Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

Published by sirinun2563, 2021-10-26 03:19:47

Description: แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

Search

Read the Text Version

101 เปน็ เสน้ ใยที่ได้จากการนำสารจากธรรมชาติ มาปรบั ปรงุ โครงสรา้ งให้เหมาะกับการใชง้ าน เช่น การนำเซลลโู ลสจากพชื มาทำปฏกิ ิรยิ ากบั สารเคมีบางชนดิ เส้นใยกึ่งสังเคราะห์ นำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้มากกว่าเสน้ ใย ธรรมชาติ ตัวอยา่ งเสน้ ใยก่ึงสังเคราะห์ เชน่ วสิ คอสเรยอง แบมเบอร์กเรยอง เปน็ ตน้ สมบัติของเส้นใย โครงสร้างทางกายภาพ องค์ประกอบทางเคมี และการเรียงตวั ของโมเลกุลของเส้นใย เป็นสมบัติ ซ่งึ มผี ลโดยตรงต่อสมบัตขิ องผ้าทที่ ำข้ึนจากเส้นใยน้ันๆ เสน้ ใยโดยทัว่ ไปควรมีคุณสมบตั ดิ ังน้คี อื - มคี วามแข็งแรง และทนทาน (strength and durability) - สามารถปั่นได้ (can be spun) - มีความสามารถในการดดู ซับดี (absorbency) โดยท่ัวไปผ้าท่ีผลิตจากเส้นใยที่แข็งแรงจะมีความแข็งแรงทนทานตามไปด้วย หรือผ้าที่ผลิตขึ้น จากเส้นใยท่ีสามารถดูดซับน้ำได้ดีจะส่งผลให้ผ้าสามารถดูดซับน้ำและความชื้นได้ดี เหมาะสำหรับการนำไปใช้ใน ส่วนท่ีมีการสัมผัสกับผิวและดูดซับน้ำ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าอ้อม เป็นต้น ดังนั้นการทราบสมบัติของเส้นใย จะทำให้ สามารถทำนายสมบัติของผ้าท่ีมีเส้นใยนั้นๆ ได้และทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกชนิดของผลิตภัณฑ์ประเภทได้ถูกต้อง ตามความต้องการ ที่จะนำไปใชง้ าน การผลิตเสน้ ใย 1) การผลติ เส้นใยจากปอกลว้ ย 2) การผลติ เสน้ ใยไหม ประโยชน์ของเสน้ ใย 1. ประโยชนข์ องเส้นใยธรรมชาติ 1) เส้นใยท่ีใช้ในอุตสาหกรรมส่ิงทอ คือ พืชที่ให้เส้นใยที่สามารถนำไปป่ันเป็นด้าย เช่น ฝ้าย ปอแก้ว ปอกระเจา ป่านลินิน ป่านรามี กระชง 2) เส้นใยที่ใช้ยัดเป็นไส้ใน เช่น ส่วนของหมอน ฟูก ที่นอน ผ้านวม ได้แก่ นุ่น ฝ้าย งิ้ว มะพรา้ ว 3) เส้นใยที่ใช้ทำกระดาษ หรือเยื่อกระดาษ เช่น ปอแก้ว ปอกระเจา ปอแก้วคิวบา ไผ่ ยูคา ลิปตสั สน ฟางขา้ ว หญา้ ขจรจบ 4) เส้นใยท่ีใช้ทำเชือก เป็นลักษณะรวมเส้นใย หรือกลุ่มเส้นใยขนาดใหญ่ ทำเกลียวถัก หรือ ฟ่ัน ทำเป็นเชอื ก เชน่ ปอแกว้ มะพรา้ ว ป่านศรนารายณ์ 5) ใช้ทำแปรง ทอเปน็ ผนื แบบเสอ่ื เชน่ ปา่ นศรนารายณ์ กก มะพร้าว 6) ใช้ทำส่ิงของอื่นๆ เช่นยา่ นลเิ ภา กก ไผ่ จกั สาน ตน้ หวาย ซึ่งเปน็ ตระกูลปาล์ม 2. ประโยชนข์ องเส้นใยสังเคราะห์ 1) เส้นใยพอลิเอสเตอร์ ใช้ในการทำเชือก ดา้ ย แห อวน

102 2) เสน้ ใยพอลิเอไมด์ ใช้ในการทำเส้ือผา้ ถุงเท้า ถุงน่อง ขนแปรงต่างๆ สายกีต้าร์ สายเอน็ ไม้ แร็กเก็ต เปน็ ตน้ 3) เส้นใยอะคริลิก ใช้ในการทำเส้ือผ้า ผ้านวม ผ้าขนแกะเทียม ร่มชายหาด หลังคากันแดด ผา้ มา่ น พรม เปน็ ตน้ 4) เซลลูโลสแอซเี ตด ใชผ้ ลิตเปน็ แผ่นพลาสตกิ ทีใ่ ชท้ ำแผงสวติ ชแ์ ละหุ้มสายไฟ 3.3.3 ยาง ยาง (Rubber) คือ สารท่ีมีสมบัติยืดหยุ่นได้ ทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้ เป็นสารประกอบพอลิเมอร์ ประโยชนใ์ ชท้ ำยางลบ รองเท้า ยางรถ ตุ๊กตายาง ประเภทของยาง 1) ยางธรรมชาติ ไดจ้ ากต้นยางพารา น้ำยางที่ได้เปน็ ของเหลวสขี าว ชอื่ พอลิไอโซปริน สมบัติ มีความยืดหยุ่น เพราะโครงสร้างโมเลกุลของยางมีลักษณะม้วนงอขดไปมาปิดเป็น เกลียว ได้ แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลเป็นแรงแวนเดอรว์ าลส์ สมบัตเิ ปลี่ยนง่ายคอื เมือ่ ร้อนจะอ่อนตัวเหนียว แต่ เยน็ จะแขง็ และเปราะ 2) ยางสังเคราะห์ เปน็ พอลิเมอร์ท่สี งั เคราะหข์ ้นึ จากสารผลิตภัณฑ์ปโิ ตรเลยี ม กระบวนการวลั คาไนเซชนั (Vulcanization process) คือ กระบวนการที่ใชใ้ นการเพ่ิมคณุ ภาพ ของยางธรรมชาติ ( ยางดิบ) ให้มีความยืดหยุ่นได้ดีขึ้น มีความคงตัวสูง ไม่สึกกร่อนง่าย และไม่ละลายในตัวทำ ละลายอินทรยี ์ สมบัติเหลา่ น้ีจะยงั คงอยู่ ถงึ แมว้ ่าอณุ หภูมิจะเปลีย่ นแปลงก็ตาม 5.3.4 โฟม โฟมเป็นพลาสติกชนิดหนึ่ง ซึ่งผ่านกระบวนการเติมแก๊สเพ่ือให้เกิดฟองอากาศ แทรกอยู่ระหว่างเนื้อ พลาสติก โฟมทุกชนิดต้องมีสารที่ช่วยทำให้เกิดโฟม ตัวอย่างสารที่ช่วยทำให้เกิดโฟม เช่นอากาศ หรืออาจเป็น สารเคมีท่ีสามารถสลายตัวใหแ้ ก๊สเม่อื ได้รับความร้อน เช่น CFC หรอื Chlorofluoro Carbon มีอีกช่ือว่า ฟรอี อน ฟรีออนหรือ CFC เป็นสารประกอบของคลอรีน ฟลูออรีน และคาร์บอนตามลาดับ สารน้ีสังเคราะห์ข้ึนเพ่ือให้ทำ เป็นสารใหค้ วามเยน็ ในตเู้ ย็น หรอื เครอื่ งทำความเย็น ซงึ่ มีสมบตั ิเป็นฉนวนความรอ้ น และฉนวนไฟฟ้าท่ีดีมาก แตม่ ี ขอ้ เสียคือ จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และทำลายแก๊สโอโชน ท่ีอย่ใู นชั้นบรรยากาศ ปัจจุบันจึงใช้แก๊ส เพนเทน และบวิ เทนแทน เพ่อื ปอ้ งกนั การเกิดมลพษิ ในอากาศ โฟม เกิดจากการนำเม็ดพอลิสไตรีนมาผสมสารทำให้เกิดฟอง แล้วจึงข้ึนรูปด้วยความร้อน ซ่ึงทำให้ ปริมาตรเพิม่ ขึ้นหลายเทา่ 3.4 ผลกระทบจากการใชพ้ อลิเมอร์ตอ่ ส่งิ มีชีวติ และสิง่ แวดล้อม 1) ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำจากการเพ่ิมของค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี (biological oxygen demand, BOD) และค่าความต้องการออกซิเจนทางเคมี (chemical oxygen demand, COD) อันเนื่องมาจาก

103 การมีปรมิ าณสารอินทรีย์ หรือสารอาหารในแหล่งนำ้ ในปริมาณสงู ทำให้จุลินทรยี ์มีความต้องการใช้ออกซิเจนในน้ำ สงู ข้นึ ด้วย ก่อใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงของระบบนิเวศน์ทางนำ้ 2) เกดิ การปนเปอื้ นของผลิตภัณฑท์ ่ไี ดจ้ ากการยอ่ ยสลายของพลาสตกิ ยอ่ ยสลายไดใ้ นสภาวะแวดล้อม เช่น การย่อยสลายของพลาสติกในสภาวะการฝังกลบหรือการคอมโพสท์ อาจทำให้สารเติมแต่งต่างๆ รวมถึงสีพลาสติก ไซเซอร์ สารคะตะลิสต์ท่ีตกค้าง รั่วไหลและปนเปื้อนไปกับแหล่งน้ำใต้ดินและบนดิน ซ่ึงสารบางชนิดอาจมีความ เปน็ พษิ ต่อระบบนเิ วศน์ 3) เกิดมลภาวะจากขยะอันเน่ืองมาจากการใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่ถูกทิ้งหรือตกลงใน สิ่งแวดลอ้ มที่มสี ภาวะไมเ่ หมาะสมตอ่ การย่อยสลาย เช่น ถกู ลมพัด และติดคา้ งอย่บู นกิ่งไม้ ซ่ึงมีปรมิ าณจุลนิ ทรียไ์ ม่ มากพอก็จะไม่สามารถย่อยสลายได้ดี นอกจากน้ีการใช้พลาสติกย่อยสลายได้อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า จะ สามารถกำจัดได้ง่ายและรวดเรว็ ทำใหม้ ีการใช้งานเพ่มิ ขึ้น และพลาสติกยอ่ ยสลายได้บางชนิดอาจใชเ้ วลานานหลาย ปีในการย่อยสลายทางชีวภาพอย่างสมบูรณ์ และก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ที่กลืนกินพลาสติกเข้าไป เนื่องจากไม่ สามารถย่อยสลายไดภ้ ายในกระเพาะของสัตว์ 4) ความเป็นพิษของคอมโพสท์ท่ีได้จากการหมักพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เนื่องจากการมีสาร ตกค้าง หรือใช้สารเติมแต่งท่ีมีความเป็นพิษ และสง่ ผลกระทบต่อพชื และสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในดิน เช่น ไส้เดือน ดังน้ัน จึงต้องศึกษาความเป็นพิษ (toxicity) ของคอมโพสท์ด้วย ชิ้นส่วนที่เกิดจากการหักเป็นช้ินเล็กๆ เกิดการสะสมอยู่ ในดนิ ท่ีใช้ทางการเกษตรในปริมาณเลก็ นอ้ ยจะช่วยให้เกดิ การหมนุ เวยี นของอากาศไดด้ ี จึงนยิ มใชใ้ นสวนดอกไม้ ไร่ องุ่น และใส่ในกระถางเพื่อทำหน้าที่ปรับสมบัติของดิน แต่อย่างไรก็ตามอาจเกิดการสะสมของเศษพลาสติกในดิน มากเกินไปอาจสง่ ผลตอ่ คณุ ภาพของดินและปริมาณผลติ ผลที่เพาะปลูกได้ 5) เกิดสารประกอบท่ีไม่ย่อยสลาย เช่น สารประกอบประเภทแอโรแมติกจากการย่อยสลายของพลาสติก บางชนิด เช่น AACs โดยส่วนที่เป็นวงแหวนแอโรแมติกในพอลิเมอร์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบ ขนาดเล็ก เช่น กรดเทเรฟทาลคิ (terephthalic acid (TPA) ซ่ึงย่อยสลายทางชวี ภาพได้ไมด่ ีนกั 6) การตกค้างของสารเติมแต่งที่เติมลงในพลาสตกิ ย่อยสลายได้ เพ่ือปรับสมบัตใิ ห้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่นเดียวกบั พลาสติกท่ัวไป เมื่อพลาสติกเกิดการย่อยสลาย สารเตมิ แต่งเหล่านี้อาจปนเป้อื นอยู่ในสภาวะแวดล้อม ได้ เช่น สารช่วยใน ก ารผสมพ ลาสติก ต่างๆ เข้าด้วยกั น เช่น methylene diisocyanate (MDI) สาร พลาสติกไซเซอร์ท่ีมักเติมในพลาสติกเพ่ือความยืดหยุ่น เช่น glycerol, sorbital, propylene glycol, ethylene glycol, polyethylene glycol, triethyl citrate และ triacetine สารตัวเติมที่มักเติมลงในพลาสติกเพื่อทำให้ ราคาถูกลง ส่วนใหญ่เป็นสารอนินทรีย์ จึงมักเกิดการสะสมในดินและสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตามสารตัวเติมมัก คอ่ นขา้ งเสถียร จึงมักไมท่ ำให้เกิดความเป็นพิษ เช่น CaCO3 TiO2 SiO2 และ talc เป็นต้น สารคะตะลิสตท์ ี่ใช้ใน การสังเคราะห์พลาสติกย่อยสลายได้มักเป็นสารประกอบของโลหะ ซ่ึงในการผลิตโดยทั่วไปมักมีคะตะลิสต์เหลือ ค้างอยู่ในเนอ้ื พลาสติกเสมอ หากเป็นพลาสติกทั่วไปที่ไมย่ ่อยสลาย คะตะลิสต์จะติดค้างอยู่ในเนื้อพลาสติก แต่ใน

104 ก ร ณี ข อ ง พ ล าส ติ ก ย่ อ ย ส ล า ย ไ ด้ เมื่ อ เกิ ด ก า ร ย่ อ ย ส ล าย จะ มี ก าร ป ล ด ป ล่ อ ย ค ะ ต ะ ลิ ส ต์ ท่ี เห ลื อ อ ยู่ อ อ ก ม าสู่ สภาพแวดลอ้ มได้ 3.4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยขี องผลิตภัณฑพ์ อลเิ มอรส์ ังเคราะห์ เทคโนโลยขี องการผลิตพอลิเมอร์ก้าวหน้าข้ึนอยา่ งรวดเร็ว พลาสติกเป็นพอลเิ มอรส์ ังเคราะห์ทใ่ี ช้กันอยา่ ง แพร่หลาย สามารถแปรรูปเป็นช้ินงานได้หลายรูปแบบการขึ้นรปู ช้ินงานขน้ึ อย่กู ับประเภทของพลาสตกิ นอกจากน้ียงั มีการเติมสารบางชนิดเพื่อให้พลาสติกมีสมบัติดขี ้ึนเช่น เติมสีให้สวยงาม เติมใยแก้วเพ่ือเพิ่ม ความแขง็ แรงเรยี กโดยทั่วไปวา่ ไฟเบอรก์ ลาส นอกจากนีย้ ังเติมผงแกรไฟตเ์ พ่ือให้นำไฟฟ้าได้ การใช้ประโยชนจ์ าก พลาสติกปัจจุบันเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทง้ั ในการแพทย์และอน่ื ๆ พอลิเมอรส์ ังเคราะห์หลายประเภทนำมาใช้เป็น สารชว่ ยยดึ ติดอย่างทรี่ จู้ กั กนั คือกาวลาเท็กซ์ โดยทั่วไปพอลเิ มอร์มีสมบัติเปน็ ฉนวนไฟฟา้ แตม่ ีบางชนิดเป็นก่ึงตัวนำหรือสารนำไฟฟา้ ได้ นอกจากน้ยี งั มี การนำเอาพอลิเมอร์มาใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ เช่นใช้พอลิสไตรีน-บิวทาไดอีน-สไตรีน ผสมกับยางมะตอยไว้เป็น วัสดุเชื่อมคอนกรตี ทางด้านการเกษตรใชพ้ ลาสติกพีวีซีคลุมดินเพื่อรกั ษาความชุ่มชื้นและปอ้ งกันการถูกทำลายของผิวดิน ใช้ ทำตาขา่ ยกันแมลงในการปลูกผักปลอดสารพษิ ช่วยกักเก็บน้ำในพ้นื ทที่ ี่เป็นดนิ ร่วนซยุ และยงั ใชเ้ มล็ดพลาสติกผสม ในดนิ เหนียวชว่ ยใหด้ นิ รว่ นอีกด้วย โฟมเป็นพลาสตกิ ทผี่ ่านกระบวนการเตมิ แก็สเพื่อให้เกิดฟองอากาศจำนวนมากแทรกอยู่ตามเนื้อพลาสติก โฟมมีน้ำหนักเบามีความยดื หยุ่นกันหรือเก็บความร้อนได้ดี บางชนิดมีสารCFCแทรกอยู่เป็นฉนวนความร้อนและ ฉนวนไฟฟา้ ได้ดีมากจงึ นยิ มใช้บรรจุอาหาร แตใ่ นปจั จุบันทราบแลว้ วา่ สารCFCก่อให้เกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก จึงมกี ารศกึ ษาวิจยั ใช้สารอืน่ ทดแทนพบวา่ แกส็ บวิ เทนและเพนเทนสามมารถนำมาใช้ผลิตแทนได้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านพอลิเมอร์ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้อำนวยความสะดวกใน ชีวิตประจำวนั เป็นอยา่ งมาก 4. แบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ แบบฝกึ หัด หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5 พอลเิ มอร์ คำชแ้ี จง จงตอบคำถามตอ่ ไปนใ้ี หถ้ กู ต้อง 1. พอลิเมอร์และมอนอเมอร์แตกตา่ งกนั อย่างไร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

105 .................................................................................................................................................................................... 2. พอลิเมอร์แบ่งตามแหล่งกำเนดิ ไดเ้ ปน็ ประเภทใดบ้าง .................................................................................................................................................................................... 3. มอนอเมอรข์ องแป้ง เซลลโู ลส และโปรตนี คอื สารชนิดใด .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 4. ยกตวั อย่างพอลิเมอร์ธรรมชาติ .................................................................................................................................................................................... 5. ยกตัวอยา่ งพอลิเมอรส์ ังเคราะห์ .................................................................................................................................................................................... 6. พอลเิ มอร์เกิดขน้ึ ได้อย่างไร .............................................................................................................................................................................. 7. พอลเิ มอรไ์ รเซชันแบบควบแนน่ และพอลเิ มอไรเซชนั แบบเตมิ มีความแตกต่างกนั อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 8. ยกตวั อย่างการเกดิ พอลิเมอรแ์ บบควบแน่นและแบบเตมิ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 9. วัตถุดิบทใ่ี ชส้ งั เคราะห์พอลิเมอร์สว่ นใหญไ่ ด้มาจากแหลง่ ใด .............................................................................................................................................................................. 10. ยกตวั อย่างผลิตภัณฑจ์ ากพอลเิ มอร์ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. เอกสารอ้างอิง นวลอนงค์ อชุ ุภาพ. (2559). วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาอาชีพธรุ กิจและบริการ. พิมพค์ ร้งั ที่ 2. กรุงเทพฯ : ศูนยห์ นงั สอื เมอื งไทย. 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝึกหดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ)

106 เฉลยแบบฝึกหัด หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 พอลิเมอร์ 1. พอลิเมอรแ์ ละมอนอเมอร์แตกตา่ งกนั อย่างไร เฉลย พอลิเมอร์ สารโมเลกลุ ใหญ่ท่ีประกอบด้วยหน่วยย่อยซำ้ ๆ กนั จำนวนมากเช่ือมตอ่ กันด้วยพนั ธะเคมี มอนอเมอร์ หนว่ ยยอ่ ยซำ้ ๆ ทีเ่ ปน็ องค์ประกอบของพอลิเมอร์ 2. พอลิเมอร์แบ่งตามแหล่งกำเนิดไดเ้ ป็นประเภทใดบา้ ง เฉลย พอลเิ มอร์ธรรมชาตแิ ละพอลเิ มอรส์ ังเคราะห์ 3. มอนอเมอรข์ องแป้ง เซลลูโลส และโปรตีนคอื สารชนิดใด เฉลย แปง้ /เซลลโู ลส = กลูโคส โปรตีน = กรดอะมโิ น 4. ยกตวั อยา่ งพอลเิ มอรธ์ รรมชาติ เฉลย โปรตีน แป้ง และเซลลโู ลส ยางพารา เสน้ ใยธรรมชาติ 5. ยกตัวอย่างพอลิเมอรส์ งั เคราะห์ เฉลย พลาสตกิ ยางสงั เคราะห์ และเส้นใย 6. พอลิเมอร์เกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร เฉลย กระบวนการพอลิเมอไรเซชนั 7. พอลเิ มอร์ไรเซชันแบบควบแนน่ และพอลเิ มอไรเซชันแบบเตมิ มีความแตกต่างกันอยา่ งไร เฉลย พอลิเมอร์ไรเซชันแบบควบแน่น : เกิดจากมอนอเมอร์รวมตัวกันทางเคมีในสภาวะท่ีเหมาะสม ได้ เป็นพอลิเมอร์และสารโมเลกลุ เล็กซง่ึ อาจเปน็ น้ำหรอื สารอ่ืนๆ พอลิเมอไรเซชนั แบบเติม : เกิดจากมอนอเมอรร์ วมตัวกนั ทางเคมีในสภาวะท่เี หมาะสม ไดเ้ ปน็ พอลิ เมอร์เพียงอยา่ งเดียว ไมม่ ีสารอนื่ เกิดข้นึ ดว้ ย 8. ยกตวั อย่างการเกดิ พอลิเมอร์แบบควบแน่นและแบบเติม เฉลย แบบควบแนน่ : แปง้ โปรตีน เซลลูโลส แบบเตมิ : พอลเิ อทลิ นี 9. วัตถดุ บิ ทีใ่ ช้สงั เคราะหพ์ อลิเมอร์ส่วนใหญ่ไดม้ าจากแหลง่ ใด เฉลย การกล่ันนำ้ มนั ดิบและแก๊สธรรมชาติ 10. ยกตวั อยา่ งผลิตภณั ฑจ์ ากพอลเิ มอร์ เฉลย พลาสตกิ ยาง เสน้ ใย

107 ใบกจิ กรรม ท่ี 5.1 หนว่ ยที่ 5 สอนครัง้ ที่ 11 (ชวั่ โมงที่ 32) หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ เวลา 1 ชั่วโมง รหสั วิชา 20000-1303 ช่ือวิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ ช่ืองาน การทดสอบสมบัติทางกายภาพของพลาสติกชนิดตา่ ง ๆ 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1.1 เพือ่ ใหส้ ามารถทดลองสมบตั บิ างประการของพลาสตกิ ชนดิ ต่าง ๆ 1.2 แสดงออกดา้ นการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝร่ ู้ ไมห่ ยุดน่งิ ท่ีจะแก้ปญั หา ความซอื่ สตั ย์ ความร่วมมือ ชว่ ยเหลือเกื้อกูล 2. สมรรถนะ 2.1 แสดงความรู้และทดลองการสลายตัวของพลาสติก การทำเส้นใยสังเคราะห์ และการทดสอบพลาสติกรี ไซเคิล 2.2 แสดงความร้เู กยี่ วกับการนำพลาสตกิ รไี ซเคิลมาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั 3. ขน้ั ตอนการปฏิบตั ิกิจกรรม 3.1 ตัดถุงพลาสติกเป็นชิ้นเล็ก (ประมาณ 4 ชม.) จำนวน 3 ชิ้น และขนาดใหญ่ 1 ชิ้นหรือถ้วยไอศกรีมจาน พลาสตกิ ชนดิ บาง 3.2 ใส่พลาสติกท่ีตัดไว้ลงในขวดรูปชมพู่หรือขวดแก้วขวดละหน่ึงชิ้น แล้วใส่สารละลายกรดไฮโดรคลอริก สารละลายโซเดียมฮดรอกไซด์ และเฮกเซน ลงในแต่ละขวดตามลำดับ ปิดฝาให้แน่นและแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที สังเกตและบันทึกผล ถ้ายังไม่มกี ารเปลย่ี นแปลง ตัง้ ทง้ิ ไว้ 1 คนื แล้วสังเกตและบันทกึ ผล 3.3 นำพลาสตกิ ใหญ่ท่เี หลอื เผาในท่โี ล่งแจง้ หรือในตูค้ วนั สังเกตและบันทกึ ผล 3.4 สรปุ และเสนอผลการทดลอง 1) ใสเ่ อทานอลน้ำนำ้ เกลืออม่ิ ตวั ลงในบีกเกอรข์ นาด 50 cm3อยา่ งละ 20 cm3 2) ใสช่ ้นิ พลาสติกในตวั อย่างท่ี 1 ลงในเอทานอลสังเกตและบนั ทึกผล 3) นำชน้ิ พลาสตกิ ที่จมในเอทานอลทุกชนิดมาเชด็ ให้แห้งแล้วใส่ลงในนำ้ สงั เกตและบนั ทึกผล 4) นำพลาสตกิ ทจ่ี มในนำ้ ทกุ ชนดิ มาเช็ดให้แห้งแล้วใส่ลงในนำ้ เกลืออ่มิ ตวั สงั เกตและบนั ทึกผล

108 4. สรปุ และวจิ ารณผ์ ล .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. การประเมินผล - ประเมนิ จากผลการปฏิบตั ิงาน โดยได้คะแนนไมต่ ่ำกว่าร้อยละ 60 ถือว่า ผา่ นเกณฑ์ 6. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นคว้าเพิม่ เติม นวลอนงค์ อชุ ภุ าพ. (2559). วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบรกิ าร. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรุงเทพฯ : ศนู ยห์ นงั สอื เมอื งไทย.

109 ใบความรทู้ ี่ 6 หน่วยท่ี 6 หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี สอนครัง้ ท่ี 9-10 (ชัว่ โมงท่ี 25-29) รหัสวิชา 20000-1303 เวลา 5 ชม. ชื่อวิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบรกิ าร ชอื่ เร่อื ง ปโิ ตรเลยี มและผลิตภณั ฑ์ 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จุดประสงค์ทว่ั ไป 1) อธบิ ายความหมายของปิโตรเลยี มและการเกดิ ปโิ ตรเลียมได้ 2) อธบิ ายขั้นตอนการกลั่นน้ำมันดิบได้ 3) อธิบายการเกดิ แก๊สธรรมชาติและประโยชนข์ องแก๊สธรรมชาติได้ 1.2 จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1) ยกตัวอย่างผลติ ภัณฑ์ปโิ ตรเลยี มได้ 2) ยกตัวอย่างเช้อื เพลงิ ท่ีใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ได้ 3) แสดงออกดา้ นการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝร่ ู้ ไมห่ ยดุ นง่ิ ทจ่ี ะแก้ปัญหา ความซอื่ สตั ย์ ความรว่ มมอื 2. สมรรถนะ 1) แสดงความร้เู ก่ยี วกบั ความหมายของปโิ ตรเลยี ม การกำเนดิ ปิโตรเลียม ผลติ ภณั ฑ์จากการกลน่ั น้ำมนั ปโิ ตรเลียม แก๊สธรรมชาติ และผลิตภัณฑท์ ไ่ี ด้จากปโิ ตรเลยี ม 2) แสดงความรู้จากการทำกิจกรรมเร่ืองปโิ ตรเลียมกับเศรษฐกจิ และสงั คม และผลกระทบทเ่ี กดิ จากการ ขนสง่ น้ำมันดบิ 3. เนอื้ หาสาระ 3.1 ปิโตรเลียม ปโิ ตรเลียม คือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติจากซากพืชและซากสัตว์ท่ีทับถม กันหลายแสนล้านปี มักพบอยู่ในช้ันหินตะกอน ทั้งในสภาพของแข็ง ของเหลว และแก๊ส มีคุณสมบัติไวไฟ เมื่อ นำมากลั่น หรือผ่านกระบวนการแยกแก๊ส จะได้ผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เช่น แก๊สหุงต้ม น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา ยางมะตอย และยังสามารถใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเคมีภัณฑ์ต่างๆ เช่น ปุ๋ยเคมี พลาสตกิ และยางสังเคราะห์ เป็นต้น 3.2 กำเนดิ ปโิ ตรเลยี ม

110 ปิโตรเลียม เกิดจากการทับถมและแปรสภาพของซากสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ยุคก่อนประวตั ิศาสตร์นับ หลายล้านปี ท่ีตกตะกอนหรือถูกกระแสน้ำพัดพามาจมลง ณ บริเวณท่ีเป็นทะเลหรอื ทะเลสาบในขณะนั้น ถูกทับ ถมด้วยชัน้ กรวด ทราย และโคลนสลบั กนั เป็นช้นั ๆ เกิดน้ำหนักกดทบั กลายเป็นชั้นหินต่างๆ ผนวกกับความร้อนใต้ พิภพ และการสลายตวั ของอินทรียส์ ารตามธรรมชาติ ทำใหซ้ ากพืชและซากสัตว์ กลายสภาพเปน็ นำ้ มันดิบและแก๊ส ธรรมชาติ หรือ ทเ่ี รียกวา่ “ปโิ ตรเลียม” ดงั นั้นจึงเรียกปโิ ตรเลยี มได้อีกช่อื หน่งึ ว่า “เช้อื เพลงิ ฟอสซลิ ” รูปที่ 4.1 การกำเนดิ ปโิ ตรเลียม 3.3 การสะสมของปิโตรเลียม เกิดอยู่ใต้พ้ืนผิวโลกในชั้นหินท่ีมีรูพรนุ เช่น ช้ันหินทราย และช้ันหินปูนที่ถูกบีบอัดจากน้ำหนักช้ันหินชนิด ต่างๆ หลายช้นั มันจะพยายามแทรกตัวออกมาตามรอยแตกของชน้ั หิน แต่กถ็ กู ปดิ กน้ั ดว้ ยหินที่เนอื้ แนน่ สรุปองค์ประกอบท่ีสำคัญที่ทำให้เกิดปิโตรเลียมมี 3 ประการคือ มีหินเป็นต้นกำเนิดปิโตรเลียม มีหินกักเก็บปิโตรเลียม และมชี ั้นหินเป็นแหลง่ กักเกบ็ ปิโตรเลยี ม ลักษณะโครงสร้างทางธรณวี ิทยาที่สำรวจพบในช้ันหนิ ที่มีโครงสร้างเป็นรปู ต่างๆ ดงั น้ี โครงสร้างรูปประทุนคว่ำ เกิดจากการหักงอของช้ันหิน ทำให้มีรูปร่างโค้งคล้ายกระทะคว่ำ น้ำมันและ แกส๊ ธรรมชาติจะรวมตัวกันท่ีส่วนโค้งกน้ กระทะ โดยมีช้นั หินเน้ือแน่นปิดทบั อยู่ โครงสร้างรปู ระดบั ชั้น เกิดข้นึ ได้หลายรูปแบบข้ึนอยกู่ บั การเปลี่ยนแปลงของพ้นื ผิวโลก ชั้นหนิ กกั เกบ็ นำ้ มัน จะถกู ลอ้ มเป็นกะเปาะอย่รู ะหว่างช้นั หินเนื้อแน่น โครงสร้างรูปโดม เกิดจากการดันตัวของชั้นเกลือ ผ่านช้ันหินกักเก็บน้ำมัน น้ำมันและแก๊สจะอยู่ด้านข้าง ของรูปโดมชนั้ เกลือ

111 โครงสร้างรูปรอยเลื่อน เกิดจากการหักงอของชั้นหนิ ทำให้ชั้นหินเคลื่อนไปคนละแนว การที่นำ้ มันและ แกส๊ ถูกเกบ็ อยไู่ ด้ เพราะชน้ั หินเน้ือแน่นปิดชั้นหินที่มีรพู รุน รปู ประทนุ คว่ำ รปู รอยเล่ือนของชั้นหนิ รปู โดม 3.4 คณุ สมบัตขิ องปิโตรรเปู ลทยี ี่ม4.2 แหล่งกกั เกบ็ ปโิ ตรเลยี มท่ีเกดิ จากโครงสรา้ งทางธรณวี ิทยา ปิโตรเลียม หรือน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติท่ีสำรวจพบในแต่ละแห่งจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ตาม องค์ประกอบของไฮโดรคาร์บอน และสิ่งเจือปนอ่ืนๆ ท่ีผสมอยู่ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับชนิดของอินทรียวัตถุ ซึ่งเป็นต้น กำเนิดของปิโตรเลียมและสภาพแวดลอ้ มของแหลง่ ทเี่ กดิ เชน่ ความกดดนั และอณุ หภูมิใต้พื้นผวิ โลก 3.5 แหล่งปโิ ตรเลียมทีส่ ำคญั ของโลก แหล่งปิโตรเลียมที่ค้นพบแล้วในปัจจุบันมีประมาณ 30,000 แหล่ง อยู่กระจัดกระจายท่ัวโลกท้ังบน พ้ืนดินและในทะเล แหล่งปิโตรเลียมท่ีใหญ่และสำคัญของโลก ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง และเปน็ สมาชกิ ผู้สง่ ออกน้ำมนั โลก (กลุ่มโอเปก) ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย อิรัก อิหร่าน กาตาร์ คูเวต และสหพันธ์รัฐ

112 อาหรับเอมิเรตส์ กลุ่มประเทศแถบทะเลคาริเบียน ได้แก่ เวเนซูเอล่า โคลัมเบีย เม็กซิโก และทรินิแดด รวมทั้งเอค วาดอร์ในอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ ที่มีขนาดใหญ่และสำคัญ ได้แก่ แหล่งปิโตรเลียมใน ทะเลเหนือ ในทวปี ยโุ รป และแหล่งปโิ ตรเลียมในประเทศออสเตรเลยี อนิ โดนเี ซยี และมาเลเซีย 3.6 แหลง่ ปิโตรเลียมทสี่ ำคัญของไทย ประเทศไทยมีการสำรวจค้นพบแหล่งปิโตรเลียมของประเทศประมาณ 79 แหล่ง และทำการผลิตอยู่ ประมาณ 41 แหล่ง โดยแบ่งเป็นแหล่งปิโตรเลียมบนบก 21 แหล่ง ทำการผลิตอยู่ประมาณ 20 แหล่ง แหล่งปิโตรเลยี มในทะเล 58 แหล่ง ทำการผลิตอยู่ประมาณ 21 แหลง่ สำหรับใน พ้ืนท่ีในภาคต ะ วัน อ อ ก เ ฉี ย ง เ ห นื อ มีก า ร ค้น พ บ แ ก๊ส ธ ร ร ม ช า ติ ใ น บ ริ เ ว ณ แ ห ล่ง น ้ำ พ อ ง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น แหล่งดงมูล อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธ์ุ แหลง่ ภูฮ่อม อำเภอหนองแสง จงั หวดั อดุ รธานี นอกจากน้ยี ังมกี ารสำรวจแหล่งปโิ ตรเลียมอกี เพิ่มเตมิ จำนวน 3– 4 แหลง่ ในภาคอีสาน 3.7 กระบวนการสำรวจปิโตรเลียม การสำรวจทางธรณวี ิทยา เปน็ การสำรวจวา่ มีหินตน้ กำเนิด หินกักเกบ็ และมีแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมท่ี ไหนบ้าง การสำรวจโดยอาศัยภาพถา่ ยทางอากาศ บริเวณใดมีโครงสร้างทางธรณีวทิ ยาที่นา่ สนใจก็จะทำการสำรวจ ตรวจดูหิน ที่โผล่พ้นพนื้ ผิวดิน ตามหน้าผา หุบเขา ริมนำ้ ลำธาร โดยเกบ็ ตวั อย่างตรวจดูชนดิ หนิ ลกั ษณะหิน ซากพืชและสตั ว์ที่ อยู่ในหิน เพ่ือจะทราบอายุ วัดแนวทิศทางและความเอียงเทของชั้นหิน ทำให้คาดคะเนว่าบริเวณใดเป็นแหล่งกักเก็บ ปิโตรเลียม การสำรวจธรณีฟิสิกส์ โดยวัดคลื่นความส่ันสะเทือนจากการจุดระเบิด คลื่นส่ันจะเคลื่อนท่ีลงไป กระทบชนั้ หินใต้ทอ้ งทะเลและใต้ดนิ แลว้ คลนื่ จะสะท้อนกลับข้ึนมาเข้าเครอ่ื งรับจะบันทึกเวลาของคล่นื สั่นสะเทือน ที่สะท้อนข้ึนมาจากชั้นหิน ณ ที่ต่างๆ กัน เวลาที่ได้นำมาคำนวณหาความหนาช้ันหิน นำมาเขียนเป็นแผนที่ และรูปร่างลกั ษณะโครงสรา้ งหนิ ได้ วิธีวัดค่าสนามแม่เหล็ก ทำให้ทราบถึงลักษณะโครงสร้างบนหินรากฐาน โดยเครื่องมือวัดค่า สนามแมเ่ หล็กทเ่ี ปน็ ประโยชนใ์ นการสำรวจหาปโิ ตรเลยี ม วิธีวัดค่าแรงดงึ ดูดของโลก โดยถือว่าหินต่างชนิดจะมีความหนาต่างกัน หินท่ีหนามาก และมี ลักษณะโค้งข้ึนเป็นรูปประทุนคว่ำ ค่าสนามดึงดูดของโลกจะอยู่จุดเหนือแกนประทุนมากกว่าบริเวณอื่น ที่ใช้หา ลกั ษณะโครงสร้างของช้ันหินได้ ข้อมูลที่ได้นำมาเขียนบนแผนท่ีแสดงตำแหน่งและรูปร่างลักษณะโครงสรา้ ง และ เลือกโครง-สร้างที่เหมาะสมทส่ี ดุ ในการเจาะสำรวจ การเจาะสำรวจ เครื่องมือท่ีใช้จะเป็นสวา่ นหมุนติดตั้งบนฐานเจาะ ลักษณะจะต่างกันตามภูมิประเทศ โดยเครือ่ งยนตจ์ ะขับเคลอ่ื นแทน่ หมุนพาหัวเจาะหมนุ กัดบดชั้นหินลงไป ขณะเจาะมเี คร่ืองวัดแก๊สที่วัดปรมิ าณแก๊ส ทอ่ี าจขน้ึ มากบั น้ำ การเจาะสำรวจนนั้ มี 2 ข้นั ตอน คือ ขัน้ ตอนการเจาะสุ่ม และการเจาะสำรวจหาขอบเขต

113 3.8 กระบวนการกลั่นนำ้ มัน กระบวนการกลั่นน้ำมัน คือ การแปรสภาพน้ำมันดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่เหมาะต่อการใช้ ประโยชน์ ประกอบด้วยวิธีที่สำคัญดังน้ี การแยก คอื การแยกสว่ นประกอบน้ำมันทางกายภาพ สว่ นใหญ่แยกโดยวิธีกลน่ั ลำดับส่วน การกลั่นลำดับส่วน คือ การนำน้ำมันดิบมากลั่นในหอกลั่นบรรยากาศน้ำมันดิบจะถูกแยกตัวออก ในการกลั่นลำดับส่วน น้ำมันดิบจะถูกส่งผ่านไปในท่อเหล็ก น้ำมันที่ร้อนรวมท้ังไอจะไหลผ่านหอกลั่น ลอยขึ้นบนหอ กล่นั เมอื่ ได้รบั ความเย็นจะกลนั่ ตัวเป็นของเหลว รปู ที่ 4.3 กระบวนการและผลิตภัณฑ์ทไี่ ดจ้ ากการกลั่นน้ำมนั ดบิ 3.9 ผลติ ภัณฑ์ปิโตรเลยี ม และการใชป้ ระโยชน์ ประเภทวัตถุดิบ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อล่ืน จารบี และเคมีภัณฑ์ต่างๆ ส่วนแก๊สธรรมชาติเป็น เชอ้ื เพลิงได้โดยตรง 1) แก๊สปโิ ตรเลียมเหลว เรียกทวั่ ไปวา่ แอล พี จี เป็นผลติ ภัณฑช์ ัน้ บนสดุ ในกระบวนการกลั่นน้ำมัน แก๊สเหลวมีจุดเดือดต่ำมาก การเก็บรักษาต้องเพิ่มความดันหรืออุณหภูมิ เพื่อให้ปิโตรเลียมเปลี่ยนจากแก๊สเป็น ของเหลว แก๊สปิโตรเลยี มจะเป็นเชื้อเพลงิ ได้ดี ไม่มสี ีและกล่นิ แตผ่ ผู้ ลิตเติมกล่ินลงไปทำใหส้ งั เกตไดง้ ่ายเม่อื แก๊สร่ัว ประโยชนแ์ กส๊ ปโิ ตรเลยี มเหลวคอื ใช้เปน็ เชื้อเพลงิ สำหรับหุงต้ม เคร่ืองยนต์และรถยนต์

114 2) น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน หรือเรียกท่ัวไปว่าน้ำมันเบนซิน ท่ีได้จากการปรุงแต่งคุณภาพเพ่ือให้เหมาะกับ งานเช่น สารเคมีปอ้ งกันสนมิ และการกัดกร่อน น้ำมันเบนซิน แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คอื ชนิดพิเศษค่าออกเทนสูง มี ลักษณะเปน็ สีแดง และนำ้ มนั เบนซินธรรมดา มีลักษณะเปน็ สีส้ม 3) น้ำมันเชื้อเพลิงเคร่ืองบินใบพัด มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันเบนซิน แต่มีค่าออกเทนสูงข้ึนให้เหมาะกับ เคร่อื งบินทใ่ี ชก้ ำลงั ดนั ขับดันมาก 4) น้ำมันเชอื้ เพลงิ เครือ่ งบินไอพน่ คณุ สมบัติของน้ำมนั จะมลี ักษณะการระเหยตัวตำ่ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ในทางการทหาร เป็นเช้ือเพลิงผสมระหวา่ งน้ำมันก๊าดกับแนฟทา 5) น้ำมันก๊าด สมัยก่อนใช้น้ำมันก๊าดจุดตะเกียง และปัจจุบันใช้เป็นส่วนผสมยาฆ่าแมลง สีทาน้ำมันชักเงา การบ่มในยาสูบ และอบพืชผลดว้ ย 6) น้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล ปัจจุบนั ได้พัฒนาเครอื่ งยนต์ดีเซลท่ีมีความสำคญั ทางเศรษฐกิจ เชน่ รถบรรทุก รถโดยสาร หัวจักรรถไฟ และเรือประมง 7) น้ำมันเตา เป็นเช้ือเพลิงสำหรับเตาหม้อน้ำ และเตาเผาหรือเตาหลอม น้ำมันเตาในประเทศไทยมี 3 ประเภท คือ น้ำมันเตาอย่างเบา มคี วามหนืดต่ำ น้ำมนั เตาอย่างกลาง มคี วามหนืดปานกลาง และน้ำมันเตาอย่างหนัก มคี วามหนดื สงู 8) ยางมะตอย เป็นส่วนทีห่ นกั ทส่ี ุด มีความเฉื่อยต่อสารเคมี และไอควนั ตา้ นทานสภาพอากาศ ความยืดหยุ่น ตัวตอ่ อุณหภูมิระดบั ต่างๆ ได้ ประโยชน์นำไปใชล้ าดถนน ทางวง่ิ เครื่องบินและลานจอดรถ 3.10 แกส๊ ธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ แก๊สธรรมชาติ (อังกฤษ: Natural gas) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดหน่ึงท่ีประกอบด้วย ไฮโดรเจนและคาร์บอนท่ีเกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ประเภทจุลินทรีย์ท่ีมีอายุหลายร้อยล้านปี ซ่ึง สามารถแยกส่วนประกอบได้ เป็นมีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน เป็นต้น หรือ หมายถึง ปิโตรเลียมที่มี สภาพเปน็ แก๊ส ณ ทีอ่ ณุ หภูมแิ ละความดนั มาตรฐาน 15.6 องศาเซลเซียส และ 101 กโิ ลปาสคาล โดยในแหล่งธรรมชาติอาจมีเฉพาะ มีเทน หรือ อีเทนล้วนหรืออาจ เจือปนโพรเพน และบิวเทนในบาง แหล่ง ซ่ึงถ้าแยกโพรเพน และบิวเทน ออกมาบรรจุลงในถังแก๊ส เรียกว่า แก๊สปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas) หรอื LPG หรอื แก๊สหุงต้ม แก๊สธรรมชาติไมม่ ีสี ไม่มกี ลิ่น ไม่มีสารพิษ ถอื วา่ เป็นผลิตภัณฑท์ ี่ปลอดภัยสูงสุดผลิตภัณฑ์หนึ่งในปัจจุบัน เมือ่ เผาไหม้แลว้ จะเปน็ เชอื้ เพลิงสะอาดและสง่ ผลกระทบแก่สิ่งแวดลอ้ มนอ้ ยมาก เมอ่ื เปรียบเทยี บกับน้ำมนั เตาและ แกส๊ หงุ ต้ม ดว้ ยเหตุน้หี ลายประเทศจึงนยิ มใช้แก๊สธรรมชาติ โดยทวั่ ไปสามารถแบง่ ออกตามสมบตั ทิ างเทคนิคได้ 4 ประเภท ดงั น้ี 1) Sweet gas หมายถึง แก๊สที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางต่อกระดาษ pH ท่ีเปียกน้ำ โดยมีแก๊สมีเทนเป็น สว่ นประกอบหลกั ซงึ่ เป็นแก๊สไฮโดรคาร์บอนทมี่ ีน้ำหนักเบาท่ีสดุ และอาจพบ อีเทน โพรเพน และเพนเทน ปะปน อยูบ่ ้าง

115 2) Sour gas หมายถึง แก๊สธรรมชาติท่ีมีกรดกำมะถันเจือปนอยู่สูง ทำให้เกิดสภาพที่เป็นกรดขึ้น สามารถตรวจสอบได้โดยใช้กระดาษ pH ที่เปียกน้ำ ถ้ามกี ๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟดป์ ะปนอยสู่ ูง อาจทำให้แก๊สน้ันมีพิษ ได้ ดังนั้นจึงต้องกำจัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟดก์ อ่ นส่งไปยังทอ่ี ื่น 3) Dry gas หมายถึงแก๊สธรรมชาติที่ไม่มีส่วนผสมของแก๊สธรรมชาติเหลว (condensate) มีแต่แก๊ส มเี ทนเกอื บร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้มีราคาสูงกว่าแกส๊ ธรรมชาติชนิดอนื่ ๆ 4) Wet gas หมายถึง แก๊สธรรมชาติท่ีมีส่วนประกอบหลักเป็นพวกแก๊สธรรมชาติเหลว ได้แก่ โพรเพน บิวเทน เพนเทน และเฮกเซน แก๊สเหล่านี้จะกลายเป็นของเหลวได้ง่ายที่อุณหภูมิต่ำและความดันสูง ทำให้เกิด ปัญหาในการขนส่ง แก๊สธรรมชาตเิ ป็นเช้อื เพลิงฟอสซิลท่ีสำคญั ในลำดับต้นๆ ในโลกปจั จุบนั และถอื เป็นเชื้อเพลิงที่ปลอดภัย และสะอาด ซง่ึ โดยธรรมชาติ ไม่มสี ี และไม่มีกลิน่ และไม่มีรูปแบบ แก๊สธรรมชาติมีสัดส่วนทว่ั ไปดังน้ี ชื่อ สูตรเคมี สัดสว่ นในแกส๊ ธรรมชาติ Methane มีเทน CH4 70 - 90% Ethane อเี ทน C2H6 Popane โพรเพน C3H8 0 - 20% Butane บวิ เบน C4H10 Carbon Dioxide คาร์บอนไดออกไซด์ CO2 0 - 8% Oxygen ออกซเิ จน O2 0 - 0.2% 0 - 0.5% Nitrogen ไนโตรเจน N2 0 - 5% เลก็ นอ้ ย Hydrogen Sulfide ไฮโดรเจนซัลไฟด์ H2S แกส๊ อนื่ ๆ Ar,He,Ne,Xe 3.11 สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ในวิชาเคมี ไฮโดรคาร์บอน (อังกฤษ: hydrocarbon) คือสารประกอบทางเคมีที่ประกอบไปด้วยธาตุ คาร์บอน (carbon) และไฮโดรเจน (hydrogen) ไฮโดรคาร์บอนทุกตัวจะมีแกนกลางคาร์บอนโดยมีอะตอม ไฮโดรเจนเกาะอยูร่ อบๆ ไฮโดรคาร์บอนเปน็ สว่ นประกอบสำคญั ในผลติ ภัณฑ์ปโิ ตรเคมี เช้อื เพลงิ ในชวี ติ ประจำวนั

116 - การกำหนดคุณภาพน้ำมัน - ผลกระทบจากการใชน้ ำ้ มันเช้ือเพลงิ - ไบโอดเี ซล 3.12 ผลของผลิตภณั ฑ์ปโิ ตรเลียมต่อสงิ่ มชี ีวิตและสง่ิ แวดล้อม ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากปิโตรเลียม เช่น แก๊สธรรมชาติ แก๊สหุงต้ม น้ำมัน พลาสติก โฟม ฯลฯ ล้วนแต่ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์และมีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่หากเราใช้ ประโยชน์จากผลิตกัณฑ์ปิโตรเลียมโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบท่ีจะเกิดตามมา ก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ได้ ซ่ึงผลกระทบส่วนใหญ่ที่เกิดข้ึน ก็คือ การก่อให้เกิดมลภาวะทาง อากาศ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลงิ ต่าง ๆ เนื่องจากการเผาไหม้น้ำมันเชอ้ื เพลงิ จะทำให้สาร ต่าง ๆ ท่ีปนอยู่ในน้ำมันระเหยออกมาได้ และหากเครื่องยนต์มีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ก็จะก่อให้เกิดเขม่า ควนั และแก๊สที่เปน็ อันตราย ดังน้ี 1) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เกิดข้ึนจากการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของเชื้อเพลิง เป็นแก๊ส นำ้ หนักเบากวา่ อากาศ ทำใหส้ ามารถลอยขนึ้ สู่ช้ันบรรยากาศ และกอ่ ให้เกดิ ภาวะโลกร้อนได้ 2) แก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) เกิดจากการเผาไหมท้ ่ีไม่สมบรู ณ์ เป็นแกส๊ ท่ีมีอันตรายต่อมนุษย์ และสัตว์ โดยสามารถจับตัวกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดได้ดี ทำให้เม็ดเลือดไม่สามารถรับออกซิเจนได้ จึงทำให้ ร่างกายได้รับออกซเิ จนไม่เพยี งพอ 3) สารตะกั่ว เกิดจากสารบางชนิดท่ีเติมลงในน้ำมันเบนซินเพ่ือเพ่ิมคุณภาพให้กับน้ำมัน เม่ือถูกเผาไหม้ จึงระเหยปนออกมากับสารอน่ื ทางท่อไอเสีย สารตะกัว่ เป็นสารท่ีมีผลเสียต่อสมอง ไต ระบบประสาท โลหิต และ ระบบสบื พนั ธ์ุ ในปจั จบุ ันจึงได้มีการห้ามไม่ใหผ้ สมสารที่มีตะก่ัวเจือปนลงในน้ำมนั อีก 4) แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เกิดข้นึ จากการเผาไหม้ของสารทม่ี ีซัลเฟอร์ผสมอยู่ มีผลกระทบต่อ ระบบหายใจ นอกจากนี้เมื่อรวมตัวกบั ละอองนำ้ ในอากาศ จะเกิดเป็นฝนกรด ซึ่งเป็นอันตรายตอ่ ส่ิงมีชีวิต และ ทำใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกส่ งิ่ กอ่ สรา้ งต่าง ๆ ได้ 5) แกส๊ ไฮโดรคาร์บอน เกิดจากการเผาไหม้สารไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ ท่ีอยู่ในน้ำมันเป็นแก๊สมีเทน อี เทน ออกเทน ไอของเฮปเทน และน้ำมันเบนซิน มีผลต่อเย่ือดวงตา และก่อให้เกิดการระคายเคืองในระบบ หายใจได้ นอกจากมลพิษทางอากาศแล้ว ผลิตภัณฑ์ตา่ ง ๆ จากปิโตรเลียม เช่น กลอ่ งโฟม และพลาสตกิ ต่าง ๆ ยังสามารถก่อให้เกิดปัญหาจากปริมาณขยะได้ เน่ืองจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้เน่าเปื่อยย่อยสลายได้ยาก และไม่ สามารถทำลายดว้ ยวธิ ีการเผาได้ เน่ืองจากการเผาจะกอ่ ใหเ้ กิดกลนิ่ เหม็นอย่างรุนแรง และเกิดแก๊สทเ่ี ปน็ พิษ จึง ยากต่อการกำจดั ทำลาย ดงั น้ันในการใช้ผลิตภณั ฑป์ ิโตรเลยี มต่าง ๆ เราจึงควรใช้ดว้ ยความรอบคอบและใช้ให้เกิด ประโยชน์คุ้มค่ามากทส่ี ุด

117 4. แบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ แบบฝึกหัด หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 6 ปโิ ตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ คำชี้แจง จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ีให้ถูกตอ้ ง 1. ปโิ ตรเลยี มคอื อะไร เกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 2. แหลง่ พลังงานจากปิโตรเลยี มชนิดใดท่ีมนุษยน์ ำมาใช้งานมากทีส่ ุด .................................................................................................................................................................................... 3. ปโิ ตรเลยี มประกอบดว้ ยสารประเภทใดเปน็ องค์ประกอบหลกั .................................................................................................................................................................................... 4. แหล่งน้ำมนั ดบิ ทพ่ี บล่าสดุ ของประเทศไทยอยู่ท่ใี ด .................................................................................................................................................................................... 5. แหลง่ ผลิตแกส๊ ธรรมชาตทิ ี่ใหญ่ที่สดุ ในประเทศไทยตง้ั อยทู่ ใี่ ด .................................................................................................................................................................................... 6. แหล่งปโิ ตรเลยี มท่ีมีขนาดใหญ่ทส่ี ุดในโลกอยู่ทใ่ี ด .................................................................................................................................................................................... 7. แหลง่ ปิโตรเลียมที่มคี ุณภาพดที ่ีสดุ อยู่ทใี่ ด .................................................................................................................................................................................... 8. ยกตัวอยา่ งผลติ ภัณฑ์ทไี่ ด้จากการกลั่นน้ำมันดิบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 9. กระบวนการแยกแก๊สธรรมชาตทิ ่ไี ม่ใช่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนมวี ิธกี ารอยา่ งไร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 10. ยกตวั อย่างผลติ ภัณฑ์จากนำ้ มันดิบและการใช้ประโยชนจ์ ากผลติ ภณั ฑ์ .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

118 11. น้ำมนั แก๊สโซฮอล์คืออะไร .............................................................................................................................................................................. 12. น้ำมนั แก๊สโซฮอล์อี 10 อี 20 และอี 85 มีความแตกต่างกนั อยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 13. ยกตัวอยา่ งผลิตภัณฑ์จากแกส๊ ธรรมชาติและการนำมาใชป้ ระโยชน์ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 14. เมื่อปิโตรเลยี มเกิดการเผาไหมจ้ ะได้สารใด .............................................................................................................................................................................. 15. ยกตวั อย่างวัตถดุ บิ ทใี่ ช้ผลติ ไบโอดเี ซลในประเทศไทย .............................................................................................................................................................................. 5. เอกสารอา้ งองิ ภาวณิ ี รตั นคอน ลดั ดา อินทร์พิมพ์ และสเุ ทพ สุขเจรญิ . (2562). วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และ บริการ. พิมพ์คร้งั ที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พเ์ อมพันธ.์ 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝึกหดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ) เฉลยแบบฝกึ หดั หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 6 ปโิ ตรเลียมและผลติ ภณั ฑ์ 1. ปโิ ตรเลยี มคืออะไร เกดิ ข้ึนไดอ้ ยา่ งไร เฉลย ปิโตรเลยี มเป็นเชื้อเพลิงฟอสซลิ หรือเชื้อเพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์ เกดิ จากซากส่งิ มชี วี ติ ทั้งซากพชื และ ซากสตั ว์ที่เน่าเปื่อยทับถมอยู่ใต้ทรายและโคลนตมเป็นเวลานาน จนในที่สุดซากส่ิงมีชวี ิตเหล่าน้ีถูกกดทับอยู่ภายใต้ เปลือกโลกท่ีมีความดนั และอณุ หภูมิเป็นเวลานาน และรวมตัวกันเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายชนดิ ปะปน กนั 2. แหลง่ พลงั งานจากปโิ ตรเลียมชนิดใดทม่ี นษุ ย์นำมาใชง้ านมากทีส่ ุด เฉลย นำ้ มนั ดิบ 3. ปโิ ตรเลียมประกอบดว้ ยสารประเภทใดเป็นองคป์ ระกอบหลัก เฉลย สารประกอบไฮโดรคาร์บอน 4. แหลง่ นำ้ มันดิบทีพ่ บล่าสดุ ของประเทศไทยอยู่ท่ีใด เฉลย แหลง่ สิริกติ ิ์ อำเภอลานกระบอื จังหวดั กำแพงเพชร

119 5. แหลง่ ผลิตแกส๊ ธรรมชาติทใี่ หญท่ ่ีสุดในประเทศไทยต้งั อยทู่ ี่ใด เฉลย แหลง่ บงกช บริเวณอา่ วไทย 6. แหล่งปิโตรเลยี มท่มี ขี นาดใหญ่ทสี่ ุดในโลกอยู่ที่ใด เฉลย อ่าวเปอรเ์ ซยี 7. แหลง่ ปิโตรเลียมทม่ี คี ุณภาพดีท่ีสุดอยู่ทใี่ ด เฉลย ประเทศไนจเี รีย 8. ยกตวั อยา่ งผลิตภัณฑ์ทไ่ี ด้จากการกลน่ั นำ้ มันดิบ เฉลย แก๊สหุงตม้ นำ้ มันเบนซนิ นำ้ มนั ดีเซล นำ้ มนั กา๊ ด น้ำมันเตา 9. กระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติท่ีไมใ่ ช่สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนมีวิธีการอย่างไร เฉลย 1. กำจดั ปรอท 2. กำจดั แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแกส๊ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ 3. การกำจดั ความชื้น 10. ยกตัวอย่างผลิตภณั ฑ์จากน้ำมนั ดบิ และการใชป้ ระโยชน์จากผลิตภัณฑ์ เฉลย แกส๊ ปิโตรเลยี มเหลว : ใช้เป็นเชอื้ เพลงิ ในครัวเรือน น้ำมันเบนซนิ : ใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลงิ ในเครอ่ื งยนตแ์ ก๊สโซลนี นำ้ มันดเี ซล : ใช้เป็นเชอ้ื เพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล นำ้ มนั กา๊ ด : ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ ให้ความรอ้ นและแสงสว่าง เปน็ ตวั ทำละลายสารบางชนดิ ในการ ผลิตนำ้ ยาทำความสะอาด น้ำยาชกั เงา และสารกำจดั แมลง นำ้ มนั เตา : ใช้เปน็ เชอื้ เพลงิ ในอตุ สาหกรรม นำ้ มันหลอ่ ลน่ื : สารเคลือบผิวโลหะของชิน้ ส่วนเคร่อื งยนตท์ ีม่ กี ารเคล่ือนทเ่ี พ่ือลดการเสยี ดสี และลดการสึกหรอของผวิ โลหะ ยางมะตอย : นำมาทำผวิ หน้าถนน ทางเทา้ ทางวิ่งเครอ่ื งบนิ ลานจอดรถ ฯลฯ สารตงั้ ตน้ ในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมี : ผลติ เม็ดพลาสตกิ 11. น้ำมนั แก๊สโซฮอลค์ อื อะไร เฉลย การนำนำ้ มนั เบนซินผสมกบั เอทานอลในปริมาณท่กี รมธรุ กจิ พลังงานกำหนด 12. น้ำมนั แก๊สโซฮอลอ์ ี 10 อี 20 และอี 85 มีความแตกต่างกนั อย่างไร เฉลย แก๊สโซฮอลอ์ ี 10 มีส่วนผสมของเอทานอลไมเ่ กินรอ้ ยละ 10 และไม่ตำ่ กวา่ ร้อยละ 9 กับนำ้ มัน เบนซินพืน้ ฐานรอ้ ยละ 90 โดยปรมิ าตร

120 น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 มีส่วนผสมของเอทานอลไม่เกินร้อยละ 20 และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 19 กับ นำ้ มันเบนซินพนื้ ฐานรอ้ ยละ 80 โดยปริมาตร น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 มีส่วนผสมของเอทานอลไม่เกินร้อยละ 85 และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 กับ นำ้ มันเบนซนิ พื้นฐานร้อยละ 15 โดยปรมิ าตร 13. ยกตวั อย่างผลิตภัณฑ์จากแก๊สธรรมชาตแิ ละการนำมาใชป้ ระโยชน์ เฉลย แกส๊ มเี ทน : ใชเ้ ปน็ เชือ้ เพลงิ ในรถยนต์ แกส๊ อีเทน แก๊สโพรเพน : ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ ิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพ่อื นำไปผลิตเม็ดพลาสติกและ เส้นใยพลาสติกชนดิ ตา่ งๆ แกส๊ โพรเพน แกส๊ บิวเทน : นำมาผสมเปน็ แกส๊ ปโิ ตรเลียมเหลว (LPG) ใชห้ งุ ต้มในครวั เรอื น แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ : ผลติ นำ้ แขง็ แห้ง สารตัง้ ต้นในการทำฝนเทยี ม สร้างหมอกควันจำลอง ในอากาศ 14. เม่อื ปิโตรเลยี มเกิดการเผาไหมจ้ ะไดส้ ารใด เฉลย แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์และนำ้ 15. ยกตวั อยา่ งวตั ถดุ บิ ที่ใช้ผลติ ไบโอดเี ซลในประเทศไทย เฉลย ปาล์มนำ้ มัน มะพร้าว ถว่ั เหลือง เมล็ดดอกทานตะวนั เมล็ดสบู่ดำ

121 แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 7 หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี สอนครงั้ ท่ี 13-15 (ชวั่ โมงท่ี 36-43) รหสั วชิ า 20000-1303 ช่ือวิชาวิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ ท-ป-น..(1-2-3) ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ ไฟฟ้าในชวี ิตประจำวัน ทฤษฏี 2 ชม. ปฏิบัติ 6 ชม. 1. สาระสำคญั ในชีวิตประจำวันของเราต้องเก่ียวข้องกับพลังงานไฟฟ้าอยู่เสมอ ในปัจจุบันเรานำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ใน ชวี ติ ประจำวนั มากมาย การเรยี นรู้เก่ียวกบั พลังงานไฟฟ้า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า วงจรไฟฟา้ อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบา้ น จึงมีความจำเป็นต่อเราเป็นอย่างยิ่ง เพ่ือให้สามารถใช้ไฟฟ้าได้อย่างถูกวิธีและระมัดระวงั ในการใช้งาน เพ่ือความ ปลอดภยั ต่อชวี ติ และปอ้ งกนั ภยั จากไฟรัว่ และการเกดิ อคั คีภยั จากไฟฟ้าลัดวงจรได้ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1. แสดงความรเู้ กี่ยวกบั ไฟฟา้ และเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าในบา้ นและสำนกั งาน การเกบ็ รกั ษาสนิ ค้า การใชพ้ ลงั งาน เพ่อื การขนส่งการอนรุ ักษ์พลังงานและสิง่ แวดล้อม สารละลายปฏกิ ิรยิ าเคมี สารเคมีที่ใช้ในชวี ิตประจำวันและ สำนกั งาน สารสงั เคราะห์และผลิตภัณฑ์ 2. คำนวณขอ้ มูลเก่ียวกบั ไฟฟา้ และพลงั งานตามหลักการ 3. ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้จากการศึกษาวทิ ยาศาสตรง์ านธุรกจิ และบรกิ ารในงานอาชพี 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการเกดิ กระแสไฟฟ้าจากแหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ชนดิ ต่างๆ ได้ 2. อธบิ ายหน้าทีข่ องอุปกรณ์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าในบา้ นได้ 3. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผ้สู ำเรจ็ การศกึ ษาสำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ครสู ามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเรื่อง 3.1 ความมีมนษุ ยสัมพนั ธ์ 3.2 ความมวี ินัย 3.3 ความรบั ผิดชอบ 3.4 ความซือ่ สตั ย์สุจรติ 3.5 ความเชอื่ มนั่ ในตนเอง 3.6 การประหยดั 3.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 3.8 การละเวน้ สง่ิ เสพติดและการพนัน 3.9 ความรกั สามัคคี

122 3.10 ความกตัญญกู ตเวที 4. สาระการเรียนรู้ 1.แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ 2.อุปกรณไ์ ฟฟ้า 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ท่ี...........) ขั้นนำเข้าส่บู ทเรยี น 1.ครสู นทนากับผ้เู รียนเกีย่ วกับพลังงานไฟฟ้าซง่ึ ถูกนำมาใชใ้ นชีวติ ประจำวนั มากมายดังนน้ั การเรียนรู้ เกย่ี วกบั พลังงานไฟฟา้ แหล่งกำเนิดไฟฟา้ วงจรไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟา้ ภายในบ้าน จึงมีความจำเปน็ ต่อเราเป็นอยา่ งย่ิง เพื่อใหส้ ามารถใช้ไฟฟ้าได้อย่างถูกวิธีและระมัดระวังในการใช้งาน เพ่ือความปลอดภัยต่อชวี ิตและป้องกันภัยจากไฟ รั่วและการเกิดอัคคีภยั จากไฟฟา้ ลดั วงจรได้ 2.ผู้เรยี นยกตวั อยา่ งความสำคญั ของพลังงานไฟฟา้ ว่ามีความสำคัญตอ่ การดำรงชวี ติ ของผู้เรยี นอย่างไร 3.ครเู ปิดวดิ ีทัศน์ ทแี่ สดงการเกดิ ไฟฟา้ สถติ (Static Electricity) จากการนำแท่งอำพนั มาถูกบั ผา้ ขนสัตว์ โดยพบว่าแทง่ อำพันจะมอี ำนาจในการดดู สงิ่ ตา่ งๆ ทม่ี นี าํ้ หนกั เบาได้ เช่น เศษกระดาษ และเสน้ ผม ข้นั สอน 4.ครูใชส้ ือ่ Power Point ประกอบการอธิบายการเกิดกระแสไฟฟา้ ซึง่ กระแสไฟฟ้าเกดิ จากการเคล่ือนที่ของ อนุภาคอเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ยใู่ นลวดตัวนำที่นำมาตอ่ ระหว่าง 2 จุด ทมี่ ีความต่างศักยไ์ ฟฟ้า ซึง่ อเิ ล็กตรอนจะเคลื่อนทจี่ าก จุดทมี่ ศี ักยไ์ ฟฟ้าตำ่ หรอื ขว้ั ลบไปยังจดุ ที่มีศักย์ไฟฟา้ สงู หรือขั้วบวก แตอ่ ิเลก็ ตรอนจะเคล่อื นทบ่ี รเิ วณผวิ รอบนอกของ ลวดตวั นำ เราจงึ นยิ ามคำว่า กระแสไฟฟา้ (Electric Current) ขึ้นแทนการเคล่ือนที่ของอเิ ลก็ ตรอน โดยกระแสไฟฟา้ จะมีทศิ ทางการไหลสวนทางกับทิศทางการเคล่อื นที่ของอเิ ล็กตรอน ดงั นัน้ กระแสไฟฟา้ จะไหลจากข้ัวบวกหรอื จุดทม่ี ี ศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังขั้วลบหรือจุดท่ีมีศกั ย์ไฟฟา้ ตา่ํ

123 5.ผู้เรยี นยกตัวอย่างวตั ถทุ เี่ ป็นตวั นำไฟฟา้ และฉนวนไฟฟ้า 6.ครใู ช้สอื่ Power Point อธิบายเรอื่ งกระแสไฟฟา้ (Electric Current) ซ่ึงเปน็ ปรมิ าณท่มี ีความสัมพันธก์ ับ คา่ ความต่างศักย์ไฟฟ้ากลา่ วคอื กระแสไฟฟา้ จะเกิดขึ้นหรือไหลได้กต็ อ่ เมื่อจุด 2 จุดมีค่าความตา่ งศักย์ไฟฟ้าต่างกนั กระแสไฟฟ้าแบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด ดงั น้ี 1). ไฟฟา้ กระแสตรง (Direct Current : DC) 2). ไฟฟา้ กระแสสลับ (Alternating Current : AC) 7.ครูบอกประเภทของแหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ประเภทใหญ่ ๆ ท่เี รานำมาศึกษามดี ังน้ี 1). แหลง่ กำเนิดไฟฟ้าจากปฏกิ ริ ยิ าเคมี 1.1 เซลล์ไฟฟา้ แบบปฐมภมู ิ (Primary Cell) - เซลล์แหง้ (Dry Cell) - เซลล์แอลคาไลน์ (Alkaline Cell) - เซลล์ปรอท (Mercury Cell)

124 1.2 เซลล์ไฟฟา้ ทตุ ิยภูมิ (Secondary Cell) 2). แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ แบบเหนีย่ วนำ 3).แหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ จากปฏกิ ริ ิยาโฟโตอิเล็กตรกิ 8.ครูใช้สอ่ื Power Point ประกอบการอธิบายเรื่องแหลง่ กำเนิดไฟฟา้ จากปฏิกริ ยิ าเคมี ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1) เซลล์ไฟฟา้ แบบปฐมภูมิ (Primary Cell) เซลลไ์ ฟฟา้ แบบปฐมภมู ิ (Primary Cell) จัดเป็นเซลล์ไฟฟ้าอยา่ งง่าย (Voltaic Cell) เปน็ เซลล์ไฟฟา้ ที่ คน้ พบครั้งแรกโดย อเลสซานโดร โวลตา(Alessandro Volta)โดยสว่ นประกอบของเซลล์ประกอบด้วย แท่ง ทองแดง (Cu) ทำหน้าทเ่ี ป็นข้ัวบวก และแทง่ สงั กะสี (Zn) ทำหนา้ ทีเ่ ปน็ ข้วั ลบ โดยโลหะท้งั 2 ชนดิ น้ี จมุ่ อยูใ่ น สารละลายกรดซลั ฟิวรกิ (H2SO4) ดังภาพ เม่อื จุม่ แทง่ ทองแดงและสังกะสลี งในกรดซัลฟวิ ริกเจือจางจะทำใหเ้ กดิ ปฏกิ ิริยาเคมขี ้ึน ดังนี้ เซลลป์ ฐมภมู ทิ ใี่ ช้อย่ใู นปัจจบุ นั มหี ลายชนดิ ดงั น้ี 1.1 เซลลแ์ ห้ง (Dry Cell) เปน็ เซลล์ท่ใี ช้ในไฟฉาย หรอื ใช้ในประโยชน์อ่นื ๆเชน่ ในวทิ ยุ เครื่องคิดเลข ฯลฯ เซลลไ์ ฟฟ้าชนิดนถ้ี กู เรยี กวา่ เซลลแ์ ห้ง เพราะไมไ่ ด้ใช้ของเหลวเป็นอิเลก็ โทรไลต์

125 ➤ กลอ่ งของเซลลท์ ำดว้ ยโลหะสงั กะสี ซ่งึ ทำหน้าทเ่ี ปน็ ขวั้ ลบ จะเกิดปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั ใหอ้ ิเล็กตรอนวงิ่ ตามเสน้ ลวดตวั นำสแู่ ทง่ คาร์บอน ➤ แท่งคาร์บอนทำหนา้ ท่เี ปน็ ขว้ั บวก 1.2 เซลลแ์ อลคาไลน์ (Alkaline Cell) เซลล์แอลคาไลน์จะมีส่วนประกอบของเซลล์เหมือนกับเซลล์ แห้งหรือถ่านไฟฉาย แต่สง่ิ ที่แตกต่างกนั คอื เซลลแ์ อลคาไลนจ์ ะใช้ เบส คอื โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ (KOH) เปน็ อิ เลก็ โทรไลต์แทนแอมโมเนยี มคลอไรด์ (NH4Cl) 1.3. เซลลป์ รอท (Mercury Cell) มหี ลกั การเชน่ เดียวกบั เซลล์แอลคาไลน์ แตจ่ ะใช้เมอร์ควิ รี ออกไซด์ (HgO) แทนแมงกานสี ออกไซด์ (MnO2) เซลล์ชนิดนีจ้ ะใหศ้ กั ย์ไฟฟา้ ประมาณ 1.3 โวลต์คงที่ตลอดอายุ การใช้งานซงึ่ ใหก้ ระแสไฟฟ้าต่ํา 2) เซลลไ์ ฟฟ้าทุตยิ ภมู ิ (Secondary Cell) เป็น เซลลไ์ ฟฟ้าทีย่ งั ไมส่ ามารถนำมาใช้ งานไดท้ ันที แตจ่ ะต้องนำไปอัด ไฟหรือชาร์จไฟฟา้ กระแสตรงเขา้ ไป ในเซลล์กอ่ นเพ่อื ใหเ้ กิดปฏิกิริยา เคมีและเก็บไฟไว้ จงึ นำมาใช้งานได้

126 ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ถกู นำไปใช้งานจะเกดิ การเคลอื่ นท่ีของอิเลก็ ตรอน โดยมีทิศทางจากแผน่ ตะกั่วไปยังแผ่น ตะกว่ั ไดออกไซด์ ซง่ึ เกดิ ปฏิกิริยาเคมีขึ้น ดังนี้ เซลล์ไฟฟ้าแบบตะกวั่ ที่ใชง้ านในชวี ิตประจำวัน จะนำแผน่ ตะกว่ั หลายๆ เซลลม์ าเรียงต่อกนั เปน็ ชุดๆเช่น 12 โวลต์ หรอื 24 โวลต์ เรียกว่าแบตเตอร่ี 9.ครูใชส้ อื่ วดิ ีทัศน์แสดงการเกิดไฟฟา้ แบบเหน่ียวนำจากการคน้ พบของไมเคลิ ฟาราเดย์ (Micheal Faraday) โดยการตอ่ ปลายของขดลวดเข้ากับกัลปว์ านอมิเตอร์ท่มี คี วามไวมากๆ และนำแท่งแมเ่ หลก็ เคลื่อนที่ พ่งุ เข้าสู่ขดลวด ผลปรากฏว่าทำให้เขม็ ของกลั ป์วานอมเิ ตอร์กระดิกได้ และแสดงการผลติ กระแสไฟฟา้ จากการ หมนุ ขดลวดตัดกับสนามแม่เหลก็ ที่เรยี กวา่ ไดนาโม (Dynamo)

127 10.ผ้เู รียนทำการทดลองการเกิดกระแสไฟฟ้าจากการเหนยี่ วนำอย่างง่าย ดงั ข้นั ตอนตอ่ ไปนี้ 1). ผ้เู รยี นต่อปลายทง้ั สองข้างของขดลวดเขา้ กับแอมมเิ ตอร์ 2). จับขดลวดให้อยู่กบั ท่ี แลว้ ปฏบิ ัติดังนี้ โดยขณะทดลองให้สังเกตการเบนของเข็มแอมมิเตอร์ 2.1 นำปลายข้างหนึ่งของแท่งแมเ่ หล็กเคลือ่ นที่เข้ามาใกล้ๆ ขดลวด 2.2 จับแท่งแมเ่ หล็กเคลื่อนทเ่ี ข้าและออกจากขดลวด โดยเรมิ่ จากการเคล่อื นที่แบบช้าๆและเพม่ิ ความเร็วมากข้ึน 2.3 นำแท่งแม่เหล็กเคล่อื นท่ีเขา้ ไปในขดลวดแลว้ หยุดนิ่ง 3). จบั แทง่ แมเ่ หลก็ ใหอ้ ยู่กบั ที่ แล้วปฏิบัติดงั น้ี โดยขณะทดลองให้สังเกตการเบนของเขม็ แอมมเิ ตอร์ 3.1 นำขดลวดเคลือ่ นทีเ่ ขา้ มาใกลๆ้ ปลายของแท่งแม่เหล็ก 3.2 นำขดลวดเคลื่อนท่ีเขา้ และออกจากแท่งแมเ่ หลก็ อย่างรวดเร็ว 4).บนั ทกึ ผลการทดลอง 11. ครใู ชเ้ ทคนิคการบรรยายเพ่ืออธิบายเนือ้ หาเรื่องราวการเกดิ ปฏิกิริยาโฟโตอเิ ลก็ ตรกิ (Photoelectric Effect) ทีเ่ ปน็ ปฏกิ ิริยาทีเ่ กิดจากแสงไปตกกระทบบนพื้นผิวของโลหะ ซง่ึ ทำให้อเิ ล็กตรอนบนผวิ ของโลหะหลุด ออกมาได้ เรานำหลกั การน้มี าผลติ เซลลส์ รุ ยิ ะ (Solar Cell) ซงึ่ เปน็ ส่ิงประดษิ ฐท์ าง Electronic ทสี่ ร้างขึน้ เพือ่ ใช้ เป็นอุปกรณ์สำหรบั เปลยี่ นพลงั งานแสงอาทติ ยใ์ หเ้ ป็นพลงั งานไฟฟา้ โดยการนำสารกงึ่ ตัวนำทน่ี ยิ มใชใ้ นปจั จุบันคอื ซิลคิ อน เนื่องจากมีราคาถกู และมมี ากบนพื้นโลกมาผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่อื ผลติ ให้เปน็ แผน่ บาง บรสิ ทุ ธ์ิ และเมอื่ แสงตกกระทบบนแผ่นเซลล์สรุ ยิ ะ ทำให้รงั สีของแสงซึง่ เป็นอนุภาคของพลังงานทเี่ รยี กว่า โปรตอน (Proton) เกิดการถ่ายเทพลังงานให้กบั อเิ ล็กตรอน (Electron) ในสารกง่ึ ตัวนำจนกระทงั่ มีพลังงานมากพอท่จี ะ หลดุ ออกมาจากแรงดงึ ดูดของอะตอม (Atom) และเคลอ่ื นท่ไี ดอ้ ยา่ งอิสระ ซึ่งเมอ่ื อเิ ล็กตรอนเคล่ือนท่คี รบวงจรก็ จะทำใหเ้ กิดไฟฟ้ากระแสตรงข้ึน

128 12.ครูใชเ้ ทคนิคการเรียนรแู้ บบอภิปราย เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นมีส่วนร่วมในการเรยี นการสอนโดยครูและผ้เู รยี น รว่ มกันอภปิ รายเรือ่ งประโยชน์ของการนำเซลลส์ รุ ยิ ะมาใชใ้ นชีวติ ประจำวัน 13.ครใู ช้สื่อ Power Point ประกอบการสอนเรือ่ งอุปกรณ์ไฟฟา้ ซง่ึ ไดแ้ ก่ 1).สายไฟ (Wire) 1.1 สายทนความรอ้ น 1.2 สายไฟคู่ 1.3 สายไฟเดีย่ ว 1.4 สายไฟคูอ่ อ่ น 2). สวติ ช์ (Switch) 2.1 สวิตช์ทางเดียว 2.2 สวิตช์ 2 ทาง 2.3 สวติ ชอ์ ตั โนมัติ 3). ฟิวส์ (Fuse) 3.1 ฟวิ สเ์ สน้ 3.2 ฟวิ ส์แผน่ 3.3 ฟิวส์กระเบอ้ื ง 3.4 ฟวิ ส์หลอด 4). สะพานไฟ (Cut Out) 5). เต้ารับและเต้าเสยี บ (Socket) 5.1 เต้าเสยี บแบบ 2 ขา 5.2 เตา้ เสียบแบบ 3 ขา 14. ระบบไฟฟ้า ซึ่งแบ่งออกเปน็ 2 ระบบ ดงั นี้ 1). ระบบ 1 เฟส จะมสี ายไฟอยู่ 2 เสน้ ที่ทำหน้าที่ส่งสายไฟฟ้าเข้าไปในระบบ ประกอบดว้ ย

129 ➤ สาย Line (ไลน์) ซ่ึงเป็นสายไฟเส้นที่มกี ระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เส้น เขียนแทนด้วยตวั อักษร L ➤ สาย Neutron (นวิ ตรอน) หรอื สายศนู ย์ ซ่ึงเป็นสายไฟทไี่ มม่ ีกระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เส้น เขยี นแทน ด้วยตวั อกั ษร N 2). ระบบ 3 เฟส นนั้ มี 2 แบบ คอื แบบท่มี ี 3 สาย และแบบท่มี ี 4 สาย ระบบท่กี ารไฟฟ้าฝ่ายผลิต จา่ ยมายงั อาคารบ้านเรือนทว่ั ไปจะมสี ายไฟอยู่ 4 เสน้ ท่ีทำหนา้ ท่ีส่งสายไฟฟ้าเข้าไปในระบบ ประกอบดว้ ย ➤ สาย Line (ไลน์) ซ่งึ เปน็ สายไฟเสน้ ทีม่ ีกระแสไฟฟา้ จำนวน 3 เส้น ➤ สาย Neutron (นวิ ตรอน)หรือสายศนู ย์ ซ่ึงเป็นสายไฟที่ไมม่ กี ระแสไฟฟา้ จำนวน 1 เสน้ 15.ครแู สดงรปู ภาพผา่ นสือ่ Power Point ประกอบการอธบิ ายการสง่ ไฟฟา้ ดังน้ี

130 16.ครแู สดงรูปภาพผา่ นสือ่ Power Point ประกอบการอธบิ ายการต่อสายไฟฟา้ ภายในบ้าน 17.ผเู้ รียนบอกโทษของการใชไ้ ฟฟา้ อยา่ งไม่ระมัดระวัง และบอกปรมิ าณกระแสไฟฟ้าที่แตกตา่ งกนั มีผลตอ่ ร่างกายแตกตา่ งกนั อย่างไร 18.ครใู ช้เทคนิดวธิ ีการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นได้ร่วมมอื และ ชว่ ยเหลือกนั ในการเรยี นรโู้ ดยปฏบิ ัตกิ จิ กรรมดังน้ี 1) แบง่ กล่มุ ผเู้ รียนออกเปน็ 4 กลุ่ม 2) แต่ละกลุ่มสืบคน้ ข้อมูลและภาพประกอบท่ีน่าสนใจ ในหวั ขอ้ วงจรไฟฟ้าแบบ 1 เฟสวงจรไฟฟ้าแบบ 3 เฟส การต่อวงจรไฟฟา้ ภายในบา้ น และอันตรายจากกระแสไฟฟา้ นำมาทำเปน็ แผ่นภาพ 3) สง่ ตวั แทนรว่ มกนั อธิบายหนา้ ชน้ั เรยี น 19.ครใู ช้สอ่ื Power Point อธบิ ายเรอื่ งกำลังไฟฟา้ (Electric Power) และสตู รการคำนวณ 20.ครูสาธิตตวั อย่างการคำนวณคา่ พลังงานไฟฟา้ ดังนี้

131

132 21.ครูอธิบายแสดงภาพตัวอย่างบิลค่าไฟฟ้า และอธบิ ายค่าไฟฟ้าท่เี ราจะต้องจา่ ย ซงึ่ มอี งค์ประกอบอ่นื ๆ ดังน้ี 22.ผเู้ รียนนำใบแจง้ คา่ ไฟฟ้าของบา้ นตนเองจำนวน 12 เดอื นติดต่อกัน แลว้ ดำเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้ 1). พจิ ารณาองค์ประกอบตา่ งๆ ของใบแจง้ คา่ ไฟฟ้าตามที่ไดศ้ ึกษามาแล้ว 2). ผู้เรียนนำค่าไฟฟ้าทีจ่ า่ ยแตล่ ะเดอื นมาเขียนกราฟ โดยให้ชื่อเดือนอยแู่ กนนอนและคา่ ไฟฟ้าอยูแ่ กน ตง้ั จากนนั้ พิจารณาว่าเดือนใดค่าไฟฟ้ามากท่ีสุด และเดอื นใดค่าไฟฟา้ นอ้ ยทีส่ ุด 3). แบง่ กลุ่มเพ่อื อภิปรายรว่ มกัน โดยสงั เกตกราฟแสดงค่าไฟฟา้ ของเพอ่ื นแตล่ ะคนวา่ มแี นวโน้ม เหมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร 4). หาสาเหตุว่าในบ้านของเรามีกิจกรรมอะไร หรอื มีการใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าชนิดใดมาก แล้วลองคน้ หา ค่ากำลงั ไฟฟา้ ของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าประเภทตา่ งๆ ท่ใี ช้จากเนมเพจ แล้ววิเคราะห์หาสาเหตทุ ี่ทำใหค้ า่ ไฟฟา้ สูงในเดอื น ทต่ี อ้ งจ่ายค่าไฟฟา้ มากทีส่ ุด 5). หาแนวทางประหยดั พลงั งานไฟฟ้าร่วมกนั และอภิปรายผลรว่ มกันหนา้ ชนั้ เรยี น 23.ครอู ภปิ รายเพิ่มเติมวา่ ถา้ ผเู้ รียนมกี ารกำหนดรายไดใ้ ห้เพียงพอกับรายจา่ ยจะเปน็ ส่งิ ที่สำคัญและจำเปน็ มาก ทุกคนสามารถนำเงนิ ที่เก็บสะสมไวม้ าใช้ไดอ้ ยา่ งสะดวกสบายเพอื่ การดำรงชีวิตตอ่ ไป หากแตล่ ะบคุ คลมีเงิน ออมเกบ็ สะสมไว้ เพือ่ เป็นทุนสำรองไวใ้ ช้จา่ ยสำหรบั วยั เกษียณ วิธีทด่ี ที ่ีสดุ คือ การวางแผนเพื่อการเกษยี ณอายไุ ว้ ตง้ั แต่เรม่ิ ต้นอยา่ งมีระบบตามขัน้ ตอน ซึง่ แต่ละคนสามารถกำหนดแผนงานและขนั้ ตอนแตกต่างกนั ออกไปตาม ความเหมาะสมกับสภาพการดำรงชีวิต 24.ครูสอนเพิ่มเตมิ เกยี่ วกบั การทำหน้าทีเ่ ป็นพลเมืองดขี องสงั คมไทย รู้จักเอื้อเฟ้อื เผ่ือแผ่ต่อผอู้ ื่น สรปุ และการประยกุ ต์ 25.ครูและผู้เรยี นช่วยกันสรปุ เนอ้ื หาทเ่ี รียน 26.ผู้เรียนทำกจิ กรรมใบงาน และแบบประเมินผลการเรยี นรู้ 27.ผเู้ รียนวเิ คราะห์เนื้อหาการเรียนการสอนและหาข้อสรุปเปน็ ความคดิ รวบยอดเพือ่ นำไปประยกุ ต์ใช้ ตอ่ ไป พร้อมขอ้ เสนอแนะตนเอง 28.ประเมินธรรมชาตขิ องผเู้ รยี น 29.ครูแนะนำเพมิ่ เติมใหผ้ ู้เรียนเขยี นบญั ชแี สดงรายรบั -รายจ่ายในชวี ติ ประจำวัน เพ่อื สร้างนสิ ัยความ พอเพยี งให้แก่ตนเองและครอบครัว ขน้ั สรปุ และการประยุกต์ 30.ครแู ละผู้เรียนร่วมกนั สรปุ เนอื้ หาทเี่ รยี น 31.ผู้เรยี นทำกจิ กรรมใบงาน

133 32.สรปุ โดยการถาม-ตอบ เพอ่ื ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวนั และประเมินผู้เรยี นตามแบบฟอร์มตอ่ ไปน้ี ชอื่ ผูเ้ รียน ประสบการณ์พื้นฐานการเรยี นรู้ วธิ ีการเรยี นรู้ ความรู้ ทักษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. 6. สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรยี น วชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื งานธรุ กจิ และบรกิ าร ของสำนกั พมิ พ์เอมพนั ธ์ 2.รูปภาพ 3.แผน่ ใส 4.ส่อื PowerPoint , วดิ ีทัศน์ 5.แบบประเมินผลการเรยี นรู้ 6.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 7.หลักฐานการเรยี นรู้ 1.บันทกึ การสอนของผูส้ อน 2.ใบเช็ครายชอ่ื 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวดั และประเมินผล 8.1 วธิ กี าร 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมส่งเสรมิ คณุ ธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน

134 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เครือ่ งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุม่ (โดยผเู้ รียน) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝกึ ปฏิบัติ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและผู้เรยี นร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑ์ผ่านการสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี ่องปรับปรุง 2. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50 % ข้ึนไป) 3. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรมู้ เี กณฑผ์ ่าน และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนข้ึนอยู่ กบั การประเมินตามสภาพจรงิ

135 9.บนั ทึกผลหลงั การจัดการเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลังการจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปญั หาท่พี บ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแกป้ ญั หา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

136 แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 8 หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพ สอนครัง้ ที่ 15-16 (ชว่ั โมงท่ี 44-47) รหสั วชิ า 2000-1303 ชื่อวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร ท-ป-น..(1-2-3) ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ทฤษฏี 2 ชม. ปฏบิ ตั ิ 2 ชม. 1. สาระสำคัญ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคล่ืนตามขวาง ประกอกบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กท่ีมีการส่ันใน แนวตง้ั ฉากกันและอยบู่ นระนาบต้งั ฉากกบั ทศิ ทางเคลอ่ื นทขี่ องคลนื่ โดยคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเกดิ จากการรบกวนทาง แม่เหล็กไฟฟ้าโดยการทำให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กเกิดการเปล่ียนแปลงทำให้ เกิดการเหน่ียวนำเป็น สนามไฟฟ้าได้ การศึกษาทฤษฎแี ละการทดลองทเี่ กีย่ วข้องกบั แม่เหล็กไฟฟา้ ของแมกซ์เวลล์และเฮริตซ์จงึ ชว่ นทำให้ เราเข้าใจหลักการทเี่ กีย่ วขอ้ งได้ดียง่ิ ข้ึน 2. สมรรถนะประจำหน่วย 2.1 แสดงความร้แู ละปฏิบัตเิ กยี่ วกับหลกั การคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ 2.2 แสดงความร้แู ละปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั หลกั การทำงานของโทรศพั ท์แบบไดนามิก 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 อธิบายความหมายและคณุ สมบตั ิของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้ 3.2 อธบิ ายการเกิดคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าได้ 3.3 อธิบายเกี่ยวกบั สเปกตรัมของการเกดิ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าได้ 3.4 บอกคลน่ื ทีใ่ ชใ้ นระบบสอื่ สารโทรคมนาคมได้ 3.5 บอกประโยชนข์ องคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ 3.6 แสดงออกดา้ นการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยดนิ่งท่ีจะแก้ปญั หา ความซอ่ื สัตย์ ความรว่ มมือ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ทฤษฎีคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ของแมกซ์เวลล์ 4.2 การทดลองของเฮิรตซ์ 4.3 สเปกตรมั คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ 4.4 คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชวี ิตประจำวัน

137 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (แบบ MIAP) (สัปดาหท์ ่ี 15-16) ขนั้ สนใจปัญหา (Motivation) 1. ครูชี้แจงวตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้ เรอื่ ง คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ใหน้ กั เรียนทราบ 2. ใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยการเรียนรทู้ ี่ 8 คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 3. ครูทบทวนเรอ่ื งแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ โดยการซกั ถามนกั ศกึ ษาดงั น้ี 1) คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจำวนั ได้อย่างไรบา้ ง 2) คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มีโทษต่อร่างกายของสง่ิ มีชวี ิตหรือไม่ อยา่ งไร 4. นกั เรยี นช่วยกันตอบคำถาม ขน้ั ให้เน้อื หา (Information) 1. ครูสอนและอธบิ าย เรือ่ ง คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยใช้โปรแกรม Microsoft Power Point ส่ือ วีซีดี และหนงั สอื เรยี นประกอบการสอน 2. ครูยกตัวอย่าง ประโยชน์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่น่าสนใจให้นักเรียนฟัง และร่วมกันอภิปราย เกย่ี วกับประโยชนข์ องคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ 3. ครเู ปดิ โอกาสให้นกั เรยี นซักถามขอ้ สงสัย ข้ันพยายาม (Application) 1. นักเรียนทำกิจกรรมที่ 8.1 ขณะนักเรียนทำกิจกรรมครูจะสงั เกตการทำงานกล่มุ 2. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั เฉลยกจิ กรรม และร่วมอภปิ รายกบั นกั เรียน 2. นักเรียนตอบแบบฝึกหัดท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยท่ี 8 ในหนังสือเรียนจนเสร็จ และนำสง่ ครผู ู้สอนตามเวลาที่กำหนด 3. ครูเปิดโอกาสให้นกั เรยี นซักถามขอ้ สงสัยระหวา่ งทำงาน และสงั เกตการปฏบิ ตั ิงานของนกั เรียน ข้ันสำเรจ็ ผล (Progress) 1. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันตรวจเฉลยแบบฝึกหัดท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 8 พรอ้ ม กับบันทกึ คะแนนท่ไี ด้ 2. นกั เรยี นทำขอ้ สอบเก็บคะแนนหน่วยท่ี 8 คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 5. ครตู รวจและบนั ทึกคะแนนของนักเรยี นทไี่ ดจ้ ากการทำแบบทดสอบหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 8 พร้อมแจ้ง คะแนนใหน้ ักเรียนทราบ

138 6. สอื่ และแหลง่ การเรยี นรู้ 6.1 ใบความรู้ ท่ี 8 6.2 ใบกจิ กรรมที่ 8.1 6.3 แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี นหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 8 6.4 ขอ้ สอบเก็บคะแนนหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 8 6.5 หนงั สือเรยี นวิชาวิทยาศาสตรเ์ พื่อการพัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร 6.6 วซี ีดี 6.7 สไลด์นำเสนอเน้อื หาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลักฐานการเรยี นรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการทำแบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี นหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 8 - ผลคะแนนสอบหน่วยการเรียนร้ทู ี่ 8 7.2 หลักฐานการปฏบิ ตั ิงาน - ผลการทำกิจกรรมท่ี 8.1 - ผลการตอบแบบฝึกหัดทา้ ยหน่วยและแบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยที่ 8 - สมดุ เชค็ ชอื่ การเขา้ เรยี นในวชิ าและสมุดบันทึกการส่งงาน 8. การวดั และประเมินผล 8.1 วธิ ีการ - สังเกตการปฏิบตั กิ จิ กรรมท่ี 8.1 - ตรวจแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียน แบบฝึกหัดท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยท่ี 8 ในหนงั สือเรยี น - ตรวจข้อสอบเกบ็ คะแนนหน่วยท่ี 8 - สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่ - สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล - สงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เครอ่ื งมือ - ใบกจิ กรรมท่ี 8.1

139 - แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 8 ใน หนังสอื เรียน - ขอ้ สอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 8 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล - แบบประเมินพฤตกิ รรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - แบบทดสอบหลังเรยี น ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - ขอ้ สอบเก็บคะแนนหน่วยที่ 8 ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 50% ผา่ นเกณฑ์ - แบบสงั เกตการปฏิบัตกิ จิ กรรมกลุ่ม ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ต้องได้ คะแนนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

140 9. บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรยี นรู้ 9.1 ขอ้ สรปุ หลังการจัดการเรยี นรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปญั หาทพ่ี บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแกป้ ญั หา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

ใบความรทู้ ี่ 8 141 หน่วยที่ 8 หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพ สอนคร้ังท่ี 15-16 (ชั่วโมงที่ 44-47) รหัสวชิ า 20000-1303 เวลา 4 ชม. ช่อื วชิ า วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร ชือ่ เร่อื ง คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.1 จุดประสงค์ทว่ั ไป 1) อธบิ ายความหมายและคุณสมบตั ขิ องคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ได้ 2) อธิบายการเกดิ คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ได้ 3) อธิบายเกีย่ วกบั สเปกตรัมของการเกดิ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้ 1.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1) บอกคลนื่ ทีใ่ ชใ้ นระบบสื่อสารโทรคมนาคมได้ 2) บอกประโยชนข์ องคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ได้ 3) แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไมห่ ยุดน่ิงทจ่ี ะแกป้ ัญหา ความซือ่ สัตย์ ความรว่ มมอื 2. สมรรถนะ 1) แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเก่ียวกบั หลักการคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า 2) แสดงความรูแ้ ละปฏิบตั เิ ก่ียวกบั หลักการทำงานของโทรศพั ท์แบบไดนามกิ 3. เนอื้ หาสาระ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation (EM radiation หรือ EMR)) เป็นคล่ืนชนิดหน่ึงที่ไม่ ตอ้ งใชต้ ัวกลางในการเคลื่อนที่ เช่น คลนื่ วทิ ยุ (Radio waves) คล่ืนไมโครเวฟ (Microwaves) ปัจจุบันมีการใช้คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในหลาย ๆ ด้าน เช่น การติดต่อส่ือสาร (มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เรดาร์ ใยแกว้ นำแสง) ทางการแพทย์ (รังสเี อกซ์) การทำอาหาร (คลืน่ ไมโครเวฟ) การควบคมุ รีโมท (รังสอี นิ ฟราเรด) คุณสมบตั ิของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า คือเป็นคลืน่ ท่เี กิดจากคลื่นไฟฟ้าและคล่นื แมเ่ หลก็ ตั้งฉากกนั และเคลื่อนท่ี ไปยังทิศทางเดียวกัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเดินทางได้ด้วยความเร็ว 299,792,458 เมตร/วินาที หรือ เทียบเท่ากบั ความเรว็ แสง

142 คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทำ ให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กมีการเปล่ียนแปลง เม่ือสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิด สนามแมเ่ หล็ก หรอื ถ้าสนามแมเ่ หล็กมีการเปลยี่ นแปลงกจ็ ะเหนี่ยวนำใหเ้ กิดสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าเปน็ คล่นื ตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแมเ่ หล็กท่ีมกี ารสั่นในแนวต้ังฉาก กัน และอยู่บนระนาบตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนท่ีของคล่ืน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่เคล่ือนที่โดยไม่อาศัย ตวั กลาง จงึ สามารถเคลือ่ นที่ในสญุ ญากาศได้ สเปกตรัม (Spectrum) ของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบดว้ ยคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าทีม่ ีความถีแ่ ละความยาว คลื่นแตกต่างกัน ซึ่งครอบคลุมต้ังแต่ คล่ืนแสงที่ตามองเห็น มองเห็น อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด คล่ืนวิทยุ โทรทัศน์ ไมโครเวฟ รงั สีเอกซ์ รังสีแกมมา เป็นต้น คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถ่ีต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้างเราเรียกช่วงความถ่ีเหล่านี้ว่า \"สเปกตรัมคล่ืน แมเ่ หล็กไฟฟา้ \" และมีชอ่ื เรยี กช่วงต่าง ๆ ของความถต่ี า่ งกันตามแหล่งกำเนดิ และวธิ กี ารตรวจวัดคลน่ื สเปกตรมั คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดต่าง ๆในสเปกตรัมมีสมบัติที่สำคัญเหมือนกันคือ เคล่ือนท่ีไปด้วยความเร็วเท่ากับ แสงและมีพลังงานส่งผ่านไปพร้อมกับคลื่น คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างข้ึนมีช่ือ เรยี กดงั น้ี 1. คลืน่ วทิ ยุ คล่นื วิทยมุ คี วามถ่ีชว่ ง 104 - 109 Hz( เฮิรตซ์ ) ใช้ในการส่อื สาร คลื่นวิทยุมีการสง่ สัญญาณ 2 ระบบคือ 1.1 ระบบเอเอ็ม (A.M. = amplitude modulation) ระบบเอเอ็ม มีช่วงความถ่ี 530 - 1600 kHz( กิโลเฮิรตซ์ ) ส่ือสารโดยใช้คลื่นเสียงผสมเข้าไปกับ คลน่ื วทิ ยุเรยี กว่า \"คลื่นพาหะ\" โดยแอมพลิจูดของคล่ืนพาหะจะเปล่ยี นแปลงตามสญั ญาณคลืน่ เสียง ในการส่งคลื่น ระบบ A.M. สามารถส่งคล่ืนได้ทั้งคลื่นดินเป็นคลื่นทีเ่ คล่อื นที่ในแนวเส้นตรงขนานกับผิวโลกและคลนื่ ฟ้าโดยคลื่น จะไปสะท้อนท่ีช้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับลงมา จึงไมต่ อ้ งใชส้ ายอากาศตง้ั สงู รับ

143 1.2 ระบบเอฟเอ็ม (F.M. = frequency modulation) ระบบเอฟเอ็ม มีช่วงความถี่ 88 - 108 MHz (เมกะเฮิรตซ์) สื่อสารโดยใช้คลื่นเสียงผสมเข้ากับคล่ืนพาหะ โดย ความถ่ีของคลื่นพาหะจะเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณคลืน่ เสียง ในการส่งคลน่ื ระบบ F.M. สง่ คล่ืนได้เฉพาะคล่นื ดิน อยา่ งเดียว ถ้าต้องการส่งให้คลุมพนื้ ทีต่ ้องมีสถานถี า่ ยทอดและเครือ่ งรบั ตอ้ งตั้งเสาอากาศสงู ๆ รบั 2. คลืน่ โทรทัศน์และไมโครเวฟ คล่ืนโทรทัศน์และไมโครเวฟมีความถ่ีช่วง 108 - 1012 Hz มีประโยชน์ในการสื่อสาร แต่จะไม่สะท้อนที่ ชนั้ บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แต่จะทะลผุ ่านช้ันบรรยากาศไปนอกโลก ในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์จะต้องมี สถานีถ่ายทอดเป็นระยะ ๆ เพราะสญั ญาณเดินทางเป็นเสน้ ตรง และผิวโลกมีความโค้ง ดังนั้นสญั ญาณจึงไปได้ไกล สุดเพียงประมาณ 80 กิโลเมตรบนผิวโลก อาจใช้ไมโครเวฟนำสัญญาณจากสถานีส่งไปยังดาวเทียม แล้วให้ ดาวเทยี มนำสญั ญาณสง่ ต่อไปยงั สถานรี บั ท่อี ยู่ไกล ๆ เนื่องจากไมโครเวฟจะสะท้อนกับผิวโลหะได้ดี จึงนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจหาตำแหน่งของอากาศ ยาน เรียกอุปกรณ์ดังกล่าวว่า เรดาร์ โดยส่งสัญญาณไมโครเวฟออกไปกระทบอากาศยาน และรับคลื่นที่สะท้อน กลบั จากอากาศยาน ทำให้ทราบระยะห่างระหวา่ งอากาศยานกับแหลง่ สง่ สัญญาณไมโครเวฟได้ 3. รังสีอนิ ฟาเรด (infrared rays) รังสีอินฟาเรดมีช่วงความถ่ี 1011 - 1014 Hz หรือความยาวคล่ืนตั้งแต่ 10-3 - 10-6 เมตร ซ่ึงมีช่วงความถี่ คาบเก่ียวกับไมโครเวฟ รังสีอินฟาเรดสามารถใช้กบั ฟิล์มถ่ายรูปบางชนิดได้ และใช้เป็นการควบคุมระยะไกลหรือ รีโมทคอนโทรลกบั เคร่ืองรับโทรทศั นไ์ ด้ 4. แสง (light) แสงมีช่วงความถ่ี 1014Hz หรือความยาวคล่ืน 4x10-7 - 7x10-7 เมตร เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประสาท ตาของมนษุ ย์รับได้ สเปคตรมั ของแสงสามารถแยกได้ดงั น้ี

144 สี ความยาวคล่นื (nm) มว่ ง 380-450 น้ำเงนิ 450-500 เขียว 500-570 เหลือง 570-590 แสด 590-610 แดง 610-760 5. รงั สอี ัลตราไวโอเลต (Ultraviolet rays) รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง มีความถ่ีช่วง 1015 - 1018 Hz เป็นรังสีตามธรรมชาติส่วนใหญ่มา จากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ซ่ึงทำให้เกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศช้ันไอโอโนสเฟียร์ รังสี อัลตราไวโอเลต สามารถทำให้เช้อื โรคบางชนิดตายได้ แต่มีอนั ตรายต่อผิวหนงั และตาคน 6. รงั สีเอกซ์ (X-rays) รังสีเอกซ์ มีความถ่ีชว่ ง 1016 - 1022 Hz มีความยาวคลื่นระหว่าง 10-8 - 10-13 เมตร ซ่ึงสามารถทะลุส่ิงกีด ขวางหนา ๆ ได้ หลกั การสร้างรังสีเอกซ์คือ การเปล่ียนความเร็วของอเิ ลก็ ตรอน มีประโยชนท์ างการแพทย์ในการ ตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย ในวงการอุตสาหกรรมใช้ในการตรวจหารอยร้าวภายในช้ินส่วน โลหะขนาดใหญ่ ใชต้ รวจหาอาวธุ ปืนหรือระเบดิ ในกระเปา๋ เดินทาง และศึกษาการจดั เรยี งตัวของอะตอมในผลึก 7. รังสแี กมมา ( -rays) รงั สีแกมมามีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้ามีความถ่ีสูงกวา่ รังสีเอกซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยา นิวเคลยี ร์และสามารถกระตุ้นปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี รไ์ ด้ มอี ำนาจทะลุทะลวงสงู 4. เอกสารอ้างอิง นวลอนงค์ อชุ ุภาพ. (2559). วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ :ศูนย์หนงั สอื เมอื งไทย.

145 ใบกจิ กรรม ท่ี 8.1 หน่วยที่ 8 สอนครงั้ ท่ี 16 (ชัว่ โมงที่ 46) หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ เวลา 30 นาที รหสั วิชา 20000-1303 ช่ือวิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชีพธุรกิจและบรกิ าร ชอ่ื เรอื่ ง โทรศพั ทแ์ บบไดนามกิ 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม - อธิบายการทำงานของลำโพงเสียงแบบขดลวดเคล่ือนท่ีทำหน้าท่ีได้ทั้งเคร่ืองส่ง (ไมโครโฟนแบบไดนามิก) และเคร่อื งรบั ได้ 2. สมรรถนะ - แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั หลักการทำงานของโทรศพั ทแ์ บบไดนามกิ 3. อปุ กรณ์ 1) ไดนามกิ ไมโครโฟน 2 ตัว 2) สายพร้อมทเี่ สยี บ 2 สาย 4. ลำดบั ขัน้ ตอนการปฏบิ ัติกจิ กรรม 1) เสยี บสายไฟตอ่ ลำโพงตวั ที่ 1 เขา้ กับลำโพงตัวที่ 2 2) คนหนง่ึ พดู ทลี่ ำโพงตวั ท่ี 1 แลว้ ให้อกี คนฟังลำโพงตัวท่ี 2 3) ให้คนฟังเปลยี่ นเปน็ ผพู้ ดู คนพดู เปล่ียนเปน็ คนฟัง 5. สรุปผลการทดลอง 6. การประเมนิ ผล - ประเมินจากผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์ 7. เอกสารอา้ งอิง /เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม นวลอนงค์ อชุ ุภาพ. (2559). วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ :ศูนย์หนงั สอื เมืองไทย.

146 การวัดผลประเมินผลการเรียน 1. วิธกี ารดำเนินการวดั ผลประเมินผล จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน 1.1. สดั สว่ นคะแนน 80 : 20 1.2. วิธวี ัด 1.2.1. วดั ประเมนิ ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรม 1.2.2. วัดประเมินดา้ นผลสัมฤทธิ์ 1.2.3. การทดสอบก่อนเรียน หลงั เรียนประจำแต่ละหนว่ ย และการทดสอบปลายภาค 2. เคร่ืองมือวดั 2.1. แบบประเมินคุณธรรมจรยิ ธรรม 2.2. แบบทดสอบกอ่ นเรียน/หลงั เรียนประจำหนว่ ย 2.3 แบบวัดผลสัมฤทธกิ์ ารเรยี น (ขอ้ สอบปลายภาค) 3. เกณฑ์การประเมนิ 3.1. การประเมินคณุ ภาพ 3.1.1. ด้านคณุ ธรรมจริยธรรม 3.1.2. ดา้ นผลสมั ฤทธ์ิ การประเมนิ คณุ ภาพ ได้ระดบั ดี เม่ือมาเข้าช้นั เรียนตามตารางการเรียนทุกคร้ัง ทันเวลา แต่งกายเรียบรอ้ ย ถูกต้อง ตามระเบียบของทางวิทยาลัย มีความพยายามและรับผิดชอบ กระตือรือร้น ขยัน อดทน ต้ังใจเรียน ส่งงาน ครบทุกชิ้น ตรงต่อเวลาท่ีกำหนด และมีความถูกต้อง ผลงานมีความประณตี มีความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ ให้ความ เคารพ ให้เกียรตเิ ชอ่ื ฟังคำสอนของครู และรับฟงั ความคิดเห็นของเพ่ือน ได้ระดับ พอใช้ เม่ือไม่มาเข้าชั้นเรียนตรงตามตารางครบทุกครั้ง มาสายบ้าง แต่งกายไม่ เรียบร้อย ความพยายามน้อย ไม่รบั ผิดชอบต่อการเรียนและการทำงานที่ได้รบั มอบหมายบ้าง ไม่สอบถามหรือ ขอรบั คำปรกึ ษาจากครูผู้สอนเมอ่ื เรียนไมเ่ ข้าใจหรือประสบปญั หา ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ขยัน มีความอดทน น้อย ส่งงานไม่ตรงตามกำหนดเวลา ผลงานหรือชื้นงานไม่ถูกต้อง ขาดความประณีต มีความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ ปานกลาง ไม่คอ่ ยให้เกียรติและให้ความเคารพตอ่ ครู อาจปรบั ปรงุ แก้ไขบ้างแต่ตอ้ งได้รบั การตักเตอื น ไม่รับฟัง ความคดิ เหน็ ของเพ่ือน ได้ระดับ ต้องปรับปรงุ ขาดเรียนบ่อยมากจนครูต้องติดตาม มาเรียนสายเปน็ ประจำ แตง่ กาย ไม่เรียบร้อย ผิดระเบียบของทางวิทยาลัย ไม่รบั ผิดชอบต่อการเรียนและงานที่ได้รับมอบหมายจากครูผู้สอน ไม่ สอบถามหรือไมข่ อรับคำปรึกษาจากครูเมื่อไม่เข้าใจหรอื ประสบปัญหาในการเรียน ไม่มีความกระตือรือรน้ ต่อการ เรียน เฉ่ือยชา ไม่มีความอดทน ไม่ส่งงานหรือส่งงานน้อยครั้งและล่าช้า ช้ินงานไม่ถูกต้องและไม่มีความ

147 ประณีต ไม่มีความคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์ คัดลอกงานจากผ้อู ื่น ไมใ่ ห้เกียรติและไมใ่ หค้ วามเคารพเชื่อฟังครูแม้ได้รับ การตักเตอื นหลายคร้ัง 3.2. ผลการประเมิน ดงั น้ี ช่วงคะแนน ระดบั ผลการเรยี น 80 – 100 4 75 - 79 3.5 70 – 74 3 65 – 69 2.5 60 – 64 2 55 – 59 1.5 50 – 54 1 0 – 49 0


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook