Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

Published by sirinun2563, 2021-10-26 03:19:47

Description: แผนการสอนวิทย์ฯบริการ-2-2564

Search

Read the Text Version

51 .................................................................................................................................................................................... 15) ลายพมิ พ์ DNA นำไปใชป้ ระโยชน์อยา่ งไร .................................................................................................................................................................................... 5. เอกสารอา้ งอิง ภาวณิ ี รัตนคอน และคณะ (2562). วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาอาชีพธุรกจิ และบริการ. พมิ พ์คร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพเ์ อมพนั ธ์. 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝกึ หดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ) เฉลยแบบฝกึ หดั หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 ความหลากหลายทางชวี ภาพ 1) เทคโนโลยชี ีวภาพคอื อะไร ตอบ การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ปรับปรุง เปลย่ี นแปลงส่ิงมีชวี ิต หรอื ช้ินสว่ นของส่งิ มชี ีวติ ให้มลี ักษณะ และประโยชน์ตามตอ้ งการ 2) พนั ธวุ ิศวกรรมคืออะไร ตอบ การนำความรสู้ าขาพันธศุ าสตรม์ าประยุกต์ใช้ในด้านเทคโนโลยชี ีวภาพใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ มนษุ ย์ 3) ยกตัวอย่างพันธวุ ิศวกรรมทใี่ ช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ตอบ การโคลน การเพาะเลีย้ งเน้ือเย่อื และการพมิ พด์ ีเอ็นเอ 4) DNA สายผสมเกิดข้ึนได้อยา่ งไร ตอบ การตัดต่อยีนหรือ DNA จากสง่ิ มีชีวิตนำไปต่อเช่ือมกับยีนหรอื DNA ของส่ิงมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เกิด เป็นยีนหรอื DNA สายผสม 5) GMOs คืออะไร ตอบ GMOs ย่อมาจาก Genetic modified organisms คือ สิ่งมีชีวิตเกิดจากกระบวนการพันธุ วศิ วกรรม เรยี กวา่ สิง่ มชี ีวติ ดัดแปลงพนั ธุกรรม 6) กระบวนการสรา้ ง DNA สายผสมมขี นั้ ตอนอย่างไร ตอบ 1. การตัดยีน 2. การสร้าง DNA สายผสม 3. การจำลองยนี เมอื่ แบคทีเรยี เพ่มิ จำนวนเรอื่ ย ๆ

52 7) สงิ่ มีชีวิตดดั แปรพนั ธุกรรมมปี ระโยชน์อย่างไร ตอบ ทำให้พืช เช่น ฝ้าย ข้าวโพด มันฝร่ัง ยาสูบ ฯลฯ ท่ีได้รับการถ่ายฝากยีน Bacillus thuingisis มี ความสามารถต้านทานแมลงได้ การนำยีนจากแบคทีเรีย Erwinia bacteria ถ่ายฝากให้ข้าวทำให้ความสามารถ สร้างวิตามิน 8) การโคลน หมายถงึ อะไร ตอบ การสรา้ งสิ่งมชี วี ิตใหม่ซ่งึ มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนส่ิงมีชวี ิตต้นแบบทกุ ประการ 9) การโคลนมวี ธิ ีการอย่างไร ตอบ การนำนิวเคลียสของเซลล์ร่างกายไปใส่ในเซลล์ไข่ที่ดูดเอานิวเคลียสออกไปก่อนแล้ว ด้วย กระบวนการน้เี ซลล์ไข่ท่ีมนี ิวเคลียสของเซลลร์ ่างกายจะพฒั นาไปเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ โดยข้อมูลในสารพันธุกรรม จากนิวเคลยี สของเซลล์ร่างกาย สิง่ มชี ีวติ ตัวใหมจ่ ึงมีลกั ษณะทางพันธุกรรมเหมือนส่งิ มีชีวติ ต้นแบบ 10) การเพาะเลีย้ งเนอ้ื เยอ่ื คืออะไร ตอบ การนำเทคโนโลยีชีวภาพในเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาใช้ในการขยาพันธ์ุพืช โดนการนำส่วนใดส่วนหน่ึง ของพชื มาเล้ียงในอาหารสังเคราะห์ ในสภาพปลอดเชือ้ และมีการควบคุมแสงสวา่ ง อุณหภมู ิ และความชื้น 11) การเพาะเลยี้ งเนอื้ เย่ือใช้ขยายพนั ธพุ์ ชื ชนิดใด ตอบ พืชทีไ่ ดร้ บั การคดั เลอื กและปรบั ปรงุ พนั ธแุ์ ล้ว รวมทง้ั พชื เศรษฐกิจ เชน่ กล้วยไม้ กุหลาบ คาร์เนช่นั 12) การเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยอ่ื มีขัน้ ตอนใด ตอบ 1. การเตรียมเนอื้ เยอื่ 2. เพาะเลยี้ งในอาหารสงั เคราะห์ 3. เนอ้ื เย่ือเจรญิ เตบิ โตในอาหารสงั เคราะห์ 4. เน้อื เยอ่ื ขยายขนาดเพ่มิ ขึ้น 5. ตน้ ออ่ นพรอ้ มทจ่ี ะนำไปปลูกในเรอื นเพาะชำ 13) การผสมเทยี มนยิ มทำในสตั วช์ นิดใด ตอบ สัตวท์ ่ีมีการปฏิสนธิภายใน เช่น วัว กระบอื สุกร และสัตว์ทีม่ ีการปฏิสนธภิ ายนอก เชน่ ปลา 14) ลายพมิ พ์ DNA ของแตล่ ะบุคคลสามารถเปลย่ี นแปลงไดห้ รือไม่ ตอบ ลายพมิ พ์ DNA เป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะบุคคลไมส่ ามารถเปลยี่ นแปลงได้ เพราะ DNA จากทุกเซลล์ใน ร่างกายจะเหมอื นกันหมด 15) ลายพมิ พ์ DNA นำไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร ตอบ ตรวจพิสูจน์ความสมั พนั ธ์ทางสายเลือด ตรวจทางนิติเวชศาสตรเ์ พ่ือหาผกู้ ระทำผิด

53 ใบมอบหมายงาน ท่ี 3.1 หนว่ ยท่ี 2 หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ สอนครัง้ ที่ 6 (ช่ัวโมงที่ 16) รหัสวิชา 20000-1303 เวลา 1 ชม. ชื่อวชิ า วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบรกิ าร ช่อื เรือ่ ง เขยี นแผนผังเทคโนโลยชี ีวภาพด้านต่าง ๆ 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1.1 อธบิ ายการนำเทคโนโลยีชวี ภาพไปใช้ในด้านตา่ ง ๆ ได้ 1.2 อธิบายความหมายของพันธวุ ศิ วกรรมและการนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ 1.3 อธบิ ายวิธกี ารผสมเทยี มได้ 1.4 อธิบายประโยชนแ์ ละวิธีการถ่ายฝากตวั ออ่ นได้ 1.5 แสดงออกดา้ นการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยุดนิง่ ทจ่ี ะแก้ปญั หา ความซ่ือสัตย์ ความร่วมมือ 2. สมรรถนะ - เขียนแผนผังและนำเสนอเกีย่ วกับวธิ ีการ ประโยชน์ และโทษจากการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ (พันธวุ ิศวกรรม การผสมเทียม การถ่ายฝากตัวอ่อน และการโคลนน่งิ ) 3. รายละเอียดของงาน 3.1 ให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มตามความสมัครใจ กลุม่ ละ 4-5 คน และส่งตวั แทนจับฉลากเพ่ือเขียนแผนผัง ความคดิ ดงั หัวขอ้ ต่อไปนี้ 1) พนั ธุวศิ วกรรม 2) การผสมเทยี ม 3) การถ่ายฝากตัวออ่ น 4) การโคลนนิง่ 3.2 แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการศกึ ษา 4. กำหนดเวลาส่งงาน ส่งในชัว่ โมงท่ีเรยี น 5. แนวทางในการปฏิบัตงิ าน - นักเรยี นสามารถศกึ ษาข้อมูลจากหนังสือเรยี น และในอินเตอรเ์ นต็ เพือ่ ใช้เปน็ แนวทางในการทำงาน 6. แหลง่ ขอ้ มูลค้นควา้ เพมิ่ เติม 6.1 หนงั สือเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบรกิ าร 6.2 อินเตอรเ์ น็ต 6.3 ใบความรู้ท่ี 3 6.4 หอ้ งสมุด 7. การประเมินผล - ประเมินจากการทำงานตามใบมอบหมายงาน โดยคะแนนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60% ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์

54 แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 3 หลักสูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ สอนครง้ั ที่ 6-8 (ช่วั โมงที่ 18-24) รหสั วิชา 20000-1303 ช่อื วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชพี ธรุ กิจและบริการ ท-ป-น. (1-2-3) ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ จลุ นิ ทรีย์ในอาหาร ทฤษฎี 2 ชม. ปฏิบัติ 5 ชม. 1. สาระสำคญั จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ แบคทีเรีย ยีสต์ รา สาหร่าย ฯลฯ จลุ ินทรีย์มีประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ เช่น ด้านการแพทย์นำมายาปฏิชีวนะ ด้านการเกษตรนำมาช่วยตรึงแก๊ส ไนโตรเจนในอากาศมาสร้างเป็นสารประกอบไนโตรเจนในดิน ด้านส่ิงแวดล้อมทำให้เกิดการหมนุ เวียนของสารใน ระบบนิเวศ ดา้ นอุตสาหกรรมนำมาใชใ้ นผลติ ภัณฑ์อาหาร เช่น การผลติ ขนมปัง การผลติ เคร่อื งดมื่ ทม่ี ีแอลกอฮอล์ แบคทีเรียพบได้ท่ัวไปในธรรมชาติรวมท้ังอาหาร แบคทีเรียทำให้อาหารหลายประเภท เช่น ผัก ผลไม้ แป้ง นม ไข่ เน้ือสัตว์ เกิดการเน่าเสีย แบคทีเรียบางชนิดมีบทบาทสำคัญทำให้อาหารมีกลิ่นเน่าเหม็น บางชนิด นำมาใช้ในการหมกั นมเปรย้ี ว หมักยาคูลท์ เชอื้ ราบางชนิด สร้างสารอะฟลาทอกซิลเช้อื รา บางชนิดนำมาผลิตสารปฏิชีวนะใช้รกั ษาโรค ยีสตน์ ำมาใชป้ ระโยชน์ในการ ผลติ เครื่องด่ืมที่มแี อลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 2.1 อธิบายความหมายจุลนิ ทรยี ์ ยกตัวอยา่ งชนดิ ของจุลินทรีย์ 2.2 สบื คน้ ข้อมูล อภปิ รายและอธบิ ายประโยชน์ของจลุ ินทรียใ์ นดา้ นต่าง ๆ 2.3 สบื ค้นขอ้ มูล อภิปรายและอธบิ ายบทบาทของแบคทเี รีย เชือ้ ราและยีสต์ในอาหาร 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 บอกความหมายของจุลินทรยี ใ์ นอาหารได้ 3.2 บอกประเภทของจุลนิ ทรยี ใ์ นอาหารได้ 3.3 อธบิ ายลกั ษณะทวั่ ไปและโครงสร้างของจลุ ินทรียไ์ ด้ 3.4 อธบิ ายความสำคัญของจุลินทรีย์ในอาหารได้ 3.5 บอกแหลง่ ท่มี าของจลุ ินทรยี ์ซ่ึงปนเปอ้ื นในอาหารได้ 3.6 บอกแหลง่ ท่ีอยู่อาศยั ของจุลนิ ทรยี ต์ ามธรรมชาตทิ างชีวภาพได้ 3.7 แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยุดนิ่งที่จะแกป้ ญั หา ความซื่อสัตย์ ความรว่ มมือ ใช้อุปกรณท์ ดลองอย่างฉลาดและรอบคอบ

55 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 จลุ นิ ทรยี ์ 4.2 จุลนิ ทรีย์ในอาหาร 4.3 การเนา่ เสียของอาหาร 4.4 การถนอมอาหาร 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (แบบ MIAP) (สัปดาห์ท่ี 6) ขัน้ สนใจปญั หา (Motivation) 1. ครูช้แี จงวัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้หนว่ ยที่ 3 เรื่อง จลุ ินทรยี ใ์ นอาหาร ให้นกั เรยี นทราบ 2. ให้นกั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี จุลนิ ทรยี ์ในอาหาร 3. ครูสนทนากับนักเรียนเก่ียวกับจุลินทรีย์ในอาหารที่นักเรียนเคยได้รับรู้จากประสบการณ์ใน ชวี ิตประจำวนั โดยใช้คำถามกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นแสดงความคิดเห็น เช่น - ในชวี ิตประจำวัน นกั เรยี นรบั ประทานจุลินทรยี จฺ์ ากอาหารชนดิ ใดบา้ ง - อาหารชนดิ ใดบ้างทีม่ ีจุลินทรยี ์ 4. ครนู ำเสนอภาพอาหาร ผกั ผลไมท้ ่เี นา่ เสยี และใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายถงึ สาเหตุการเน่าเสยี เพื่อ เช่อื มโยงเข้าสู่เร่ืองจลุ ินทรีย์ ขั้นให้เนอ้ื หา (Information) 1. ครูสอนและอธิบายเรื่อง จุลินทรีย์ในอาหาร โดยใช้โปรแกรม Microsoft Power Point ส่ือวีดีโอ ประกอบการสอน และหนงั สือเรยี นประกอบการสอน 2. ใหน้ กั เรียนร่วมกันศกึ ษาใบความรทู้ ่ี 4 เพ่ิมเติม และครูตัง้ คำถามกระตุ้นการเรยี นรูแ้ ก่นกั เรยี น ดังนี้ - จลุ นิ ทรยี ท์ ีพ่ บในปจั จบุ นั มอี ะไรบ้างและมปี ระโยชน์อย่างไร - นักเรยี นคดิ ว่าในนมเปรีย้ วมีจุลนิ ทรยี ์ชนดิ ใด - ยีสต์มคี วามสำคญั ในอาหารหรอื ไม่ ถ้ามสี ำคัญอย่างไร 3. ครนู ำผลติ ภัณฑจ์ ากแบคทีเรีย เช่น นมเปรย้ี ว เนยแข็ง ปลาสม้ ผักดอง ให้นักเรยี นดู และชีแ้ จง เพม่ิ เตมิ ว่าผลิตภัณฑเ์ หล่านเ้ี กดิ จากกระบวนการเมทาบอลิซึมของแบคทเี รีย และครูเปิดวดิ ีโอการทำนมเปรีย้ ว เนย แข็ง ฯลฯ ใหน้ ักเรียนดูเพิ่มเตมิ 4. ครูเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นซกั ถามขอ้ สงสัย

56 ขั้นพยายาม (Application) 1. ให้นักเรยี นทำกจิ กรรมท่ี 4.1 และใบมอบหมายงาน ท่ี 4.1 พร้อมนำเสนอหน้าชน้ั เรียน โดยมีครคู อย ให้คำแนะนำและให้คะแนน 2. นกั เรยี นตอบแบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วยและแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 3 ในหนังสือเรยี น 3. ครูเปดิ โอกาสให้นกั เรียนซกั ถามข้อสงสยั ระหวา่ งทำงาน และสังเกตการปฏบิ ัติงานของนักเรยี น ทกุ คน เพือ่ ประเมนิ พฤตกิ รรมเป็นรายบคุ คล ข้ันสำเร็จผล (Progress) 1. ครูและนักเรียนร่วมตรวจแบบฝึกหัดท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 3 พร้อมกับ บนั ทกึ คะแนนท่ีได้ 2. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรปุ บทเรียน 3. นักเรียนทำข้อสอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 3 จุลินทรีย์ในอาหาร 4. ครูตรวจและบนั ทกึ คะแนนของนกั เรยี นท่ไี ดจ้ ากการทำแบบทดสอบหนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 พรอ้ มแจ้ง คะแนนให้นักเรยี นทราบ 6. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ 6.1 ใบความรู้ ที่ 3 6.2 ใบกิจกรรม ที่ 3.1 6.3 ใบมอบหมายงาน ท่ี 3.1 6.4 แบบทดสอบก่อน-หลงั เรียนหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 6.5 ขอ้ สอบเก็บคะแนนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 6.6 หนังสอื เรยี นวิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ือการพัฒนาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร 6.7 วีซีดี 6.8 สไลดน์ ำเสนอเน้ือหาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลกั ฐานการเรียนรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการทำแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนหน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 - ผลคะแนนสอบหน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 7.2 หลกั ฐานการปฏิบตั งิ าน - ผลการทำใบกิจกรรมท่ี 3.1 และใบมอบหมายงาน ที่ 3.1

57 - ผลการตอบแบบฝึกหัดท้ายหนว่ ยและแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยที่ 3 - สมุดเชค็ ชือ่ การเขา้ เรียนในวชิ าและสมดุ บันทกึ การส่งงาน 8. การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วิธีการ - ตรวจใบกจิ กรรมที่ 3.1 และใบมอบหมายงาน ท่ี 3.1 - ตรวจแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยท่ี 3 ในหนังสอื เรียน - ตรวจข้อสอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 3 - สังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ - สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล - สงั เกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.2 เครือ่ งมือ - ใบกิจกรรมที่ 3.1 และใบมอบหมายงาน ท่ี 3.1 - แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 3 ใน หนังสอื เรยี น - ข้อสอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 3 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล - แบบประเมนิ พฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบกิจกรรมที่ 3.1 และใบมอบหมายงาน ที่ 3.1 ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60% ผ่าน เกณฑ์ - แบบทดสอบหลงั เรียน ต้องไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - ขอ้ สอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 3 ต้องไดค้ ะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 50% ผ่านเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิกจิ กรรมกลุม่ ตอ้ งได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

58 - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตอ้ งได้ คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ 9. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรยี นรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปญั หาทพ่ี บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

59 ใบความรทู้ ่ี 3 หน่วยที่ 3 สอนครัง้ ที่ 6-8 (ชว่ั โมงท่ี 18-24) หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี เวลา 7 ชม. รหสั วิชา 20000-1303 ชอ่ื วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ ชื่อเรือ่ ง จุลนิ ทรียใ์ นอาหาร 1. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1.2 จุดประสงค์ท่ัวไป 1) เพอ่ื บอกความหมายและประเภทของจลุ ินทรยี ใ์ นอาหารได้ 2) เพ่ืออธิบายลักษณะท่วั ไปและโครงสร้างของจุลินทรยี ไ์ ด้ 3) เพ่ืออธบิ ายความสำคัญของจุลนิ ทรีย์ในอาหารได้ 4) เพื่อให้นักเรียนสามารถนำวิธีการถนอมอาหารมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และดำเนินชีวิตโดยยึด หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1.2 จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1) บอกแหลง่ ที่มาของจลุ ินทรีย์ซึ่งปนเปอ้ื นในอาหารได้ 2) บอกแหล่งที่อยอู่ าศยั ของจลุ ินทรีย์ตามธรรมชาติทางชีวภาพได้ 3) บอกประโยชนแ์ ละโทษของจุลินทรยี ์ วิธีป้องและควบคุมการเน่าทีเ่ กดิ จากจลุ ินทรยี ์ได้ 4) อธิบายวิธกี ารถนอมอาหารโดยเช่ือมโยงไปสู่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งได้ 5) แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยุดน่ิงที่จะแก้ปัญหา ความซื่อสัตย์ ความร่วมมือ ใช้อปุ กรณ์ทดลองอยา่ งฉลาดและรอบคอบ 2. สมรรถนะ 1) แสดงความร้เู กยี่ วกับจุลินทรีย์ในอาหาร ประเภทของจุลินทรีย์ในอาหาร ลักษณะท่ัวไปและโครงสร้าง ของจุลินทรีย์ ความสำคัญของจุลินทรีย์ในอาหาร แหลง่ ที่มาของจุลินทรียซ์ ่ึงปนเปื้อนในอาหาร และแหล่งที่อยู่ อาศยั ของจลุ นิ ทรียต์ ามธรรมชาตทิ างชีวภาพ 2) แสดงความรู้และเขียนรายงานเกี่ยวกับการการนำจุลินทรีย์มาใช้ในการถนอมอาหารโดยเช่ือมโยงกับ หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 3) แสดงความรจู้ ากการทำกจิ กรรมเรื่อง แบคทเี รียในอาหาร ศึกษาลกั ษณะของรา ศึกษาลักษณะของยสี ต์

60 3. เนอ้ื หาสาระ 3.1 ความหมายของจุลินทรยี ์ จุลนิ ทรยี ์ เป็นส่งิ มีชีวิตขนาดเลก็ ท่ีไมส่ ามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า มีทง้ั พวกท่ีเปน็ เซลล์เดียวและหลาย เซลล์ จุลินทรีย์มีอยู่ทั่วไปทุกแห่ง เช่น ดิน น้ำ อากาศ อาหาร ท้องทะเลลึก ปล่องภูเขาไฟ และทั้งภายในและ ภายนอกร่างกายมนษุ ย์และสตั ว์ ตวั อยา่ งจุลนิ ทรีย์ ไดแ้ ก่ แบคทีเรีย ยสี ต์ เช้ือรา และสาหรา่ ย จลุ นิ ทรีย์นำมาใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี ด้านการแพทย์ นำมาใช้ผลิตสารปฏิชีวนะ (antibiotic) โดยการนำเพนิซิลเลียม (Penicillium sp.) มา ผลติ ยาปฏิชวี ะเพ่อื ใชร้ ักษาโรคท่เี กิดจากแบคทเี รยี ด้านการเกษตร แบคทีเรียบางชนิดมีบทบาทช่วยตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศมาสร้างเป็นสารประกอบ ไนโตรเจนในดิน ซง่ึ เป็นประโยชนต์ ่อการเจรญิ เติบโตของพชื เชน่ Rhizobium sp. ในปมรากของพืชตระกลู ถั่ว ดา้ นสิ่งแวดล้อม แบคทเี รยี และเชื้อราดำรงชีวิตแบบสภาวะย่อยสลายทำให้เกดิ การหมุนเวียนของสารใน ระบบนิเวศ เช่น คาร์บอน ไนโตรเจน และสารอ่ืน ๆ จึงมีการนำแบคทีเรียมาใช้กำจัดขยะที่มีปริมาณมากในเมือง ใช้สลายคราบนำ้ มนั บรเิ วณชายฝั่งและในทะเล รวมทั้งกำจดั สารเคมีตกค้างจากการเกษตร ภาพที่ 3.1 ไรโซเบยี มในปมรากถว่ั ด้านอุตสาหกรรม แบคทเี รยี บางชนดิ นำมาใช้ผลิตอาหาร เชน่ นำ้ ส้มสายชู ปลาร้า ผกั ดอง ปลาส้ม นม เปร้ียว และเนยแขง็ ยสี ตน์ ำมาใช้ทำขนมปงั และผลติ เครื่องดืม่ ท่มี ีแอลกอฮอล์หลายชนิด เช่น เบียร์ ไวน์ รวมทั้ง ผลติ อาหารเสรมิ เพื่อเพิม่ วติ ามนิ B2

61 ภาพท่ี 3.2 ผลิตภัณฑจ์ ากแบคทีเรีย 3.2 จลุ ินทรีย์ในอาหาร จลุ ินทรีย์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั อาหารมหี ลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ แบคทีเรีย ยีสต์ และเชื้อรา เปน็ ตน้ จุลนิ ทรยี ์ท่ีมีบทบาท ต่าง ๆ ในอาหาร มีทั้งชนิดที่มีประโยชน์และกอ่โทษแก้ผูบ้ ริโภค โดยบทบาททเ่ี ป็นประโยชน์ ได้แก่ การก่อให้เกิด อาหารหมักชนิดตา่ ง ๆ การช่วยยืดอายุการเก็บอาหารให้เก็บได้นานข้ึนหรือจุลินทรีย์บางชนิดอาจช่วยเพ่ิมคุณค่า ทางโภชนาการ เชน่ วติ ามินบที ่ีไดเ้ ซลล์ยสี ต์ บทบาทท่ีเป็นโทษของจุลนิ ทรีย์ ได้แก่ การทำให้อาหารเน่าเสยี การทำ ให้เกดิ โรคเนื่องจากการรบั ประทานอาหารที่มสี ารพิษทผ่ี ลิตโดยจุลินทรยี ห์ รอื เกิดจากการรับประทานจุลทิ นรีย์เชื้อ โรคที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปในปริมาณมากพอที่ก่อให้เกิดโรคได้ จุลินทรีย์บางชนิดยังทำให้คุณค่าทางโภชนาการของ อาหารลดลง แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มีขนาดประมาณ 1-5 ไมโครเมตร ภายในเซลล์ไม่มีเยื่อหุ้มสาร พนั ธกุ รรมและไมม่ ีโครงสร้างอนื่ ๆ อกี หลายชนิด เช่น กอลจิบอดี ไมโทคอนเดรยี เป็นต้น แบคทีเรียที่พบสว่ นใหญ่ มีเซลล์เดียวหรืออาจอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นสาย มีหลายรูปแบบ เช่น แบคทีเรีย ทรงกลม หรือ ค็อกคัส (coccus) แบคทีเรยี ทรงแท่ง หรอื บาซิลลสั (bacillus) และแบคทีเรียทรงเกลยี ว หรอื สไปริลลมั (spirillum)

62 ภาพท่ี 3.3 แบคทีเรียรปู รา่ งตา่ ง ๆ ภาพท่ี 3.4 โครงสรา้ งแบคทีเรีย แบคทีเรียมีกระบวนการเมทาบอลิซึมในการดำรงชีวิตที่หลากหลาย แบคทีเรียหลายชนิดสามารถ ดำรงชีวิตโดยการสร้างอาหารเองได้ด้วยการใช้พลังงานจากแสง เช่น ไซยาโนแบคทีเรีย หรือใช้พลังงานจาก ปฏิกิริยาเคมี เชน่ ซัลเฟอร์แบคทีเรีย แต่แบคทเี รียสว่ นใหญส่ ร้างอาหารเองไมไ่ ด้ รวมท้งั สามารถอยู่ไดเ้ กือบทกุ แห่ง บนโลก แมอ้ ต่ในสภาพแวดล้อมทีส่ ่ิงมีชวี ติ อนื่ ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

63 ตัวอยา่ งแบคทีเรียท่มี ีบทบาทในอาหาร 3.2.1 แบคทีเรีย (Bacteria) แบคทีเรียเป็นส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวที่มีวิวัฒนาการต่ำสุด จัดอยู่ในอาณาจักร มอเนอรา (Kingdom Monera) การดำรงชีพมีทั้งท่ีเป็นผู้ผลิต ผู้ย่อยสลายและปรสิต สืบพันธุ์ด้วยการแบ่งตัว พบ ไดท้ ัว่ ไปในน้ำ ในดนิ ในอากาศ รา่ งกายสง่ิ มชี วี ติ อื่น นิยมแบ่งชนิดแบคทีเรยี ตามลกั ษณะของรปู รา่ ง แบ่งได้ 3 ชนิด ก. คอคคัส (Coccus) มีรูปร่างกลม เช่น Staphylococcus aureus เป็นแบคทีเรียที่ทำให้ อาหารจำพวกเน้ือสัตว์และผลิตภณั ฑ์จากสัตว์ เช่น เนย เนยแข็ง เกิด พิษมากกว่าแบคทีเรียชนิดอ่ืน ยังทำให้เกิด แผลหนอง ฝี Streptococcus lactis ใช้เป็นหัวเชื้อสำหรับทำเนยแข็ง เนย เหลว Streptococcus pneumonia ทำใหเ้ กดิ โรคปอดบวมในคน ข. บาซิลลัส (Bacillus) มีรูปร่างแบบทรงกระบอก หรือท่อน เช่น Pseudomonas syringas ทำให้เกิดโรคใบจุด ใบเปน็ ร้ิว ในพืช Rhizobium ในปมรากพืชตระกูลถั่ว ช่วยตรึงก๊าซไนโตรเจน แล้วเปลี่ยนเป็น เป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชในท่ีสุด Acetobacter ใช้ในอุตสาหกรรมท้าไวน์ น้ำส้มสายชู Lactobacillus ใช้ทำนมเปร้ียว Escherichia coli ทำให้กระเพาะและล้าไส้อักเสบในคนและ สัตว์เลือดอุ่น Salmonella ทุกชนิดพันธุ์ทำให้เกิดโรคในคน เช่น ไทฟอยด์ กระเพาะและลำไส้อักเสบ โลหิต เป็นพิษ Vibrio cholera ทำให้เกดิ อหวิ าตกโรคในคน ฯลฯ ค. สไปริลลมั (Spirillum) รูปรา่ งเปน็ เกลียว เช่น Leptospira interogans ทำให้เกิดโรคฉ่ีหนู หรือ เลปโตสไปโรซิส ในคนและสัตว์ Borrelia burgdorferi ทำให้ เกดิ โรคซิฟิลิส (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิด หน่งึ ) Azospirillum lipoferum ช่วยตรงึ ก๊าซไนโตรเจนในรากหญ้า ขา้ วสาลี และขา้ วโพด

64 3.2.2 รา (Fungi) จัดอยู่ในอาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) บางชนิดมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บางชนิดมองเห็น ด้วยตาเปล่า มีทั้งท่ีเป็นเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์เรียงต่อกันเป็นเส้นใยยาว มีสีดำ สีเขียว สีส้ม ฯลฯ ส่วนใหญ่ ดำรงชีพเป็นผู้ย่อยสลาย บางชนิดเป็นปรสิต สืบพันธ์ุด้วยการแบ่งตัว การหักหรือขาดออกของเส้นใย การแตก หน่อ หรือการสร้างสปอร์ คนเรานิยมใช้ราหมักอาหาร เช่น เนยแข็งบางชนิด สกัดสารปฏิชีวนะจากรา Penicillium notatum ทำเป็นยาเพนนิซิลิน ฯลฯ แต่ราบางชนิดก็ทำให้ เกิดโรคในคน พืชและสัตว์ เช่น โรค ผิวหนัง สร้างสารก่อมะเร็ง ทำให้อาหารเน่าเสีย เช่น รา Rhizopus stolonifera ที่ขึ้นบน ขนมปัง ทำให้ เคร่ืองนุ่งห่ม เคร่ืองเรือนเสียหายผุพัง รา Claviceps purpurea ถูกใชเ้ ปน็ ยาพิษในสมัยโบราณ ซึ่ง ปจั จุบันถือว่า เปน็ อาวุธชีวภาพชนดิ หนึ่ง ภาพท่ี 3.5 โครงสร้างไฮฟา

65 3.2.3 ยสี ต์ (Yeast) เป็นส่ิงมีชีวิตที่จัดอยู่ในอาณาจักร ฟังไจ (Kingdom Fungi) มีเซลล์เดียว รูปร่างกลม หรือรี ส่วนมากดำรงชีพเป็นผู้ย่อยสลาย บางชนิดเป็นปรสิต ส่วนใหญ่สืบพันธ์ุ โดยการแตกหน่อ บางชนิดแบ่งตวั พบได้ ทั่วไปในดิน ในน้ำ และซากพืชหรือสัตว์ท่ีตายแล้ว ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราใชป้ ระโยชน์จากยีสต์ในหลายๆ ดา้ น เช่น ใช้หมักน้ำผลไม้ ใช้หมักทำข้าวหมาก ใช้ทำเครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สาโท กระแช่ เป็นต้น และยังใช้ หมักทำแอลกอฮอล์จุดไฟ ใช้หมักขนมปัง ช่วยให้อาหารบางชนิดมีคุณค่าทางอาหาร เพิ่มขึ้น ใช้ในการสังเคราะห์ โปรตีน ลิพิด หรือวิตามินบางชนิด จากสารต้ังต้นพวกน้ำตาลอย่างง่ายและ แอมโมเนียมไนโตรเจน ฯลฯ แต่ยีสต์ บางชนดิ ทำใหเ้ กิดโรคในพืชและสัตว์ ทำให้อาหารเนา่ เสีย เครื่องนงุ่ หม่ และวัสดบุ างชนิดเสยี หายไดฯ้ ลฯ 3.3 การเน่าเสียของอาหาร จลุ ินทรีย์บางชนิดเมื่อปนเป้อื นในอาหารจะสามารถเติบโตไดด้ ีในอาหาร เมื่อจุลินทรียป์ นเปือ้ นในอาหาร แล้วจุลินทรีย์จะเจริญเติบโตในอาหารและเพ่ิมจำนวนพร้อมทั้งผลติ สารต่าง ๆ ออกมา ซ่ึงอาจเป็นสารก่อโทษกับ อาหารโดยอาจทำใหอ้ าหารเน่าเสียหรอื อาจทำให้ผบู้ ริโภคอาหารป่วยเป็นโรค 1) จลุ นิ ทรีย์ทป่ี นเปอื้ นในอาหารมาจากแหล่งตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 1.1) แหลง่ น้ำ น้ำตามธรรมชาตมิ ี 3 ประเภทท่ีสำคญั ได้แก่ น้ำในบรรยากาศ น้ำผวิ ดนิ และน้ำใต้ดนิ แหล่งนำ้ จะมปี ริมาณและชนดิ ของจุลนิ ทรีย์ท่แี ตกต่างกัน น้ำใตด้ ินเป็นนำ้ ท่ีผ่านการกรองจากชัน้ หนิ ดนิ และทราย ทำให้มปี รมิ าณของจุลนิ ทรยี ์ตำ่ อยา่ งไรกต็ าม ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อปริมาณของจลุ ินทรียใ์ นแหลง่ น้ำ ได้แก่ ชนิดและ ปริมาณของสารอาหาร อณุ หภมู ขิ องน้ำ ความกดดนั ของน้ำ ความเคม็ ของน้ำ ความขุ่นและแสงสวา่ ง รวมทงั้ ความ เปน็ กรดเบส นอกจากน้ีจุลนิ ทรยี ์ยงั มกี ารกระจายตวั อยู่ที่ระดบั ความลึกของน้ำในปริมาณทีแ่ ตกต่างกัน แหล่งน้ำ เช่น นำ้ ทะเล เป็นแหล่งที่อยขู่ อง Acinetobacter, Flavobacterium, Pseudomonas, Staphylococcus,

66 Vibrio parahaemolyticus แหล่งนำ้ จดื อาจพบแบคทีเรยี Aeromonas, Alcaligenes, Flavobacterium,Pseudomonas ดังนนั้ คุณภาพของนำ้ จงึ มีความสำคัญต่อคุณภาพทางจลุ ินทรียข์ องอาหาร เพราะน้ำเขา้ ไปเก่ยี วขอ้ งกบั การผลติ อาหารหลายขัน้ ตอน เชน่ การลา้ งทำความสะอาดวัตถุดบิ เครื่องมือ หรือ อปุ กรณ์ การลำเลียงวตั ถดุ ิบบางชนดิ เช่น การลำเลยี งผักทต่ี ดั แต่งแลว้ การเกบ็ รกั ษาวัตถดุ ิบบางชนิด เชน่ ปลาใน นำ้ แข็ง การทำให้เย็น เชน่ อาหารกระปอ๋ ง การเปน็ ส่วนประกอบในอาหาร เช่น ซอส ดงั นนั้ หากใชน้ ำ้ ทไี่ ม่มี คณุ ภาพ โอกาสการปนเปอื้ นจลุ นิ ทรีย์สอู่ าหารก็มีโอกาสเกดิ ขนึ้ ได้ แม้นำ้ ท่ีผ่านกระบวนการฆ่าเชือ้ ที่ทำใหเ้ กิดโรค แตจ่ ุลนิ ทรยี ท์ ่ีทำให้เกดิ การเน่าเสยี บางชนดิ อาจอยรู่ อดได้ เชน่ Alcaligenes, Flavobacterium, Pseudomonas เปน็ ต้น 1.2) ดิน เป็นแหล่งของจุลินทรยี ์หลายชนิด ปริมาณของจุลินทรียแ์ ตกต่างกนั ข้ึนกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเป็นกรดเบส ความช้ืนในดิน ชนิดและปริมาณของสารอาหาร อุณหภูมิ รวมท้ังสภาวะต่าง ๆ เช่น การ พรวนดิน การใส่ปุ๋ย แต่จุลินทรีย์ส่วนใหญ่ท่ีพบมากคือ แบคทีเรีย เช่น Bacillus, Clostridium botulinum, C.perfringens, Enterobacter, Enterococcus, Pseudomonas, Proteus, Micrococcus เป็นต้น ส่วนราพบ มากทีบ่ ริเวณผวิ ดนิ ตัวอย่างเชน่ Aspergillus, Cladosporium, Fusarium, Penicillium เป็นต้น 1.3) อากาศ เปน็ แหล่งของจลุ ินทรีย์ โดยจุลินทรียจ์ ะเกาะตดิ กับฝุน่ ละออง ละอองไอน้ำ โดยปริมาณ ของจุลนิ ทรยี จ์ ะขน้ึ กบั ความชนื้ ขนาดของฝุ่นละออง อุณหภมู แิ ละความเรว็ ของอากาศ รวมทง้ั ความสามารถในการ ทนตอ่ ความแห้ง โดยทั่วไป อากาศแห้ง ท่มี ฝี ่นุ ละอองน้อย อุณหภูมสิ ูง จะมปี ริมาณจุลนิ ทรียต์ ่ำ จลุ ินทรีย์ทีอ่ าจพบ ในอากาศ เช่น กลุ่มที่สร้างสปอร์ได้ ได้แก่ Bacillus, Clostridium แบคทีเรียแกรมบวก เช่น Micrococcus, Sarcina นอกจากน้ี ยังพบราและยสี ต์ ดังนั้นการป้องกันการปนเปอื้ นของจุลินทรีย์จากอากาศทำได้โดยการกรอง อากาศ การใช้ความดนั การลดความช้ืน หรือการติดต้งั หลอดแสงอัลตรา้ ไวโอเลต 1.4) ส่ิงแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ขยะ พื้นผิวหรือมุมอับของเครื่องมือ/อุปกรณ์ พื้นผิวของบรรจุภัณฑ์ จุลินทรีย์จากอากาศ วัตถุดิบ อาหารดิบ น้ำ และคน สามารถปนเป้ือนสู่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ หากมีสารอาหาร ความชื้น อุณหภูมิท่ีเหมาะสม จุลินทรีย์ดังกล่าวก็จะเจริญเพิ่มจำนวนได้ นอกจากนี้ อุปกรณ์เล็ก ๆ เช่น เขียง มีด ช้อน ฟองน้ำ หากทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อไม่เพียงพอ ก็จะเป็นแหล่งการปนเป้ือนของจุลินทรีย์ได้ เช่น มี ร า ย ง า น ต ร ว จ พ บ Escherichia coli, Pseudomonas, Klebsiella pneumoniae, Salmonella, Staphylococcus aureus ในฟองน้ำ ตรวจพบแบคทีเรีย เช่น Bacillus, Micrococcus, Pseudomonas, Streptococcus รา เชน่ Aspergillus ,Mucor บนบรรจุภณั ฑ์ เปน็ ต้น

67 2) แหลง่ ทอ่ี ยู่อาศัยตามธรรมชาติทางชวี ภาพ 2.1) คน เป็นแหลง่ ท่ีอยู่ของจุลนิ ทรีย์ เช่น ในลำไส้มีจลุ ินทรีย์หลายชนดิ อาศัยอยู่ หรือมแี บคทีเรยี อยู่ ตามบาดแผล ฝี หนอง ตัวอย่างเช่น Staphylococcus aureus หรือมือที่สัมผัสอาหารอาจพบการปนเปื้อนของ จลุ ินทรีย์ที่ทำให้เกดิ โรคอาหารเป็นพษิ หลายชนิดได้ เช่น Escherichia coli, Salmonella, Shigella และไวรัสตับ อักเสบชนิด เอ เป็นต้น ดังนน้ั ตอ้ งมีการฝึกอบรมด้านการปฏิบัติตนให้ถูกสุขลกั ษณะ การตรวจสขุ ภาพ เพ่ือลดการ ปนเป้ือนจากจุลนิ ทรีย์ 2.2) พืช โดยปกติเนื้อเยื่อของพืชภายในมักปราศจากจุลินทรีย์ ยกเว้นพืชบางชนิดที่มีรูพรุนหรือ ชอ่ งว่างภายใน รวมทั้ง ผักที่มีใบซ้อนทับกัน เช่น หัวหอม กะหล่ำปลี เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม มักพบจุลินทรีย์ชนิด ต่างๆอยู่ตามเปลอื ก ตามรอยแตก ตามข้วั ชนิดของจลุ ินทรยี อ์ าจแตกตา่ งกนั ขึ้นกบั สภาพแวดล้อมท่พี ชื เจรญิ เติบโต เช่น สภาพดิน ชนิดของปุ๋ย ชนิดของน้ำ และอากาศ โดยอาจพบรา ยีสต์ แบคทีเรียกรดแล็กติก Pseudomonas ,Micrococcus, Erwinia ,Bacillus, Clostridium, Enterbacter เป็นต้น การเกิดโรคของพืช การเกิดตำหนิท่ีผิว ก่อน ระหว่าง หรือหลังการเก็บเก่ียว รวมท้ังวิธีการล้างทำความสะอาด การเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม สภาวะการ ขนส่ง จะมีสว่ นทำใหจ้ ลุ ินทรียท์ ่ปี นเปือ้ นมีโอกาสเจรญิ เพิ่มจำนวนได้ 2.3) สตั ว์ เปน็ แหล่งที่อย่ขู องจุลินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ผวิ หนงั ขน มั ก มี จุ ลิ น ท รี ย์ อ า ศั ย อ ยู่ ตั ว อ ย่ า ง เช่ น พ บ Campylobacter jejuni, Escherichia coli, Listeria monocytogenes, Salmonella, Yersinia enterocolitica ใน ระบบทางเดินอาหารในสัตว์ปีก หรือพ บ Corynebacterium, Propionibacterium, Micrococcus, Salmonella ท่ีขน ผิว หรือปีก เป็นต้น นอกจากนี้ สตั ว์บางชนิด เช่น ปลา การปนเป้ือนของจุลินทรีย์อาจมีสาเหตุจากแหล่งน้ำที่เจริญ และติดมากับเมือกปลา เช่น Achromobacter, Bacillus, Corynebacterium, Flavobacterium, Pseudomonas, Vibrio เป็นตน้ 3.4 การถนอมอาหาร อาหารเป็นหน่ึงในปัจจัยสี่ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ การถนอมอาหารได้ เข้ามามี บทบาทสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก เน่ืองจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คนส่วนใหญ่ต้องการความสะดวก รวดเรว็ และต้องการเกบ็ รกั ษาอาหารไว้บริโภคได้นาน ๆ การถนอมอาหารนัน้ มี มาต้ังแต่สมัยโบราณ โดยชาวโรมันค้นพบการรมควันเน้ือสัตว์ การหมักเคร่ืองด่ืม แอลกอฮอล์ การทำเนยแข็ง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1864 หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้พบว่าไวน์และเบียร์ เกิดการบูดเสียจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า ท่ีเรียกว่า “จุลินทรีย์” มีผู้ให้คำจำกัดความของการถนอมอาหารไว้หลายอย่าง ซึ่งสรุปได้ว่า การ

68 ถนอมอาหาร คือ การเก็บรักษาอาหารด้วย กรรมวิธีต่าง ๆ ท่ีทำให้อาหารอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของสดโดยไม่ สูญเสยี คุณคา่ และสามารถเก็บไวไ้ ด้ นานโดยไม่เน่าเสยี การยับย้งั หรือทำลายสาเหตุของการเน่าเสยี ของอาหารนั้น ๆ ดว้ ยวธิ ีการทีย่ อมรบั ของผบู้ รโิ ภค วธิ กี ารถนอมอาหาร 3.4.1 การถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน ปัจจุบันนิยมปรุงอาหารรับประทานโดยการต้ม ทอด ปิ้ง นึ่งและวิธีอืน่ ๆ ทตี่ ้องใชค้ วามรอ้ น เพอื่ ฆา่ เชอื้ โรคในอาหาร เม่ือเรารบั ประทานอาหารไม่หมด หรอื มปี รมิ าณอาหาร อยใู่ นจำนวนมาก เราจะถนอมอาหารด้วยการใชค้ วามร้อนกันเป็นส่วนมาก หลักการถนอมอาหารโดยใชค้ วามร้อน คอื การผ่านความรอ้ นลงในอาหารเพอื่ ทำลายจุลินทรีย์ในอาหาร การถนอมอาหารโดยใชค้ วามร้อน หมายถึง การ ใช้ความร้อน ฆ่าเช้ือจุลินทรยี ์ในอาหารเพื่อป้องกันการเน่าเสีย ท าการเพิ่มอุณหภูมิ ผลิตภัณฑ์ให้สูงข้ึน ส่วนใหญ่ จะนิยมการตม้ การใช้ความร้อนทำได้ 3 วิธี คือ 1) การพาสเจอร์ไรซ์ เป็นการใช้ความร้อนท่ีต่ำกว่าจุดเดือด (น้อยกว่า 100 องศาเซลเซียส) ฆ่า เชือ้ จุลินทรีย์บางชนิดท่ีทำให้เกิดโรคในอาหาร แต่จะฆ่าได้ไม่หมด ผลิตภัณฑ์ท่ผี ่านการพาสเจอร์ไรซน์ ้ี จะต้องเก็บ ไว้ในตู้เยน็ เพ่ือปอ้ งกนั การเนา่ เสยี ระหว่างการเก็บ 2) การสเตอริไลซ์ เป็นการใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือด (มากกว่า100องศาเซลเซียส) ฆ่า เชื้อจุลนิ ทรยี ์ได้เกอื บหมด ยกเวน้ จลุ นิ ทรียท์ ที่ นความร้อนมากๆ ได้ ผลติ ภณั ฑ์สเตอริไลซส์ ามารถ เกบ็ ไว้ไดน้ านโดย ไม่ต้องแชเ่ ยน็ แต่ต้องบรรจใุ นภาชนะสะอาดและผ่านการฆ่าเชอื้ แล้วและปิดฝาสนทิ 3) ใช้ความรอ้ นท่สี ูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือดโดยอาศัยความดนั ช่วย วิธีน้ีนยิ มนำไปใช้ในอาหารบรรจุ ขวดหรอื บรรจกุ ระปอ๋ ง ซง่ึ มักจะใชอ้ าหารท่ีมคี วามเป็นกรดต่ำเป็นวตั ถุดบิ เช่น เน้ือสตั วผ์ กั เป็นตน้ 3.4.2 การถนอมอาหารโดยการทำแหง้ การทำแห้ง หมายถงึ การกำจัดน้ำหรอื ลดปริมาณความชน้ื ออก จากอาหารเพื่อยับย้ังปฏิกิริยา ของเอนไซม์และสารเคมีต่างๆ ท่ีจะทำให้อาหารเน่าเสียและนอกจากนี้ยังสามารถ เกบ็ รกั ษาอาหารไว้ ไดน้ านการทำใหแ้ ห้งทน่ี ิยมใชก้ ันท่ัวไปมี 3 วิธดี ังน้ี 1) วิธีทางธรรมชาติ คือ การผึ่งแดด ผึ่งลม ซ่ึงเป็นวิธีการที่ นิยมใชก้ ันมาแตโ่ บราณ โดยการ นำเอา ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ท่ีต้องการทำให้แห้ง ใส่ลงในตะแกรงหรือสังกะสีตั้งไว้กลางแดดหรือ กลางแจ้ง ให้ได้รับ ความร้อนจากแสงแดด มีลมพัดผ่านท่ีจะทำให้ความช้ืนในเนื้อสัตว์หรือผักผลไม้ ระเหยออกไปจนแห้ง จากน้ัน นำมาเก็บใสภ่ าชนะปดิ ฝาใหส้ นิท 2) ใช้เคร่ืองมอื ชว่ ย เชน่ เครอื่ งอบแห้ง เตาอบ เตาไมโครเวฟ เปน็ ตน้ 2.3 การรมควนั นิยมใช้ในการ เก็บรกั ษาอาหารและเน้อื สัตว์ตา่ ง ๆ ในรูปของปลายา่ ง เนื้อย่าง วิธีทำขั้นต้นต้องล้างปลาใหส้ ะอาด ใช้เกลอื ทาหรือ

69 แชน่ ้ำเกลือก่อน แลว้ นำไปวางบนตะแกรงไม้ไผ่เหนือ กองไฟ ใช้กาบมะพร้าว ชานอ้อยหรือข้ีเลื่อยเป็นเช้ือเพลงิ ที่ ทำให้เกิดควัน ครอบเตาด้วยภาชนะ ท่ีสามารถเก็บควันให้รมปลาอยู่ภายในได้ ใช้ถ่านทำให้เกิดความร้อนและมี ควันออกมาจับผิวปลา จนเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง มีกล่ินหอมน าออกไปแขวนผ่ึงลม สามารถเก็บไว้ได้นาน 2–3 เดือน 3.4.3 การถนอมอาหารโดยใชค้ วามเย็น การใชค้ วามเยน็ หมายถึง การทำใหอ้ าหารคงสภาพเดิม โดยใช้ ความเย็นท่ีระดับอณุ หภูมิต่ำ แต่ไม่ถงึ จุดเยอื กแข็ง ซง่ึ วิธนี ้ีจะช่วยยบั ยง้ั การเจรญิ เติบโตของจุลนิ ทรีย์ ชะลอการเน่า เสียและลดอัตรา การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหาร การใช้ความเย็นอาจจะทำได้โดยการแช่น้ำแข็ง การใช้ นำ้ แขง็ แหง้ การบรรจุภณั ฑ์ในถุง กล่องกระดาษหรือกล่องพลาสตกิ แลว้ นำไปแชแ่ ขง็ 3.4.4 การถนอมอาหารโดยการใช้น้ำตาล เป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ช่วยทำให้ เก็บ รกั ษาอาหารใหอ้ ยู่ไดน้ ่านโดยไม่เนา่ เสีย ซ่ึงมหี ลายวธิ ีดงั น้ี 1) การเชื่อม การใชน้ ้ำและน้ำตาล ใส่ภาชนะตัง้ ไฟเค่ียวให้ละลายเหนียวเปน็ น้ำเชอ่ื มกอ่ น จากน้นั จึง ใส่อาหารลง เค่ียวต่อไปด้วยไฟอ่อนๆ จนอาหารนั้น อิ่มชุ่มด้วยน้ำเช่ือม อาหารที่นิยมนำมาเชื่อม ได้แก่ กล้วย เผือก มนั มะยม ฟักทอง เป็นต้น 2) การแช่อ่ิม เป็นการนำเอาผัก หรือผลไม้แช่ในน้ำเช่ือม เพื่อให้น้ำเช่ือม ซึมเข้าสู่ผักหรือผลไม้แบบ ค่อยเป็นค่อยไป จนกระท่ังเกิดการอิ่มตัว ซ่ึงสามารถทำ ได้โดยเพิ่มความเข้มข้นของน้ำเชื่อม ด้วยการรินน้ำเชื่อม ออก แล้วต้ังไฟให้อ่นุ เติมน้ำตาลลงไปหรือต้มน้ำเช่ือมจนงวด ลงเพ่ือให้ข้นขึ้นแล้ว จึงเอาผักหรอื ผลไม้ ลงแช่ ทำ เชน่ นี้ 3-4 ครั้ง จนน้ำเชอื่ มไม่ สามารถซึมเขา้ ไปในผักหรอื ผลไม้ได้อีก ผลไม้ท่ีนยิ มนำมาแชอ่ ม่ิ เชน่ มะม่วง มะขาม มะกอก มะยม เปน็ ตน้ 3) การฉาบ เป็นการนำเอาผักหรือผลไม้ท่ีทำสุกแล้ว เช่น เผือกทอด มันทอด กล้วยทอด เป็นต้น วิธี ฉาบคือเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นน้ำเช่ือมแก่จัดจนเป็นเกล็ด แล้วเทลงผสมคลุกเคล้ากับของท่ีทอดไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นจน น้ำเช่อื มเกาะเป็นเกลด็ ตดิ อยบู่ นผิวอาหารท่ีฉาบ 3.4.5 การถนอมอาหารโดยการหมักดอง เป็นวิธีการถนอมอาหารโดยการใช้เกลือ น้ำส้ม น้ำตาล เป็น ส่วนประกอบหลัก ซ่ึงอาศยั จลุ นิ ทรียบ์ างชนิด เป็นตัวย่อยสลาย อาจจะเติมข้าวคัว่ เครื่องเทศ หรือน้ำซาวขา้ วด้วย ก็ได้ เพ่ือช่วยเร่งปฏิกิริยาในการหมักดอง เพ่ือให้อาหารน้นั มีรสเปรี้ยวหรือกล่ิน ตามทีต่ ้องการ การหมักดองส่วน ใหญจ่ ะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันหรอื หลายเดอื น ซึ่งกข็ น้ึ อยูก่ บั วตั ถุดิบท่นี ำมาหมักดอง เช่น ผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ เป็นต้น สำหรบั การทำกะปิ น้ำปลา ปลาร้า ซีอว้ิ น้ำส้มสายชู เตา้ เจี้ยว สว่ นใหญ่จะใช้เวลาหมักนานประมาณ 4-9 เดอื น การหมกั ดองแบ่งออกเป็น 5 วธิ ี ดังนี้

70 1) การดองเปร้ียว ผักที่นิยมนำมาดอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี ผักเสยี้ น ถั่วงอก เป็นตน้ วิธีทำ คือนำเอาผกั มาเคล้ากับเกลือ โดยผสมน้ำเกลือกับน้ำสม้ ต้มให้เดือด ทิง้ ไว้ใหเ้ ยน็ นำมาเทราด ลงบนผักที่เรียงไว้ใน ภาชนะ เทให้ทว่ มผักปิดฝาภาชนะไมใ่ หล้ มเขา้ หมักทง้ิ ไว้ 4-7วัน นำมารับประทานได้ 2) การดอง 3 รส คือ รสเปร้ียว เค็ม หวาน ผักท่ีนิยมดองแบบนค้ี ือ ขงิ ดอง กระเทียมสด ผักกาดเขยี ว การดองชนิดนี้คือ นำเอาผักมาเคล้ากับเกลือแล้วผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ต้มให้เดือด ท้ิงไว้ให้เย็น แล้วนำมาเท ราดลงบนผกั ปดิ ฝาท้งิ ไว้ประมาณ 2-3 วัน นำมารบั ประทานได้ 3) การดองหวาน ผักและผลไม้ที่นยิ มนำมาดอง เช่น มะละกอ หวั ผกั กาด กะหล่ำปลี เปน็ ต้น โดยต้ม น้ำตาล น้ำส้มสายชู เกลือ ให้ออกรสหวานนำ ให้เดือดท้ิงไว้ให้เย็น เทราดลงบนผักผลไม้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน นำมา รับประทานได้ 4) การดองเค็ม อาหารท่ีนิยมส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์และผัก เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม กะปิ หัว ผักกาดเคม็ ไข่เคม็ เป็นต้น ต้มน้ำสม้ สายชูและเกลอื ใหอ้ อกรสเค็มจดั เลก็ น้อยให้เดอื ดทิ้งไวใ้ ห้เย็น กรองใส่ภาชนะท่ี จะบรรจุอาหารดอง แล้วหมักทิ้งไว้ 4-9 เดือน จึงนำมารับประทาน 5.5 การหมักดองท่ีทำให้เกิดแอลกอฮอล์ คือ การหมกั อาหารพวกแปง้ น้ำตาล โดยใช้ยสี ต์ เปน็ ตวั ช่วยใหเ้ กดิ แอลกอฮอล์ เช่น ข้าวหมาก ไวน์ เป็นต้น 3.4.6 การถนอมอาหารโดยการใช้รังสี เป็นวิธีการถนอมอาหารที่ต้องการเล่ียงการใช้ความร้อน เนื่องจากความร้อน สามารถเปล่ียนแปลงสมบัติด้านประสาทสัมผัสของอาหารนั้นๆ ได้ รังสีชนิดท่ีแตกตัวได้ (ionizing radiation) ที่มชี ่วงคลื่นสั้น สามารถที่จะยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ การทำงานของเอนไซม์และการ เจริญเติบโตของไข่และตัวอ่อนของแมลงได้ดี ท้ังยังสามารถป้องกันการงอกของผักและผลไม้ โดยยังคงคุณค่าทาง โภชนาการ เน้ือสัมผัสและรสชาติของอาหารได้ดี โดยรังสีท่ีใช้ในการถนอมอาหาร มี 3 ชนิด คือ รังสีแกมมา (gamma radiation) รงั สเี อกซ์ (x-radiation)และอิเลก็ ตรอนกำลังสูง (high speed electron) 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ

71 แบบฝึกหัด หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 จลุ ินทรียใ์ นอาหาร คำชแ้ี จง จงตอบคำถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. จุลนิ ทรยี ค์ ืออะไร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 2. จุลินทรยี ม์ บี ทบาทในอาหารอย่างไร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 3. แบคทเี รียมรี ปู ร่างแบบใดบา้ ง .................................................................................................................................................................................... 4. แบคทีเรยี ชนิดใดใช้ในการผลิตน้ำส้มสายชู .................................................................................................................................................................................... 5. แบคทีเรียชนดิ ใดมีบทบาทในการหมกั นมเปรี้ยว .................................................................................................................................................................................... 6. ยกตวั อย่างเช้อื ราที่มีความสำคัญในอาหาร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 7. จลุ ินทรียท์ ี่ปนเปอื้ นในอาหารมาจากแหลง่ ใด ............................................................................................................................................................................. 8. การเนา่ เสียหรอื การเสื่อมของอาหารแบ่งเปน็ แบบใดบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 9. ระบกุ ารเนา่ เสียของเนอ้ื สตั ว์ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 10. การถนอมอาหารทำไดโ้ ดยวธิ ีการใดบ้าง .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

72 5. เอกสารอ้างอิง ภาวิณี รัตนคอน ลัดดา อนิ ทรพ์ มิ พ์ และสุเทพ สุขเจริญ. (2562). วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชีพธรุ กิจ และบริการ. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พ์เอมพันธ.์ 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝึกหดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ) เฉลยแบบฝึกหดั หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 จุลินทรีย์ในอาหาร 1. จุลินทรยี ์คอื อะไร เฉลย จุลินทรีย์คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ แบคทีเรีย ยีสต์และ สาหรา่ ย 2. จุลินทรยี ์มบี ทบาทในอาหารอยา่ งไร เฉลย จุลนิ ทรยี ์บางชนิดเป็นประโยชน์ ได้แก่ ก่อให้เกดิ อาหารหมกั ชนดิ ต่างๆ ช่วยยืดอายุการเก็บอาหาร ให้นานข้นึ จุลนิ ทรียบ์ างชนดิ ชว่ ยเพิม่ คุณค่าทางโภชนาการ เช่น วินามนิ บีที่ไดจ้ ากเซลลย์ ีสต์ จุลินทรีย์บางชนิดเป็นโทษ ได้แก่ การทำให้อาหารเน่าเสีย การทำให้เกิดโรคเนื่องจากการ รบั ประทานอาหารทม่ี ีสารพิษซ่ึงผลิตโดยจุลินทรีย์ หรือเกิดจากการรับประทานจุลินทรีย์เชือ้ โรคที่ยังมีชีวิตอย่เู ข้า ไปในปริมาณมากทีพ่ อใหก้ ่อโรคได้ 3. แบคทีเรียมรี ปู รา่ งแบบใดบา้ ง เฉลย แบคทเี รยี ทรงกลม เรยี กว่า ค็อกคัส (coccus) แบคทีเรยี ทรงแท่ง เรียกวา่ บาซลิ ลัส (bacillus) และแบคทีเรียทรงเกลียว เรยี กว่า สไปรลิ ลมั (spirillum) 4. แบคทีเรียชนิดใดใช้ในการผลิตน้ำสม้ สายชู เฉลย เชอ้ื Acetobacter aceti 5. แบคทีเรียชนิดใดมีบทบาทในการหมักนมเปร้ยี ว เฉลย Lactobacillus acidphilus 6. ยกตัวอยา่ งเช้ือราทม่ี คี วามสำคัญในอาหาร เฉลย Aspugillum ใช้ในการผลิตอาหารหมัก เชน่ ซอี ๊ิว Rhizopus เตบิ โตบนขนมปังทำให้อาหารเน่าเสยี Penicillium สร้างพิษตา่ งๆ ในอาหารได้ 7. จลุ ินทรีย์ท่ปี นเปื้อนในอาหารมาจากแหล่งใด เฉลย ดนิ น้ำ พชื และผลิตภัณฑจ์ ากพชื 8. การเน่าเสียหรอื การเสอื่ มของอาหารแบง่ เป็นแบบใดบ้าง

73 เฉลย การเน่าเสียทางกายภาพ การเนา่ เสยี ทางเคมี และการเนา่ เสยี โดยจุลนิ ทรีย์ 9. ระบกุ ารเนา่ เสยี ของเน้ือสตั ว์ เฉลย เกิดจากการปนเปอื้ นจากภายนอกตัวสตั วใ์ นระหว่างการฆ่า การถอนขน การชำแหละ รวมท้งั การแปรรูปเนื้อสัตว์ 10. การถนอมอาหารทำได้โดยวธิ ีการใดบ้าง เฉลย การใช้ความร้อน การใชค้ วามเย็น การฉายรงั สี การทำแห้ง การใช้สารกันเสีย การใส่สารฆา่ เชื้อรา การใสส่ ารปฏิชวี นะ

74 ใบกิจกรรม ท่ี 3.1 หน่วยท่ี 3 สอนครั้งท่ี 6 (ชั่วโมงที่ 19-20) หลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพ เวลา 1.30 ชม. รหสั วชิ า 20000-1303 ชื่อวิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกิจและบรกิ าร ชอ่ื เรือ่ ง การศกึ ษาลกั ษณะของราและยสี ต์ 1. สาระสำคัญ สารเคมีในชีวติ ประจำวนั แบ่งออกเปน็ สารทำความสะอาด สารปรุงแต่งอาหาร ยารักษาโรคสารเคมีทใ่ี ช้ใน การเกษตร และสารเคมที ่ีใช้ในสำนักงาน ซ่งึ สารแตล่ ะชนิดจะมีสมบัติแตกต่างกัน จงึ เหมาะต่อการใช้งานแตกต่าง กนั ไป เช่น เหมาะต่อการใช้กำจดั สงิ่ สกปรกของร่างกาย ภาชนะหรือเครอ่ื งสุขภัณฑเ์ หมาะต่อการนำไปใช้ประกอบ อาหาร รกั ษาโรค และใช้ในการเกษตร เป็นตน้ การใช้สารเคมีอยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภยั จงึ ควรเลือกใช้สารเคมีให้เหมาะสมกับงาน และอา่ นฉลากก่อนใช้ อย่างละเอียด รวมถงึ การรจู้ กั สญั ลักษณ์ประเภทอันตรายจากสารเคมี เพ่ือปอ้ งกันอันตรายทีอ่ าจเกดิ ข้นึ ได้ 2. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. รูแ้ ละเข้าใจเกยี่ วกับสารเคมีในชวี ิตประจำวนั และผลกระทบท่เี กิดจากสารเคมีได้ 2. ทดสอบเก่ยี วกบั สารเคมใี นชวี ติ ประจำวันโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ 3. มีเจตคติและกิจนิสยั ท่ีดตี ่อการศึกษาและสำรวจตรวจสอบดว้ ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. สมรรถนะประจำหนว่ ย - แสดงความรู้เกีย่ วกับการตรวจสอบคุณภาพของนำ้ นมไดถ้ กู ตอ้ งตามขั้นตอน 4. ขั้นตอนการปฏิบตั ิกิจกรรม - ใหน้ ักเรียนศึกษาลักษณะของแบคทีเรียทพ่ี บในอาหาร เชน่ นม ไข่ เนอ้ื สตั ว์ อาหารทะเล ผัก และอาหารเน่า เสยี โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ แล้วใหน้ ักเรยี นวาดภาพลักษณะของแบคทีเรยี ทีพ่ บใน อาหารต่าง ๆ นำเสนอหนา้ ชั้น เรียน ประเดน็ การนำเสนอดงั นี้ 1. แบคทีเรียทพี่ บในอาหารแต่ละชนดิ มลี ักษณะ ประโยชน์ และโทษ อย่างไร 2. วธิ ีป้องกันการเกดิ โรคจากเช้อื แบคทีเรีย ใหน้ กั เรียนสบื คน้ ขอ้ มูลการนำแบคทเี รียมาใช้ประโยชนด์ ้านการผลิตอาหารนำเสนอหนา้ ช้ันเรียน

75 5. การประเมินผล - ประเมนิ จากผลการปฏิบัติกจิ กรรม โดยได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์ 6. เอกสารอ้างองิ /เอกสารค้นควา้ เพมิ่ เติม ภาวณิ ี รัตนคอน ลดั ดา อินทรพ์ ิมพ์ และสเุ ทพ สุขเจรญิ . (2562). วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร. พิมพค์ รงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ : สำนกั พิมพ์เอมพันธ.์

76 ใบมอบหมายงาน ที่ 3.1 หนว่ ยที่ 3 สอนครัง้ ท่ี 7 (ชวั่ โมงท่ี 21) หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ เวลา 1 ชม. รหัสวชิ า 20000-1303 ช่อื วิชา วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร ช่ือเรือ่ ง รายงานการการถนอมอาหารกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1.1 เพ่ือให้นักเรียนสืบคน้ วิธกี ารถนอมอาหารและลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ โดยนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มาใชไ้ ด้อย่างเหมาะสม 1.2 แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยุดน่งิ ที่จะแกป้ ญั หา ความซ่อื สัตย์ ความรว่ มมอื 2. สมรรถนะ - แสดงความรแู้ ละเขียนรายงานวิธีการถนอมอาหารโดยเช่ือมโยงกบั หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. รายละเอยี ดของงาน 3.1 ให้นักเรยี นแบง่ กล่มุ ตามความสมคั รใจ กลุม่ ละ 4-5 คน เพอ่ื ทำรายงานการถนอมอาหาร 3.2 ให้แต่ละกลมุ่ ปรึกษาหารือกันในกลุ่มเพื่อคดิ หัวขอ้ เรอื่ งการถนอมอาหาร เช่น การทำแหนม การทำ น้ำปลา การทำไตปลา การทำปลาร้า การหมักกะปิ การหมกั ซีอิว้ ฯลฯ โดยเนน้ วัตถดุ บิ ท่มี ีในท้องถน่ิ ของตัวเอง พรอ้ มส่งรายช่อื ให้กบั ครู 3.3 ในรปู เล่มรายงานการถนอมอาหารของแต่ละกลุ่มต้องประกอบไปด้วยหัวขอ้ ตอ่ ไปนี้ 1) แผนผงั การถนอมอาหาร เรื่อง..(ชื่อเรือ่ งท่ที ำ)....โดยบูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2) วตั ถดุ ิบทใี่ ช้ในการผลติ และวิธีการผลิต (พร้อมภาพประกอบ) 3) จุลินทรยี ์ที่เกยี่ วข้องกับการหมัก 3.4 แต่ละกลุม่ นำเสนอรายงานพร้อมผลงาน 4. กำหนดเวลาส่งงาน สง่ สัปดาหท์ ่ี 9 (ช่วั โมงท่ี 27) 5. แนวทางในการปฏบิ ตั ิงาน - นกั เรยี นสามารถศกึ ษาขอ้ มูลจากหนังสอื เรยี น ใบความรู้ อินเตอรเ์ นต็ และหาขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ จากผู้มี ความรใู้ นท้องถ่ินของตวั เองได้ เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการทำงาน 6. แหล่งขอ้ มูลคน้ คว้าเพ่มิ เติม 6.1 หนงั สอื เรยี นวิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร 6.2 ใบความรูท้ ่ี 3

77 แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 4 หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนคร้งั ท่ี 8-9 (ช่วั โมงที่ 25-30) รหสั วิชา 20000-1303 ชอื่ วชิ าวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร ท-ป-น.(1-2-3) ช่ือหนว่ ยการเรียนรู้ สารเคมใี นชีวติ ประจำวัน ทฤษฎี 2 ชม. ปฏิบัติ 3 ชม. 1. สาระสำคัญ สารเคมใี นชวี ติ ประจำวนั แบ่งออกเป็นสารทำความสะอาด สารปรงุ แตง่ อาหาร ยารกั ษาโรคสารเคมีทใี่ ชใ้ น การเกษตร และสารเคมีที่ใชใ้ นสำนักงาน ซง่ึ สารแต่ละชนิดจะมีสมบัติแตกต่างกัน จึงเหมาะต่อการใช้งานแตกต่าง กนั ไป เชน่ เหมาะตอ่ การใช้กำจัดสงิ่ สกปรกของร่างกาย ภาชนะหรือเครือ่ งสุขภัณฑเ์ หมาะต่อการนำไปใชป้ ระกอบ อาหาร รกั ษาโรค และใชใ้ นการเกษตร เปน็ ต้น การใชส้ ารเคมีอยา่ งถูกต้องและปลอดภัยจึงควรเลอื กใช้สารเคมใี ห้เหมาะสมกับงาน และอ่านฉลากก่อนใช้ อยา่ งละเอียด รวมถงึ การรจู้ กั สัญลกั ษณป์ ระเภทอันตรายจากสารเคมี เพื่อป้องกนั อันตรายท่อี าจเกิดขึ้นได้ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 2.1 แสดงความร้เู กย่ี วกับพันธุกรรม สารเคมใี นชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีชีวภาพ จุลนิ ทรยี ์ในอาหาร ปิโตรเลยี มและพอลิเมอร์ ไฟฟา้ และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ 2.2 สำรวจตรวจสอบเกยี่ วกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมตามหลกั พนั ธุศาสตร์ 2.3 วเิ คราะห์ผลกระทบของสารเคมแี ละคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าต่อมนษุ ย์ตามหลกั การ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 รแู้ ละเขา้ ใจเกีย่ วกบั สารเคมีในชีวิตประจำวัน และผลกระทบที่เกิดจากสารเคมีได้ 3.2 ทดสอบเก่ียวกับสารเคมใี นชีวติ ประจำวนั โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ 3.3 มเี จตคตแิ ละกิจนิสัยทดี่ ตี อ่ การศกึ ษาและสำรวจตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 สารทำความสะอาด 4.2 สารปรงุ แต่งอาหาร 4.3 ยารักษาโรค 4.4 สารเคมีทใ่ี ชใ้ นเกษตร 4.5 สารเคมีทใ่ี ช้ในสำนักงาน

78 5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (แบบ MIAP) (สัปดาหท์ ่ี 8-9) 1. ครแู ละผู้เรียนสนทนาเกย่ี วกับการนำสารเคมมี าใช้ประโยชนอ์ าจทำให้เกดิ ผลกระทบตอ่ ส่งิ มชี ีวิตและ ส่ิงแวดล้อม ถ้าใชไ้ มถ่ ูกตอ้ ง จึงควรระมัดระวงั มีการอ่านฉลากก่อนใช้ ใชใ้ นปริมาณทเ่ี หมาะสม และศกึ ษา ผลกระทบท่ีจะเกดิ ข้ึน ทั้งนเ้ี พ่อื ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผใู้ ช้ 2. ผูเ้ รยี นบอกสารเคมีมบี ทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวติ ประจำวนั อย่างไร 3. ครแู สดงรปู ภาพสารเคมีทว่ั ไปทีพ่ บได้ในชวี ติ ประจำวนั เพื่อเชอ่ื มโยงเขา้ สู่บทเรยี น ขนั้ สอน 4. ครูใช้เทคนิคการสอนแบบบรรยาย เพอื่ อธบิ ายเรอื่ งสารทำความสะอาด ว่าเป็นสารที่ชว่ ยทำให้สิ่งสกปรก หลุดออกจากวัสดทุ ตี่ อ้ งการทำความสะอาดไดง้ า่ ยขึ้น ตลอดจนฆ่าเชอื้ โรค สารทำความสะอาดแบ่งตามลักษณะ การเกดิ ได้เปน็ 2 ประเภท คอื 1). สารทำความสะอาดทไ่ี ด้จากธรรมชาติ สว่ นใหญไ่ ดจ้ ากพืช เช่น นํา้ มะนาว นํ้ามะขามเปียก นำมาใช้ ประโยชน์ในการขดั เครอ่ื งโลหะให้แวววาวขึน้ นอกจากนี้ยงั มเี กลอื ซง่ึ มคี ุณสมบตั ิสามารถยบั ยั้งการเติบโตของเชื้อ โรค 2). สารทำความสะอาดท่ไี ดจ้ ากการสังเคราะหส์ ารกล่มุ นีไ้ ดจ้ ากการทีม่ นุษย์สงั เคราะห์ขึ้นโดยนำสาร มาทำปฏิกริ ยิ าเคมีจนเกดิ เป็นสารทำความสะอาด เชน่ สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม นํ้ายาล้างจานน้าํ ยาล้างหอ้ งน้ํา

79 5. ครูใช้ส่อื วีดทิ ัศน์ เพือ่ อธิบายวธิ กี ารเตรยี มสบอู่ ยา่ งง่าย และทดลองทำสบขู่ ึ้นใช้เองได้ ซง่ึ มีขน้ั ตอนดงั นี้ 1). ใส่นํา้ มันมะพร้าวจำนวน 20 ลบ.ซม. ในบีกเกอรข์ นาด 250 ลบ.ซม. 2). เตมิ สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ท่ีเตรียมไว้ จำนวน 10 ลบ.ซม. ลงในนาํ้ มะพรา้ ว คนใหส้ ารผสม กัน 3). นำสว่ นผสมจากข้อ 2 ไปต้มประมาณ 10 นาที แล้วทิ้งไวใ้ ห้เย็น 4). ทดสอบการเกดิ ฟองโดยตกั สารที่ได้จากข้อ 3 จำนวนเล็กน้อยใส่ในหลอดทดลองขนาดกลาง แล้ว เตมิ นา้ํ กลน่ั ประมาณ 5 ลบ.ซม. เขย่าหลอดทดลอง สงั เกตการเปลีย่ นแปลงท่เี กดิ ขนึ้ 6.ครูเขียนโครงสร้างโมเลกุลของสบู่ และอธบิ ายวิธีการการกำจัดสิง่ สกปรกของสบู่ 7.ผู้เรยี นสบื คน้ รูปภาพ และอธิบายความแตกตา่ งของสบู่แตล่ ะชนดิ ซ่งึ ได้แก่ 1). สบ่แู ขง็ (Hard Soap) 2). สบใู่ ส (Transparent Soap) 3). สบู่เนือ้ อ่อน (Soft Soap) 4). สบเู่ หลว (Liquid Soap) 8.ครูใชส้ ื่อ Power Point บอกองค์ประกอบของผงซักฟอก ซงึ่ ไดแ้ ก่ 1). สารลดแรงตงึ ผิว 2). สารประกอบฟอสเฟต 3). สารประกอบซิลเิ กต

80 4). สารประกอบเพอร์บอเรต 5). สารประกอบคารบ์ อเนต 6). สารโซเดยี มคารบ์ อกซีเมทิลเซลลูโลส 9.ผูเ้ รยี นบอกข้อดแี ละขอ้ เสยี ของผงซักฟอก 10.ครอู ธิบายหนา้ ทขี่ ององคป์ ระกอบของแชมพสู ระผม (Shampoo) ผา่ นส่ือ Power Point ดงั น้ี 1). สารลดแรงตงึ ผวิ 1.1 สารลดแรงตึงผวิ ท่มี ปี ระจุลบ (Anionic Surfactant) 1.2 สารลดแรงตงึ ผิวไม่มีประจุ (Nonionic Surfactant) 1.3 สารลดแรงตงึ ผิวท่มี ปี ระจุบวก (Cationic Surfactant) 1.4 สารลดแรงตึงผวิ ทม่ี ที ง้ั ประจุบวกและประจุลบ (Amphoteric Surfactant) 2). สารปรุงแตง่ ในแชมพู เป็นสารอ่ืนๆ ทน่ี อกเหนอื จาก ไดแ้ ก่ สารเพิ่มฟอง สารปรับสภาพเสน้ ผม สารทำให้ขนุ่ สารทำใหล้ ะลาย สารเพิม่ ความหนดื สารกำจัดคราบ สารกันเสยี และสารป้องกันรังแค ตา่ งๆ ไข่ มะนาว โปรตนี 11.ผเู้ รียนอภปิ รายเน้ือหาเรอ่ื งองคป์ ระกอบในนา้ํ ยาล้างจาน ซึง่ มีองค์ประกอบดังนี้ 1). สารลดแรงตงึ ผิว 2). กลิ่นและสี ใช้เพ่อื ดงึ ดูดความสนใจของผใู้ ช้ โดยต้องใชต้ ามท่ีกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตใหใ้ ช้ เทา่ นั้น 3). สารกนั บดู ใช้ในปริมาณทน่ี อ้ ยมาก เพือ่ ปอ้ งกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรยี ที่จะทำให้กลนิ่ และ สีของนํา้ ยาล้างจานเปลี่ยนไป 4). นาํ้ มะนาว ใช้เพือ่ ลดแรงขัดในการขจดั คราบที่เกดิ จากการเผาไหมข้ องโปรตีนบนภาชนะจากการ เผา ป้งิ ทอด หรอื ยา่ ง 5). สารปรับความหนดื เป็นสารทใี่ ช้ในการเพิ่มหรือลดฟอง ถา้ ฟองมากเกนิ ไปจะทำใหเ้ กิดสารตกค้าง บนภาชนะได้

81 6). สารเพิ่มความอ่อนน่มุ สว่ นใหญ่เปน็ สารพวกนาํ้ มนั เพื่อทำให้เกิดความลน่ื นอกจากน้ียงั มีสารท่ี ทำให้เกิดความเป็นกลาง ปกตใิ นนา้ํ ยาลา้ งจานจะมคี ่าพเี อชประมาณ 5-9.5 12. ครูแสดงรูปภาพ และวดิ ีทศั น์ เพ่ืออธบิ ายเกีย่ วกบั สารทำความสะอาดห้องนา้ํ และสุขภัณฑ์ ซึ่งมี องค์ประกอบเป็นสารเคมีชนดิ ต่าง ๆ ดังนี้ 1). กรดไฮโดรคลอริก 2). พาราไดคลอโรเบนซีน เปน็ สารทช่ี ว่ ยดับกลน่ิ หรอื ผสมกบั หัวน้าํ หอมเป็นนํ้าหอมระเหยสำหรับใช้ ในหอ้ งนํ้า 3). โซเดยี มไบซัลเฟต หรือโพแทสเซยี มไบซลั เฟต ใชเ้ ปน็ สารละลายในนํ้ายาล้างโถส้วม ละลายไดด้ ี ในนํา้ เยน็ จะมปี ระสทิ ธภิ าพในการทำความสะอาดได้ดีเมอ่ื ผสมกับกรดคาร์บอลิกเพือ่ ฆ่าเช้ือโรค 4). โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ โซเดยี มไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ) และโซเดยี มไฮโปคลอไรด์ 5). ผงขดั 13. ผูเ้ รียนยกตวั อย่างสารปรุงแต่งอาหารทใี่ ชท้ ัว่ ไปในชีวติ ประจำวัน 14. ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบบรรยาย เพื่ออธิบายเร่อื งนํา้ ส้มสายชูประเภทต่าง ๆ ดงั นี้ 1). น้ําส้มสายชหู มกั เป็นนํา้ ส้มสายชูทีไ่ ด้จากการหมักธัญพชื ผลไม้ หรือนํ้าตาล โดยนำมาหมกั กับ ยสี ต์ นํา้ ส้มสายชูหมักจะมีกลน่ิ หอมตามกลน่ิ ของวัตถดุ ิบที่ใช้หมกั มรี สชาติดี มรี สหวานของน้ําตาลท่ีตกคา้ ง และมี ปรมิ าณกรดนํา้ ส้มไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 4 2). นํ้าส้มสายชกู ลน่ั เปน็ น้ําส้มสายชูทไี่ ดจ้ ากการหมกั แอลกอฮอลก์ บั เชือ้ นํ้าสม้ สายชแู ลว้ นำมากลั่น หรอื อาจได้จากการนำนา้ํ ส้มสายชูหมกั มากลนั่ น้าํ สม้ สายชกู ลนั่ ควรมีลกั ษณะใส ไมม่ ีตะกอนไมม่ สี ี มปี รมิ าณ กรดนํา้ สม้ ไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 4 3). น้ําสม้ สายชเู ทยี ม

82 15. ครแู สดงวดี ีทัศน์เกี่ยวกับกระบวนการผลติ ผงชรู ส และการทดสอบสารปลอมปนในผงชรู ส แผนผงั การผลิตผงชูรสจากแป้งมันสำปะหลังโดยสรปุ ดังน้ี การทดสอบสารปลอมปนในผงชรู ส 1). บอแรกซ์ การตรวจสอบหาบอแรกซ์ในผงชรู สทำได้โดยนำผงชรู สประมาณเม็ดถ่วั เขียวละลายนาํ้ 1 ชอ้ น กาแฟแลว้ นำกระดาษขมน้ิ จมุ่ ลงไป ถ้าเปน็ ผงชรู สแทก้ ระดาษขมนิ้ จะไมเ่ ปลย่ี นสี แต่ถ้ามีบอแรกซผ์ สมอยกู่ ระดาษ ขมิน้ จะเปลย่ี นเปน็ สนี าํ้ ตาลแดง หรือมสี ีคลํ้าลงทันที 2). โซเดียมเมตาฟอสเฟต ➤ ถ้าเป็นผงชรู สแท้ สารทไ่ี หมจ้ ะเปน็ สีดำ แตถ่ ้าผงชูรสน้นั มีสารอืน่ ผสมอยู่ เช่น บอแรกซห์ รอื โซเดียม เมตาฟอสเฟต จะปรากฏส่วนหน่งึ ไหมเ้ ป็นสดี ำ และอกี ส่วนหนึ่งหลอมตัวเป็นสขี าวรวมอยู่ด้วย ➤ ถา้ เป็นบอแรกซห์ รือโซเดียมเมตาฟอสเฟตเพียงอย่างเดยี ว สารนนั้ จะหลอมตัวเป็นสารสีขาวเท่านนั้

83 16. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ เก่ียวกับนํ้าตาลและวตั ถุกันเสีย สรุปข้อมูลเป็นผังความคิด และนำเสนอหนา้ ชั้นเรยี น 17. ครูและผเู้ รยี นอภิปรายเรอ่ื งสีผสมอาหารที่ไม่กอ่ ให้เกิดโทษต่อร่างกาย 18. ครใู ช้ส่อื Power Point ประกอบการสอนเรือ่ ง ยารักษาโรค ว่าเป็นสารทใ่ี ช้บรรเทาอาการเจบ็ ป่วย มี ทง้ั ชนิดเมด็ และชนดิ นาํ้ ซง่ึ ยาเหลา่ นีจ้ ะลดอาการเจบ็ ป่วยได้เล็กนอ้ ย ตัวอยา่ งยารกั ษาโรคท่ใี ช้ในชีวิตประจำวัน เชน่ ยาลดกรด ยาลดกรดทม่ี ีขายอยูท่ ั่วไปตามทอ้ งตลาด แบ่งเปน็ 2 ชนิด ได้แก่ 1). ยาลดกรดประเภทไฮดรอกไซด์ ยาชนดิ น้ีมีสารประกอบพวกอะลมู ิเนียมไฮดรอกไซด์และ แมกนีเซยี มไฮดรอกไซด์ ยาลดกรดท่มี ีอะลมู เิ นยี มไฮดรอกไซดเ์ ปน็ สว่ นผสม มชี ื่อทางการคา้ ว่าอะลัมมิลค์ (Alum Milk) ยานปี้ กติแลว้ จะคอ่ นข้างปลอดภยั ในการใช้ แต่ถา้ ใช้ในระยะเวลานานอาจทำใหเ้ กิดอาการทอ้ งผกู ได้ สว่ นยา ลดกรดที่มแี มกนเี ซียมไฮดรอกไซดเ์ ป็นส่วนผสม จะรู้จกั กันดใี นชอ่ื ของมลิ ค์ ออฟ แมกนีเซยี (Milk of Magnesia) มี คุณสมบตั ใิ นการลดกรดเกลอื ในกระเพาะอาหาร และใช้เป็นยาระบายได้ เนอ่ื งจากอาการข้างเคียงของยาตัวน้ี คอื ทำ ให้ท้องเดิน นอกจากนี้ยงั มสี ารประกอบพวกแมกนีเซียมไตรซลิ ิเกต ซ่งึ มกั จะใช้ผสมกบั ยาลดกรดตัวอ่นื ๆ เนอื่ งจาก สารตวั น้ีมีคุณสมบัติในการดูดซับสารต่างๆ ได้ดี 2). ยาลดกรดประเภทคาร์บอเนต ยาลดกรดชนิดนม้ี สี ารประกอบพวกโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต และแคลเซียมคาร์บอเนต ยาทม่ี ีสารประกอบพวกนจ้ี ะออกฤทธิ์เร็ว ช่วยบรรเทาอาการท้องอดื เช่น โซดามินต์ (Sodamint) อีโน (Eno) 19. สารเคมีปราบศัตรูพืช ซ่งึ สามารถแบง่ เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1). กลุม่ ออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine) เป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทีม่ ธี าตคุ ลอรนี (Cl) เปน็ องค์ประกอบ และสลายตวั ไดย้ าก โดยเม่อื ฉดี พ่นไปแล้วมกั สลายตวั ไดห้ มดในระยะเวลา 2-5 ปี แต่บางชนิดก็เปน็ พิษตกคา้ งอยู่นานหลายปี ตัวอย่างของสารพษิ ในกลุม่ นี้ ไดแ้ ก่ ดดี ที ี (DDT) แอลดริน (Aldrin) และดีลดรนิ (Dieldrin)ถ้ารา่ งกายไดร้ บั สารพิษน้ีเข้าไปเปน็ จำนวนมาก จะกอ่ ใหเ้ กดิ อาการหนา้ มดื เวยี นศีรษะ ท้องรว่ งหวั ใจ วาย และเสียชวี ิตได้ แต่ถา้ ไดร้ ับในปรมิ าณน้อย ความเป็นพษิ จะคอ่ ยๆ สะสมแล้วทำให้เกิดโรคร้ายแรงตา่ งๆ ตามมาได้ภายหลงั 2). กลมุ่ ออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate) เปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนที่มธี าตุฟอสฟอรสั (P) เปน็ องค์ประกอบ และสลายตวั ได้เรว็ โดยจะสลายตวั ได้หมดหลงั จากทีฉ่ ีดหรือพน่ แลว้ ในระหวา่ ง 1-12 สัปดาห์ ตัวอยา่ งของสารพษิ กลมุ่ นี้ ไดแ้ ก่ พาราไทออน (Parathion) มาลาไทออน (Malathion)และไดอะซินอน

84 (Diazinon)หากร่างกายไดร้ ับสารพิษนเี้ ข้าไป จะทำใหเ้ กดิ อาการเวียนศรี ษะ ตน่ื เตน้ ตกใจง่าย คล่นื ไสเ้ ปน็ ตะครวิ ชกั ไมส่ ามารถควบคุมกล้ามเน้อื และถึงขั้นเสียชีวิตได้ 3). กล่มุ คารบ์ าเมต (Carbamate) เป็นอนุพนั ธข์ องกรดคาร์บามกิ ทีม่ ีธาตไุ นโตรเจน (N) เมโทมิล (Methomyl) และคาร์โบฟวิ แรน (Carbofuran)สารพษิ กลุ่มนถี้ กู ใชก้ ันอยา่ งแพรห่ ลาย และคอ่ นข้างจะเป็นพษิ น้อยกว่า 2 กลุ่มแรก แตจ่ ะมีพษิ สงู ตอ่ ผึง้ และปลา และมีความเป็นพษิ ตอ่ ระบบประสาทเช่นเดยี วกับสารพิษกล่มุ ออรก์ าโนฟอสเฟต 4). กล่มุ ไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) เป็นสารพิษท่ีสลายตัวไดง้ ่าย ได้แก่ ไพรที ริน (Pyrethrin) ซงึ่ มีได้ จากท้งั ธรรมชาติ คอื สกัดจากดอกทานตะวนั และจากการสังเคราะห์ เชน่ เฟอรเ์ มทริน ไซเปอรเ์ มทรินสารพิษใน กล่มุ น้ถี กู นำมาใชฆ้ ่าแมลงได้ดี มีพิษคอ่ นข้างน้อยต่อมนษุ ย์และสัตวเ์ ลอื ดอ่นุ 20.ครูและผูเ้ รยี นอภิปรายเรือ่ งขอ้ ควรปฏิบัติในการใชส้ ารเคมีปราบศัตรพู ชื ซึง่ ขอ้ ปฏิบัติดังกล่าวไดแ้ ก่ 1). ก่อนใชส้ ารเคมปี ราบศตั รูพชื ตอ้ งอา่ นฉลากกำกบั ทกุ ครัง้ ใหเ้ ข้าใจกอ่ นใช้ และต้องปฏิบัติตามคำ เตือนและข้อควรระวังโดยเคร่งครัด 2). การผสมสารเคมีปราบศัตรูพชื อย่าใชม้ อื ผสม ให้ใช้ไมก้ วนหรอื คลุกยาให้เขา้ กัน ควรสวมถงุ มอื และ ผา้ ปิดปากทกุ ครง้ั อย่าใหเ้ ด็กหรอื ผู้ท่ีไมเ่ กย่ี วขอ้ งเขา้ ใกล้ขณะผสมยา 3). ถ้าหัวฉดี อุดตันห้ามใช้ปากเป่าหรือดดู ให้ใชล้ วดเลก็ ๆ เขีย่ ส่ิงอดุ ตนั ออกหรอื เปลีย่ นหัวฉีดใหม่ 4). ก่อนฉีดพ่นสารเคมีปราบศัตรพู ืชควรแตง่ ตัวให้มดิ ชดิ เพ่อื ปอ้ งกนั การสัมผสั ละอองยา 5). ขณะฉดี พน่ สารเคมีกำจัดศัตรพู ืช ควรสวมหนา้ กาก หรือใช้ผา้ ขาวมา้ สะอาดคาดจมกู และปากไวค้ วร อยูเ่ หนอื ลม และหยุดฉีดพ่นเม่อื ลมแรง 6). อยา่ สบู บุหรีห่ รอื รับประทานอาหารขณะผสมยาหรือฉดี พ่นยา 7). อยา่ ลา้ งภาชนะบรรจุหรืออปุ กรณ์เคร่ืองพ่นยาลงในแหล่งนํ้า และอย่าท้งิ ยาท่ีเหลอื ไว้ในไร่เน่ืองจาก เด็กหรือสตั วเ์ ล้ยี งอาจสัมผัสหรอื ไดร้ ับอันตรายจากยาเหล่านีไ้ ด้ 8). เมอื่ เสร็จจากการฉีดพ่นยาแลว้ ให้เปล่ยี นเส้ือผ้าท่ีใสน่ ำไปซักและอาบนา้ํ ให้สะอาด 9). เกบ็ วตั ถมุ พี ิษไวใ้ นภาชนะเดมิ เทา่ นนั้ อย่าถ่ายภาชนะโดยเดด็ ขาด 10). เกบ็ วัตถุมพี ิษไว้ในทป่ี ลอดภัย หา่ งจากเด็ก สัตวเ์ ลยี้ ง อาหาร และเปลวไฟ

85 21.ครูใช้สือ่ Power Point ประกอบการสอนเรอ่ื งสารเคมีท่ีใช้ในสำนกั งาน ซงึ่ มีสาระสำคัญดังน้ี 1). สารเคมีท่ีเป็นส่วนผสมในสเปรยป์ รับอากาศ เช่น อะซีโตน (Acetone) ถา้ รา่ งกายไดร้ ับในปริมาณ มากจะมผี ลตอ่ ระบบหายใจ ทำใหห้ ายใจช้าลง มนึ งงคล้ายคนเมาเหล้า ถ้าไดร้ บั เป็นประจำจะทำใหเ้ กดิ ผลต่อระบบ หมนุ เวียนเลือด ทำใหโ้ ลหิตจาง เนอื่ งจากสารพวกน้ีไปขดั ขวางการผลิตเม็ดเลือดแดง และทำให้ประสทิ ธภิ าพการ ทำงานของระบบตา่ งๆ ในร่างกายตํ่าลงด้วย นอกจากน้ีในกระปอ๋ งสเปรย์ปรบั อากาศยังมสี ารฟรีออน ซงึ่ เป็นสารที่ ทำให้เกิดแก๊สซเี อฟซี (Chloro Fluoro Carbon : CFC) ทไี่ ปทำลายโอโซนในช้นั บรรยากาศอกี ดว้ ย 2). สารเคมีที่นำมาใชเ้ ป็นส่วนผสมของน้ํายาลบคำผิด (Liquid Paper) เช่น เมทิลไซโคลเฮกเซนและไซ โคลเพนเทน (Methyl Cyclohexane & Cyclopentane) เปน็ สารเคมที เี่ ปน็ อนั ตรายตอ่ รา่ งกาย ห้ามสดู ดม เพราะจะทำใหว้ งิ เวยี นศีรษะ คลืน่ ไส้ อาเจียน ตอ้ งระวงั อย่าให้เขา้ ตา จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและอาจทำให้ ตาบอดได้ 3). สารเคมีที่อยูใ่ นเครอื่ งถา่ ยเอกสาร ได้แก่ ➤ ผงหมึก เคร่ืองถา่ ยเอกสารทว่ั ไปในปัจจุบนั (ระบบแห้ง) จะใช้ผงหมกึ ประเภทผงคาร์บอนดำร้อยละ 10 ผสมกบั พลาสติกเรซนิ ซงึ่ มอี นั ตรายตอ่ สขุ ภาพ ดังนนั้ จึงควรระมัดระวงั ขณะเตมิ ผงหมึก เป็นจำนวนมากควร หยดุ เครือ่ งและติดตอ่ บรษิ ทั เพือ่ รบั การซ่อมบำรุงทนั ที ➤ แกส๊ โอโซน ขณะทีเ่ คร่อื งถา่ ยเอกสารกำลงั ทำงานจะเกดิ แก๊สโอโซนขึ้น เมือ่ ผใู้ ช้หายใจเขา้ ไปจะมีผล ต่อระบบประสาท มีอาการง่วง มนึ ศรี ษะ ปากคอแห้ง ระคายระบบทางเดินหายใจระคายตาและผิวหนงั ➤ น้ํายาที่อาบกระดาษทใี่ ช้ในการถา่ ยเอกสาร ได้แก่ สารฟอร์มาลดไี ฮด์ ทำให้เกิดการระคายเคืองของ ผิวหนัง ขณะทใ่ี ชง้ านอาจทำให้ผทู้ ี่สมั ผัสเปน็ โรคผิวหนงั อักเสบนอกจากนี้ยังมีสารเคมอี นื่ ๆ ที่อาจพบไดใ้ นเคร่ือง ถ่ายเอกสาร เชน่ เซเลเนียม แคดเมยี มซัลไฟด์ซิงไดออกไซด์ และพอลเิ มอรบ์ างตวั แต่จะพบจำนวนน้อยมากใเครื่ องถา่ ยเอกสารสภาปกติ 4). สารเคมที เี่ ปน็ ส่วนผสมในนํ้ายาเชด็ กระจก เช่น เมทานอลหรือเมทิลแอลกอฮอล์เป็นสว่ นผสมอยู่ ในนา้ํ ยาเช็ดกระจก สารนจ้ี ะทำปฏิกิรยิ ากบั ผวิ หนัง และเป็นอันตรายตอ่ ผใู้ ช้ แต่สามารถทำลายคราบสกปรกต่างๆ ได้ดี ถา้ แอลกอฮอลเ์ ขา้ สูร่ ่างกายปริมาณมาก จะทำให้มอี าการปวดศีรษะ หวั ใจเตน้ ชา้ และมีผลตอ่ นัยน์ตา ทำให้ ตาพร่ามวั และอาจถึงขัน้ ตาบอดได้ 22.ผ้เู รียนบอกการปอ้ งกนั อนั ตรายจากการใช้เครื่องถา่ ยเอกสาร ซ่ึงควรปฏิบตั ิดังน้ี

86 1). การตดิ ตง้ั เครอ่ื งถ่ายเอกสาร ไม่ควรตงั้ ติดผนัง ควรตัง้ ในห้องที่มอี ากาศถ่ายเทสะดวกจะทำให้ สารเคมีที่ออกมาขณะปฏบิ ัติงานเจอื จางลง เพื่อลดการสมั ผัสสารเคมขี องผูป้ ฏิบตั ิงานได้ ถ้าเป็นไปไดค้ วรแยก เคร่ืองถ่ายเอกสารจากห้องผปู้ ฏบิ ตั งิ านอนื่ ๆ 2). ถา้ ไดก้ ลน่ิ ฉุนหรือไหม้ เนือ่ งจากการใช้งานมาก ต้องเลกิ ใช้ช่วั คราว หรอื ถา้ จำเป็นควรแจง้ ช่างซอ่ ม หรอื ผรู้ บั ผิดชอบ 3). ควรดแู ลรักษาเคร่ืองถ่ายเอกสารให้อยใู่ นสภาพดอี ยเู่ สมอ จะช่วยลดสารเคมที ่อี าจเพ่มิ ปริมาณจาก การใชง้ านได้ 4). อย่ามองแสงอลั ตราไวโอเลต ควรใช้แผ่นปิดทุกครง้ั ทใี่ ชเ้ ครอื่ งถา่ ยเอกสาร 23.ครูแสดงวิดีทศั น์ เพอ่ื อธิบายหลักการใชส้ ารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภยั ซ่งึ การใชส้ ารเคมีให้ปลอดภยั มีข้อควรรู้ดังต่อไปน้ี 1). ควรเลอื กใชส้ ารเคมีให้เหมาะกับงาน เชน่ ไม่นำผงซกั ฟอกมาทำความสะอาดภาชนะใส่อาหารเพราะ อาจมสี ารเคมตี กค้างที่เป็นอันตราย 2). กอ่ นใช้สารเคมตี ้องอ่านสมบตั ิของสารและขอ้ ควรระวงั บนฉลาก รวมถึงวธิ ีการใช้ เพื่อให้มคี วาม เข้าใจง่าย 3). ใชสารเคมีในปริมาณที่เหมาะสม และไมท่ ้ิงสารเคมใี นทส่ี าธารณะ ควรแยกทิง้ เพือ่ ให้เจา้ หนา้ ที่เกบ็ ไป ทำลายไดอ้ ย่างถกู ต้อง 4). ไม่สมั ผสั ชมิ หรอื ดมกลน่ิ สารเคมีทเี่ ปน็ อนั ตรายโดยตรง 24.ผ้เู รียนสบื คน้ สญั ลักษณป์ ระเภทของอันตรายจากสารเคมี และเขียนอธบิ ายความหมายของสัญลักษณ์ โดยละเอยี ด นำข้อมูลมาอภปิ รายรว่ มกบั เพ่ือนในช้นั เรยี น 25.ครูแนะนำให้ผูเ้ รียนร้จู กั การนำเอาความพอเพียงไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นความพอประมาณ ความมี เหตุผล รวมถงึ ความจำเปน็ ท่ตี ้องมีระบบภมู ิค้มุ กันในตัวทด่ี ีพอสมควรตอ่ ผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงทง้ั ภายนอกและภายใน การตดั สินใจและการดำเนนิ กจิ กรรมต่างๆให้อย่ใู นระดบั พอเพียงน้นั ตอ้ ง อาศยั ทั้งความร้แู ละคุณธรรมเป็นพ้นื ฐาน 26. ผเู้ รียนสำรวจส่งิ ของเครอ่ื งใช้ในชีวติ ประจำวัน ว่าสง่ิ ของเหลา่ นน้ั มสี ารเคมีเป็นองค์ประกอบหรอื ไม่เรา ใช้ประโยชนอ์ ยา่ งไร และมขี อ้ ควรระวังอย่างไรบ้าง

87 ข้นั พยายาม (Application) 1. นักเรียนทำกิจกรรมที่ 4.2 ขณะนกั เรยี นทำกจิ กรรมครูจะสังเกตการทำงานกลมุ่ 2. นักเรยี นตอบแบบฝกึ หดั ท้ายหนว่ ยและแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 4 ในหนงั สือเรยี นจนเสร็จ และ นำสง่ ครผู ู้สอนตามเวลาทีก่ ำหนด 3. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยระหว่างทำงาน และสังเกตการปฏิบัติงานของนักเรียน รายบุคคลและสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม ขนั้ สำเร็จผล (Progress) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยกิจกรรมท่ี 4.2 แบบฝึกหัดท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรียนหน่วย ท่ี 5 พรอ้ มกับบันทกึ คะแนนทไ่ี ด้ 2. นักเรยี นทำขอ้ สอบเก็บคะแนนหน่วยที่ 4 3. ครูตรวจและบันทกึ คะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 4 พรอ้ มแจ้ง คะแนนใหน้ ักเรียนทราบ 6. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ 6.1 ใบความรู้ ท่ี 4 6.2 ใบกจิ กรรม ท่ี 4.1-4.2 6.3 แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี นหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 6.4 ขอ้ สอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 6.5 หนังสอื เรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อการพฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร 6.6 วซี ดี ี 6.7 สไลดน์ ำเสนอเน้อื หาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลักฐานการเรียนรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการทำแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียนหน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 - ผลคะแนนสอบหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 4 7.2 หลกั ฐานการปฏบิ ตั ิงาน - ผลการทำใบกจิ กรรมที่ 4.1-4.2 - ผลการตอบแบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วยและแบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยท่ี 4 - สมดุ เชค็ ชื่อการเข้าเรียนในวิชาและสมุดบนั ทึกการสง่ งาน

88 8. การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วธิ ีการ - ตรวจใบกิจกรรมท่ี 4.1-4.2 - ตรวจแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 5 ในหนงั สอื เรยี น - ตรวจข้อสอบเก็บคะแนนหนว่ ยท่ี 4 - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม - สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล - สังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เครอ่ื งมือ - ใบกิจกรรมท่ี 4.1-4.2 - แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 4 ใน หนังสือเรียน - ข้อสอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยที่ 4 - แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม - แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - ใบกจิ กรรมที่ 4.1-4.2 ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - แบบทดสอบหลงั เรียน ตอ้ งได้คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - ข้อสอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยที่ 4 ต้องไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 50% ผา่ นเกณฑ์ - แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกล่มุ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตอ้ งได้ คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

89 9. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 9.1 ขอ้ สรุปหลงั การจดั การเรยี นรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปัญหาทีพ่ บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

90 แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ 5 หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ สอนครง้ั ที่ 11-12 (ชวั่ โมงที่ 30-35) รหสั วชิ า 20000-1303 ชื่อวิชาวิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ ท-ป-น..(1-2-3) ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ พอลิเมอร์ ทฤษฎี 2 ชม. ปฏิบัติ 3 ชม. 1. สาระสำคัญ พอลิเมอร์เป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่เกดิ จากหน่วยยอ่ ยที่เรียกว่า มอนอเมอร์ จำนวนมากมาเชื่อมต่อกันด้วย พนั ธะเคมีในปฏิกิริยาท่ีเรียกว่า พอลิเมอไรเซชัน ในปัจจุบันพอลิเมอร์มีบทบาทสำคัญตอ่ สิ่งมีชีวิตประจำวันอย่าง มากโดยแบ่งเป็นพอลิเมอร์ท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น เซลลูโลส แป้ง และพอลิเมอร์ที่ได้จากการสังเคราะห์ เช่น พลาสตกิ เสน้ ใยสังเคราะห์ และยางสังเคราะห์ แต่การใช้พอลเิ มอรเ์ หล่านี้เป็นจำนวนมากจะทำให้เกิดปัญหา ขยะท่ีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นควรจะศึกษาสมบัติของพอลิเมอร์ชนิดต่าง ๆ และใช้อย่างมี ประสทิ ธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อมจึงเปน็ สง่ิ สำคัญ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 2.1 แสดงความรู้เกี่ยวกับความหมายและประเภทของพอลิเมอร์ ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ ผลิตภัณฑ์ จากยางและพอลเิ มอร์ ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยขี องผลิตภัณฑ์พอลิเมอรส์ งั เคราะห์และการกำจดั พลาสตกิ 2.2 เปรียบเทยี บโครงสร้างและสมบัตขิ องพอลิเมอร์แบบต่าง ๆ 2.3 แสดงความรู้และทดลองการสลายตวั ของพลาสติก การทำเสน้ ใยสังเคราะห์ และการทดสอบพลาสติก รีไซเคลิ 2.4 แสดงความรูเ้ กย่ี วกับการนำพลาสตกิ รีไซเคลิ มาใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั 2.5 สำรวจตรวจสอบเกย่ี วกบั สมบัตขิ องปโิ ตรเลียมและพอเลเิ มอรด์ ว้ ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 อธิบายความหมายของมอนอเมอร์ พอลิเมอร์ พอลิเมอร์ธรรมชาตแิ ละพอลิเมอร์สังเคราะห์ ปฏิกริ ยิ า พอลเิ มอไรเซชัน และการรไี ซเคิลได้ 3.2 ทดลองและอธิบายการเกดิ พอลเิ มอรแ์ ละสมบัติของพอลเิ มอร์ได้ 3.3 อธิบายโครงสร้างของพอลเิ มอร์ ทดลองและอธิบายการใช้ประโยชน์จากพอลเิ มอรไ์ ด้

91 3.4 อภิปรายการนำพอลิเมอร์ไปใช้ประโยชน์ รวมท้ังผลท่ีเกิดจากการผลิตและการใช้พอลิเมอร์ต่อ สง่ิ มีชีวติ และสิ่งแวดล้อมได้ 3.5 อธิบายความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของผลิตภณั ฑส์ ังเคราะห์ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 พอลเิ มอร์ธรรมชาตแิ ละพอลิเมอร์สังเคราะห์ 4.2 การเกิดพอลิเมอร์ 4.3 โครงสรา้ งพอลิเมอร์ 4.4 ผลิตภณั ฑ์จากพอลิเมอร์ 4.5 ผลกระทบจากการใชพ้ อลเิ มอร์ตอ่ ส่งิ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม 4.6 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยขี องผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์สงั เคราะห์ 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (แบบ MIAP) (สัปดาห์ที่ 11-12) ขั้นสนใจปญั หา (Motivation) 1. ครูชแ้ี จงวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ เรอ่ื ง ผลิตภณั ฑ์ยางและพอลิเมอร์ ให้นกั เรียนทราบ 2. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 6 ผลิตภณั ฑ์ยางและพอลเิ มอร์ 3. ครูถามนักเรยี นว่า นักเรียนรู้จกั ผลติ ภัณฑ์จากยางและพอลเิ มอร์ท่ีใชอ้ ย่ใู นชวี ิตประจำวนั หรอื ไม่ ถ้า รจู้ ักมอี ะไรบ้าง 4. นักเรียนช่วยกนั ตอบคำถาม ข้ันให้เนอ้ื หา (Information) 1. ครูสอนและอธิบาย เรื่อง ผลิตภัณฑ์ยางและพอลิเมอร์ โดยใช้โปรแกรม Microsoft Power Point สือ่ วซี ดี ี และหนังสอื เรยี นประกอบการสอน 2. ครูต้งั คำถามกระตุน้ การเรียนร้ขู ณะทสี่ อนในแต่ละหวั ขอ้ ดงั นี้ - พอลเิ มอร์และมอนอเมอรแ์ ตกต่างกนั อยา่ งไร (พอลิเมอร์ สารโมเลกลุ ใหญ่ที่ประกอบด้วยหนว่ ย ยอ่ ยซ้ำ ๆ กันจำนวนมากเช่อื มตอ่ กนั ด้วยพนั ธะเคม)ี - พอลิเมอร์แบ่งตามแหล่งกำเนิดได้เป็นประเภทใดบ้าง (พอลิเมอร์ธรรมชาติและพอลิเมอร์ สังเคราะห์)

92 - พอลิเมอร์เกดิ ขึ้นไดอ้ ยา่ งไร (กระบวนการพอลเิ มอไรเซชัน) - วัตถุดิบท่ีใช้สังเคราะห์พอลิเมอร์ส่วนใหญ่ได้มาจากแหล่งใด (การกล่ันน้ำมันดิบและแก๊ส ธรรมชาติ) - ยกตวั อย่างผลติ ภัณฑ์จากพอลเิ มอร์ (พลาสติก ยาง เสน้ ใย) - เทอร์โมพลาสติกและพลาสติกเทอร์มอเซตมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกันอย่างไร (เทอร์มอ พลาสติก เป็นพลาสติกที่ได้รับความร้อนแล้วอ่อนตัว และเมื่ออุณหภูมิลดลงจะแข็งตัว ถ้าให้ ความร้อนอกี กจ็ ะออ่ นตัว และสามารถทำให้กลบั เป็นรูปรา่ งเดิมหรือเปลยี่ นรูปร่างได้ โดยสมบัติ ของพลาสติกไม่เปล่ียนแปลง จึงสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ส่วนพลาสติกเทอร์มอเซต เป็น พลาสติกทข่ี ้ึนรูปด้วยการผ่านความรอ้ นหรอื แรงดัน ไมส่ ามารถนำกลับมาขึ้นรูปใหมไ่ ดอ้ กี ) - เพราะเหตุใดพลาสติกจึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม (พลาสติกสลายตัว ยาก ไม่ละลายนำ้ ไมล่ ะลายในกรด-เบส หรอื ตัวทำละลายอนิ ทรีย์บางชนิด) 3. ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นซักถามขอ้ สงสยั ข้นั พยายาม (Application) 1. ครูแบ่งนักเรยี นเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ทำกิจกรรมท่ี 5.1-5.2 ขณะนักเรยี นทำกจิ กรรมครูจะสังเกต การทำงานกลมุ่ 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอกิจกรรมท่ี 5.1-5.2 หน้าชั้นเรียน โดยมีครูคอยให้ข้อมูลเพิ่มเติมและ ตรวจสอบผลการทำกิจกรรม 3. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เฉลยและอภปิ รายผลการทำกิจกรรม 4. นกั เรียนตอบแบบฝึกหดั ทา้ ยหนว่ ยและแบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 5 ในหนังสอื เรียนจนเสร็จ และ นำส่งครผู สู้ อนตามเวลาทก่ี ำหนด 5. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยระหว่างทำงาน และสังเกตการปฏิบัติงานของนักเรียน รายบุคคล ข้ันสำเรจ็ ผล (Progress) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจเฉลยแบบฝึกหดั ท้ายหน่วยและแบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยที่ 5 พร้อม กับบนั ทึกคะแนนทไ่ี ด้ 2. นักเรยี นทำขอ้ สอบเกบ็ คะแนนหน่วยที่ 6 ผลติ ภัณฑ์ยางและพอลเิ มอร์ 4. ครูตรวจและบันทกึ คะแนนของนกั เรียนทไี่ ด้จากการทำแบบทดสอบหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 5 พร้อมแจง้ คะแนนให้นักเรยี นทราบ

93 6. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 6.1 ใบความรู้ ท่ี 5 6.2 กจิ กรรมท่ี 5.1-5.2 6.3 แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี นหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 5 6.4 ข้อสอบเก็บคะแนนหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 6.5 หนงั สอื เรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพอ่ื การพัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบริการ 6.6 วซี ีดี 6.7 สไลด์นำเสนอเนือ้ หาจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint 7. หลกั ฐานการเรียนรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ - ผลการทำแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี นหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 5 - ผลคะแนนสอบหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 7.2 หลกั ฐานการปฏบิ ัตงิ าน - ผลการทำกจิ กรรมที่ 5.1-5.2 - ผลการตอบแบบฝกึ หัดทา้ ยหนว่ ยและแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 5 - สมุดเชค็ ชอื่ การเข้าเรยี นในวิชาและสมุดบนั ทึกการสง่ งาน 8. การวดั และประเมินผล 8.1 วิธกี าร - ตรวจกิจกรรมท่ี 5.1-5.2 - ตรวจแบบทดสอบก่อน-หลังเรียน แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 5 ในหนงั สอื เรยี น - ตรวจขอ้ สอบเก็บคะแนนหนว่ ยที่ 5 - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม - สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล - สังเกตและประเมินพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

94 8.2 เคร่อื งมอื - กิจกรรมท่ี 5.1-5.2 - แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น แบบฝึกหัดท้ายหน่วย และแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 5 ใน หนงั สือเรียน - ข้อสอบเกบ็ คะแนนหน่วยท่ี 5 - แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล - แบบประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.3 เกณฑ์ - กจิ กรรมที่ 5.1-5.2 ตอ้ งไดค้ ะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - แบบทดสอบหลังเรียน ต้องไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 60% ผา่ นเกณฑ์ - ข้อสอบเกบ็ คะแนนหนว่ ยท่ี 5 ต้องไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 50% ผา่ นเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิกจิ กรรมกล่มุ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไดค้ ะแนนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตอ้ งได้ คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์

95 9. บนั ทกึ ผลหลงั การจัดการเรียนรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลงั การจัดการเรยี นรู้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.2 ปญั หาทีพ่ บ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................

96 ใบความร้ทู ่ี 6 หน่วยท่ี 5 สอนครั้งท่ี 11-12 (ชั่วโมงท่ี 30-35) หลักสูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี เวลา 5 ชม. รหัสวิชา 20000-1303 ชอ่ื วิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบรกิ าร ช่อื เร่ือง พอลิเมอร์ 1. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จุดประสงคท์ ว่ั ไป 1) อธบิ ายความหมายและสมบัตขิ องพอลเิ มอรไ์ ด้ 2) อธบิ ายปฏกิ ริ ยิ าการเกิดพอลิเมอรไ์ ด้ 3) อธบิ ายลกั ษณะโครงสรา้ งและสมบตั ขิ องพอลเิ มอรไ์ ด้ 1.2 จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1) จำแนกประเภทของพอลิเมอรไ์ ด้ 2) ยกตวั อย่างผลติ ภัณฑย์ างและพอลิเมอรไ์ ด้ 3) แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยุดนิ่งท่ีจะแก้ปัญหา ความซ่ือสัตย์ ความร่วมมือ ช่วยเหลอื เกือ้ กลู 2. สมรรถนะ 1) แสดงความรู้เกีย่ วกบั ความหมายและประเภทของพอลเิ มอร์ ปฏกิ ิริยาการเกดิ พอลิเมอร์ ผลติ ภณั ฑจ์ าก ยางและพอลเิ มอร์ ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยขี องผลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอร์สงั เคราะห์และการกำจัดพลาสติก 2) เปรยี บเทียบโครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอรแ์ บบต่าง ๆ 3) แสดงความรแู้ ละทดลองการสลายตวั ของพลาสติก การทำเส้นใยสังเคราะห์ และการทดสอบพลาสตกิ รไี ซเคิล 4) แสดงความรเู้ กีย่ วกับการนำพลาสติกรไี ซเคิลมาใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวัน 3. เน้อื หาสาระ พอลิเมอร์ (Polymer) คือ เป็นสารท่ีมีมวลโมเลกุลสูง มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เกิดจากโมเลกุลพ้ืนฐานที่ เรียกว่า มอนอเมอร์ (Monomer) จำนวนมากมาเช่อื มต่อกนั ด้วยพนั ธะโคเวเลนต์ มอนอเมอร์ (Monomer) คือ หน่วยเล็ก ๆ ของสารในพอลิเมอร์ ดังภาพ

97 3.1 ประเภทของพอลเิ มอร์ การแบ่งประเภทของพอลิเมอร์ แบง่ โดยใชเ้ กณฑพ์ ิจารณาดงั ต่อไปน้ี 3.1.1 การแบง่ ประเภทของพอลิเมอร์โดยพจิ ารณาจากแหลง่ กำเนดิ แบง่ เป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1) พอลเิ มอรธ์ รรมชาติ พอลิเมอรป์ ระเภทนีเ้ กิดข้ึนตามธรรมชาติ ได้แก่ แปง้ ไกลโคเจน เซลลูโลส (ทงั้ สามชนดิ นม้ี ี น้ำตาลกลโู คสเป็นมอนอเมอร์) โปรตีน (มีกรดอะมิโนเป็นมอนอเมอร์) DNA RNA (มนี ิวคลโี อไทด์เป็นมอนอเมอร์) ยางธรรมชาติ และเส้นใยธรรมชาติ เป็นตน้ แป้ง ยางพารา ฝ้าย ใยไหม ภาพท่ี 5.1 พอลเิ มอรธ์ รรมชาติ 2) พอลิเมอรส์ งั เคราะห์ พอลิเมอร์ประเภทน้ีมนษุ ย์ เป็นผสู้ ังเคราะห์ข้ึน ได้แก่ พลาสติกชนิดต่างๆ ยางสังเคราะห์ เส้น ใยสงั เคราะห์ เป็นต้น พลาสตกิ เชอื กพลาสตกิ เมลานนิ ยางสังเคราะห์ ภาพที่ 5.2 พอลเิ มอรส์ งั เคราะห์

98 3.1.2 การแบง่ ประเภทของพอลิเมอร์โดยพจิ ารณาจากส่วนประกอบ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1) โฮโมพอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ท่ีประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น พอลิไวนลิ คลอไรด์ (PVC) เกิดจากไวนิลคลอไรด์ (CH2 = CHCl) หลายๆ โมเลกุลเชอ่ื มตอ่ กนั โคพอลิเมอร์จากธรรมชาติ เช่น แป้ง ไกลโคเจน เซลลูโลส (มีกลูโคสเป็นมอนอเมอร์) ยาง ธรรมชาติ (มีไอโซพรนี เปน็ มอนอเมอร์) ส่วนโคพอลิเมอร์จากการสังเคราะห์ เชน่ พอลเิ อทลิ ีน (มีเอทลิ ีนเป็นมอนอ เมอร์) พอลไิ วนลิ คลอไรด์ (มไี วนิลคลอไรด์เป็นมอนอเมอร์) 2) เฮเทอโรพอลเิ มอร์ (Heteropolymer) เป็นพอลิเมอรท์ ่ีประกอบด้วยมอนอเมอร์ตา่ งชนดิ กนั เชน่ โปรตีน (ประกอบดว้ ยมอนอเมอรท์ เี่ ปน็ กรดอะมโิ นตา่ งชนิดกนั ) พอลิเอสเทอร์ พอลิเอไมด์ เป็นตน้ 3.2 โครงสรา้ งพอลเิ มอร์ 3.2.1 พอลเิ มอร์แบบเสน้ (Chain length polymer) เปน็ พอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์สรา้ งพันธะต่อ กันเป็นสายยาว โซ่พอลเิ มอรเ์ รียงชดิ กนั มากวา่ โครงสรา้ งแบบอ่นื ๆ จงึ มีความหนาแน่น และจดุ หลอมเหลวสงู มี ลกั ษณะแข็ง ขนุ่ เหนียวกว่าโครงสร้างอน่ื ๆ ตวั อย่าง PVC พอลิสไตรนี พอลิเอทลิ นี ดงั ภาพ 3.2.2 พอลิเมอรแ์ บบกงิ่ (Branched polymer) เปน็ พอลเิ มอร์ท่ีเกิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตก กิ่งก้านสาขา มีทัง้ โซส่ ้นั และโซ่ยาว กง่ิ ทแี่ ตกจาก พอลเิ มอร์ของโซ่หลัก ทำให้ไมส่ ามารถจัดเรยี งโซพ่ อลเิ มอร์ใหช้ ดิ กนั ไดม้ าก จงึ มีความหนาแนน่ และจดุ หลอมเหลวต่ำยืดหยนุ่ ได้ ความเหนียวต่ำ โครงสรา้ งเปลี่ยนรูปไดง้ า่ ยเม่อื อุณหภูมเิ พิ่มข้นึ ตวั อยา่ ง พอลิเอทลิ นี ชนดิ ความหนาแนน่ ต่ำ ดงั ภาพ 3.2.3 พอลิเมอรแ์ บบร่างแห (Croos -linking polymer) เป็น พอลเิ มอร์ท่ีเกิดจากมอนอเมอร์ต่อเชอ่ื ม กนั เปน็ รา่ งแห พอลเิ มอรช์ นดิ นม้ี ีความแขง็ แกร่ง และเปราะหักงา่ ย ตัวอยา่ งเบกาไลต์ เมลามีนใช้ทำถ้วยชาม ดัง ภาพ

99 หมายเหตุ พอลเิ มอร์บางชนิดเปน็ พอลิเมอร์ที่เกดิ จากสารอนินทรยี ์ เช่น ฟอสฟาซีน ซิลิโคน 3.3 ผลิตภณั ฑ์จากพอลเิ มอร์ ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ท่ีนำมาใช้ประโยชน์มีหลายประเภท ซ่ึงมีทั้งพอลิเมอร์ธรรมชาติ และพอลิเมอร์ สังเคราะห์ โดยแยกเป็นประเภทต่าง ๆ ดงั น้ี 3.3.1 พลาสติก พอลิเมอร์ที่นำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพ่ือใช้งานในรปู แบบต่าง ๆ เช่น ถ้วย จาน ชาม เก้าอี้ รองเท้าด้าม ปากกาถงุ ใส่ของ ภาชนะ เรียกรวมว่า ผลิตภณั ฑ์พลาสติก สมบัติทวั่ ไปของพลาสติก 1) มีความเสถยี รมากในธรรมชาติ สลายตัวยาก มีมวลน้อย และเบา 2) เป็นฉนวนความรอ้ นและไฟฟา้ ที่ดี 3) สว่ นมากอ่อนตวั และหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน จึงเปลย่ี นเป็นรูปต่างๆ ได้ตามประสงค์ ประเภทของพลาสตกิ 1) เทอร์มอพลาสติก เม่ือได้รบั ความร้อนจะอ่อนตัว และเม่ือเยน็ ลงจะแข็งตัว สามารถเปล่ียน รปู ได้ พลาสติกประเภทน้ีโครงสรา้ งโมเลกุลเป็นโซ่ตรงยาว มีการเช่ือมต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์นอ้ ยมาก จึงสามารถ หลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากจะไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ตัวอย่าง พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลสิ ไตรนี 2) พลาสตกิ เทอร์มอเซต จะคงรูปหลังการผ่านความร้อนหรอื แรงดนั เพยี งครงั้ เดยี ว เมือ่ เย็นลง จะแขง็ มาก ทนความร้อนและความดัน ไม่อ่อนตัวและเปลยี่ นรูปร่างไม่ได้ แต่ถา้ อุณหภูมิสูงกจ็ ะแตกและไหม้เป็น ข้ีเถ้าสีดำ พลาสติกประเภทน้ีโมเลกุลจะเช่ือมโยงกันเป็นร่างแหจับกันแน่น แรงยึดเหนีย่ วระหว่างโมเลกุลแข็งแรง มาก จึงไมส่ ามารถนำมาหลอมเหลวได้ ตวั อยา่ ง เมลามีน พอลยิ ูรเี ทน 3.3.2 เสน้ ใย

100 เสน้ ใย คอื พอลิเมอร์ท่ีมโี ครงสร้างโมเลกลุ เหมาะแก่การรีด และปั่น ให้เป็นเส้นด้าย ซึ่งมีท้ังในธรรมชาติ และมนุษย์สามารถสงั เคราะห์ขน้ึ ประเภทของเส้นใย 1) เส้นใยจากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ เส้นใยทมี่ อี ยูใ่ นธรรมชาติ แบง่ ได้เปน็ - เส้นใยจากพืช ได้แก่ เส้นใยจากเซลลูโลส เป็นเส้นใยท่ีประกอบด้วยเซลลูโลส ซ่ึงได้จาก สว่ นต่างๆของพืช เช่น ป่าน ปอ ลินิน ใยสับปะรด ใยมะพร้าว ฝ้าย นุ่น ศรนารายณ์ เป็นต้น เซลลูโลส เป็น โฮโม พอลเิ มอร์ ประกอบด้วยโมเลกลุ ของกลโู คสจำนวนมาก มโี ครงสรา้ งเป็นกิ่งก้านสาขา - เส้นใยจากสัตว์ ได้แก่ เส้นใยโปรตีน เช่น ขนสัตว์ (wool) ไหม (silk) ผม (hair) เล็บ เขา ใยไหม เป็นต้น เส้นใยเหล่าน้ี มีสมบัติ คือ เมื่อเปียกน้ำ ความเหนียวและความแข็งแรงจะลดลงถ้าสัมผัสแสงแดด นานๆ จะสลายตวั - เส้นใยจากสินแร่ เช่น แร่ใยหิน (asbestos) ทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมี ทนไฟ ไม่นำ ไฟฟ้า 2) เสน้ ใยสังเคราะห์ เป็นเส้นใยท่ีมนุษย์สังเคราะห์ขึ้นจากสารอนินทรีย์หรือสารอินทรีย์ใช้ทดแทนเส้นใยจาก ธรรมชาติ แบ่งเป็น 3 ประเภท - เส้นใยพอลิเอสเตอร์ เช่น เทโทรอน ใช้บรรจุในหมอน เพราะมีความฟูยืดหยุ่นไม่เป็น อันตรายต่อผิวหนัง สำหรับดาครอน (Dacron) เปน็ เส้นใยสังเคราะหพ์ วกพอลิเอสเทอร์อีกชนดิ หนงึ่ ซงึ่ เรียกอีกช่ือ หน่งึ วา่ Mylar มปี ระโยชนท์ ำเส้นใยทำเชือก และฟลิ ์ม - เส้นใยพอลเิ อไมด์ เช่น ไนลอน (Nylon) เป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีหลายชนิด เช่น ไนลอน 6,6 ไนลอน 6,10 ไนลอน 6 ซึง่ ตวั เลขทีเ่ ขียนกำกับหลังชอ่ื จะแสดงจำนวนคารบ์ อนอะตอมในมอนอเมอรข์ องเอมีน และกรดคาร์บอกซิลิก ไนลอนจดั เป็นพวกเทอรม์ อพลาสติก มีความแขง็ มากกว่าพอลิเมอร์แบบเติมชนดิ อื่น (เพราะ มีแรงดงึ ดูดที่แข็งแรงของพนั ธะเพปไทด์) เป็นสารทีต่ ดิ ไฟยาก (เพราะไนลอนมีพันธะ C-H ในโมเลกุลนอ้ ยกวา่ พอลิ เมอร์แบบเติมชนิดอ่ืน) ไนลอนสามารถทดสอบโดยผสมโซดาลาม (NaOH + Ca(OH) 2) หรือเผาจะให้ก๊าซ แอมโมเนีย ประโยชน์ของไนลอน ใช้ในการทำเสื้อผ้า ถุงเทา้ ถงุ น่อง ขนแปรงต่างๆ สายกีต้าร์ สายเอ็น ไมแ้ ร็กเก็ต เป็นตน้ - เส้นใยอะคริลกิ เชน่ ออร์ใช้ในการทำเสอ้ื ผา้ ผ้านวม ผ้าขนแกะเทียม ร่มชายหาด หลงั คากัน แดด ผ้ามา่ น พรม เป็นต้น เซลลูโลสแอซีเตด เป็นพอลิเมอร์ที่เตรียมได้จากการใช้เซลลูโลสทำปฏิกิริยากับกรดอซิติก เข้มข้น โดยมีกรอซัลฟูรกิ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา การใช้ประโยชน์จากเซลลูโลสอะซีเตด เชน่ ผลิตเป้นเส้นใยอาร์แนล 60 ผลิตเปน็ แผน่ พลาสติกทีใ่ ชท้ ำแผงสวติ ช์และหมุ้ สายไฟ 3) เส้นใยกึง่ สงั เคราะห์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook