ชีวิตท่ีสรางสรรคสดใสและ สุขสันต พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) มงคลวารอายคุ รบ ๖ รอบ สันต อารยางกูร ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙
ชีวิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสุขสนั ต© พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต)ISBNพิมพครงั้ ที่ ๑ - กนั ยายน ๒๕๔๙ ๑,๐๐๐ เลม(รวมเนื้อหาจากหนงั สอื ที่มีอยูกอน ๔ เลม และจดั ปรับตามควร) ๑,๐๐๐ เลม- มงคลวารอายคุ รบ ๖ รอบ สนั ต อารยางกรูแบบปก: พระชัยยศ พทุ ฺธวิ โรพมิ พที่
สารบญัอนุโมทนีย กชวี ติ ทีส่ รา งสรรค สดใสและสขุ สันต ๑วาสนาสรางเองได ๑วันเกิดเปน วันดี เพราะเราทําใหดี ๑ทาํ บญุ วันเกิดใหเปน การเริ่มตนที่ดี ๒วนั เกดิ คอื วนั ทเ่ี ตือนใจใหเ กิดกันใหด ๆี ๒เราสรางวาสนา แลว วาสนากส็ รา งเรา ๓ถาคิดเปน กพ็ ลกิ วาสนาได ๕มาสรา งวาสนาดๆี ทจี่ ะใหมีความสุข ๖จติ ใจท่ดี ี ตอ งเกดิ หา อยางนี้เปน ประจํา ๗เกดิ คอื เชอ่ื มตอทก่ี าํ เนดิ กบั ความงอกงามตอไป ๘ เชื่อมเรา กบั คุณพอ-คณุ แม ๘ เช่ือมฐานวัฒนธรรมไทย กับความเจริญท่จี ะกาวหนาตอไป ๙นึกถงึ วันเกดิ ชว ยใหไ มห ลงเตลดิ ออกจากธรรมชาติ ๑๐ เชื่อมบคุ คลในสังคม กับชวี ิตในธรรมชาติ ๑๐วันเกิด ทาํ ใหไมล มื ทจ่ี ะหวนกลบั มาพฒั นาชวี ิต ที่เปนตวั แทข องเรา ๑๑เกิดมาแลว ถา เลย้ี งไมดี จะเปนคนท่ีทุกขง าย-สขุ ไดย าก ๑๓ถาเกดิ แลว พฒั นา ย่งิ เกดิ มานาน ย่งิ สุขทกุ สถาน ๑๔
ง ชีวิตท่สี มบรู ณชวี ติ ทส่ี มบรู ณ ๑๖นาํ เรอ่ื ง ๑๖ทาํ บญุ เพ่ืออะไร? ๑๖อยามองขา มความสําคญั ของวตั ถุ ๒๑จุดเริ่มตน คอื ประโยชนส ขุ ข้ันพนื้ ฐาน ๒๒พ้นื ฐานจะมน่ั ตองลงรากใหล กึ ๒๕ถาลงลึกได จะถงึ ประโยชนส ุขท่ีแท ๒๗ถงึ จะเปน ประโยชนแท แตก็ยงั ไมส มบรู ณ ๓๐ถา กระแสยงั เปน สอง กต็ อ งมีการปะทะกระแทก ๓๒พอประสานเปน กระแสเดียวได คนกส็ บายงานกส็ าํ เร็จ ๓๔ปญญามานํา มองตามเหตปุ จ จัยตวั เองกส็ บาย แถมยงั ชว ยคนอน่ื ไดอ กี ๓๗ประโยชนส ขุ ท่สี มบรู ณจะเกิดขนึ้ ได จติ ใจตองมอี สิ รภาพ ๓๙อิสรชน คอื คนที่ไมย บุ ไมพอง ๔๑ถาโชคมา ฉนั จะมอบมนั ใหเปนของขวัญแกม วลประชา ๔๓ถาเคราะหมา มันคือของขวญั ที่สง มาชว ยตัวฉนั ใหยงิ่ พัฒนา ๔๕ทาํ ไม โลกย่งิ พฒั นา ชาวประชายง่ิ เปนคนทส่ี ุขยาก ๔๙ความสขุ จะเพ่ิมทวี ถาพัฒนาอยา งมีดลุ ยภาพ ๕๑ถา ไมมีความสขุ แบบประสาน กไ็ มม ีการพฒั นาแบบยง่ั ยนื ๕๓การพฒั นาแบบย่งั ยนื มาดวยกนั กบั ความสขุ แบบย่งั ยนื ๕๕ชวี ติ สมบรู ณ ความสุขกส็ มบูรณ สงั คมก็สุขสมบรู ณเพราะจติ เปนอิสระดว ยปญ ญา ทีถ่ งึ การพัฒนาอยางสมบรู ณ ๕๘
พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) จ๑เพิม่ พลังแหง ชวี ติ ๖๒ ๖๓เร่มิ ตนดี ดวยสามัคคใี นบุญกุศล ๖๕ถารเู ขา ใจ จะอยากใหอายุมาก ๖๖หาคําตอบใหได วาพลงั ชวี ติ อยทู ไ่ี หน ๖๙พอจับแกนอายุได กพ็ ัฒนาตอไปใหค รบชุด ๗๑เมอื่ อายคุ ืบหนา เรากเ็ ติมพลังอายุไปดวย ๗๔สรา งสรรคข างใน ใหส อดคลองกนั กับสรางสรรคขา งนอกเกดิ กุศล เปนมงคลมหาศาลชีวติ จะงาม สงั คมจะดี ตอ งมีการศกึ ษาทไี่ มผิด ๗๕ภาค ๑ มองสงั คมใหถ งึ คน ๗๗งานท่ีตอ งเพงและเรง คือฟน ฟชู นบททีเ่ ปน สว นใหญข องประเทศไทย ๗๗- ไมใ หค วามเส่ือมแบบเมืองไหลเขาชนบท แตใหชนบทเปน สติแกเ มอื ง ๗๗- ฟนฟูบทบาททแี่ ทของวดั ข้ึนมา ใหประสานบานกบั โรงเรียน พาชมุ ชนกาวไปดวยกัน๗๙- สมยั กอน เณรมาก หลวงตาไมค อ ยมี สมัยนี้ เณรหมด มีแตห ลวงตา ๘๒ถาบอกวาไทยเปน เมอื งพทุ ธ กต็ อ งเลิกเปน ทาสของความไมรู ๘๖- หลกั งา ยๆ กไ็ มประสปี ระสา พัฒนาคนใหมตี นทพี่ งึ่ ได ไมใชม ัวรอผลดลบันดาล ๘๖- อยูร ว มกนั โดยมีเมตตา แตตองแกป ญ หาโดยใชป ญ ญา ๘๗งานพระพทุ ธศาสนาทัง้ หมด เปนองคร วมเพ่อื จดุ หมายหนึง่ เดยี ว ๘๙- จดั การปกครองข้นึ มา เพ่ือใหก ารศกึ ษาไดผ ล ๘๙- ญาติโยมทาํ บญุ ตองใหส มตามพทุ ธพจนว า “ศกึ ษาบญุ ” ๙๑- หนาทีข่ องผทู าํ งานทางสังคม ตอ งนาํ คนเขา มาหามรรค ๙๓
ฉ ชวี ติ ทสี่ มบรู ณภาค ๒ มองคนใหถงึ ธรรม(ชาติ) ๙๕มนษุ ยเ ปนสัตวท่ีประเสริฐดวยการศกึ ษา ๙๕ศกั ยภาพของมนุษย คอื จุดเริ่มของพระพุทธศาสนา ๙๗ชีวติ ที่ดี คือชวี ติ ทศ่ี กึ ษา ๙๙ เมอื่ พฒั นาคนดว ยไตรสกิ ขา ชวี ติ ก็กา วไปในอรยิ มรรคาชวี ิตมี ๓ ดาน การฝกศึกษากต็ องประสานกัน ๓ สว น ๑๐๑ พัฒนาคนแบบองครวม จงึ เปน เร่ืองธรรมดาของการศกึ ษา ๑๐๕ไตรสิกขา: ระบบการศกึ ษา ซ่งึ พัฒนาชีวิตทดี่ าํ เนินไปทง้ั ระบบระบบแหงสกิ ขา เร่มิ ดวยจดั ปรบั พืน้ ทใี่ หพรอมทจ่ี ะทาํ งานฝก ศึกษา ๑๐๗ชีวติ ท้งั ๓ ดาน การศกึ ษาทั้ง ๓ ขน้ั ประสานพรอมไปดวยกนั ๑๑๑การศึกษาจะดาํ เนินไป มปี จจัยชว ยเกื้อหนุน ๑๑๖การศึกษา[ทส่ี ังคม]จดั ตั้ง ตอ งไมบ ดบังการศกึ ษาทีแ่ ทของชวี ติ ๑๒๒ระบบไตรสิกขาเพ่ือการพฒั นาอยางองครวมในทุกกจิ กรรม ๑๒๕ระบบการฝก ของไตรสกิ ขา ออกผลมาคือวิถีชวี ติ แหงมรรค ๑๒๗ปฏบิ ตั กิ ารฝกศึกษาดวยสกิ ขา แลว วัดผลดว ยภาวนา ๑๓๐
วาสนาสรางเองได∗ ขออนโุ มทนาโยมญาติมิตรทุกทานท่ีมาทําบญุ วนั น้ี โดยปรารภโอกาสมงคลในชว งวันเกดิ ที่จริงระยะน้ีมีหลายทา นทเี่ ปนเจา ของวนั เกดิก็ขออนโุ มทนารวมไปพรอมกัน โดยเฉพาะเวลาน้ีกใ็ กลป ใ หมด วย สําหรบั ปใ หมน โี้ ยมญาตมิ ติ รทัง้ หลายไดห มดทุกทาน เพราะฉะนน้ั ในชวงน้ที ีใ่ กลจะข้ึนปใหม กเ็ ลยขออวยชยั ใหพ รแกทกุ ทานพรอมกนั ไป สว นทานทีเ่ ปน เจา ของวนั เกดิ ก็ไดท ัง้ สองอยา ง คอื ทัง้ ปใ หมแ ละวนั เกดิ ดวยวนั เกิดเปน วนั ดี เพราะเราทาํ ใหม นั ดี ทง้ั วนั เกดิ และวันขึ้นปใหมนี้ เปนอันวาดีท้ังน้ัน ท่ีวาดีก็เพราะเราทาํ ใหด ีนั่นเอง ทว่ี าทําใหด ี ทําอยา งไร ก็เริม่ ตง้ั แตทาํ ใจใหดี ทาํ ใจใหดี ใหร า เรงิ เบิกบานแจมใส และตง้ั ใจดีคิดดี ทานเรยี กวาเปนมโนกรรมทีเ่ ปนบุญเปน บญุ กุศล ตอนนีแ้ หละมงคลเกิดขน้ึ ทนั ที ทีนี้พอใจดี สบายใจผองใสเบิกบาน คิดในทางท่ีดี และตั้งใจดีวาจะทําอะไรๆ ท่ีเปนเร่ืองดีๆ แลวตอไป ก็พูดดี ตอจากนั้นท่ีสําคัญก็ทําออกมาขา งนอกดี นแ่ี หละเปน มงคลท่แี ทจริง∗ พรวนั เกดิ ของพระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ในการถวายสังฆทาน ในชวงระยะวัน เกิดของ พลโท นายแพทยดํารงค ธนะชานันท คุณนงเยาว ธนะชานันท คุณวาลิสา สิปลา (Valisa Sipila) ท่ีวัดญาณเวศกวัน เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๔ (ปรารภวันเกิดของ ดร.สุรีย ภูมิภมร ดวย แต ดร.สุรีย ติดภารกิจอยูตางจังหวัด ดร.อรพินท ภูมิภมร รวม พิธีแทน)
๒ ชีวิตทีส่ รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตทําบญุ วนั เกดิ ใหเ ปน การเริ่มตน ทด่ี ี วันเกิดน้ันเปนเรื่องธรรมดาของชีวิต ทุกคนท่ีมีชีวิตยืนยาวมาจนบัดน้ีก็เร่ิมจากการเกิดทั้งนั้น แตสําหรับชาวพุทธเราไมวาจะปรารภหรือนึกถึงอะไรก็ตาม ก็จะทําใหเปนบุญเปนกุศล คือทําใหเปนเร่ืองดีไปหมด ในการทําใหดีนั้น สําหรับวันเกิดเราก็มองหาความหมายกอนโดยทั่วไปก็จะมองวาการทําบุญวันเกิดนั้น เปนการเร่ิมตนที่ดี เพราะวันเกิดก็คือวันเริ่มตนของชีวิตในแตละรอบป การทําบุญวันเกิดก็คือการเรมิ่ ตน อายุในรอบปต อ ไปดวยการทําความดี โดยเร่ิมตนดีดวยการทําบุญทํากุศล เรียกวา เปน นมิ ิตใหเ กิดความสุขความเจริญ นก้ี ็อยา งหนง่ึวนั เกิด คอื วันท่ีเตือนใจใหเ กดิ กนั ใหด ๆี ความหมายอีกอยางหน่ึงก็คือ เราพูดวาวันเกิด ก็เกิดกันมาต้ังนานแลวน่ี จะเกิดอยางไรอีก แตทางพระทานบอกวาเราเกิดอยูเรื่อยๆเวลานีเ้ รากเ็ กดิ อยตู ลอดเวลา ถา เราไมเ กดิ อยูเ รอื่ ยๆ เราก็อยไู มไ ด การเกดิ นม้ี ีทง้ั รูปธรรม และนามธรรม ในกรณีนี้ การเกิดทางนามธรรมกลับเห็นงาย คือ การเกิดทางจิตใจ ซ่งึ เรากพ็ ูดกันอยูเสมอ เชน เกิดความสุข เกิดความสดช่ืน เกิดปติเกิดความเบกิ บานใจ เกดิ เมตตา เกิดศรทั ธา เกดิ ทง้ั นั้น ท่ีเราเปนอยูนี้ เด๋ียวก็เกิดอันโนน เด๋ียวก็เกิดอันน้ี คือเกิดกุศลหรืออกุศลในใจ ในทางไมดีก็เกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิดความกลัว อยา งนี้ไมดี เรียกวา เกิดอกุศล เม่ือถึงวันเกิดก็เลยเปนเคร่ืองเตือนใจสําหรับชาวพุทธวาใหเกิด
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓ดีๆ นะ คือเกิดกุศลในใจ เราก็มาตั้งใจทําใจใหเกิดความสุข เกิดปติเกิดศรัทธา เกิดเมตตา เกิดความสดชื่น เกิดความอิ่มใจ เกิดความแจมใส เกิดความเบิกบานใจ ถาเกิดอยางนี้เร่ือยๆ ตอไปก็จะมีความสุขและความเจริญอยา งแนน อน ฉะนัน้ วธิ ีดาํ เนนิ ชวี ติ อยางหนึง่ กค็ ือ เกิดใหดี โดยทําใจของเราใหเกดิ กศุ ล และการเกดิ ทีป่ ระเสริฐสุดก็คอื การเกดิ ของกุศลนี้แหละ เมื่อใดใจเกิดกุศล จะเปนดานความรูสึกท่ีสบาย ผองใส เอิบอิ่มเบิกบานใจก็ตาม เปนคุณธรรม เชน เมตตา ไมตรีก็ตาม หรือเปนความคิดที่ดีวาจะทําโนนทําน่ี ท่ีเปนการสรางสรรค ชวยเหลือกัน รวมมือกนั เออ้ื เฟอ กนั กต็ าม เกดิ อยางน้ีแลวมแี ตด ีทงั้ นน้ั น่ีแหละคือวันเกิดท่ีวามีความหมายเปนการเร่ิมตนที่ดี เม่ือเกิดอยางน้ีแลวตอ ไปกอ็ อกสูการกระทํา มีการปฏิบัตทิ ี่ดีไปหมดเราสรางวาสนา แลว วาสนากส็ รางเรา ถาใจของเราเกิดอยางน้ีบอยๆ จิตก็จะคุนเปนนิสัย คือคนเราน้ีอยดู ว ยความเคยชินเปน สวนใหญ เราไมคอยรูตัวหรอกวา ที่เราอยูกันน้ีเราทําอะไรๆ ไปตามความเคยชิน ไมวาจะพูดกับใคร จะเดินอยางไร เวลามีเหตุการณอะไรเกิดขึ้นเราจะตอบสนองอยางไร ฯลฯ เรามักจะทําตามความเคยชนิ ทีน้ีกอนจะมีความเคยชินก็ตองมีการสะสมข้ึนมา คือทําบอยๆบอยจนทาํ ไดโ ดยไมรูตวั แตทีน้ีทานเตือนวา ถาเราปลอยไปอยางน้ี มันจะเคยชินแบบไมแนนอนวาจะรายหรือจะดี และเราก็จะไมเปนตัวของตัวเอง ทานก็เลย
๔ ชวี ิตทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสันตบอกวาใหมเี จตนาตงั้ ใจสรางความเคยชินทดี่ ี ความเคยชินท่ีเกิดขึ้นน้ีทานเรียกวา “วาสนา” ซ่ึงเปนความหมายทีแ่ ทแ ละดง้ั เดมิ ไมใ ชความหมายในภาษาไทยทีเ่ พย้ี นไป วาสนา ก็คือความเคยชิน ต้ังแตของจิตใจ ตลอดจนการแสดงออกที่กลายเปนลักษณะประจําตัว ใครมีความเคยชินอยางไรก็เปนวาสนาของคนน้ันอยางนั้น และเขาก็จะทําอะไรๆ ไปตามวาสนาของเขา หรอื วาสนาก็จะพาเขาไปใหท ําอยางนน้ั ๆ เวลาพบเห็นอะไร ใครส่ังสมจิตใจชอบมาทางไหน ก็ไปทางนั้นเชน มขี องเลอื ก ๒-๓ อยาง คนไหนชอบส่ิงไหนกจ็ ะหนั เขาหาแตส งิ่ นนั้ แมแตไปตลาด ไปรานคา ไปที่น่ันมีรานคาหลายอยา ง อาจจะเปนหางสรรพสินคา เดินไปดวยกัน คนหน่ึงชอบหนังสือก็ไปเขารานหนังสืออีกคนไปเขารานขายของเครื่องใช เครื่องครัว เปนตน แตอีกคนหนึ่งไปเขา รา นขายของฟุมเฟอ ย อยางน้ีแหละเรียกวา วาสนาพาไป คือ ใครสะสมเคยชินมาอยา งไร ก็ไปตามนั้น และวาสนาน้ีแหละจะเปนตัวการท่ีทําใหชีวิตของเราผันแปรไปตามมนั พระทานมองวาสนาอยา งนี้ เพราะฉะน้ัน วาสนาจึงเปนเหตุเปนปจจัยสําคัญที่ทําใหเราเปนอยางน้ันอยางน้ี โดยไมรูตัว ทานก็เลยบอกวาใหเรามาตั้งใจสรางวาสนาใหด ี เพราะวาสนาน้ันสรางได คนไทยเราชอบพดู วาวาสนาน้แี ขงกันไมไ ด แตพระบอกวา ใหแ กไขวาสนา ใหเ ราปรับปรงุ วาสนา เพราะมันอยทู ตี่ ัวเรา ท่สี รา งมันขึน้ มา แตการแกไ ขอาจจะยากสกั หนอย เพราะความเคยชนิ น้ีแกยากมาก แตแกไดป รับปรงุ ได ถา เราทํา กจ็ ะมีผลดตี อชวี ิตอยา งมากมาย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕ ขอใหจาํ ไวเปนคตปิ ระจําใจเลยวา “วาสนามีไวแกไข ไมใชมีไวแขงขัน”ถา คดิ เปน ก็พลิกวาสนาได บางคนเกิดมาจน บอกวาตนมีวาสนาไมดี หรือบางทีบอกวา เราไมมีวาสนา พูดอยางน้ียังไมถูก คนจนวาสนาดีก็มี วาสนาไมดีก็มี คนมีกอ็ บั วาสนาได ถาเกิดมาจนแลว มัวแตหดหู ระยอ ทอแทใจ ไดแตขุนมัว เศราหมอง คิดอยางนี้อยูเรื่อย ก็แนนอนละวาวาสนาไมดี เพราะคิดเคยชินในทางไมดี จนความทอแทออนแอกลายเปน ลักษณะประจําตวั แตถาเกิดมาจนแลวคิดถูกทางวา ก็ดีน่ี เราเกิดมาจนน่ีแหละเจอแบบฝกหัดมาก พระทานวาคนน้ีเปนสัตวพิเศษ จะประเสริฐไดดวยการฝก เพราะเราจน เราจึงมีเรือ่ งยากลาํ บากที่จะตองทํา มีปญหาใหตองคิดและเพียรพยายามแกไ ขมาก นีแ่ หละคอื ไดท ําแบบฝกหัดมาก เม่ือเราทําแบบฝกหัดมาก เราก็จะยิ่งพัฒนามาก ไดพัฒนาทักษะใหทําอะไรไดชํานิชํานาญ พัฒนาจิตใจใหเขมแข็งอดทน มีความเพียรพยายาม ใจสู จะฝกสติฝกสมาธิก็ไดท้ังน้ัน และที่สําคัญยอดเย่ียมคือไดฝก ปญ ญา ในการคิดหาทางแกไขปญ หา คนที่เกิดมาร่ํารวยม่ังมี ถาไมรูจักคิด ไมหาแบบฝกหัดมาทํา มัวแตหลงเพลิดเพลินในความสุขสบาย น่ันแหละจะเปนวาสนาไมดี ตอไปจะกลายเปนคนออนแอ ทําอะไรไมเปน ปญญาก็ไมพัฒนา กลายเปนคนเสียเปรยี บ เพราะฉะน้ัน ใครจะไดเปรียบหรือเสียเปรียบ จะดูที่ฐานะขาง
๖ ชวี ิตทส่ี รางสรรค สดใสและสขุ สันตนอก วารวย วาจน เปนตน ยังไมแน คนท่ีรูจักคิด คิดเปน คิดถูกตองสามารถพลิกความเสียเปรียบเปนความไดเปรียบ แตคนที่คิดผิด กลับพลกิ ความไดเ ปรยี บเปน ความเสยี เปรยี บ และทําวาสนาใหตกต่าํ ไปเลย จึงตองจําไวใหแมนวา ไมมีใครเสียเปรียบหรือไดเปรียบอยางสัมบูรณ ถาคิดเปน ก็พลิกความเสียเปรียบใหเปนความไดเปรียบไดแตอ ยา เอาเปรยี บกันเลย เรามาสรางวาสนากนั ใหด ี จะดีกวา พระพุทธเจาและพระอรหันตน้ันเปนผูที่พนจากอํานาจของวาสนาพระพทุ ธเจาทรงละกิเลสพรอ มทงั้ วาสนาไดหมด หมายความวา พระองคไมอ ยใู ตอาํ นาจความเคยชนิ แตอยูดว ยสติปญ ญามาสรา งวาสนาดีๆ ทจ่ี ะใหม ีความสุข ทีนี้เร่ืองของคนสามัญก็คือ พยายามแกไขวาสนาท่ีไมดี และปรับปรุงสรางวาสนาใหเปนไปในทางที่ดี คือการท่ีเราตั้งใจทําจิตใจใหเกดิ เปนกุศลอยูเสมอ จิตใจของเราจะไปตามที่มันเคยชิน อยางคนที่เคยชินในการปรุงแตงไมดี ไปนั่งไหนเด๋ียวก็ไปเก็บเอาอารมณท่ีผานมา ท่ีกระทบกระทั่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางล้ิน แลวนํามาครุนคิด กระทบกระท่ังตัวเองทําใหไมสบาย ทีนี้ถาเรารูตัวมีสติ ก็ยั้งได ถาคิดอะไรไมดีข้ึนมาก็หยุด แลวเอาสติไปจับ คือไปนึกระลึกเอาสิ่งท่ีดีขึ้นมา ระลึกขึ้นมาแลวทําจิตใจใหสบาย ปรุงแตงในทางท่ีดี ตอไปจิตก็จะเคย พอไปน่ังไหนอยูเงียบๆ จิตก็จะสบาย นกึ ถึงเรือ่ งทีด่ ีๆ แลว กม็ คี วามสขุ คนเราน้ีสรา งความสุขได สรา งวาสนาใหแกตัวเองได สรา งวถิ ี
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗ชวี ติ ได ดว ยการกระทาํ อยางทีว่ ามาน้ี คือใหม ีการเกิดบอ ยๆ ของสง่ิ ท่ดี ีงาม เพราะฉะนั้นการเกิดจึงเปนนมิ ิต หมายความวา ใหชาวพุทธไดคติหรือไดประโยชนจ ากวนั เกดิ ถา ญาติโยมนําวิธีปฏิบตั ทิ างพระไปใชจ ริงๆ วันเกดิ จะมีประโยชนแนนอน จะเปนบุญเปนกศุ ล ทาํ ใหเ กิดความเจรญิ งอกงาม อยา งนอ ยก็เตือนตนเองวา เราจะใหเ กิดแตกุศลนะ เราจะไมยอมใหเ กิดอกุศล เชนใจทข่ี นุ มัวเศราหมองเราไมเอาทงั้ นน้ัจิตใจที่ดี ตอ งเกิดหาอยางนี้เปน ประจํา เพราะฉะน้ันจึงมีหลักท่ีแสดงพัฒนาการของจิตใจวา จิตใจของชาวพทุ ธ หรือจิตใจท่ีดี ตองมคี ณุ สมบัติ ๕ อยาง คอื ๑. มปี ราโมทย ความรา เริงเบกิ บานใจ ๒.มีปติ ความอิม่ ใจ ๓.มปี สสทั ธิ ความสงบเย็นผอนคลาย สบายใจ ๔. มีสุข ความคลองใจ โปรงใจ ฉํ่าชื่นร่ืนใจ ไมมีอะไรมาบีบคั้นหรอื ระคายเคอื ง ๕. มีสมาธิ ความมีใจแนวแน สงบ มั่นคง ไมหว่ันไหว ไมถูกอารมณต า งๆ มารบกวน ถาทําใจใหมีคุณสมบัติ ๕ อยางน้ีได ก็จะเปนจิตใจท่ีเจริญงอกงามในธรรม สภาวะจิต ๕ ประการนี้โปรดจําไวเลยวาใหมีเปนประจาํ พระพุทธเจาตรัสบอยๆ วา เม่ือปฏิบัติธรรมถูกตองแลว พิสูจนไดอยางหนึ่ง คือเกิดสภาพจิต ๕ ประการนี้ ถาใครไมเกิด แสดงวาการปฏิบัติยังไมกาวหนา คือตองมี ๑. ปราโมทย ๒. ปติ ๓.
๘ ชีวิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตปสสัทธิ ๔. สุข ๕. สมาธิ พอหาตัวนี้มาแลวปญญาก็จะผองใส แลวจะคิดจะทําอะไรก็จะเดินหนา ไป ตลอดจนการปฏิบัติธรรมกจ็ ะกา วไปสโู พธญิ าณไดดวยดี เพราะฉะน้ัน ในวันเกิดก็ขอใหไดอยางนอย ๒ ประการนี้ คือเร่ิมตนดี และใหเกิดส่ิงที่ดี ก็คุมเลย ชีวิตจะเจริญงอกงามมีความสุขแนนอนเกดิ คอื เช่ือมตอกําเนิด กับความงอกงามตอไป เรื่องวันเกิดน้ีพูดไดหลายอยาง หลายแง เพราะมีความหมายมากมาย ความหมายอีกอยา งหน่งึ ของการเกิด กค็ อื เปนจดุ เชอ่ื มตอ มิใชวาเกิดมาน้ีคือการเร่ิมตนใหมโดยไมมีอะไรมากอน แตการเกิดนี่เปนจุดเช่ือมตอ และถาใชเปน จุดเชื่อมก็ทําใหเราไดประโยชนมากมาย เชอ่ื มตอ อะไรเชื่อมเรา กับคุณพอ-คุณแม ๑. การเกิดเปนตัวเชื่อมตอตัวเราผูเกิด กับทานผูใหกําเนิดเพราะฉะนั้น ทันทีท่ีใครคนใดคนหนึ่งเกิดน้ัน อีกคนหน่ึงก็เกิดดวย คือพอลกู เกดิ พอแมกเ็ กดิ ดว ย คนท่ียังไมไดเปนพอแม พอมีลูกเกิด ตัวเองก็เกิดเปนพอเปนแมทันที เพราะฉะนั้นวันเกิดของเรา จงึ เปนวันเกดิ ของคุณพอ คณุ แมด วย ดวยเหตุนั้น วันเกิดน้ีในแงหนึ่งจึงเปนวันท่ีระลึกถึงบิดามารดาและจะเปนตัวเช่ือมใหเรามีความผูกพันกับทานผูใหกําเนิด แลวก็จะมีความสุขรว มกัน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙อยางเชนลูก เมื่อถึงวันเกิด ก็นึกถึงคุณพอ-คุณแม และทําอะไรๆ ทีจ่ ะทาํ ใหระลึกถึงกัน และมีความสขุ รว มกัน จากคุณพอ-คุณแม ก็โยงไปหาคนอืน่ อกี เชน พี่นอ ง ปยู า ตายายคนทเ่ี กี่ยวขอ ง ซงึ่ สัมพนั ธก นั ไปหมด นีค่ ือการเกิดเปนตวั ตอ และเชอ่ื มเชอ่ื มฐานวฒั นธรรมไทย กับความเจริญที่จะกา วหนาตอ ไป ๒. การเกิดนี้เชื่อมไปถึงพื้นฐานของเรา เชน เม่ือเราเกิดเปนคนไทย ชีวิตของเราที่เปนพ้ืนเดิม ก็มีรากฐานคือวัฒนธรรมไทย เราเกิดมาทามกลางส่ิงแวดลอมนี้ วัฒนธรรมไทยก็หลอหลอมชีวิตของเรา เราจะตองรจู ักเอาประโยชนจ ากวัฒนธรรมไทยตอจากพื้นฐานนี้เราก็กาวไปขางหนา และพบวัฒนธรรมภายนอกตลอดจนพบความเจริญอะไรตา งๆ ถาเราใชเปน เราก็จะไดประโยชนท้ังสองดา น คอื ก) เราจะมีพ้ืนฐานของเราที่ม่ันคง ใหการเกิดเปนตัวท่ียึดพื้นฐานของเราไวไดดวย รากฐานทางวัฒนธรรมท่ีเรามี เราก็ไมละทิ้งแตเราเอาสวนทดี่ มี าสรา งตัวใหเ ปน พน้ื ฐานทมี่ ัน่ คง ข) สิ่งใหมๆ เรากก็ าวไปรับ ไปทาํ กาวไปสรา งสรรคถาเราไดทั้งสองดานน้ี เราจะมีความเจริญงอกงาม คือ ท้ังมีพ้ืนฐานทด่ี ี และสามารถกา วไปขา งหนา ไดอ ยางมั่นคงหมายความวา ไมใหขาดท้ังสองดาน ท้ังพ้ืนฐานเดิม ท่ีเปนรากฐานเกา และท้ังดานใหมที่จะกาวไปขางหนา คนที่จะเจริญงอกงามตอ งไดท ัง้ สองดา นน้ี จงึ จะมกี ารพัฒนาท่ีสมบรู ณ
๑๐ ชวี ติ ท่ีสรา งสรรค สดใสและสุขสนั ตนกึ ถึงวนั เกดิ ชวยใหไ มหลงเตลดิ ออกจากธรรมชาติเชอื่ มบคุ คลในสงั คม กบั ชีวติ ในธรรมชาติ ๓. การเกดิ เปน ตวั เช่อื มตอคนและสงั คม กับธรรมชาติ คนเราท่ีเกิดมานี้ ตัวแทๆ ยังไมมีอะไร ก็เปนชีวิตเทาน้ัน ชีวิตนี้เปนธรรมชาติชีวิตน้ีอยูทามกลางธรรมชาติ เกิดจากธรรมชาติ เปนไปตามธรรมชาติเนือ้ ตัวชวี ิตของเรานีเ้ ปนธรรมชาติ เม่ือเกดิ มาแลว เราจึงเริ่มมีฐานะใหม คือสถานะในทางสังคม คือเปนบุคคล เราก็จะเปน บุคคลในสงั คม เปนลูกของคุณพอคุณแม เปนพ่ีของคนน้ัน เปน นองของคนนี้ แลวกก็ า วเขา ไปในสงั คมโดยมฐี านะตา งๆ บางทีเรากาวเขาไปในฐานะที่สอง คือเปนบุคคลในสังคม จนลืมฐานะที่หนึ่ง คือ ความเปนชีวิตที่อยูในธรรมชาติ เรานึกถึงแตความเปนบคุ คลท่ไี ปเทย่ี วมีบทบาทนน้ั น้ีๆ จนลมื ตัวเอง ทางพระทา นเตือนเสมอวา อยาลมื สถานะเดิมแทที่เปนพื้นฐานของเราวาชีวิตเปนธรรมชาติ คนใดที่ไดทั้งสองดาน คนนั้นจึงจะมีชีวิตท่ีเจรญิ งอกงามสมบรู ณ แตคนเรานี้จํานวนมากมักจะลืมดานชีวิต และไดแคดานบุคคลคือนึกถงึ แตด า นการอยรู วมสังคม นกึ ถงึ การทจ่ี ะมีฐานะอยางนั้นอยางน้ีจนลมื ชวี ติ ทีเ่ ปนพื้นฐาน แมแตจะกินอาหาร ถา เราลืมพ้ืนฐานดานชีวิตเสียแลว เราก็พลาดถา เรามัวนึกถึงในแงการเปนบุคคลในสังคม เวลารับประทานอาหารเราก็นึกไปในแงวา เรามีฐานะอะไร ควรจะกินอะไรใหสมฐานะ ดีไมดีก็ไปตามคา นิยมใหโกใ หเก เปน ตน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑ แตถาเรานึกถึงในแงของชีวิต ก็คิดเพียงวา การกินอาหารน้ันเพ่ือใหรางกายแข็งแรง ใหชีวิตดําเนินไปได ตองกินใหสุขภาพดีนะ อยากินใหเ ปน โทษตอ รางกาย อาหารแคไหนพอดีแกความตองการของรางกาย อาหารประเภทไหนมคี ุณภาพ เปนประโยชนตอชวี ิต เรากก็ ินอยางน้ันแคน ั้น ถาเราไมลืมพ้ืนฐานของชีวิตในดานธรรมชาติ เราจะรักษาตัวแทของชีวิตไวได สวนท่ีเหลือในดานความเปนบุคคล ก็เปนเพียงตัวประกอบ แตปจจุบันน้ีเรามักจะเอาดานบุคคลเปนหลัก จนกระท่ังลืมดา นชวี ิตไป ทําใหดานธรรมชาตสิ ูญเสยี เราจงึ มชี วี ติ ท่ีไมส มบรู ณ วนั เกดิ นจ้ี ึงเปนเครือ่ งเตอื นใจ โดยเปน ตัวเช่ือมวา โดยเนื้อแทน้ันฐานของเราเปนธรรมชาตินะ อยาลืมสวนที่เปนดานธรรมชาตินี้ สวนดานที่เปนบุคคลเราก็ทําใหดี ใหไดผล ใหสองดานมาประสานกลมกลืนกัน ทั้งดานชีวิตท่ีเปนธรรมชาติ และดานเปนบุคคลที่อยูในสังคม ถาอยางน้แี ลว ชวี ติ กจ็ ะสมบูรณ มีชวี ติ อยูไปนานเทาไรๆ กอ็ ยา ลมื หลักการขอน้ีวันเกิด ทาํ ใหไมล มื ทจ่ี ะหวนกลับมาพัฒนาชีวติทีเ่ ปนตัวแทข องเรา อีกอยางหนงึ่ การมองตวั เองใหถึงธรรมชาติที่เปนชีวิตน้ี เราจะไดกําไร คือ หลักการของพระศาสนา จะมาเสริมใหเราพัฒนาตัวชีวิตท่ีแทไมใ ชพ ฒั นาแตส ิ่งภายนอกอยางเดียว บางทีเราลืมไป มัวแตแสวงหาอะไรๆ ท่ีเปนของภายนอก ท่ีพระทานบอกวาเปนของนอกกาย จนพะรุงพะรัง เสร็จแลวส่ิงเหลานี้ก็
๑๒ ชวี ติ ท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสนั ตกลบั มากอทุกขใหแ กต นเอง ชีวิตในดานท่ีแทจริงน้ัน เมื่อเราไมลืมมันแลวพระพุทธศาสนาก็เขามาได ทานก็จะสอนใหพัฒนาชีวิตของเราวา ชีวิตของเราน้ี นอกจากดานการสื่อสารแสดงออกสัมพันธกับโลกภายนอกแลว ลึกเขาไปยังมีดานจิตใจ และอีกดานหน่ึงคือ ปญญา เราจะตองมีความรูเทาทันชีวิตน้ีรเู ทาทนั โลก เปนตน ถงึ ตอนน้ีก็เขามาสศู ีล สมาธิ ปญ ญา เราจะตอ งพฒั นาชีวิตของเรา ใหชีวิตท่ีเกิดมาแลวน้ีไดเขาถึงภาวะท่ีดีทป่ี ระเสรฐิ ของมัน ไมใ ชดแี ตขางนอกอยางเดยี ว ความเจรญิ งอกงามของชวี ติ ท่ีแท แมกระท่ังเปนพระอรหันต เปนมหาบุรุษ อะไรตางๆ ได ก็อยูตรงน้ีแหละ คือพัฒนาชีวิตของเราที่เปนตัวของตัวเอง ที่เกิดมาแลวชาติหน่ึงน้ีใหไดสิ่งที่ดีที่สุด ใหเจริญในศีลสมาธิ ปญญาขึ้นไป จนกระทั่งไดบรรลุ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพานมีอิสรภาพที่แทจริง อันน้ีเปนเรื่องยืดยาว จะยังไมบรรยาย แตเปนแงหน่ึงของการทจ่ี ะไดค ตจิ ากวันเกิด รวมแลว วันเกิดนี้ ถามองใหดีก็มีคติเตือนใจใหไดความหมายมากมายหลายอยาง แตสาระสําคัญก็คือเปนจุดเชื่อมตอท่ีวา พอเช่ือมตอแลวเราจะตอ งใหไดทัง้ สองดาน อยาใหขาดดา นหนึง่ ดา นใดเลย ไมใชวา พอเชื่อมตอแลวก็กาวไปหาของใหม จนเลยไป ลืมเตลิดหลงทาง ไมเ หน็ ฐานเกา ถาไดครบท้ังสองดานอยางน้ี ก็เปนความสมบูรณของชีวิตที่ครบถวนเต็มบริบูรณ โดยเฉพาะในสถานการณปจจุบันนี้ เรามีเร่ืองภายนอกที่กระทบกระท่ังมาก ถาใครต้ังหลัก ทําชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะภายใน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๓ดานจิตใจ และปญญา ไมไดดีแลว จะหว่ันไหวและกระทบกระเทือนมาก เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราจะย่ิงตองมีความไมประมาท แลวก็ตองมาต้ังหลักทําตัวของเราเอง ท้ังทางจิตใจ และปญญาท่ีรูเทาทัน ใหพรอมใหเขมแขง็เดก็ เกดิ มา ถา เลย้ี งไมด ีจะเปน คนท่ที ุกขง า ย-สขุ ไดย าก ในโลกตอไปน้ีที่มีเรื่องราวอะไรตางๆ เกิดข้ึนมาก คนที่อยูไดจะตองมีความเขมแข็ง เด็กสมัยปจจุบันน้ี ในสังคมไทยเรา ชักจะเลี้ยงดูไปในทางท่ที าํ ใหอ อนแอ คนที่ออนแอ ก็จะมีความสุขตามแบบของคนออนแอ ความสุขของคนออนแอนั้นเปราะบาง แตกสลายงาย และความสุขอยางนั้น ก็เปลี่ยนเปน ทุกขไดงาย ไมย ่ังยนื มั่นคง สวนคนที่เขมแข็ง ก็จะมีความสุขท่ีเขมแข็งดวย ความสุขที่เขมแข็งก็มั่นคง และยากท่ีจะเปลี่ยนแปลง คือความสุขนั้นยากที่จะเปล่ียนเปนความทุกข แถมยังเจอความทุกขนอยๆ ก็ไมหวั่นไมกลัว จึงเปน “คนท่ที กุ ขไ ดย าก และสขุ ไดง า ย” เพราะฉะนัน้ คนทีอ่ ยใู นโลกตอไปน้ี ตองพัฒนาใหดี ตองเปนคนที่สุขไดงาย ทุกขไดยาก ถาพัฒนาไมเปน หรือไมพัฒนา ก็จะเปน “คนที่สุขไดย าก และทุกขไ ดงา ย” เวลาน้ีเด็กยุคปจจุบัน เราพยายามจะใหเขามีความสุข แตเราไม
๑๔ ชีวิตทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสันตเล้ียงดูเขาใหดี เขาไมพัฒนา ก็เลยกลายเปนคนที่สุขไดยาก-ทุกขไดงายปรากฏวาเปนอยางน้ีกันมากแลว ทั้งๆ ที่มีอุปกรณบํารุงบําเรอใหความสุขมากมาย แตเดก็ ย่ิงเปน คนทกุ ขไ ดงา ย-สุขไดย าก ถาอยางนี้ ถึงจะมีอุปกรณบํารุงบําเรอ หรือเทคโนโลยีเจริญเทาไรก็ไมไหว แกทุกขไมได ฉะน้ันจะตองพัฒนาขางใน ใหเปนคนท่ีมีความสขุ ของคนทเ่ี ขมแข็ง เปนคนท่สี ขุ ไดงาย-ทุกขไ ดย าก แมแตทุกทานทุกคนก็เชนเดียวกัน บทพิสูจนตัวเองอยางหนึ่งก็คือ เราเกิดมานานแลวน้ี เราสขุ ไดง ายขนึ้ หรอื ไม ถาเรากลายเปนคนท่ีสุขไดยาก ทุกขงายขึ้น ก็แสดงวา เราน่ีเห็นจะเดินไมคอยถูกทาง เพราะฉะนั้นตองตรวจตราดูตัวเอง อยูกันมานานๆ ตอ งใหสุขไดงา ย ทุกขไ ดย ากขนึ้ถา เกดิ แลวพัฒนา ยิง่ เกดิ มานาน ย่ิงสขุ ทกุ สถาน ตอนเกิดใหมๆ ยังเปนเด็กนี่สุขไดงาย เจออะไรนิดหนอยก็หวั เราะแลว แตพอโตขึ้นชักสุขไดยากข้ึน เพราะฉะน้ันตองระวัง ทานจึงใหไมป ระมาท ถานึกถึงวันเกิดใหถูกตอง จะตองโยงมาสูความเจริญเติบโตหรือการพัฒนาท่ีถูกตอง คืออยูนานไป ชีวิตยิ่งสมบูรณมากขึ้น โดยเฉพาะมีความสขุ ไดง าย จนมีความสุขประจาํ ตวั ประจาํ ชวี ติ ไปเลย รวมความวา เมื่อพัฒนาตัวเราเองนี้ไป ก็เขามาสูหลักท่ีวา การเกิดน้เี ปนเครื่องเตือนใจเราใหไ ดท ้ังสองดาน กาวไปขางนอกแลวอยาลืมขางในตัวเอง ตองพัฒนาใหทัน สรางความเขมแข็งที่จะอยูในภาวะภายนอกไดอ ยางดีทสี่ ดุ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕ เม่ือพัฒนาภายใน ท้ังพัฒนาจิตใจ และพัฒนาปญญาใหเขมแข็งในที่สดุ ขางนอกมาเทา ไรกม็ ีแตได คอื ไดสวนดีท่ีเปนประโยชน และยิ่งมีความสขุ เปนอันวา วันเกิดนี้มีความหมายท่ีดีงาม นํามาเปนคติแกตัวเราโดยเฉพาะทานเจาของวนั เกดิ จะไดป ระโยชนม ากมายหลายประการ อาตมภาพขออนุโมทนา ทานเจาของวันเกิด และโยมญาติมติ รทุกทาน ท่ีจะเดินทางเขาไปในปใหมรวมกัน ขอใหทุกทานมีพลังกาย พลังใจ พลังปญญา พลังสามัคคีท่ีเขมแข็ง พรอมท่ีจะเดินหนากาวไปใหประสบความสาํ เร็จ และความสุขย่ิงๆ ข้นึ ไป ใหปใหมนี้เปนมงคลที่แทจริง มงคลสมกับความหมายท่ีวา ส่ิงท่ีนํามาซ่ึงความสุขความเจริญ ขอใหปใหมที่เปนมงคลนั้น นําความสุขความเจริญมาใหโยมญาติมติ รทุกทาน รตนตั ตะยานุภาเวนะ รตนตั ตะยะเตชะสา ดวยเดชานุภาพคุณพระรตั นตรยั พรอ มท้งั บุญกุศลที่ไดบําเพญ็ ตัง้ แตจิตใจทด่ี ี เกดิ มีศรทั ธา เกดิ เมตตาไมตรีจิต เปน ตนน้ี จงนาํ มาซึ่งความเกิดแหงกุศลยิ่งขึ้นไป เชน เกดิ ความสุข เกดิ ความเอิบอ่ิมใจ เกิดความราเริงเบกิ บานใจ เกดิ ความสดชืน่ ผอ งใส เปนตน ขอทุกทานจงพรั่งพรอมดวยจตรุ พิธพรชัย ประสบความสาํ เร็จในส่ิงทีม่ ุง มาดปรารถนา บังเกดิ ประโยชนส ุข มคี วามงอกงาม รม เย็นเปนสขุ ในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจา โดยทว่ั กันทกุ ทา น ตลอดกาลทกุ เม่ือ ทัง้ ตลอดปใ หมน้ี และตลอดไป เทอญ
ชีวิตที่สมบูรณ นําเร่ือง∗ อาตมาคณะพระสงฆที่ไดจรมา เรียกวาเปนพระอาคันตุกะทั้ง ๓ รูป ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกทานที่มาประชุมกันในที่น้ี เพื่อรวมกันทําบุญถวายภตั ตาหาร ในโอกาสทคี่ ุณหมอพอ บาน และแมบา น พรอ มท้ังลูกชายลกู สาว ไดเ ปนเจาภาพผูนิมนต ถือวาเปนการทําบุญบานไปในตัว นอกจากถวายภัตตาหาร ก็ไดถวายอุปถัมภเสนาสนะที่พักแรมคางคืนดวย เรียกวาเปนการอุปถัมภดวยปจจัยส่ี ทางฝายโยมญาติมิตรทั้งหลาย ก็มีนํ้าใจเกื้อกูล โดยเฉพาะก็มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อทราบขาววามีพระสงฆเดินทางมาถึง ก็มนี ํา้ ใจประกอบดว ยไมตรธี รรม พากันมาอุปถัมภถ วายกาํ ลงัทาํ บญุ เพ่อื อะไร? ในการถวายกําลังแกพระสงฆที่เรียกวาทําบุญน้ี ใจของเรามุงไปท่ีพระศาสนา คือจุดรวมใจหรือเปาหมายของเราอยูท่ีพระศาสนา หมายความวา เราถวายทานแกพระสงฆก็เพื่อใหทานมีกําลัง แลวทานจะไดไปทํางานพระศาสนาตอ ไป∗ ธรรมกถา ท่ีบานของ น.พ.สมชาย กุลวัฒนพร ณ Saddle River, New Jersey, USA. วนั ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๗
๑๘ ชวี ติ ที่สรางสรรค สดใสและสุขสันต งานพระศาสนา เราเรียกกันวาศาสนกิจ แปลงายๆ ก็คือกิจพระศาสนางานพระศาสนาหรอื ศาสนกิจนัน้ โดยท่ัวไปมี ๓ ประการ คือ ๑. การเลา เรยี นคําสั่งสอนของพระพทุ ธเจา ๒. การปฏิบัติตามคําส่ังสอนของพระพุทธเจา คือ เอาคําสอนนน้ั มาใช มาลงมอื ทาํ ใหเกดิ ผลจรงิ ๓. การนําคําสั่งสอนของพระพุทธเจาไปเผยแผสั่งสอน คือ เมื่อตนเองเรยี นรแู ละปฏิบตั ิไดแลว ก็เอาไปแจกจา ยใหป ระชาชนไดรแู ละปฏิบัติตาม งานพระศาสนา หรือศาสนกิจทั้งหมดนี้ ก็เพื่อประโยชนสุขแกประชาชนพูดตามสํานวนของพระวา เพ่ือประโยชนเก้ือกูลและความสุขแกชนจํานวนมากเพ่อื อนเุ คราะหชาวโลก อนั นี้เปนหลักการและวตั ถปุ ระสงคของพระพุทธศาสนา อยางไรก็ตาม การที่พระสงฆจะทํากิจสามอยางเหลาน้ีไดดีน้ัน ทานควรจะไมต อ งหวงกงั วลในเร่อื งของวตั ถุ หรอื เรอ่ื งของปจจัยสี่ และควรจะตองการสิ่งเหลานน้ั ใหน อยดวย เพอื่ ทําตัวใหโยมเลี้ยงงาย เมื่อญาติโยมดูแลอยู และเม่ือพระสงฆก็ไมมัววุนวายกับวัตถุแตตั้งใจทําหนา ท่อี ยูอยางน้ี กจ็ ะทําใหพระศาสนาดาํ รงอยเู พอ่ื ประโยชนส ขุ แกป ระชาชนตอไป มองในดานการอุปถัมภบํารุง เม่ือญาติโยมอุปถัมภบํารุงพระสงฆพอดี ก็ทําใหพระสงฆสามารถทํากิจที่วามาเม่ือก้ี คือ เลาเรียน ปฏิบัติ และเผยแผส่ังสอนไดเต็มที่ เม่ือพระสงฆทําหนาท่ีของตนดีแลว พระศาสนาดํารงอยู ก็ทําใหเกิดประโยชนส ุขแกป ระชาชน ฉะน้ัน ญาติโยมที่อุปถัมภบํารุงพระสงฆ ก็คือไดทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา จึงถอื วา มสี ว นรวมในการสบื ตออายพุ ระพุทธศาสนาดว ย ทีน้ีก็ถามใหถึงวัตถุประสงคสุดทายวา เราทําบุญอุปถัมภพระสงฆ บํารุงพระศาสนาเพ่ืออะไร ก็ตอบอยางท่ีพูดมาแลววา เพ่ือใหพระศาสนาดํารงอยูและ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต)เจริญม่ันคง เพื่อประโยชนสุขแกประชาชน มนุษยจะไดมีชีวิตที่ดีงาม สังคมจะไดอยูรม เย็นเปน สขุ จุดหมายขั้นสุดทา ยของเราอยูท นี่ ี่ ฉะนั้น ในเวลาที่ทําบุญนี่ ใจอยาติดอยูแคพระ ใจเราจะตองมองยาวตอออกไปถงึ พระศาสนา เมื่อทําบุญก็มุงหมายใจและอิ่มใจวา โอ! พระศาสนาของเราจะไดดํารงอยยู ง่ั ยืนมนั่ คงตอ ไป ประโยชนสุขจะไดเกิดแกมนุษยชาติ เวลาทําบุญเราตองทําใจนึกอยางน้อี ยูเสมอ เมอื่ ทาํ อยา งน้ี กจิ กรรมทกุ ครงั้ ของญาตโิ ยมกจ็ ะพุงไปรวมท่ีศูนยเดียวกันคอื พระศาสนา และประโยชนสขุ ของประชาชน ถา ทาํ อยางนี้ ใจของแตละทานก็จะขยายกวางออกไป อันน้ีแหละเปนสิ่งที่ทําใหใจเราเกิดปติวา เออ! คร้ังนี้ เราก็ไดมีสวนรวมอีกแลวนะ ในการทํานุบํารุงพระศาสนาและสรางเสริมประโยชนส ุขแกมวลมนุษย แลว เรากเ็ กดิ ความอม่ิ ใจ สําหรับวันนี้ ญาติโยมท้ังหลายก็ไดอุปถัมภบํารุงตามหลักการที่กลาวมาแลว อยางนอยก็ไดมีนํ้าใจเก้ือกูลตอพระสงฆที่จรมา เวลาเห็นพระสงฆไปที่ไหน ญาตโิ ยมกม็ ีใจยินดี เรียกวา เปน การเห็นสมณะ ในมงคลสูตรกก็ ลาววา การเห็นสมณะน้นั เปน มงคลอนั อดุ ม ที่วาเปนมงคล ก็เพราะวา สมณะนั้นเปนผูสงบ สมณะท่ีประพฤติปฏิบัติถูกตอง เปนผูที่สงบ ไมมีเวรไมมีภัยแกใคร และเปนผูทํางานหรือทําหนาที่อยางที่กลาวมา ญาติโยมชาวไทยเรานี้ ไดมีประเพณีวัฒนธรรมอยางน้ีมาตลอด เวลาเห็นพระเราก็สบายใจ มีจิตใจยนิ ดี แลวก็แสดงน้ําใจ เพราะฉะนั้น พระสงฆไปไหน ก็ปรากฏวาไดเห็นน้ําใจของโยมญาติมิตรเปน อยา งนี้กันทวั่ เชนอยา งท่ีน่ี โยมญาติมติ รก็อยูกันหลายแหงหลายที่ คุณหมอแจง ขาวไป พอรูขาวก็มากัน อันน้ีก็เปนประจักษพยานของความมีน้ําใจ มีศรัทธา
๒๐ ชวี ติ ที่สรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตและมีเมตตาธรรม อาตมากข็ ออนุโมทนาดวย
ชีวิตทส่ี มบูรณอยามองขามความสาํ คัญของวตั ถุ การทําบุญวันนี้ เจาภาพถือวาเปนการทําบุญบานดวย บานเปนอยางหนึ่งในสิ่งจําเปนสําหรับชีวิต ที่เรียกวาปจจัยสี่ กลาวคือ อาหารเครื่องนงุ หม ทอี่ ยูอาศยั ยารักษาโรค ปจจัยสี่เปนเรื่องท่ีมีความสําคัญมาก ในพระพุทธศาสนาทานไมมองขามความสําคัญขอน้ี แมแตในชีวิตของพระสงฆ วินัยของพระน่ีต้ังคร่งึ ตั้งคอ น วาดวยเรอื่ งปจ จยั สี่ ในคําสั่งสอนของพระพุทธเจาน้ัน เร่ิมตนทีเดียวทานวาจะตองจดั สรรเรื่องปจจัยส่ีใหเรียบรอย ไมอยางนั้นแลวมันจะยุง แตถาจัดไดดีแลวมันจะเปนฐาน ทําใหเราสามารถกาวไปสูชีวิตที่ดีงาม มีการพัฒนาอยา งอ่นื ตอไปได ขอใหม องดวู ินัยของพระเปน แบบอยา งในเรื่องนี้ อยางไรก็ตาม ปจจัยสี่ก็มีความสําคัญอยูแคในขอบเขตหนึ่ง แตพระพุทธศาสนาไมใชหยุดแคน้ัน คือ ทานใหถือเปนฐานท่ีสําคัญ สําคัญแตไมใชทั้งหมด ความสําคัญนี่บางทีบางคนไปสับสนกับคําวาท้ังหมดบางคนก็ไมเหน็ ความสําคัญของวตั ถเุ อาเสียเลย อยางนัน้ ไมถกู ตอ ง ใหระลึกถึงวา คําสอนของพระพุทธศาสนาน้ีจะครบทั้งหมดตองเปนพระธรรมวินัย คือ ตองประกอบดวยธรรมและวินัย ครบท้ังสองอยา งจงึ จะเปน พระพุทธศาสนา
๒๒ ชีวิตทส่ี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ต วินัยน้ัน ก็วาดวยเรื่องที่วามานี่แหละ คือ การจัดสรรในดานวัตถุหรือรูปธรรม เรื่องระเบียบชีวิต และระบบกิจการ ทั้งของบุคคล ชุมชนและสังคมท้ังหมด เก่ียวกับเร่ืองความเปนอยู และสภาพแวดลอม เร่ิมตั้งแตเร่ืองปจจัยส่ีเปนตนไป ฉะน้ัน ในการดําเนินชีวิตของชาวพุทธจึงตองใหความสําคัญกับเรื่องปจจัยสี่ วาเราจะดําเนินการกับปจจัยสี่ จัดสรรมันอยางไร เพ่ือทําใหเปนฐานที่ม่ันคง เราจะไดกาวตอไปดวยดี ดําเนินการพัฒนาไปสูดานจิต และดา นปญญา ในเร่ืองปจจัยสี่น้ี เมื่อเราจัดการไดถูกตองดีแลว เชนอยางเรื่องท่ีอยูอาศัย เมื่อเรามีบานเรือนเปนหลักเปนแหลงและจัดสรรไดดี มีความเปนระเบียบเรียบรอย นาอยูอาศัย ก็ทําใหเราดําเนินชีวิตไดสะดวก มีความสบาย มีความม่ันคงในชีวิต ตอจากน้ันจะทํากิจการอะไรตางๆ ก็ทําไดสะดวก ไมตองมัวกังวลหวงหนาพะวงหลัง จึงเกื้อกูลแกการทําอะไรตออะไรตอ ไปทีเ่ ปน สง่ิ ดงี ามและเปน ประโยชนก วางขวางย่งิ ขึ้น เราจึงอาศัยความเรียบรอยในเรื่องปจจัยสี่นี่แหละเปนฐานท่ีดี ท่ีจะกา วไปสชู วี ิตดงี ามมคี วามสขุ ท่เี รยี กวา ชีวิตทสี่ มบูรณจุดเริม่ ตน คอื ประโยชนสุขข้ันพน้ื ฐาน ทุกคนอยากมีชีวิตที่สมบูรณ ชีวิตท่ีสมบูรณนั้นเปนอยางไร เราลองมาดูคาํ สอนของพระพุทธศาสนา ทานสอนไวแลววา ชีวิตท่ีสมบูรณนั้นตองประกอบดวยประโยชนสุขในระดับตางๆ ประโยชนสุขนี่แหละเปนจุดมุงหมายของชีวิตหมายความวา ชีวิตของเราน้ีมีจุดมุงหมาย หรือมีสิ่งที่ควรเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒ จดุ มุงหมาย ชีวติ เกดิ มาทาํ ไม? ตอบไมไดสกั คน เราเกิดมาเราตอบไมไดวา ชีวิตของเรานี่เกิดมามีจุดมุงหมายอยางไร ไมมีใครตอบได เพราะวา เวลาจะเกิดหรือกอนจะเกิด เราไมไดตัง้ จุดมงุ หมายไว เมื่อเราเกิดมาน้ันเราไมรูตัวดวยซํ้า เพราะฉะน้ันเราจึงไมสามารถ ตอบไดวาจุดมุงหมายของชีวิตคืออะไร แตพระพุทธศาสนาสอนไววา มี ส่ิงที่ควรเปนจุดมุงหมายแหงชีวิตของเรา จุดหมายน้ีเปนเร่ืองของ ประโยชนแ ละความสขุ ทานแบง ไวเ ปน ๓ ระดับ ระดับท่ี ๑ คือประโยชนสุขท่ีตามองเห็น ซ่ึงเปนเรื่องวัตถุหรือ ดานรูปธรรม ถาจะสรุป ประโยชนสุขในระดับตน ซึ่งเปนสิ่งที่ตา มองเหน็ ก็จะไดแก๑) ก) มีสขุ ภาพดี มรี า งกายแขง็ แรง ไมเ จบ็ ไขไ ดปวย เปนอยสู บาย ใชการไดด ี๒) ข) มที รัพยสนิ เงนิ ทอง มกี ารงานอาชีพเปนหลักฐาน หรือพึ่งตนเองไดในทาง เศรษฐกิจ เรื่องนี้ก็สําคัญ พระพุทธเจาสอนไวมากมายในเรื่องทรัพยสินเงิน ทองวา จะหามาอยา งไร จะจัดอยา งไร และจะใชจ ายอยา งไร๓) ค) มีความสัมพันธท่ีดีกับเพ่ือนมนุษย หรือมีสถานะในสังคม เชน ยศศักดิ์ ตําแหนง ฐานะ ความมีเกียรติ มีช่ือเสียง การไดรับยกยอง หรือเปนท่ี ยอมรบั ในสงั คม รวมทง้ั ความมีมติ รสหายบรวิ าร๔) ง) สดุ ทา ยทสี่ ําคญั สําหรบั ชวี ติ คฤหัสถกค็ ือ มคี รอบครัวทีด่ ีมคี วามสุข ทั้งหมดน้ี เปนประโยชนสุขระดับตน ซึ่งตามองเห็น ทาน บัญญัติศัพทไวเฉพาะ เรียกวา ทิฏฐธัมมิกัตถะ แปลวาประโยชน ปจ จุบนั หรือประโยชนท่ีตามองเห็น เปนประโยชนท่ีมองเห็นเฉพาะหนา และเปนฐานทมี่ ั่นคงระดับแรก ทกุ คนควรทาํ ใหเกดิ ขนึ้
๒๔ ชวี ติ ที่สรางสรรค สดใสและสขุ สันต ถาใครขาดประโยชนระดับน้ีแลวจะมีชีวิตท่ีลําบาก มีชีวิตอยูในโลกไดยาก และจะกาวไปสูความสุขหรือประโยชนในระดับสูงขึ้นไปก็ติดขัดมาก ฉะนั้น ถาเราอยูในโลก ก็ตองพยายามสรางประโยชนสุขในระดับตนน้ีใหไ ด พอมีแลวกส็ บาย และส่งิ เหลา น้ีกเ็ น่ืองกนั พอเรามีสุขภาพดี เราก็หาเงินหาทองไดสะดวกข้ึน ถามามัววุนวายกบั เรอื่ งเจ็บไขไ ดปว ย เราก็ไมม เี วลาทจี่ ะทาํ มาหาเล้ียงชีพ แลว กส็ น้ิ เปลอื งดว ย บางทีทรัพยท ี่หามาไดก ห็ มดไปกับเร่ืองเจ็บปวย ทีนี้พอเรามีรางกายแข็งแรงสุขภาพดี เราก็ทํางานการหาเงินทองได แตไมใชพอแคน้ันนะเพยี งแคร า งกายดมี ีเงนิ เทา นน้ั ไมพ อ แตอ ยา งนอ ยมันกเ็ ปนฐานไวก อ น ทีน้ี เม่ือมีทรัพยสินเงินทองแลว ฐานะในสังคมก็มักพวงมาดวยเพราะตามคานิยมในสังคมโดยทั่วไปน่ี พอใครมีทรัพยสินเงินทองก็มักเปนท่ียอมรับในสังคม กลายเปนคนมีสถานะ ไดรับการยกยอง มีเกยี รติ ไปไหนกม็ ีหนามีตา เร่ืองนก้ี ็ขน้ึ ตอ คานิยมของสังคมดว ย ทีนี้ เมอ่ื มกี ารยอมรบั มีฐานะ มยี ศ มีตําแหนง ขน้ึ แลว ก็อาจจะมีอํานาจ หรือมีโอกาส ทําใหมีทางไดทรัพยสินเงินทองมากข้ึนดวย จึงเนือ่ งอาศัยซ่งึ กันและกัน ถามีทรัพยส ินเงนิ ทอง และมียศ มีตาํ แหนงแลว ก็มักทําใหมีมิตรมีบริวารเขามาดวย เพ่ิมเขามาอีก เปนเคร่ืองประกอบ ชวยใหทําอะไรๆไดสะดวกและกวางไกลย่งิ ขนึ้ ตอจากน้ัน แกนขางในก็คือครอบครัว ถามีครอบครัวท่ีดี เปนครอบครัวท่ีมั่นคง มีความสุข ก็ทําใหการทําหนาที่การงานของเราปลอดโปรงโลงใจคลอ งตัวยงิ่ ขนึ้ ไปอีก เปนสง่ิ ท่เี กอื้ กูลแกกันและกัน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕ พอเรื่องครอบครัวเรียบรอย ทํางานคลอง หาเงินหาทองไดดี ก็เลี้ยงดคู รอบครวั ไดเ ต็มท่ี ทําใหครอบครัวมีความมั่นคง สามารถเลี้ยงดูและใหการศึกษาแกลูก ก็สามารถสรางสรรคความเจริญของชีวิตครอบครวั และวงศต ระกูล ตลอดถึงสังคมประเทศชาติพืน้ ฐานจะมั่น ตองลงรากใหล กึ น่ีคือประโยชนสุขระดับท่ีหน่ึง ซ่ึงตองยอมรับวาสําคัญ แตเพียงเทา น้นั ยังไมพอ ประโยชนสุขระดับนี้ เปนส่ิงที่คนมุงหมายกันมาก แตมันยังมีขอบกพรอง คือมันยังไมลึกซ้ึง แลวก็ไมปลอดโปรงโลงใจเต็มท่ี ยังเปนไปกับดวยความหวาดระแวง ความหวงแหนอะไรตางๆ หลายอยางเชน เมื่อมีทรัพยสินเงินทอง เราก็ยังมีความรูสึกไมปลอดภัยในบางครั้งบางคราว ทําใหมีความหวงกังวลและความกลัวภัยแฝงอยูในชีวิตของเรา อีกอยางหนึ่ง ในการอยูในโลก ความสุขของเราก็ตองขึ้นตอส่ิงเหลาน้ี เวลาเราแสวงหาเงินทองมาไดมากๆ มีวัตถุมาบํารุงความสุขเพิ่มข้ึน เราดําเนินชีวิตไป เราก็นึกวา ถาเรายิ่งมีมากเราจะยิ่งมีความสุขมาก เราก็หาเงินหาทรัพยย่ิงขึ้นไป แตแลวบางทีกลายเปนวา ไปๆ มาๆเราก็วิ่งไลตามความสุขไมถึงสักที ย่ิงมีมากขึ้น ความสุขก็ย่ิงวิ่งหนีเลยหนา ไป แตก อนเคยมีเทา น้ีก็สขุ แตตอ มาเทา น้ันไมส ุขแลว ตอ งมีมากกวาน้ัน เคยมีรอยเดียวก็สุข ตอมาเราคิดวาตองไดพันหน่ึงจึงสุข พอไดพันแลว หนง่ึ รอยที่เคยมีและทําใหสุขไดกลับกลายเปนทุกข คราวน้ีถามีแค
๒๖ ชีวติ ทส่ี รา งสรรค สดใสและสุขสนั ตรอยไมเปนสุขแลว ตองมีพัน ทีน้ี พอมีพันก็อยากไดหม่ืน ตองไดหม่ืนจงึ สขุ มีพนั ตอนนไ้ี มสุขแลว แตกอนทําไมมีรอยก็สุข มีพันก็สุข แตเดี๋ยวน้ีมันสุขไมได รอยและพันนั้นกลับเปนทุกขไป มันไมนาจะเปนไปได เมื่อกอนโนนยังไมมีอะไร พอไดรอยคร้ังแรกดีใจเหลือเกิน สุขย่ิงกวาเดี๋ยวน้ีที่ไดหมื่น พอหาเครื่องบํารุงความสุขไดเพิ่มข้ึน สุขเกาที่เคยมีกลับลดหาย ความสุขมนั หนีได นกี่ ็เปน เรอ่ื งทท่ี ําใหร ูสึกไมม่ันคง ไมโ ปรงใจ นอกจากน้ันยังเปนเรื่องของความไมจริงใจและการมีความอิจฉาริษยากันอกี ทําใหอยูดว ยความหวาดระแวงไมส บายใจ อยางเรามียศ มีตําแหนงฐานะเปนที่ยอมรับในสังคม บางทีเราก็ไมแนใจวา เขาเคารพนับถือเราจริงหรือเปลา หรือเปนเพียงอาการแสดงออกภายนอก เวลาเราเปลีย่ นสถานะภายนอกแลว เขาอาจจะไมเ คารพนับถือเราอกี ฉะนั้น ขณะท่ีอยูในสถานะน้ัน เราก็มีความรูสึกไมอ่ิมใจเต็มที่มันไมลึกซ้ึง พรอมกับการท่ีไดรับเกียรติยศฐานะหรือการยอมรับยกยอ งน้นั ในใจลกึ ๆ ลงไป บางทีกไ็ มสบายใจ นี่แหละจึงกลายเปนวา บางทีส่ิงเหลานี้ก็เปนของเทียม เชนเกียรติยศ และความเคารพนับถือ ก็อาจจะเปนเกียรติยศและความเคารพนับถือท่ีเปนของเทียม เมื่อเปนของเทียม ก็เปนส่ิงคางคา เปนปญ หาท้ังแกต นเองและแกผ อู นื่ สําหรับตัวเราเอง มันก็เปนปมในใจ ทําใหเราไมไดความสุขที่แทจริง และเมื่อตองออกจากสถานะนั้น หรือหมดสถานะน้ันไป แลวเห็นคนอ่ืนมีทาทีอาการตอตนเองเปล่ียนแปลงไป ก็สูญเสียความมั่นใจและเกิดความโทมนัส ถาเราแกปมในใจน้ีไมได บางทีก็สงผลเปนปญหา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๗ตอไปอกี ทําใหม ีผลตอ พฤติกรรม ตอ ความเปนอยู ตลอดจนสขุ ภาพทัง้ทางจิตและทางกายของเรา ในดานท่ีเก่ียวกับคนอื่น ก็มักมีเร่ืองของการแขงขันชิงดีชิงเดนและการปนแตงทาทาง การกระทําและการแสดงออกที่หวังผลซอนเรนแอบแฝง ตลอดจนความไมสนิทใจตอกัน ทําใหการเปนอยูในสังคมกลายเปนการสรางปญหาในการอยูรวมกันอีก ปญหามากมายของมนษุ ยก ็จึงเกิดขึน้ จากการปฏบิ ตั ิตอเรอ่ื งประโยชนสุขระดับตน น้ี ในที่สุด ก็กลายเปนวา ถาเราไมกาวสูประโยชนสุขข้ันตอไปประโยชนสุขระดับท่ีหนึ่งนี้ ก็จะเปนปญหาไดมาก เพราะมันไมเต็มไมอ่ิม ไมโปรงไมโลง และมีปญหาพวงมาดวยนานาประการ รวมทั้งความหวาดระแวง ความอิจฉาริษยา ความรูสึกไมม่ันคงปลอดภัยภายนอกและความรสู กึ ไมมน่ั ใจภายในตนเอง เพราะฉะนั้น ประโยชนสุขระดับแรกนี้ แมวามันจะเปนส่ิงสําคัญท่ีเราจะตองไมมองขาม แตเราก็จะตองกาวสูประโยชนสุขขั้นตอไป ดวยเหตุน้ี พระพุทธเจา จงึ ทรงสอนประโยชนส ขุ ระดับทส่ี องไวด ว ยถาลงลกึ ได จะถงึ ประโยชนส ขุ ท่แี ท ระดบั ที่ ๒ ไดแก ประโยชนสุขท่ีเปนดานนามธรรม เปนเรื่องของจติ ใจลึกซ้งึ ลงไป ทา นเรยี กวาประโยชนที่เลยจากตามองเห็น หรอื เลยไปขางหนา ไมเห็นเปนรูปธรรมตอหนาตอตา เรียกดวยภาษาวิชาการวาสัมปรายิกัตถะ เชน ความมีชีวิตท่ีมีคุณคาเปนประโยชน การท่ีเราไดชว ยเหลือเกือ้ กูลแกผูอ ืน่ ดว ยคณุ ธรรม ไดทาํ ประโยชนแกเ พื่อนมนุษย เม่ือระลึกขึ้นมาวา เราไดใ ชช ีวติ นี้ใหม ปี ระโยชน เราไดท าํ ชีวิตใหม ี
๒๘ ชีวติ ทสี่ รา งสรรค สดใสและสุขสันตคุณคา ไดชวยเหลือเพื่อนมนุษย ไดเกื้อกูลสังคมแลว พอระลึกขึ้นมาเราก็อ่ิมใจสบายใจ ทําใหม คี วามสขุ อีกแบบหน่งึ ดวยวิธีปฏิบัติในระดับท่ีสอง ซึ่งเปนเรื่องของจิตใจ เกี่ยวกับคุณธรรมนี้ ก็ทําใหเรามีความสุขเพ่ิมข้ึนอีก และแมแตประโยชนสุขระดับท่ีหน่ึงน้ัน เม่ือมีประโยชนสุขระดับท่ีสองเปนคูอยูขางในดวย ก็จะเกิดมีข้ึนชนิดท่ีวาลึกซึ้งเปนจริงเลยทีเดียว จะไมเปนของเทียม เชนถาเปนการเคารพนบั ถอื ตอนน้จี ะเปนของแท การที่เรามีนํ้าใจมีคุณธรรมและชวยเหลือเก้ือกูลเพ่ือนมนุษยดวยใจจริง ก็จะทําใหเขาเคารพเราจริง เปนการแสดงออกจากใจท่ีแนนอนสนทิ เปน ของลกึ ซ้งึ เราจะไดของแท ในทางกลับกัน ประโยชนสุขระดับท่ีสองนี้ ก็อาศัยประโยชนสุขระดับท่ีหน่ึงมาชวย พอเรามีจิตใจที่พัฒนา มีคุณธรรมข้ึนมาแลว เรามีนํ้าใจอยากจะชวยเหลือเกื้อกูลเพ่ือนมนุษย เราก็เอาส่ิงที่เปนประโยชนในระดับแรกนั่นเองมาใช เชนเอาทรัพยสินเงินทองท่ีเปนวัตถุเปนของมองเห็นนั่นแหละมาใชช ว ยเหลือเพอื่ นมนษุ ย ยิง่ มมี าก กย็ ิ่งชวยไดมาก คนที่มีแตประโยชนสุขระดับที่สอง ถึงแมจะมีน้ําใจเก้ือกูล มีคุณธรรม อยากจะชวยคนอื่น แตระดับที่หนึ่งทําไวไมดี ไมมีเงินทองจะไปชวยเขา ก็ทําประโยชนสุขไดนอย เพราะฉะน้ันจึงตอ งมีทง้ั สองข้ัน นอกจากความสุขใจชื่นใจในการท่ีไดชวยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย ก็คือความมั่นใจ โดยเฉพาะความม่ันใจในชีวิตของตนเอง เชนเรามีความม่ันใจในชีวิตของเราท่ีไดเปนอยูมาดวยดี มีความประพฤติปฏบิ ตั ิถูกตอ ง ตงั้ อยใู นความดงี ามสจุ ริต ไมไดทาํ ผิดทําโทษอะไร เมื่อเราระลึกนึกถึงชีวิตของเราข้ึนมา เราก็มีความม่ันใจในตนเอง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒เปนความสุขลกึ ซึง้ อยภู ายใน และเมอื่ เรามคี วามสัมพันธกับเพ่ือนมนุษยดวยความดีงาม เกิดจากคุณธรรมภายใน ก็ยิ่งทําใหเรามีความม่ันใจในตัวเองมากข้ึน พรอมทั้งมีความม่ันใจในการอยูรวมกับผูอ่ืนดวย น้ีเปนระดับของความสุขทแ่ี ทจริง ในตอนท่ีมีวัตถุภายนอก เรายังไมมีความมั่นใจจริง ความสุขก็ผานๆ ไมลึกซ้ึงและไมยืนยาว แตพอมีคุณธรรมภายใน ซึ่งเปนประโยชนสุขระดับที่สอง เราก็มีความม่ันใจในตัวเอง และมีความสุขที่ลกึ ซึ้ง เตม็ ใจและชมุ ฉา่ํ ใจ นอกจากน้ันยังมีคุณธรรมอื่นที่มาชวยเสริมหนุนประโยชนสุขทางจิตใจอีก โดยเฉพาะศรัทธา คือมีความเช่อื ม่ันในสิ่งท่ีดีงาม ในคุณความดี ในการกระทําความดี ในจุดหมายที่ดีงาม ตลอดจนในวิถีชีวิตท่ีดีงามความเชอ่ื ม่ันและมน่ั ใจเหลานเ้ี ปน ศรัทธา ทานผูศรัทธาในพระศาสนา เห็นวาพระศาสนาน้ีมีอยูเพื่อประโยชนสุขแกมวลมนุษย เปนคําสอนท่ีดีงาม เรามีศรัทธา มีความมัน่ ใจในคุณคา แหง ธรรม เราก็ทํานุบํารุงหรือชวยกิจการพระศาสนาดวยศรัทธานั้น จิตใจของเราก็มีความม่ันใจและมั่นคง มีกําลังเขมแข็งและผองใส พรอ มท้ังมคี วามสุขทปี่ ระณีต เปน สว นทีแ่ ทแ ละลึกซึง้ อยภู ายใน อันนี้คือประโยชนสุขระดับที่สอง ที่ทานถือวาเราจะตองกาวใหถึงซ่ึงจะทําใหประโยชนสุขข้ันท่ีหนึ่งไมมีพิษไมมีภัย แลวก็กลับเปนประโยชนเกื้อกูลกวางขวางออกไป และยังทําใหความสุขท่ีมีท่ีไดกลายเปนความสุขที่ลึกซ้ึงเต็มท่ี ฉะน้ันเราจึงตองกาวไปสูประโยชนสุขระดบั ทีส่ อง ทานผูใดไดกาวข้ึนมาถึงประโยชนสุขระดับที่สองแลว ก็จะมี
๓๐ ชีวิตที่สรา งสรรค สดใสและสุขสันตความม่ันใจในคุณคาแหงชีวิตของตนเอง พอระลึกนึกขึ้นมาเมื่อใดก็เกิดปต ิสุขวา เออ เรามีทรัพยสินเงินทอง และเงินทองนั้นก็ไมเสียเปลา เราไดใชทรัพยสินเงินทองนี้ทําใหเกิดประโยชนแลวแกชีวิตของเราและเพ่ือนมนษุ ย บางทานก็อ่ิมใจวา เรามีศรัทธาในส่ิงท่ีถูกตอง เรามีความม่ันใจในการดําเนินชีวิตของเรา เราไดทําสิ่งท่ีถูกตองเปนประโยชน ไมไดทําส่ิงท่ีเปนโทษเสียหาย ถาพูดตามศัพทของทานก็วา มีความมั่นใจดวยศรัทธา ท่ีเช่ือและชื่นใจในส่ิงท่ีดีงาม แลวก็มีศีล มีความประพฤติดีงาม เก้ือกูล ไมเบียดเบียนใคร ทําแตสิ่งท่ีเปนคุณประโยชน มีจาคะ มีความเสียสละไดใชทรัพยสินเงินทองที่หามาไดทําใหเกิดคุณคา ขยายประโยชนสุขใหกวา งขวางออกไป แลวก็มีปญญา มีความรูความเขาใจในความจริงของสิ่งทั้งหลายพอที่จะปฏิบัติตอสิ่งท่ีชีวิตเก่ียวของ เริ่มแตบริโภคบริหารใชจายจัดการทรัพยสินเงินทองนั้น ในทางที่จะเปนคุณประโยชนสมคุณคาของมันและไมใหเกิดเปนปญหา ไมใหเกิดทุกข ไมลุมหลงมัวเมา อยูอยางเปนนาย มใิ ชเ ปนทาสของทรพั ย ตอจากน้ีเรากจ็ ะกา วไปสูป ระโยชนสขุ ระดบั ที่สาม แตถึงจะมีเพียงแคสองข้นั นกี่ น็ บั วามชี วี ิตท่คี อนขา งจะสมบูรณแ ลวถงึ จะเปน ประโยชนแท แตกย็ ังไมส มบรู ณ แมจะไดจะถึงประโยชนสุข ๒ ระดับแลว แตพระพุทธเจาก็ทรงเตือนวายังไมสมบูรณ ไมสมบรู ณเพราะอะไร
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) แมเราจะมีความดี เรามีความภูมิใจ ม่ันใจในความดีของเรา แตเราก็มีจิตใจท่ียังอยูดวยความหวัง เรายังหวังอยากใหคนเขายกยองนับถือ ยังหวังในผลตอบสนองความดีของเรา แมจะเปนนามธรรม เรามีความสขุ ดว ยอาศยั ความรสู ึกม่นั ใจภมู ิใจอะไรเหลานนั้ เรียกงายๆ วายังเปนความสุขทอี่ ิงอาศยั อะไรอยางใดอยา งหน่ึง ในระดับท่ีหนึ่ง ความสุขของเราอิงอาศัยวัตถุ หรือข้ึนตอคนอื่นสิ่งอืน่ พอถึงระดับท่ีสอง ความสุขของเราเขามาอิงอาศัยความดีงามและคณุ ธรรมของตัวเราเอง อยางไรก็ตาม ตราบใดเรายังมีความสุขที่อิงอาศัยอยู มันก็เปนความสุขท่ียังไมเปนอิสระ เพราะยังตองข้ึนตออะไรๆ อยางใดอยางหน่ึงเชนถาเกิดมีกรณีขึ้นวาเราทําความดีไปแลวคนเขาไมยกยองเทาท่ีควรเม่อื เราหวังไว ตอ ไปเรากร็ สู ึกผิดหวงั ได บางทีเราทําความดีแลว มาเกิดรูสึกสะดุดข้ึนวา เอ! ทําไมคนเขาไมเห็นความดีของเรา เราก็ผิดหวัง หรือวาเราเคยไดรับความชื่นชมไดรับความยกยองในความดี แตตอมาการยกยองสรรเสริญน้ันเสื่อมคลายจืดจางลงไป หรือลดนอยลงไป ก็ทําใจเราใหหอเห่ียวลงไปไดจติ ใจของเราก็ฟูยุบไปตามความเปล่ยี นแปลงภายนอก ในทางตรงขาม ถาเรามีจิตใจท่ีรูเทาทันความจริงของสิ่งท้ังหลายรูตระหนักในกฎธรรมชาติวามันเปนธรรมดาอยางน้ันๆ แลว เราก็ทําจิตใจของเราใหเปนอิสระได และมันจะเปนอิสระจนถึงขั้นที่วา ความเปล่ียนแปลงเปนไปของส่ิงท้ังหลายตามกฎธรรมชาติน้ัน มันก็เปนเรื่องของธรรมชาติไป มันไมมามีผลกระทบตอจิตของเรา ใจของเราก็โปรงก็
๓๒ ชวี ิตทส่ี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตโลงผองใสอยูอยา งน้ัน แมวาส่ิงท้ังหลายจะเปลี่ยนแปลงไป เปนทุกข และเปนไปตามเหตุปจจัย แตใจของเราก็เปน อิสระอยู เปนตวั ของเราตามเดิม เมอื่ กระทบกับความไมเที่ยงเปนอนิจจัง สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป เราก็รูเทาทันวามันจะตองเปนอยางนั้นตามเหตุปจจัย แลวก็ดํารงใจเปนอสิ ระอยไู ด เมื่อเรารูตระหนักตามที่มันเปนวาสิ่งท้ังหลายเปนทุกข คือคงอยูในสภาพเดิมไมได เรารูเทาทันแลว ความทุกขนั้นก็เปนความทุกขของสิ่งเหลา นน้ั อยตู ามธรรมชาติของมนั ไมเ ขา มาเปนความทุกขในใจของเรา ปญหาของมนุษยนั้นเกิดจากการท่ีไมรูเทาทันความจริง แลวก็วางใจตอส่ิงท้ังหลายไมถูกตอง จึงทําใหเราถูกกฎธรรมชาติเบียดเบียนบบี คน้ั และครอบงําอยตู ลอดเวลา ความทุกขของมนุษยน้ี รวมแลว ก็อยูท่ีการถูกกระทบกระท่ังบีบคั้นจากการเปลี่ยนแปลง ความไมเที่ยงแทแนนอน ความตั้งอยูในสภาพเดิมไมได ไมคงทนถาวร เปนไปตามเหตุปจจัย ซ่ึงฝน ขัดแยง ไมเปนไปตามความปรารถนา ส่ิงทั้งหลายเปล่ียนแปลงไป เราอยากใหเปล่ียนไปอยางหนึ่ง มันกลับเปล่ยี นไปเสียอีกอยา งหน่งึ เราอยากจะใหมนั คงอยู แตมนั กลับเกิดแตกดบั ไป อะไรทาํ นองนี้ มนั กฝ็ นใจเรา บีบคัน้ ใจเรา เรากม็ คี วามทกุ ขถา กระแสยงั เปนสอง ก็ตองมกี ารปะทะกระแทก ทั้งนี้ท้ังน้ันก็เพราะวา เราไปสรางกระแสความอยากซอนข้ึนมาบนกระแสความจริงของธรรมชาติทีม่ อี ยกู อ นแลว
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) กระแสความอยากของเรานี้ เปนกระแสท่ีไมเปนของแทจริงกระแสท่ีแทจริงของสิ่งท้ังหลายก็คือกระแสของกฎธรรมชาติท่ีวาสิ่งท้ังหลายเปน ไปตามเหตปุ จจยั ของมนั ทีน้ีมนุษยเราก็สรางกระแสความอยากของตัวขึ้นมาวา จะใหส่ิงทั้งหลายเปนอยางนั้นเปนอยางนี้ตามใจท่ีชอบชังของเรา แตมันก็ไมเปน ไปตามท่ีใจเราอยาก เราอยากจะใหมนั เปนอยา งนี้ มนั ก็ไมเปน กลับเปนไปเสียอยางโนน เพราะวาส่ิงทั้งหลายมีกระแสท่ีแทจริงควบคุมมันอยู กระแสทีแ่ ทจริงของมันกค็ อื กระแสแหง เหตุปจ จยั สําหรับคนปุถุชนทั่วไปก็จะมีกระแสของตัวที่สรางขึ้นเอง คือกระแสความอยาก เรามีกระแสนี้ในใจของเราตลอดเวลา เปนกระแสความอยากที่มีตอส่ิงหลาย ไมวาเราจะเกี่ยวของกับอะไร เราก็จะสงกระแสนี้เขาไปสัมพันธกับมัน คือเราจะมีความนึกคิดตามความปรารถนาของเราวา อยากใหม ันเปนอยา งน้นั ไมอยากใหเ ปน อยา งนี้ ทีน้ี สิ่งทั้งหลายน้ันมีกระแสจริงๆ ท่ีคุมมันอยูแลว คือกระแสกฎธรรมชาติ อันไดแกความเปนไปตามเหตุปจจัย พอถึงตอนน้ีกระแสของตัวเราเกิดขนึ้ มาซอ นเขา ไปอีก ก็เกิดเปน ๒ กระแส แตส่ิงที่อยูในสองกระแสนน้ั กอ็ ันเดียวกันนัน่ แหละ คือ ส่ิงน้ันเองเม่ือมาเก่ียวของกับตัวเรา ก็ตกอยูในกระแสความอยากของเรา แลวตัวมันเองกม็ กี ระแสแหงเหตปุ จ จยั ตามธรรมดาของธรรมชาติอยูแ ลว พอมี ๒ กระแสข้ึนมาอยางน้ี เมื่อมีความเปนไปอยางหนึ่งอยางใดก็ตาม สองกระแสนก้ี จ็ ะเกิดการขัดแยงกันขึ้น แลวก็กลายเปนปญหาคือ กระแสความอยากของคน ขัดกับกระแสเหตุปจจัยของธรรมดา
๓๔ ชีวิตทสี่ รา งสรรค สดใสและสุขสนั ต ทีนี้ พอเอาเขาจริง กระแสเหตุปจจัยของกฎธรรมชาติก็ชนะกระแสความอยากของเรากแ็ พ ก็ตองเปนอยางน้ี เพราะเปนธรรมดาวา ส่ิงท้ังหลายไมไดเปนไปตามความอยากของคน แตม นั เปนไปตามเหตปุ จ จยั ของมัน พอสองกระแสน้ีสวนทางปะทะกัน และกระแสเหตุปจจัยชนะกระแสความอยากของเราแพ ผลที่ตามมาก็คือ ตัวเราถูกบีบค้ัน เราถูกกดดัน เราก็มีความทุกข น่คี อื ความทกุ ขเ กดิ ขึ้น แลว เราก็ไดแตรองข้ึนมาในใจหรือโอดโอยคร่ําครวญวา ทําไมมันจึงเปน อยางนั้นหนอ ทําไมมันจึงไมเปนอยางน้ีหนอ แลวก็ถูกความทุกขบีบค้นั ใจ ไดแ ตร ะทมขมขื่นไปพอประสานเปนกระแสเดยี วได คนก็สบาย งานกส็ าํ เรจ็ สวนคนที่รเู ทาทันความจริง เขาศกึ ษาธรรมแลวก็รูเลยวา ความจรงิก็ตองเปนความจริง คือส่ิงทั้งหลายเปนไปตามกฎธรรมชาติ โดยเปนไปตามเหตปุ จจยั ของมัน จะเอาความอยากของเราไปเปน ตวั กาํ หนดไมได เพราะฉะนั้น เราเพียงแตรูเขาใจวามันควรจะเปนอยางไร หรือกําหนดวาเราตองการอยางไร ตอจากน้ันก็ทําดวยความรูวา มันจะเปนอยา งน้นั ได เราตอ งทาํ ใหเปน ไปตามเหตุปจ จยั ฉะนั้น ถาเราตองการใหมันเปนอยางใด หรือมันควรจะเปนอยางใด เราก็ตองไปศึกษาเหตุปจจัยของมัน เม่ือใชปญญาศึกษาเหตุปจจัยของมัน และรูเหตุปจจัยแลว จะใหมันเปนอยางไร เราก็ไปทําเหตุปจจัยท่ีจะใหมันเปนอยางน้ัน ถาจะไมใหเปนอยางโนน เราก็ไปปองกันกําจัดเหตุปจจัยท่จี ะใหเ ปนอยา งโนน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕ ถาตองการจะใหเปนไปตามท่ีเรากําหนดหรือตามที่มันควรจะเปนแลวเราศึกษาเหตุปจจัย รูเหตุปจจัย และไปทําท่ีเหตุปจจัยใหเปนไปอยางท่ีเราตอ งการ ก็จะเกิดผลสําเรจ็ ขึน้ เม่ือเรารูและทําอยางน้ี กระแสของเราก็เปลี่ยนจากกระแสความอยากคอื กระแสตัณหา มาเปน กระแสปญญา จะเห็นชัดเจนวา กระแสปญญาน้ีกลมกลืนเปนอันเดียวกับกระแสเหตุปจจัยของธรรมชาติ เพราะกระแสเหตุปจจัยเปนไปอยางไรกระแสปญ ญากร็ ไู ปตามน้นั เม่ือเปนอยางนี้ กระแสของคนกับกระแสของธรรมชาติ ก็กลายเปนกระแสเดียวกัน เทากับวาตอนนี้เหลือกระแสเดียว คือกระแสเหตปุ จ จัยทเ่ี รารูเทารูทันรตู ามไปดว ยกระแสปญ ญา เมื่อกระแสของคน(กระแสปญญา-ของเรา) กับกระแสของธรรม (กระแสเหตุปจจัย-ของกฎธรรมชาติ) ประสานกลมกลืนเปนกระแสเดียวกนั ความขัดแยงบบี คน้ั ปะทะกระแทกกนั ก็ไมม ี สรุปวา มีความสัมพันธระหวางกระแส ๒ แบบ คือสองกระแสท่ีปะทะขัดแยง กัน กับสองกระแสทปี่ ระสานกลมกลืนเปนกระแสเดียวกนั สองกระแสท่ีปะทะขัดแยงกัน ก็คือ กระแสความอยากของตัวเรา ท่ีเราสรางขึ้นใหม ขัดกับกระแสเหตุปจจัยของกฎธรรมชาติที่มีอยูเ ดมิ ตามธรรมดาของมัน กระแสความอยากของเรา ก็คือการท่ีคิดจะใหสิ่งท้ังหลายเปนอยางน้ันเปนอยางนี้ ตามใจตัวเรา โดยไมมองไมรับรูวาส่ิงท้ังหลายจะตองเปนไปอยางไรๆ ตามเหตปุ จ จัยของกฎธรรมชาติ เม่ือเราจะใหส่ิงน้ันเปนไปอยางหน่ึงตามกระแสความอยากของเรา
๓๖ ชีวิตทส่ี รางสรรค สดใสและสุขสนั ตแตส่ิงนั้นมันเปนไปเสียอีกอยางหนึ่งตามกระแสเหตุปจจัยของกฎธรรมชาติ กระแสของคน กับกระแสของธรรม(ชาติ) ก็แยกตางกันเปนสองกระแส แลว สองกระแสน้ีก็ปะทะกระแทกขัดแยงกัน และเมื่อกระแสของเราแพ เราก็ถูกกดถูกอัดถูกบีบคั้น เรียกวาเกิดทุกขอยางท่ีวามาแลว สองกระแสที่ประสานกลมกลืนเปนกระแสเดียวกัน ก็คือกระแสปญญาของเรา เขา กันกับกระแสเหตปุ จจัยของกฎธรรมชาติ ถาเราใชปญญา ปญญาน้ันก็รูเขาใจมองเห็นไปตามเหตุปจจัยที่เปนไปอยูต ามกฎธรรมชาติ ปญญาคอยมองคอยดูใหรูเขาถึงและเทาทันกระแสเหตุปจจัย กระแสปญญาของเราจึงประสานกลมกลืนกับกระแสเหตปุ จ จยั ของกฎธรรมชาติ อันน้ีเรียกวา กระแสของคน กับกระแสของธรรม(ชาติ)ประสานกลมกลืน กลายเปนกระแสเดียวกัน ไมมีการปะทะหรือขัดแยงกนั เพราะไมมตี วั ตนของเราที่จะมาถกู กดถกู อดั ถกู บบี เปนอันวา ตอนแรกสองกระแส คือ กระแสความอยากของเราหรือกระแสตัณหา เรียกงายๆ วา กระแสของคน กับกระแสเหตุปจจัยของกฎธรรมชาติ เรียกงายๆ วา กระแสของธรรม ตองปะทะขดั แยง กัน เพราะแยกตางหากไปกันคนละทาง และไมรูเรอื่ งกัน แตพอเราใชปญญา เราก็เขาถึงกระแสเหตุปจจัยเลย กระแสความอยากไมเกิดขึ้น กระแสของคนคือกระแสปญญา กับกระแสของธรรมคือกระแสเหตุปจจัย กจ็ งึ ประสานกลมกลืนกนั เหลอื กระแสเดียว เมื่อกระแสของคนเปล่ียนจากกระแสตัณหา มาเปนกระแสปญญาแลว การท่ีเราจะตองขัดแยงปะทะกระแทกกับกระแสของ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗ธรรมชาติ หรือกระแสธรรม และจะตองถูกกดถูกอัดถูดบีบ เพราะเราแพมัน ก็ไมมีอีกตอไป กลายเปนวากระแสของคนกับกระแสของธรรมประสานกลมกลืนไปดวยกัน กลายเปนกระแสเดียวกัน ไมมีความขดั แยง ปะทะกระแทกกนั ตอ ไปอกี เมื่อกระแสของคน กับกระแสของธรรม ประสานกลมกลืนกันเปนกระแสเดียวแลว ไมวาสิ่งทั้งหลายจะเปนไปตามเหตุปจจัยอยางไรเรากร็ ูเหตุปจ จัยอยา งนั้น แลวกท็ ําที่เหตุปจจยั ดังนนั้ จงึ ทงั้ ทําไดผลดวยแลวกไ็ มทกุ ขดวย เม่ือทําไดแคไหน เราก็รูวานั่นคือตามเหตุปจจัย หรือเทาที่จะไดจะเปนตามเหตุปจจัย ถามันไมสําเร็จ เราก็รูวาเพราะเหตุปจจัยไมเพียงพอ หรือเหตุปจจัยบางอยางสุดวิสัยท่ีเราจะทําได เรารูเขาใจแลวก็ไมค ร่าํ ครวญโอดโอยวา ทาํ ไมหนอๆ เรากไ็ มทกุ ข ฉะน้ัน ดวยความรูเขาใจอยางนี้ จะทําใหเรา ท้ังทํางานก็ไดผลทัง้ ใจคนกไ็ มเปน ทกุ ข มีแตจ ะเปนสขุ อยางเดยี วปญญามานาํ มองตามเหตปุ จจยัตวั เองก็สบาย แถมยงั ชว ยคนอนื่ ไดอ ีก ฉะนน้ั ชาวพุทธจะตองตั้งหลักไวใ นใจแตตนวา เวลามองส่ิงตางๆจะไมมองดวยความชอบใจหรือไมชอบใจ แตมองดวยปญญาที่วามองตามเหตปุ จ จัย ตั้งหลกั ไวในใจอยา งนีต้ ั้งแตต น คนท่ีไมไดฝกไมไดพัฒนาไมไดเรียนรูพุทธศาสนา ก็จะตั้งทาผิดเริ่มตั้งแตมองสิ่งท้ังหลาย ก็มองดวยทาทีของความรูสึกที่วาอยากอยางนั้น อยากอยางนี้ ชอบใจไมชอบใจ พอรับรูประสบการณอะไร ก็เอา
๓๘ ชวี ติ ทีส่ รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตความชอบใจไมชอบใจเขาไปจับ หรือมีปฏิกิริยาชอบใจหรือไมชอบใจไปตามความรสู ึก สําหรับชาวพุทธจะไมเอาความชอบใจไมชอบใจหรือความชอบชังของตัณหามาเปนตัวตัดสิน เปนตัวนําวิถีชีวิต หรือเปนตัวบงการพฤติกรรม แตเอาปญญามานํา การที่จะเอาปญญามานําน้ัน ถาเรายังไมมีปญญาพอ หรือยังไมชาํ นาญ ก็ตง้ั หลักในใจกอน คอื ตัง้ หลกั ทจี่ ะเปน จุดเร่มิ ตน ใหแ กปญญา วิธีต้ังหลักในเม่ือยังไมมีปญญาพอ ก็คือ ทําเปนคติไวในใจ เวลาเกิดอะไร เจออะไร บอกใจวา “มองตามเหตุปจจัยนะ” พอทําอยางน้ีปญหาหมดไปตั้งครึ่งตั้งคอนเลย เชน คนมีทุกขหรือคนจะโกรธ พอบอกวามองตามเหตุปจจัยเทานั้นแหละ ความทุกขหรือความโกรธก็สะดุดชะงกั หรอื ลดลงไปเลย เพราะฉะน้ัน เราประสบปญหาอะไร เจอสถานการณอะไร แมแตในความสัมพันธระหวางบุคคล ใหเราตั้งใจวางทาทีไววา “มองตามเหตุปจจัยนะ” พอมองตามเหตุปจจัย เราก็ตองใชปญญาคิดพิจารณาปญ ญากเ็ รมิ่ ตนทาํ งาน กเิ ลสและความทกุ ขกถ็ กู กนั ออกไป เขามาไมได แตถา เราไมม องตามเหตุปจจัย เราก็จะมองดวยความชอบชัง พอมองตามความชอบชัง ปญหาก็เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เปนความกระทบกระทั่งบีบคั้นปะทะกัน ขุนมัว หรือต่ืนเตนลิงโลดหลงใหลไปตาม แลว ปญ หาน้นั ก็จะขยายออกมาขางนอกดว ย พอมองตามเหตุปจจัยเราจะไมเ กิดปญ หา เราจะคดิ เหตุผล เราจะหาความจริง และไดความรูท่ีจะปฏิบัติตอบุคคลน้ัน เร่ืองนั้น กรณีน้ันไดโดยถูกตอง แลวเราก็จะมองผูอื่นดวยความเขาใจ เชนถามีผูอ่ืนเขา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต)มามีอาการกิริยาหรือวาจากระทบกระทั่งเรา เรามองตามเหตุปจจัย บางทีเรากลายเปน สงสารเขา คนน้ีเขามาดว ยทา ทอี ยางนี้ แสดงออกอยางน้ี ถาเราไปรับกระทบก็เกิดความโกรธ แตถาเราถือหลักมองตามเหตุปจจัยน้ี เราก็เร่ิมคิดวาเออ เขาอาจจะมีปญหาอะไรของเขา ตอนน้ีเราจะเริ่มคิดถึงปญหาของเขา แลวก็จะคิดชวยแกไข ใจเราโลงออกไปนอกตัว ไมอั้นกดกระแทกอยูก ับตัว กเ็ ลยไมเ กดิ เปน ปญ หาแกตวั เรา ตัวเขาเองอาจจะมีปญหา เขาอาจจะไมสบายใจอะไรมา หรืออาจจะมีปมอะไร เรามองดวยความเขาใจ และสืบหาเหตุปจจัย พอเราเขาใจเขา เราเองก็สบายใจ และเกิดความสงสารเขา กลายเปนคิดจะชวยเหลือไปประโยชนสขุ ทีส่ มบรู ณจ ะเกิดขนึ้ ไดจิตใจตอ งมอี ิสรภาพ การต้ังหลักในใจ เพ่ือเปนจุดเริ่มใหปญญามานําจิต หรือเพื่อใหจิตเขาสูกระแสปญญา อีกวิธีหน่ึง คือการมองตามคุณคา หมายความวา เม่ือพบเห็นเจอะเจอหรือเกี่ยวของกับบุคคล ส่ิงหรือสถานการณใดๆก็ไมใหมองตามชอบใจไมชอบใจของตัวเรา แตมองดูคุณโทษ ขอดีขอเสยี และประโยชนท ีจ่ ะเอามาใชใหไดจ ากสิง่ หรอื บุคคลนั้น การมองตามคุณคาของส่ิงน้ันๆ ก็ตรงขามกับการมองตามชอบใจไมชอบใจ หรือตามชอบชังของตัวเรา เชนเดียวกับการมองตามเหตุปจจัย แตมีวัตถุประสงคเพ่ือใหไดประโยชนจากประสบการณหรือสถานการณที่เราเกี่ยวของทุกอยาง โดยเฉพาะในการที่จะเอามาพัฒนา
๔๐ ชวี ติ ท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตชีวติ จิตใจของเราใหกา วหนา ดงี ามสมบูรณย ิ่งข้ึน ไมวา พบเห็นประสบอะไร ก็หาประโยชนหรือมองใหเห็นประโยชนจากมนั ใหได อยา งท่วี า แมแตไดฟง คําเขาดา หรอื พบหนูตายอยูขางทางกม็ องใหเ กิดมปี ระโยชนข น้ึ มาใหไ ด การมองตามเหตุปจจยั เปนวธิ ีมองใหเห็นความจริง สวนการมองตามคุณคา เปนวิธีมองใหไดประโยชน แตทั้งสองวิธีเปนการมองตามท่ีส่งิ นน้ั เปน ไมใชม องตามความชอบชงั ของตวั เรา การมองตามท่มี นั เปน เปนกระแสของปญญา เอาปญญาท่ีรูความจริงมานําชีวิต สวนการมองตามชอบใจไมชอบใจหรือตามชอบชังของเราเปน กระแสของตณั หา เอาตัณหาท่ชี อบชังมานาํ ชีวติ การมองตามเหตุปจจัย ซ่ึงเปนการมองหาความจริง เปนการมองตามที่ส่ิงนั้นมันเปนของมันตามสภาวะแทๆ เรียกวาเปนขั้นปรมัตถ เปนเร่ืองของการที่จะเขาถึงประโยชนสุขระดับท่ีสามโดยตรง สวนการมองตามคุณคา ซ่ึงเปนการมองใหไดประโยชน แมจะเปนการมองตามที่สิ่งน้ันเปน แตก็ไมถึงกับตามสภาวะแทๆ เรียกวายังอยูในข้ันที่เก่ียวกับสมมติ เปนวธิ ีปฏบิ ตั ิสําหรับประโยชนสุขในระดับที่สอง แตในตอนกอนน้ันไมไ ดพดู ไว จงึ พดู ไวใ นตอนนี้ดว ย เพราะเปน เร่ืองประเภทเดยี วกนั เปนอันวา ใหใชหลักของปญญา น้ีเปนวิธีเบื้องตนท่ีจะใหปญญามานําชีวิต ตอไปเราก็จะมีแตกระแสปญญา กระแสความรูเหตุปจจัยเราก็จะดําเนินชีวิตที่ปราศจากปญหาและมีจิตใจเปนอิสระ จนกระท่ังสิ่งทั้งหลายท่ีเกิดขึ้นเปนไปตามกฎธรรมชาติ มีความไมเท่ียง เปนอนิจจังคงอยูในสภาพเดิมไมได เปนทุกขัง ไมมีตัวตนย่ังยืนตายตัว แตเปนไปตามเหตปุ จจยั เมือ่ เรารเู ขาใจอยางน้แี ลว สิง่ ทั้งหลายที่เปนอยางน้ัน มัน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต)ก็เปนไปตามกฎธรรมชาติ โดยที่วามันก็เปนของมันอยางนั้นเอง แตมันไมดึงหรือลากเอาจิตใจของเราเขาไปทับกดบดขยี้ภายใตความผันผวนปรวนแปรของมันดว ย เราก็ปลอยใหทกุ ขท่ีมีอยูตามธรรมดาของธรรมชาติ เปนทุกขของธรรมชาติไปตามเร่ืองของมัน ไมกลายมาเปนทุกขหรือกอใหเกิดทุกขในใจของเรา ถาใชปญญาทําจิตใจใหเปนอิสระถึงข้ันนี้ได ก็เรียกวามาถึงประโยชนสขุ ระดบั สงู สดุ ซ่ึงเปนระดบั ท่ี ๓ ระดับท่ี ๓ ไดแก ประโยชนสุขท่ีเปนนามธรรม ขั้นที่เปนโลกุตตระเปนเรื่องของจิตใจที่เปนอิสระอยูเหนือกระแสโลก เน่ืองจากมีปญญาท่ีรูเทาทันความจริงของโลกและชีวิต อยางท่ีวาอยูในโลกแตไมติดโลกหรือไมเปอนโลก เหมือนใบบัวไมติดน้ํา หรือไมเปยกน้ํา เรียกดวยภาษาวิชาการวา ปรมัตถะ แปลวา ประโยชนสูงสุด ผูท่ีพัฒนาปญญาไปถึงประโยชนสูงสุดนี้ นอกจากอยูในโลกโดยท่ีวาไดรับประโยชนข้ันท่ีหนึ่งและขั้นท่ีสองสมบูรณแลว ยังไมถูกกระทบกระท่งั ไมถูกกฎธรรมชาติเขามาครอบงําบีบคน้ั ดวย ฉะน้ัน ความทุกขท่ีมีในธรรมชาติก็มีไป แตมันไมมาเกิดเปนความทุกขในใจเรา อนิจจังก็เปนไปของมัน ใจเราไมผันผวนปรวนแปรไปดว ย จงึ มาถงึ ขั้นท่เี รียกวา ถูกโลกธรรมกระทบก็ไมห วนั่ ไหวอสิ รชน คือคนทีไ่ มย ุบไมพ อง โลกธรรม ก็คือสิ่งท่ีมีอยูและเกิดข้ึนเปนประจําตามธรรมดาของโลก โดยเฉพาะเหตุการณผันผวนปรวนแปรไมแนนอนตางๆ ในทางดี
๔๒ ชีวติ ทส่ี รางสรรค สดใสและสขุ สันตบาง รายบาง อยางที่เราเรียกกันวาโชคและเคราะห ซ่ึงมนุษยท้ังหลายจะตองประสบตามกระแสแหงความเปลี่ยนแปลง มนุษยอยูในโลกก็จะตอ งถูกโลกธรรมกระทบกระท่งั โลกธรรมมอี ะไรบา ง๑. ไดล าภ ๒. เสอ่ื มลาภ๓. ไดย ศ ๔. เส่อื มยศ๕. สรรเสริญ ๖. นินทา๗. สขุ ๘. ทกุ ขมนุษยอยูในโลกนี้ จะตองถูกสิ่งเหลาน้ีกระทบกระท่ัง และถาไมรูเทาทัน ก็ถูกมันครอบงํา เปนไปตามอิทธิพลของมัน เวลาพบฝายดีที่ชอบใจ ก็ฟู เวลาเจอะฝายรายที่ไมชอบใจ ก็แฟบ พอไดก็พอง แตพอเสยี ก็ยุบ ฟู ก็คือ ตื่นเตนดีใจ ปลาบปลื้ม ลิงโลด กระโดดโลดเตน หรือแมแตเหอ เหมิ ไป แฟบ ก็คือ หอเหี่ยว เศราโศก เสียใจ ทอแท หรือแมแตตรอมตรม ระทม คบั แคน ใจ พอง คือ ผยอง ลําพองตน ลืมตัว มัวเมา อาจจะถึงกับดูถูกดูหม่นิ หรอื ใชท รพั ยใชอ าํ นาจขม เหงรังแกผูอ นื่ ยุบ คือ หมดเร่ียวแรง หมดกําลัง อาจถึงกับดูถูกตัวเอง หันเหออกจากวิถแี หงคณุ ธรรม ละท้งิ ความดี ตลอดจนอุดมคติทีเ่ คยยึดถือชีวติ ในโลกก็เปน อยางนี้แหละ เราตองยอมรับความจริงวา เราอยูในโลก ยอมไมพนสิ่งเหลาน้ี เม่ือไมพน จะตองพบตองเจอะเจอเกี่ยวของกับมัน ก็อยาไปเอาจริงเอาจังกับมันจนถึงกับลุมหลงยึดเปนของตัวเรา ควรจะมองในแงท่ีวาทําอยางไรจะปฏิบัติตอมันใหถูกตอง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต)คืออยูด วยความรูเทาทัน ถา เรารเู ทาทนั แลว เราจะปฏบิ ัติตอ โลกธรรมเหลา น้ีไดด ี เปนคนท่ีไมฟ ไู มแ ฟบ และไมย ุบไมพ อง และยงั เอามนั มาใชประโยชนไ ดอ ีกดวยถา โชคมาฉนั จะมอบมนั ใหเ ปนของขวัญแกม วลประชา ถาโลกธรรมฝายดีที่นาปรารถนาเกิดข้ึน แลวเรารูเทาทัน และปฏิบัติตอมันไดถูกตอง โลกธรรมเหลาน้ันก็ไมกอใหเกิดพิษภัยแกเราและแกใครๆ ยิ่งกวานั้น ยังกลายเปนเคร่ืองมือสําหรับทําความดีงามสรางสรรคประโยชนส ขุ ใหเ พ่มิ พูนยงิ่ ขึน้ อกี ดวย วิธีปฏิบตั ติ อโลกธรรมฝายดี ท่ีสาํ คัญ คือ ๑. รูทันธรรมดา คือรูความจริงวา เออ ที่เปนอยางน้ี มันก็เปนของมีไดเปนไดเปนธรรมดาตามเหตุปจจัย เมื่อมันมาก็ดีแลว แตมันไมเที่ยงแทแนนอน ผนั แปรไดน ะ มนั เกิดขึน้ ได มนั กห็ มดไปเสื่อมไปได ยามไดฝายดีที่นาชอบใจ จะเปนไดลาภ ไดยศ ไดสรรเสริญ ไดสุขก็ตาม เราก็ดีใจ ปลาบปล้ืมใจ เรามีสิทธ์ิท่ีจะดีใจ แตก็อยาไปมัวเมาหลงใหล ถา ไปมัวเมาหลงใหลแลว สง่ิ เหลา นกี้ จ็ ะกลบั กลายเปนเหตุแหงความเสือ่ มของเรา แทนท่เี ราจะไดป ระโยชนก ็กลับจะไดโ ทษ ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี สุขก็ดี ท่ีไมเที่ยงแทแนนอน ผันแปรไดนั้น มันก็เปนไปตามเหตุปจจัย เพราะฉะนั้นเราจะตองไมประมาท จะตองปองกันแกไขเหตุปจจัยแหงความเส่ือม และคอยเสรมิ สรางเหตุปจ จัยท่จี ะใหม นั ม่นั คงอยแู ละเจริญเพม่ิ พนู โดยชอบธรรม เฉพาะอยางย่ิง เหตุปจจัยสําคัญของความเส่ือม ก็คือความลุม
๔๔ ชวี ติ ท่สี รา งสรรค สดใสและสุขสันตหลงมวั เมา ถาเรามัวเมาหลงละเลิงแลว ส่ิงเหลาน้ีก็กลับเปนโทษแกชีวิตเชน คนเมายศ พอไดยศ ก็มัวเมาหลงละเลิง ดูถูกดูหม่ินคนอื่น ใชอํานาจขมข่ีทําสิ่งท่ีไมดีเบียดเบียนขมเหงคนอื่นไว แตส่ิงทั้งหลายไมเท่ียง พอเสอื่ มยศ ก็ยํ่าแย ทกุ ขภยั ก็โหมกระหนํา่ ทบั ถมตวั ๒. เอามาทําประโยชน คนท่ีรจู กั ปฏบิ ตั ิตอส่ิงเหลานี้ก็มองวา เออตอนน้ีโลกธรรมฝายดมี า ก็ดแี ลว เราจะใชมันเปน โอกาสในการสรางสรรคทําความดี เชน พอเราไดยศ เรารูทันวา เออ สิ่งเหลานี้ไมเที่ยงหรอก มันไมใ ชอยูตลอดไป เมอ่ื มันมาก็ดีแลว เราจะใชมันใหเปนประโยชน เราดีใจท่ีไดมันมาทีหนึ่งแลว คราวนี้เราคิดวาเราจะทําใหมันเปนประโยชน เรากด็ ใี จมคี วามสขุ ย่ิงข้ึนไปอีก พอเราดใี จแตเราไมหลง เราก็ใชมันใหเปนประโยชน เราอาจจะใชย ศนัน้ เปนเคร่ืองมอื หรือเปนชอ งทางในการชวยเหลือเพ่ือนมนุษย ในการสรางสรรคความดีงาม ทําการสงเคราะห บําเพ็ญประโยชน กก็ ลายเปน ดีไป ขอสําคัญก็คือ เม่ือเรามีลาภหรือมีทรัพยมียศศักด์ิเกียรติบริวารความดีและประโยชนหรือการสรางสรรคตางๆ นั้นเราก็ทําไดมากกลายเปนวาลาภและยศเปนตน เปนเครื่องมือและเปนเคร่ืองเอื้อโอกาสในการท่ีจะทําใหชีวิตของเรามีคุณคา ขยายประโยชนสุขใหกวางขวางมากมายแผออกไปในสังคม นี่คือการท่ีเรามาชวยสรางสรรคใหโลกน้ีเปนอยางท่ีพระพุทธเจาตรัสเรียกวา อัพยาปชฌโลก คือโลกแหงความรักความเมตตา เปนที่ปลอดภัยไรการเบียดเบียน และมีสันติสุข แลวก็ทําใหตัวเราเองไดความสัมพันธที่ดีกับเพื่อนมนุษย ไดรับความเคารพนับถือท่ีแทจริงดวยประโยชนสุขระดับที่หน่ึง กลายเปนบันไดกาวข้ึนสูประโยชนสุขระดับท่ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146