่วน ของธาตอุ าหารหลักต้ังแต่สองธาตขุ ้นึ ไป แม่ปุ๋ยก่ึงสำเร็จรูป หมายถึง การนำเอาสารประกอบบางตัว เช่น NH3, H3 PO4, HNO3หรือ H2 SO4 ซึ่ง เกิดข้ึนในกระบวนการผลิตแม่ปุ๋ยมาเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบผลิตปุ๋ยผสมด้วย ตัวอย่าง การผลิตประเภทน้ี ได้แก่ โรงงานผลิตปุย๋ เคมีผสมของบรษิ ทั ไทยเซน็ ทรลั เคมี จำกดั 3) การผลิตปุ๋ยเคมีประเภทสมบูรณ์แบบ หมายถึง การผลิตตั้งแต่เร่ิมต้น หรือการนำเอาวัตถุดิบพื้นฐาน เช่น แร่ อากาศ ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ ทำการผลิตแม่ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสเฟตหรือโปแตสอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่าง พร้อมกัน ทำการผลิตปุ๋ยผสมต่อเน่ืองกันไป ได้ผลผลิตท้ังแม่ปุ๋ยและปุ๋ยผสมสูตรต่างๆ โรงงานแบบน้ี มีในประเทศที่ เจริญทางเทคโนโลยีของปุ๋ยสูงๆ เท่านั้นตัวอย่างเช่น ในประเทศฮอลแลนด์ (ดังรูป) ในโรงงานนี้ จะประกอบด้วย โรงงานย่อยๆ หลายโรงงาน เช่น โรงงานผลิตแอมโมเนียจากก๊าซธรรมชาติ โรงงานแยกก๊าซจากอากาศ โรงงานผลิต 57
ปุ๋ยยูเรีย ผลิตกรดกำมะถัน และแอมโมเนียซัลฟา ผลิตแคลเซียม แอมโมเนียมไนเตรทและโรงงานผลิตปุ๋ยผสมจาก วตั ถุดิบทไ่ี ด้ โดยตรงจากโรงงานและภายนอก ปุ๋ยยูเรีย (urea) ปุ๋ยยูเรีย คือสารอินทรีย์สังเคราะห์* ทมี่ ีไนโตรเจน (N) เปน็ สว่ นประกอบในอตั ราส่วนที่สงู มากถึงรอ้ ยละ 46 โดยน้ำหนัก ปุ๋ยยูเรีย เป็นปุ๋ยเคมีมาตรฐาน ท่ีสำคัญท่ีสุด สูตรปุ๋ยของปุ๋ยยูเรีย คือ 46-0-0 เนื่องจากมีสัดส่วน ไนโตรเจนสูงที่สุด จึงใช้เป็นแม่ปุ๋ยไนโตรเจน ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ใช้ประโยชน์เพ่ือเป็นธาตุอาหารหลักของพืชโดยเฉพาะ ในช่วงแรกของการเพาะปลูกที่ต้องเร่งการเจริญเติบโตของพืชอย่างรวดเร็ว ทำให้พืชมีลำต้นยาวมีใบดก ใบใหญ่ ใบสี เขียวเข้ม ปุ๋ยยูเรยี ตามกฎหมาย ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ตามกฎหมายเรียกวา่ 'ปุ๋ยเคมยี ูเรยี ' โดยต้องมีปรมิ าณไนโตรเจนไมต่ ำ่ กว่ารอ้ ยละ 44 ของ น้ำหนกั มีปรมิ าณไบยเู ร็ตต่ำกว่าร้อยละ 1 ของน้ำหนัก และมีปริมาณความชน้ื ต่ำกวา่ ร้อยละ 3 ของนำ้ หนกั * สารอนิ ทรีย์ คือสารทไ่ี ด้มาจากส่ิงมชี ีวติ ข้อมลู บางแหลง่ จึงจดั ป๋ยุ ยเู รีย เป็นป๋ยุ อนิ ทรีย์ ซ่ึงไม่ถกู ตอ้ ง และกฎหมายไทยถอื ว่า ปุย๋ ยเู รยี เป็นป๋ยุ เคมี * ยูเรยี เป็นสารอนิ ทรียท์ ่สี งั เคราะห์ขนึ้ จากสารอนินทรีย์ไดช้ นิดแรกของโลก และปฏวิ ัติวงการเคมี ทเ่ี คยเชอื่ ว่าสารอนิ ทรียต์ อ้ งได้มาจากสิ่งมชี ีวิตเทา่ นนั้ ชือ่ อื่น ๆ ของปุ๋ยยูเรีย (urea fertilizer) • ยเู รยี (urea) • ยเู รีย 46-0-0 • ปุย๋ 46-0-0 • ปยุ๋ ยูเรยี 46-0-0 • ปยุ๋ เคมียูเรีย • แมป่ ุย๋ ยเู รยี • แมป่ ยุ๋ ไนโตรเจน • ปุย๋ ไนโตรเจน (Nitrogen fertilizer) • คารบ์ าไมด์ (carbamide) • carbonyl diamide • carbonyldiamine • diaminomethanal • diaminomethanone 58
สูตรเคมีของป๋ยุ ยูเรยี (urea chemical formula) ปุ๋ยยูเรีย มีสูตรเคมีคือ CH4N2O หรือ CO(NH2)2 บางครง้ั เขยี น NH2CONH2 เพือ่ แสดงถึงลกั ษณะ โครงสร้างยเู รยี และการจบั ตัวของโมเลกลุ กลมุ่ อะมิโน (NH2) 2 กลุ่ม กบั โมเลกุลกลุม่ คารบ์ อนิล (C=O) ราคาปยุ๋ ยเู รีย (urea price) ราคาปยุ๋ ยูเรีย ข้ึนลงตามตลาดโลก อันเนื่องมาจากต้นทนุ วตั ถุดบิ บางโรงงานผลิตปุ๋ยยเู รียจากก๊าซธรรมชาติ ส่วนบางโรงงานผลิตปุ๋ยยูเรียจากถา่ นหิน ต้นทนุ การผลิต ต้นทุนค่าขนส่ง อัตราแลกเปล่ียน ภาษี ปุ๋ยยูเรียถือได้ว่าเป็น สินค้าประเภทคอมโมดิตี้ (commodity) ที่มีการซ้ือขายกันโดยท่ัวไป และมีราคาซ้ือขายล่วงหน้าแต่ปัจจัยท่ีมีผลต่อ ราคาปุ๋ยยูเรียอย่างมาก คือ ปริมาณความสามารถของการผลิตโดยรวม ปริมาณความต้องการใช้ปุ๋ยโดยรวม (demand - supply) และปรมิ าณป๋ยุ ยเู รียคงคลังทเี่ ก็บไว้เพื่อจำหน่าย และยงั มีปัจจยั อื่น ๆ อีกมาก กรรมวิธกี ารผลิตปยุ๋ ยเู รีย (urea production) เริ่มจากการดูดก๊าซไนโตรเจน (N2) จากอากาศ และนำก๊าซธรรมชาติมาผลิตก๊าซไฮโดรเจน (H2)(บาง โรงงานผลิตจากถ่านหิน) มาผ่านกระบวนการผลิตเป็นแอมโมเนีย (NH3) และได้ผลพลอยได้เป็นก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หลังจากน้ันนำแอมโมเนียเหลว และ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตได้ก่อนหน้าน้ีมาผ่าน ขบวนการทางเคมี ท่ีความร้อนสูงประมาณ 180°C ที่ความดันประมาณ 200 บาร์แล้วนำมาตกผลึก จะได้เป็นป๋ยุ ยูเรีย อาจกลา่ วได้อยา่ งงา่ ย ๆ ว่า ปยุ๋ ยูเรยี เป็นป๋ยุ ทผี่ ลิตจากกา๊ ซธรรมชาติ (เพราะก๊าซไนโตรเจนดดู มาจากอากาศ) อย่างไรก็ตามในขบวนการผลิต จะได้สารพิษท่ีไม่ต้องการปะปนมาด้วยคือ ไบยูเร็ต (biuret)ซ่ึงจำเป็นต้อง ควบคุมให้มีปริมาณต่ำ และใช้เป็นตัวแบ่งเกรดปุ๋ยยูเรีย โดยทั่วไป กำหนดให้ไบยูเร็ตไม่เกิน 1%อันเนื่องมาจากการ ผลิตแอมโมเนีย ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติ (หรอื ถ่านหนิ ) เป็นวัตถุดบิ ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติ (หรือถ่านหนิ ) มีผลโดยตรง ตอ่ ตน้ ทนุ การผลติ ป๋ยุ ยเู รยี และสง่ ผลต่อราคาขายปุย๋ ยูเรยี อีกด้วย คณุ สมบตั ขิ องปุ๋ยยเู รีย (urea property) มีผลกึ สขี าว มกี ล่ินเฉพาะตวั ดูดความชน้ื ไดด้ ี ละลายน้ำไดด้ มี าก ท่ีอุณหภูมิห้อง ยูเรยี 1.5 กโิ ลกรัม สามารถละลายหมดในน้ำเปล่า 1 กิโลกรัมได้ มีจุดหลอมเหลวประมาณ 133 องศาเซลเซียส (สูงกว่าน้ำเดือด) ไม่ติด ไฟ 59
ชนิดของปยุ๋ ยูเรยี (urea type) 1.ปยุ๋ ยูเรียเมด็ โฟม (granular urea) ปุ๋ยยูเรียเม็ดโฟม เป็นปุ๋ยที่มีเม็ดขนาดใหญ่ 2-4 มลิ เิ มตร มีสีขาวเหมอื นเม็ดโฟม นิยมใชท้ างการเกษตร เหมาะกับการหว่าน และใช้กบั เครอื่ งพ่นปุ๋ยทั่วไปได้ปุ๋ยยูเรียเม็ดโฟม เปน็ แม่ปุ๋ยหลักไนโตรเจน สำหรับโรงงานผลติ ปุ๋ย บัลค์ โดยนำไปบัลค์ปุ๋ย (คลุกปุ๋ย)กับแม่ปุ๋ยชนิดอ่ืน เช่น แม่ปุ๋ยแดป (DAP) 18-46-0 แม่ปุ๋ยม็อบ (MOP) 0-0-60 และฟลิ เลอร์ ดว้ ยการคลกุ เคล้าเพอ่ื ใหไ้ ด้ปุ๋ยสตู รตา่ ง ๆ ตามตอ้ งการ เชน่ ป๋ยุ สตู รเสมอ 15-15-15 ปยุ๋ สตู ร 16-16-8 2.ปุ๋ยยเู รียเมด็ เลก็ หรอื เม็ดสาคู (prilled urea) ปุ๋ยยูเรียเม็ดเล็ก หรือเม็ดสาคู เป็นปุ๋ยท่ีมีเม็ดขนาดเล็ก 1-3 มิลิเมตร มีสีขาวใสเหมือนเม็ดสาคูเฉพาะใน ประเทศไทยนิยมใช้ทางการเกษตรน้อยกว่าป๋ยุ ยูเรยี เม็ดโฟม แตใ่ ช้ได้ดีกบั ตน้ ไม้เหมือนปุ๋ยยูเรยี เม็ดโฟม เพียงแต่ไมเ่ ป็น ที่คุ้นเคยของเกษตรกร ปุ๋ยยูเรียเม็ดเล็กไม่สามารถใช้บัลค์ปุ๋ยได้เน่ืองจากเม็ดมีขนาดเล็กที่สำคัญปุ๋ยยูเรียเม็ดเล็กนิย ม ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์เพื่อเสริมโปรตีน(ไม่ใช้ปุ๋ยยูเรียเม็ดโฟม) เพ่ือเพ่ิมโปรตีนสำหรับสัตว์เค้ียวเอ้ืองต่าง ๆ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ปุ๋ยยูเรียทั้ง 2 ชนิดมีสูตรเคมี และคุณสมบัติทางเคมี ท่ีเหมือนกัน แตกต่างกันเพียงลักษณะ ทางกายภาพของเม็ดป๋ยุ เท่านัน้ คือ ขนาดเมด็ ใหญ่เลก็ แตกตา่ งกัน ปุ๋ยยูเรียทั้ง 2 ชนิดมีสูตรเคมี และคณุ สมบัติทางเคมี ทเี่ หมือนกนั แตกต่างกันเพียงลักษณะ ทางกายภาพของเมด็ ปยุ๋ เทา่ น้นั คอื ขนาดเมด็ ใหญเ่ ล็กแตกต่างกัน ประโยชน์ของยเู รยี เป็นปยุ๋ (urea as fertilizer) ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 เป็นแม่ปุ๋ยท่ีให้แร่ธาตุอาหารหลักไนโตรเจน ซ่ึงพืชทุกชนิดมีความต้องการในปริมาณท่ีสูง มาก โดยทว่ั ไปไนโตรเจนเป็นแรธ่ าตอุ าหารในดนิ ทมี่ ีไมเ่ พียงพอตอ่ ความต้องการของพืช จึงมคี วามจำเป็นตอ้ งใส่เพิม่ ใน ทุกกรณี เพ่ือให้พืชเจริญเติบโตงอกงาม ได้ผลผลิตท่ีดี โดยปุ๋ยยูเรีย ช่วยทำให้พืชมีใบสีเขียว มีส่วนในการสังเคราะห์ แสงทำให้พืชเจริญเติบโตมีความสูง ใบเจริญงอกงามมีขนาดใหญ่ ใบดกหนา ใบสีเขียวเข้ม และช่วยเพิ่มโปรตีนใน ผลผลติ ประโยชน์ของยูเรียเป็นอาหารสตั ว์เสรมิ โปรตีน (urea as feedstuff) ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์เสริมโปรตีนที่สำคัญสำหรับสัตว์เคี้ยวเอ้ือง เช่น วัวเนื้อ วัวนม ควาย โคกระบือ แพะ แกะ กวาง เพราะจุลอินทรีย์ในกระเพาะหมัก (rumen หรือ กระเพาะ ผ้าข้ีร้ิว) ของสัตว์เคี้ยวเอี้อง สามารถเปลี่ยนยูเรยี ในอาหารให้เป็นก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งอุดมด้วยธาตุไนโตรเจนท่ีเป็นสว่ นประกอบสำคญั ของกรดอะมิ 60
โน เพ่ือให้สัตว์นำไปสร้างเป็นโปรตีน นอกจากนี้ยูเรียถือเป็นอาหารเสริมสำหรับสัตว์ท่ีให้โปรตีนในราคาถูกที่สุด ถูก กว่าปลาปน่ และกากถ่วั ต่าง ๆ เพราะให้โปรตนี สงู ถึง 287.5 เปอรเ์ ซนต์ ขอ้ ควรระวัง ไม่สามารถให้ยเู รยี เปน็ อาหารเคย้ี วเอ้ืองได้โดยตรง หรือให้เป็นอาหารสัตว์ในปรมิ าณมากเกนิ ไป เพราะอาจเปน็ อนั ตรายและทำใหส้ ัตวต์ ายได้ การให้ธาตุอาหารไนโตรเจนของปุ๋ยยูเรีย (how urea nutrient works)ไนโตรเจน (N2) เป็นแก๊สท่ีมีปริมาณ มากท่ีสุดในอากาศ โดยมีมากถึง 78% (มากกว่าแก๊สออกซิเจนท่ีเราใช้หายใจ)แต่เน่ืองจากไนโตรเจนเป็นแก๊สเฉ่ือย มี โครงสรา้ งโมเลกลุ ยดึ เกาะกันอยา่ งแขง็ แรง พชื ไมส่ ามารถนำไปใชไ้ ดโ้ ดยตรงอกี ทั้งไนโตรเจนไม่สามารถทำปฏิกริ ิยาเคมี ได้โดยง่าย ทำให้ในธรรมชาตแิ ละในดินมีไนโตรเจนซ่ึงอยใู่ นรูปท่ีพืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก ดินทั่วไปโดยเฉพาะ ดินสำหรับการเพาะปลูกถูกพืชดูดซึมไนโตรเจนไปใช้จนหมด ทำให้คลาดแคลนไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช อกี ตอ่ ไปมีความจำเป็นต้องเติมไนโตรเจนกลับลงสู่ดิน ในรปู ทพี่ ืชดดู ซึมไปใช้ได้ในรูปของปุ๋ยและปุ๋ยท่ีให้ธาตุไนโตรเจน สูงที่สุดคอื ปยุ๋ ยูเรยี เมือ่ เตมิ ปยุ๋ ยูเรยี ลงในดนิ จะเกดิ กระบวนการดังนี้ • ปุ๋ยยเู รีย เมอ่ื ละลายน้ำจะถกู แบคทเี รยี ในดินยอ่ ยสลายจะเปล่ยี นรปู เปน็ แอมโมเนยี (NH3) • แอมโมเนียบางสว่ น จะระเหยสูญเสียไปจากดนิ • แอมโมเนีย เมอื่ โดนความชื้นจะเปลย่ี นรูปเป็นแอมโมเนียม (NH4+) • แอมโมเนียม จะจบั กับอนภุ าคดินที่เป็นประจุลบ เป็นธาตุอาหารไนโตรเจนทพ่ี ชื สามารถดูดซึมไปใชไ้ ด้ • แอมโมเนียมบางส่วน จะผ่านกระบวนการไนตริฟเิ คช่นั ถูกแบคทีเรียเปลย่ี นรูปเปน็ ไนไตรท์ (NO2-) • ไนไตรท์ จะผา่ นกระบวนการไนตรฟิ เิ คช่นั ถูกแบคทีเรยี เปลยี่ นรปู เป็น ไนเตรท (NO3-) • ไนเตรท เปน็ ธาตุอาหารไนโตรเจนทพี่ ืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ เนือ่ งจากไนเตรทมีประจุลบไม่จบั กบั อนุภาคดิน ไนเตรทบางสว่ นจะถูกชะล้างสญู เสยี ไปจากดนิ ปยุ๋ วทิ ยาศาสตร์ คือ ปุ๋ยท่ีมีธาตุท่ีจำเป็นแก่การเจริญเติบโตของพืชเป็นส่วนประกอบ เช่น N, P, K และ Ca ส่วน ธาตุอาหารรอง คือ S, Mg, Fe, Zn, Mn และ Cu เปน็ ต้น ตวั อย่างปุ๋ยวิทยาศาสตร์ คือ ปุ๋ยแอมโมเนียมซลั เฟต ปุ๋ยยูเรีย ปุ๋ยแคลเซียมฟอสเฟต ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต และ ปุย๋ โพแทสเซียม 61
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 5 หลักสตู ร ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชน้ั สงู สอนครัง้ ท่ี 5 (10 คาบ) รหัส 30000-1301 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พลงั งานและสง่ิ แวดล้อม ท-ป-น 2-2-3 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ การอนรุ ักษแ์ ละการจัดการพลงั งาน 1. สาระสำคัญ การเพิ่มข้ึนของจำนวนประชากร การพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้มีการนำทรัพยากร ธรรมชาติมาใช้ผลิตเป็นพลังงานมากขึ้น ประกอบกับทรพั ยากรธรรมชาตบิ างอย่างใช้แล้วมีวันหมดไป ดังนั้นจึงต้องมี การสร้างความตระหนักในการอนรุ ักษ์ การจดั การพลังงานและทรพั ยากรธรรมชาตแิ ก่ประชาชนทุกระดบั 2. สมรรถนะประจำหน่วย แสดงความรเู้ กย่ี วกับการอนุรักษ์ การจัดการพลังงานและทรพั ยากรธรรมชาติ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของการอนุรักษพ์ ลงั งาน 2. อธิบายความสำคัญของการอนุรักษ์และการจัดการพลงั งานได้ 3. บอกวิธกี ารอนุรักษ์พลังงานแต่ละประเภทได้ 4. เสนอแนะแนวทางในการจดั การพลงั งานในภาคส่วนต่างๆได้ 5. ทำกิจกรรมท่สี ามารถก่อใหเ้ กิดการอนุรักษ์พลังงานในครวั เรือนหรอื สถานศึกษาของตนเองได้ 6. บอกความหมายของการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติได้ 7. เสนอแนะแนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ 8. อธบิ ายแนวทางในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติต่างๆได้ 4. สาระการเรียนรู้ 1. การอนรุ ักษแ์ ละการจดั การพลังงาน 1.1 การอนุรกั ษ์พลังงาน 1.2 การจดั การพลงั งานในภาคสว่ นตา่ งๆ 2. การอนุรกั ษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ 2.1 การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 2.2 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ 3. ประโยชนข์ องการอนุรักษแ์ ละการจดั การพลงั งานและทรัพยากรธรรมชาติ 62
การอนุรักษ์และการจัดการพลังงาน การอนุรักษ์พลังงานมีความหมายตามพระราชบัญญัติการส่งเสรมิ และ การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 คือ การผลิตและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด คือ การใช้ ทรัพยากรพลังงานให้คุ้มค่า ให้หมดไปอย่างช้า ๆ อีกทั้งยังต้องแสวงหาแหล่งพลังงานอ่ืนมาทดแทน สาเหตุท่ีต้องมี การอนุรักษ์พลังงานน้ันเนื่องมาจาก พลงั งานบางชนิดใช้แล้วมีวันหมดไป ประเทศไทยยังต้องมีการนำเข้าพลังงานบาง ประเภท เชน่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ การใชพ้ ลังงานบางประเภทมผี ลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มอย่างมาก ดังนัน้ จึงต้องมี การอนุรักษ์และจัดการพลังงานอย่างถูกวิธี ท้ังในภาคคมนาคม อุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้า รวมถึงครัวเรือนและ สำนกั งาน โดยสรา้ งความตระหนกั แก่ประชาชนทุกระดับ การอนรุ ักษแ์ ละการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มักมีความหมายรวมถึง การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมควบคูกัน นนั่ คือ หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม อย่างฉลาด โดยใชใ้ ห้น้อย เพื่อใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และก่อใหเ้ กิดผล เสียหายต่อส่ิงแวดลอ้ มน้อยท่ีสุด รวมทง้ั ตอ้ งมีการกระจายการใชท้ รพั ยากร ธรรมชาตอิ ย่างทวั่ ถงึ ซ่ึงสง่ิ เหล่านีล้ ว้ น นำมาซ่งึ การดำรงอยู่และความอดุ มสมบรู ณ์ของทรพั ยากรธรรมชาติและพลังงานอย่างย่ังยืน ความหมายและความสำคัญของการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน (Energy Conservation) ความหมายของการอนุรกั ษ์พลงั งาน พระราชบัญญัตกิ ารส่งเสริม และการอนรุ ักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ได้นิยามคำ “การอนุรักษ์พลงั งาน” ไวว้ ่า ผลิต และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัด การอนุรักษ์พลังงาน จึงหมายถึง การผลิต และการใช้ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัด โดยการพัฒนากระบวนการผลิต และการใช้พลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ให้เหมาะสม ตลอดจนการพัฒนาพลังงานจากแหล่งใหม่มาใช้ประโยชน์ทดแทนพลังงานท่ีส้ินเปลือง รวมท้ังการ ป้องกันการสูญเสียพลังงานและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงานจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้ ได้ผลทางตรงคอื การลดค่าใช้จ่าย และผลทางอ้อมคือเปน็ การชะลอเวลาที่ทรัพยากรธรรมชาติจะหมดไป ความสำคญั ของการอนุรักษ์พลงั งาน ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานในรูปของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะนำเขา้ มากข้ึน ซ่ึงเป็นภาระท่ีรัฐต้องจัดหาพลังงานมาใช้ให้เพียงพอกับความตอ้ งการท่ีเพ่ิมขึ้น ทำ ให้รัฐต้องสูญเสียเงินตราให้กับต่างประเทศเป็นจำนวนมากส่งผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้การผลิต และการใช้พลังงานยังส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้นการอนุรักษ์พลังงานจึงเป็น มาตรการท่ีสำคัญที่จะทำให้มีการผลิตและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอตั ราการเพิ่มความต้องการใช้ พลังงานลงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐในการนำเข้าพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ใช้พลังงาน รวมทั้งช่วย ลดผลกระทบต่อส่งิ แวดลอ้ มที่เกิดจากผลติ และการใชพ้ ลงั งานอีกด้วย 63
5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท.ี่ ..13-14........) - ครตู รวจสอบรายชื่อผูเ้ ขา้ เรียน - นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น - ให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียน - ใหค้ วามรู้ในสาระการเรยี นรู้ - ทำกิจกรรมทบทวนบทเรียน - ทำกจิ กรรมเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรห์ น่วยที่ 5.1 เรื่องการศกึ ษาพลังงานที่ใช้ในบา้ นเรอื น - ทำกจิ กรรมเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรห์ นว่ ยท่ี 5.2 เรือ่ งการประหยัดพลงั งานไฟฟา้ เพ่อื ครอบครัว เพ่ือชาติ เพอื่ โลกของเรา - อภปิ รายและลงขอ้ สรุปการทดลองร่วมกนั - สรปุ เน้ือหาสาระทีส่ ำคญั - ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น 6. สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้ 1.หนังสอื เรียนวชิ าการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พลงั งานและส่งิ แวดล้อม 30000-1301 ของสำนักพมิ พ์ศูนยส์ ง่ เสริมอาชีวะ 2.รปู ภาพ 3.แผน่ ใส 4.สื่อ PowerPoint , วดิ ที ัศน์ 5.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 6.กจิ กรรมการเรยี นการสอน - ทำกิจกรรมเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หนว่ ยที่ 5.1 เรื่องการศกึ ษาพลงั งานทใ่ี ช้ในบ้านเรือน - ทำกิจกรรมเสริมทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรห์ น่วยท่ี 5.2 เร่ืองการประหยดั พลังงานไฟฟา้ เพอ่ื ครอบครวั เพื่อชาติ เพื่อโลกของเรา 7.หลักฐานการเรยี นรู้ 1.บันทกึ การสอนของผู้สอน 2.ใบเช็ครายช่อื 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วธิ ีการ 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 64
2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏิบตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เครอื่ งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครูและผ้เู รยี นร่วมกัน ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ต้องไมม่ ีชอ่ งปรบั ปรุง 2. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50 % ขนึ้ ไป) 3. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขนึ้ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรมู้ เี กณฑผ์ ่าน และแบบฝกึ ปฏบิ ัติ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมีเกณฑ์ผา่ น 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนข้ึนอยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง ผลงาน/ช้นิ งาน/ความสำเรจ็ ของผเู้ รียน - ใบกิจกรรมทบทวนบทเรยี น - ทำกจิ กรรมเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรห์ น่วยที่ 5.1 เรื่องการศึกษาพลังงานทใี่ ช้ในบา้ นเรอื น - ทำกจิ กรรมเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรห์ นว่ ยที่ 5.2 เรื่องการประหยัดพลงั งานไฟฟา้ เพ่ือ ครอบครวั เพ่ือชาติ เพื่อโลกของเรา - คะแนนทดสอบหลังเรยี นร้อยละ 60 ข้ึนไป 9.บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 65
9.1 ข้อสรปุ หลังการจัดการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ..................... ...................................................................................................... ............................................ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... 9.2 ปัญหาทพ่ี บ ............................................................................................................................. ..................... .............................................................................................. .................................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................................... ... ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ..................... .......................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ........................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ..................... เอกสารอ้างองิ นาท ตัณฑวิรุฬห์ และคณะ. (2528). วิทยาศาสตร์ส่ิงแวดลอ้ มและการบริหารทรัพยากร. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์ไทยวัฒนาพานชิ จำกัด. 66
ปภาวี จรญู รตั น.์ (2549). พลงั งานและสิง่ แวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพ์ศูนยส์ ่งเสริมอาชีวะ. วชิ ัย เทยี นนอ้ ย และคณะ. (2536). มนษุ ยก์ บั สิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์โอเดียนสโตร์. วินยั วรี ะวัฒนานนท์ และคณะ. (2537). การศกึ ษาสงิ่ แวดลอ้ ม. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร์, สารานุกรมเสร.ี (2558). พลงั งานทดแทน. [ออนไลน์]. แหล่งขอ้ มูล : http://th.wikipedia.org/wiki. (วนั ที่ค้นข้อมลู : 18 กมุ ภาพันธ์ 2558). อนันต์ วงศก์ ระจ่าง และคณะ. (2550). พลังงานและส่ิงแวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์ศูนย์ สง่ เสริมวิชาการ. สำนกั งานนโยบายและแผนพลังงานกระทรวงพลงั งาน.(2558).พระบดิ าแห่งการพัฒนาพลงั งานไทย. [ออนไลน์].แหลง่ ข้อมลู : http://www.eppo.go.th/royal/.(วันทค่ี ้นข้อมูล : 20 กุมภาพันธ์ 2558) สำนักนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม.(2558). 100 วธิ ีดแู ลรกั ษาสิง่ แวดล้อม. [ออนไลน์].แหลง่ ข้อมูล : http://www.onep.go.th/library. (วนั ท่คี น้ ข้อมูล : 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2558) 67
ใบความรู้ท่ี .5... หนว่ ยที่ 5 หลักสตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี ชนั้ สูง สอนครั้งท่ี 5 (10 คาบ) รหสั 30000-1301 การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน เวลา......10............ชม. และส่งิ แวดลอ้ ม ชอ่ื เร่ือง เรอ่ื ง การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม 1. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บอกความสำคัญของปญั หาส่ิงแวดลอ้ มได้ 2. บอกความหมาย และความเป็นมาของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดลอ้ มได้ 3. ระบุขนาดของโครงการและวิธีการประเมนิ ผลกระทบ ส่งิ แวดล้อมได้ 4. บอกแนวคิดในการจัดการสงิ่ แวดล้อมได้ 5. อธบิ ายแนวทางการจดั การสิ่งแวดล้อมในระดับสากลได้ 6. มีความตระหนักในการใช้พลงั งานอยา่ งประหยัด 2. สมรรถนะ 1. ผ้เู รียนบอกความสำคัญของปัญหาส่ิงแวดล้อมได้ 2. ผู้เรียนบอกความหมาย และความเป็นมาของการวเิ คราะหผ์ ลกระทบส่งิ แวดล้อมได้ 3. ผเู้ รยี นระบขุ นาดของโครงการและวิธกี ารประเมินผลกระทบ สิง่ แวดล้อมได้ 4. ผเู้ รียนบอกแนวคดิ ในการจดั การสง่ิ แวดลอ้ มได้ 5. ผูเ้ รยี นอธิบายแนวทางการจดั การส่งิ แวดลอ้ มในระดบั สากลได้ 6. ผเู้ รยี นมีความตระหนักในการใชพ้ ลงั งานอย่างประหยัด 3. เนื้อหาสาระ 1. ความสำคญั ของปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม กิจรรมของมนุษย์เร่ิมส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมนับตั้งแต่ประชากรมนุษย์เร่ิมมีมากขึ้นในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์มนุษย์เริ่มมีการล่าสัตว์ ทำให้มีผลกระทบต่อจำนวนประชากรสัตว์ที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ ของมนุษย์ในอดีตท่ีมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมอย่างเห็นได้ชัดในระยะแรก เป็นช่วยท่ีมีการทำการเกษตร และมีการ ใช้เครื่องมือทางการเกษตรระหว่าง 8,000-7,500 ปีก่อนคริสตกาล และเริ่มมีหลักฐานการเลี้ยงสัตว์เม่ือประมาณ 7,000 บาทก่อนครสิ ตกาล ซง่ึ ทั้งสองระยะมีการเปลยี่ นแปลงของส่ิงมีชวี ติ ทงั้ พืช สัตว์ และมนษุ ยอ์ ย่างมาก จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นต้ังแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม เพ่ือเพ่ิมกำลังการ ผลิตทางอุตสาหกรรม การใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน การใช้พลังงานในรูปอ่ืน ๆ มีมากข้ึน ทำให้มีการเพ่ิมข้ึนของก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์ในช้ันบรรยากาศ การปฏิวัติอุตสาหกรรมนำไปสู่การพฒั นาการผลิตเป็นรปู แบบของการผลิตเป็น 68
ปริมาณมาก และทำให้การบริโภคสินค้าและบริการมีเพ่ิมมากขึ้น ส่งผลให้สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการบริโภค การเตบิ โตทางเศรษฐกิจและสังคมทำใหท้ รัพยากรร่อยหรอ และเส่ือมโทรมลง เกิดมลพิษตอ่ สิง่ แวดล้อม ปญั หาสิ่งแวดลอ้ มกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึน้ อย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ที่ เกี่ยวข้องต้องหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีการจัดการแล้ว ปัญหาส่ิงแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มากขึ้น จากปัญหาต่าง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะ เกิดในปี ค.ศ. 2050 เช่น แอลป์ รสี อร์ต ที่บรเิ วณเทือกเขาแอลป์ต้องปิดกิจการเนื่องจากไม่มีหิมะ หาดทรายในทะเล เมดิเตอร์เรเนียนจะหายไป เนื่องจากการเพิ่มข้ึนของระดับน้ำทะเล น่ีเป็นเหตุการณ์ท่ีคาดว่าอาจเกิดขึ้น ซ่ึงความ จริงแล้วอาจรุนแรงมากหรอื นอ้ ยกว่าทคี่ าดไว้ นักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญและให้ความเห็นว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุสำคัญท่ีทำให้ เกดิ ปญั หาส่ิงแวดล้อม และได้เสนอให้มกี ารหยุดย้ังการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจให้เหลือศูนย์ (Zero Growth) และ นำหลักการ “การพัฒนาที่ทำให้ได้รับความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่เบียดเบียนความต้องการของอนุชนรุ่น ห ลั ง ” (Development that me….. the needs of the present without compromising the ability of future generations to meets their own needs) สหประชาชาติได้เห็นความสำคัญของปัญหาส่ิงแวดล้อม และ มีการจัดประชุมในระดับโลกหลายคร้ังเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาการเปล่ียนแปลงของภูมิอากาศ ปัญหา ความหลากหลายทางชวี ภาพ เป็นต้น โครงการสงิ่ แวดลอ้ มสหประชาชาติ (UNEP) ไดเ้ สนอแนวทางปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดล้อม ดงั น้ี 4. ให้สาธารณชนเข้าถึงขา่ วสารเกยี่ วกับส่ิงแวดล้อมไดง้ า่ ยขึ้น 5. จัดให้ส่ิงแวดลอ้ มศกึ ษามีความสำคัญเท่ากบั การเรียนคณติ ศาสตร์ 6. สนับสนุนให้สื่อสนใจในประเด็นส่ิงแวดล้อมมากขึ้นนอกจากข่าวอาชญากรรม การเมือง การกีฬา และการเงิน 7. เปดิ ให้ผู้มีส่วนไดส้ ว่ นเสยี เขา้ ร่วมในกระบวนการตัดสนิ ใจทางส่งิ แวดลอ้ ม 8. ใหโ้ อกาสเอน็ จโี อ (Non Government Organization : NGO) และชุมชนมสี ว่ นรว่ มในการปฏิบตั ิทาง ส่งิ แวดล้อม 9. ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดเล็กและกลางในการสร้าง ความโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ท้ังในด้านสงั คม เศรษฐกจิ และสิ่งแวดลอ้ ม 10. สรา้ งกระบวนการประเมินผลกระทบจากกิจกรรมทางอตุ สาหกรรมที่มีตอ่ สงิ่ แวดล้อม 11. เสรมิ ความเขม้ แข็งแก่สถาบนั ระดบั ชาติ พร้อมกับรักษาหนว่ ยปฏบิ ัติการท่ีเขม้ แขง็ ทางสิง่ แวดลอ้ ม 12. กระจายอำนาจรัฐบาล ตลอดจนกระจายอำนาจทางการเงิน และการตรวจสอบอันนำไปสู่การสร้าง ความสามารถในการพงึ่ พาตนเองและความเข้มแขง็ ของท้องถิ่น 13. สรา้ งระบบทพ่ี อเพียงในการแกป้ ญั หาเก่ยี วกบั สงิ่ แวดล้อม 14. เพิม่ การสนบั สนุนส่ิงแวดลอ้ มระหวา่ งประเทศ ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ก่อต้ังสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น เพื่อ ดำเนินการจัดการส่ิงแวดล้อมของประเทศ โดยมีพระราชบัญญัติกำกับในการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2535 ได้แยก สำนักงานคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติออกเป็น 3 หน่วยงาน คือ สำนักนโยบายและแผนส่ิงแวดล้อม กรม ควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรกั ษา คณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มแห่งชาตใิ นปีเดียวกนั รัฐบาลได้สรา้ งแนวทางผสมผสาน 2 ลกั ษณะ คอื 69
1. ระดับโครงการ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ได้กำหนดโครงการท่ีคาดว่า จะเกิดผลกระทบสงิ่ แวดล้อม ในกรณีทีน่ ำโครงการมาพัฒนา โครงการเหล่าน้ตี อ้ งศกึ ษาผลกระทบสงิ่ แวดล้อม 2. ระดับพ้ืนที่ ในกรณีที่ที่มีความเปราะบาง ง่ายต่อการเกิดผลกระทบส่ิงแวดล้อมจำเป็นต้องแบ่งเขตให้ ชัดเจน แล้วกำหนดแนวทางใช้ทรัพยากรบริเวณนั้น ๆ ท่ีเหมาะสม เช่น เขตพื้นที่ลุ่มน้ำ เขตเมืองควบคุมมลพิษ ส่ิงแวดล้อม เปน็ ต้น พืน้ ที่ลุ่มน้ำ สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แบ่งลุ่มน้ำในประเทศไทยเป็น 25 ลุ่มน้ำ และได้กำหนดแนวทางการฟืน้ ฟุ ปอ้ งกนั หรือทำอยา่ งหนง่ึ อย่างใดตอ้ งดำเนินการอย่างผสมผสาน เมืองควบคุมมลพิษส่ิงแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่ิงแวดลอ้ มได้ประกาศเมอื งควบคุม มลพิษสิ่งแวดล้อมไว้ 7 แห่ง ได้แก่ 1. เมืองพัทยา 2. จังหวัดภูเก็ต 3. หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ 4. อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา 5. อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 6. จังหวัดสมุทรปราการ 7. ปริมณฑล (จังหวัด นนทบุรี จงั หวัดปทุมธานี จังหวดั นครปฐม และจังหวดั สมุทรสาคร) 2. ความหมายและความเปน็ มาของการวเิ คราะหผ์ ลกระทบสง่ิ แวดล้อม ผลกระทบส่ิงแวดล้อม หมายถึง การเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมท้ังขนาดและทิศทางจากการกระทำของ มนุษย์และ/หรือธรรมชาติ การวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม (Environment Impact Assessment : EIA) เป็นการศึกษาและการ คาดคะเนส่ิงท่ีเกดิ ข้นึ ท่ีสามารถวัดขนาดและทศิ ทางได้ในระบบสิง่ แวดล้อมหรืออาณาบริเวณผลกระทบที่ศึกษา ความเปน็ มาของการวเิ คราะหผ์ ลกระทบส่งิ แวดล้อม การศึกษาประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเริ่มใช้ในประเทศสหรัฐอเมริการในปี พ.ศ. 2512 สำหรับประเทศ ไทย นโยบายด้านส่ิงแวดล้อมเริ่มกำหนดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 แต่เป็นกฎหมายท่ีเป็นเพียงแนวทางให้ฝ่าย บริหารกำหนดนโยบาย และให้ฝ่ายนติ บิ ญั ญตั ิตรากฎหมายในส่วนท่เี ก่ียวข้องเทา่ นนั้ ต่อมามีการประกาศใช้กฎหมาย ส่ิงแวดล้อมอย่างเป็นทางการฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 และได้กำหนดให้มีการจัดทำรายงานการประเมนิ ผลกระทบส่งิ แวดลอ้ ม (EIA) อย่างจริงจัง ในปี 2524 โดย มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อให้มกี ารศกึ ษาเกี่ยวกบั ทรัพยากรส่ิงแวดล้อมและคุณคา่ ตา่ ง ๆ ที่อาจจะถูกกระทบจากโครงการหรือ กจิ การทพี่ ัฒนานัน้ 3. ขนาดโครงการท่ีตอ้ งทำการประเมินผลกระทบส่งิ แวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมได้กำหนดประเภทและขนาดของโครงการพัฒนาที่มีส่วน เก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ทรัพยากร และอาจก่อให้เกิดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้โครงการ ขนาดใหญ่ทีต่ ้องทำรายงานการศึกษาถงึ ผลกระทบสง่ิ แวดล้อมไว้ 22 ประเภท ได้แก่ 1. การชลประทาน 2. เข่ือนเกบ็ น้ำหรอื อ่างเกบ็ นำ้ 70
3. สนามบนิ พาณิชย์ 4. โรงแรมหรือสถานทพ่ี ักตากอากาศ 5. ระบบทางพิเศษ 6. การทำเหมอื งแร่ 7. นคิ มอุตสาหกรรม 8. ทา่ เรือพาณิชย์ 9. โรงไฟฟา้ พลงั ความรอ้ น 10. การอุตสาหกรรม 11. โครงการทุกประเภทท่อี ยใู่ นพนื้ ท่ีท่ีคณะรัฐมนตรมี ีมติเห็นชอบอย่ใู นพื้นทีล่ ุ่มน้ำชั้น 1 บ*ี 12. การถมท่ีดินในทะเล 13. อาคารท่อี ยู่รมิ นำ้ รมิ ทะเล ทะเลสาบหรอื ชายหาด 14. อาคารอยูอ่ าศัย 15. การจดั สรรทดี่ ิน 16. โรงพยาบาล 17. อตุ สาหกรรมผลิตสารออกฤทธ์ิ 18. อุตสาหกรรมป๋ยุ 19. ทางหลวงตดั ผ่านพื้นทีส่ งวน 20. โรงงานปรบั ปรงุ คณุ ภาพเฉพาะสิ่งปฏกิ ลู 21. อตุ สาหกรรมประกอบกจิ การเกยี่ วกบั นำ้ ตาล และการพัฒนาปิโตรเลียม 22. โครงการหรือกิจการใดอยู่ในประเภท และขนาดที่กำหนดไว้ เจ้าของโครงการต้องจัดทำรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ส่งให้หน่วยงานและผู้มีอำนาจอนุญาตและสำนักนโยบายและแผน ส่ิงแวดลอ้ ม (สผ.) เพอ่ื ดำเนนิ การตามขัน้ ตอนทกี่ ำหนดไวใ้ นพระราชบัญญัตสิ ่ิงแวดลอ้ ม พ.ศ. 2535 วิธกี ารวเิ คราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม วิธีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีหลายวิธี ผู้นำไปใช้ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าวิธีใด เหมาะสมกบั งานประเภทใด มรี ายละเอยี ดแต่ละวิธี พออธบิ ายได้ดงั น้ี 1. วิธีการตั้งกรรมการช่ัวคราว (Ad Hoc Committee) อาจมีกรรมการต้ังแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 15 คน โดยแต่ละคนมีความชำนาญเฉพาะด้าน การประเมินรว่ มกันจะได้ผลกระทบทีด่ ี วธิ ีการนีเ้ หมาะสำหรับงาน ท่ีไม่แน่นอน หรือเอาแน่ไม่ได้ ผู้ชำนาญแต่ละด้านจะใช้ความสามารถชว่ ยประเมนิ กนั ยกตวั อยา่ งเช่น การสรา้ งทาง ด่วนครอ่ มคลอง หรือทางด่วนในกรงุ เทพมหานคร เปน็ ตน้ 2. วิธีการบรรยาย (descriptive method) เป็นการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบศึกษาข้อแตกต่างจาก มาตรฐานหรือผลงานที่ผ่านมาก ผู้ประเมินใช้คำบรรยายเป็นตัวชี้ พร้อมท้ังสามารถระบุตัวเลขชัดเจนได้ วิธีการน้ี เหมาะสำหรับงานพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ หรือการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โครงการก่อสร้าง เข่ือนอเนกประสงค์ โครงการนคิ มสร้างตนเอง โครงการพฒั นาชนบท เป็นต้น 71
3. วิธีการใช้ภาพเชิงซ้อน (overlays method) เป็นการนำภาพแผ่นใสของแต่ละหน่วยพ้ืนที่ศึกษามาทับ กัน พิจารณาการเปล่ียนแปลงและการกระจาย ตลอดจนลักษณะผลกระทบจากการซ้อนภ าพ วิธีการน้ีเหมาะ สำหรบั โครงการพัฒนาเก่ียวกับการใชท้ ดี่ นิ การวางผงั เมือง การแพร่กระจายของมลสารในสิ่งแวดลอ้ ม เปน็ ต้น 4. วิธีเช็คลิสต์ (Checklist method) เป็นวิธีการที่กำหนดการเปล่ียนแปลง หรือผลกระทบทั้งทางบวก และทางลบ โดยระบุตั้งแต่มากท่ีสุดจนถึงน้อยที่สุด หรือกำหนดศูนย์เป็นกลางบวกลบไปสองข้างก็ได้ ส่วนจะใช้ ศกึ ษาดกี รตี ามแตกตา่ งท่ีขนาดน้ัน ก็แล้วแต่ข้อมลู ทมี่ ี บางคร้งั อาจต้องใช้การกำหนดขนาดหรือตัวเลขกไ็ ด้ ท้งั นี้เพื่อ จะไดข้ ้อแตกต่างท่ชี ดั เจน วธิ ีการน้ี เหมาะสำหรับการประเมินผลกระทบทางสงั คม เป็นต้น 5. วิธีแมตทริกซ์ (matrices method) มีลักษณะเป็นสองเช็คลิสต์ (Double checklist method) คือ มีท้ังแกนต้ังและแกนนอที่ใช้การประเมิน อาจใช้ผลต่างทางมากที่สุดลงน้อยที่สุด หรือใช้ขนาดหรือเป็นตัวเลข ซ่ึง เหมอื นกับวิธกี ารเช็คลสิ ต์ วธิ ีการนเ้ี หมาะสำหรับโครงการพฒั นาท่ีมีความยงุ่ ยาก และตัวดชั นีทต่ี ้องพจิ ารณามากและ สลับซับซ้อน เช่น โครงการก่อสร้างเข่ือนอเนกประสงค์ โครงการสร้างถนนและทางด่วน โครงการก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม โครงการชลประทาน โครงการก่อสร้างเมอื งหรือการวางผังเมือง เปน็ ตน้ 6. วิธีเนตเวิร์ค (network method) เป็นวิธีการที่แตกย่อยท้ังระบบสิ่งแวดล้อม และผลกระทบของการ นำโครงการพัฒนาเป็นลักษณะสายใยเช่ือมโยงให้เห็นทั้งการแตกย่อยของทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ปฏิกิริยาหรือ ผลกระทบท่ีเกิดข้ึน รวมไปถึงวิธีการแก้ไขผลกระทบ วิธีการน้ีเหมาะสำหรับโครงการพัฒ นาเป็นระบบ เช่น โครงการพัฒนาทะเลสาบ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ โครงการพัฒนาเมือง โครงการปรับปรุงระบบ การจราจร เปน็ ตน้ 7. วิธีการอ่ืนๆ ในที่น้ีหมายถึง วิธีการที่สามารถนำหลักการอ่ืนมาประยุกต์ เช่น การสร้างแบบจำลอง (ทางคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์) โดยใช้คอมพิวเตอร์ การสร้างแบบจำลองสาธิต การใช้ energy System และ Diagram methodologies เปน็ ต้น ซงึ่ มรี ายละเอียดในเฉพาะเรอ่ื ง 4. การจัดการส่งิ แวดล้อม การจัดการส่ิงแวดล้อม หมายถึง การดำเนินการต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้สิ่งแวดล้อม สามารถเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์ได้ตลอดไปโดยไม่ขาดแคลน และไม่มีปัญหาใด ๆ แนวคิดในการจัดการ สิ่งแวดล้อม มีดังนี้ 1. การสงวน (Preservation) หมายถึง การธำรงไว้ซ่ึงความสมดุลของธรรมชาติ โดยปล่อยให้ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมมีการเจริญเติบโตและมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซ่ึ งกันและกันตามธรรมชาติทุก ประการ โดยมนุษยไ์ มค่ วรเขา้ ไปเกีย่ วข้อง 2. การอนุรักษ์ (Conservation) หมายถึง การดูแล ป้องกัน รักษา ซ่อมแซม และการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมเพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์มากที่สุด โดยไม่ทำลาย หรือให้เกิดความเสียหาย น้อยท่ีสุด นับว่าเป็นการรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมมากที่สุด และใช้ได้เป็น เวลานานที่สุด โดยสูญเสียทรพั ยากรน้อยทสี่ ดุ และกระจายการใช้ประโยชนใ์ ห้ท่ัวถึง 3. การพัฒนา (Development) หมายถึง การปรับปรุง ฟ้ืนฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมให้มีสภาพท่ีดีขึ้น และสามารถนำมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ 72
4. การใช้ประโยชน์ (utilization) หมายถึง การนำทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมาใช้ ประโยชนอ์ ย่างถกู หลกั วชิ าการ การวางแผนจัดการสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นไปตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยข้ันตอน ตามลำดับต่อไปน้ี 1. การสำรวจเบ้ืองต้น เป็นการสำรวจเพื่อให้ได้ข้อมูล ลักษณะพื้นที่ท้ังด้านโครงสรา้ งและการทำงาน ของระบบทรพั ยากร เพอ่ื ใช้ในการวางแผนสำรวจและวเิ คราะห์ต่อไป 2. การวางแผนเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล นำผลการสำรวจเบ้ืองต้นร่วมกับผลศึกษาจากเอกสาร รวมทงั้ ขอ้ กำหนดโครงการมาวางแผนเกบ็ และวเิ คราะห์ข้อมูลโดยแสดงในแผนที่ 3. การสำรวจ/เก็บข้อมลู ดำเนนิ การตามแผนทก่ี ำหนดในการเก็บข้อมูล 4. การวเิ คราะหข์ ้อมูล วิเคราะห์ขอ้ มูลทุกประเภท/กลุ่ม ข้อมูลบางประเภทสามารถตรวจวเิ คราะห์ใน พืน้ ท่ีดว้ ยเคร่อื งมือ ข้อมูลบางประเภทตอ้ งนำไปวิเคราะหใ์ นหอ้ งปฏบิ ัติการ 5. เปรียบเทียบ/ประเมินผลการวิเคราะห์กับค่ามาตรฐาน นำข้อมูลท่ีวิเคราะห์ได้เปรียบเทียบกับค่า มาตรฐาน/ธรรมชาติ พร้อมทั้งสรุปผลการเปล่ียนแปลง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ สิง่ แวดลอ้ ม ท่ีจะนำไปสปู่ ญั หา และสาเหตุของปัญหา 6. การประเมินสถานภาพของระบบทรพั ยากรและสิ่งแวดลอ้ ม แล้วประเมินทัง้ ระบบสิ่งแวดล้อม 7. การหาปัญหา และสาเหตุของปัญหา การประเมินสภาพจะให้แนวทาง ช้ีประเด็นปัญหาและ สาเหตขุ องปัญหา 8. การสร้างมาตรการ หลังจากได้ปัญหาและเหตุของปัญหาแล้ว จะต้องสร้างมาตรการแก้ไข ป้องกนั ฟืน้ ฟู พัฒนา สงวน ซอ่ มแซม หรือการใชว้ ธิ หี นึง่ วธิ ีใดของการอนุรักษ์ โดยพิจารณาจากปัญหา 9. การสรา้ งแผนงาน ประกอบด้วย - โครงการและกจิ กรรม หมายถึง ลักษณะงาน ซึ่งประกอบดว้ ยปญั หา และสาเหตุของปัญหา - เวลา และสถานท่ี กำหนดเวลา และสถานท่ขี องกิจกรรมให้ชดั เจน - งบประมาณ กำหนดงบประมาณใหเ้ พียงพอกับการดำเนนิ งาน - บุคลากร กำหนดใหเ้ หมาะสมกับหน้าท่ี การจัดการส่ิงแวดล้อมเป็นการบริหารงานที่เป็นระบบ ป้องกันการเกิดปัญหาส่ิงแวดล้อม ทำให้ไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา หรือเสียน้อยลง ช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากร และทำให้ใช้ทรัพยากรอย่ างมี ประสทิ ธภิ าพ รวมทงั้ ทำให้เกดิ ความปลอดภยั ตอ่ ชวี ติ และสิ่งแวดล้อม 5. แนวทางการจดั การส่ิงแวดล้อมในระดบั สากล แนวทางในการจัดการสิ่งแวดล้อมมีหลายแนวทาง แต่ละประเทศจะมีการกำหนดกฎหมายสงิ่ แวดลอ้ ม กฎข้อบังคับ หรือมาตรฐานการจัดการส่ิงแวดล้อมเป็นมาตรฐานของตนเอง ซ่ึงอาจจะมีหลักการดำเนินการบริหาร จัดการท่ีแตกต่างกันไป ซ่ึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่เท่าเทียมกันด้านการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น องค์การค้าโลก (World Trade Organiaztion : WTO) จึงได้มีการปรับปรุงมาตรฐานต่าง ๆ ขึ้น เพื่อใช้เป็น มาตรฐานสากล (International Organization for Standardization : ISO) สำหรับนำมาเป็นมาตรฐานที่ใช้ 73
จดั การคณุ ภาพผลิตภัณฑ์ และการจดั การสง่ิ แวดล้อม มาตรฐานสากลทีเ่ ก่ยี วกับการผลติ และการจดั การส่งิ แวดลอ้ มท่ี สำคัญ ๆ มดี งั น้ี 1) มาตรฐาน ISO 9000 เป็นมาตรฐานท่ีว่าด้วยระบบการบรหิ ารงานท้ังอุตสาหกรรมการผลติ และบริการ โดยมีเป้าหมายคือ ให้ลูกค้าพอใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งมีการนำเอามาตรฐานดังกล่าวมาพัฒนา ธุรกจิ อตุ สาหกรรม เพอื่ การแบง่ จำหนา่ ยสินค้าในตลาดโลก 2) มาตรฐาน ISO 14000 เปน็ มาตรฐานสำหรับการจัดการสิ่งแวดลอ้ มขององค์กรเพ่ือใหเ้ กดิ ผล กระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อยที่สุด โดยองค์กรสามารถจัดทำระบบและขอการรับรองได้โดยความสมัครใจ แต่ต้องมี การประกาศเป็นนโยบายอย่างชดั เจน และเปิดเผยต่อสาธารณชน มาตรฐาน ISO 14000 จะประกอบด้วยมาตรฐาน หลายฉบบั ที่เป็นส่วนช่วยในการปฏิบัติ ซ่ึงในมาตรฐานน้ี ISO 14001 (Environmental Management System : EMS) จะเปน็ มาตรฐานของระบบการจัดการสง่ิ แวดล้อม มาตรฐาน ISO 14000 เป็นมาตรฐานที่สมัครใจไม่มีการบังคับใช้ แต่ก็มีแนวโน้มว่าประเทสผู้นำเข้า สินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศท่ีพัฒนาแล้ว จะนำการรับรอง ISO 14000 มาเป็นเง่ือนไขในการนำเข้าสินค้า ด้วย สาเหตุนี้จึงทำให้ในการปฏิบัติคล้ายกับเป็นมาตรฐานบังคับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ส่งออกท่ีมีระบบการ จดั การสง่ิ แวดลอ้ มทไี่ ดม้ าตรฐาน ISO 14000 จะสามารถค้าขายในตลาดโลกได้ดขี ้นึ 74
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 6 หลักสตู ร ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชน้ั สูง สอนคร้งั ท่ี 6 (12 คาบ) รหสั 30000-1301 การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งานและสงิ่ แวดลอ้ ม ท-ป-น 2-2-3 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ นิเวศวทิ ยา การอนุรักษแ์ ละจัดการส่ิงแวดล้อมในงานอาชีพ 1. สาระสำคัญ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร การพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต นำมาซึ่งการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติมากข้ึน ในขณะเดียวกันการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติเพือ่ ผลิตพลังงานและเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั ย่อมส่งผลกระทบต่อ ส่งิ แวดล้อม อยา่ งหลีกเล่ยี งไม่ได้ ปัญหาดังกล่าวจะย้อนกลับมายังมนษุ ย์ซ่ึงเป็นส่วนหน่งึ ของส่ิงแวดล้อม ดังน้ันจึงควร ส่งเสริมในการให้ความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงานและการจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานอาชีพของแต่ละบุคคล ที่บคุ ลากรในองค์กรน้ัน ๆ จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในความรบั ผิดชอบใน การจดั การสงิ่ แวดล้อม และการรกั ษาความสมดุลของระบบนเิ วศในงานอาชีพของตน 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย แสดงความรู้เกีย่ วกับ การจดั การสิ่งแวดล้อมและนเิ วศวทิ ยาในงานอาชีพ ประยุกต์ใช้ความรู้ จากการศึกษา การจัดการทรัพยากร พลังงาน และสงิ่ แวดล้อมในงานอาชีพ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมายของการจัดการส่งิ แวดล้อมได้ 2. บอกแนวคิดในการจดั การสิง่ แวดล้อมได้ 3. บอกแนวทางการจดั การสง่ิ แวดลอ้ มอยา่ งยง่ั ยืนได้ 4. บอกความหมายของนเิ วศวิทยาได้ 5. อธิบายความหมายของสมดลุ ของระบบนเิ วศได้ 6. อธิบายสาเหตุของการสูญเสยี สมดุลของระบบนเิ วศได้ 7. อธบิ ายวิธีการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในอาชีพต่างๆได้ 8. อธิบายกระบวนการจดั การส่ิงแวดล้อมในระดับสากลได้ 9. ดำเนนิ กิจกรรมการจดั การสงิ่ แวดลอ้ มในงานอาชีพได้ 4. สาระการเรียนรู้ 1. นเิ วศวทิ ยากบั อาชพี 1.1 นเิ วศวิทยา 1.2 สมดลุ ของระบบนเิ วศ 75
1.3 การสญู เสยี สมดุลของระบบนเิ วศ 1.4 การรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในอาชีพ 2. การจัดการส่ิงแวดล้อม 2.1 ความหมายของการจัดการสง่ิ แวดล้อม 2.2 แนวคดิ การจดั การสิ่งแวดล้อม 2.3 แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมอยา่ งยงั่ ยืน 3. การจดั การส่งิ แวดล้อมในระดับสากล 3.1 องค์ประกอบของมาตรฐาน ISO 14000 3.2 ประโยชน์ของการทำมาตรฐาน ISO 14000 4. การดำเนินกจิ กรรมการจดั การสิง่ แวดลอ้ มในงานอาชพี 4.1 ขั้นตอนการดำเนนิ กิจกรรมเพื่อขอรับรองมาตรฐาน ISO 14001 4.2 ตวั อย่างการดำเนินกจิ กรรมการจัดการสิง่ แวดล้อมในงานอาชีพ นเิ วศวทิ ยากับอาชพี นิเวศวิทยา หมายถึง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มส่ิงมีชีวิตกับส่ิงแวดล้อมในแหล่งที่อยู่อาศัย นิเวศวิทยาจึงนับได้ว่าเป็นศาสตร์อย่างหน่ึงที่เก่ียวข้องกับการจัดการส่ิงแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามที่ได้กล่าวในหัวข้อที่ ผ่านมานั้น การจัดการสิ่งแวดล้อมต้องมีแนวคิดในการพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์หรือที่ เรียกว่า นิเวศพัฒนา(Eco- Development) สมดุลของระบบนิเวศ หมายถึง ภาวการณ์ทางธรรมชาติของระบบนิเวศใดก็ตามท่ีระบบ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ น่ันคือ ในระบบนิเวศจะต้อง มีผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อย สลาย ในสัดส่วนท่ีพอเหมาะพอดี ในส่วนของส่ิงไม่มีชีวิตเองก็ทำหน้าที่สนับสนุนปัจจัยที่จำเป็นอย่างต่อเนื่องไม่ขาด หาย ซึ่งสาเหตุที่สำคัญของการสูญเสียสมดุลของระบบนิเวศมาจากการเพิม่ ข้ึนของประชากร การเกษตรสมัยใหม่ การ ขยายตัวของเมอื งและการขยายตัวของอุตสาหกรรมซ่งึ ทุกอาชพี สามารถชว่ ยกนั รกั ษาสมดุลของระบบนิเวศได้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ท่ี...15-17........) - ครูตรวจสอบรายช่อื ผ้เู ข้าเรยี น - นำเข้าสู่บทเรยี น - ให้ทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น - ให้ความร้ใู นสาระการเรยี นรู้ - ทำกิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ท่ี 6.1 การดำเนินกจิ กรรมการจัดการสงิ่ แวดล้อมเพื่อขอรบั รองมาตรฐาน ISO 14000 - ทำกจิ กรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ท่ี 6.2 วาดภาพรณรงค์การอนรุ กั ษ์สิ่งแวดล้อมในสถานศกึ ษา - สรปุ เนื้อหาสาระทสี่ ำคัญ - ทำแบบทดสอบหลังเรยี น 76
6. ส่ือและแหลง่ การเรียนรู้ 1.หนังสอื เรียนวิชาการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งานและสิ่งแวดลอ้ ม 30000-1301 ของสำนักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ 2.รูปภาพ 3.แผ่นใส 4.ส่อื PowerPoint , วดิ ีทศั น์ 5.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 6.กิจกรรมการเรียนการสอน - ทำกิจกรรมส่งเสรมิ การเรยี นรู้ท่ี 6.1 การดำเนนิ กิจกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมเพ่ือขอรับรองมาตรฐาน ISO 14000 - ทำกจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ที่ 6.2 วาดภาพรณรงค์การอนุรกั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มในสถานศกึ ษา 7.หลักฐานการเรยี นรู้ 1.บันทึกการสอนของผูส้ อน 2.ใบเชค็ รายชื่อ 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วธิ กี าร 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เครื่องมอื 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผ้เู รยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏิบตั ิ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 77
6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครแู ละผเู้ รียนร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี ่องปรบั ปรงุ 2. เกณฑ์ผา่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50 % ขึน้ ไป) 3. เกณฑ์ผา่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขึ้นไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรมู้ ีเกณฑผ์ า่ น และแบบฝกึ ปฏบิ ัติ 50% 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ า่ น 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กับการประเมนิ ตามสภาพจรงิ ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสำเร็จของผเู้ รียน - ใบกจิ กรรมทบทวนบทเรียน - ทำกิจกรรมส่งเสรมิ การเรียนรู้ที่ 6.1 การดำเนนิ กิจกรรมการจดั การสิง่ แวดล้อมเพ่ือขอรับรองมาตรฐาน ISO 14000 - ทำกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ท่ี 6.2 วาดภาพรณรงค์การอนรุ ักษ์สง่ิ แวดล้อมในสถานศกึ ษา - คะแนนทดสอบหลังเรียนร้อยละ 60 ขึ้นไป 78
9.บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................... ................... ............................................................................................................... ................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาท่พี บ ............................................................................................................................. ..................... ................................................................................................................................................. . ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... ........................................................................................... ....................................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ..................... .......................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ........................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ..................... 79
เอกสารอา้ งอิง นาท ตัณฑวริ ฬุ ห์ และคณะ. (2528). วิทยาศาสตรส์ งิ่ แวดล้อมและการบรหิ ารทรพั ยากร. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พ์ไทยวัฒนาพานชิ จำกดั . ปภาวี จรญู รัตน.์ (2549). พลงั งานและส่งิ แวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพ์ศูนย์ส่งเสรมิ อาชีวะ. ภาณี คูสวุ รรณ. (2551). พลังงานและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพเ์ อมพันธ์ วรรณา กอ่ สกุล. (2552). พลังงานและสิง่ แวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพ์แมค็ จำกัด. วชิ ัย เทียนน้อย และคณะ. (2536). มนษุ ย์กับสงิ่ แวดล้อม. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพโ์ อเดียนสโตร์. วนิ ัย วรี ะวฒั นานนท์ และคณะ. (2537). การศึกษาส่ิงแวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ สารานกุ รมเสร.ี (2558). พลงั งานทดแทน. [ออนไลน์]. แหลง่ ข้อมลู : http://th.wikipedia.org/wiki. (วันทีค่ น้ ข้อมลู : 18 กมุ ภาพนั ธ์ 2558). อนันต์ วงศก์ ระจ่าง และคณะ. (2550). พลังงานและส่ิงแวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พ์ศนู ย์ สง่ เสรมิ วชิ าการ. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานกระทรวงพลังงาน.(2558).พระบิดาแห่งการพัฒนาพลงั งานไทย. [ออนไลน์].แหลง่ ข้อมูล: http://www.eppo.go.th/royal/.(วนั ทีค่ ้นขอ้ มูล : 20 กุมภาพนั ธ์ 2558) สำนกั นโยบายและแผนพัฒนาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม.(2558). 100 วิธีดูแลรักษาส่งิ แวดล้อม. [ออนไลน์].แหล่งข้อมูล : http://www.onep.go.th/library. (วนั ทคี่ ้นขอ้ มลู : 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2558) The LESA Project. (2010). Global-warming. [Online]. From : http://www.lesa.biz/earth/global-change/. 80
ใบความรูท้ ่ี .6... หน่วยที่ 6 หลกั สตู ร ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชัน้ สงู สอนครงั้ ท่ี 6 (12 คาบ) รหสั 30000-1301 การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งาน เวลา......12............ชม. และส่งิ แวดลอ้ ม ชื่อเร่อื ง เรอ่ื ง นเิ วศวิทยา การอนรุ ักษแ์ ละจดั การสงิ่ แวดล้อมในงานอาชพี 1. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมายของการจดั การสงิ่ แวดล้อมได้ 2. บอกแนวคดิ ในการจดั การสิง่ แวดลอ้ มได้ 3. บอกแนวทางการจัดการส่งิ แวดลอ้ มอยา่ งยั่งยืนได้ 4. บอกความหมายของนเิ วศวทิ ยาได้ 5. อธิบายความหมายของสมดลุ ของระบบนิเวศได้ 6. อธบิ ายสาเหตุของการสญู เสยี สมดลุ ของระบบนเิ วศได้ 7. อธิบายวิธกี ารรกั ษาความสมดลุ ของระบบนเิ วศในอาชพี ต่างๆได้ 8. อธบิ ายกระบวนการจดั การสงิ่ แวดล้อมในระดับสากลได้ 9. ดำเนินกจิ กรรมการจัดการสิ่งแวดลอ้ มในงานอาชพี ได้ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย แสดงความรู้เก่ยี วกับ การจดั การส่งิ แวดล้อมและนเิ วศวิทยาในงานอาชีพ ประยุกต์ใช้ความรู้ จากการศึกษา การจัดการทรัพยากร พลังงาน และสิง่ แวดลอ้ มในงานอาชพี 3. เนื้อหาสาระ ความสมั พันธ์ของสิ่งแวดล้อมในระบบนเิ วศ สิง่ แวดลอ้ มมีความสำคัญต่อการดำรงชีวติ เพราะมนุษย์เป็นสว่ นหน่งึ ของระบบนิเวศต้องอาศยั อยู่ และมีกจิ กรรมในระบบนเิ วศ อย่ใู นระบบท้งั หว่ งโซอ่ าหาร และสายใยอาหาร ระบบนิเวศ ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Ecosystem หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ที่ ประกอบด้วยส่ิงท่ีมีชีวิตทุกชนิด และสิ่งไม่มีชีวิต ซ่ึงอยู่รวมกันในพ้ืนท่ีแห่งใดแห่งหนึ่ง อาจเป็นพ้ืนที่ขนาดเล็กหรือ ใหญก่ ็ได้ จะต้องมีความสมั พันธ์ และมกี ารเปลี่ยนสสารและพลังงาน ระหว่างหน่วยที่มีชีวิตและไมม่ ีชีวติ ในระบบนิเวศ น้นั ด้วย ระบบนิเวศมีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิ แสงสว่าง พืช สัตว์ ดิน น้ำ ฯลฯ ซึ่ง สามารถสรปุ ได้ความหมายสั้น ๆ ก็คอื 81
ระบบนเิ วศ = กลุ่มสงิ่ มชี ีวิต + แหล่งท่ีอยู่ 3.1 คำศพั ทท์ ี่ใช้กนั ในระบบนิเวศ ชุมชน (Community) หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในพื้นท่ีแห่งใดแห่ง หน่งึ เช่น ในหมบู่ ้าน บนภูเขา สิง่ มชี ีวติ เหล่านม้ี บี ทบาทต่าง ๆ กัน และมคี วามสมั พันธก์ บั ส่ิงมชี วี ติ อืน่ ๆ ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตกลุ่มเดียวกันท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีเดียวกันใน ระยะเวลาหนงึ่ เชน่ ประชากรนกบนภูเขียว ประชากรปลาในแมน่ ้ำเจ้าพระยา ซึ่งองคป์ ระกอบของประชากร คือ การเกดิ การตาย การยา้ ยถิ่น ความหนาแนน่ การกระจาย ที่อยู่อาศัย (Habitat) หมายถึง สถานท่ีเฉพาะในธรรมชาติที่จะพบพืชหรือสัตว์แต่ละชนิด ซึ่ง มักจะรวมถงึ สงิ่ มีชีวิตและไมม่ ีชีวิตทกุ ชนิดเข้าด้วยกัน ห่วงโซ่อาหาร (Food chain) หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดพลังงานในรูปสารอาหารจากผู้ผลิต ไปสู่ผบู้ รโิ ภค โดยการกนิ ตอ่ กนั เปน็ ทอด ๆ หรอื ตามลำดบั การถ่ายทอดพลังงาน (Energy flow) หมายถงึ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานจากดวงอาทิตย์ไปยัง ผูผ้ ลิต จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค อันดับที่ 1 อันดับท่ี 2…. ตามลำดับ และจากผ้ผู ลิตและผู้บริโภคไปยังผู้ย่อยสลาย ในระบบนิเวศ โลกนิเวศ (Biosphere) หมายถึง บริเวณพ้ืนโลกที่ส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่ท้ังบนบก ในดิน ในน้ำ ใน อากาศ ซึ่งเป็นระบบนเิ วศท่ีใหญท่ ส่ี ุด หรือรวมระบบนิเวศตา่ ง ๆ ไว้ทง้ั หมด 3.2 องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ องค์ประกอบภายในระบบนิเวศ แบ่งเป็นส่วนประกอบใหญ่ ๆ ได้ 2 ส่วนคือ องค์ประกอบท่ีไม่มีชีวิต และองคป์ ระกอบทีม่ ีชีวิต 3.2.1 องคป์ ระกอบทีไ่ ม่มชี ีวติ (Abiotic Components) ได้แกส่ ว่ นประกอบดังตอ่ ไปนี้ (1) ดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานให้แก่ระบบนิเวศ ซ่ึงเป็นปัจจัย สำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระบบนิเวศสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยผู้ผลิตหรือผู้ท่ีสามารถรับเอาพลังงานจาก แสงอาทิตย์ แล้วผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงเปลี่ยนรูปของพลังงานแสงเป็นพลังงานเคมี บางส่วนของพลังงาน นี้ พืชนำไปใช้เพ่อื การเจริญเติบโต เพอ่ื การขยายพันธุ์ บางส่วนจะถ่ายทอดไปยังสัตว์ ซึ่งเปน็ ผูบ้ รโิ ภค และบางส่วน เป็นพลงั งานความร้อนทไี่ มไ่ ด้นำมาใชป้ ระโยชน์ และ คายออกมาสสู่ ภาพแวดล้อมภายนอก (2) อ นิ น ท รีย ส าร ได้ แ ก่ ค าร์บ อ น ไน โต รเจ น อ อ ก ซิ เจ น ฟ อ ส ฟ อ รัส คารบ์ อนไดออกไซด์ นำ้ เปน็ ต้น สารเหล่านเี้ ป็นองค์ประกอบของสิ่งมชี วี ิต และเกี่ยวขอ้ งกับการหมนุ เวียนของแร่ธาตุ ในวัฏจักร (3) อินทรียสาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฮิวมัส เป็นต้น สารอินทรีย์ เหลา่ นจ้ี ำเป็นตอ่ การดำรงชีวติ ทำหนา้ ท่ีเปน็ ตวั เกีย่ วโยงระหว่างส่ิงมชี ีวิตและไม่มีชีวิต 82
(4) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ไดแ้ ก่ แสง อณุ หภมู ิ อากาศ ความชน้ื สภาพความ เป็นกรดเปน็ ดา่ ง ความเค็ม เป็นต้น 3.2.2 องคป์ ระกอบท่ีมีชีวติ (Biotic Components) สามารถจำแนกไดต้ ามบทบาท หนา้ ทไ่ี ด้ดังน้ี (1) ผผู้ ลติ (Producer) ในระบบนิเวศ ผูผ้ ลติ ทีส่ ำคญั ที่สุด คอื พชื เน่ืองจากพชื สามารถสรา้ งอาหารเองได้ ดว้ ยวิธีการสังเคราะห์แสง โดยคลอโรฟิลล์ในพืชจะนำพลงั งานแสงอาทิตย์ มาใช้ร่วมกับน้ำ และคารบ์ อนไดออกไซด์ ทำใหเ้ กิดปฏิกริ ิยาเคมี กลายเป็นสารประกอบคารโ์ บไฮเดรตขึ้น ดังสมการ พลงั งานแสง 6CO2 + 6H2O -------------- > C6H12O6 + 6O2 คลอโรฟลิ ล์ พลงั งานแสง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ + นำ้ -------------- > นำ้ ตาลกลโู คส + กา๊ ซออกซเิ จน คลอโรฟลิ ล์ จึงจัดว่าพืชเปน็ ผผู้ ลติ รายใหญ่และสำคัญที่สดุ นอกจากน้ีกย็ ังมี แบคทเี รียบางชนิดท่ีสามารถสร้างอาหารเอง ได้ ด้วยวิธีการเดียวกัน ซ่ึงสว่ นใหญ่มกั จะมสี ีเขียวด้วยเชน่ กัน (2) ผบู้ รโิ ภค (Consumer) ได้แกส่ ตั ว์ท่ีบรโิ ภค ไมส่ ามารถสรา้ งอาหารเลยี้ งตัวเอง ได้ ต้องอาศยั พืช ผบู้ รโิ ภคแบง่ ออกเปน็ 3 กลุ่ม คือ ก. พวกที่กินพืชเป็นอาหารโดยตรง เรียกว่า เฮอร์บิวอร์ (Herbivores) หรือ ไพรมารี คอนซมู เมอร์ (Primary Consumer) ได้แก่ ชา้ ง ม้า โค กระบือ แพะ และ แกะ เป็นตน้ ข. พวกทก่ี ินสตั ว์เป็นอาหาร สตั วพ์ วกนี้จะไม่กินพืชโดยตรง แต่อาศัยพลังงานจาก พืชทางอ้อม โดยกินเนื้อจากสัตว์กินพืชอีกทอดหน่ึงเรียกว่า คาร์นิวอร์ (Carnivores) หรือ เซกกอนดารี คอนซูม เมอร์ (Secondary Consumer) เชน่ เสือ สงิ โต สนุ ขั จง้ิ จอก เปน็ ต้น ค. พวกท่ีกินท้ังพืชและสัตว์เป็นอาหาร เรียกว่า โอมนิวอร์ (Omnivores) เช่น มนุษย์ สนุ ขั แมว เป็นต้น (3) ผยู้ ่อยสลาย (Decomposer) หมายถึง สิง่ มีชวี ติ ทไ่ี มส่ ามารถสร้างอาหารได้ เอง แต่จะได้อาหารโดยการผลิตเอนไซม์ออกมา เพื่อย่อยสลายซากของส่ิงมีชีวิต ของเสีย กากอาหาร ให้ กลายเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลง แล้วจึงดูดซึมอาหารไปใช้บางส่วน ส่วนที่เหลือจะปลดปล่อยออกสู่ระบบนิเวศ ซ่ึงผู้ผลิตสามารถเอาไปใช้สร้างอาหารต่อไป ผู้ย่อยสลายที่สำคัญ คือ แบคทีเรีย เห็ด รา ผู้ย่อยสลายจึงเป็นส่วน สำคัญทท่ี ำใหส้ ารอาหารในวฏั จกั รหมุนเวยี นได้ 3.3 หน้าท่ี หรอื กจิ กรรมในระบบนเิ วศ หนา้ ที่หรอื กจิ กรรมในระบบนิเวศ ท่สี ำคัญ คือ การถ่ายทอดพลงั งานและการ ถ่ายเทอาหาร 3.3.1 การถ่ายทอดพลงั งาน 83
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109